|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
ถาม : (การเผาป่า)
ตอบ : บ้านเรากฎหมายบ้า ก็คือถ้าป่าเสื่อมโทรมสามารถที่จะเข้าไปใช้งานได้ เขาก็ช่วยกันจ้างเผาป่าสิ ไม่เผาแล้วจะโทรมได้อย่างไร...! กฎหมายของเราขัดกันเอง แทนที่จะไปในทางเดียวกัน สมัยอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษีก็เหมือนกัน เกาะพระฤๅษีเป็นเขตป่าสงวน กฎหมายว่าสามารถขอใช้พื้นที่ป่าสงวนได้ แต่ต้องปลูกต้นไม้คืนเขา ๓๐% อาตมาปลูกให้ ๓๐ ไร่เลย ใช้ในเกาะ ๒ ไร่เท่านั้นแหละ ภูเขาหลังเกาะพระฤๅษีเป็นเขาหัวโล้น ช่วยกันปลูกต้นไม้ แต่ก็ค่อย ๆ แห้งตายหมด จนกระทั่งในที่สุดได้นักวิชาการจากหน่วยวัฒนวิจัย กรมป่าไม้ เข้ามาแนะนำว่า “อาจารย์ครับ ต้องใช้โพลิเมอร์โรยก้นหลุมครับ” พอถามว่าโพลิเมอร์คืออะไร ? เขาบอกว่าเป็นวัสดุประเภทหนึ่งที่น้ำลงไปถึงก็จะดูดเอาไว้ ตัวสารจะพองขึ้นมาเหมือนวุ้น แล้วน้ำทั้งหมดจะไม่ไปไหน จะอยู่กับวุ้นนั่นแหละ ต้นไม้สามารถแทงรากลงไปเพื่อดูดน้ำมากินได้ ก็ทำตามนั้น อาตมาซื้อมาเป็นถัง ๒๐๐ ลิตร ถังหนึ่งราคาเป็นหมื่น เอามาโรยก้นหลุมแล้วปลูกต้นไม้ เออ...รอดมาได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2019 เมื่อ 10:27 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
ตอนนี้ภูเขาหลังวัดต้นไม้ท่วมเลย แต่วันดีคืนดีก็มีไฟป่า ไฟป่าก็คือคนเผานั่นแหละ บ้านเราไม่มีไฟป่า ไฟป่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศเราเกิดจากคนเผา ๑๐๐% เพราะว่าบ้านเราความชื้นมีมาก การที่ไม้จะเสียดสีกันจนไฟไหม้นั้นมีไม่เพียงพอ ไม่เหมือนต่างประเทศที่แห้งแล้ง ถึงขนาดที่เรียกว่าพอใบไม้ปลิวกระทบกันแล้วเกิดประกายไฟจากไฟฟ้าสถิต
บ้านเราจะไฟไหม้ก็ต่อเมื่อฟ้าผ่า แต่คราวนี้บ้านเราถ้าฟ้าผ่าแปลว่าฝนมาด้วย ดังนั้น..โอกาสที่จะไหม้เป็นศูนย์เลย ทุกวันนี้ที่ไฟป่าไหม้เกิดจากคนเผาทั้งนั้น ถึงได้บอกว่าอาตมาเองยอมให้อากาศทองผาภูมิบ้า ๆ บอ ๆ อย่างนี้แหละ เดี๋ยวฝน เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ตูยอมป่วย แต่ให้ฝนมาบ่อย ๆ แล้วกัน จะได้เผาป่าไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2019 เมื่อ 10:28 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
ขอให้พยายามเป็นต้นแบบให้คนอื่น ก็คืออยู่ในศีลกินในธรรมตามแบบของเราไป ใครเขาจะว่าโง่ ใครเขาจะว่าบ้า ก็ช่างมัน อย่างน้อยจะได้เป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นเขาทำตามได้ โดยเฉพาะอย่าท้อถอย อย่าหมดกำลังใจ ถ้าจะท้อถอยจะหมดกำลังใจ ให้ดูในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์ ต่อสู้ทุกอย่างเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน โดยไม่เห็นแก่สุขภาพของพระองค์ท่านเลย พูดง่าย ๆ ก็คือไม่เห็นแก่ชีวิต
หรือไม่ถ้าจะดูไกลกว่านั้นก็ดูพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า ในสังสารวัฏที่ยาวไกลไม่เห็นต้นเห็นปลายนี้ ขึ้นชื่อว่าความท้อแม้แต่น้อยหนึ่งไม่เคยปรากฏในดวงใจของพระองค์ท่านเลย ตั้งหน้าทำไป ส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดช่าง ตักน้ำรดหัวตอต่อไปเรื่อย ๆ ถึงไม่งอกให้เปียกก็ยังดี อย่างน้อย ๆ เราก็ได้ทำแล้ว อย่าเอาแต่งอมืองอเท้าอยู่อย่างเดียว ถ้าเราไม่กล้าทำ ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด สิ่งที่ไม่ดีไม่งามจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตรัสว่า ต้องพยายามสนับสนุนให้คนดีมีอำนาจในบ้านในเมือง ถ้าหากว่าคนดีมีอำนาจในบ้านในเมือง คนชั่วก็จะแสดงอำนาจไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2019 เมื่อ 10:29 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีนางฟ้าสวยเช้งมา คุยกันจนจบเพิ่งนึกได้ว่านี่คุณชม้อย ทองดีแสน หัวหน้าคณะแม่ชม้อยที่ทำความสะอาดวัดท่าซุง ...(หัวเราะ)... คุยกันอยู่ตั้งนานแกก็ไม่บอกไม่กล่าวอะไร ก่อนไปทำหน้าให้ดูแล้วก็แวบไปเลย ก็เลยต้องมาตามข่าวว่ายังอยู่หรือเปล่า ปรากฏว่าหลวงพี่อาจินต์แจ้งว่าตายไปหลายปีแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-02-2019 เมื่อ 10:30 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ประเทศจีนพยายามแก้มลพิษทางอากาศ โดยห้ามจุดธูปกับประทัดช่วงตรุษจีน ลองคิดดูว่าคนเป็นพันล้าน ถ้าจุดทุกบ้านแล้วจะขนาดไหน ? แต่ปักกิ่งนี้แก้ยากเพราะว่าใกล้ทะเลทราย ถึงเวลาพายุทรายก็พัดมา เขาพยายามที่จะปลูกต้นไม้เพื่อที่จะชิงพื้นที่ทะเลทรายคืนมา แต่ก็ไม่ค่อยจะไหว เพราะว่าเวลาทรายพัดมา ต้นไม้ไม่ทันจะสูงก็โดนกลบหมด
ตอนนี้เขามีการทำแผ่นตั้งเป็นแนว พอทรายมาแล้วก็จะเหินข้ามไป ต้องค่อย ๆ หาวิธีแก้ไขไป แต่ถ้าหากดูอย่างพม่าแล้ว พม่าแก้ปัญหาเรื่องของพื้นที่กึ่งทะเลทราย ปลูกอะไรก็ไม่งาม แต่ไปงามที่ต้นตาล อาจจะเป็นไปได้ว่าต้นตาลคล้าย ๆ กับอินทผาลัมที่โตในทะเลทราย อาตมาเห็นเขาปลูกอย่างอื่นนี่แคระ ๆ แกร็น ๆ หงิก ๆ ง่อย ๆ หมด แต่ต้นตาลกลับโตเอา ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 08:35 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
ถาม : (การฉีดละอองน้ำ)
ตอบ : ถ้าหากว่าจะฉีดน้ำให้ได้ผลต้องฉีดที่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จึงแก้ได้ไม่ถึง ๕% หรือ ๑๐% มีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องจำกัดจำนวนรถ ขณะเดียวกันพวกการก่อสร้างต่าง ๆ ก็ต้องบังคับให้มีการกันฝุ่น ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเราอยู่ ๆ มลพิษจะทวีพรวดพราดไปถึงระดับติด ๑ ใน ๑๐ ของโลก อาจจะเป็นเพราะว่า เขาระดมก่อสร้างทางรถไฟฟ้าพร้อม ๆ กันก็เป็นได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 08:36 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กบ้านเราไม่เห็นคุณค่าของเรื่องการเรียน รู้สึกว่าเสียเวลาด้วยซ้ำไป ต้องโทษว่า Mark Zuckerberg ทำให้เป็นอย่างนี้ ก็คือคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน ดันรวยอื้อเป็นอันดับหนึ่งของโลก
สังคมบ้านเราเป็นสังคมฉาบฉวย เขาเห็นว่าถ้ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ จึงกลายเป็นว่าทุกคนเอาเงินเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาความรู้ ไม่ได้เอาคุณธรรมเป็นใหญ่ เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ของเรานี่แหละ ประเภทตาสี ตาสา ยายมี ยายมา เข้าป่าเก็บเห็ดก็ติดคุก ส่วนคนที่ประเภทยิงเสือจนจะหมดป่าอยู่แล้ว ป่านนี้ก็ยังไม่เห็นตัดสินคดีสักทีหนึ่ง คราวนี้เห็นหรือยังว่าการบังคับใช้กฎหมายของเราเป็น ๒ มาตรฐานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงทำให้เกิดภาพที่ให้เด็กจำว่า ถ้ารวยทำอะไรก็ได้ กลายเป็นสังคมบูชาเงิน กฎหมายนั้นดี สำคัญที่ผู้บังคับใช้ต่างหาก บ้านเรากฎหมายดีแค่ไหนก็กลายเป็นเครื่องมือหาเงิน ประเทศไหน ๆ ก็มีคนดีคนชั่วปะปนกัน เพียงแต่ว่าอย่างยุโรปอเมริกานั้น การบังคับใช้กฎหมายของเขาเข้มงวดกว่าบ้านเรา แล้วบุคคลของเขาที่มีจริยธรรมนั้นยังมีมาก บ้านเราขอให้มีเงินก็ทำได้ทุกอย่าง เหมือนกับที่เขาว่า ‘แข็งดั่งเหล็ก เงินง้าง อ่อนได้ดั่งใจ’ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้ายังมี รัก โลภ โกรธ หลง ก็เสร็จหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 08:38 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยได้ยินเด็กที่ได้สัญชาติอเมริกันบอกว่า คนไทยขาดความภูมิใจในชาติตัวเองอย่างแรง เพราะฉะนั้นการตั้งชื่อชื่อร้าน การตั้งชื่อสถานที่ มักจะใช้ภาษาอังกฤษ
แต่คราวนี้การที่จะตั้งชื่อให้น่าสนใจและติดตลาด คำนั้นต้องติดหูเขาก่อน ถ้าอย่างของประเทศไทย ถ้าจะตั้งยี่ห้อหรือว่าแบรนด์ใหม่ อาจจะประมาณว่าต้มยำกุ้ง ฝรั่งเขาจะรู้จักมากกว่า ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ซึ่งมียี่ห้อสินค้าที่ติดตลาดอยู่ตอนนี้ และเป็นที่ยอมรับกันค่อนข้างมาก พอบอกว่าซัมซุง แดวู ฮุนได เขาก็รู้ว่าเป็นของเกาหลี ถ้าหากว่าเป็น Panasonic เขาก็รู้ว่าเป็นของญี่ปุ่น เป็นต้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 09:46 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "หวยหลวงพ่อคูณออกตรง ๆ ๐๔ น่าจะรวยกันครึ่งประเทศเลย ถ้าหากว่ารัฐบาลบอกว่า GDP ขึ้น ขอให้รู้ว่าเป็นฝีมือของหลวงพ่อคูณ ไม่ใช่ฝีมือรัฐบาลหรอก เห็นเจ้าของแผงจำหน่ายวัตถุมงคลบอกว่า วันหนึ่งขายเหรียญหลวงพ่อคูณได้เป็นพันเหรียญเลย พันเหรียญนี้รับประกันว่าไม่ใช่เหรียญละ ๑๐๐ บาท
ถนนทุกสายมุ่งสู่พุทธมณฑลขอนแก่น เราจะเห็นว่าบุคคลที่ตั้งใจสร้างความดีจริง ๆ อย่างหลวงพ่อคูณ สิ่งที่ท่านทำเป็นความจริงแท้ออกจากใจ ตั้งใจสงเคราะห์ผู้อื่น ถึงขนาดบอกว่าจะมาเกิดอีกเพื่อสร้างบารมีต่อ อาตมาเคยเข้าไปในห้องของท่าน...ไม่มีอะไรเลย เตียงยังไม่มีเลย ทำไมนิสัยเหมือนอาตมาก็ไม่รู้ ? มีแต่เสื่อปูกับพื้น หมอนใบหนึ่ง ใช้จีวรเป็นผ้าห่ม ไปถึงตี ๕ กว่า หลวงพ่อออกมาเดินดูรอบวัด สมัยก่อนเวลาอาตมาไปกิจนิมนต์ทางภาคอีสาน ขนเครื่องสังฆทานกลับมาเป็นคันรถ แวะวัดบ้านไร่ถวายหลวงพ่อคูณต่อ ท่านเอาไปทำประโยชน์แน่นอน เขาเปิดตัวเลขการช่วยเหลือของหลวงพ่อคูณ อาตมายอมรับว่าไม่มีทางทาบท่านได้แม้แต่เสี้ยว หลวงพ่อคูณช่วยสถานที่ต่าง ๆ ไปเป็นเงิน ๖,๐๐๐ กว่าล้านบาท"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 09:47 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
"พระบ้านนอก ท่านบอกท่านพูดไม่เป็น ท่านเทศน์ไม่เป็น ขอให้ทุกคนตั้งใจรักษาศีลก็พอแล้ว ถึงเวลาก็พูดมึงพูดกู แต่นั่นก็คือน้ำใสใจจริงของท่าน โดยเฉพาะท่านั่งเป็นเอกลักษณ์มาก นั่งยอง ๆ อาตมาอยากจะบอกว่าพระพม่านั่งยอง ๆ กันทั้งบ้านทั้งเมือง...ไม่เป็นเอกลักษณ์ บ้านเรามีหลวงพ่อคูณนั่งยอง ๆ ท่านเดียว...นับเป็นเอกลักษณ์
อาตมาก็สงสัย ไม่ว่าจะพิธีกรรมทางศาสนาอะไรพระพม่านั่งยองหมด เขาบอกว่านี่แหละคือคำว่า นั่งกระโหย่ง ในภาษาบาลี ส่วนนั่งกระโหย่งในภาษาบาลีของเรา เราถือว่านั่งคุกเข่า ก็เลยกลายเป็นความนิยมที่ต่างกัน ถึงเวลาถ้าเห็นพระพม่าไหว้พระสวดมนต์แล้วนั่งยอง ๆ กันทั้งวัดก็ไม่ต้องแปลกใจ นั่นคือการนั่งที่เขาบอกว่าถูกต้อง ส่วนนั่งคุกเข่าแบบพระไทยนี่ยังไม่ถูกตามบาลี เขาว่าอย่างนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 09:48 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันสวดพระคาถาเงินล้าน ญาติโยมถวายทองร่วมหล่อพระกองพะเนิน อาตมาก็ต้องรีบวิ่งไปงานศพของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ ที่สุไหงปาดี ก็ฝากย่ามที่ใส่ทองกลับมาก่อน พอขึ้นจากสุไหงปาดีมาก็ไปต่อที่เชียงใหม่ เชียงราย กลับมาหมดสภาพอยู่ ๒ วัน แล้วค่อยมานั่งลงบัญชี ทองของญาติโยมก็กองรออยู่นั่นแหละ
อยากจะบอกว่าญาติโยมทำบุญกันมาเยอะมาก แต่ทำกันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ได้ดูความเหมาะสม อย่างเช่นว่าอาตมาไปที่สุไหงปาดี เอาปัจจัยไปช่วยงานศพเขา ถวายหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส แล้วคนโน้นก็มาถวายเงินสร้างพระทองคำ คนนี้มาถวายเงินสร้างพระทองคำ คนนั้นมาถวายทองสร้างพระทองคำ แล้วอยู่ในงานของเขา อาตมาก็ต้องเก็บกลับมา ดูพิลึก ๆ อยู่ ถ้าหากว่าจะทำอะไรให้ดูสถานที่ด้วย เพราะว่าส่วนใหญ่อยู่ที่ไหนอาตมารับมาก็จะให้ที่นั่นไว้ คราวนี้พอไประบุจำเพาะเจาะจง เอาไว้ที่นั่นไม่ได้ก็ต้องเอากลับ โยมอาจจะรู้สึกว่าดี แต่สำหรับอาตมาแล้วรู้สึกว่าอึดอัดใจมาก เพราะว่าปกติไปแล้วมักจะกลับตัวเปล่า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 16:39 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
"อีกไม่กี่วันก็มีงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีกับเป่ายันต์เกราะเพชร ต้องบอกว่าปีนี้มีเสาร์ ๕ สองครั้ง อยู่ในวาระที่ผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยสถานการณ์ประเทศชาติ ต้องเรียกว่าประคับประคองให้อยู่ในลู่ในทาง ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะได้สักเท่าไร เพราะถ้าว่ากันตามฤกษ์ผานาที การโคจรของดวงดาวแล้ว ต้องพังบรรลัยกันไปข้างหนึ่ง..!
เมื่อเสร็จจากงานเป่ายันต์ฯ ก็ต้องวิ่งตาลีตาเหลือกไปวัดท่าซุง เพราะว่าวันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๑๐ มีงานเผาศพหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ ซึ่งอาตมาต้องไปสวดพุทธมนต์ เวลาตามฎีกาก็คือ ๑๐ โมง แต่มีหลวงพ่อพระเทพปฏิภาณมุนีเทศน์ตอน ๙ โมงครึ่ง ถ้าพระผู้ใหญ่เทศน์อยู่ แล้วเราเดินดุ่ม ๆ เข้าไปก็ดูไม่ดี ก็แปลว่าจะต้องไปให้เร็วกว่าท่าน น่าจะเป็นอะไรที่เรียกว่าหลุดเป็นชิ้น ๆ ไม่เป็นไร...เดี๋ยวกลับมาแล้วค่อยประกอบร่างกันใหม่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 09:52 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
"ถัดไปก็ช่วงมาฆบูชา จัดบวชปฏิบัติธรรมและอุปสมบทหมู่ แล้วก็ยังมีงานปิดทองรอยพระพุทธบาท พร้อมกับถนนสายวัฒนธรรม ให้แต่ละชุมชนซึ่งเป็นชุมชนคุณธรรมในเครือข่ายของวัดท่าขนุน เอาสินค้าในชุมชนของตัวเองมาขาย เปิดโอกาสให้ ๔ วัน แต่คาดว่าวันแรกก็น่าจะหมดไปมากแล้ว
ส่วนใหญ่แล้วพวกสินค้าจะสู้นักท่องเที่ยวไม่ไหว เขาทำกันอยู่ในลักษณะของอุตสาหกรรมในครัวเรือน หรืออุตสาหกรรมเล็ก ๆ พอต้องมาตั้งร้านขายจริง ๆ ก็มีแค่คนละนิดคนละหน่อย หลายต่อหลายอย่างก็เป็นงานฝีมือที่หาคนทำได้ยากแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ท่านวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรีมาปรึกษาว่า จะทำโครงการหางบประมาณสนับสนุนให้คนกะเหรี่ยงมีรายได้เพิ่มขึ้น อาตมาบอกว่าเลิกคิดไปได้เลย คนกะเหรี่ยงมักน้อย สันโดษ และพอเพียงยิ่งกว่าพระเสียอีก คือถ้ามีข้าวพอกินก็แปลว่าหยุดทำงานทุกอย่าง...พอแค่นั้น อาตมาซื้อด้ายให้ไปทอผ้า ขายผ้าได้มีเงินใช้..เขาก็พอแล้ว..ไม่ทำต่อแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องของการที่จะให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในชุมชน เป็นการรบกวนวิถีชีวิตของเขามาก พวกกะเหรี่ยงมีนิสัยรักสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย โดยเฉพาะความวุ่นวายจากคนภายนอก พอถึงเวลาชุมชนเริ่มเติบโตขึ้น นักท่องเที่ยวมีมากขึ้น คนต่างบ้านต่างเมืองเข้าไปมากขึ้น ก็ย้ายหนีลึกเข้าไปเรื่อย เหมือนกับกลัวความเจริญ จนกระทั่งปัจจุบันไม่มีที่ให้หนีแล้ว แต่นิสัยเขาก็ยังไม่เปลี่ยน ในเมื่อนิสัยไม่เปลี่ยน ถ้าเราจัดโครงการอะไรลงไปมาก ทำให้นักท่องเที่ยวเฮไปมาก ๆ เขาก็คงจะอึดอัดใจ มีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุข"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 09:54 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
"เมื่อคุยกันไปแล้วท่านวัฒนธรรมก็นั่งกุมหัวเหมือนกัน ถามว่าแล้วจะช่วยเขาอย่างไร ? อาตมาก็บอกท่านว่า ถ้าเราเข้าใจนิสัยของเขาก็พอที่จะช่วยได้ ก็คืออย่าไปหวังความเจริญก้าวหน้าและการทำงานที่ต่อเนื่อง ถ้าไปหวังลักษณะอย่างนั้นไปไม่รอดอย่างแน่นอน ถ้าคิดจะลงทุนทำโครงการอะไรให้ลงทุนกับคนรุ่นใหม่ เด็กหนุ่มเด็กสาวรุ่นใหม่ ๆ เพราะว่าคนทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่มีการศึกษา แล้วก็เห็นโลกมากกว่ารุ่นผู้เฒ่าผู้แก่ มีความเข้าใจดีว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่จำเป็นแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 13-02-2019 เมื่อ 12:18 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เครื่องบวงสรวงวันเป่ายันต์เกราะเพชร ตั้งแต่มหาเอท่านรับภาระไป อาตมาก็เบาไปเยอะ ไม่อย่างนั้นแต่ละงวดก็ ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ บาท เดี๋ยวนี้พวกงานฝีมือจะราคาแพง โดยเฉพาะบายศรีคณะนี้ท่านทำประณีตมาก แต่ละต้นสูงท่วมหัว แล้วยิ่งทำก็ยิ่งคล่องตัว เพราะว่าสมัยก่อนกว่าที่จะทำบายศรีเสร็จก็เกือบ ๓ วัน เดี๋ยวนี้ครึ่งวันก็ได้บายศรีไหว้ครูแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2019 เมื่อ 19:30 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานทำบุญ ๕ รอบของอาตมามีการบวชพระ ๑๐๘ รูป แต่รับสมัครนาคเอาไว้ ๑๑๐ ท่าน สำรองไว้ ๒ ท่าน เผื่อว่ามีใครติดภารกิจเร่งด่วนถอนตัวไป ๒ ท่านนี้จะได้เข้าไปแทน ต้องบอกว่า ๒ ท่านนี้เป็นผู้เสียสละอย่างมาก เพราะว่าโอกาสที่จะได้บวชมีน้อยมาก แต่ก็ยังอุตส่าห์สมัครเข้ามา
ก่อนหน้านี้ทางด้านคู่สวดยังไม่พร้อม ไม่มีความคล่องตัว การบวชแต่ละครั้งก็บวชช้า เดี๋ยวนี้สามารถที่จะประกันได้ว่าชั่วโมงหนึ่งได้ไม่ต่ำกว่า ๔ ชุด ถ้า ๔ ชุดก็เท่ากับ ๑๒ รูป ชั่วโมงหนึ่งได้ ๑๒ รูป ๙ ชั่วโมง ๑๐๘ รูป...หมดพอดี เราเริ่มบวชตั้งแต่เช้า ๖ โมงครึ่งถึง ๑๐ โมงครึ่ง ๔ ชั่วโมงได้ ๔๘ รูปก็พักไปฉันเพล บางวันอาตมาก็ลากยาวเลย จนกระทั่ง ๑๑ โมงครึ่งแล้วค่อยไปฉันเพล ก็ได้เพิ่มมาอีกประมาณ ๖ รูป ช่วงเช้าจึงน่าจะอยู่ที่ ๕๔ รูป ตอนช่วงบ่ายเที่ยงครึ่งก็เริ่มลงมือ น่าจะประมาณไม่เกิน ๔ โมงเย็นหรือ ๕ โมงเย็นก็ได้พระครบถ้วน ปัจจุบันนี้ทางมหาคณิสสร ซึ่งเป็นคณะทำงานที่มีอำนาจรองลงมาจากมหาเถรสมาคม มีมติให้พระฝ่ายมหานิกายบวชแบบอุกาสะฯ ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิมมา แล้วมาโดนเปลี่ยนโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ให้บวชแบบเอสาหังฯ ซึ่งเป็นการบวชแบบพระธรรมยุต แต่ก็ยังมีบางวัดที่ยึดแบบอุกาสะฯ อยู่ เมื่อบวชแบบเอสาหังฯ กันทั้งประเทศ พอเปลี่ยนกลับมาเป็นแบบอุกาสะฯ ก็ยากแล้ว อย่างกาญจนบุรีตอนนี้ก็มีวัดท่าขนุนที่บวชแบบอุกาสะฯ เต็มรูปแบบ เพราะว่าพระอุปัชฌาย์คู่สวดบวชแบบนี้ได้หมด ส่วนวัดอื่น ๆ พระอุปัชฌาย์ฝึกซ้อมแบบอุกาสะฯ มา คู่สวดบวชแบบเอสาหังฯ มาตลอด ก็ประสาทรับประทานกันไปข้างหนึ่ง ปรับสมองกันไม่ไหว ก็ต้องบวชแบบเอสาหังฯ กันต่อไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2019 เมื่อ 02:08 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
มีโยมหลายคนเอาหน้ากากกันฝุ่นมาถวายพระอาจารย์ "หน้ากากกันฝุ่นอาตมามีมากพอที่จะเปิดร้านขายได้แล้ว ไม่ต้องซื้อเพิ่มมาอีก เพราะว่าถึงซื้อมาถวาย อาตมาก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี เนื่องจากว่าอาตมาไม่กลัวฝุ่น สมัยเป็นฆราวาสก่อนจะไปเรียนวิชาทหาร เคยทำงานอยู่ในโรงงาน เป็นช่างสีอยู่หลายปี ฝุ่นสีหนักกว่านี้อีก ดังนั้น..อากาศแบบนี้อาตมายังสบายดี สมัยนั้นเป็นทั้งฝุ่นสีด้วย เป็นทั้งกลิ่นทินเนอร์ด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-02-2019 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
ถาม : เป็นเบาหวาน ?
ตอบ : เบาหวานให้ใช้เม็ดลูกตาล ๕ เม็ด ล้างสะอาดแล้วผ่าครึ่งก็จะเป็น ๑๐ ซีก ใส่น้ำหม้อใหญ่ ประมาณหม้อเบอร์ ๓๕ ต้มเดือดแล้วกินแทนน้ำ กินสัก ๓-๔ วันแล้วรีบตรวจเลือด อย่าช้าเพราะว่าน้ำตาลลดเยอะ เดี๋ยวจะร่วง..! วันก่อนมีโยมมาถามเหมือนกันว่ากำลังท้องอยู่ แล้วอาจจะต้องเอาเด็กออกเพราะเป็นเบาหวาน อาตมาเลยบอกให้ไปกิน ๓ วันแล้วไปให้หมอตรวจเลือด เขาบอกจาก ๔๐๐ เหลือ ๒๐๐ ทำอย่างไรต่อ ? จึงบอกกินอีก ๒ วันแล้วรีบไปตรวจเลือด เพราะไม่อย่างนั้นน้ำตาลลดมากเดี๋ยวตาย เป็นอะไรที่ลดน้ำตาลในเลือดได้เร็วมาก แต่ลดแรงน่ากลัว ถ้าคนกินไม่รู้จักบันยะบันยัง กินเกินคำสั่งเดี๋ยวจะตายเอา ถาม : แสดงว่ากินอย่างนี้เราก็ต้องไปลดอาหารคุมด้วย ? ตอบ : ถึงเวลาถ้าเราไม่ไปกินของแสลงใหม่ก็คงไม่ขึ้นหรอก แต่ว่าลดน่ากลัว ไม่กล้าแนะนำใคร เพราะว่าพวกที่ชอบนอกคอกมีเยอะ แต่ว่ารายนี้ที่แนะนำไปเพราะว่าเขาท้องแล้วต้องผ่า ถาม : จาวข้างในไม่ต้องใช้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ผ่าลงไปทั้งอย่างนั้นแหละ ถาม : ใยไม่ต้องเอา ? ตอบ : ล้างสะอาดแล้วก็ผ่า ใส่ลงไปเถอะ ใยอะไรก็ติดอยู่อย่างนั้นแหละ ล้างหน่อยก็จะขาว ๆ ซีด ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2019 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนนี้เราต้องกินอะไรจะได้ไม่เป็นภูมิแพ้ ?
ตอบ : ไม่ให้เป็นภูมิแพ้ก็เลิกกินนมวัว ภูมิแพ้ในเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นเพราะแพ้นม สาเหตุของภูมิแพ้เกิดจากแพ้นมก่อน บางคนอาการไม่ได้ออกหนัก ไม่ได้ท้องเสีย แต่ลำไส้จะค่อย ๆ บวม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2019 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
ถาม : ฝุ่นบ้านเรานี่เยอะเป็นปกติหรือตามธรรมชาติคะ ?
ตอบ : ตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติของบ้านเราเป็นอย่างนี้เอง ...(หัวเราะ)... ถาม : เห็นในกาญจนบุรี พื้นที่สีแดงเลย ? ตอบ : ไม่รู้สิ ทองผาภูมิยังไม่รู้สึกอะไร โดยเฉพาะปีนี้ไม่มีไฟไหม้ ก็เลยยังเฉย ๆ กันอยู่ กาญจนบุรีที่แดงก็น่าจะเป็นพวกเผาอ้อย เพราะว่าฤดูนี้เป็นฤดูหีบอ้อย ส่วนใหญ่ที่เผาก็คือโรงงานจ้างเผา น่าตายมาก..! เพราะว่าอ้อยโดนเผาแล้วไม่สามารถที่จะไปไกลได้ ไปที่ไกล ๆ ไม่ได้เพราะว่าจะเปรี้ยวหรือบูดเสียก่อน ต้องรีบเอาเข้าโรงงานใกล้ ๆ โรงงานที่นครสวรรค์ เขาให้คนขับตันละ ๕๐ บาท แล้วคันหนึ่งอย่างต่ำก็ ๔๐ ตัน คุณเอาไปที่อื่นหมด เดี๋ยวผมไม่มี เพราะฉะนั้น...ก็จ้างเผาไปเลย สมัยเด็ก ๆ ก็มีคนสอนให้เผาไร่อ้อย แต่อาตมายังไม่ชั่วพอเลยเผาไม่ได้ เอาไม้ขีดสัก ๔-๕ ก้านพันกับก้านธูป แล้วก็จุดธูปเอาไปปักไว้ใกล้ ๆ ใบอ้อยแห้ง แล้วคุณจะไปไหนก็ไป พอหัวไม้ขีดประทุไฟก็ติดใบอ้อยแห้งเลย แล้วหลักฐานทุกอย่างก็หมดเพราะว่าโดนไฟไหม้ นี่สอนวิธีทำชั่วให้แล้วนะ...! ถาม : อย่างนี้วิบากเป็นอะไร ? ตอบ : ถึงเวลาทรัพย์สินตัวเองก็ไม่เหลือ ถ้าไปทำให้คนหรือสัตว์ตายก็พลอยจะโดนไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2019 เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|