|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ยอมรับว่าวันนี้เหนื่อยมาก โดยเฉพาะงานปฐมนิเทศนิสิตใหม่ที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ท้ายสุดก็มาจบลงด้วยการประชุมทางระบบซูมมีตติ้งออนไลน์ แต่ด้วยความที่อยู่ในฐานะผู้บริหาร ก็คือรักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ก็เลยหนีงานไม่ได้ เพราะว่ารักษาการผู้อำนวยการไปแล้ว รักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการก็ยังไม่มา ก็เลยต้องนั่งจนกระทั่งต้องบอกว่า "ตูดด้าน" แล้วก็ยังมีงานอื่น ๆ แทรกเข้ามาอีก
โดยเฉพาะวันนี้เป็นวันเกิดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งท่านเองก็งดไม่ให้เข้าถวายสักการะ ก็เพราะเกรงเรื่องของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แต่คนก็ไปลือกันว่าท่านมรณภาพ..! พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล เป็นพระเถระไม่กี่รูปที่กระผม/อาตมภาพ ถือท่านเป็นแบบอย่างในการทำงาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงเป็นแบบอย่างรูปแรกที่กระผม/อาตมภาพยึดถือในการทำงานทั่วไป ก็เพราะว่างานอะไร ถ้า "พระ" สั่ง ท่านจะทำด้วยชีวิต..! แม้กระทั่งวันสุดท้าย พระวัดท่าซุงพร้อมใจกันไปกราบลา หลวงพ่อท่านเองมองไม่เห็นแล้วว่าใครเป็นใคร เห็นแต่เงาดำ ๆ นั่งอยู่ข้างหน้ามากมาย ท่านถามว่า "มาทำอะไรกัน ?" กราบเรียนท่านว่า "มากราบหลวงพ่อครับ" ท่านบอก "เออ...กราบแล้ว ใครมีงานอะไรก็ไปทำซะ..!" แม้แต่ท่านเองก็ออกทำหน้าที่ ก็คือรับญาติโยมจนถึงวาระสุดท้าย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2021 เมื่อ 01:19 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ส่วนพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล กระผม/อาตมภาพได้รู้จักท่านตั้งแต่เป็นพระครูศรีกาญจนภรณ์ เจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี ขึ้นมาเป็นท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิรังษี รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ขึ้นมาเป็นพระราชรัตนวิมล เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จนเกษียณอายุ ได้รับการยกขึ้นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีในปัจจุบัน เวลาท่านไปงานใครที่ไหน ท่านจะนั่งอยู่จนงานจบถึงได้ลากลับ
อีกท่านหนึ่งที่มีปฏิปทาเดียวกันก็คือ หลวงพ่อพระครูนิโครธโยคาภิรักษ์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเพิ่งจะเกษียณจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอไทรโยคไม่นาน สองรูปนี้ถ้าไปงานใคร รับรองได้ว่าไม่เคยทิ้ง นั่งอยู่จนกระทั่งงานเลิก ถึงบอกลาเจ้าของงานแล้วก็กลับ เรื่องพวกนี้เราต้องเข้าใจว่า พระสงฆ์ของเรา เมื่อนิมนต์พระผู้ใหญ่มา ก็อยากให้ท่านอยู่เป็นขวัญและกำลังใจของงาน ถ้าพระผู้ใหญ่มาปุบปับแล้วกลับเลย เราก็จะรู้สึกว่าไม่ดี พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าหากว่าในด้านของพระเถระ รูปแรกที่กระผม/อาตมภาพยึดเป็นต้นแบบในการทำงานคือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง รูปถัดมาก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ กลับจากกิจนิมนต์ด้านนอกสามทุ่มกว่า ตอนนั้นท่านอายุ ๘๐ ปีแล้วนะ ยังมาร่วมสวดมนต์ทำวัตรกับพระในวัดตอนสามทุ่มครึ่ง สวดมนต์ทำวัตรเสร็จ ให้โอวาทพระเสร็จสี่ทุ่มกว่า กระผม/อาตมภาพนึกว่าท่านได้เวลาพักแล้ว...ยังครับ ท่านไปเดินเยี่ยมลูกคณะก่อน ก็คือไปดูแลทุกข์สุขของพระในวัดก่อน ถ้าหากว่าพระเถระท่านเป็นตัวอย่างในลักษณะอย่างนี้ เราเองแม้ทำไม่ได้ขนาดท่าน ก็ต้องเลียนแบบปฏิปทาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2021 เมื่อ 01:22 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ส่วนในเรื่องของฆราวาสนั้น ต้นแบบของผมอยู่สูงมาก ก็คือในหลวงรัชกาลที่ ๕ กับในหลวงรัชกาลที่ ๙..! ในหลวงรัชกาลที่ ๕ มีสายพระเนตรที่ยาวไกลมาก ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องบอกว่ามี "วิสัยทัศน์" ที่ยาวไกลมาก พระองค์ท่านส่งบรรดาพระราชโอรสไปศึกษาต่างประเทศ ซึ่งสมัยนั้นไม่ได้เป็นที่นิยมกันนะครับ แต่พระองค์ท่านเล็งเห็นว่า ตะวันตกจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าไม่มีสายสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ไม่เรียนรู้แบบอย่างของเขาเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นมาแล้วแก้ไขไม่ทัน เราก็อาจจะเสียท่าเขา
ขนาดนั้นแล้ว แม้ว่าบรรดาพระราชโอรสเมื่อกลับมาแล้ว รับราชการตามกรมกองต่าง ๆ เป็นกำลังใหญ่ให้กับประเทศ เรายังโดนมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสบีบคั้น จนเสียดินแดนไปไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทางด้านเหนือลงมาตะวันออกเฉียงเหนือ เราเสียหัวพันทั้งห้าทั้งหก เสียเวียดนาม เสียลาว เสียเขมรให้กับฝรั่งเศส ลองนึกดูว่า ถ้าหากว่าดินแดนยังเท่าเดิม ประเทศเราจะใหญ่แค่ไหน ? ทางด้านใต้เราเสียไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ทั้งสี่รัฐให้กับอังกฤษ เมื่อถึงเวลาอังกฤษผนวกไว้กับมาเลเซีย คืนเอกราชให้มาเลเซียแล้ว แต่ไม่คืนสี่รัฐให้ไทย ยังผนวกไว้เป็นของมาเลเซียอยู่ ทุกวันนี้ระบบหนึ่งของการปกครองของมาเลเซียก็คือสมเด็จพระราชาธิบดี ซึ่งจะคัดเลือกจากสุลต่านรัฐต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระราชาธิบดี ถ้าจำไม่ผิด น่าจะองค์ละ ๔ ปี แต่สุลต่านจากรัฐไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส โดนตัดสิทธิ์นี้ ไม่ให้รับการคัดเลือกเป็นสมเด็จพระราชาธิบดี เพราะว่าทั้ง ๔ รัฐมีคนไทยเยอะมาก เขาไม่ต้องการให้บุคคลที่ไม่ใช่เชื้อชาติมลายูแท้ ได้มีโอกาสเป็นสุลต่านปกครองประเทศ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2021 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ส่วนในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านทั้งหลายก็เห็นอยู่แล้ว ๗๐ ปี ๔,๐๐๐ กว่าโครงการ ทรงทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนล้วน ๆ บรรดาราชวงศ์ทั่วโลกยกย่องพระองค์ท่านเป็น "ราชาในราชันย์" สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน กล่าวในวันเฉลิมพระชนพรรษาฉลองพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ยกย่องพระองค์เป็น King of The Kings
การกระทำของทั้ง ๒ พระองค์นั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทำให้ประเทศของเราเจริญที่สุดในเอเซียยุคนั้น เรามีรถไฟ มีโทรเลข มีไปรษณีย์ มีการคมนาคมที่ทันสมัยมาก ยุคนั้นเรามีรถไฟใช้ก่อนญี่ปุ่นนะครับ แต่จนทุกวันนี้ของเราก็ยัง "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" ส่วนญี่ปุ่นเป็นรถไฟความเร็วสูงไปหลายชาติแล้ว..! ผมเองตั้งใจสร้างเหรียญในหลวงรัชกาลที่ ๕ อย่างชนิดที่ไม่เคยตั้งใจสร้างวัตถุมงคลชิ้นไหนมากขนาดนั้นมาก่อน เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าอันดับแรกเลยก็คือ สร้างเพื่อหาทุนจัดสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ที่อยู่ในสังกัดของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๕ มีสายพระเนตรอันยาวไกล พระราชทานให้กับคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย เพื่อที่พระภิกษุสามเณรจะได้มีที่ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาการชั้นสูง ประการที่สองก็คือ พระองค์ท่านเป็นหนึ่งในต้นแบบในดวงใจ ที่กระผม/อาตมภาพใช้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงทุ่มเทกำลังใจในการสร้าง ชนิดที่ออกมาต้องสวยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เนื่องจากว่าทำอะไรเร็วเกินไป กว่าจะได้รับอนุญาตให้นำออกบูชา ก็ต้องเก็บเอาไว้ปลุกเสกเสียหลายปี แม้กระทั่งทุกวันนี้ ตัวกระผม/อาตมภาพก็ยังพกเหรียญรัชกาลที่ ๕ และรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙ เอาไว้เตือนสติตนเองว่า "ถึงงานหนักแค่ไหน เราก็จะเหนื่อยไม่ได้..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2021 เมื่อ 01:30 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าในสัญญาบัตรที่พระองค์ท่านพระราชทานให้ก็คือ "ขอพระคุณเจ้าจงรับภารธุระในพระพุทธศาสนา..ฯลฯ" ดังนั้น...ในส่วนนี้ แม้ว่าวันนี้จะเหนื่อยขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องบอกว่า "ขอทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนก่อน" เดี๋ยวเลิกจากการทำวัตรสวดมนต์แล้วค่อยไปสลบไสล ทั้ง ๆ ที่นั่งอยู่นี่ ถ้าไม่ขยับเอาไว้ ก็คงจะหลับไปแล้ว ..!
ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเองอายุมากขึ้นทุกวัน ตอนนี้อายุมากกว่าตอนที่หลวงปู่ปานมรณภาพแล้ว เพื่อนฝูงทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องและรุ่นเดียวกัน ก็มีทั้งมรณภาพและตาย ฉะนั้น...ถ้าหากว่าพวกเรายังไม่เร่งรัดการปฏิบัติของตนเองให้มากเข้าไว้ เมื่อถึงเวลา ถ้าปุบปับกระผม/อาตมภาพสิ้นชีวิตลง ไม่อยากจะเห็นภาพอย่างที่เคยเห็นสมัยที่อยู่วัดท่าซุง ก็คือพระเถระระดับ ๑๐ กว่า ๒๐ พรรษายืนน้ำตาไหล ปล่อยให้เด็ก ๗ - ๘ พรรษาอย่างกระผม/อาตมภาพทำงานแทบทุกอย่าง ก็เพราะไปประมาทว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะอยู่นานถึง ๑๒๐ ปี แล้วก็ไม่รีบขวนขวายปฏิบัติเพื่อตนเอง อะไร ๆ ก็ "รอหลวงพ่อ..!" พวกท่านโดยเฉพาะพระเณรของเรา จะเห็นว่าตัวผมเองพร้อมที่จะไปอยู่ตลอดเวลา การบริหารวัดซึ่งได้มอบหมายหน้าที่ให้ท่านทั้งหลายช่วยกัน ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ต่อให้ผมไม่อยู่ วัดก็จะไปได้ ที่ต้องวางระบบเอาไว้อย่างนี้ เพราะรู้ดีว่าตนเองเป็นคนอายุสั้น สร้างเวรสร้างกรรมไว้ในอดีตมามาก ผลกรรมปาณาติบาตตามมาถึงก็ทำให้อายุสั้นพลันตาย ที่ได้ต่ออายุราชการมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหมดลงเมื่อไร ? รอบุคคลที่ท่านบอกว่าเป็นตัวจริงจะมาแทน ก็ไม่เห็นมาเสียที ยังสงสัยเหมือนกันว่าจะโดนหลอกหรือเปล่า ? ดังนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังประมาทอยู่ เมื่อถึงเวลา ไม่ได้ผลดีที่ตนเองหวังเอาไว้ ก็คงไม่ต้องไปโทษใคร นอกจากบอกว่า "สมน้ำหน้าตัวเอง..!" รบกวนเวลาท่านทั้งหลายมาพอสมควรแล้ว ก็ขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-08-2021 เมื่อ 21:23 |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|