|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ทักษิณทำบุญอะไรคะ ถึงรวยขนาดนั้น ?
ตอบ : ก็คงสังฆทานนี่แหละจ้ะ ไม่ต้องอะไรมากมายหรอก เพียงแต่วาระมาสนองพอดี อย่าลืมว่าคุณทักษิณก่อนจะรวยนี่แกทุ่มหมดตัวเลยนะ ถ้าเรื่องของโทรศัพท์มือถือไม่สำเร็จแกก็เป็นหนี้หัวโตเลย กู้เขารอบทิศทาง ขนาดเอากิจการของชินวัตรไหมไทยไปเข้าค้ำประกันไว้ ท้ายสุดแทงหวยถูก ในเมื่อแทงหวยถูกก็เลยรวยขึ้นมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-08-2013 เมื่อ 16:14 |
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของการเมือง ถ้าจะคิดต้องคิดอย่างในหลวง ในหลวงจะไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีฝ่ายรัฐบาล จะไม่มีอิสลาม จะไม่มีพุทธ แต่ว่าทุกคนคือพสกนิกรที่พระองค์ท่านจะต้องปกครองให้มีความสุขเสมอหน้ากัน แต่รัฐบาลของเราในปัจจุบันยังก้าวข้ามไม่ได้ตรงจุดนี้ ที่ก้าวข้ามไม่ได้เพราะว่ายังมีพรรคของตัว ยังมีพวกของตัวอยู่ ในเมื่อยังมีพรรคของตัวพวกของตัวอยู่ ถึงเวลาตัวเองทำดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าพรรคพวกที่ตั้งขึ้นมาทำไม่ดีก็เสียหายหมด คงต้องอีกหลายปีกว่าที่นักการเมืองของเราจะมีจิตสำนึก มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมเพียงพอ
แต่จริง ๆ ๓ ตัวนี้อยู่ที่ศีลธรรมอย่างเดียว คุณปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งความดีทรงตัวจะเกิดเป็นคุณธรรมประจำใจของตนเอง บุคคลที่มีคุณธรรมประจำใจ จริยธรรมคือการแสดงออกก็จะเป็นไปในทางที่ดีโดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น..หากว่ามีศีลธรรมทรงตัว ก็จะมีคุณธรรม เมื่อมีศีลธรรม คุณธรรมทรงตัว จริยธรรมก็จะดีโดยอัตโนมัติเอง" ถาม : บ้านเมืองเราดีขึ้นแล้วใช่ไหม ? ตอบ : ตั้งแต่ปีนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อปี ๒๕๔๙ ทันทีที่เขาปฏิวัติแล้วโยมถามว่า บ้านเมืองเราจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม ? อาตมาก็ยืนยันว่า ถ้าไม่ใช่หลังปี ๒๕๕๖ ไปแล้วจะไม่ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ดีทีเดียว จะค่อย ๆ ขึ้นทีละนิด เดี๋ยวรออาตมาหล่อพระทองคำเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็จะค่อย ๆ เริ่มฟ้าแจ้งจางปาง สร้างพระทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว เขาบอกต้องใช้ทองคำ ๔๐ กิโลกรัม ตอนนี้มี ๔ กิโลกรัมแล้ว เมื่อไม่ได้มี ๘ ตันเท่ากับเณรคำ ก็ต้องค่อย ๆ หา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-08-2013 เมื่อ 16:14 |
สมาชิก 249 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เงินที่ญาติโยมถวายมาเพื่อร่วมสร้างพระทองคำ ตอนนี้อาตมาใช้เกินบัญชีไปแล้ว รวม ๆ แล้วซื้อทองไป ๔๐๐ บาทแล้ว ต้องบอกว่าเพื่อประเทศชาติและประชาชน จะฉิบหายเท่าไรก็ช่าง สร้างให้ได้แล้วกัน เพราะท่านยืนยันว่าถ้าสร้างพระองค์นี้เสร็จเมื่อไร สถานการณ์ของประเทศชาติจะอยู่ในลักษณะฟ้าแจ้งจางปาง จะไม่รวยได้อย่างไร ขนาดพระยังสร้างด้วยทองตั้ง ๔๐ กิโลกรัม ชาวบ้านเขาจะได้รวยกันบ้าง แต่กว่าจะได้สร้างก็ปี ๒๕๖๒"
ถาม : สร้างปีนี้เลยสิครับ ? ตอบ : หามาสิ..ถ้าครบ ๔๐ กิโลกรัม จะสร้างให้ปีนี้เลย..! ถาม : เดี๋ยวกะว่าจะไปขอของหลวงปู่เณรคำมาถวาย ตอบ : ของหลวงปู่เณรคำแปรธาตุกลายเป็นธนบัตรไปหมดแล้ว แถมยังโอนไปแล้วด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อตอนย้ายจากบ้านอนุสาวรีย์มาที่นี่ โยมจะถวาย Lexus ๑ คัน อาตมาบอกว่ารถราคาตั้งหลายล้าน เกินฐานะไป เดี๋ยวขี้กลากจะขึ้นเอา คนให้เขาบอกว่า ลักษณะการเดินทางโดยเฉพาะพื้นที่ป่าและเขา ควรจะเป็นรถขับเคลื่อน ๔ ล้อ อาตมาก็เลยขอเป็น Fortuner ก็พอ อย่างน้อย ๆ โยมก็ยังเหลือเงินอยู่ ๒ - ๓ ล้านบาท
เรื่องอย่างนี้ต้องบอกว่าอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ใช่ว่าโยมถวายแล้วเราจะไปรับอะไรเรื่อยเปื่อย เอาแค่พอสมกับฐานะ เราเป็นพระ อยู่ในฐานะขอทาน พระพุทธเจ้าสอนให้เราไปขอคนอื่นเขา เพื่อลดทิฎฐิมานะของตนเอง ถ้าขอทานรวย แล้วใครจะอยากให้การสนับสนุนอุ้มชู ยกเว้นลุงเอี่ยม แต่ลุงเอี่ยมเขาก็ถวายวัดหมด น่าชื่นใจนะ เป็นขอทานมีเงินทำบุญครั้งละล้าน แล้วแกยิ่งทำก็ยิ่งได้ ใครไปก็หาลุงเอี่ยม ๆ ตอนนี้คนทั้งประเทศรู้จักกันหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านั้นก็จะเห็นขอทานคนหนึ่ง เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั่งคอพับอยู่ มาตอนนี้ลุงเอี่ยมนั่งเฉย ๆ ก็มีคนเอาเงินไปให้ บางทีประกาศถามหาเลยว่าลุงอยู่ที่ไหน อาตมาอยู่วัดไร่ขิงมาแต่แรก ๆ ไปดูลุงเอี่ยมแล้วก็เห็นวิธีขอเงินของเขานะ ผ้าปูนั่งของแกจะเขียนใบ้หวยไว้ แล้วการใบ้หวยของลุงเอี่ยมนี่ อาตมาดูไปดูมาแล้วมีครบ ๑๐ ตัวเลย อย่างไรก็ต้องมีคนถูก ตั้งแต่ ๐ ถึง ๙ มีครบเลย แกจะเขียนเป็นชุด ๆ เป็นวง ๆ อยู่ ๔ - ๕ วง อยู่ตรงหน้าแก ดูไปดูมาแล้วมีครบ แบบที่เขาว่า ๒, ๕, ๘ ระหว่างเลขข้างเคียง อย่าทิ้ง ๐ เลขข้างเคียงของ ๒ ก็ ๑ กับ ๓ เลขข้างเคียง ๕ ก็ ๔ กับ ๖ เลขข้างเคียง ๘ ก็ ๗ กับ ๙ อย่าทิ้ง ๐ อาตมาก็ใบ้เป็นถ้าให้ใบ้อย่างนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 03:33 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ที่บอกว่าพระอริยเจ้ากลับมาเกิดใหม่ ?
ตอบ : ถ้าเป็นระดับพระอนาคามีไปแล้วนี่ไม่มีทางเลย มาเพื่อสงเคราะห์คนได้ แต่ไม่ใช่กลับมาเกิดใหม่ การกลับมาสงเคราะห์นี่มีทั้งประเภทมาเป็นกายเนื้อ ๆ จับได้ต้องได้ หมดธุระท่านก็ไปตามแบบของท่าน ก็คือท่านต้องการจะให้กายหยาบหรือละเอียดอย่างไรอยู่ที่ท่าน แต่การมาเกิดใหม่นี่เกิดไม่ได้ ถาม : อย่างเซียนของจีน ? ตอบ : เรื่องเซียนของจีนต้องตีความกันก่อน เซียนของจีนเขามีทั้งพระอริยเจ้า แล้วก็มีทั้งผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ เพราะฉะนั้น..ถ้าเอ่ยถึงว่าเซียน เราต้องสรุปเลยว่าเซียนทุกท่านไม่ใช่พระอริยเจ้า แต่พระอริยเจ้าทุกท่านเป็นเซียน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าอาจารย์เขาใช้คำพูดบางอย่างที่ไม่นึกว่าจะมีผลต่อสภาพจิตใจของลูกศิษย์ คือท่านเองอาจจะพูดให้ฟังดูง่ายว่า เรื่องของคณิตศาสตร์แค่นับหนึ่งให้ถึงร้อย แล้วทอนเงินเป็นก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องเรียนอะไรมากหรอก อาตมาก็เลยไม่คิดอยากจะเรียน ทั้ง ๆ ที่เวลาเรียนถ้าตั้งใจทำก็ทำได้ดี แต่กลายเป็นมีทัศนคติที่ไม่ดีว่าเรียนไปก็เท่านั้นเอง นับหนึ่งถึงร้อย ทอนเงินเป็นก็ใช้ได้แล้ว
ปรากฏว่าตอนอยู่ มศ. ๓ โยมพ่อตาย ขาดเรียนไปจัดงานศพอยู่ ๑๐ วัน วิชาคณิตศาสตร์ขาดเรียนครึ่งชั่วโมงก็แย่แล้ว นี่ขาดไปตั้ง ๑๐ วัน ไปถึงเขาสอบเก็บคะแนนพอดี อาตมาก็นั่งคู่กับเพื่อน พอหันไปมองเพื่อนว่า “มึงอย่าลอกกูนะ” ได้ยินแล้วฉุนขาดเลย ไม่ลอกก็ได้วะ อาจารย์ท่านออก ๒ ข้อ ข้อละ ๑๐ คะแนน รวมคะแนนเก็บ ๒๐ คะแนน สอบเสร็จอาตมาได้คะแนนเต็ม เพื่อนได้ ๐ เลยคิดว่า "เออ..ถ้ากูลอกมึงก็เจริญเลยสิ ดีที่กูทำเอง.." โดยเฉพาะพวกเด็กหลังห้อง ต้องให้ความสนใจมาก ๆ เลย อาตมาสอนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ พวกเด็กหลังห้องจะสยอง เพราะไม่ได้ยืนหรือนั่งอยู่กับที่ แต่เดินบรรยายไปทั้งห้องเลย ถ้าตรงไหนต้องการให้เขาจำหรือเป็นภาษาอังกฤษ ก็เขียนขึ้นกระดานให้เขา ถ้าตรงไหนจะออกข้อสอบก็จะบอกด้วยให้จด ใครไม่จดออกมาทำไม่ได้ก็แล้วแต่คุณเองนะ ช่วยถึงขนาดนั้น ออกข้อสอบตรงไหนยังบอกเลย คราวนี้เท่ากับบังคับให้เขาต้องคอยระวัง จะออกตรงไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวก็มาแล้ว ช่วงเทอมนี้สอนการจัดการเชิงกลยุทธ์ เป็นวิชาที่ลูกศิษย์จะต้องเริ่มหลับตั้งแต่ ๕ นาทีแรก แต่ปรากฏว่าสอนเขาเลยเวลา ๓ ชั่วโมงทุกทีเลย คือเอาเหตุการณ์จริง ๆ ที่เกิดขึ้นไปเล่าให้เขาฟัง ก็เลยสนุกเฮฮา แล้วก็ซักถามกัน อย่างที่มาของการจัดการเชิงกลยุทธ์ เพราะเกิดจากการแข่งขันในทางการค้าในปัจจุบัน ที่อยู่ในลักษณะเหมือนฆ่ากันตาย ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียก Cut Throat แข่งกันชนิดเอากันตายไปข้างหนึ่ง ก็เลยยกตัวอย่างคู่กัดในบ้านเรา อย่างเป๊บซี่กับโค้ก เบียร์สิงห์กับเบียร์ช้าง แลนด์แอนด์เฮ้าส์กับพฤกษา ยกตัวอย่างให้ดูทีละอย่างเลย ก็สนุกสนานเฮฮากันไปใหญ่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 03:33 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
![]()
"โดยเฉพาะตอนที่เขาต่อสู้กันในโฆษณา หยอดเหรียญที่ ๑ โค้กกลิ้งมา ๑ กระป๋อง หยอดเหรียญที่ ๒ โค้กกลิ้งมา ๑ กระป๋อง วางลงเอาตีนเหยียบ ขึ้นไปหยอดเหรียญที่ ๓ เอาเป๊บซี่ แสบขนาดนั้น..! ระยะเวลาโฆษณาประมาณ ๒ นาที ยอมให้เขาไปนาทีครึ่ง ใคร ๆ ก็คิดว่าโฆษณาโค้กแน่นอนเลย ที่ไหนได้เขาเอาโค้กมาเป็นบันได ยอมเสียเงินหยอดโค้กมา ๒ เหรียญเพื่อจะกินเป๊บซี่ให้ได้ เป๊บซี่ต้องดีขนาดไหน คนกินถึงยอมลงทุนขนาดนั้น
ส่วนอีกอันก็โฆษณาเหมือนกับไทยเที่ยวไทย ไม่ไปไม่รู้ ที่ไหนได้พอภาพสุดท้าย กระดกเบียร์สิงห์ตอนนั่งอยู่บนหลังช้าง ตอนแรกเราก็ว่าการท่องเที่ยวไทยแน่ ๆ เลย ที่ไหนได้โฆษณาเบียร์สิงห์ นั่งหลังช้างเที่ยวป่า กินสิงห์บนหลังช้างเลย ให้เห็น ๆ ไปเลยว่าสิงห์ขี่ช้าง แสบไส้จริง ๆ..! เมืองไทยประกันชีวิตยกตัวอย่างไม่ได้ เพราะเมืองไทยประกันชีวิตไม่ยอมแข่งกับใคร เปิดแนวของตัวเองไปเลย ใครจะเลียนแบบไม่ว่า แต่ข้าไม่ตามใคร เพราะฉะนั้น..โฆษณาของเมืองไทยประกันชีวิตจะอยู่ในลักษณะสร้างสรรค์ บางอย่างกระทบใจมาก ๆ เลย อย่างที่ทุกเช้าคุณลุงจะต้องเดินขึ้นเขา อาตมาก็นึกว่าออกกำลัง ที่ไหนได้ไปสีซอให้หลุมศพภรรยามา ๓๐ ปี รักยังไม่จืดจางเหมือนไทยประกันชีวิตรักคุณ น่าเคลิ้มจริง ๆ โดยเฉพาะโฆษณาคุณพ่อที่เป็นใบ้ อันนั้นจริง ๆ ประทับใจทุกอย่างเลย แต่พลาดอยู่จุดเดียว พลาดตรงที่ว่าเขาได้ยินเสียงลูกล้มอยู่ชั้นบน ซึ่งถ้าเป็นอาตมาไม่ทำอย่างนั้นหรอก จะให้เลือดของลูกหยดแปะลงหน้าแก แต่ในโฆษณาพ่อได้ยินเสียงลูกล้ม ซึ่งคนที่เป็นใบ้ก็คือหูหนวกด้วย แต่ต้องบอกว่าโยมที่เล่นเป็นพ่อนี่เก่งสุดยอดเลย เพราะว่าท่าใบ้ของแกทุกท่าพวกเราจะดูออกหมด ว่าแกหมายความว่าอะไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 03:25 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
![]()
"ต้องบอกว่าเด็ก ๆ บางทีเขามีโลกในความฝันที่เอามาปะปนกับความเป็นจริงมากจนเกินไป แล้วก็ปฏิเสธโลกของความเป็นจริง ก็เลยทำให้ยอมรับไม่ได้ว่าพ่อตัวเองเป็นใบ้ โดยเฉพาะเพื่อน ๆ ก็ไม่ได้นึกถึงใจของคนอื่น ถึงเวลาก็ล้อเลียน เอาป้ายไปแปะหลัง “ลูกไอ้ใบ้” การที่รู้สึกว่าพ่อตัวเองไม่สมประกอบ กำลังใจก็แย่มากแล้ว นี่ยังไปล้อเลียนซ้ำเติมเขาอีก แล้วบางทีเด็ก ๆ ก็เล่นสนุกอย่างเดียว โดยที่ไม่คิดว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่จะรู้สึกอย่างไร
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม่แขนขาด แขนขาดแล้วใส่แขนปลอม แล้วเพื่อน ๆ ก็ล้อว่าแม่เป็นหุ่นยนต์ ปรากฏว่าทางโรงเรียนก็เรียกผู้ปกครองไปพบ แล้วก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็เล่าให้ฟังว่าพาลูกไปเที่ยวนากุ้ง แล้วลูกลื่นตกจากบ่อลงไป ไหลเข้าไปหาเครื่องปั่นอากาศ ด้วยความที่เห็นว่าลูกกำลังจะเกิดอันตรายไหลเข้าไปหาใบพัดนั้น คุณแม่ก็โถมเข้าหาเลย จะไปหยุดใบพัดให้ได้ ช่วยลูกรอดมาได้ แต่โดนตัดแขนขาดไป คราวนี้เมื่อคุณครูรู้เรื่องก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟังในห้องเรียน ว่าที่แม่เป็นอย่างนี้เพราะว่าความรักลูก ก็ทำให้ทุกคนเห็นว่า คุณแม่เป็นผู้ที่เสียสละจริง ๆ ท้ายที่สุดเด็ก ๆ ทุกคนก็มาขอขมาที่เคยล้อเลียนเพื่อนไว้ ต้องบอกว่าครูแก้ปัญหาเก่ง แก้ปัญหาได้ตรงจุด ถ้าเป็นที่อื่นก็อาจจะปล่อยให้เขาล้อเลียนกันไปเรื่อย โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร การ์ตูนเรื่องอะไรจำไม่ได้ ที่เขาให้นักเรียนวาดภาพแม่ของแต่ละคน มีคนหนึ่งวาดภาพแม่เขา แม่เป็นตู้เย็น แม่เป็นเครื่องซักผ้า แม่เป็นเตารีด แม่เป็นชิงช้า ฯลฯ แต่จริง ๆ แล้วแม่เขาทั้งอ้วนทั้งใหญ่ แล้วคุณครูก็ถามว่าหมายความว่าอย่างไร แม่เป็นชิงช้าก็คือเกร็งแขนข้างหนึ่งให้ลูกโหนเล่นได้ แม่เป็นตู้เย็น อยากกินอะไรก็หามาให้ได้ แม่เป็นเตารีด ถึงเวลาไปโรงเรียน แม่ก็รีดผ้าให้ แม่เป็นเครื่องซักผ้า ถึงเวลาซักผ้าให้ กลายเป็นว่า เด็กเขามีมุมมองของเขาเองที่น่ารักมาก ก็เลยทำให้เพื่อน ๆ ที่เคยล้อเลียนว่าลูกนางยักษ์ ถึงเวลาก็วิ่งไปหา “คุณแม่แปลงกายให้ดูหน่อย” จริง ๆ แล้วทุกอย่างมีแง่งาม เพียงแต่ว่าเรามองเห็นหรือไม่ "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-08-2013 เมื่อ 08:09 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : กายคตานุสติ อย่างผมบนศีรษะจะดูอย่างไร ?
ตอบ : ไม่สระหัวสัก ๗ วันก็พอ ถ้าไม่มีประสบการณ์มา ความเชื่อจะไม่มี หรือไม่ก็ดูพวกที่ไม่ค่อยจะเต็ม เดินยิ้มทั้งวัน ดูว่าผมเป็นสังกะตังทั้งหัวนั้นเป็นอย่างไร ถาม : ต้องใช้ปัญญา ? ตอบ : เขาถึงต้องใช้ปัญญามาก เรื่องของวิปัสสนาเป็นการเจริญปัญญา ถาม : ดูภาพจริง ๆ ก่อนหรือต้องดูของจริง ? ตอบ : ตอนแรกจะเป็นการนึกก่อน ถ้านึกแล้วสภาพจิตยอมรับ จะเป็นปัญญา ตอนแรกเป็นแค่สัญญา เพราะต้องนึกก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 03:28 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ท้าวมหาราชทั้งสี่ ถ้าจะตั้งท่านบูชาต้องเรียงอย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าตั้งเรียงไว้ถูกก็จะดี เรียงจากซ้ายมือของเราไปทางขวา คือท่านท้าวเวสสุวรรณ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักษ์ ท้าวมหาราชทั้งสี่ โดยศักดิ์แล้วเสมอกัน คือเป็นมหาราชที่รับผิดชอบโลกมนุษย์ในทิศหนึ่ง ๆ แต่คราวนี้ทั้งหมดมีข้อตกลงกันว่า ถ้ามีอะไร..การตัดสินใจของท้าวเวสสุวรรณถือว่าเป็นเด็ดขาด ก็เลยทำให้ท้าวเวสสุวรรณเหมือนกับเป็นหัวหน้าของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไปโดยปริยาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2013 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ในสติปัฏฐานเขาเขียนว่าตัดวิตกวิจาร นี่เป็นระดับฌาน ๒ ?
ตอบ : ความจริงถ้ายังวิตกวิจารอยู่ ก็ยังเป็นฌานไม่ได้ แต่คราวนี้ถ้าเราบอกว่าไปตัดเลย เขาก็ไม่เข้าใจว่าตัดอย่างไร จริง ๆ แล้วก็คือ ถ้ากำลังใจถึงจุดนั้นแล้ว จะก้าวข้ามขั้นไปเอง ในเมื่อข้ามขั้นไปแล้ว เราจะไปคิดว่าตอนนี้เราจะภาวนานะ ใจจะไปจดจ่ออยู่ ไม่ใช่แต่ฌาน ๒ หรอก ฌาน ๑ ยังเข้าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..เมื่อละเองโดยอัตโนมัติแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องย้อนกลับไป แบบเดียวกับที่โยมหลายคน พอจิตเริ่มจะเข้าสู่สภาพของฌานที่ละเอียดขึ้น ลมหายใจหายไป ก็ตะกายกลับไปหายใจใหม่ทุกที ถาม : เพราะกลัวตายหรือครับ ? ตอบ : บางคนไม่ได้กลัวตาย คิดว่าตัวเองลืมดูลมหายใจ กลัวตายก็ส่วนหนึ่ง แต่หลายคนคิดว่าตัวเองลืมลมหายใจ ลืมการภาวนา ก็รีบตะกายกลับไปเริ่มต้นใหม่ ก็เลยทำให้ขึ้นบันไดไปแล้วก็ถอยหลังอยู่นั่นแหละ จะว่าไปแล้วท่านเหล่านี้ถ้านาน ๆ ไปจะเป็นผู้ชำนาญมาก ซ้อมบ่อย พอตัวเองหายโง่แล้วต่อไปจะบอกเขาได้ชัดมากเลย ว่าต่อไปอย่าทำอย่างนี้ เพราะตัวเองเจ็บมาเยอะแล้ว ถาม : อย่างกสิณเราก็ไม่ต้องมานั่งดูว่าเป็นวิตกวิจาร ? ตอบ : ให้สนใจแต่ภาพกสิณ ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 03:31 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เขาบอกว่าพระบิดาของทุกศาสนาเป็นอันเดียวกัน ผมงงครับ ?
ตอบ : ต้องถามเขา ไปนึกถึงหลวงพ่อเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ (หลวงพ่อเจ้าคุณประยุทธ์) บอกว่า “ใครชอบพูดให้ผมได้ยินว่าศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน ถ้าศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน แล้วจะแยกออกไปทำไม ใช้สอนคำเดียวกันก็หมดเรื่อง” ถ้าสรุปก็คือ ศาสนาทุกศาสนามีหลักการ สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกัน ไม่ใช่ศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นหลวงลุงสุนทร วัดท่าซุง นี่เถียงใจขาดเลย “พุทธศาสนาของเราสอนให้เข้าถึงความบริสุทธิ์จริงแท้ จะไปเหมือนคนอื่นเขาได้อย่างไรวะ.!”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 10:02 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
![]()
มีโยมมากราบขอสัมภาษณ์พระอาจารย์ถ่ายทำรายการ ท่านกล่าวว่า "ถ้าได้คนที่เข้าใจสถาปัตยกรรม หรือศิลปกรรมอะไรได้จริง ๆ นี่จะดีมากเลย จะได้แนะนำในสิ่งที่น่าสนใจมาก บางทีแค่ลายก้านขดลายเดียวก็อธิบายได้เป็นวันแล้ว
ตอนไปวัดต่าง ๆ พอเห็นก็จะพอเดาได้ว่า พวกนี้นิยมสร้างกันในสมัยไหน อย่างรัตนโกสินทร์ของเรา ถ้าเป็นสไตล์จีนก็จะรู้ว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๒ - ๓ เพราะว่าสมัยนั้นนิยมมากก็คือ เอาเครื่องสังคโลกที่แตก ๆ หัก ๆ มาดัดแปลงเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ ถ้าเห็นหน้าบันเป็นรูปมงกุฎ รู้เลยว่าสร้างสมัยรัชกาลที่ ๔ เพราะพระองค์ท่านมีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ ถึงเวลาสร้างก็จะติดสัญลักษณ์ของพระองค์ท่านเข้าไปด้วย ถ้าเห็นพญาครุฑอยู่ โดยเฉพาะครุฑตัวเดียว ไม่มีนาค ไม่มีอะไร หรือไม่ก็เป็นนารายณ์ทรงสุบรรณ ให้รู้ว่าเป็นของรัชกาลที่ ๕ คือตั้งแต่ต้นมา ถ้าเขาทำพระราชลัญจกรครุฑพ่าห์ ก็จะเป็นครุฑยุดนาค มือก็กำคอ ตีนก็เหยียบหาง หรือไม่ก็มือจับหาง ตีนกำหัว รัชกาลที่ ๕ ทรงให้พระราชวินิจฉัยว่า ครุฑเอานาคไปทำอะไร ? ถ้าเอาไปเป็นอาหารก็ดูท่าจะตะกรามเต็มที กลัวอดหรืออย่างไร ? ไปไหนถึงต้องหิ้วไปด้วย ท้ายสุดพระองค์ท่านก็เลยให้ทำออกมาเป็นเฉพาะครุฑอย่างเดียว เป็นครุฑผงาด ไม่มีนาค ไม่มีอะไร ถึงเวลาถ้าท่านที่เข้าใจหลักสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม จะบอกได้หมดว่าอะไรเป็นอะไร จะได้รู้ เห็นเจดีย์ มณฑป จะได้รู้ว่านี่ย่อมุมไม้ ๑๒ หน้าตาเป็นอย่างไร บันแถลงหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมชาวบ้านเขาเรียกซุ้มรังไก่ จะได้รู้ว่าส่วนไหนคือปล้องไฉน ส่วนไหนคือคอระฆัง ส่วนไหนคือปลียอด เม็ดน้ำค้าง ถ้าคนที่เขาบอกได้ จะทำให้เราได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเยอะ กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่ใช่แนะนำวัดนั้นวัดนี้อยู่ที่ไหน มีครูบาอาจารย์ดังอะไรทางด้านไหน นั่นแค่เรื่องพื้น ๆ รู้ก็ให้รู้ลึกรู้จริงไปเลย ไปถึงเจดีย์องค์หนึ่งก็ชี้ อันนี้บัวเชิงบาตร เราก็ต้องรู้ว่าเป็นอะไร อันนี้คือฐานบัทม์คืออะไร หรือไม่ถ้าชี้ขึ้นไปบนหลังคาโบสถ์ อันไหนเป็นอะไรต้องบอกให้ถูก ใบระกากับหางหงส์ต่างกันอย่างไร นาคสะดุ้งหน้าตาเป็นอย่างไร เป็นต้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 15:56 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ตอนแรกว่าจะทำวัดประจำรัชกาลเป็นเรื่องแรก ?
ตอบ : วัดประจำรัชกาลที่ ๑ และ ๒ คือวัดอะไร ? ถาม : ขอดูโพยก่อนค่ะ ตอบ : วัดประจำรัชกาลที่ ๑ คือพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดประจำรัชกาลที่ ๒ คือวัดอรุณราชวราราม วัดประจำรัชกาลที่ ๓ คือวัดราชโอรสาราม วัดประจำรัชกาลที่ ๔ คือ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดนั้นทั้งวัดเป็นสีมาทั้งหมด ถึงเวลาทำสังฆกรรมต้องเชิญอนุปสัมบัน คือสามเณรและฆราวาสออกจากวัดทั้งหมด ปิดประตู แล้วถึงทำสังฆกรรมได้ มหาสีมากำหนดให้เป็นสีมาทั้งวัดเลย ถ้าพัทธสีมากำหนดคือแค่เขตรอบโบสถ์เท่านั้น รัชกาลที่ ๕ ก็วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมารามเหมือนกันนะ ไม่ใช่ไปจำว่าวัดเบญจฯ นะ ส่วนวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม รัชกาลที่ ๕ ท่านตั้งใจสร้างถวายคณะสงฆ์ธรรมยุติเหมือนกัน แต่กลายเป็นวัดมหานิกาย เพราะพระมหานิกายตอบปัญหาถูกใจ ตอนช่วงนั้นเป็นช่วงที่ศึกเสือเหนือใต้มารอบ เราต้องเสียดินแดนตรงนั้นตรงนี้ไป รัชกาลที่ ๕ ก็ปรึกษาพระผู้ใหญ่ฝ่ายธรรมยุติ อย่าเอ่ยนามท่านเลยนะ..เสียหายเยอะ ถ้าศึกเสือเหนือใต้ประชิดเมืองมา จะขอให้พระที่บวชอยู่สึกออกมาเป็นทหาร พระคุณท่านจะเห็นว่าอย่างไร ? ฝ่ายธรรมยุติก็ตอบว่า การรบราฆ่าฟันนั้น เป็นเรื่องของทางโลก ไม่ใช่เรื่องของบุคคลที่เข้ามาบวชแล้วอย่างพระเณร ฉะนั้น..ไม่อาจที่จะให้สึกไปเป็นทหารได้หรอก เพราะว่าไปฆ่าไปเบียดเบียนคนอื่นเขา แต่พอมาถามหลวงพ่อฝ่ายมหานิกาย ท่านบอกว่า แล้วแต่พระประสงค์ ถ้าพระองค์สั่งมาคำเดียว จะทำตามนั้นเลย ตอบถูกใจประโยคเดียว ได้วัดมา ๑ วัด จากที่ท่านตั้งใจจะให้ฝ่ายธรรมยุติ ก็เลยกลายเป็นวัดมหานิกายไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-08-2013 เมื่อ 16:16 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนรัชกาลที่ ๖ จริง ๆ แล้วพระองค์ท่านไม่ได้สร้างวัดเพราะเห็นว่าวัดมีมากแล้ว จึงสร้างโรงเรียน แต่โรงเรียนของพระองค์ท่านหน้าตาเหมือนวัดเลย ก็คือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เล่นเอาคุณปู่คุณย่าที่มาจากต่างจังหวัด เดินทางผ่านก็ยกมือขึ้นมาสาธุ “ใครหนอ ? สร้างวัดได้งามแท้” โรงเรียนจ้ะ ไม่ใช่วัด หน้าตาเหมือนวัดทุกอย่างเลย
ส่วนรัชกาลที่ ๗ ยังไม่ทันได้สร้างวัดประจำรัชกาล ของรัชกาลที่ ๘ พระบรมอัฐิบรรจุอยู่ที่วัดสุทัศน์เทพวราราม ก็เลยเหมาเอาวัดสุทัศน์เทพวรารามเป็นวัดประจำรัชกาลไปด้วย ส่วนของรัชกาลที่ ๙ ตอนแรกคือวัดญาณสังวราราม แต่วัดญาณสังวรารามไม่ได้สร้างขึ้นโดยพระราชดำริ แต่สร้างขึ้นโดยคณะสงฆ์ธรรมยุต ตั้งใจถวายเพื่อเฉลิมพระเกียรติ วัดในพระราชดำริของพระองค์ท่านจริง ๆ ก็คือวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ก็เลยเปลี่ยนเอาวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษกเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๙ จะเห็นได้ว่าบรรดาพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ก็ให้การอุปถัมภ์วัดฝ่ายธรรมยุตมาโดยตลอด เพราะถือว่าผู้ที่บวชเป็นลูกท่านหลานเธอทั้งนั้น แต่พอมาสมัยรัชกาลที่ ๕ จะเห็นชัด ๆ เลยว่า ตั้งมหาธาตุวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันก็คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้คณะสงฆ์มหานิกาย โดยตั้งเป้าว่าให้ศึกษาพระไตรปิฎกและวิชาชั้นสูง แล้วก็มาสร้างวัดเบญจฯ ถวายทางมหานิกาย ที่เห็นชัด ๆ นอกนั้นแล้วก็เหมือนเดิม ก็คือกลับไปสนับสนุนทางด้านธรรมยุต อาจจะเป็นเพราะธรรมยุตเขาสอนกันต่อ ๆ มาว่า อย่างไรก็ต้องเกาะติดเชื้อพระวงศ์ไว้ให้ได้ แล้วธรรมยุตเขามีการเอื้อเฟื้อกัน ถึงเวลาก็ไปถึงกันหมด เขาจะไม่ปล่อยให้โดดเดี่ยวเดียวดาย จะอยู่ลักษณะพระผู้ใหญ่เอื้อเฟื้อพระผู้น้อย ถึงเวลานิมนต์วัดเล็กวัดน้อยถ้าเป็นธรรมยุตก็ไปหมด แล้วในขณะเดียวกัน ไปแล้วก็อาศัยบารมีพระผู้ใหญ่นั่นแหละ กราบทูล ทูลเชิญบรรดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน หรือเชื้อพระวงศ์ไป ก็เลยกลายเป็นว่าวัดธรรมยุตเกือบทุกวัด จะมีการกราบทูล หรือทูลเชิญในหลวง พระราชินี หรือว่าบรรดาพระญาติพระวงศ์ต่าง ๆ ไปเหยียบวัดมาแล้วทั้งนั้น ส่วนมหานิกายของเรายังตัวใครตัวมันอยู่ ประเภทสายกรรมฐานเดียวกันยังไม่ค่อยจะเอื้อเฟื้อกันเลย สายกรรมฐานเดียวกันที่เอื้อเฟื้อกันมาก ๆ แต่ท่านกลับเห็นว่าตัวเองเป็นธรรมยุตก็คือ สายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ทั้ง ๆ ที่เป็นมหานิกาย ไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุต แต่ท่านทำตัวเป็นธรรมยุต สมัยเป็นเจ้าคณะตำบลอยู่ ก็แจ้งเรื่องของการลงปาฏิโมกข์ว่า ถ้าวัดในป่า หรือว่าสำนักสงฆ์ที่ไม่มีพระอุโบสถ ให้ไปลงปาฏิโมกข์ร่วมกันที่วัดเจ้าคณะตำบลก็ได้ ปรากฏว่ามีวัดอยู่วัดหนึ่งที่เป็นสายหลวงพ่อชา ท่านบอกว่า ท่านคงไปร่วมไม่ได้หรอก เพราะเป็นนานาสังวาส อ้าว...แล้วกัน นานาสังวาสนี่ต่างนิกายกันนะ นี่คุณกับผมมหานิกายเหมือนกัน กลายเป็นว่าเราไม่รังเกียจเขา แต่เขากลับรังเกียจเราเสียเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2013 เมื่อ 16:02 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "เชียงใหม่ของเราเป็นเมืองขึ้นของพม่ามานานมาก แม้กระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็มีเรื่องของเจ้าน้อยศุขเกษมกับมะเมียะ เพราะโยงใยระหว่างสยามกับล้านนา และล้านนากับพม่านี่แหละ ตอนช่วงนั้นเชียงใหม่ก็อยากยกเลิกการเป็นประเทศราชของสยาม ในหลวงรัชกาลที่ ๕ จึงยกเลิกการเป็นประเทศของเชียงใหม่ แล้วตั้งเป็นมณฑลขึ้นมาแทน แล้วก็มีอุปราชมณฑลไปคอยดูแลอยู่
เมื่อเป็นลักษณะนั้นก็เลยทำให้ความเกรงกลัวว่าทางราชสำนักสยามจะไม่พอใจ ว่าตัวเองสังกัดสยาม แต่ปล่อยให้ลูกหลานไปแต่งงานกับสาวพม่า เจ้าเมืองเชียงใหม่ก็เลยต้องใช้วิธีตัดปัญหาด้วยการส่งตัวมะเมียะกลับพม่า ก็เลยกลายเป็นตำนานรักอมตะขึ้นมา เจ้าน้อยศุขเกษมก็เลยตรอมใจตาย เพราะคนรักจากไป คำว่า "เจ้าน้อย" เกิดมาจากทางด้านเหนือถ้าใครบวชเณรแล้วสึก เขาเรียกว่า "น้อย" ถ้าใครบวชพระแล้วสึก เขาเรียกว่า "หนาน" เพราะฉะนั้น..เจ้าน้อยก็คือผู้ที่มีเชื้อเจ้าที่บวชเณรมาก่อน ตอนนี้ก็คงจะแยกออกแล้ว..ใช่ไหม ? ไม่อย่างนั้นได้ยินเจ้าน้อยก็ไม่รู้ว่าอะไร ทางด้านเหนือกับอีสานเขาจะมีการเรียกต่าง ๆ กันไป ทางด้านอีสานบวชเณรสึกมาเป็น "เซียง" บวชพระสึกมาเป็น "ทิด" ถ้าบวชพระแล้วเคยได้รับการสรงน้ำจากญาติโยมมาเกิน ๓ ครั้ง เป็น "จารย์" ถ้าบวชเกิน ๑๐ พรรษาแล้วสึกมาเป็น "ญาคู" แต่ปัจจุบันญาคูไม่นับแล้ว ญาคูต้องเป็นพระที่อาวุโสมาก ๆ เป็นที่เคารพนับถือ เหมือนกับทางเหนือเรียกว่า "ครูบา""
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2013 เมื่อ 17:20 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาทำงานเราก็ต้องคิดแผนงาน แล้วจะภาวนาอย่างไร ?
ตอบ : การคิดวางแผนจัดงานเป็นเรื่องปกติ ตอนคิดคิดได้ คิดเสร็จแล้วก็ตัดทิ้งไปเลย พอเลิกคิดก็มาอยู่กับอารมณ์ภาวนาของเราต่อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2013 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ระหว่างคนที่ไปซื้อพระพุทธรูปมาจากร้านมาบูชา กับอีกคนไปสั่งซื้อ ซึ่งไปดูตั้งแต่ขั้นตอนการสร้าง อย่างไหนดีกว่า ?
ตอบ : คนแรกได้บุญเยอะกว่า เพราะว่าคนที่สอง ถ้าช่างทำไม่ถูกใจก็เศร้าหมอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2013 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การอยู่บนโลก เราจะแยกอะไรถูกหรืออะไรผิด ขาวดำชัดเจน ?
ตอบ : เอาหลักธรรมเป็นหลัก ใช้ธรรมในการตัดสิน รับรองว่ามีแต่ขาว ไม่มีเทาไม่มีดำ เพียงแต่ต้องแม่นนะ ไม่แม่นเดี๋ยวตัดสินผิด ออกมาเทา ๆ ไปอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2013 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าเป็นหมอ เวลาเขามาผ่าตัด จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : บาปตรงไหน เขาตั้งใจรักษาให้หายจากโรค ไม่ได้ตั้งใจมาทำร้ายร่างกายของเรา ในเมื่อไม่มีเจตนาที่จะทำร้าย แล้วจะไปบาปตรงไหน ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2013 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|