|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนแรกตั้งใจว่าพอสอบพระอุปัชฌาย์ได้ ขี้เกียจบวชพระบ่อย ๆ ก็จะบวชปีละครั้งเดียว เพราะฉะนั้น...จึงออกกำหนดการของปี ๒๕๕๙ มา ไม่มีบวชพระ ๔ ครั้ง โดนหลวงพ่อวัดท่าซุงด่าจมดินเลย ท่านบอกว่า “อะไรที่กำหนดให้นั้น พอเหมาะพอดีอยู่แล้ว อย่าไปเปลี่ยนแปลง คนเราไม่ใช่ว่ามีเวลาว่างมากมายเหมือนกับที่แกต้องการ แกจัดปีละ ๔ ครั้ง เขาว่างหรือสะดวกช่วงไหนเขาก็บวชได้ แต่แกเล่นไปกำหนดทีเดียวว่า อยู่วัดก่อน ๗ วัน บวชอีก ๑๕ วัน ใครเขาจะอยู่ได้นานขนาดนั้น เดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากงานไปเท่านั้น” ท้ายสุดก็เลยต้องเหมือนเดิม ถ้าหากว่าอาตมาจะจัดบวชอะไรค่อยว่ากันอีกที
ช่วงที่ผ่านมามีแต่งานทุกวัน โดยเฉพาะอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นตรี ๑๐ วัน แล้วก็สอบ ๔ วัน จากนั้นก็มาอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นโท ๑๕ วันสอบอีก ๔ วัน สอบธรรมศึกษาอีก ๑ วัน โอ้พระเจ้า...หมดไปหนึ่งเดือนเต็ม ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย โดยเฉพาะเป็นหัวหน้าวิทยากรในการอบรม ยังพูดขำ ๆ กับนักธรรมชั้นโทชั้นเอกว่า นี่คณะสงฆ์ทองผาภูมิเห็นความสำคัญของพวกคุณมาก ถึงขนาดส่งพระด็อกเตอร์มาอบรมพวกคุณเลย อำเภออื่นยังไม่ส่งวิทยากรระดับนี้ แต่ว่าสถิติทำให้เห็นชัดว่าสอบได้ถึง ๙๘ เปอร์เซ็นต์ คำว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์ก็คือ ๑๐๐ ตกแค่ ๒ จากที่ ๑๐๐ เคยตก ๕๐" ถาม : เป็นเพราะอาจารย์เป็นด็อกเตอร์ ก็เลยตกแค่นี้ ? ตอบ : ไม่ใช่...เป็นเพราะว่าเอาข้อสอบเก่ามาให้ซ้อมทำ แล้วไปตรงกับที่เขาออก เอาให้เขาซ้อมทำ บังเอิญตรงกับที่เขาออกพอดี พอประกาศผลนักธรรมชั้นตรี คราวนี้ยิ้มหน้าบานกันทั้งวัดเลย ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือวัดท่าขนุน ส่งไป ๘ รูปตกไป ๑ ความจริงไม่มีโอกาสตก แต่กลับตกได้ วันก่อนพระครูสุกิจกาญจนโสภิต ถามว่า “อาจารย์พระครู ลูกศิษย์ตกได้อย่างไร ?” บอกว่า “ก็น่าจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์นั่นแหละ” เขาบอก “ไม่ใช่” “ใช่สิ...ต้องเอาของเขาไปลอก แล้วส่งคืนมาไม่ครบแผ่นแน่เลย” พอแหย่คืนไปท่านก็สะดุ้งเลย เพราะสมุห์กอล์ฟก็เคยโดนมาแล้ว เขาเคยโดนพวกเอาไปแยกชิ้นส่วน ๓ ชิ้น ถึงเวลาต่างคนต่างลอก พอส่งคืนไปไม่ครบ นั่นแหละคนลอกสอบได้ทุกคน แต่ต้นฉบับตก หลังจากนั้นเป็นต้นมาต้องสั่งเลย อย่ารีบเสร็จ โดยเฉพาะพวกลายมือดี ๆ ถ้ารีบเสร็จโดนเอาไปลอกหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:42 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมนั่งภาวนาไปสักพัก ความรู้สึกเหมือนกับตัวเบ่งกล้ามครับ ผมสงสัยว่าหายใจไหม ก็เลยเอายาดมไปจ่อที่จมูก ต่อมาก็รู้สึกเย็นที่จมูกครับ ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน เป็นอาการปกติของการปฏิบัติ ถ้าเราไม่กลัว ให้กำหนดใจสบาย ๆ รับรู้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น ก็จะก้าวข้ามไปสู่สมาธิที่ลึกกว่าได้เอง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เราไปรักตัวกลัวตาย จะทำให้ไปกังวลกับตรงนั้น แล้วก็ติดอยู่แค่นั้นแหละ ถาม : ผมสงสัยคำภาวนาครับ ถ้าเราสวดมนต์พร้อมออกเสียง จะถือว่าเป็นการภาวนาไหมครับ ? ตอบ : เป็น...คำว่าภาวนาคือทำให้เจริญ อะไรที่ทำให้กาย วาจา ใจ ดีขึ้น ถือว่าเป็นการภาวนาทั้งหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2015 เมื่อ 02:19 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อยากไล่หมาไล่แมว ต้องวางอารมณ์แบบไหนไม่ให้เกิดโทษครับ เพราะบางทีหมาแมวก็ไม่กลัวครับ ?
ตอบ : อย่างอาตมาไปไล่ โดนเลียหน้าแผล็บ ๆ เขารู้ว่าไม่ได้ดุจริง ก็ไปหาไม้หาอะไรมาฟาดพื้นไปสิ ถึงเวลาเห็นไม้เขาก็เผ่นเองแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2015 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนครูต้องคัดนักเรียนเป็นห้อง ก. ห้อง ข. เอาคนที่มีความสามารถใกล้เคียงกันไปเรียนอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่กดดันคนที่เรียนอ่อนกว่าและไม่ทำให้คนเก่งเขาเบื่อ แต่พอคนเก่ง ๆ มาอยู่ด้วยกันก็แข่งขันกันน่าดูเลย
ทางโรงเรียนของอาตมา ครูเขาตั้งเก้าอี้ไว้ ๒ ตัว มีคิงส์กับควีน เก่งที่สุดฝ่ายผู้หญิงไปนั่งโต๊ะควีน เก่งที่สุดฝ่ายผู้ชายไปนั่งโต๊ะคิงส์ อาตมาก็ต้องพยายามยึดเก้าอี้เอาไว้ให้ได้ คนอื่นก็ต้องพยายามแย่งให้ได้ เพราะถ้าเทอมต่อไปสอบไม่ได้ที่ ๑ คนอื่นที่ได้ก็ต้องไปนั่งตรงนั้นแทน จากคนที่เคยนั่งตรงนั้น พอไปนั่งที่อื่นแล้วไม่ชิน เลยต้องยึดเอาไว้ให้ได้ ฝ่ายผู้หญิงเขาเปลี่ยนกันบ่อย อาตมาเคยโดนยึดอยู่ครั้งหนึ่งตอนเรียน มศ.๓ ตอนพ่อตาย ไปงานศพพ่ออยู่ ๑๐ วัน หลังจากนั้นรู้สึกเวิ้ง ๆ อย่างไรไม่รู้ ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียน เทอมนั้นเลยโดนเขายึดไป ฝ่ายผู้หญิงเขาเปลี่ยนกันบ่อย เขามีอยู่ ๔-๕ คนที่ความสามารถใกล้เคียงกัน ส่วนฝ่ายผู้ชายหายาก พอเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้วไม่ค่อยสนใจเรียน คนบ้าเรียนมีอยู่ไม่กี่คน หาคนอื่นแทนยาก ที่อัศจรรย์ก็คือส่วนใหญ่ที่เรียนเก่ง ๆ เป็นลูกจีนทั้งนั้นเลย ใช้แต่แซ่ เหมือนอย่างกับลูกไทยเขาไม่กระตือรือร้นที่จะเรียน บางคนรู้สึกว่าเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ เรียนไปทำไม เดี๋ยวก็กลับไปทำนา ส่วนลูกจีนอย่างอาตมาพ่อแม่กรอกหูอยู่ตลอด ต้องเรียนให้เก่ง ๆ ไว้ ไม่รู้หนังสือทำอะไรก็เสียเปรียบเขา พอเคยชินกับการเรียนอะไรที่ง่าย ๆ เห็นเด็กคนอื่นเขาเรียนยาก ทุกข์ทรมานแล้ว รู้สึกเหนื่อยแทน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2015 เมื่อ 16:02 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
![]()
"เด็กที่วัดเขาเรียนปริญญาตรีตอนที่อาตมาเรียนปริญญาตรีเทอมสุดท้าย จนอาตมาจบปริญญาเอกแล้วเขายังไม่จบตรีเลย เขาเรียนที่สุโขทัยธรรมาธิราช เทอมแรก ๆ เขาไม่มีแนวทางเลย จึงสอนเขาว่าต้องดูหนังสืออย่างไร ต้องวิเคราะห์อย่างไร หัวก็ไม่ไป ท้ายสุดน้องเล็กเขาช่วยเข้าไปในเว็บ แล้วไปโหลดคำบรรยายของอาจารย์มาให้เขาฟัง เขาถึงจับจุดได้ เพราะว่าเรียนโดยอ่านหนังสือเอง ถ้าไม่ใช่คนแม่นจริง ๆ จะจับจุดไม่ได้ว่าวิชานี้สอนอะไร ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้แล้วไม่มีอาจารย์อธิบายก็ไปไม่เป็น
ตอนนี้กำลังเรียนวิชาสุดท้ายอยู่ ถ้าลงวิชานี้ก็จะจบ บอกเขาว่าถ้าจะต่อโทหลวงพ่อจะส่งให้ พูดง่าย ๆ คือ ทั้งหมู่บ้านของเขายังไม่มีใครจบปริญญาตรี เป็นเด็กมูเซอ บอกว่าถ้ามีเวลาก็เรียนต่อ ถ้าเรียนแบบหลวงพ่อแค่ ๒ ปีก็จบปริญญาโทแล้ว ถ้าจบโททั้งหมู่บ้านคงไม่มีใครตามไหว จะกลายเป็นขึ้นคานหรือเปล่า ? เพราะปีนี้เขาอายุ ๒๔ ปีแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2015 เมื่อ 16:04 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปคุมกรรมฐานของนิสิต มจร. ระดับปริญญาตรีวันที่ ๑๗-๒๖ ธันวาคม ส่วนของปริญญาโทเริ่มวันที่ ๑๗ ธันวาคมไปเลิกเอาสิ้นเดือนพอดี กรรมฐานของปริญญาโท ๑๕ วัน ต้องหาทางให้เขาเลิกวันที่ ๓๐ ธันวาคมให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมากลับไปจัดสวดมนต์ข้ามปีไม่ทัน พอสวดมนต์ข้ามปีเสร็จก็ต้องเตรียมมานั่งรับสังฆทาน ขณะเดียวกันก็ต้องไปพระสอบอุปัชฌาย์ จะปลีกตัวอีท่าไหนวะ ?
วันที่ ๒๓ ธันวาคมนี้ ต้องไปเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ท่านเสด็จไปเปิดพุทธยานหลวงพ่อพระยืนองค์ใหญ่ที่ห้วยกระเจา ทางนั้นหาพระไปเจริญชัยมงคลคาถาและพุทธาภิเษก จริง ๆ แล้วการเจริญชัยมงคลคาถาเขาต้องเอาเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัดมา แต่ดันมีชื่อพระครูวิลาศกาญธรรมไปด้วย แล้วพระปลุกเสกอีก คนอื่นเขาเจองานเดียว เราเจอ ๒ เด้ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2015 เมื่อ 16:08 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดสมเด็จองค์ปฐมเป็นสาธารณะ คนรู้จักก็สร้างกันไปเรื่อย แต่อีกจำนวนมากก็ยังไม่รู้จัก แม้กระทั่งพระผู้ใหญ่ฝ่ายการปกครองที่อาตมาไปขออนุญาตสร้าง ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้จัก ไปรู้จักพวกเราระดับล่าง ๆ บางทีท่านก็ไปยืนมองงง ๆ "เรียกว่าอะไรนะ องค์ปฐมหรือ ?" บอกท่านว่าคือพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก พวกเราเลยเรียกสมเด็จองค์ปฐม ท่านถึงเข้าใจ บางท่านก็แสดงภูมิรู้ว่ายุคนี้ยุคของพระสมณโคดม แล้วทำไมเราไม่สร้างองค์ปัจจุบัน ?
เดี๋ยวนี้ที่หน้าวัด รถแวะกันทั้งวัน เพราะว่าจอดพักก่อนขึ้นสังขละบุรีได้ ไปถ่ายรูปสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ ไปเข้าส้วม ไปซื้อน้ำ ตรงเข้าส้วมนี่แหละสำคัญ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2015 เมื่อ 16:09 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยอ่านพระไตรปิฎก อักโกสกพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า มีอยู่ประโยคหนึ่งบอกว่า "พระสมณโคดมเป็นผู้ที่ไร้รสชาติ" คำด่าประเภทนี้สมัยนี้ไม่เจ็บไม่คัน แต่สมัยนั้นน่าจะเป็นคำด่าที่เจ็บแสบมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่าอักโกสกพราหมณ์ด่าถูก เพราะพระองค์ปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง แล้วจึงไม่มีรสชาติอะไร
อาตมามานึกถึงตัวเอง สมัยแรกช่วงที่ทำงานใหม่ ๆ สิ่งที่อยากได้คือบ้าน สมัยนั้นบ้านจัดสรรพร้อมที่ดิน ๖๐ ตารางวา ราคาหลังละ ๒ แสนบาท ได้ยินแล้วอย่างกับฝันไป เดี๋ยวนี้มีแต่ ๔-๕ ล้านบาทขึ้น พยายามเก็บเงินจนได้ ๒ แสนบาท ปรากฏว่าบ้านขึ้นเป็น ๓ แสนกว่าบาท อาตมาเป็นคนที่ไม่ชอบซื้อของเงินผ่อน พอเก็บไป ๓ แสนกว่าบาท ก็ขึ้นเป็น ๔ แสนบาท ท้ายสุดก็หมดอยากที่จะซื้อ พอมาบวชเลยดีใจที่ตัวเองไม่มีบ้านของตัวเองจริง ๆ อย่างทุกวันนี้พระครูแสงน้องชายก็เครียดเรื่องบ้าน แกซื้อไว้ตอนที่กลับมาจากซาอุดิอาระเบีย ซื้อเงินสดสมัยนั้น ๘ แสนบาท บ่นหัวฟัดหัวเหวี่ยงทุกครั้งที่ไปดู บอกว่าคนเช่าไม่ดูแลให้เลย ปล่อยบ้านโทรมจนดูไม่ได้ เลยรู้สึกดีใจที่หมดอยากที่จะมีบ้าน แต่มาดีใจว่าไม่มีบ้านแทน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
![]()
"มีอยู่ยุคหนึ่งเห็นรถยนต์ยี่ห้อไหนสวย ๆ ก็อยากได้ไปหมด แต่พอทำงานเก็บเงินจนกระทั่งมีพอที่จะซื้อรถ เหมือนกับหมดอยากไปเฉย ๆ คล้าย ๆ กับว่าสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะหามาได้ ก็ไปดิ้นรนไขว่คว้า พอมีปัญญาที่จะได้ก็หมดอยาก เรื่องนี้อาตมาสังเกตตัวเองมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ คือถ้าอยากได้อะไรก็แทบจะบ้าไปเลย ต้องเอาให้ได้ แต่พอได้มาแล้วสามารถให้คนอื่นต่อได้เดี๋ยวนั้นเลย เหมือนกับว่าขอให้ได้มาก็พอ หลังจากนั้นก็จะหมดอยากในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ฉะนั้น...ถึงเวลาจะมีรถยี่ห้อไหนก็ได้ กลับไม่อยากได้อะไรเลย เห็นเป็นภาระ
ตอนที่เห็นเป็นภาระมากที่สุด คือ ซื้อรถเบนซ์ถวายพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีสมัยนั้น อาตมาเป็นคนดูแลรถ เพราะท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถึงเวลากลับมาบางที ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่ม อาตมาก็ตรวจสอบน้ำ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ลมยาง ตรวจอะไรสารพัดพร้อมกับเช็ดถู กว่าจะเสร็จก็ ๔ ทุ่ม บางทีตี ๕ ออกอีกแล้ว ถึงเวลาต้องเอาไปเข้าศูนย์ ถึงเวลาเอาไปเติมน้ำมัน ท่านเองใช้อย่างเดียว ก็เลยกลายเป็นว่า พอมีในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้เมื่อไร ก็จะหมดอยากไปเฉย ๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนนั้นบวชได้ประมาณ ๘ พรรษา เห็นเด็ก ๆ แล้วรักสุดจิตสุดใจเลย เห็นเป็นลูกไปหมด คิดว่าถ้าไม่ได้บวชต้องแต่งงานให้ได้ อยากมีลูกของตัวเอง ช่วงนั้นก็เป็นอยู่อย่างนั้นพักเดียวแล้วก็หาย ก็เลยคิดเราเป็นอะไรกันแน่วะ ? อยากอยู่พักเดียว พอพักหนึ่งก็หมดอยาก ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป เลยไปนึกถึงว่า ใครนะที่ถามว่าพระนิพพานไม่ต้องทำอะไรเลยก็เบื่อแย่ เออ...เขาเข้าใจเอาเรื่องของคนมีกิเลสไปคิดถึงคนหมดกิเลส หารู้ไม่ว่าคนที่วางภาระทั้งหมดได้มีความสุขขนาดไหน คิดออกกันหรือเปล่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
![]()
"ถามว่าเคยรักผู้หญิงไหม ? ก็เคย เคยบ้าถึงขนาดตี ๒ ตี ๓ ต้องโทรไปหา แต่ก็เป็นอยู่พักเดียว เหมือนโดนบังคับ คือรู้ว่าตัวเองต้องบวช ถ้าหากว่าเราบวช เกิดมีคู่แล้วต้องทิ้งเขาไป คงทำใจยาก เลยกันตัวเองเอาไว้ ยุคนั้นเลยค่อนข้างจะเป็นคนปากร้าย เวลาผู้หญิงเข้าใกล้โดนไล่กระเจิดกระเจิงหมด ตอนนั้นเข้าใจตัวเองว่า ถ้ามีคู่ก็ทิ้งเขาไม่ได้ อาตมากำลังใจไม่ยิ่งใหญ่เท่าพระพุทธเจ้า ในเมื่อใช้ชีวิตร่วมกันก็ต้องรับผิดชอบชีวิตเขา อะไรทำนองนี้
ช่วงที่ไปวัดท่าซุง บรรดาหลวงพี่ที่วัดพอได้ยินว่าจะบวช ร้องเหวอไปตาม ๆ กัน เพราะอาตมาไปทีพาสาวไป ๘ คน ๑๐ คน แล้วบอกว่าจะบวช แต่ความจริงช่วงนั้นบรรดาน้อง ๆ ยังเรียนหนังสืออยู่บ้าง เรียนจบแล้วไม่มีงานทำบ้าง แล้วที่บ้านก็ไม่มีผู้ชายที่จะเข้าวัด ถ้าอาตมาไม่พาไปเขาก็ไม่รู้ว่าจะอาศัยใครไปวัด พูดง่าย ๆ ว่าไปเป็นไม้กันหมาให้เขา แต่คนอื่นเขาไม่เข้าใจ ไปด้วยกันก็คิดว่าเป็นแฟนกัน มากันทีเยอะแยะแบบนี้แล้วบอกว่าจะบวช"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:21 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
![]()
"บวชใหม่ ๆ ๔-๕ พรรษาแรก ผู้หญิงเข้าใกล้อาตมาไล่กระเจิงหมด ที่มาปรับตัวเพราะว่ามีอยู่วันหนึ่ง ช่วงใกล้ปีใหม่โยมผู้หญิงคนหนึ่งเอาของขวัญมาให้ อาตมาบอกว่า "เออ...ขอบใจมากนะ ขอให้มีความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวัง" ยายนั่นได้ยินหันมามองหน้า "เออ...หลวงพี่ก็พูดดี ๆ กับเขาก็เป็นเหมือนกันนะ" ก่อนหน้านี้ด่าตลอด ไล่ตลอด ไม่ให้เข้าใกล้ นึกขึ้นมาได้ว่า ตายห่...นี่เราปากร้ายขนาดนั้นเลยหรือ ? ก็เลยค่อย ๆ ปรับตัวเองใหม่ ไม่อย่างนั้น ๔-๕ พรรษาแรกไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้"
ถาม : ทำไมถึงไล่ ? ตอบ : ระวังกลัวจะผิดศีล ต้องใช้ภาษาสมัยนี้ว่าเขาดีเกินไปสำหรับเรา สมัยนี้ประโยคนี้เขาเอาไว้บอกเลิกกัน แต่อาตมารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ อาตมารู้ตัวเองอยู่ว่าต้องบวช ถ้าไปมีอะไรกับเขา ก็ไม่ควรที่จะทิ้งเขาไป ฉะนั้น...บรรดาสาว ๆ สมัยโน้น ถ้าอยู่ ๆ ได้ข่าวว่าอาตมามีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง เขาเถียงตายเลย สมัยโน้นโอกาสมีเป็นร้อยเป็นพันยังไม่แตะไม่ต้อง จะมาทำอะไรเอาตอนแก่ ต้องบอกว่าตอนเป็นพระ ผู้หญิงเข้าใกล้ได้มากกว่าตอนเป็นฆราวาสเยอะเลย เพราะตอนนั้นป้องกันตัวเองชนิดขีดวงไว้เลย ห้ามล้ำเส้น รู้ว่าเป็นคนใจอ่อน ขี้สงสาร ถ้าไปมีความสัมพันธ์ขึ้นมาแล้วให้ทิ้งเขาไป คงตัดใจทิ้งไม่ลง เลยอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
![]()
ไปเนปาลงวดนี้กว่าจะหาผู้ชายมานอนห้องข้าง ๆ ได้ก็ลำบาก งวดนี้ถึงขนาดมีคนสั่งตากล้องเอ๋ บอกให้ไปเป็นคนกันให้หน่อย แต่ความจริงเป็นคนละห้องก็หมดเรื่องแล้ว ที่ตลกคือเขาพักห้องที่เป็นเตียงคู่สำหรับนอน ๒ คน แต่อาตมาคนเดียวดันไปนอนห้องที่มี ๒ เตียง ก็ดีเหมือนกันคืนนี้นอนเตียงนี้ อีกคืนนอนเตียงนี้
ตอนแรกมหาโรจน์เขาไปด้วย ทางทัวร์จัดให้พักห้องเดียวกัน ปรากฏมหาโรจน์บอกว่า ถ้านอนห้องเดียวกับหลวงพ่อ ท่านทำตัวไม่ถูก เลยยอมเสียเงินเปิดห้องต่างหากของตัวเอง พระพุทธเจ้าท่านป้องกันพระเอาไว้ถึงขนาดว่า ห้ามภิกษุนอนเตียงเดียวกัน ท่านใช้คำว่า กายะสังสัคคัง คือมีกายอันสัมผัสกันได้ แล้วก็ห้ามห่มผ้าห่มผืนเดียวกัน ถ้านอนเตียงเดียวกันแล้วมั่นใจว่าตัวคุณไม่สัมผัสกัน ก็ห้ามใช้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่านกันไว้ขนาดนั้น ตอนแรกอ่าน ๆ ไป เอ๊ะ...ทำไมกันไว้ขนาดนี้ ปรากฏว่าระยะหลังผู้ชายสวยมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ถึงได้เข้าใจว่าท่านกันเอาไว้ล่วงหน้าเป็นพันปี เพื่อน ๆ อาตมาที่เป็นแบบนี่มีเยอะแยะเลย คบหาสมาคมกันอย่างที่เราก็ไม่ได้รังเกียจเขา ในวงการสงฆ์มีเยอะ แรก ๆ เขาก็เก็บอาการ แต่พอรู้ว่าเราไม่รังเกียจก็ปล่อยเต็มที่เลย บรรดาท่าน ๆ ทั้งหลายเหล่านี้มีความสามารถมาก เขามีความละเอียดอ่อนของผู้หญิง และมีความเข้มแข็งของผู้ชาย ฉะนั้นทำงานเก่งทุกคน ถ้าเก็บอาการได้ สามารถบวชได้ แต่ถ้าบวชแล้วเก็บอาการไม่ได้เขาไม่ได้ปรับคนบวชนะ ปรับพระอุปัชฌาย์ที่ให้บวช ส่วนคนบวชท่านว่าให้นาสนะคือให้สึกเสีย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:26 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
![]()
ตอนนี้วัดท่าขนุนตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองผู้บวช ก็คือเอาตามที่ท่านบัญญัติเอาไว้ว่าประเภทไหนห้ามบวชบ้าง แต่อุภโตพยัญชนะน่าจะไม่มี เพราะอุภโตพยัญชนะเป็นคนสองเพศ พระพุทธเจ้าท่านห้ามมา ๒ พันกว่าปี เพิ่งมาเจอไม่นานมานี้เองว่า มีเกาะอยู่แห่งหนึ่งที่ผู้หญิงผู้ชายมีอวัยวะสมบูรณ์ทั้งสองเพศเลย ฝ่ายไหนจะตั้งท้องก็ได้ เกาะนั้นเป็นทั้งเกาะ
ถาม : เป็นเผ่าพันธุ์ ? ตอบ : ใช่...พระพุทธเจ้าห้ามบวชเลย เดี๋ยวจะเกิดปัญหาขึ้น ทีแรกก็คิดว่ามีจริง ๆ หรือ พอฝรั่งออกมายืนยันเลยต้องยอมรับว่ามีจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:27 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ในอดีตชาติสามีภรรยาคู่หนึ่งได้อธิษฐานไว้ ปัจจุบันถอนคำสาบานที่ติดตามกันมาในอดีตต่อหน้าพระแม่ธรณี สามารถลบล้างคำอธิษฐานได้ไหมครับ ?
ตอบ : คำอธิษฐาน ถ้าต่างคนต่างตั้งใจเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ก็สามารถที่จะลบล้างได้ ถาม : ลบล้างได้ แต่ก็ยังอยู่ ? ตอบ : ถ้าข้ามชาติข้ามภพเป็นเรื่องใหม่แล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าเราไม่ไปฟื้นสัญญาเดิม ก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไร อย่างเก่งเห็นหน้าก็รู้สึกถูกชะตา แต่ถ้าเราไปฟื้นสัญญาเดิม ความผูกพันเก่า ๆ ก็เท่ากับเราไปผูกกรรมเดิมเข้าไว้ ฉะนั้น...ถ้าเป็นไปได้ก็ขออโหสิกรรมกัน แล้วก็ถอนคำอธิษฐาน เรื่องความผูกพันข้ามชาติข้ามภพมา ถ้าเราตั้งใจจริง ๆ ถอยไปฝ่ายหนึ่งก็จบ หลวงปู่ฝั้นที่อาตมาเคยนับถือเป็นครูบาอาจารย์ก่อนที่จะมาเจอหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านธุดงค์จะข้ามแม่น้ำ แล้วมีแม่ลูกแจวเรือจ้างมารับ ท่านว่าพอเห็นหน้าลูกสาวก็แวบเข้ามาในอก เข่าอ่อนแทบจะยืนไม่ติดเลย รู้เลยว่าถ้าไม่ได้บวชเป็นพระอยู่ ต้องไปขอแต่งงานด้วยแน่ ท่านว่าพอขึ้นจากเรือ ท่านเดินแทบจะไม่ได้สติ ไปเรื่อยจนได้ระยะพอสมควรก็ปักกลด ปรากฏว่าแม่กับลูกคู่นั้นตามมา มาถึงก็รำพึงรำพันว่าตัวเองมีนากี่ไร่ มีควายกี่ตัว มีลูกสาวคนเดียว ไม่มีผู้ชายที่จะอยู่คอยเป็นหลักในบ้านเลย เห็นหน้าท่านแล้วก็ชอบใจ ช่วยสึกมาทีเถอะ จะยกลูกสาวและสมบัติทั้งหมดให้ หลวงปู่ฝั้นบอกว่าท่านไปไม่เป็นเลย ใจตัวเองก็ไปตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วเขายังมาพูดอย่างนี้อีก แต่ด้วยสำนึกว่าอยู่ในเพศของความเป็นพระ คุยเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ได้แต่บอกปัด ๆ ไปว่าเอาไว้มารอคำตอบพรุ่งนี้แล้วกัน แม่ลูกจึงว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาจังหัน คือ เอาอาหารเช้ามาถวาย แล้วจะมาฟังคำตอบ หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่าพอลับหลังสองแม่ลูกคู่นั้น ท่านยอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้นเลย ท่านบอกว่าถ้าอยู่เสร็จเขาแน่ เพราะว่าใจตัวเองไปเกินครึ่งแล้ว โดยปกติพระปักกลดแล้วด้วยสัจจะบารมี ต่อให้มีเรื่องถึงแก่ชีวิตก็ถอนกลดไม่ได้ ต้องยอมถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา แต่ท่านถอนกลดหนี ธุดงค์ข้ามไป ๔ จังหวัด ท่านว่าเดินไปที่ไหนก็นึกถึงแต่ยายหน้าใบโพธิ์ กราบเรียนถามท่านว่า แล้วหลวงปู่หนีรอดไหมครับ ? ท่านบอกว่าข้ามไป ๔ จังหวัด สมัยนั้นยังเป็นป่าเสือป่าช้าง ถ้ายังตามมาก็ยอม ปรากฏว่าผู้หญิงตามไม่ไหว ท่านบอกว่ายังคิดถึงอยู่เป็นปีจนกว่าจะจางหายไป ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องอันตราย เราไปผูกสัมพันธ์เมื่อไรก็เสร็จเมื่อนั้น มีอย่างเดียวต้องทิ้งห่างไปเลย แรก ๆ จะยากนิดหนึ่ง หลังจากนั้นจะเบาลง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:35 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
![]()
อาตมาบวชใหม่ ๆ ก็มีเหมือนกัน มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย พอเห็นหน้าก็แปล๊บเข้ามาในใจ รู้เลยว่าคนนี้ถ้าพูดด้วยเราเสร็จแน่ ก็พยายามเลี่ยงไปเรื่อย ๆ เลี่ยงอย่างไรก็เลี่ยงไม่รอด เพราะแม่เจ้าประคุณตามไปเรื่อย ท้ายสุดหลวงพ่อวัดท่าซุงเรียกตัวไปเฝ้าหน้าห้องท่าน คราวนี้ตรงนั้นถ้าใครไม่มีธุระกับหลวงพ่อห้ามเข้าเลย เขาไม่มีข้ออ้างที่จะไป ท้ายสุดก็ต้องกลับ ถ้าหลวงพ่อท่านไม่ช่วยไว้อาตมาก็เสร็จไปแล้ว แปลกอยู่ตรงที่ว่ารูปร่างหน้าตาไม่ใช่แบบที่เราชอบเลย แต่เห็นหน้าแล้วทำอะไรไม่ได้เลย นั่งกรรมฐานก็ลืมตามอง หลับตาภาวนาไม่ได้
ถาม : พอถอนคำอธิษฐาน มีแต่แย่ลง ๆ ? ตอบ : ต้องเกิดจากฝ่ายใดฝายหนึ่งที่กำลังใจไม่ดีพอ ในเมื่อกำลังใจไม่ดีพอ พอสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป อาจจะเกิดความรักความหวงขึ้นมาอีก เรื่องราวก็เลยเละเทะไม่เป็นท่า ต้องบอกว่า ไม่เด็ดขาดพอ ถ้าเด็ดขาดพอ ทีเดียวต้องขาดเลย ถาม : ต้องต่อหน้าพระแม่ธรณีไหมครับ ? ตอบ : ไม่ต้องก็ได้ พูดง่าย ๆ ว่า ขอให้ตั้งใจจริงก็พอ อันนั้นต่อหน้าแม่พระธรณีหวังให้มีพยาน ช่วยยืนยันว่าไม่ยุ่งกันแล้วนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:37 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
![]()
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ ปัจจุปบันนะ หิเตนะวา เอวันตัง ชะยะเตเปมัง อุปะลังวะ ยะโถทะเกฯ ปุพเพวะ สันนิวาเสนะ คือบุพเพสันนิวาสที่สั่งสมร่วมกันมา เคยเป็นคู่กันมาชาติแล้วชาติเล่า ปัจจุปบันนะ หิเตนะวา ก็คือ เกื้อกูลสร้างประโยชน์ต่อกันและกันจนรักใคร่ชอบพอกันในปัจจุบัน ท่านบอกว่าเหตุนี้แหละที่ทำให้ชายหญิงรักกัน อุปะลังวะ ยะโถทะเกฯ เหมือนดอกบัวที่ขาดน้ำและโคลนไม่ได้
เราต้องชื่นชมพระอริยเจ้าที่ท่านตัดเรื่องพวกนี้ได้ ท่าน เป็นสุดยอดมนุษย์จริง ๆ สุนทรภู่ท่านบอกว่า "อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน" ลองนึกดูถ้าคนเราไม่ต้องมีคู่ อยู่คนเดียว ไม่ต้องไปตะเกียกตะกายเอาอะไรมากมายเหมือนปัจจุบันนี้ ถ้ามีคู่ เดี๋ยวก็ต้องมีลูกมีหลานมีเหลน ภาระผูกพันเยอะขึ้น ๆ สุนทรภู่แกเองก็รู้ว่าตัดเรื่องพวกนี้ไม่ได้ จึงได้บอกว่า ถ้าใครตัดได้จะให้ถอง ถ้ามาเกิดสมัยนี้แล้วท้าอย่างนี้ อาตมาจะพาไปให้ถองหลายราย เพราะรู้ว่ามีหลายท่านที่ตัดได้จริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:39 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เราไม่ได้มีความต้องการราคะมากเท่าที่คนในปัจจุบันมี หมายความว่าของเดิมเราบำเพ็ญมาในเนกขัมมะบารมีด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ :ถ้าเคยผ่านเรื่องเนกขัมมะบารมีแล้ว ความรู้จักระงับยับยั้งชั่งใจจะมีเยอะ ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ชาตินี้เมื่อถึงวาระเราจะได้บวช ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเอง อาตมาเองหนีมาปีแล้วปีเล่า ตอนนั้นกลัวนรกจริง ๆ กลัวรักษาศีลไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้เดี๋ยวลงนรก เลยไม่กล้าบวช แม่ขอให้บวชปีแล้วปีเล่าก็ไม่กล้าบวช จนกระทั่งท้ายสุดหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการพระบวชแก้บน ท่านว่าบวชให้ท่านได้ไหม เลยตัดสินใจว่าสมัยก่อนศีล ๒๒๗ ข้อครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านยังบรรลุมรรคผลกันนับไม่ถ้วน สมัยนี้ศีลเกี่ยวกับการทำข้าวของเครื่องใช้ก็ดี ศีลเกี่ยวกับนางภิกษุณีก็ดี ไม่ต้องรักษาก็กำไรเป็นทุนอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ต้องทำอะไรเอง ญาติโยมหามาถวาย ขณะเดียวกันนางภิกษุณีก็ไม่มีให้เราผิดศีล ก็เท่ากับว่าเรามีกำไรมากกว่าคนโบราณตั้งเยอะตั้งแยะ ถ้ายังอยู่ไม่ได้ก็ลงนรกไปเถอะ เลยตัดสินใจบวช ฉะนั้น...การบวชอยู่ที่เราตัดสินใจเอง ไม่ได้อยู่กับคำพยากรณ์ของใคร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 03:41 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีคนทำคุณไสย จะแก้ด้วยวิธีใดคะ ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระครอบเราไว้ทุกเช้า แล้วก็ภาวนารักษาภาพพระไปเรื่อย ๆ ทั้งวัน ถาม : ภาวนาว่าอะไรคะ ? ตอบ : ถ้าจะเอาคืนก็ เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา หรือถ้าไม่ต้องการตอบโต้ จะภาวนาพุทโธก็ได้ แต่ต้องนึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้ตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2015 เมื่อ 01:23 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าถือศีลแปด ข้อวิกาลโภชนาฯ เราทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าถือศีลแปดจะเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในลักษณะที่ว่าถึงเวลาก็ลามากิน จะอยู่ในแนวของสีลัพพตปรามาส อย่าลืมว่าศีล ๘ ถึงเวลาอาราธนาแล้วมี วิสุง วิสุง คือประเภทรวมกันไปเลย ถ้าขาดข้อหนึ่งถือว่าขาดทั้งหมด เพราะเป็นศีลพรหมจรรย์ แต่ศีล ๕ ไม่ต้องมีคำว่า วิสุง วิสุง ก็คือต่างคนต่างอยู่ ถ้าขาด ๑ ข้อ อีก ๔ ข้อยังใช้ได้อยู่ ฉะนั้น...ศีล ๘ ของเราขาดข้อเดียวถือว่าขาดทั้งหมด ถาม : ผมถือศีล ๕ ดีกว่า ? ตอบ : ของคุณรักษาศีล ๕ ดีกว่า แต่จะลองพยายามฝืนสู้ดูก็ได้ อดสักวันสองวัน ดูซิว่าจะถึงแก่ชีวิตไหม ? ถาม : ศีลแปดไม่จำเป็นต้องอาราธนาใช่ไหมครับ ? ตอบ : ตั้งใจถือก็เป็นศีลเลย เพราะว่าศีลอยู่ที่การงดเว้น ศีลที่เราอาราธนาคือไปร้องขอให้พระท่านบอกว่ามีอะไรบ้าง แล้วพระท่านบอกก็คือให้ศีล ว่าศีลแต่ละข้อมีอะไร พอเรารู้แล้วก็รักษาตามนั้น ถ้าเรารู้แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาไปขอ ให้ตั้งใจงดเว้นเลย ถ้าขอแล้วไม่ตั้งใจงดเว้นก็ไม่เป็นศีล ศีลจะเป็นศีลหรือไม่อยู่ที่ว่า เรามีโอกาสละเมิดแล้วเราตั้งใจงดเว้นได้ จึงจะเป็นศีล
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2015 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าจะบูชารกแมว ช่วยได้ในเรื่องอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : เขาเชื่อว่าช่วยได้ในเรื่องของลาภผล หรือการค้าขาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2015 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|