| 
	|||||||
| เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป | 
![]()  | 
	
	
| 
		 | 
	คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
		 
			 
			#21  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ผมอ่านเรื่องอาฬวกยักษ์ ยักษ์ท่านนี้มีอาวุธประจำกาย คือผ้าพันคอที่มีอานุภาพทำลายมหาศาลยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์อีก ผมสงสัยว่าในโลกสวรรค์ เทวดา พรหม  ท่านเหล่านี้มีอาวุธประจำกายไว้ทำอะไรหรือครับ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : มีเอาไว้ยืด...! เป็นไปตามบุญบารมีของตน จะเอาไปทำอะไรใครก็ไม่ได้ เพราะถ้าหากทำร้ายผู้อื่นด้วยโทสะ ตนเองก็จะสูญเสียกายทิพย์เพราะไฟคือโทสะเผาผลาญไป พูดง่าย ๆ ว่าสอนให้รู้จักระงับยับยั้งใจเสียยิ่งกว่าบุคคลทั่วไป เช่น ถ้าเรามีอาวุธปืน ต้องรู้จักระงับใจของตนเอง เพราะการชักอาวุธออกมาเขาปรับโทษเท่ากับยิงแล้ว เพราะถือว่าพยายามฆ่าเท่ากัน 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2017 เมื่อ 21:46  | 
| สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#22  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ถ้าจะจัดบวงสรวงในห้องที่อยู่ในร่มใต้ชายคาได้หรือไม่คะ  เพราะพื้นที่ไม่อำนวยให้จัดกลางแจ้งค่ะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ใครเป็นคนบอกว่าต้องจัดกลางแจ้ง ? ถาม : จัดในร่มได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : วัดท่าขนุนจัดบวงสรวงในศาลา ในร่มหรือเปล่า ? 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2017 เมื่อ 20:25  | 
| สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#23  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : วัดแต่ละวัดสามารถจัดการองค์กฐินให้ตนเองหรือให้วัดอื่นได้หรือไม่ครับ ?  
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เรื่องของกฐินใครจะเป็นคนจัดก็ได้ แต่ต้องเป็นเจตนารมณ์ของเจ้าภาพ ไม่ใช่พระวัดนั้นไปขอเขามา ถ้าไปขอจากเขาเมื่อไร แปลว่าอานิสงส์กฐินไม่มี ถ้าภาษาบาลีเรียกว่า กฐินเดาะ ไม่มีอานิสงส์ตั้งแต่แรกแล้ว แปลว่าทำบุญก็ได้บุญไปเฉย ๆ ส่วนพระไม่ได้อานิสงส์อะไรเลย ถาม : พระในวัดสามารถร่วมบุญกฐินในวัดตนเองได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : ทำไปเลย อย่าทำน้อยก็แล้วกัน...! ถาม : การจัดหากิจกรรมเพื่อหารายได้เป็นกฐิน ถวายให้วัดตนเองทำได้ไหมครับ เช่น การสร้างวัตถุมงคลให้เช่าบูชา นำรายได้เข้ากองกฐิน ? ตอบ : ดูด้วยว่าเจตนาแต่แรกที่ทำเช่นนั้นเป็นของใคร ถ้าเจ้าอาวาสตั้งใจทำเป็นกฐินก็ได้ เพราะถือว่าท่านเป็นเจ้าภาพเอง แต่ถ้าเราเองอยากจะทำบุญกฐิน แล้วไปขอให้เจ้าอาวาสออกวัตถุมงคล อานิสงส์กฐินของเจ้าภาพก็จะยิ่งน้อยมากเท่านั้น เรียกง่าย ๆ ว่า อย่าไปใช้พระหาประโยชน์ให้กับเรา 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2017 เมื่อ 20:27  | 
| สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#24  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : โยมตั้งใจอุปัฏฐากพระพุทธศาสนา  ช่วยรักษาศาสนสถานที่เจ้าของที่ดินตั้งใจถวายเพื่อก่อตั้งวัด  แต่เกิดเรื่องราว  ยังไม่ได้เป็นวัดตามระเบียบของมหาเถรสมาคม  วันที่ ๒๐ นี้จะมีการประกาศผลว่าสิ่งที่ปลูกสร้างที่พักสงฆ์จะโดนยึดไปหรือไม่เจ้าคะ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : โดนแน่ ๆ เจ้าค่ะ..! เรื่องของการสร้างวัดเขามีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ดินนั้นต้องมีสิทธิครอบครองอย่างชัดเจน และเจ้าของทำหนังสือสัญญาหรือเอกสารยกให้กับทางวัดแล้ว ถ้าไม่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่มีอะไรเลย โดนเขายึดคืนไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-07-2017 เมื่อ 20:28  | 
| สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#25  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : เหตุใดที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์เรื่องการตัดเข้ามรรคผลนิพพานโดยตรง  แต่ผู้รับฟังกลับบรรลุอรหันต์ได้เป็นจำนวนมาก ? อ้างอิงจากตอนที่พระพุทธเจ้าหนีพระภิกษุสองฝ่ายที่ทะเลาะกันหนีไปอยู่ที่ป่าเลไลยก์  และพระอานนท์พร้อมทั้งสาวก ๕๐๐ รูปไปตาม  หลังเทศน์เรื่องการคบมิตรแล้วทำให้พระภิกษุ ๕๐๐ รูปบรรลุอรหัตผล ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เพราะว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นท่านฉลาด ส่วนเราโง่ก็เลยไม่บรรลุเสียที...! ในเรื่องของเทศนาจะต้องส่งใจตามธรรมไป โดยเฉพาะเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไร้สาระแก่นสารของการเกิดมาในโลกนี้ ถ้าหากปัญญาถึง สามารถรู้เห็นได้อย่างชัดเจน สภาพจิตถอนจากการยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ไม่ใช่ว่าต้องป้อนไปจนกระทั่งถึงปาก ต่อให้ป้อนถึงปาก ถ้าเราไม่อ้าปาก ก็ไม่สามารถที่จะกินข้าวนั้นได้อยู่ดี 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-07-2017 เมื่อ 17:32  | 
| สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#26  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : เวลาหนูจับภาพพระแล้วยกจิตขึ้นพระนิพพาน  หนูเห็นรูปพระพุทธเจ้า แต่มีคนบอกว่าหนูยังไปไม่ถึงพระนิพพาน  กราบเรียนว่าหนูจะมั่นใจได้อย่างไรคะว่าหนูยกจิตขึ้นถึงพระนิพพานแล้ว  ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ถ้าเราเห็นแปลว่าเรายังอยู่ที่เดิม ถ้ารู้สึกว่าอยู่ในสถานที่นั้นแปลว่าเราไปถึงแล้ว 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 17:46  | 
| สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#27  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องของการปฏิบัติธรรม  สิ่งที่เพิ่งเข้าถึงใหม่ ๆ จะเหมือนกับได้อะไรเยอะแยะมหาศาล เพราะเป็นอารมณ์ใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าถึง   แต่พอซักซ้อมทบทวนไปสักระยะหนึ่ง   มีความเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว  ก็จะเข้าใจว่าที่เราทำได้นั้นมีแค่นิดเดียวเอง   
		
		
		
		
		
		
			ในส่วนนี้ทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปใหญ่โตว่า ตนเองเข้าถึงมรรคผลแล้วอย่างนั้น เข้าถึงสมาบัติแล้วอย่างนี้ ความจริงได้แค่อุปจารสมาธิ ยังไม่ทันเข้าถึงปฐมฌานเลยก็มี" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 18:11  | 
| สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#28  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เมื่อวันงานผลไม้ของดีทองผาภูมิ ๒๒-๒๖  มิถุนายนที่ผ่านมา  เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเข้าไปออกร้านในงานได้  มีอยู่ร้านหนึ่งไปคั้นน้ำผึ้งสด ๆ ตรงนั้นเลย  ก็ยังมีคนไม่ไว้ใจ  บอกว่าขอซื้อที่เป็นรังเลยได้ไหม  ? เจ้าของร้านบอกว่ายินดี  แต่ขายอีกราคาหนึ่ง    
		
		
		
		
		
		
			อาตมาขอยืนยันว่า ต่อให้ซื้อรังผึ้งมาก็ไม่แน่ว่าจะได้น้ำผึ้งแท้ พวกเรารู้จักฝีมือคนน้อยเกินไป เขาใช้เข็มฉีดยาดูดเอาน้ำผึ้งแท้ไปใส่ขวดนานแล้ว ที่ฉีดเข้าไปนั่นเป็นแค่น้ำตาลเคี่ยวล้วน ๆ แถมยังมีรังและตัวอ่อนให้อีกด้วย ถ้าญาติโยมอยากได้น้ำผึ้งแท้ ไม่ว่าจะเป็นผึ้งเลี้ยงหรือผึ้งจริง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำผึ้งเหมือน ๆ กัน ผึ้งเลี้ยงก็แค่เขายกกล่องไปให้หากินแค่นั้นเอง ไม่ใช่เขาเอาน้ำตาลไปเลี้ยงผึ้งเสียเมื่อไร แค่ยกหรือย้ายไปในสถานที่ซึ่งเหมาะสม อย่างเช่นตามสวนหรือไร่ อาตมาเห็นเขาเอาเข้าไปในสวนลิ้นจี่ สวนลำไย ไร่ที่ปลูกงา เวลางาออกดอกบานพร้อม ๆ กันทั้งไร่ เอารังผึ้งไปวางไว้ ผึ้งก็บินออกไปหากิน เพราะฉะนั้น...จะผึ้งเลี้ยงหรือผึ้งธรรมชาติ น้ำผึ้งก็มีคุณภาพเหมือนกัน ไม่ต้องไปเลือกหรอก...เสียเวลา ไปซื้อของ....ก็ได้ ของ....ก็ได้ ไม่ปลอมด้วย" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 20:05  | 
| สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#29  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องหวย  "การพนันจะเล่นชนะได้มา  ส่วนใหญ่ต้องเคยทำบุญแบบไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน  ไปเจอกองบุญการกุศลที่ไหนก็ควักเงินร่วมด้วยเลย  ถ้าตั้งใจทำอย่างพวกสังฆทานซึ่งพวกเรามาทำที่นี่  เกิดใหม่ก็รวยไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเล่นหวย  
		
		
		
		
		
		
			ต้องถามอาจารย์ ดร.เอ เพราะว่ารายนั้นถูกหวยทุกงวด แต่โพยหวยยาวมาก ประเภทเก็บเล็กเก็บน้อยไปเรื่อย บุญเขาทำมาทางนี้" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 20:06  | 
| สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#30  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์เล่าว่า  "สมัยพุทธกาล  พระพุทธเจ้านั่งใต้ต้นไม้บ้าง   นั่งกลางแจ้งบ้าง  ส่วนญาติโยมก็นั่งล้อมฟังธรรมกัน  
		
		
		
		
		
		
			อาตมาไปนึกถึงโยมคนหนึ่ง เจอหลวงพ่อวัดท่าซุงกำลังเดินข้ามถนน จากฝั่งวัดเก่าเพื่อไปฝั่งวัดใหม่ แกกราบกลางถนนนั่นแหละ หลวงพ่อบอกว่า "แดดกำลังร้อน พื้นถนนร้อน ๆ โยมลุกขึ้นก่อน" "ไม่ครับ นรกร้อนกว่านี้" แสดงว่าเขาไปจนชิน..! ที่พูดถึงก็คือ สมัยพุทธกาลเขาลำบากกว่าเราเยอะ รุ่นของเราสบายแล้ว มีเครื่องปรับอากาศ ส่วนรุ่นนั้นไม่มีอะไรเลย มีเพียงแต่สภาพจิตที่จดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับหลักธรรม ทำให้ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพอากาศภายนอก" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 20:08  | 
| สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#31  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์  พิมพ์ปั้น ออกสมัยที่ท่านยังอยู่วัดปากทะเล อาตมาเอาลงกระทู้คนมีเงินฯ ไปเล่น ๆ อย่างนั้นแหละ  แต่ดันมีคนเอาจริง แสดงว่ามีคนรู้จักของ เพราะว่าของจริงแพงมาก ในสนามพระคนที่อยากได้เขาให้ถึงเลขแปดหลักเลย   
		
		
		
		
		
		
			ส่วนใหญ่พวกเราดูของกันไม่ค่อยเป็น พิมพ์ปั้นนี้จะดูจากฝีมือปั้น เนื้อหามวลสาร รัก ทองและความเก่า องค์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่อาตมาเคยมีมาอยู่ที่คุณศิวาภา ไปขอดูเอาเอง องค์นั้นคนปั้นไม่ยั้งมือ ถ้าเอาผงไปปั้นองค์อื่นจะได้สององค์เลย" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 20:33  | 
| สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#32  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "งานพุทธาภิเษกที่วัดเขาวง "ท่านย่า" เตือนมาว่า   พวกเราที่เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ควรที่จะสังวรณ์ไว้ด้วย  การเข้าหาผู้ใหญ่ทั่ว ๆ ไป ก็ยังต้องมีการขออนุญาตพบก่อน  พอท่านอนุญาต เมื่อมาถึงก็ต้องแจ้งขอพบ  หลังจากนั้นท่านจึงจะพิจารณาให้เข้าพบได้หรือไม่ ? แต่พวกเราทำกับพระพุทธเจ้าเหมือนกับเป็นเพื่อนเล่นของเรา  ถึงเวลาก็ตั้งเครื่องบวงสรวงเอาไว้  นึกจะพุทธาภิเษกวัตถุมงคลเมื่อไรก็อาราธนาท่านเลย   
		
		
		
		
		
		
			ท่านบอกว่า "ใครจะมาทำให้แก ?" อาตมาก็เถียงว่า "ย่า...หลวงตาแก่แล้ว ให้คนอื่นทำงานแทน คนอื่นก็อาจจะมีการหลงลืมบ้าง" ท่านบอกว่า "ความแก่ไม่ใช่ข้ออ้าง สมัยพ่อแกอยู่ไม่ได้แก่กว่าหลวงตาหรือ ? ทำไมพ่อแกถึงไม่ลืม ถึงเวลาก็มีการขึ้นไปบอกกล่าวก่อน หลังจากนั้นก็ทำการบวงสรวงบอกกล่าวอย่างเป็นทางการ แล้วจึงอาราธนาทำพิธี เสียทีที่พ่อสอนมโนมยิทธิให้พวกแก แล้วใช้งานกันไม่เป็น ใช้งานกันไม่ถูกต้อง" ตกลงว่าแก้ตัวไม่ได้ ขนาดถามว่า "ย่าด่าผิดตัวหรือเปล่า ?" "ไม่ผิดหรอก...ถ้าไม่ด่าแกแล้วจะไปด่าใคร ไอ้พวกหูหนวกตาบอด ด่าไปไม่รู้เรื่องหรอก...!" สรุปอาตมาโดนเป็นชุดเลย" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 06-07-2017 เมื่อ 08:59  | 
| สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#33  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"พอนั่งลงตั้งใจจะออกไปกราบพระ  อ้าว...ใครมายืนชนหน้าอยู่เลย ? พอมองดี ๆ ใจหายแว้บ  ย่าใส่ชุดแดงมา  คว้าหูได้ก็หิ้วไปเลย  ถ้าเป็นสมัยก่อนก็บิดหูลากไปเลย  สรุปว่างานนี้ไม่มีข้อแก้ตัว  รับไปเต็ม ๆ  งานต่อไปไม่ต้องนิมนต์อาตมานะ กลัว..! ...(หัวเราะ)...."
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 20:36  | 
| สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#34  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"สรุปแล้วงานหลวงตา  อาตมาได้อยู่อย่างเดียว  คือ ได้หลวงพ่อเจ้าคุณดำ (พระราชสุวรรณเวที) ไปงานวันแม่ที่วัดท่าขนุน   สอบถามท่านแล้ว   ท่านบอกว่า หลังจากสิ้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้ว งานในรั้วในวังก็รู้สึกว่าน้อยลง  จะมีงานก็โน่น...ตอนเย็น อาตมาจึงสรุปว่า   "ตอนเช้าไปวัดผมก่อนก็แล้วกัน"   ไม่ใช่ว่าถึงเวลามีฎีกาด่วนขึ้นมาอีกนะ  
		
		
		
		
		
		
			ท่านถามว่าทำไมจึงต้องจัดงานวันที่ ๑๒ สิงหาคม ? กราบเรียนว่า "พ่อผมตาย ๑๒ สิงหาฯ จะให้ผมไปจัดวันไหน ?" โยมพ่อตาย ๑๒ สิงหาคม โยมแม่ตาย ๑๘ กันยายน อาตมาบอกกับญาติพี่น้องว่า จัดงานให้ครั้งเดียว จะเอาวันไหนก็เลือกเอา สรุปว่าเลือกเอา ๑๒ สิงหาคมกัน เพราะว่าเป็นวันหยุด" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 20:38  | 
| สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#35  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ให้คนอื่นจัดงานแทน  ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับ "ท่านย่า" นะ  เพราะว่าเราเป็นเจ้าของงาน   ส่งลูกน้องไปทำงานผิดพลาด เจ้านายก็ต้องรับ  ไม่ใช่ประหารชีวิตลูกน้องเซ่นความผิดพลาด..!" 
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 20:39  | 
| สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#36  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"มโนมยิทธิที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาสอนมานั้น  คุณค่าที่สำคัญที่สุด คือ รู้จักพระนิพพานได้  ไปพระนิพพานตรง   ถ้าเราจดจำอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ได้   ตอนที่เรากลับลงมาแล้วประคับประคองรักษาเอาไว้ เท่ากับว่าเราเข้าถึงอารมณ์ความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง    ถ้าสามารถทำได้บ่อย ๆ เข้า  ระยะเวลาที่เราทรงอารมณ์แบบนั้นได้ก็จะนานขึ้นไปเรื่อย ๆ  ท้ายที่สุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะเข้าถึงความหมดกิเลสไปจริง ๆ  นั่นคือเป้าหมายหลักที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตาสอนให้กับพวกเรา"  
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 21:06  | 
| สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#37  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"ส่วนเป้าหมายรองลงไปก็คือ พิสูจน์ว่าบรรดาภพภูมิต่าง ๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้นมีจริงหรือไม่   ? ดูว่าผลของกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำมาจะส่งผลอย่างไร   ? ถ้าเห็นชัดเจนขนาดนั้นแล้วยังเลือกที่จะทำชั่ว ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรแล้ว 
		
		
		
		
		
		
			แต่พวกเรามักจะเอาไปใช้ผิด ก็คือไประลึกชาติว่าคนโน้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็เกิดมาลำบากอยู่อย่างนี้ แต่ก็ไม่เข็ด แถมไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่อีกต่างหาก ที่อาตมาเคยเปรียบว่า เราลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ แทนที่จะรีบว่ายขึ้นฝั่ง กลับไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จมน้ำตายกันทั้งหมดนั่นแหละ..!" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2017 เมื่อ 21:07  | 
| สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#38  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			 "สาเหตุที่อาตมาไม่สอนมโนยิทธิให้กับใคร ยกเว้นว่าติดขัดแล้วมาสอบถามได้  ก็เพราะกลัวว่าพวกเราจะเอาไปใช้ผิด ๆ ในปัจจุบันนี้เท่าที่เห็น ร้อยละ ๙๙ ใช้กันผิดหมด แม้กระทั่งอาตมาเอง ก็เกือบจะหลงทางไปเป็นหมอดูอยู่แล้ว   
		
		
		
		
		
		
			ถามว่าการเป็นหมอดูดีหรือไม่ ? ดี...แต่เป็นขี้ข้าชาวบ้าน ถ้าคิดจะซักซ้อมมโนมยิทธิให้ดี มีวิธีที่ดีกว่านั้นเยอะแยะ การเป็นหมอดูต้องไปยุ่งกับกรรมชาวบ้าน ถ้าเราไม่เข้าถึงยถากัมมุตาญาณจริง ๆ มีสิทธิ์ที่จะเดี้ยงได้ เพราะกรรมชาวบ้านบางคน ก็หนักเกินกว่าที่เราจะควรไปยุ่งด้วย บุคคลที่ได้มโนมยิทธิแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ต้องซักซ้อมให้ชัดเจนเหมือนกับตาเห็น และจะยุ่งเกี่ยวกับคนรอบข้างไม่ได้ เพราะไปยุ่งเกี่ยวเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น สภาพจิตก็จะเฝือ เพราะความผ่องใสหมดไป ความชัดเจนก็จะไม่มี แต่พวกเราก็ชอบกันจัง...ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน บางคนก็เอาไปใช้ประโยชน์ในด้านผิดอีกต่างหาก เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่มีคนเอาถาดทองคำมีค่าแสนกหาปณะไปให้สุนัขจิ้งจอกเยี่ยวรด ก็คือเอาสิ่งที่พระองค์ท่านตรัสสอนไปใช้ในทางที่ผิด ๆ" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2017 เมื่อ 20:08  | 
| สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#39  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			"อาตมาเล็งดูแล้วว่า  ขนาดตัวเราเองค่อนข้างจะรู้ตัวเร็ว  ผิดพลาดอะไรก็แก้ไขได้เร็ว  ก็ยังไปติดอยู่ตรงนี้ถึงสามปีเศษ ๆ  เวลาไปดูอะไรให้ใครเขาชมแล้วก็ฟู  อยากจะได้รับคำชมอีก  ก็เที่ยวไปเป็นขี้ข้ารับใช้เขาอีก  คำพูดประเภท  "รู้ได้ชัดเจนเหลือเกิน"  "เหมือนกับตาเห็นเลย"   "ทำไมแจ่มใสอย่างนี้"    ฟังแล้วฟูฟ่อง  ตัวจะลอย   หารู้ไม่ว่าตายตอนนั้นก็ไม่ได้ไปพระนิพพานอย่างที่ต้องการหรอก  
		
		
		
		
		
		
			พอได้สติขึ้นมาก็ทิ้งเรื่องหมอดูหมดเกลี้ยงเลย เลิกดูกันที แต่ถ้าไม่หลง ไม่พลาด ก็ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน บางทีเราบอกคนอื่นเขายังไม่รู้ตัว บอกไปก็เท่านั้น ฟังแล้วก็ผ่านหูไปเฉย ๆ จนกว่าจะเจ็บจนพอนั่นแหละ จึงจะรู้สึกตัว อาจารย์เอเจอรุ่นหลัง ๆ แล้วรู้สึกเบื่อบ้างไหม ? แต่ละคนเก่งฉิ..หายเลย อาตมาขอยืนยันว่าใช้คำพูดถูกต้องนะ ...(หัวเราะ)... ไม่ได้เก่งแล้วดีหรอก" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2017 เมื่อ 20:10  | 
| สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#40  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : (ถามเรื่องลูกที่จะเกิด) 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : อันนี้คงต้องไปถามหมอดูจะได้เสียสตางค์ต่อไป เรื่องแบบนี้อาตมาไม่รับรู้หรอก ถาม : (ลูกหลง) ตอบ : ทำไมถึงเรียกว่าลูกหลง ? ลูกหลง หมายความว่า เคยมีลูกแล้ว เวลาผ่านไปนาน แล้วอยู่ ๆ ก็มีโผล่มาใหม่ นี่เขาเรียกว่าลูกหลง โยมใช้คำพูดผิดนะสิ ถึงได้ถามว่าทำไมเรียกว่าลูกหลง ? ถาม : ทำไมเขาจึงมาเกิดกับเรา ? ตอบ : ก็ถือว่าเป็นบุญของเขาและเราที่เคยหนุนเสริมกันมา มาแล้วจะทำให้เราเจริญรุ่งเรืองก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นดูแลให้ดี ๆ ถาม : (ไม่ชัด) ตอบ : ไปตรวจให้ดี ๆ ก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ เครียดขึ้นมาประจำเดือนหาย ก็ไปตกใจว่ามีลูกเดี๋ยวก็ยุ่งอีก ไปตรวจซ้ำดีกว่า ตอนเช้า ๆ ตื่นมาก็ฉี่ใส่ขวดเตรียมไว้ให้หมอเลย ทองผาภูมิมีอยู่ ๒ รายที่อาตมารู้จักสนิทมากเลย ทำอย่างไรเขาก็ไม่มีลูก เครียดเสียจนหายเครียดไปเอง ไม่ว่าจะวิธีหมอ วิธีพระ วิธีผีอะไร ก็ไม่มีลูกทั้งนั้น ก็คนจะไม่มี ไปนึกถึงพระโพธิราชกุมาร...ใช่ไหม ? นั่นขนาดอาราธนาพระพุทธเจ้าไปเองเลยนะ ปูผ้าขาวอธิษฐานว่า ถ้าจะมีลูกขอให้พระพุทธเจ้าเดินบนผ้าขาวนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อทิ้งหมดเลย แล้วบัญญัติศีล ๑ ข้อ ห้ามภิกษุเดินบนผ้าขาวอันชาวบ้านปูลาดไว้ให้ เพราะว่าถ้าไม่มีทิพจักขุญาณที่ใช้งานในด้านต่าง ๆ แล้ว เกิดไม่รู้เท่าทันไปเดินเข้า ก็ต้องหาลูกให้เขาให้ได้ ตัวเองไม่รู้ว่าจะโดนตัดอะไรไปบ้าง อย่าลืมว่าแรงอธิษฐานคนหนักมากนะ อาตมาเดินเลี่ยงมาหลายทีแล้ว มีคนเอาผ้าขาวปูผืนเล็ก ๆ อาตมา ก็เดินหลบซ้ายเลี่ยงขวาไปเรื่อย เขาบอกว่าอยากได้รอยเท้าไปบูชา อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องเลย...พระพุทธเจ้าห้าม" ถ้าปูไว้ตรงทางเดินก็จบเลย แต่ถ้าหากว่าตั้งใจทำให้ก็คนละเรื่องกัน เพราะว่าไม่ได้ปูให้เดิน 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-07-2017 เมื่อ 11:58  | 
| สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]()  | 
	
	
		
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
		
  | 
	
		
  |