| 
	|||||||
| เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป | 
![]()  | 
	
	
| 
		 | 
	คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
		 
			 
			#61  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : การที่เดินไปด้วยแล้วกำหนดก้าวย่างหนอ เดินย่างหนอ  อารมณ์จะเป็นฌานได้หรือครับ ?  
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : กี่สิบอารมณ์ก็เป็นได้ สำคัญว่าเรามีความคล่องตัวหรือเปล่า ถาม : ถ้าไม่มีความคล่องตัว ? ตอบ : ถ้าไม่มีความคล่องตัวก้าวยังไม่ออกเลย พออารมณ์ใจเริ่มทรงตัว จิตกับประสาทร่างกายเริ่มแยกออกจากกัน ก็จะเดินไม่ได้ ถาม : ถ้าคนที่ฝึกใหม่ ก็ไม่ควรไปฝึกเพิ่ม ? ตอบ : ต้องเอาของเดิมเป็นหลักไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยซักซ้อมของใหม่ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 09:53  | 
| สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#62  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม  :   เวลาพระท่านทำน้ำมนต์ ท่านใช้สมาธิอย่างไร ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : อยู่ที่ว่าสายการปฏิบัติของท่านทำมาอย่างไร ถาม : ต้องใช้กสิณน้ำโดยเฉพาะหรือครับ ? ตอบ : ใครได้สมาธิก็ใช้สมาธิ ใครได้กสิณก็ใช้กสิณ แต่สายวัดท่าซุงท่านให้ขอบารมีพระแทน 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 10:26  | 
| สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#63  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : เวลาเจริญอานาปานสติแล้วเดินเตโชกสิณ   ท่านบอกว่าจะต้องทรงกรรมฐานอานาปานสติไว้ด้วยใช่ไหมครับ ?  
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เตโชกสิณเริ่มจากไม่มีอะไรเลยก็ได้ เพราะว่าการภาวนาก็ต้องควบกับลมหายใจอยู่แล้ว ต่อให้ไปเริ่มต้นนับ ๑ ในอานาปานสติ ถึงเวลาถ้าอุคหนิมิตเกิดก็คือเริ่มได้สมาธิแล้ว ถาม : จะทำอรูปฌาน ก็ต้องเพิกปฏิภาคนิมิตตอนถึงฌานสี่แล้วค่อยพิจารณาหรือครับ ? ตอบ : ตั้งภาพกสิณขึ้นมาก่อน แค่อุปจารสมาธิก็พอแล้ว อย่าไปเพิกภาพเลยทีเดียว ไม่อย่างนั้นจะพิจารณาไม่ได้ พอภาพชัดเจนแจ่มใสแล้วค่อยเพิกภาพกสิณนั้นเสีย แล้วพิจารณาไปเรื่อย ๆ กำลังสมาธิจะดิ่งลึกลงไป พอเข้าไปถึงฌาน ๔ ก็เท่ากับว่าสำเร็จอรูปฌานชั้นนั้น ถาม : การเพิกนิมิต ? ตอบ : นิมิตที่จะใช้ในอรูปฌานต้องเป็นนิมิตในกสิณทั้ง ๘ กองเท่านั้น คนที่มีความสามารถสูง ๆ ถึงจะทำกองที่ ๙ คือ อาโลกกสิณได้ แต่อากาสกสิณเก่งแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะอากาสกสิณมีสภาพคล้ายคลึงกับอากาสานัญจายตนฌานอยู่แล้ว 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:35  | 
| สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#64  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : พระธุดงค์ที่ไปนั่งกรรมฐานตอนกลางคืน  เขาบอกว่าจะมีแร่ที่มีพลังงานมาส่งเสริมการปฏิบัติ จริงหรือเปล่า ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : สรุปง่าย ๆ ว่าความกลัวช่วยส่งเสริมมากที่สุด อย่างอื่นยังเป็นรอง สถานที่สัปปายะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้านั้นตรัสไว้อยู่แล้ว คือสถานที่ซึ่งเหมาะสมกับแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน ถ้าคนไหนเหมาะสมกับสถานที่อย่างไร ได้ไปสถานที่นั้นก็จะหนุนเสริมการปฏิบัติได้ดี 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:35  | 
| สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#65  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ในภาวะปกติ  ถ้าเราเข้าใจว่าเรากลัวอะไร...? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : สรุปทุกอย่างว่าเรากลัวตาย ถ้าแก้ตัวกลัวตายได้ก็เลิกกลัวทุกอย่าง ดูตอนข่าวลือโลกแตกที่ผ่านมาก็พอ ถาม : แสดงว่าเขาไม่ศรัทธาคำสอนพระพุทธเจ้า ? ตอบ : บางคนศรัทธาอยู่ แต่ความกลัวตายมีมากกว่าเลยไปบดบังสติปัญญา ในเมื่อสติปัญญาโดนบดบังก็ไหลไปตามกระแสข่าวลือ ก็ที่พระครูปลัดปรีชาอุตส่าห์เตรียมไฟแช็ก เตรียมถ่าน เตรียมเทียนไขไว้ในเป้ แล้วมาถามว่าอาจารย์เตรียมไว้บ้างหรือเปล่า ? อาจารย์ไม่ได้เตรียมอะไรเลย พระครูปลัดบอกว่าที่น่ากลัวไม่ใช่โลกแตก แต่เป็นพายุสุริยะ ถ้าวูบมาได้ความร้อนระดับนั้นก็ประเภททีเดียวสุกเลย อาตมาบอกว่า "อ๋อ..อย่างนั้นยิ่งไม่น่ากลัวใหญ่ ตายแบบไม่รู้ตัวจะต้องไปกลัวอะไร" สรุปแล้วคนกล้าตายครั้งเดียว คนกลัวนี่ตายหลายครั้ง กลัวแล้วกลัวอีก 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:37  | 
| สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#66  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ช่วงหมดลมหายใจมีระยะเวลาให้คิดพิจารณาว่าจะไปไหนใช่หรือไม่  ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ต้องได้รับการฝึกมามากพอ ถ้าไม่ได้รับการฝึกมามากพอ สภาพจิตไม่มีที่เกาะ เคว้งคว้างไปไม่ถูก ก็จะโดนแรงกรรมที่เป็นอาสันนกรรมดึงไปได้ แต่ถ้าได้รับการฝึกมามากพอ มีเป้าหมายที่แน่นอน สภาพจิตก็จะไปตามนั้น ช่วงหมดลมหายใจแล้วสภาพจิตยังรับรู้อยู่ ถาม : น่าฝึกลองตาย ตอบ : ต้องลองตาย ถาม : ถ้าไม่ถึงอายุขัยเราก็ลองได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ไม่ถึงอายุขัยหรอกแต่ถ้าอุปฆาตกรรมมา ไปยาวเลย อาตมาเคยตั้งใจดูว่าตายแล้วจิตจะออกไปตอนไหน ปรากฏว่าใจจดจ่อมากไม่กลับไปไหนเลย อยู่อย่างนั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่ร่างหมดลมไปตั้งหลายชั่วโมงก็อยู่แค่นั้น ไปจ้องมากคงจะอาย กลัวเราจะรู้ว่าไปอย่างไร ช่วงนั้นอาการไข้กำเริบมาก รู้สึกเหมือนกับไฟธาตุหมด เย็นจากมือจากเท้า เย็นเข้ามา ๆ พอความเย็นลามมาถึงตัวถึงอกก็รู้ว่าไม่รอดแน่แล้ว จึงตั้งใจดูว่าจะตายอย่างไร คราวนี้พอความเย็นมากขึ้น ๆ เกิดเกิดนิมิตหลอนเหมือนกับจมน้ำ เพราะว่าพอรู้สึกเย็นก็เหมือนกับว่าตัวเราจมน้ำ พอน้ำท่วมจมูกมิดคือตอนที่ร่างกายหยุดหายใจแล้ว ก็คอยดูว่าจะไปอย่างไร ความรู้สึกเหมือนกับว่าดิ่งลง ๆ จนกระทั่งกระทบพื้น เหมือนกับจมจนกระทั่งถึงก้นแม่น้ำ แล้วค่อย ๆ ลอยขึ้น ๆ พอจมูกพ้นน้ำ ร่างกายก็กระตุกเฮือกหายใจเอง คราวนี้พอประสาทร่างกายกลับคืนมาสมบูรณ์ ลืมตามาดูนาฬิกาเกือบตีห้า ตอนเริ่มเป็นดูนาฬิกาอยู่ที่ห้าทุ่มกว่า ตั้งใจดูว่าจะไปตอนไหน ตอนช่วงที่อยู่ในน้ำก็รู้สึกตลอด ไปตอนที่แตะพื้นรู้สึกมากที่สุดเลย เหมือนกับโคลนเละ ๆ เย็น ๆ เย็นเจี๊ยบเลย ลองตายดูได้จ้ะ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ทางด้านสายทิเบตมีการฝึกลองตาย เขาใช้เชือกรัดคอตัวเองแล้วก็โยงกับขา เหยียดออกไปให้รัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่บางคนหดกลับมาไม่ทัน เลย ตายจริง ๆ เขาจะฝึกดูว่าสภาพจิตมีการกลัวตายไหม ระหว่างนั้นมีความมั่นคงต่อสิ่งที่ตนเองฝึกปรือมาหรือเปล่า เขาเลยผูกล่ามกับขาตัวเองในลักษณะงอเข่าแล้วค่อย ๆ เหยียดออกไป เชือกที่รัดคอไว้ก็ตึงขึ้นเรื่อย ๆ ที่เขาผูกก็คือเล่นผูกอ้อมไปด้านหลัง ไม่มีโอกาสที่จะช่วยแกะได้ เรียกว่าฝึกกันอย่างเอาชีวิตเข้าแลก 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 23-01-2013 เมื่อ 21:40  | 
| สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#67  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			มีโยมนำพระเครื่องมาถวาย   พระอาจารย์กล่าวว่า  "พระทางเหนือเวลาทำพระเครื่องแต่ละองค์ไม่ได้คิดจะให้เข้าชุดกันเลย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ยิ่งถ้าไปเจอพระเปิมแต่ละองค์ ๓ นิ้วมือเลย คำว่า "เปิม" ภาษาเหนือก็บอกอยู่แล้ว ถ้าไม่ใหญ่ก็ไม่เปิม 
		
		
		
		
		
		
			คนโบราณเขาไม่แขวนพระ เขาว่าพระเป็นของสูง ต้องอยู่ในวัด ก็เลยใช้พวกเครื่องรางแทน มายุคปัจจุบันค่านิยมเปลี่ยน ยิ่งแขวนเยอะยิ่งดี มีลุงคนหนึ่งที่แขวนจตุคามฯ คนเดียว ๓๐๐ องค์ แสดงว่าแข็งแรงมาก ถึงแบกน้ำหนักขนาดนั้นไหว อาตมามีจตุคามฯ อยู่ ๒ องค์ที่ตั้งใจเลี่ยมทองสวิสเก็บไว้เลยเพราะแบบสวยมาก แต่ว่าตั้งแต่ปี ๕๐ นี่เลี่ยมทองไปสี่หมื่นกว่า ๆ ลองคิดดูว่าราคาทองปัจจุบันนี่เท่าไร เดี๋ยวไว้เอาลงตอนเปิดกระทู้ใหม่ก็แล้วกัน อาตมารบกวนท่านจตุคามรามเทพตั้งแต่ท่านยังไม่ดัง จนกระทั่งท่านดัง จนกระทั่งคนเลิกเห่อ อาตมาก็ยังคงกวนท่านอยู่เป็นปกติ ด้วยความที่ใคร ๆ ก็โหนกระแสท่าน วัดแทบทุกวัดในประเทศไทยต้องสร้าง หน่วยราชการหลายหน่วยก็สร้าง จตุคามฯ ก็เลยออกมาน่าจะเกินพันรุ่น ปริมาณที่ออกมารวม ๆ แล้วน่าจะเกินจำนวนประชากรในประเทศไทย เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมถึงได้ราคาตกปานนั้น ตอนที่รุ่นหลักเมืองปี ๓๐ ราคาขึ้นเป็นล้าน พอคุณเชษฐ์เอาไปปล่อยได้แค่ครึ่งเดียวเอง แบบเดียวกับรุ่นเจดีย์ราย ราคาหลายหมื่น ของอาตมาเอาออกหน้าตาเฉยในราคาไม่กี่พัน ตอนนั้นพ่อปู่ขุนพันธ์ท่านเป็นประธานบูรณะเจดีย์รอบพระธาตุเมืองนคร เมื่อท่านบอกบุญมา อาตมาไม่รังเกียจก็ทำอยู่แล้ว ช่วงนั้นจะมีวัตถุมงคลของท่านแทบทุกรุ่น งานศพพ่อปู่ขุนพันธ์นี่คนไปกันหลายหมื่น ตั้งใจไปรับวัตถุมงคลอย่างเดียวก็มาก" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:45  | 
| สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#68  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เท่าที่ผ่านมาที่นิตยสาร Forbes เขาประกาศมหาเศรษฐีติดระดับโลก ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์กับพวกหุ้น   คนที่จะถือเงินสดทีเจ็ดแปดหมื่นล้านนี่คงจะยาก ไม่อย่างนั้นพิมพ์เงินมาครึ่งโลกก็คงไม่พอให้เขาถือหรอก  
		
		
		
		
		
		
			ที่น่ากลัวมากคือคุณเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าพ่อกระทิงแดง และคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี สรุปว่าบ้านเรากินของมึนเมากับของชูกำลังจนเจ้าของรวยติดระดับโลกไปเลย ดู ๆ แล้วน่ากลัวมาก ตอนนี้บ้านเรา เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ไฮเนเก้น คิริน กำลังแย่งกันทำตลาด ก็แสดงว่าโอกาสที่ตลาดบ้านเราจะโตยังมีอีกมาก ต่างประเทศเขามองเห็นเขาถึงได้กล้ามาลงทุน ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพระเลย เพราะแปลว่าคนไทยพร้อมที่จะเมาอยู่ตลอดเวลา ที่เขาบอกว่า "วันไหน ๆ พี่ไทยก็เมา" กิจการพวกนี้พอโตขึ้น ๆ เขาใช้วิธีแตกบริษัทลูกออกไป เพื่อจะขยายกิจการเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นกิจการมหาชนก็คือควักกระเป๋าคนอื่นมาลงทุน เขาซื้อหุ้นเรา เราก็มีเงินมาลงทุน" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:56  | 
| สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#69  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			มีโยมนำพระบูชาหลวงพ่อไหลมาเทมามาถวาย  พระอาจารย์กล่าวว่า  "ที่เขาเขียนว่า "หลวงพ่อเงินไหลมาเทมา"  จริง ๆ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่า “หลวงพ่อไหลมาเทมา”   แปลว่าเอาทุกอย่าง แต่อันนี้เอาเงินอย่างเดียว ถ้าเป็นทองมาไม่เอา..ว่าอย่างนั้นเถอะ"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:56  | 
| สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#70  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "มีคำถามว่าปีใหม่จริง ๆ แล้ว ควรที่จะยินดีหรือควรที่จะเสียใจ ? เพราะแก่ขึ้นอีกปีหนึ่งก็เท่ากับอายุลดน้อยถอยไปปีหนึ่ง แปลว่าที่เราฉลองปีใหม่ก็คือฉลองที่อายุหมดไปปีหนึ่ง ต้องเป็นคนที่เข้าถึงธรรมเท่านั้นที่จะทำใจสนุกสนานได้ เพราะดีใจที่ใกล้ตายแล้ว"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:56  | 
| สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#71  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พิธีการกราบขอขมาพระอาจารย์เนื่องในโอกาสวันปีใหม่   "อาตมาถือว่าเป็นตัวแทนของพระรัตนตรัย รับการขอขมาเนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่จากญาติโยมทุกท่าน จะว่าไปแล้ว ปีใหม่ ๒๕๕๖  เป็นปีที่บ้านเราเมืองเรากำลังจะพลิกฟื้นขึ้นมาสู่ความดี แต่เราต้องคิดด้วยว่า การที่ประเทศชาติของเราตกต่ำมาเป็นระยะเวลาหลายปี อยู่ ๆ จะให้ดีทีเดียวนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ในช่วงที่จะค่อยพลิกฟื้นคืนมาก็เหมือนกับการไต่ขึ้นที่สูง ย่อมต้องมีความยากลำบากอยู่บ้าง ซึ่งต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น และความรักใคร่สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงจะช่วยนำพาประเทศชาติของเรา ให้ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ทุกคนต้องการ  
		
		
		
		
		
		
			การที่ท่านทั้งหลายได้มาตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัยในช่วงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ก็ถือว่าเราเริ่มต้นปีใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการกระทำในสิ่งที่เป็นความดี ความงาม ขณะเดียวกัน..ท่านทั้งหลายจำนวนมากด้วยกัน ก็ยังได้ประกอบกรรมความดี อย่างเช่น การสวดมนต์ข้ามปี โดยเฉพาะเพื่ออุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ก็แปลว่าสิ่งทั้งหลายที่เราทำความดีนั้น จะเป็นบุญเป็นกุศลในการส่งเสริมอุดหนุน ประคับประคองประเทศชาติของเราให้ก้าวขึ้นไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง สมดังที่เราปรารถนาทุก ๆ ประการ ท้ายสุดนี้อาตมภาพในฐานะตัวแทน ก็ขออ้างคุณศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีกุศลบารมีที่ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันเสริมสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เป็นที่สุด จงมารวมกันเป็นตบะเดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ทุกท่านไม่ว่าจะประกอบกิจการงานใดก็ตาม ให้ประสบแต่ความสำเร็จ มีความเจริญรุ่งเรือง แม้ปรารถนาสิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย ประสบความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงทุกประการ มีความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาอันเป็นไปโดยชอบทุกท่านทุกคนด้วยเทอญ" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:56  | 
| สมาชิก 241 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#72  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "หลายคนเวลาทำบุญแล้วกลัวจะไม่ได้บุญ อย่างไปซื้ออาหารในตลาดถวายพระกลัวจะไม่ได้บุญเลยทำเอง จำไว้เลยว่าทำเองนั่นแหละจะไม่ได้บุญ เพราะทำไปทำมาเหนื่อยขึ้นมาก็โมโห บุญลดลงอีก อะไรที่ทำแล้วสบายใจที่สุดให้ทำอย่างนั้น กำลังใจของเราทรงตัวบุญจะได้มากหน่อย ประเภทยกไปยกมาแถมบ่นอีกว่าทำไมหนักอย่างนี้ อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาบุญกลับลดลงอีก"
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:56  | 
| สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#73  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องของการหล่อพระพุทธรูปทองคำ เมื่อวานกำลังนั่งรับสังฆทานอยู่ ท่านทำภาพให้เห็นลักษณะเหมือนกับพระพุทธรูปไม่มีพระเกตุมาลา ก็เลยกำหนดใจถามว่าหมายความว่าอย่างไร ?  ท่านบอกว่าถ้าหล่อพระลักษณะนี้เราจะได้สร้างเครื่องทรงถวายด้วย ถ้าเอาลักษณะอย่างนั้นจะเสร็จเร็วเลย ไม่ต้องใช้ทองคำถึง ๔๐ กิโลกรัม  
		
		
		
		
		
		
			ตอนแรกตั้งใจจะหล่อเป็นแบบพระพุทธชินราชก็คือสมเด็จองค์ปฐมปางพระพุทธชินราช หน้าตัก ๑๐ นิ้ว ต้องใช้ทองคำประมาณ ๔๐ กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นทรงอย่างที่ท่านว่ามาหน้าตัก ๑๐ นิ้ว ใช้ทองไม่กี่กิโลกรัมหรอก อย่างเก่งก็ ๑๐ กว่ากิโลกรัมเท่านั้น แล้วเราค่อยไปสร้างเครื่องทรงถวายทีหลัง ตีเสียว่าถ้าอายุ ๖๐ ปีสร้างองค์ท่าน แล้วอายุ ๗๒ ปี ถ้าตะกายอยู่ไปถึง ก็สร้างเครื่องทรงถวายท่านอีกรอบ อาตมารู้จักช่างที่สร้างเครื่องทรงถวายพระแก้วมรกตด้วย เดี๋ยวจะลองถามดูว่าจะเอากี่สิบล้าน ความภูมิใจชีวิตของเขาก็คือได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย สร้างเครื่องทรงถวายพระแก้วมรกต แต่อาตมาดู ๆ แล้วพระทรงเครื่องถ้าจะเอาสวย ต้องทรงเครื่องฤดูร้อน แต่ถ้าจะเอาแพงต้องฤดูหนาว แต่ไม่เป็นไร..เป้าหมายยังไม่เปลี่ยน เดี๋ยว ๖๐ ปีแล้วค่อยสร้าง หาช่างปั้นหุ่นฝีมือดี ๆ ก่อน ตอนนี้ช่างปรัชญ์ค่าตัวแพง หุ่นละหนึ่งแสนบาท..!" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2013 เมื่อ 14:56  | 
| สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#74  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :     วงสมาธิกับขอบเขตในการแผ่เมตตา อันเดียวกันหรือเปล่าครับ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : อันเดียวกัน มีกำลังสมาธิแค่ไหนก็ไปได้แค่นั้น ถาม : เราควรจะให้ใหญ่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้ ? ตอบ : ไปจนกระทั่งทุกภพทุกภูมิได้จะดีมาก ซ้อมไว้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ทำได้เอง 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2013 เมื่อ 09:21  | 
| สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#75  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "การปฏิบัติธรรมช่วงมาฆบูชามีการอุปสมบทหมู่ ตอนแรกจะมีการฉลองพระพุทธพลังจิตทองคำด้วย แต่ช่างเขากลัวว่าถ้าเร่งทำแล้ว เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาจะแก้ไขไม่ทัน ฉะนั้น..จึงขอเลื่อนการฉลองพระพุทธพลังจิตทองคำไปเป็นวิสาขบูชาแทน แปลว่าตามรายการลงไว้ว่ามีการฉลองพระ ก็เป็นงานทำบุญวันมาฆบูชาเฉย ๆ 
		
		
		
		
		
		
			สำหรับปีใหม่ปกติอาตมาจะอัญเชิญพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วมาให้พวกเราได้สักการะกันที่บ้านวิริยบารมี แต่ปีนี้เชิญมาได้แต่ผอบ ท่านกลับไปนอนที่วัดเรียบร้อยแล้ว อุตส่าห์ห่อมาอย่างดิบดี ใส่กล่องแถมยังมีพลาสติกกันกระแทกมาด้วย สงสัยอากาศกรุงเทพฯ จะร้อน ท่านจึงหนีกลับไปนอนที่วัด เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปใครจะสักการะท่านก็ไปตอนวันวิสาขะฯ มาฆะฯ หรืออาสาฬหะฯ นะจ๊ะ ถ้าศาลาใหม่สร้างเสร็จ อาตมาจะอัญเชิญไปจะตั้งไว้ ให้เข้าไปถวายสักการบูชาได้ทุกวัน ตอนนี้บอกกับช่างเขาว่า ถ้าพร้อมเมื่อไรให้เริ่มลงมือรื้อศาลาได้เลย จะวางศิลาฤกษ์วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ หลังจากงานเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว ๑๑ วัน ก็แปลว่ามีเวลา ๑๐ วันหลังงานเป่ายันต์ฯ ให้เตรียมงาน ศาลาการเปรียญเก่านั้น เสาทุกต้นส่วนที่เป็นปูนหมดสภาพแล้ว สนิมขึ้นดันปูนแตกหมดแล้ว ภาษาช่างเขาเรียกว่าเสาระเบิด ส่วนด้านบนปลวกกินไส้ตรงกลางเสาหมดแล้ว วันดีคืนดีหน้าฝนกำลังทำวัตรกันอยู่ แมลงเม่าก็บินพรูจากต้นเสามาเป็นทางเลย ถ้าไม่สร้างใหม่วันดีคืนดีศาลาทรุดลงไปเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันใหญ่ ตอนทำจะขยายพื้นที่จากศาลาหลังเดิมให้คลุมหอฉันเก่าไปด้วย ศาลาหลังใหม่จะมีพื้นที่กว้าง ๔๐ เมตร ยาว ๔๐ เมตร คือ ๑ ไร่พอดี ทำเป็น ๒ ชั้น ชั้นล่างสูง ๘ เมตร เขาจะทำหลอกตาดูข้างนอกเหมือนกับเป็น ๒ ชั้นแต่เป็นชั้นเดียว ส่วนชั้นกลางจะเป็นที่ปฏิบัติธรรม ชั้นบนสุดที่เป็นดาดฟ้าจะตั้งหมู่เรือนไทยไว้เป็นชั้นที่ ๓ เมื่อ ๒ ปีก่อนไปสืบถามราคามา เขาบอกว่าพื้นที่ ๑ ไร่ ถ้าจะทำหมู่เรือนไทย ให้เตรียมงบฯ ไว้เลย ต่ำสุด ๒๐ ล้านบาท ตอนนี้อาตมากำลังคิดว่าถ้าไม้ราคาแพง เรือนไทยเราก็ทำเป็นคอนกรีต ถึงเวลาแล้วทาสีให้ดูเป็นไม้ก็ได้ เดี๋ยวนี้สีแบบไม้มี หรือไม่ก็ทำเป็นเรือนไทยแบบคอนกรีตนั่นแหละ หลังคาทรงไทยก็ทำได้ ราคาถูกกว่าไม้ตั้งเยอะ" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2013 เมื่อ 09:28  | 
| สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#76  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			โยมกำลังตัดฝ้ายเตรียมทำไส้ผางประทีป แก้ออกมาแล้วพันกันยุ่งไปหมด  พระอาจารย์กล่าวว่า  "เคยได้ยินสำนวนโบราณที่เขาบอกว่า ลิงแก้แหไหม ? ประเภทยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง หาหัวหาท้ายไม่เจอ พันกันมั่วไปหมด  เราต้องตัดไล่ไปเรื่อย ๆ ถ้าไปแก้อย่างนั้นก็มั่วอยู่แค่นั้นแหละ  
		
		
		
		
		
		
			"ลิงแก้แห" กับ "ลิงติดตัง" ก็พอ ๆ กัน ลิงแก้แหนี่ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ท้ายสุดก็พันตัวเองนัวเนียไปหมด ลิงติดตังนี่ก็ยิ่งแกะก็ยิ่งติด “ตัง” เป็นน้ำมันจากต้นไม้ ยางต้นไม้ที่เขาเจาะมา แล้วเอามาเคี่ยวจนเหนียว เสร็จแล้วก็เอาไปป้ายไว้ดักนก เขาเอาทาก้านไม้เอาไว้ ลักษณะประมาณตะเกียบยาวกว่านิดหน่อย แล้วก็เอาไปเสียบไว้ตามต้นไม้ เวลานกมาเกาะก็ติด พอขาติดอยู่จะขยับปีกบิน ปีกก็ติดไปด้วย คนก็ขึ้นไปแกะ ปรากฏว่าลิงก็มาติดอยู่ด้วย พอติดแล้วลิงแข็งแรงกว่าก็ดึงมือออกได้ คราวนี้พอมือขวาแกะก็ติด มือซ้ายแกะก็ติด เท้าแกะก็ติดให้ยุ่งไปหมด" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2013 เมื่อ 09:30  | 
| สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#77  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : หลักฮวงจุ้ยที่ทำให้คนเจริญรุ่งเรือง ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : เกิดจากกรรมเก่า...ถ้ากรรมเก่าทำไว้ดีก็ได้ฮวงจุ้ยดี ถ้ากรรมเก่าทำไว้เฮงซวยก็ได้ฮวงจุ้ยไม่ดี 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2013 เมื่อ 10:49  | 
| สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#78  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม :    ได้สูตรยาน้ำหัวไชเท้าแล้วอาการดีขึ้นมากเลย 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ต่อไปจำไว้ แพ้ยาเมื่อไรก็ต้มหัวไชเท้ากิน แล้วก็ไม่ใช่ไปกินส่งเดชเรื่อยเปื่อยนะ ของทุกอย่างต้องพอดี ไม่ใช่เห็นว่ากินแล้วหาย ไปกินมาก ๆ เข้าเดี๋ยวเป็นเรื่องอีก ของที่น่ากลัวที่สุดก็คือถั่วงอก อย่าไปกินถั่วงอกดิบเป็นอันขาด เพราะเป็นตัวทำลายวิตามินและสารอาหารในร่างกายได้เด็ดขาดที่สุดแล้ว กินไปมาก ๆ เดี๋ยวจะหมดสภาพไปโดยไม่รู้สาเหตุ 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2013 เมื่อ 02:41  | 
| สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#79  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			ถาม : ผมไปหล่อพระที่วัดแห่งหนึ่ง ทางวัดจัดให้บูชาแท่งทองราคาต่าง ๆ กัน  มีแท่งทองเหลืองราคา ๒,๙๙๙ บาท พวกผมรวมเงินกันแล้วไม่ถึง แต่กรรมการเขาเห็นว่าเป็นเงินที่รวมกันมาหลายคน เขาจึงอนุญาตให้ทำบุญนำแท่งทองเหลืองนั้นไปหล่อพระได้  กรณีนี้พวกผมจะเป็นหนี้สงฆ์ไหมครับ ? 
		
		
		
		
		
		
			ตอบ : ติดตรงไหนล่ะ ? ถ้าไปขโมยเขามาสิถึงจะติด..! 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2013 เมื่อ 02:41  | 
| สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
		 
			 
			#80  
			
			
			
			
			
		 
		
	 | 
||||
		
		
  | 
||||
| 
		
	
		
		
			
			 
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องของเจ็บไข้ได้ป่วยจริง ๆ แล้วเป็นธรรมดาของร่างกาย ความเจ็บป่วยมีคุณมหาศาลตรงที่ทำให้เราไม่ประมาทในชีวิต ระลึกรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา บังคับบัญชาไม่ได้ ท้ายที่สุดคือเห็นว่าความตายอยู่ใกล้นิดเดียว ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ยิ่งเจ็บป่วยก็ต้องยิ่งระมัดระวังรักษากำลังใจให้ดี โดยเฉพาะใช้วัดตัวเองว่าสิ่งที่ทำมา ทำไปถึงไหนแล้ว  
		
		
		
		
		
		
			นักปฏิบัติถ้ามีอุบัติเหตุหนัก ๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ จะเห็นกำลังใจตัวเองชัดมาก ถึงเวลานั้นจะรู้ว่าต้นทุนของตัวเองเพียงพอหรือไม่ ถ้ายังไม่พอก็เร่งสุดชีวิตได้แล้ว ถ้าพอแล้วก็อย่าประมาท เร่งสั่งสมให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตั้งแต่อาตมาไม่ฉันยามา ๒ ปี รู้สึกว่าการเจ็บป่วยน้อยลงไปมาก แสดงว่าก่อนหน้านี้ป่วยเพราะยาเสียส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะปัจจุบันร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกันเหลือเลย ตอนช่วงที่เขาเอาไปทดลองยารักษามาลาเรียตัวใหม่อยู่ตัวหนึ่ง คำเตือนระบุไว้ว่ายาตัวนี้จะไปกดภูมิคุ้มกันร่างกาย จะยินดีรักษาหรือไม่ ? ปัจจุบันนี้หมอเขาตรวจแล้วบอกว่าอาการใกล้เคียงกับคนเป็นเอดส์ คือไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ฉะนั้น..ถ้าอยู่ใกล้คนที่เป็นโรคที่สามารถระบาดได้จะติดทันที ใครเอาหวัดมาฝากนี่อาตมารับด้วยความยินดี..มาถึงก็ได้เลย โบราณเขาเก่งจริง ๆ เขาเรียกว่า “ยา” ยาคือการอุดรูรั่ว แสดงว่าร่างกายรั่ว เจ็บไข้ได้ป่วยเลยต้องยาให้ดี" 
				__________________ 
		
		
		
		
		
			........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2013 เมื่อ 02:55  | 
| สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]()  | 
	
	
		
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
		
  | 
	
		
  |