#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันจันทร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๓
เทศน์ช่วงทำกรรมฐานเช้า วันจันทร์ที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๓ เชิญรับฟังได้ที่ https://youtu.be/H5_kIx4hpgQ เข้าที่ได้ก็ดูลมหายใจเข้าออกไว้ก่อน เวลาทุกวินาทีมีค่า กรุณาใช้สอยอย่างประหยัด หายใจเข้า... พุท หายใจออก... โธ กำหนดภาพพระไปด้วยก็ได้ หลายคนรักษาสมาธิไม่ได้ อย่าใช้สายตา ลืมตามองภาพพระ หลับตาลงจำเอาไว้แล้วนึกถึงในลักษณะการจำ ไม่ใช่การมอง หายใจเข้า... ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก... ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ หายใจเข้า... ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก... ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 01:06 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ไม่ว่าจะฝึกฝนมานานขนาดไหน ห้ามทิ้งลมหายใจเด็ดขาด ต่อให้ชำนาญในการกำหนดภาพพระขนาดไหน ก็ต้องอยู่กับลมหายใจก่อน จนกระทั่งสมาธิมั่นคงแล้ว ค่อยทิ้งลมหายใจ กำหนดภาพพระอย่างเดียว หรือรอให้สมาธิทรงตัว ทิ้งภาพพระ หรือทิ้งลมหายใจอย่างใดอย่างหนึ่งไปเอง
หายใจเข้า... ภาพพระไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออก... ภาพพระเลื่อนขึ้นไปบนศีรษะ ถ้ารู้สึกว่าพระหลายองค์จะดีกว่า ทำให้เราต้องระมัดระวังรักษา ก็กำหนดองค์ที่ ๑ บนศีรษะ องค์ที่ ๒ อยู่ในอก องค์ที่ ๓ อยู่ในท้อง หายใจเข้า... พระองค์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ สว่างขึ้น หายใจออก... พระองค์ที่ ๓ ที่ ๒ ที่ ๑ สว่างขึ้น หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
จะมารอให้ตั้งอารมรณ์ให้แต่แรกทุกวันไม่ได้ เราต้องรู้จักขวนขวายหาเอาเอง มัวแต่เริ่มต้นนับหนึ่งให้ทุกวัน ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี
หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจเข้า... พระองค์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ สว่างขึ้น พยายามกำหนดความรู้สึกทั้ง ๓ ที่ให้เท่า ๆ กัน ไม่อย่างนั้นก็เกิดอย่างที่เป็นคือ พอองค์ที่ ๒ สว่าง องค์ที่ ๑ ก็จะมืดลง องค์ที่ ๓ สว่าง องค์ที่ ๑ ที่ ๒ ก็มืดลง ถ้าอยากเล่นสนุกมาก ต้องกำหนดความรู้สึกให้เท่ากันทุกองค์ หายใจเข้า... พระองค์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ สว่างขึ้น หายใจออก... พระองค์ที่ ๓ ที่ ๒ ที่ ๑ สว่างขึ้น |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อรู้สึกว่าความสว่างไสวกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็กำหนดพระทั้ง ๓ องค์ให้เหลือแค่องค์เดียว เอาไว้เหนือศีรษะจะเหมาะสมที่สุด
หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น ความสว่างแผ่กว้างออกไป กว้างออกไปรอบด้าน กว้างออกไปทั้งศาลาแห่งนี้ กว้างออกไปทั้งวัด กว้างออกไปทั้งหมู่บ้าน ทั้งตำบล ทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัด รู้สึกเหมือนตัวเราขยายใหญ่ออกไปเรื่อย ๆ ทั้งประเทศ ทั้งทวีป ทั้งโลก ตัวเราเหมือนใหญ่โตเต็มแผ่นดินแผ่นฟ้า ความสว่างไสวขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือพระเมตตาของพระองค์ท่าน สามารถกำหนดครอบคลุมโลกธาตุต่าง ๆ ให้ทั่วถึงได้โดยง่าย จักรวาลนับพัน นับหมื่น นับแสน เหมือนกับวัตถุเล็ก ๆ อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา เปรียบไปแล้วเหมือนกับทรายกำมือเดียว สามารถกำหนดใจครอบคลุมได้ทั่วถึง ทุกภพ ทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ตั้งใจว่า..มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกล่วงไปแล้วในวันหนึ่งคืนหนึ่ง ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงไปเสวยสุขในสุคติภพโดยถ้วนหน้ากันเถิด
มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น ตกอยู่ในความทุกข์ยาก เศร้าหมอง เดือดร้อน ลำเค็ญ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ เจ็บไข้ได้ป่วย พิกลพิการใด ๆ ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงได้ล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่ชีวิตของท่านทั้งหลายเหล่านั้น มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จงมีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พึงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กันและกัน เสียสละให้ปัน ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งกว่าตนให้พ้นทุกข์ เพื่อยังโลกทั้งหลายไปสู่สันติสุขอันสมบูรณ์ด้วยเถิด |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถ้าความรู้สึกจืดจาง เคลื่อนคลายไป ก็ย้อนกลับมาหาลมหายใจใหม่
หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น แล้วรวบรวมภาพพระทั้งหมดของเราเข้ามาไว้ในหัว อยู่ในกะโหลกศีรษะของเรา กะโหลกศีรษะของเราเหมือนห้องกว้างใหญ่ไพศาล ว่าง ๆ เปล่า ๆ ไม่มีอะไร นอกจากภาพพระพุทธเจ้าสว่างไสวอยู่ในนั้น กำหนดใจกราบลงไปที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ลูกจักยกเอาพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ท่านขึ้นมาพินิจพิจารณา ขอให้ลูกประกอบด้วยสติ สมาธิ และปัญญาญาณอันแก่กล้า สามารถรู้แจ้งเห็นจริง และยอมรับตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
หลังจากนั้นก็กำหนดนึก เหมือนเรามองขึ้นไปบนหัว โค้งลงไปในอก ลงไปในท้อง ย้อนคืนไปเมื่อครู่นี้ เมื่อคืนนี้ เมื่อวานนี้..
เมื่อ ๒ วันก่อน ๓ วันก่อน ๔ วันก่อน ๕ วันก่อน ๖ วันก่อน ๗ วันก่อน.. อาทิตย์ที่แล้ว ๒ อาทิตย์ที่แล้ว ครึ่งเดือนที่แล้ว.. ๑ เดือนที่แล้ว ๒ เดือนที่แล้ว ๓ เดือนที่แล้ว ๔ เดือนที่แล้ว ๕ เดือนที่แล้ว.. ครึ่งปีที่แล้ว ๑ ปีที่แล้ว ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี.. ย้อนกลับไปสู่ตอนที่เราเป็นจุดปฏิสนธิ์เล็ก ๆ อยู่ในท้องแม่ เมื่อเชื้อของพ่อผสมกับไข่กับแม่ บังเกิดเป็นจุดปฏิสนธิ์ขึ้นมา นิ่งใสอยู่ตรงนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสสอนว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา" สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 01:22 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
เราค่อย ๆ ดู..
ทันทีที่ปฏิสนธิ์ขึ้นมา ถ้ามีความเที่ยงแท้ก็ต้องไม่เปลี่ยนแปลง แต่นี่เมื่อโดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเข้า เผาลนเข้า ก็ค่อย ๆ แตกแขนงแยกออกมา จากเซลล์เดียว เป็น ๒ เป็น ๔ เป็น ๘ เป็น ๑๖ เป็น ๓๒ เป็น ๖๔ เป็น ๑๒๘ เพิ่มขึ้นเท่าตัว เท่าตัว มากขึ้น มากขึ้น เห็นเงาดำ ๆ ของดวงตาปรากฏขึ้นก่อน.. หลังจากนั้นกระดูกหน้าผากค่อย ๆ งอกมา คลุมขึ้นเป็นรูปกะโหลกศีรษะ.. อีก ๔ สาขา คือแขน คือขา ค่อย ๆ งอกออกมา.. โครงกระดูกค่อย ๆ สมบูรณ์ อวัยวะภายใน ค่อย ๆ สมบูรณ์.. นอนขดงอก่องอขิงอยู่ในท้องแม่ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน ๔ เดือน ๕ เดือน ๖ เดือน.. ค่อย ๆ โตขึ้น อวัยวะค่อย ๆ สมบูรณ์ขึ้น. เชื่อมต่อกับร่างกายของแม่ด้วยสายสะดือที่ไปแปะติดกับผนังมดลูก รับอาหารต่าง ๆ จากสายนั้น ขับถ่ายสิ่งสกปรกจากสายนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 01:23 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที..
เมื่ออาการครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ๙ เดือน ๑๐ เดือน มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือ คลอดเคลื่อนออกจากท้องแม่มาเป็นเด็กนอนหงายตะกายอากาศ.. ค่อย ๆ หัดพลิก หัดคว่ำ หัดคืบ หัดคลาน.. ไม่มีฟันก็มีฟันกระต่ายงอกขึ้นมา หัดตั้งไข่ล้มลุกคลุกคลาน หัดยืน หัดเดิน หัดวิ่ง.. ฟันค่อย ๆ มากขึ้นไปตามลำดับอายุ จากเด็กทารกเป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว.. เป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มวัย ล่วงสู่วันกลางคน วัยแก่ชรา ค่อย ๆ เสื่อมลง เสื่อมลง.. ท้ายที่สุดก็ตาย สลายคืนเป็นสมบัติโลกไปตามเดิม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 01:25 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
บัดนี้เราเห็นชัดเจนแล้วว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงจริง ๆ ในเมื่อร่างกายของเราที่เป็นโลกภายในหาความเที่ยงไม่ได้ ร่างกายคนอื่นที่เป็นโลกภายนอกก็ดี ดวงดาวคือโลกนี้และโลกอื่น ๆ ก็ดี ย่อมมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ
เมื่อเห็นชัดเจนแล้วก็น้อมจิตน้อมใจกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ารู้สึกว่าความรู้สึกเลือนลางจืดจางไป ก็กำหนดภาพพระและลมหายใจใหม่ หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น หายใจออก...ภาพพระสว่างขึ้น ตัวเราสว่างขึ้น จนกระทั่งภาพพระสว่างไสวชัดเจนอยู่ในศีรษะของเรา ก็กำหนดยกเอาข้อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพินิจพิจารณาต่อ |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ย้อนกลับขึ้นไปใหม่ กลับไป กลับไป กลับไป..
กลับไปจนถึงวันที่ตนเองอยู่ในท้องแม่ โดนเผาด้วยไฟธาตุของแม่ เร่าร้อนขนาดไหน เหมือนอย่างกับโดนนึ่งอยู่ในหม้อ.. เมื่อค่อย ๆ เติบใหญ่ก็อึดอัดมากขึ้นทุกที เพราะสถานที่คับแคบ จะเหยียดแข้งเหยียดขาให้หายเมื่อยก็ไม่ได้ พยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่พ้นความอึดอัด ทุกข์ยากลำบาก โดนไฟธาตุแผดเผาตลอดเวลา ความอึดอัดของสถานที่คับแคบบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา.. เรานั่งนิ่ง ๆ ท่าเดียวไม่กี่นาทีก็เมื่อยแย่แล้ว นั่นต้องนอนขด กอดเข่าอยู่ระยะ ๙ เดือน ๑๐ เดือน จะมีความทุกข์ขนาดไหน.. จนท้ายที่สุดเมื่อคลอด เมื่อเคลื่อนจากร่างกายมา กระทบความหนักของอากาศ ก็ทุกข์หนักเข้าไปอีก เพราะแสบร้อนไปทั้งร่าง ร้องไห้ดังลั่น หิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะต้องถ่าย เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษา สกปรกโสโครกต้องดูแล |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ตัวเราเกิดมาจากกองทุกข์ ดำรงชีวิตอยู่ในกองทุกข์..
เด็กอ่อนทำอะไรไม่ได้ ก็กลัดกลุ้ม ดิ้นรนแผดเสียงร้อง หมายจะบ่งบอกให้ผู้ใหญ่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร.. หัดคว่ำ กว่าจะพลิกได้แต่ละที เหนื่อยแทบขาดใจ หัดคืบ หัดคลาน หัดยืน ลุ้มลุกคลุกคลานเหนื่อยแทบขาดใจ.. หัดเดิน หัดวิ่ง มีฟันงอกขึ้นมาก็ต้องเริ่มเคี้ยวกินเอง ความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ร่างกายก็หิว ก็กระหาย ก็ร้อน ก็หนาว ก็เจ็บไข้ได้ป่วย ก็สกปรกโสโครก ต้องคอยดูแล ต้องคอยรักษา ต้องศึกษาเรียนรู้ด้วยความยากลำบากเพื่อให้มีชีวิตรอด.. ต้องเล่าเรียนหนังสือ เพื่อให้มีความรู้ในการทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง.. เดินทางไปโรงเรียนด้วยความยากลำบาก ต้องตื่นแต่เช้า ทั้งที่ยังนอนไม่เต็มตา.. ไปเรียนก็โดนเพื่อนกลั่นแกล้งบ้าง โดนครูบังคับให้ทำการบ้าน ทำรายงานส่งบ้าง ค้นคว้าตำราต่าง ๆ ทำการบ้านต่าง ๆ ..มีแต่ความทุกข์ ความเหนื่อยยาก กว่าจะเรียนจนมีความรู้ทำงานได้ ก็เท่ากับแบกความทุกข์เอาไว้ทั้งวัน.. ร่างกายค่อย ๆ โตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว.. ศึกษาความรู้เพื่อที่จะทำมาหากินยังไม่พอ ยังดิ้นรนไปแสวงหาคู่ครองเพิ่มขึ้น.. ทันทีที่รักก็ทุกข์ กลัวเขาจะไม่รักตอบ กลัวจะไม่ได้เขามาเป็นคู่ครอง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 23:20 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
สมมติว่าเราเกิดมาโชคดี สร้างบุญไว้มาก เรียนจบโดยไม่ทุกข์ยากลำบากมากนัก คู่ครองก็หามาได้อย่างใจ..
แต่ทันทีที่อยู่ร่วมกันไปความทุกข์จากร่างกาย คือขันธ์ ๕ ก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่าตัว.. จากที่เวลาหิว จะไม่กินก็ได้ กระหายจะไม่ดื่มก็ได้ แต่ตอนนี้มีคนอยู่เคียงข้าง ต้องดูแลเขา ต้องดูแลตัวเอง ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ร่างกายของตนเองก็หิว ก็กระหาย ก็ร้อน ก็หนาว ก็เจ็บไข้ได้ป่วย สกปรกโสโครกตลอดเวลา ยิ่งถ้ามีลูกขึ้นมา ก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้นไปอีก.. คนเป็นแม่ต้องอุ้มท้องเหนื่อยยากอยู่ ๙ เดือน ๑๐ เดือน.. เผชิญกับความทุกข์หนักในการคลอด อดตาหลับขับตานอนทั้งพ่อทั้งแม่ เพื่อเลี้ยงลูกให้เติบโต.. ลูกเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เหมือนพ่อแม่ป่วยไปด้วย.. ลูกมีความทุกข์ เหมือนกับพ่อแม่ทุกข์ไปด้วย.. โลกนี้ช่างมีแต่ความทุกข์อย่างแท้จริงหนอ |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ร่างกายค่อย ๆ คล้อยเคลื่อนไปสู่วัยกลางคน วัยชรา..
ผมหงอก ตาฟาง ฟันหลุดร่วง หลังโก่ง หูตึง ผิวกายเหี่ยวย่น ข้อต่อร่างกายทุกส่วนปวดคัดไปหมด.. ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ แต่มันก็ยังหนาว ยังร้อน ยังหิว ยังกระหาย ยังเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้.. ท้ายที่สุดความทุกข์บีบคั้นถึงที่สุด ร่างกายทนไม่ไหว ก็แตกดับตายไป.. คนอยู่ก็ทุกข์ ร้องไห้หา คนตายก็ทุกข์ เวียนว่ายไปตามภพภูมิอื่น ๆ ชีวิตนี้เวียนว่ายอยู่แต่ในกองทุกข์ โดนเผาผลาญด้วยไฟแห่งกองทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์เช่นนี้จักไม่มีสำหรับเราอีก สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
น้อมจิตน้อมใจกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในศีรษะของเรา นึกถึงพระองค์ท่านใหม่ นึกถึงลมหายใจเข้าออกใหม่
หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก... ภาพพระสว่างขึ้น หายใจเข้า... ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออก... ภาพพระสว่างขึ้น เมื่อภาพพระสว่างไสวชัดเจนดีแล้ว องค์สมเด็จพระทีปแก้วตรัสว่า "สัพเพ สังขารา อนัตตา" สังขารทั้งหลายไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นของเรา ร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุ ๔ คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ ประกอบมาชั่วคราว เรามาอาศัยอยู่ตามความดีความชั่วที่เราสร้างไว้ สร้างความดีไว้มาก ร่างกายก็แข็งแรงผ่องใส สร้างความชั่วไว้มาก ร่างกายก็ทรุดโทรม มีแต่โรคภัย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ลองกำหนดดูสิว่า ธาตุ ๔ ที่ประกอบเป็นร่างกายมีอะไรบ้าง..
พระองค์ท่านบอกว่า 'ธาตุดิน' คือ ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ ต้องได้ มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด ม้าม หัวใจ อวัยวะภายในภายนอกทุกส่วนที่จับได้ต้องได้คือ 'ธาตุดิน' แยกเอาไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลวมีความชุ่มชื้นอยู่ในร่างกายของเรา เป็น 'ธาตุน้ำ' มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ปัสสาวะ ไขมันเหลว แยกไว้ออกกองหนึ่ง ส่วนที่พัดไปมาในร่างกาย คือ 'ธาตุลม' มีลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง ลมที่พัดลงเบื้องต่ำ ลมที่พัดไปทั่วร่างกายที่เรียกว่าความดันโลหิต บางคนเรียกว่า 'ปราณ' บางคนเรียกว่า 'กำลังภายใน' ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่ค้างในท้องในไส้คือแก๊ส ลมที่อยู่ในช่องว่างของร่างกาย เช่นช่องหู ช่องจมูก แยกไว้อีกกองหนึ่ง ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายให้ทรุดโทรมลง ช่วยในการสันดาบย่อยอาหาร เรียกว่า 'ธาตุไฟ' ยังร่างกายให้กระวนกระวายยามเจ็บไข้ก็เช่นกัน แยกไว้อีกกองหนึ่ง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 14-09-2021 เมื่อ 23:48 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
กองแรก คือ 'ดิน'
กองที่ ๒ คือ 'น้ำ' กองที่ ๓ คือ 'ลม' กองที่ ๔ คือ 'ไฟ'..หมดเกลี้ยงไม่เหลืออะไรเลย พอเอามาประกอบกันขึ้นมา เป็นหัว เป็นหู เป็นหน้า เป็นตา เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราว ก็ไปยึดว่า 'ตัวกูของกู' บัดนี้เราเห็นชัดเจนแล้วว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา.. สิ่งที่เราปรารถนานั้น เป็นเพียงสมบัติของโลกที่ยืมมาใช้ชั่วคราว.. ถึงเวลาธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่อง ก็เจ็บไข้ได้ป่วย หนักเบาไปตามสภาพ บกพร่องมาก ๆ ก็ตาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ลมหายใจขาดไป ธาตุไฟก็ดับ..
ธาตุน้ำที่ไม่มีอะไรควบคุมก็ล้นทะลัก ร่างกายโดนธาตุน้ำดัน.. อืดพองขึ้นมา ค่อย ๆ กลายเป็นสีเขียว ๆ เหลือง ๆ เป็นสีคล้ำลง.. พอธาตุน้ำดันมาก ๆ ธาตุดินก็ปริแตก.. น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองไหลโทรมไปทั้งกาย ส่งกลิ่นเน่าเหม็นไปไกล ๆ .. หมู่สัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหนอน เป็นแมลง เป็นนกแร้ง นกตะกรุม เป็นหมู่หมาบ้าน หมาป่า เป็นหมู่ของสัตว์กินซากอย่าง เหี้ย ตะกวด ช่วยกันฉีก ช่วยกันทึ้ง ช่วยกันดึง ช่วยกันลากไปกิน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
จนกระทั่งท้ายสุด..เหลือเพียงโครงกระดูกที่ยังมีเส้นเอ็นยึดโยงอยู่..
โดนแดดเผา โดนลมพัด โดนฝนสาด ค่อย ๆ เปื่อย เส้นเอ็นหลุดสลายไป.. กระดูกหลุดกระจัดกระจาย กะโหลกศีรษะหลุดไปทางหนึ่ง กรามล่างหลุดไปทางหนึ่ง ฟันหลุดไปทางหนึ่ง.. กระดูกคอที่เป็นข้อ ๆ หลุดไปทางหนึ่ง.. กระดูกไหปลาร้าเหมือนสามเหลี่ยมสองอันหันชนกันหลุดไป.. กระดูกต้นแขน กระดูกข้อศอก กระดูกปลายแขน กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่ามือ กระดูกนิ้วมือ กระดูกเล็บมือ กระจัดกระจาย |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
กระดูกสันหลังที่ถูกยึดโยงกับกระดูกหน้าอกด้วยซี่โครงก็หลุดเป็นวง ๆ กลิ้งเกลื่อนไป..
กระดูกบั้นเอวที่ช่วยให้เราก้มเงยได้สะดวกก็หลุดไป.. กระดูกเชิงกรานที่เรานั่งก็หลุดไป กระดูกก้นกบที่ยึดติดปลายเชิงกรานก็หลุดไป.. กระดูกต้นขา กระดูกหัวเข่า กระดูกหน้าแข้ง กระดูกข้อเท้า กระดูกส้นเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกนิ้วเท้า กระดูกเล็บเท้า หลุดกระจัดกระจาย ไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่างแล้ว.. โดนฝนซัด แดดเผา ลมพัด จากใหม่เป็นเก่า เหลือง น้ำตาล ดำ ผุ พัง จมดิน..ไม่มีอะไรเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หยาดฝน : 11-09-2021 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ หยาดฝน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|