|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : นอกจากมีปัญญาเห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้แล้ว ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือคะที่จะตัดออกจากร่างกายได้ ?
ตอบ : บางคนเห็นทุกข์แต่กำลังไม่พอก็ยังตัดไม่ได้เหมือนกัน ก็แปลว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องสมบูรณ์บริบูรณ์จริง ๆ จึงจะตัดร่างกายนี้ได้ ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่อง ก็ไม่สามารถที่จะพ้นไปได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2017 เมื่อ 17:27 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีหลายท่านยังแต่งดำอยู่ ซึ่งก็คือการไว้ทุกข์เนื่องจากการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๙
ปกติแล้วทางราชการขอให้ไว้ทุกข์เนื่องในการนี้แค่ ๑๐๐ วัน ที่เหลือแล้วแต่ความตั้งใจของแต่ละคน แต่มีประชาชนจำนวนมากที่แต่งดำหรือยังคงติดโบดำอยู่ แสดงออกถึงการไว้ทุกข์ จะว่าไปแล้วในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงตรากตรำเพื่อไพร่ฟ้าประชากรมาตลอด ๗๐ ปี การที่เราจะไว้ทุกข์ถวายพระองค์ท่านสักปี ก็เป็นเรื่องที่สมควร สมัยอาตมาเด็ก ๆ บางครอบครัวที่พ่อแม่ตายเขาไว้ทุกข์ถึง ๓ ปี ระหว่างนั้นไม่สามารถจัดงานมงคลได้ กลายเป็นว่า ถ้ารักกันชอบกันถึงขนาดหมั้นหมายกันแล้ว ก็ยังต้องรออีก ๓ ปีถึงจะแต่งงานกันได้ เขาเรียกว่า ให้พ้นทุกข์เสียก่อน อาตมาได้ยินคำว่าพ้นทุกข์ สมัยนี้ความหมายคนละอย่างกัน พ้นทุกข์ของพวกเราสมัยนี้หมายเอาการหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน พ้นทุกข์สมัยก่อนก็คือหมดเขตการไว้ทุกข์ บางคนก็เรียกว่าออกทุกข์ อะไรที่เป็นทุกข์คือสิ่งที่ต้องทน ในเมื่อเราใช้คำว่าไว้ทุกข์ จะแปลว่าต้องทนทำหรือเปล่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2017 เมื่อ 10:15 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
![]()
"ที่เขาบอกว่าไม่ควรจัดงานรื่นเริง สงกรานต์จัดเป็นงานรื่นเริงหรือเปล่า ? เห็นเขาเล่นกันเต็มที่เลย อาตมาโดนน้ำแข็งเป็นถัง คนราดไม่รู้เหมือนกันว่าเอาอะไรคิด ถึงเวลาเทโครมลงมา น้ำแข็งหลอดเต็มหน้าตักเลย
ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาเห็นการสรงน้ำของญาติโยมแล้ว อาตมารู้สึกว่าเขาห่างวัดเกินไป ถึงเวลาสรงน้ำพระพุทธรูปก็ราดตั้งแต่เศียรพระลงไปเลย การสรงน้ำพระเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัย เป็นการถวายของหอมเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ความหยาบละเอียดของกำลังใจเห็นได้ชัดมาก หลายท่านสรงน้ำถวายด้วยการรดที่พระหัตถ์ของพระพุทธรูป บางท่านก็รดที่พระอังสาคือที่บ่า แต่ว่าส่วนใหญ่ร้อยละ ๘๐-๙๐ รดที่พระเศียรคือรดหัวเลย กลัวพระพุทธรูปจะไม่เย็น...! แม้แต่คนทั่ว ๆ ไป เราก็ไม่ควรที่จะไปราดหัวเขาอยู่แล้ว นี่ราดหัวพระพุทธรูปเล่นกันสนุกสนานเฮฮา ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่อนาถมาก แสดงออกถึงความหยาบของกำลังใจ ที่ไม่ได้ดูว่าอะไรสมควรหรือไม่สมควร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2017 เมื่อ 10:20 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
![]()
"ปีนี้ที่อาตมาโดนน้ำแข็งมากเพราะว่าคนแบกไม่ใช่แม็กซีม น้องแม็กซีมเป็นวัยรุ่น กล้ามเนื้อยังไม่แข็งแรงพอ แบกหลวงพ่อแล้วรู้สึกว่าไม่ไหวก็วิ่งเลย จึงไปถึงห้องสรงเร็ว โดนราดน้อยหน่อย ปีนี้คนแบกแข็งแรงกว่า ค่อย ๆ ไป จึงโดนน้ำแข็งเสียบานเลย ซึ่งความจริงถ้าทุกคนไปรอที่รางน้ำซึ่งทางวัดจัดไว้ให้ก็หมดเรื่องไป แต่ส่วนใหญ่แล้วอยากจะสรงกันชนิดตัวต่อตัวมากกว่า ก็เลยดักราดตอนอุ้มผ่าน
ความจริงมีอยู่งานหนึ่งที่อยากจะทำ ก็คือช่วงสงกรานต์ จัดให้มีการสรงน้ำพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แต่ยังไม่มีเวลาต่อกรง จะว่าไปก็น่าอนาถ จะสรงน้ำพระต้องต่อกรง..! ไม่อย่างนั้นมีตัวอย่างที่บางวัดพระธาตุหายทั้งผอบมาแล้ว สรงน้ำเสร็จก็คว้าติดมือไปเลย ที่วัดพระบรมธาตุศรีจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ทองจัดสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุทุกปีก็ต้องต่อกรง ทำอย่างไรที่พวกเราจะไว้วางใจกันได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าของสำคัญจะสูญหาย ? จะว่าไปแล้วเรื่องของกรรมก็เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะถ้าทุกคนเห็นนรกเห็นสวรรค์ สิ่งที่เขาทั้งหลายเหล่านั้นทำก็จะไม่ได้ออกจากน้ำใสใจจริง แต่จะออกมาว่าทำดีเพราะกลัวนรก ทำดีเพราะเห็นแล้วอยากไปสวรรค์ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็กลายเป็นการบังคับให้ทำไปในตัว แต่พอไม่ให้เห็น จะให้ทำจากน้ำใสใจจริง โอกาสที่จะทำดีทำถูกก็น้อย เพราะว่าน้ำใสใจจริงของแต่ละคน ล้วนแล้วแต่พร้อมที่จะละเมิดศีลละเมิดธรรม มีบางสำนักในสมัยชุนชิวจ้านกว๋อของประเทศจีน ที่บอกว่าคนเราชั่วโดยกำเนิด จึงต้องออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมาเพื่อบีบบังคับให้อยู่ในกรอบที่ดีงาม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2017 เมื่อ 10:24 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
![]()
วันศุกร์พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางกองทุนหลวงปู่ปานบอกว่าอยากจะร่วมทำบุญด้วย จึงถวายยาจินดามณีมา ๒๐๐ ขวด บอกว่าร่วมบุญกับพระอาจารย์ด้วย เป็นชุดเดียวกับที่สร้างพระนั่นแหละ ก็เลยให้เอาไปขาย ราคาแพงหน่อย...ขวดละ ๒๐๐ บาท"
ถาม : วัดโพธิ์ผักไห่ขายขวดละ ๓๐๐ บาทค่ะ ? ตอบ : อ้าว...อาตมาไม่รู้ กลายเป็นไปตัดราคาเขา ไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาทำจำหน่ายขวดละ ๓๐๐ บาท เขาอุตส่าห์เอาไปถวายถึงวัด บอกว่าขอร่วมบุญกับพระอาจารย์ด้วย คราวที่แล้วเอาเข้าพิธีเสาร์ ๕ ไว้ ๘ กิโลกรัม เป็นอันว่าเราขายถูกกว่าเขา ๑๐๐ บาท ต้องขออภัยด้วย เพราะว่าขายเท่าไรก็ได้กำไรเท่านั้น ใครมาก่อนก็ถือว่าโชคดีไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2017 เมื่อ 10:25 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาเพิ่งจะลงไปภูเก็ตกับหาดใหญ่มา ทำงานหัวทิ่มหัวตำอยู่ทุกวัน พอปลีกตัวได้ก็รีบลงไป ปรากฏว่าญาติโยมนับวันให้ดูว่า ๒ ปีกว่าแล้วที่ไม่ได้ลงไป เล่นนับวันเลยว่าครั้งสุดท้ายไปถึงวันไหน เดือนไหน ปีไหน
คนอยู่ไกลก็เหมือนกับคนหิวข้าว ไปถึงเขาก็กอบโกยของเขาเต็มที่ พวกเราบางทีอยู่ใกล้ก็ประมาทเกินไป ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเรื่อย ๆ แต่มีอย่างหนึ่งที่สะดุดตาก็คือสนามบินภูเก็ต เจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลตั้งแต่ปากทางเข้าไป ๙๐ เปอร์เซ็นต์เป็นผู้หญิงอิสลาม เหมือนอย่างกับว่าเจ้าหน้าที่โดนเปลี่ยนเป็นผู้หญิงหมด แล้วก็คลุมผ้าฮิญาบเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เท่าที่ดูทั้งหมดเห็นมีอยู่ ๒ คนเท่านั้นที่ไม่ได้คลุม ไม่รู้ว่าเป็นอิสลามหรือเปล่า ? อาจจะเป็นคนไทย แต่ว่าที่เหลือนั้นแสดงตัวชัด ถ้าสถานที่สำคัญขนาดนั้นยังคัดเลือกแต่คนอิสลามเข้าไปทำงาน ก็แปลว่าผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่นั่นเป็นอิสลามแน่นอน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2017 เมื่อ 20:20 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
![]()
"เราต้องเห็นความดีของอิสลามอย่างหนึ่งคือ เขาสามัคคีแน่นเหนียว รักพวกรักพ้องมาก อะไรมาเขาเอาพวกของเขาไว้ก่อน ส่วนนี้เป็นส่วนที่คนไทยเราขาดมากเป็นพิเศษ ที่ขาดมากเป็นพิเศษไม่ใช่ว่าเราไม่รู้จักใช้เส้นสายเพื่อนพ้อง แต่เรามีการเลือกที่รักมักที่ชัง ส่วนเขาขอให้เป็นอิสลามเท่านั้นแหละ เขาถือว่าเป็นพวกเดียวกันหมดทั้งโลก เป็นเรื่องที่เราต้องเลียนแบบให้ได้ ถ้าเลียนแบบไม่ได้เราก็สู้เขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะว่าเรื่องความสามัคคีของเขานี่กินเราขาดเลย
อยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับพระ อาตมาก็เลยไม่อาราธนาวัตถุมงคล เดินผ่านปล่อยให้เครื่องดัง ปรากฏว่าเขายืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก อาตมาไปยืนรอให้เขาตรวจร่างกาย ท้ายที่สุดเขาก็ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ต้องตรวจ เพราะว่าทำอะไรไม่ถูก ตั้งแต่ไปจากสนามบินดอนเมืองก็ไม่มีปัญหา เดินผ่านตลอดเครื่องไม่ดัง ไปถึงที่โน่นอยากรู้ว่าถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับพระเขาจะจัดการอย่างไร ปรากฏว่าเขาก็ไม่กล้าตรวจ เพราะว่าไม่มีผู้ชายเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2017 เมื่อ 20:21 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้ามนุษย์เรายังบริโภคพลังงานอย่างไม่บันยะบันยัง ต่อไปเรื่องที่ลำบากที่สุดก็คือหาพลังงานมาป้อน ถ้าไม่มีไฟฟ้าอาตมามั่นใจว่าตัวเองอยู่ได้ แต่คนรุ่นหลังอาจจะตายกันไปเลย..!
อาตมาเคยอยู่มาในสมัยที่บ้านทั้งหลังมีตะเกียงกระป๋องดวงเดียว เทียนก็ไม่มีเพราะเทียนเป็นของแพง ต้องหัดควั่นผ้ามาทำไส้ตะเกียง หาน้ำมันมะพร้าวมาเติม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2017 เมื่อ 03:07 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปทิเบตอาตมากลัวหนาว หลวงปู่ครูบาวงศ์ท่านบอกว่า ฝนตกก็หายหนาวแล้ว อ้าว...ถ้าฝนตกหายหนาวแล้วเละเทะ ผมจะเที่ยวอย่างไร ? ก็แล้วแต่ท่านจะสงเคราะห์ เปียกก็เปียก แห้งก็แห้ง แล้วแต่ท่านจะเมตตา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2017 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไปภูเก็ตกับหาดใหญ่ ที่นั่นก็มีญาติโยมบางคนที่มีศรัทธาแต่ปัญญาน้อยทำบุญมา ที่ว่ามีศรัทธาแต่ปัญญาน้อยก็คือ หาครกกระบากสากกะเบือมาถวายท่วมหัวท่วมหูไปหมด โดยไม่ได้คิดว่าอาตมาจะขนกลับอย่างไร เดินทางไปโดยมีกระเป๋าใบเดียว ไปโดยเครื่องบิน หอบของมาถวายขนาดนั้นอาตมาคงต้องเช่าเหมาลำขนมาต่างหาก ท้ายสุดก็ต้องใช้วิธีเดิมก็คือ ให้ถวายวัดที่ใกล้ที่สุด
หลายคนคิดจะทำบุญอย่างเดียว โดยไม่ได้คิดว่าคนรับจะจัดการอย่างไรกับบุญของเขา เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ยังคิดไม่ถึง แล้วเรื่องอื่นจะไปคิดได้อย่างไร แต่ก็แก้ไม่หาย ไม่ว่าที่ไหนก็ต้องมีคนประเภทนี้ ประเภทมาถึงพร้อมกับน้ำส้มคั้น ๑๐ ขวด แล้วอาตมาจะฉันของเขาอย่างไรวะ ? น้ำส้มคั้นก็เก็บไม่ได้ด้วย ไปนึกถึงที่หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านว่า มีศรัทธาก็ต้องมีปัญญาประกอบด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2017 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
![]()
มีโยมเอาว่าน ๑๐๘ มาถวาย "ว่าน ๑๐๘ อาตมาเคยไปดูเขาหั่นตากแดด ปรากฏว่าคนหั่นคันคะเยอทรมานไปหลายคืน ส่วนใหญ่แล้วพวกว่าน ๑๐๘ เน้นทางด้านเสน่ห์เมตตามหานิยมกับคงกระพัน
ว่านบางอย่างที่เป็นประโยชน์สมัยนี้หายากแล้ว อย่างว่านม้าทอง ช่วยให้เดินทางไกลได้อึดอย่าบอกใครเลย น่าจะมีผลคล้าย ๆ กับใบกระท่อม คือทำให้คนไม่รู้สึกเหนื่อย น่าจะทำให้ประสาทชา ๆ แล้วก็ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไรทำนองนั้น สมัยอาตมาเด็ก ๆ อยากได้อะไรก็ไปหลังบ้าน ป่าดี ๆ นี่เอง มุดเข้าไปขุด ไปหา ไปตัด ไปแคะมา เดี๋ยวก็ได้แล้ว ถึงเวลาลุงหมอก็บอก “ไอ้หนู...ไปเอาช้างมา ๒ เชือก” ก็วิ่งเข้าป่าไปตัดบอระเพ็ดพุงช้าง คนโบราณเขาไม่บอกตรง ๆ เขาว่าถ้าบอกตรง ๆ บางทียารู้แล้วไม่เต็มใจจะมาก็จะหนี เขาว่าอย่างนั้น สมัยนี้ไม่ค่อยมีแล้ว หายากขึ้นไปเรื่อย ๆ วัดท่าขนุนเคยมีบอระเพ็ดมาก อาตมาให้แม่ชีช่วยถลกบอระเพ็ดไปให้ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เพราะว่าท่านจะเอาไปทำยารักษาโรคริดสีดวงทวารให้กับคนที่รู้จัก ไม่รู้ว่าแม่ชีเขาถลกอีท่าไหน สงสัยจะไปถอนรากด้วยกระมัง ? ไม่ขึ้นใหม่อีกเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2017 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
![]()
มีโยมเอามะม่วงมาถวาย แล้วถามว่ามะม่วงที่ตัวเองถวายเป็นพันธุ์อะไร "เขียวเสวยของแท้ เพียงแต่ว่าต้นหนึ่งออกไม่กี่ลูก (สามสี่ลูกเองค่ะ) ก็เลยใหญ่ขนาดนี้ ถ้าออกเยอะขนาดจะเล็กกว่านี้ อาตมาอยู่กับสวนมะม่วงมา แค่มองก็รู้แล้ว
วันก่อนมีโยมเอามะม่วงไปถวายที่วัด ปอกมาถวายตอนฉันเพล พอเข้าปากอาตมาก็บอกว่า "นี่คุณปล่อยให้เทวดาเลี้ยง ไม่ได้ดูแลเลยใช่ไหม ?" เขาถามว่าพระอาจารย์รู้ได้อย่างไร ? จึงบอกว่า "กูกินมาตลอดชีวิต รสชาติต่างกันมาก" มะม่วงที่คนดูแลก็รสชาติอย่างหนึ่ง มะม่วงประเภทที่ต้องดูแลตัวเองก็รสชาติอีกอย่างหนึ่ง เด็กรุ่นหลังแยกรสไม่ออก...แปลกมาก บางทีอาตมาก็ว่ารสชาติเป็นอย่างนี้ บอกเขาได้ แต่เขาก็แยกไม่ออก กินตรงนั้นเขาก็ยังแยกไม่ออก พอถึงเวลาแม่ครัวปอกมะม่วงมา ท่านก็หมดปัญญาแล้ว ส่วนอาตมาใส่ปากแล้วบอกว่าอันนี้หนองแซง อันนี้เขียวเสวย อันนี้น้ำดอกไม้ แต่ท่านแยกไม่ออก สรุปแล้วของท่านนั้นมะม่วงก็คือมะม่วง เวลาโยมเอาข้าวต้มมาถวายก็เหมือนกัน พอฉันข้าวต้ม เออ...อันนี้ใช้ได้ เริ่มเคี่ยวข้าวต้มมาตั้งแต่แรก ส่วนอันนี้ไม่ได้เรื่อง เป็นประเภทต้มน้ำเดือดแล้วก็เอาข้าวสุกใส่ลงไป แล้วค่อยไปเคี่ยวทีหลัง เขาก็ถามว่ารู้ได้อย่างไร ? อาตมาบอกว่ากินมาตลอดชีวิด แล้วตัวเองเคยทำด้วย...ก็รู้สิ ยังแปลกใจว่าไม่ใช่สมรรถภาพร่างกายของอาตมาดีกว่าคนอื่น หรือเป็นเพราะว่าประสบการณ์เยอะ เข้าปากไปก็รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2017 เมื่อ 15:55 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
![]()
"ก่อนนี้ที่บ้านของอาตมามีมะม่วงอยู่ ๒ ต้น ถ้าให้เด็กสมัยนี้ดูไม่มีทางรู้ว่าเป็นมะม่วงอะไร ลูกขนาดเล็กมาก จริง ๆ แล้วคือมะม่วงเขียวเสวย แต่อายุต้นกว่า ๖๐ ปี ลูกจึงเล็กลง เล็กจนไม่น่าจะใช่มะม่วงเขียวเสวย
พวกมะม่วงอื่น ๆ อย่างสมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นกัน อย่างมะม่วงตกตึก มะม่วงหัวช้าง มะม่วงตกตึกก่อนหน้านี้บางทีเขาก็เรียกว่า มะม่วงพราหมณ์ขายเมีย เป็นมะม่วงที่ต้องกินห่าม กินสุกไม่ได้ เพราะถ้าปล่อยจนสุกเนื้อรอบเมล็ดจะเหมือนกับช้ำ เขาเลยเรียกว่ามะม่วงตกตึก ต้องกินห่าม ๆ ถึงจะอร่อย ส่วนมะม่วงหัวช้างลูกใหญ่สมชื่อเลย ส่วนมะม่วงทองดำสมัยนี้ก็ไม่เคยเห็น เปลือกเป็นสีเขียวจนดำเลย แต่ปอกออกมาข้างในเนื้อจะสีเหลืองทอง เขาจึงเรียกว่ามะม่วงทองดำ ถ้าเข้าปากอาตมาก็รู้เลยว่ารสนี้คือมะม่วงทองดำ สมัยก่อนมะม่วงยอดฮิตเลยก็คือมะม่วงอกร่อง จะเป็นอกร่องทองหรืออกร่องขาวก็ได้ สมัยก่อนเขานิยมอกร่องเพราะว่ารสหวานแหลม เหมาะที่จะกินกับพวกข้าวเหนียวมูนที่รสเค็มหน่อย ๆ แต่เท่าที่กินมามะม่วงสุกที่อร่อยที่สุดต้องมะม่วงฟ้าลั่น อร่อยมาก แต่ส่วนใหญ่เขาไปกินดิบกัน มะม่วงฟ้าลั่นต้นที่บ้านของอาตมามดแดงเยอะสุด ๆ ขึ้นไปแต่ละทีต้องพกขี้เถ้าไปถังหนึ่ง รีบไปยึดกิ่งไว้ก่อน แล้วก็เอาขี้เถ้าทาบนทาล่างไว้ พอมดมาถึง เจอขี้เถ้าก็หล่น มาถึงเราไม่ได้ คราวนี้ก็เอาตะกร้อค่อย ๆ สอยมะม่วง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2017 เมื่อ 15:19 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
![]()
"เด็กสมัยหลังไม่เคยเห็นมะม่วงต้นสูง ๒๐-๓๐ เมตร เขาเห็นแต่ต้นเตี้ย ๆ พวกต้นเตี้ยนั้นเป็นพวกมาจากกิ่งตอน สมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นพวกต้นที่เกิดจากการเพาะเมล็ด
มะม่วงพื้น ๆ ของสมัยก่อนอย่างมะม่วงแก้มแดงก็หายาก อย่าว่าแต่เห็นลูกเลย เด็กสมัยนี้แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน มะม่วงแก้มแดง มะม่วงทองดำ ต้องสุกปากตะกร้อถึงจะอร่อย พอก้นเริ่มเหลือง ๆ หัวแดง ๆ ก็ได้เรื่องแล้ว ด้วยความที่บางทีก็ขี้เกียจรบกับมด อาตมาก็เลยใช้วิธีใหม่ เอาหนังสติ๊กยิงเอา ยิงตัดขั้วแล้วก็วิ่งไปรับ ต้องยิงแม่นและรับแม่นด้วย ไม่อย่างนั้นมะม่วงช้ำหมด สมัยก่อนเวลาผู้ใหญ่เขาจะปอกมะม่วงสำหรับกินกับข้าวเหนียว ต้องใช้มีดทองเหลือง มีดทองเหลืองแต่บางคนเขาเรียกมีดทองเฉย ๆ ปอกแล้วไม่ทำให้รสเปลี่ยน มีดที่เป็นเหล็ก เป็นโลหะทำให้รสเปลี่ยน เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักแล้วว่ามีดทองเป็นอย่างไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2017 เมื่อ 15:21 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
![]()
"มะม่วงงาช้างก่อนหน้านั้นเรียกว่ามะม่วงงาช้างบ้าง เรียกว่ามะม่วงแขนอ่อนบ้าง ระยะหลังเขาเรียกว่ามะม่วงหนัง เพราะว่าเปลือกหนา เหมาะที่จะส่งต่างประเทศ สมัยนี้ที่บรรดาผลไม้ต่าง ๆ ไม่หลากหลายก็เพราะการค้านี่แหละ จะต้องการเฉพาะพันธุ์ที่คนชอบ พันธุ์ที่คนไม่ชอบก็ไม่ปลูกกัน จึงสูญไปเรื่อย ๆ
มะม่วงแก้มแดงนี่เอาไว้ทำน้ำปลาหวานได้อย่างเดียว เพราะว่ารสเปรี้ยวมาก มะม่วงแก้มแดงจะกินอร่อยต้องกินสุกหรือไม่ก็ทำน้ำปลาหวาน อันนี้ต้นเป็นกิ่งตอนเหมือนกัน ต้นไม่สูง คือลักษณะลูกกับลักษณะต้นจะบอกเราได้ เหมือนกับคนโดนจำกัดอาหาร ลูกออกมาก็จะแกร็น ส่วนใหญ่ถ้าจะเก็บผลไม้สุก ให้ตัดน้ำสักอาทิตย์หนึ่งก่อนแล้วค่อยเก็บ รสจะจัดมาก ที่บ้านจะมีลำไยอยู่ ๒ ต้น ต้นใหญ่มาก ๆ ถึงเวลาก็หยุดประโคมน้ำ ทิ้งไว้ ๗-๑๐ วันแล้วค่อยเก็บ รสหวานชนิดลืมตายเลย คนกินก็ลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นเบาหวาน แต่ค้างคาวรู้ดีกว่า พอลูกเริ่มแก่ก็มากินกันกระจาย ตกเกลื่อนพื้นเป็นหมื่น ๆ ลูกเลย ตอนหลังจึงแก้โดยการเอาชะลอมใส่ พอลำไยจวนจะแก่ก็เอาชะลอมไปใส่ไว้ เวลาค้างคาวมาติดชะลอมเข้าไปกินไม่ได้ คนโบราณใช้วิธีชักตะขาบ ตะขาบก็คือกระบอกไม้ไผ่นี่แหละ เวลาดึงก็กระทบเสียงดังอีโล้งโคล้งเคล้ง ค้างคาวตกใจก็บินไปเสียหน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็กลับมาอีก เพราะรู้ว่าไล่ตามไม่ได้ พอบอกว่าไปเฝ้าสวนชักตะขาบ เด็กสมัยนี้ได้ยินก็สงสัยอีกว่าคืออะไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 15:32 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนสมัยอาตมาเด็ก ๆ ที่บ้าน เสาไม้แต่ละต้นโตเกือบโอบ แค่คานบนก็ใหญ่ประมาณบาตรแล้ว...แค่คานนะ แล้วเป็นไม้ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า มะเกลือเลือด แกร่งสุด ๆ กว่าจะกล่อมให้เป็นเสาเป็นคานได้นี่เหงื่อหยดติ๋งเลย
ส่วนใหญ่คนสมัยโน้นเขาจะกล่อมเสา ถากเสาด้วยตัวเอง ใช้ผึ่ง ใช้ขวาน แค่นั้นเอง ไม่น่าเชื่อ เขามีคำที่ว่า ถ้าลูกชายบ้านไหนถากไม้เป็นหมาเลียนี่ใคร ๆ ก็อยากได้เป็นเขย ถากไม้เป็นหมาเลียคือเรียบกริบเลย น่าจะประมาณปี ๒๕๒๑ ช่วงอาตมาเข้ากรุงเทพฯ พอกลับไปอีกทีบ้านก็หายไปแล้ว คนมาเหมาซื้อไปทั้งหลังเลย เขาต้องการพวกเสาพวกคาน เพราะว่าไม้เก่าตรง ๆ จะหายาก โดยเฉพาะพวกไม้ชิงชัน ไม้ตะเคียน ไม้มะเกลือเลือดยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ เป็นไม้เนื้อหนักแกร่งมาก ถ้าฟันผิดจังหวะมีไฟแลบด้วยนะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 15:34 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
![]()
พระที่เรียนบาลีมากราบพระอาจารย์ "พวกนี้ทุกขาปฏิปทา ชอบของยาก จึงไปเรียนบาลีกัน จริง ๆ แล้วเรียนบาลีต้องอาศัยลูกขยันอย่างเดียว ท่องกันให้หูดับตับไหม้ไปเลย ยกเว้นบางส่วนที่ต้องการความเข้าใจอย่างพวกสัมพันธ์ จะไปใช้สมองอีกทีก็คือวิเคราะห์รูปประโยค จะเป็น กาล วจนะ บท บุรุษ วาจก ปัจจัย ฯลฯ ถ้าวิเคราะห์ออกก็แปลได้ทุกประโยค แต่ถ้าวิเคราะห์ไม่ออกถึงแปลได้ก็ไม่ถูก"
ถาม : สมัยก่อนที่พระต้องเรียนบาลี ? ตอบ : สมัยก่อนบังคับ ที่บังคับก็คือเรียนตรง ๆ ในสำนักเรียน กับเรียนทางอ้อมในลักษณะคาถาอาคมกับครูบาอาจารย์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 15:35 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ขอถวายค่ายานพาหนะค่ะ (พระที่เรียนบาลี)
ตอบ : ถ้าค่ายานพาหนะต้องพอให้ท่านซื้อรถ อย่าใช้คำพูดผิด ใช้คำว่าถวายค่ารถค่าเดินทางก็ได้จ้ะ แต่ถ้าถวายค่ายานพาหนะนี่ต้องพอซื้อยานพาหนะได้ พอที่จะเข้าใจไหม ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 15:36 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เรียนบาลีนี่เป็นเปรียญหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : นั่นแหละจ้ะ ถ้าสอบผ่านก็ได้เปรียญธรรม ก็มีตั้งแต่ประโยค ๑ - ๒ พอเปรียญธรรม ๓ ประโยคก็มีคำนำหน้าว่า พระมหา มหาก็คือใหญ่ ใหญ่ด้วยความรู้ จริง ๆ แล้วประโยค ๓ ได้เปรียบกว่าประโยค ๙ ถ้าบอกว่าพระมหาอย่างเดียวไม่ห้อยท้ายว่าประโยคไหน ก็ราคาเท่ากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 15:37 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : จะมีโอกาสได้เห็นสงครามหรือไม่คะ ?
ตอบ : มีโอกาสได้เห็นอยู่แล้ว ไม่ต้องไปกังวล สมัยนี้สงครามชอบแสดงแสนยานุภาพ มีใครจำสงครามเกาะฟอล์กแลนด์ได้บ้าง ? ที่อังกฤษรบกับอาร์เจนตินา อาร์เจนตินายิงเรือรบอังกฤษจมไป ๑ ลำ ด้วยจรวดเอ็กโซเซต์ (Exocet) หลังจากนั้นไม่กี่วันจรวดเอ็กโซเซต์ผลิตไม่ทันขายเลย ใคร ๆ ก็อยากได้ แต่ดูแล้วน่าทึ่งมาก เพราะว่าทันทีที่จรวดนำวิถีวิ่งชนเรือรบ ก็มุดเข้าไปข้างในเลย แต่จริง ๆ แล้วก็คือจรวดระเบิดตัวแล้ว แต่ที่ระเบิดตัวคือส่วนหัวที่เขาเรียกว่าดินโพลง จะระเบิดสร้างความร้อนมหาศาลขึ้นมา ละลายโลหะตรงนั้นก่อน ชั่ววินาทีเดียวก็มุดเข้าไปข้างในเลย ต้องบอกว่าเรื่องฆ่ากันนี่คนเราฉลาดจริง ๆ ทันทีที่อาตมาเห็นอเมริกาทิ้งระเบิดถล่มอัฟกานิสถานแบบไม่ยั้งมือ บอกเลยว่าอเมริกาเอ็งซวยแน่ ๆ แล้ว เพราะว่าอันดับแรก แรงอัดที่ทำให้พื้นดินสะเทือน ก่อผลให้เกิดแผ่นดินไหว อันดับที่ ๒ แรงระเบิดที่ดันขึ้นข้างบน ทำให้กระแสอากาศเคลื่อน แล้วก็จริง ๆ ด้วย พอฤดูกาลถัดมาพายุแคทรีนาก็ถล่มสหรัฐฯ เละเป็นโจ๊กเลย ตัวเองทำเองแท้ ๆ ทิ้งระเบิดทางด้านเอเชีย ไปเกิดเป็นพายุทอร์นาโดทางด้านอเมริกา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2017 เมื่อ 15:39 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|