|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
ถาม : ที่เขาว่าถ้างูเลื้อยผ่านบวบลูกไหน ลูกนั้นจะขม ?
ตอบ : เป็นความจริง...อาตมาเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ตอนแรกก็นึกว่าเป็นความเชื่อ แต่พอไปเห็นเข้าจริง ๆ งูเขียวหางไหม้เลื้อยผ่านบวบหอม อาตมาก็จำลูกนั้นไว้ พอแก่กินได้แล้วก็เก็บเอามาผัดไข่กินดู ตรงจุดที่งูเลื้อยผ่านจะขมอยู่จุดเดียว ตรงอื่นก็ไม่เป็น ไม่ใช่ความเชื่อนะ เป็นความจริง เหมือนอย่างกับว่าร่างกายของงูจะมีสารอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเมือกที่เคลือบตัวหรือพิษ ที่ทำให้รสของผักเปลี่ยนไปเลย ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าเป็นแค่ความเชื่อ คือผู้ใหญ่เขาหลอกเราเฉย ๆ เพราะบวบบางลูกนอกจากจะไม่โตแล้วยังพิการอะไรอย่างนั้น แต่..ที่ไหนได้ ไปเจอของจริงเข้าด้วยตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2015 เมื่อ 02:25 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
โบราณเขาบอกว่า ยิ่งนานไป "ทั้งพืชพันธ์ุว่านยาก็ถอยรส" น่าจะจริง พูดง่าย ๆ ว่าโอชะคือธาตุอาหารในดินน้อยลง พวกว่านยาต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะบำรุงตัวเองให้มีอานุภาพเต็มที่ได้ สมัยนี้ถ้าอยากได้ยาต้องเข้าป่าลึกเลย แบบท่านโมเช่ที่พาอาตมาไปทุ่งยา เดินเข้าป่ากันเป็นอาทิตย์ ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2015 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
ถาม : เขาทุ่งยานี้อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : อยู่เขตระหว่างกาญจนบุรีกับตาก ถาม : อยู่ในทุ่งใหญ่ ? ตอบ : ไม่ใช่ทุ่งใหญ่ ประมาณกลางทางระหว่างทุ่งใหญ่กับอุ้มผาง หน้าฝนน่าจะมีน้ำตกขนาดใหญ่มหึมาเลย แต่ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปถึงจะได้เห็น เพราะว่าทางที่ลงไปเป็นร่องน้ำกว้างใหญ่มาก แต่ว่าเป็นร่องน้ำแห้ง นึกถึงตอนที่เป็นหน้าน้ำคงจะกระหึ่มไปทั้งป่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2015 เมื่อ 02:27 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
ถาม : ...(เรื่องพระคาถาเงินล้าน)...
ตอบ : ถ้าเรามีความเชื่อ ความเลื่อมใสจริง ก็ภาวนาให้เป็นปกติ ยิ่งว่างงานยิ่งดี เล่นพระคาถาทั้งวันไปเลย แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเรากำลังใจไม่พอ อันดับแรกคือ ศรัทธาไม่พอ อันดับที่ ๒ คือ วิริยะไม่พอ อันดับที่ ๓ คือ ขันติไม่พอ อยากรวยถ้าไม่ลงทุนแล้วจะรวยอย่างไร ? คราวนี้การลงทุนภาวนาพระคาถาเงินล้าน เป็นการลงทุนที่น้อยที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยอยากจะลงทุนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2015 เมื่อ 16:10 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
ถาม : ลูกสาวเขาบ่นว่านอนไม่หลับ ?
ตอบ : ภาวนาสิครับ จับลมหายใจเข้าออก กะว่าเอ็งไม่หลับข้าจะภาวนาสัก ๓๐๐ ครั้ง แต่ ๓ ครั้งได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นแหละ พอตั้งใจภาวนาดันตัดหลับเลย ถ้าบอกว่านอนไม่หลับนี่ให้รีบภาวนาเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2015 เมื่อ 16:10 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อก่อนผมมีเงินแค่ ๒๐๐ บาท ผมไปอ่านเจอพระคาถาเงินล้านแล้วท่อง ผมก็ได้เงินมาเจ็ดแปดพัน เดี๋ยวนี้ผมท่องตลอดเลย ?
ตอบ : ผมทั้งบูรณะทั้งสร้างมา ๗-๘ วัด ก็ใช้พระคาถานี้บทเดียว พวกเราต้นทุนสูงกว่า อย่าลืมนะ...เป็นพระเป็นเณรอย่างเราทำดีทำชั่วก็คูณด้วยแสนทั้งนั้น ถ้าเป็นญาติโยมทุบปลาวันละตัวตั้งแต่เกิดยันตาย โทษลงอเวจีเพราะเป็นอาจิณณกรรม แต่พระเราฆ่าไปตัวเดียวก็ไปอเวจีแล้ว สำคัญตรงที่ต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่โยมได้ไปก็ทำ ๆ ทิ้ง ๆ ถาม : ถ้าวันไหนสวดแล้วรู้สึกผิดปกติ ผมก็เดาได้ว่าต้องมีเรื่องแน่ ๆ และก็มีจริง ๆ ครับ ? ตอบ : ค่อย ๆ สังเกตไป เพราะคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องลาภเท่านั้น มีทั้งตัดอุปสรรค มีทั้งป้องกันภัยอะไรสารพัดอยู่ในนั้น ถาม : สวดแล้วเรามีสมาธิมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้นครับ แต่ก็ไม่ได้อยากรวยครับ ? ตอบ : ถูกแล้วครับ ถ้าไม่อยากแล้วจะมา ถ้าอยากไม่ค่อยมาหรอก คนที่สวดภาวนาเพราะอยากรวยไม่ค่อยได้อะไรหรอก เพราะว่าใจยังไม่นิ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-12-2015 เมื่อ 18:09 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
ถาม : ปกตินั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง เขาเรียกว่าได้ผลไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่สมาธิทรงตัวไหม ? ระยะเวลาไม่เกี่ยว ถ้าสมาธิทรงตัว ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้บุญมหาศาล ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวนั่งไป ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงก็แค่นั้นแหละ ถาม : ถ้านั่ง ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ได้ แต่บางท่านบอกนั่งชั่วโมงครึ่ง เดินชั่วโมงครึ่ง ? ตอบ : ท่านหมายถึงว่าทำอย่างไรจะให้ใจทรงตัว แรก ๆ ก็จะฟุ้งซ่าน ยื้อระยะเวลาไปหน่อย พอจิตเหนื่อยก็จะนิ่งแล้วเริ่มทรงตัว ก็เลยต้องใช้เวลานิดหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้ว ท่านบอกว่าสมาธิทำแค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น คือแวบเดียวเท่านั้น อย่างน้อย ๆ ผลบุญที่ทำก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราต่อไปภายหน้าได้ ถาม : ปัจจัยนี้ส่งผลข้ามชาติได้ ? ตอบ : ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2015 เมื่อ 16:13 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
ถาม : กาแฟคือเป็นสิ่งเสพติดไหมคะ ?
ตอบ : ไม่นับ กาแฟเป็นผลเภสัช เป็นยาด้วยผล ถ้าฉันกาแฟดำอย่างเดียวไม่เติมอะไรเลย ประเคนทีเดียวฉันได้ตลอดชีวิตด้วย ถามว่าเป็นยาตรงไหน ? อย่างน้อยก็ยาแก้ง่วง ยาขับปัสสาวะ ลองกินกาแฟเข้าไปดูสิ พักเดียวต้องวิ่งไปห้องน้ำเลย พระป่าท่านไม่ฉันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหา อาตมาไม่ฉันเพราะตอนเดินธุดงค์เคยเห็นโทษมาแล้ว คนที่เขาฉันโน่นฉันนี่ต้องแบกไปแทบเป็นแทบตาย อาตมาแบกย่ามเล็ก ๆ ใบเดียวไปไหนก็ได้ ไม่เห็นหรือว่าไปเนปาลกระเป๋าของอาตมาใช้นิ้วเดียวหิ้วก็ยังได้ ถาม : แล้วชาล่ะคะ ? ตอบ : ชาเป็นปัณณเภสัช เป็นยาด้วยใบ กาแฟเป็นผลเภสัช เป็นยาด้วยผล ฉะนั้น...พิจารณาเอา ยาเสพติดต้องประเภทฝิ่น กัญชา เฮโรอีน ยาบ้านี่ใช่แน่ ๆ ถาม : ยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ? ตอบ : ถ้าไม่ได้เจตนาไม่เป็นไร แต่ถ้าเจตนาอย่างเช่นเอายาแก้ไอไปกินให้เมา ก็ถือว่าเป็นส่วนของยาเสพติด เพราะยาแก้ไอมีแอลกอฮอล์ ถาม : แล้วพวกยาแก้แพ้ ต้องกินวันละสามเวลา ? ตอบ : ก็กินตามหมอสั่งไปสิ เพียงแต่ว่าถ้าใช้บ่อย ๆ ต่อไปถ้าไม่มีก็แย่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:33 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
ถาม : ศีลข้อสอง ข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่เขาไม่ได้ห้ามแต่เราไปคัดลอก ?
ตอบ : ถ้าเขาห้าม นอกจากเขาจะมีลายลักษณ์อักษรแล้วเขายังมีระบบป้องกัน ถ้ากันแล้วเรายังไปแฮกฯ เขาอีกก็แปลว่าขโมย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:34 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
ถาม : แผ่เมตตาให้ถึงฌาน ๔ ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : พอแผ่เมตตาไปจนกระทั่งเต็มกำลังของเราแล้วก็จับลมหายใจภาวนาต่อไปเลย ตัวสมาธิภาวนาจะยังทรงอารมณ์เมตตานั้นอยู่ ถ้าเข้าถึงระดับไหนก็คือแผ่เมตตาไปถึงระดับนั้น ถาม : ถ้าเราจับภาพพระไปด้วยและแผ่เมตตา ? ตอบ : อยู่ที่เราว่าจะทำอย่างไร เพราะว่ากรรมฐานจริง ๆ แล้วสามารถประยุกต์เข้ากันได้ทั้งหมด สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาไม่มีอะไรขัดกันเลย ขึ้นอยู่กับว่าเราทำได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:34 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วงนี้อยู่ในการอบรมวิปัสสนากรรมฐาน พอเข้าสมาธิแล้วคลายออกมาจะปวดหัวมาก ?
ตอบ : พยายามเข้าสมาธิแล้วก็ปรับให้เป็นสมาธิในขณะเคลื่อนไหว คือทำอย่างไรเราจะรักษาอารมณ์ภาวนาได้ในตอนที่เดินจงกรม เพราะว่าการที่เราเอาแต่ "กำหนด" อย่างเดียวจริง ๆ มีผลเสียมาก ผลเสียก็คือว่าหลักธรรมบางอย่างเราต้องคิดถึงจะแตกฉาน แต่พอเราเริ่มคิดอาจารย์สายนั้นเขาให้ตัด โดยการกำหนดว่า "คิดหนอ...คิดหนอ" ก็เลยเสียประโยชน์ไปเฉย ๆ ตรงนี้ของเรา ถึงเวลาเราก็เข้าสมาธิตามปกติของเรา ถ้าออกมาแล้วปวดหัวหรือมีอาการอะไรก็ตาม เราก็พยายามปรับตัวสมาธิให้เป็นสมาธิใช้งาน ก็คือตอนเคลื่อนไหวก็พยายามทรงอารมณ์ไว้ แต่อย่าไปเล่าให้ครูเขาฟัง เดี๋ยวจะแย่..! พอจิตของเราเริ่มทรงสมาธิ จิตกับประสาทจะไม่เกี่ยวข้องกัน พอไม่เกี่ยวข้องกันอาการทางร่างกายจะไม่รับรู้ ก็เหมือนกับว่าร่างกายไม่เจ็บไม่ปวดอะไร เราต้องปรับให้ได้ว่าจากที่เรานั่งเฉย ๆ แล้วทำได้ เวลาเคลื่อนไหวต้องให้ได้อย่างนั้น แรก ๆ จะลำบากหน่อย ถ้าเราจับลมหายใจพร้อมกับเดิน บางทีก็ติดกึ้กเลย เดินไม่ออก เราก็ต้องปรับใหม่ ขยับใหม่ไปเรื่อย จนกว่าจะเดินพร้อมกับกำหนดลมได้ แต่ถ้าไปเล่าให้ครูฝึกเขาฟังเดี๋ยวโดนยันหงายเก๋ง ถาม : ช่วงที่เคลื่อนไหวไม่ต้องกำหนดแรงใช่ไหมครับ ? ตอบ : ไม่ต้องกำหนดแรงก็ได้ ไปเน้นที่รู้ตัวว่าเคลื่อนไหวแทน เราอาจจะเอาแค่จุดเดียวที่ปลายจมูก กลางอกหรือที่ท้องก็พอ ถ้าหากว่าไปกำหนด ๓ ฐานเลยเดี๋ยวจะเดินไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:36 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
ค่อย ๆ ทำไป บางอย่างหลักการถูก แต่คนเอามาทำผิด จุดที่ผมเป็นห่วงที่สุด ก็คือ ญาณ ๑๖ ปัจจุบันต้องเข้าถึงสภาวะนั้นจริง แค่นามรูปปริจเฉทญาณจะแยกรูปนามออกจากกันอย่างชัดเจนเลย เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ในเมื่อต้องแยกกันชัดเจนขนาดนี้ พอเราไปส่งสภาวะให้ครูฝึก มีอะไรเฉี่ยวนิดหนึ่งเขาบอกว่าเราได้แล้ว ก็บรรลัยสิครับ เพราะยังไม่ได้จริงนี่ครับ
ผมเป็นห่วงตรงนี้ว่า นานไป ๆ ถ้าครูฝึกเข้าใจผิดต่อไปเรื่อย ๆ แล้วตรงนี้จะเละไม่เป็นท่าเลย จะทำให้คนหลงว่าตัวเองเป็นพระอริยเจ้าไปมากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วยังไม่ได้เข้าถึง เป็นเรื่องอันตรายมาก ระมัดระวังตรงนี้ไว้นิดหนึ่ง ถาม : แสดงว่าตรงนั้นคือกำลังสมาธิเฉย ๆ ใช่ไหมครับ ? ตอบ : บางทีเหมือนกับตอนเราไปส่งอารมณ์แล้วไปพูดตรงกับตรงนั้นนิดเดียว ครูฝึกก็ไปฟันธงว่าใช่ แต่ว่าจริง ๆ แล้วนามรูปปริจเฉทญาณเป็นทั้งสมาธิและปัญญารวมกัน ถ้าสมมติว่าเรามองไป แล้วไปคิดว่านี่เป็นผู้หญิงก็เสร็จเลย เพราะนี่คือใจเราปรุงแต่งแล้ว แต่ถ้าเราสักเห็นว่าเป็นรูป สักเห็นว่าเป็นธาตุ จิตใจไม่ปรุงแต่งต่อ อันตรายจะไม่เกิดกับเรา นั่นจึงเป็นการแยกรูปแยกนามที่แท้จริง ถ้าเราไปเห็นเป็นผู้หญิง เดี๋ยวคิดต่อแล้ว สวยไม่สวย ชอบไม่ชอบ จะกระจายกว้างไปเรื่อยแล้วราคะก็เกิด ถาม : ตอนที่เห็นสักแต่ว่าเป็นรูป ก็มีส่วนของสมาธิปนเหมือนกันหรือครับ ? ตอบ : ต้องทั้งสองอย่างรวมกัน สติต้องรู้เท่าทัน แล้วสติต้องอาศัยสมาธิช่วยมาก จึงจะหยุดการปรุงแต่งได้ทัน ถาม : แต่นามรูปปริจเฉทญาณจะต้องวางให้ได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ เขาถึงจะเรียกนามรูปปริจเฉทญาณ ? ตอบ : ของเขาได้นิดเดียวเขาก็เอาแล้ว ฉะนั้น...ไปฝึกสายโน้นเถอะ ได้ง่ายดี ...(หัวเราะ)...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-12-2015 เมื่อ 15:05 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
ทำไปเถอะครับ ระยะแรกเริ่มช่วยได้มากเลย เราจะสังเกตว่าพอเรา "กำหนด ๆ ๆ ๆ" แรก ๆ จิตจะสงบมาก แต่พอถึงเวลาจิตจะคิด เราไม่มีอะไรให้คิดเพราะเราไป "คิดหนอ...คิดหนอ" ไม่ได้ตัดกิเลสจริง ๆ พอสภาพจิตกำหนดไปจนเต็มที่แล้วคลายออกมา เราต้องมาคิดพิจารณา คราวนี้ตัวคิดพิจารณาที่จะเป็นวิปัสสนาญาณ ก็คือ เห็นร่างกายนี้ไม่เที่ยง เห็นร่างกายนี้เป็นทุกข์ เห็นร่างกายนี้เป็นอนัตตา หรือไม่ก็พิจารณาลักษณะเห็นการเกิดดับ หรือเห็นว่าดับอยู่ตลอดเวลา หรือเห็นเป็นโทษเป็นภัย เป็นของน่ากลัว สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราไม่คิดก็ไม่เกิด เราจะไปกำหนดรู้ "ปัจจุบัน ๆ ๆ ๆ" ได้แต่สติ แต่ยังไม่ใช่วิปัสสนาญาณอย่างแท้จริง
แต่คราวนี้เขาไปยืนยันว่าเป็นวิปัสสนาญาณ ผมก็ไม่รู้จะเถียงอย่างไร ค่อย ๆ ทำไปเถอะ หลักการขั้นแรกยังใช้ได้ หลังจากนั้นพอค่อย ๆ ทำไปแล้วเราจะรู้เองว่าอะไรเหมาะกับเรา มาถึงขนาดนี้ก็สู้ต่อไปเถอะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:40 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วงไปเข้ากรรมฐาน เวลาผมจำวัด มีเสียงนิดหนึ่งจะตื่นทันทีเลยครับ ?
ตอบ : สภาพจิตจริง ๆ จะตื่นอยู่ตลอด แต่ที่เราหลับเพราะสติขาด ถ้านักปฏิบัติที่เข้าถึงจริง ๆ หลับกับตื่นจะมีสติเท่ากัน หลับอยู่ก็ยังรู้เลยครับว่าตัวเองหลับ บางทีก็ได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย แต่จะสนใจหรือไม่สนใจอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าสนใจก็ขยายสภาพจิตออกมารับรู้ก็คือตื่น ถ้าไม่สนใจก็จะกลับเข้าไปอยู่ที่เดิมของตัวเอง แล้วให้สังเกตว่าสภาพจิตตอนที่กลับเข้าไปจะต้องบังคับอยู่แค่ประมาณนี้ ถ้าหากว่าเกินนั้นจะหลับเลย หากว่าเราวูบกลับเข้าไปอยู่ระดับนั้นจะพักผ่อนได้ บางทีรู้สึกว่าเวลานานมากแต่ความจริงเวลาไม่กี่นาที เท่านั้น ที่ตื่นง่ายขึ้นนั้นจริง ๆ แล้วถูกทาง แต่ทำอย่างไรที่เราจะพักผ่อนตามเวลา เพราะถ้าร่างกายไม่ไหวจริง ๆ สภาพจิตก็แย่ไปด้วย เราก็พักผ่อนตามเวลา นอนภาวนาไปสัก ๒-๓ ชั่วโมงแล้วค่อยตื่นมาทำงานทำการของเราต่อ ก็จะตื่นง่ายขึ้น แล้วต่อไปก็จะไม่หลับ หลับอยู่ก็เหมือนอย่างกับตื่น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วตอนที่เราตื่นอยู่ เราสามารถระมัดระวังไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินเราได้ บางคนพอหลับก็ขาดสติ ฝันว่าไล่ปล้ำชาวบ้านเขา บางคนก็ฝันว่าฆ่าโน่นฆ่านี่ไปเลย ทั้ง ๆ ที่ตอนเราตื่นอยู่เราสามารถรักษาได้ทุกอิริยาบถ คือกิเลสไปแอบกินเราตอนหลับ ฉะนั้น...ก็เลยจำเป็นว่า ต้องปฏิบัติจนหลับกับตื่นสติเราต้องรู้เท่ากัน ซึ่งถ้าลักษณะอย่างนั้นก็คือ “พุทโธ” ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะเหมือนอย่างกับว่าตื่นอยู่ตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วร่างกายได้พัก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:42 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#135
|
||||
|
||||
ถาม : ผมนั่งนานแล้วปวดตลอด เกี่ยวกับอะไรครับ ?
ตอบ : เกิดจากการที่เราไปจี้ดูมากเกินไป บีบบังคับว่าต้องกำหนดอย่างนี้ ๆ อย่างนั้นไม่ใช่ ๆ กลายเป็นว่าไม่มีที่ให้ไป เหมือนอย่างกับคนโดนมัดอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องเมื่อยบ้างอะไรบ้าง ต่อไปเวลาเราทำ ถ้าหากว่าเราผ่อนคลายของเราได้อาการนี้ก็จะค่อย ๆ หายไป สมัยก่อนผมไปนั่งแข่งกับเขามาแล้วครับ ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ผมนั่งได้แต่ผมนั่งด่าเขาตลอด สภาพจิตผมมีคุณภาพอยู่ประมาณ ๓๐ นาทีเท่านั้นแหละ นอกนั้นก็ด่าเขา “โคตรพ่อ โคตรแม่ มึงจะนั่งไปถึงไหนวะ...!?” นั่งนานเท่าเขาได้นะครับ แต่สภาพจิตไม่มีคุณภาพเลย ฉะนั้น...ของพวกนี้แต่ละคนไม่เท่ากัน มาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ไม่มี มัชฌิมาปฏิปทาเป็นไปตามกำลังกาย กำลังสมาธิของเรา ถ้าร่างกายแข็งแรง สมาธิสูงก็นั่งได้นาน ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง สมาธิน้อยก็นั่งได้น้อย ในเมื่อไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องมีความพอดีเฉพาะของแต่ละคน แต่คราวนี้เราไปโดนมาตรฐานของ "ท่านเจ้าคุณ" อย่างนี้ สูงลิบโลกเลย เราตะกายตามเขาไม่ไหว พอดีของท่านอาจจะเกินร้อยของเรา เราก็แย่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:44 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#136
|
||||
|
||||
ถาม : นั่งสมาธิไปแล้ว มีอาการดับ บางทีแค่เริ่มนั่งก็ดับไปเลย ?
ตอบ : ถ้าเป็นของผมนี่ถือว่าเป็นระดับแค่ ป.๑ เท่านั้น ก็คือสภาพจิตเริ่มทรงเป็นฌาน แต่ว่าสติตามไม่ทันก็จะตัดหลับไป สังเกตว่าตัวเราคิดว่าหลับ แต่จริง ๆ แล้วเรานั่งตัวตรงแหน็วเลย พอถึงระยะเวลาที่พอดี ก็จะออกมาเองโดยอัตโนมัติ ต่อไปให้ลองดูว่าใช่หรือไม่ ก็คือกำหนดเวลา อย่างเช่นว่าเราเคยออกใน ๔๕ นาที เราก็ตั้งใจว่าอีก ๓๐ นาทีเราจะออก ตอนนี้บ่าย ๒ โมง ๓๗ นาที คุณตั้งใจเลยว่าถ้าเข็มยาวมาถึงเลข ๑๒ ก็คือ ๓ โมงตรงเราจะออก ก็จะออกเป๊ะเลย ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าเราอยู่ในสมาธิหยาบขั้นต้น เริ่มจะเป็นฌานแต่สติเราตามไม่ทัน เลยตัดขาดไป พอถึงเวลาสติเริ่มตามทันก็รู้ตัวใหม่ ถาม : แล้วทำไมแบบนี้ผมรู้สึกว่าได้พักมากกว่าฌานใช้งาน ? ตอบ : เพราะไม่ปรุงแต่งอะไรเลย ตอนที่คิดมาก ๆ ก็คือหางานให้มากไปหน่อย ถาม : แม้กระทั่งกราบสามทีก็หลับสามครั้งครับ ? ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัว ทันทีที่เราตั้งใจก็เป็นสมาธิ ในเมื่อตั้งใจทรงสมาธิก็จะเข้าไปจุดที่เราชำนาญ ฉะนั้น...ก็ใช้วิธีที่ว่านี่แหละ ให้ตั้งใจไว้ว่าเราต้องการกี่นาที จิตมีสภาพจำ ถึงเวลาจะออกมาตามนั้นเป๊ะ ๆ เลย ถ้าหากว่าคุณไปดูวสี ๕ จะมีอันหนึ่งที่ว่า มีความชำนาญในการพิจารณา ก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ จะเข้าเมื่อไร จะออกเมื่อไร เข้าก็คือสมาปัชชนวสี ออกก็คือวุฏฐานวสี แล้วส่วนอื่นก็คือการที่ระลึกรู้ตามลำดับ แล้วก็มีการที่ตั้งเวลาได้ แต่คราวนี้นักวิชาการเขาแปลจนเข้ารกเข้าพงไปหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:46 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#137
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วงนี้ผมจะหลับบ่อยมาก เดินจงกรมก็หลับ นั่งฉันก็หลับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ดีนะ คือสมาธิทรงตัวง่าย แต่ได้แค่ระดับหยาบ พอสติขาดก็ตัดไปเลย ถ้าเป็นลักษณะอย่างนี้สายเราจะให้เอาสติจดจ่อกับลมหายใจชนิดจี้ติดเข้าไว้ ถ้าเป็นสายหลวงตาบัวก็จะให้พุทโธ ๆ ๆ ๆ ถี่ ๆ ไปเลย เพราะว่าถ้าหลุดก็จะหลับ แล้วสายโน้นจะทำท่าไหนล่ะ ? ไปนึกถึงภาษิตจีนที่ว่า คนตาบอดขี่ม้าตาบอด ในเมื่อคนขี่ก็ตาบอด ม้าก็ตาบอด ก็ไปผิดไปถูกของ สายนี้ผมยังไม่เห็นคนที่ทำแล้วเข้าถึงจริง ๆ อยากจะให้ดูตัวอย่างของหลวงพ่อเจ้าคุณวัดกลางบางปลาม้า ถ้ามีโอกาสไปกราบขอความรู้จากท่าน ท่านมาสายนี้โดยตรงเลย ลองไปกราบเรียนถามท่าน เพราะว่าในปัจจุบันสายนี้ถ้าไม่ใช่พระมหาทองมั่นที่วิเวกอาศรมหรือพระครูปลัดประจากแล้ว ผมเห็นมีแต่หลวงพ่อเจ้าคุณนี่แหละ ที่ปฏิบัติสายนี้จนเห็นผล การศึกษาทำให้เห็นหลาย ๆ สายว่าดีอย่างไร บางอย่างก็ต้องเอามาประยุกต์เข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันบางอย่างพอเห็นก็ถอยเถอะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2015 เมื่อ 18:09 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#138
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาหลับตาจะให้ฌานอยู่กับเราได้ยาว ๆ อย่างไรครับ ?
ตอบ : ประคับประคองด้วยสติสิครับ กำหนดรู้อย่างเดียว เพราะว่าถึงเวลานั้นแล้วจิตจะทำงานอัตโนมัติ จะรู้ลมหายใจอัตโนมัติ รู้ภาวนาอัตโนมัติ เราไม่ต้องบังคับก็รู้ เราก็แค่เอาสติประคองเอาไว้เท่านั้น ถ้าคุณสติขาดก็หลุดจากตรงนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2015 เมื่อ 18:09 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#139
|
||||
|
||||
ถาม : อนุโลมญาณคืออะไรครับ ?
ตอบ : การที่เราพิจารณาขึ้นหน้าถอยหลัง ถอยหลังขึ้นหน้า ว่าสิ่งที่เราได้มานี่ใช่จริงหรือเปล่า อย่างเช่นว่าคุณเห็นการเกิดดับอย่างนี้....ใช่ไหม ? ถ้าคุณเห็นเกิด ๆ ๆ แล้วดับหมดก็จะวนมาเกิด จะกลับไปกลับมาอย่างนี้ คำว่าอนุโลมก็คือย้อนไปย้อนมา ซักซ้อมให้มั่นใจว่าใช่ของเราแล้วแน่ ๆ ก็แปลว่าต้องซ้ำแล้วซ้ำอีก ทวนแล้วทวนอีก เบื่อไม่ได้ เป็นเรื่องของคนที่เสร็จงานแล้วจะต้องไม่ประมาท ต้องพิจารณาอยู่บ่อย ๆ ว่านี่เราจบแล้วจริงหรือ ? ฉะนั้น...ถ้าจะเข้าถึงอนุโลมญาณแปลว่าต้องได้มรรคได้ผลแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2015 เมื่อ 18:10 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#140
|
||||
|
||||
ถาม : กรณีมรรคและผล บางที่ก็ว่าได้มรรคและผลจะมาทันที ?
ตอบ : แล้วแต่ว่าคนนั้นมีวิสัยอย่างไร บางคนติดอยู่ในมรรคหลาย ๆ ปีก็ไม่ถึงผลสักทีหนึ่ง เหมือนอย่างกับกำลังไม่พอ สมมติว่าตรงช่วงนี้เป็นร่องอยู่ มรรคก็คือก้าวข้ามไป ตรงนี้ใช้คำว่า "โคตรภู" คืออยู่ในระหว่าง เรามีแรงพอที่จะก้าวข้ามไปไหม ? ตอนนี้เห็นแล้วว่าทางนี้คือมรรค ถ้าก้าวไปสำเร็จก็คือผลของเราเลย แต่ถ้ายังคาอยู่ ก็คือ กำลังสติ สมาธิ ปัญญายังไม่พอ จะติดอยู่ ที่ท่านพูดมาใช่ทั้งนั้น ถ้าคนกำลังดีก้าวได้ก็ไปเลย แต่ขณะที่คนกำลังไม่ดีก็ติดอยู่อย่างนั้นก่อน ถาม : ตัวมรรค และโคตรภูญาณ คืออย่างเดียวกัน ? ตอบ : โคตรภูญาณคือเริ่มเห็นทาง ก็คือเห็นมรรค แต่อย่าลืมว่าคำว่ามรรคก็คือหนทาง เห็นแล้วว่าไปทางนี้ใช่แน่ คราวนี้ทำอย่างไรที่จะไปให้ถึงเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2015 เมื่อ 18:11 |
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|