#1
|
||||
|
||||
บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน (๐๒)
บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน (๐๒) ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เห็นพวกเรามาอาตมาก็ดีใจ ปลื้มใจ เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหน ถ้าได้เห็นศรัทธาของญาติโยม อาตมาจะปลื้มใจมาก ตอนแรกก็สงสัยว่า ในแต่ละวันพระ ที่ข้างบนสวรรค์เขา พอเวลารายงานความดีของมนุษย์ที่ทำกัน ถ้าคนทำความดีมาก เทวดานางฟ้าเขาก็รื่นเริงบันเทิงใจ ตอนแรกอาตมาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดีใจกันด้วย ? แต่มาตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้ว เห็นโยมมากันเป็นจำนวนมาก ตั้งใจมาทำบุญ โดยเฉพาะปฏิบัติอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะยกจิตยกใจของเราขึ้นไปสู่ภูมิธรรมที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ พอถึงที่สุด ก็จะหลุดพ้นไปพระนิพพาน จึงดีใจว่า ญาติโยมทั้งหมด พอถึงวาระ ถึงเวลา ก็คงจะไปยังสถานที่ซึ่งตนปรารถนาได้ เพียงแต่ให้รักษาความดีนี้เอาไว้ อาตมาเองสุขภาพไม่ค่อยดี ในเมื่อสุขภาพไม่ดี ไม่แน่ใจในชีวิตตัวเอง ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร สิ่งที่ตั้งใจก็คือ ทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ไม่มีก็ช่างมัน ถ้าพวกเราวางกำลังใจลักษณะนี้ได้ ก็จะเป็นคนขยัน รู้ว่าตัวเองมีวันนี้วันเดียว แล้วถ้าเราทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุด งานการไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมก็จะสมบูรณ์ แต่ถ้าเรายังประมาทอยู่ คิดว่าเรายังไม่ตาย ความบกพร่องก็จะเกิดขึ้นตั้งแต่คิดแล้ว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยากให้พวกเราตระหนักเอาไว้ว่า เราเคยรบราฆ่าฟันกันมาหลายสิบหลายร้อยชาติแล้ว ชาติสุดท้ายนี้ให้เอากำลังใจที่ไปตีบ้านตีเมืองเขา เคยต่อสู้ป้องกันขอบขัณฑสีมาของตัวเอง หรือว่าต่อสู้เพื่อป้องกันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา ให้ใช้กำลังใจตรงจุดนี้ไปต่อสู้กับกิเลสในแบบเดียวกัน แรก ๆ เราก็แพ้เขาตลอด พอนาน ๆ ไปก็เริ่มมีชนะบ้าง พอใช้ความพยายามมากขึ้น แพ้ชนะก็จะก้ำกึ่งกัน ตอนนี้จะเป็นตอนที่สนุกที่สุด เพราะลุ้นกันว่าแต้มต่อไปใครจะได้ เราหรือเขา ? ตอนนี้ให้ไปดูหนังดูละครที่ไหนก็ไม่เอาหรอก จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้าว่าคะแนนต่อไปใครจะได้ ถ้าเดินอยู่ก็ชนเสาไฟไปเลย ไม่ได้สนใจเรื่องข้างนอกเลย สนใจแต่เรื่องข้างในเท่านั้น แล้วต่อไปก็จะชนะมากกว่าแพ้ ในที่สุดก็จะถึงจุดที่เราต้องการ ก็คือไม่แพ้อีก กำลังใจในลักษณะอย่างนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเรามาตลอด เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วท่านทำให้ดู
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
สมัยก่อนตอนหลวงพ่อท่านป่วยหนัก ๆ นั่งรับแขก ท่านบอกว่ามองหน้าคนไม่เห็น เห็นแค่เป็นเงา ๆ เท่านั้น เวลาเขาพูดเขาถาม พอได้ยินบ้างก็ตอบไปเรื่อย แต่ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร ใช้จำเสียงเอา ถ้าจำเสียงไม่ได้ก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่อง ขนาดนั้นท่านก็ยังลงรับแขกอยู่ทุกวัน แม้กระทั่งวาระสุดท้ายก่อนมรณภาพ ท่านให้พวกเราเอาท่านขึ้นเก้าอี้แล้วก็หามไป
วันนั้นจริง ๆ แล้วที่อยู่ตรงนั้นก็มีหลวงพี่ประทีป มีหลวงพี่น้อย มีอาตมารวม ๓ - ๔ รูป นาฬิกาหลวงพ่อมีกี่เรือนพวกเราขโมยกันเกลี้ยงเลย วันนั้นไม่ให้ใช้ พอหลวงพ่อถามว่าได้เวลารับแขกหรือยัง ? “ยังครับ” โกหกซึ่ง ๆ หน้าเลย..กล้ามาก เพราะอยากให้พ่อได้พัก พอ “ยังครับ” เข้าหลาย ๆ ที หลวงพ่อก็ลุก ลุกแล้วก็เซ พวกเราต้องช่วยกันค้ำ ช่วยกันยันเอาไว้ ท่านบอกว่า “พวกเอ็งไม่ต้องมาโกหกข้า น่าจะได้เวลาแล้ว” กราบเรียนว่า “หลวงพ่อครับ ร่างกายไม่ไหวขนาดนี้แล้ว หลวงพ่อยังจะลงรับแขกอีกหรือครับ ?” ท่านบอกว่า “เขามาไกล มาแล้วต้องการพบเรา ถ้าเขาไม่ได้พบ เขาจะเสียกำลังใจ” นั่นแหละคือหลวงพ่อของพวกเรา สงเคราะห์โยมจนตัวตาย..! วันนั้นร่างกายของท่านเป็นจ้ำสีม่วง ๆ เป็นดวง ๆ เต็มไปหมด หมอบอกว่า ออกซิเจนไม่พอ ในเมื่อออกซิเจนไม่พอ จ้ำเลือดจะขึ้นตามตัว แต่ท่านก็อุตส่าห์ให้นั่งเก้าอี้นวมแล้วก็ให้แบกไป ส่วนอาตมาพอส่งหลวงพ่อขึ้นรถ ก็วิทยุบอกให้ทางด้านตึกรับแขกเตรียมเก้าอี้เอาไว้ อาตมาล็อกประตูตึกริมน้ำได้ก็วิ่งผ่านหอฉันไป เพื่อที่จะไปรับหลวงพ่อขึ้นตึกรับแขก วันนั้นเห็นว่าท่านแย่แล้ว จึงเรียกพระพี่พระน้องทั้งหมดมาพร้อมหน้ากัน พอหลวงพ่อขึ้นมาถึง..นั่งลง พระก็กราบพร้อมกัน ท่านถามว่า “มาทำอะไรกัน ?” กราบเรียนว่า “มากราบหลวงพ่อครับ” ท่านบอกว่า “เออ..ข้าจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ หน้าที่การงานของพวกแกมีอะไรก็ทำไป” เป็นอย่างไร ? ท่านห่วงงานมากกว่าตัวท่านอีก..ใช่ไหม ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2015 เมื่อ 16:31 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ท่านบอกว่า มีงานมีการอะไรก็ไปทำ พวกเราทุกคนวันนั้นรู้เลยว่าพ่อจะไปแล้ว อยากจะอยู่ดูหน้าท่านให้นานหน่อย พวกฆราวาสไม่รู้หรอกว่าอารมณ์ใจพระในวัดเป็นอย่างไร อยู่กับหลวงพ่อ แต่โอกาสได้เห็นหน้าหลวงพ่อน้อยมาก เพราะว่าแต่ละรูปแต่ละท่านจะมีงานประจำของตัวเองที่หลวงพ่อมอบหมายให้ เราต้องทำหน้าที่ของเราไม่ให้บกพร่อง
หลวงพ่อท่านกลัวว่าความบกพร่องที่เกิดขึ้น จะสร้างความเสียหาย ซึ่งไม่ได้เสียหายแต่ในวัด ความเสียหายจะกระจายออกไปข้างนอก เพราะว่าลูกศิษย์ท่านมีมาก ปากต่อปากบอกกันเร็วมาก แล้วจะกลายเป็นความเสียหายของพระศาสนา พวกเราอยากจะนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ถูกท่านไล่ บอกมีงานมีการอะไรก็ไปทำ แล้วพระส่วนใหญ่ทั้งวัดก็ได้เห็นท่านตอนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย มาเห็นอีกทีก็ตอนเขาแห่ศพกลับมา นอนแข็งทื่อไปแล้ว นั่นแหละ..คือพ่อของพวกเรา อยากให้พวกเราดูตัวอย่างไว้ ตัวอย่างที่ว่า รักงานยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง โดยเฉพาะงานของพระศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบัญชาลงมาอย่างไร หลวงพ่อพูดอย่างนั้น หลวงพ่อทำอย่างนั้น ท่านไม่เคยกลัวใครเข้าใจท่านผิด ถึงได้บอกว่าอาตมานั่งวิเคราะห์กับลุงพุฒิอยู่ ๒ คน ว่าหลวงพ่อเคยพยากรณ์ผิดไหม ? ผิด..ผิดเยอะมากด้วย แต่ว่าเป็นไปตามที่พระท่านบอก หลวงพ่อท่านเชื่อพระยิ่งกว่าชีวิต พระบอกอย่างไรท่านพูดอย่างนั้น พระบอกอย่างไรท่านทำอย่างนั้น ท่านไม่ได้สนใจไม่ได้ใส่ใจเลยว่า เรื่องจะผิดจะถูก การพยากรณ์นี้จะเกิดขึ้นตามนั้นไหม ? จะถูกต้องตามนั้นไหม ? ท่านไม่คิด ท่านคิดอยู่อย่างเดียวก็คือ ทำตามที่พระท่านบอกเท่านั้นเอง ก็เหลืออยู่แต่พวกเราว่า จะมีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาเท่าไร ? ถ้าสติสัมปชัญญะไม่พอ ก็จะเกิดลังเลสงสัยในครูบาอาจารย์ขึ้นมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-07-2015 เมื่อ 16:32 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ปี ๒๕๓๐ พระผู้ใหญ่ในวัดท่าซุงสึกเยอะมาก หลวงตามหาแสวงสึก หลวงพี่เกรียงไกรสึก หลวงพี่พรสรรค์สึก กระทั่งหลวงพี่ชัยศรี ที่พวกเราคิดว่าท่านจะมาแทนหลวงพ่อก็สึก บอกตรง ๆ ว่า ตอนนั้นอาตมาใจคอหายหมดเลย..ใจฝ่อ กลางคืนนอนกอดจีวรเอาไว้ ใครอย่ามาแย่งกูไปเชียวนะ..! ใจหายเลย พระบวชมานานขนาดนั้นแล้วยังสึก
คืนถัดมาก็ไปเจริญกรรมฐานตามปกติ ตอนนั้นเขาเจริญกรรมฐานกันที่ตึกเสือ ถัดจากตึกธัมมวิโมกข์ไปนิดหนึ่ง จะทะลุไปเป็นตึกเสือ ก็คือตึกตะกร้านั่น รั่วเป็นตะกร้าเลย หลวงพ่อท่านสละตึกทั้งหลังให้ชาวบ้านเขาหัดงาน ให้หัดสร้างตึก ถ้าเขาทำเป็นแล้วหลวงพ่อจะจ้างเขา เพื่อสร้างงานให้กับชาวบ้าน ท่านจึงยอมสละ ปรากฏว่าสร้างได้เก่งมาก ตึกเสือนี่รั่วเป็นตะกร้าเลย มาตอนหลังหลวงพ่อท่านต้องต่อโครงเหล็กขึ้นไป แล้วก็สร้างหลังคาคลุมอีกที พ่อเราเสียสละขนาดนั้น เพื่อความสุขของส่วนรวมแล้ว ท่านยอมเสียสละตึกทั้งหลังให้เขาลองฝึกฝีมือกัน คราวนี้พอเจริญกรรมฐานกันที่นั่นเสร็จ อุทิศส่วนกุศลเรียบร้อยอาตมาก็เดินกลับ ต้องผ่านตึกกลางน้ำ ตึกสงวนจิตรและเพื่อน (คุณสงวน จิตตาลาน เป็นนายทุนก่อสร้างให้) เดินผ่านตรงจุดนั้น ด้วยความเคยชินอย่างหนึ่งตอนที่อยู่วัดก็คือ ถ้าผ่านตึกกลางน้ำ หรือผ่านตึกอินทราพงษ์ ซึ่งเป็นที่ทำงานของหลวงพ่อ พระทุกรูปจะยกมือไหว้ นึกถึงความดีของครูบาอาจารย์ที่ปกเกศปกเกล้าพวกเรามา ยกมือไหว้เสร็จ อาตมาเกิดคำถามขึ้นในใจว่า “หลวงพ่อครับ พี่ ๆ เขาบวชกันมานานตั้งขนาดนั้น เขายังอยู่ไม่ได้ แล้วไอ้หน้าอย่างผมจะอยู่ได้ไหมครับ ?” ความรู้สึกเกิดขึ้นอย่างนั้นจริง ๆ ตอนนั้นรู้สึกว่า อยู่ ๆ รอบ ๆ ตัวเหมือนกับสลายหายไปหมดเลย ปรากฏเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระวรกายแก้ว ใหญ่โตมโหฬารมาก พระหัตถ์ข้างหนึ่งจูงแขนอาตมา (จับแขนอยู่ท่านี้) พระหัตถ์ขวาก็ชี้ไปลิบ ๆ ข้างหน้าโน่น สุดสายตาเลย เป็นเหมือนกับดวงแสงเป็นเพชรกระพริบแวบ ๆ อยู่ข้างหน้า พระองค์ตรัสว่า “ข้างหน้านั่นคือพระนิพพานที่หลวงพ่อสอนให้เจ้าไป ขอให้เจ้าไปให้ได้นะลูก” ข้างหน้าของพระองค์ท่านคือพระนิพพาน ตอนช่วงนั้นความรู้สึกเหมือนว่า ต่อให้อาตมาต้องมีชีวิตอยู่ ทนทุกข์ทรมานไปสัก ๑๐๐ ปีข้างหน้า ขอให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้ก็คุ้มเหลือที่จะคุ้มแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 14:49 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ความรู้สึกตอนนั้นบอกอย่างนั้นจริง ๆ เกิดความมั่นคงหนักแน่นจริงใจขึ้นในช่วงนั้น ว่าในเรื่องคุณของพระรัตนตรัยเป็นอัปปมาโณ คือไม่มีอะไรประมาณได้ ถ้าหากว่าเราไม่ทอดทิ้งพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยย่อมไม่ทอดทิ้งเรา ตอนนั้นอาตมาเกิดความมั่นใจมากจริง ๆ
คราวนี้เรื่องการทำงาน ตอนนั้นเริ่มมีการก่อสร้างทางฝั่งวัดเก่า ที่ก่อสร้างก็คือตึกรับแขกหลังใหม่ สมัยก่อนตรงจุดนั้นจะเป็นป่าไผ่ อยู่ใกล้ป่าช้ามากเลย ตัวเมรุลอยที่เผาศพเก่า ถ้าพวกเราไปจะเห็นเขาอนุรักษ์ไว้ ในลักษณะเป็นทรงเสาสูง ๆ มีหลังคาสังกะสี แล้วเขาก่ออิฐเป็นกองฟอนเอาไว้ ให้เอาโลงศพไปวางไว้ตรงกลางได้พอดี แล้วก็สุมไฟ อาตมามีโอกาสขึ้นไปอยู่ชั้นบนของตึกรับแขกที่ยังสร้างไม่เสร็จ มองลงไปข้างล่าง เออ..สูงว่ะ ถ้าตกลงไปก็ตายแน่ ๆ เลย..! ตอนนั้นอาตมาถามตัวเองว่า ถ้าหลวงพ่อสั่งให้กระโดดลงไปตอนนี้จะกล้ากระโดดไหม ? ความรู้สึกแบบนี้ไม่ทราบว่าพวกเราเคยเป็นไหม ? อาตมาออกจะบวม ๆ จึงเกิดถามตัวเองขึ้นมาว่า ถ้าหลวงพ่อสั่งให้กระโดดลงไปตอนนี้..เดี๋ยวนี้..จะกระโดดไหม ? ตอบตัวเองว่า "โดด" จึงถามตัวเองอีกครั้งว่าโดดทำไม ? ตอบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อสั่งจะต้องมีเหตุผล ไม่มีพ่อที่ไหนอยากฆ่าลูกหรอก ถ้าหากว่าท่านสั่งให้โดดลงไปตอนนี้ก็จะกระโดด ต่อให้ท่านชี้ไปข้างหน้าเห็นไฟลุกท่วมฟ้าอยู่ แล้วท่านบอกทางนี้ไปพระนิพพานนะลูก อาตมาก็จะไป รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ อารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่อยากจะบอกกับพวกเราว่า ถ้าพวกเราทำถึงตรงจุดนี้เมื่อไร เราจะเห็นคุณพระรัตนตรัยอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้กราบพระ อาจจะสักแต่แปะ ๆ ให้ครบ ๓ ครั้งเท่านั้น แต่พออารมณ์นี้เกิดขึ้นมาแล้ว เราจะกราบด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ ไม่ได้สักแต่แปะให้ครบ ๓ ครั้ง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ เราขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็ยึดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กาย วาจา ใจจะน้อมไปทั้งหมด ไม่ใช่สักแต่ว่าพูด ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 14:51 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่มาเล่าให้ฟัง ถ้าพวกเราทำถึงตรงนี้เมื่อไร ความมั่นคงในพระรัตนตรัยของเราจะแน่นแฟ้น ด่าก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี เพราะรู้แล้วว่าคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ คืออะไร ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหรอก แต่จะออกมาแนวใกล้เคียงกัน ถึงได้บอกว่าถ้าให้มีชีวิตอยู่ทั้งที่ร่างกายป่วยแหง็ก ๆ ให้ทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ไปอีก ๑๐๐ ปีก็ยอม ขอให้ชาตินี้ได้พระโสดาบันก็พอ ไม่ต้องเอาเกินนี้หรอก ใครได้เกินอาตมาขอโมทนาด้วย ถ้าเกินไม่ได้ก็เอาแค่นี้แหละ เป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ไม่มีอะไรที่จะแลกได้
หลวงพ่อวัดท่าซุงไปอเมริกาครั้งสุดท้ายท่านถามว่า “เล็ก..จะไปไหมลูก ?” กราบเรียนว่า “ไม่ไปครับ” ถามว่าทำไม ? “ค่าเครื่องบินตั้ง ๔๐,๐๐๐ กว่าบาท กลัวว่าไปแล้วทำงานไม่คุ้มกับค่าเครื่องบินครับ” ปรากฏว่างานนั้นไปตั้ง ๓๒ คน..! ไม่นับพระนะ เฉพาะโยม ค่าเครื่องบินก็เป็นล้านแล้ว กราบเรียนถามว่า “หลวงพ่อครับ จะคุ้มหรือครับ ? จ่ายเงินทีหนึ่งเป็นล้าน ๆ เพื่อที่จะไปอเมริกา” ท่านบอกว่า “ขอให้มีคนรู้จักพระนิพพานแม้แต่คนเดียวก็คุ้มแล้ว เพราะเงินล้านซื้อพระนิพพานไม่ได้” นั่น..ต้องดูว่ากำลังใจของพ่อเราเป็นอย่างไร นี่คือสิ่งที่ได้พบมา ได้เจอมา เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเดียวเท่านั้น ในขณะที่ยังอยู่ใต้การปกครอง ใต้ร่มบารมีของพ่อเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านพูด ท่านคิด ท่านทำ เมื่อนำมาวิเคราะห์ดูแล้ว ไม่มีอะไรหลุดไปจากที่พระพุทธเจ้าสอนเลย บอกแล้วว่าถ้าเราคิดเป็น เราดูเป็น เราทำเป็น เราจะเห็นคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ เรามั่นใจแล้วว่าองค์นี้คือครูบาอาจารย์ของเราที่เชื่อมั่นได้แน่ ๆ ท่านนำเราไม่ผิดทางแน่ เราจะก้าวเดินตามไป ถ้าใครไปดูหนังสือเก่า ๆ ที่อาตมาเขียนไว้จะมี “ตามรอยเท้าพ่อ” นั่นเป็นการเขียนออกมาจากหัวใจจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-10-2016 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ตอนแรกที่เขียนนั้น ด็อกเตอร์ปริญญาท่านขอว่า ให้ทุกคนเขียนประสบการณ์ที่ได้พบเกี่ยวกับหลวงพ่อ จะเป็นเรื่องแปลก ๆ แนวอิทธิปาฏิหาริย์ หรือแนวปฏิบัติอย่างไรก็ได้ แต่หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่แปลก คนเขียนต้องจ่ายสตางค์เอง ปกติแล้วคนเขียนต้องได้สตางค์ คนพิมพ์ต่างหากต้องจ่ายสตางค์ แต่หนังสือเล่มนี้ เขียนแล้วคนเขียนต้องจ่ายสตางค์
อาตมาก็ก้มหน้าก้มตาเขียน เงยหน้าขึ้นมาอีกที หนาเกือบเท่าประวัติหลวงปู่ปาน ๒ เล่ม..! สรุปตั้งแต่หัวถึงท้าย ๘๐ เรื่องพอดี กูจะจ่ายไหวไหมนี่ ? หน้าละ ๑,๐๐๐ บาท จึงเก็บเข้าตู้ไว้เฉย ๆ แล้วเขียนกลอนบทนั้นให้ไปบทเดียว ว่านี่คือความรู้สึกจริง ๆ ที่เกิดขึ้นกับหลวงพ่อท่าน พวกเราไปหาอ่านเอาก็แล้วกัน ในลูกศิษย์บันทึก หรือไม่ก็ในพระราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ จะมีอยู่อย่างละบทอยู่ในนั้น จะได้รู้ว่ากำลังใจสมัยนั้นอาตมาคิดอย่างไร ทำอย่างไร ตอนหลวงพ่อมรณภาพใหม่ ๆ ก็เขียนไว้อีกบทหนึ่ง แต่บทนี้สั้น มีแค่ ๔ บรรทัด แต่รวมความรู้สึกทั้งหมดที่อยู่กับพ่อมา ทั้งตอนเป็นพระและฆราวาส อยู่ใน ๔ บรรทัดนั่นแหละ ปัจจุบันนี้วาระยังไม่ถึง รอให้กระโถนข้างธรรมาสน์หมดต้นฉบับก่อน เดี๋ยวค่อยเอา ๘๐ เรื่องนั่นมาทยอยขาย กระโถนฯ แจกฟรี แต่เรื่องนี้จะขาย รับรองว่ารวย ตอนที่เขียนอยู่ คุณบรรเจิด สังข์สวน กองบรรณาธิการของหนังสือโลกทิพย์ เขาก็มายืนค้ำหัว เสียมารยาทเป็นบ้าเลย พิมพ์ไปเขาก็อ่านไป ตอนนั้นพวกคุณคะนอง เนินอุไรกับคุณสุนิสา วงศ์ราม เขาเข้าไปกราบหลวงพ่อขออนุญาตพิมพ์หนังสือ คือเอาหนังสือของหลวงพ่อไปพิมพ์ในเครือโลกทิพย์ของเขา ปัจจุบันหนังสือหลวงพ่อมีการสงวนลิขสิทธิ์ แต่อาตมาฟังไม่ผิด หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าพิมพ์เพื่อเป็นการเผยแพร่เป็นประโยชน์แก่คนหมู่มาก ไม่ต้องขออนุญาต ท่านอนุญาตให้เลย แต่ปัจจุบันมีการสงวนลิขสิทธิ์ ทำให้เกิดความคับแคบขึ้น คนที่จะได้ประโยชน์อีกมากก็เลยไม่ได้ประโยชน์ไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 10:07 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
คุณบรรเจิดเขามายืนอ่านไป ๆ รู้สึกสนุกขึ้นมา จากยืนค้ำหัวก็นั่งอ่าน ตอนนั้นอาตมาพิมพ์คอมพิวเตอร์อยู่ ใช้คำว่าเขียนแต่จริง ๆ แล้วพิมพ์ นี่แหละ...ท่านสมปองสอนให้เอง อาตมาเองเป็นคนเรียนรู้เร็วมาก สอนคอมพิวเตอร์ท่านมานั่งจิ้ม ๆ ชี้ ๆ ให้ดู ๑๕ นาทีแล้วก็หายหัวไปไหนไม่รู้ ? ที่เหลือปล่อยให้อาตมาทำเอง เกิดมาคอมพิวเตอร์หน้าตาเป็นอย่างไรก็เพิ่งจะเคยเห็น แต่ก็ทำได้ เพราะอะไรรู้ไหม ? เพราะคิดว่า "ไม่ใช่ของพ่อของแม่กู ท่านยังไม่กลัวพัง แล้วกูจะกลัวทำไม ?" เป็นอย่างนี้จริง ๆ ไม่รู้เป็นอะไร บรรดาพวกพี่ ๆ น้อง ๆ มักจะมั่นใจในอาตมามากเลย บอกไปแล้วเชื่อว่าอาตมาต้องทำได้แน่ พอสอนเสร็จแล้วจึงทิ้งไปเลย อาตมาก็นั่งหัดพิมพ์ไป
คุณบรรเจิดอ่านไปเรื่อย ๆ เพราะเพื่อน ๆ เขาเข้าไปคุยกับหลวงพ่อก่อนหลวงพ่อออกรับแขก คุยกันนาน พวกอ่านไปอ่านมาก็ “หลวงพี่ครับ ผมขอซื้อได้ไหมครับ ?” ถามว่า “จะเอาไปทำไมวะ ?” เขาบอกว่า “จะเอาไปลงในหนังสือโลกทิพย์” อาตมาบอกว่า “ไม่ขาย” “ทำไมไม่ขายครับ ?” “กลัวดังว่ะ” คุณบรรเจิดมองหัวถึงเท้า เท้าถึงหัว แล้วบอกว่า “หลวงพี่ครับ รู้ไหมครับว่าที่เขาลงโลกทิพย์กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วพวกผมเต็มใจลงประวัติให้นะ ส่วนใหญ่ต้องจ้างผมลงทั้งนั้นแหละ แล้วนี่ผมขอซื้อ หลวงพี่ยังจะไม่ขายอีกหรือ ?” อาตมาฟังแล้วแปลกใจ จึงถามว่าทำไมต้องมีการจ้างกันด้วย จ้างแล้วท่านได้อะไร ? เขาบอกว่า “ฝ่ายโน้นพอทางเราเขียนเชียร์ให้ คนก็จะคิดว่าเป็นพระดี ก็แห่กันไปทำบุญ เขาได้สตางค์ ผมขายหนังสือได้ แล้วพอคนเขาเรียกร้องมา ผมจัดทัวร์ไป ผมก็ได้เงินอีกรอบหนึ่ง มีแต่ได้ทั้งคู่” จึงบอกว่า “เออ..ดีเหมือนกัน อย่างนั้นคุณก็ไปให้เขาจ้างลงต่อไปก็แล้วกัน แต่อาตมาไม่ขายว่ะ วาระยังไม่ถึง เดี๋ยวจะโดนคนรุมทึ้งตายตั้งแต่ยังไม่ทันจะแก่”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2015 เมื่อ 09:59 |
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
นี่เป็นประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟังว่า อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ความรู้สึกเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง แล้วพวกเราปัจจุบันนี้จะมีอยู่ส่วนหนึ่ง ที่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับท่านสมปองของเรา เกิดขึ้นกับอาจารย์สมปองของเรา กับหลวงพ่อสมปองของเราแบบนี้ ความรู้สึกนี้จะขัดกับคนอื่นเขา คนที่เขาไม่ได้เลื่อมใสแน่นแฟ้น แต่เราเลื่อมใสแน่นแฟ้นแล้ว คราวนี้มารก็จะเสียบมาตรงช่องว่าง เพราะคนหนึ่งทำก็ทำด้วยหัวจิตหัวใจเลย มีอะไรก็ทุ่มเทให้ อีกคนหนึ่งก็มานั่งจับผิด จะอะไรกันนักหนาวะ ? ทำไมไอ้นี่ต้องดีอย่างนั้น ? ไอ้นั่นต้องดีอย่างนี้ ? ทำบุญกันทีหนึ่งเยอะขนาดนี้เลยหรือ ? มารเสียบเข้ามาตรงช่องนี้แหละ แล้วเราก็จะเกิดการหวาดระแวง แตกแยกกันไปเอง
ปัจจุบันลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกับแตกกันเป็นวง ๆ เหมือนกับห่วงโซ่ แต่หลุดเป็นห่วง ๆ ไม่ได้เกี่ยวกันเป็นเส้นเดียวกัน การใช้ประโยชน์ก็น้อย ทำอย่างไรที่จะประสานสามัคคีกันได้ ปัจจุบันนี้บรรดาคนเก่า ๆ แทบจะไม่เข้าวัดท่าซุงแล้ว ที่ไปมีแต่คนรุ่นใหม่ ทำอย่างไรที่เราจะเอาคนเก่ามาเป็นหลัก เพื่อที่จะเป็นศูนย์รวมให้กับคนรุ่นใหม่ได้ ? คนรุ่นเก่าไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็ตาม ผ่านประสบการณ์อันแสนลำเค็ญสมัยอยู่กับหลวงพ่อท่านมา พูดง่าย ๆ ว่ากว่าจะก้าวมาถึงระดับนี้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว เย็บกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว สู้กับกิเลสมาขนาดนี้ ประสบการณ์มีเยอะ ทำอย่างไรเราจะได้ประโยชน์จากประสบการณ์ส่วนนี้ได้ ? ทำอย่างไรเราจะประสานสามัคคีให้เหนียวแน่นขึ้นมาได้ ? ขอฝากเป็นการบ้านให้พวกเราทุกคนไปช่วยคิดต่อที อาตมาเองกำลังน้อย ทำได้เต็มที่แค่นี้แหละ บางทีอาจจะเป็นที่หมั่นไส้ของคนจำนวนมากด้วยก็ได้ ขอจบแค่นี้แหละ มาเตรียมตัวสวดมนต์ไหว้พระกันดีกว่า พระครูวิลาศกาญจนธรรม บรรยายธรรม ณ บ้านตลิ่งชัน ๐๒ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (ถอดเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-07-2015 เมื่อ 10:01 |
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
อ้างอิง:
ไฟล์เสียง "กรรมฐาน ๔๐ - กสิณ ๑๐ ม้วน ๘ หน้า B.mp๓ ไฟล์ต้นฉบับ (ไม่ได้ตัด) http://board.palungjit.org/attachmen...9&d=1286788534 เวลาประมาณนาทีที่ ๐๔.๓๐ - ๐๕.๑๐ น. ครับ ไฟล์ที่ตัดแล้ว http://board.palungjit.org/attachmen...0&d=1286788534 ลองฟังดูนะครับ
__________________
ร่วมรณรงค์การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง เริ่มต้นได้ด้วยตัวคุณเอง |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชยาคมน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|