กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-11-2011, 17:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔

ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ อยู่ที่เราถนัดและชำนาญ

สำหรับวันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันสุดท้ายของต้นเดือน จาก ๒ วันที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงสภาวะน้ำท่วมว่า เราจะต้องวางกำลังใจอย่างไร จึงสามารถที่จะปฏิบัติได้โดยที่ไม่เกิดความเครียดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

สำหรับวันนี้จะมาสรุปตรงที่ว่า เมื่อเราตั้งใจที่จะปฏิบัติแล้ว จะต้องเป็นคนที่มีความมั่นคง มีความพอใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ หรือตามภาษาบาลีว่า ฉันทะ และมีความพากเพียรที่จะทำจริง ๆ ก็คือ วิริยะ มีกำลังใจปักมั่น แน่วแน่ต่อเป้าหมาย คือจิตตะ และไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ คือวิมังสา

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่เราทราบแล้วทุกคน แต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถ้าฉันทะคือความพอใจเกิดขึ้น เราจะมีความพากเพียรที่จะทำอย่างเต็มที่ไปด้วย เพราะในเมื่อพอใจที่จะทำแล้ว ก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปไม่ย่อท้อ

อย่างอาตมาเองในสมัยที่ไปเรียนวิชาทหาร เขามีการฝึกยุทธวิธีการรบในเวลากลางคืน หลังจากที่เป่านกหวีดให้นอนตอน ๓ ทุ่ม พอ ๔ ทุ่มก็จะเป่านกหวีดปลุกให้ตื่น จากนั้นก็จะเข้าสู่บทเรียนไปเรื่อย ไม่ว่าจะเข้าป่าเข้าดงไปในลักษณะของการลาดตระเวน หาข่าว ซุ่มโจมตี แล้วแต่ว่าวันนั้นจะฝึกบทเรียนอะไร ส่วนใหญ่ก็จะเลิกประมาณตี ๒

พอกลับมาถึง หัวไม่ทันจะถึงหมอนก็หลับกลางอากาศไปแล้ว ตี ๕ เสียงนกหวีดปลุกให้ตื่นใหม่ เริ่มเข้าสู่วงจรการฝึกใหม่ ไปจบลงตรง ๓ ทุ่มเข้านอน แล้ว ๔ ทุ่มโดนปลุกไปอย่างนี้ทุกวัน จะเห็นได้ว่ามีเวลานอนตอนหัวค่ำ ๑ ชั่วโมง แล้วตอนใกล้สว่างอย่างมากก็ไม่เกิน ๓ ชั่วโมง ก็คือช่วงระหว่าง ตี ๒ ถึงตี ๕

อาตมาทราบดีว่าในระยะแรก ๆ นั้น ถ้าเราทิ้งการปฏิบัติ กำลังใจจะถอยหลังไปหารัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะเอากำลังใจคืนได้ยาก ในเมื่อเรารักที่จะทำ รักที่จะปฏิบัติ ก็ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องตัดเวลานอนของตัวเอง คือชิงตื่นขึ้นมาในช่วงประมาณตี ๓ ถึงตี ๔ แล้วมานั่งภาวนา

ในระหว่างที่ทำการฝึก ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหรือว่ากายบริหาร ก็ไม่ได้ทิ้งคำภาวนา โดยเฉพาะตอนวิ่งก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย เท้าซ้ายพุท เท้าขวาโธ การที่เรากำหนดภาวนาไปด้วยก็ทำให้เราไม่เหนื่อยง่าย วิ่งได้นาน วิ่งได้ทนกว่าคนอื่นเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2011 เมื่อ 02:31
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-11-2011, 08:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับตัวอย่างอีกส่วนหนึ่งก็คือในช่วงที่ทำงาน อาตมาจะมีเวลาพักตั้งแต่ตอนเที่ยงถึงบ่ายโมงเท่านั้น เนื่องจากว่าเป็นงานที่ทำกันเองในครอบครัว ก็จะเริ่มตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ได้พักกินข้าวกลางวันก็ตอนเที่ยง บ่ายโมงเริ่มต่อ แล้วไปเลิกเอาตอน ๖ โมงเย็น

ในระหว่างที่ทำงานสมาธิต้องจดจ่ออยู่กับงาน เพราะว่างานที่ทำคือการซ่อมรถ โดยเฉพาะการทำสีรถ ถ้าเผลอเมื่อไรจะเกิดความเสียหายขึ้น โดยเฉพาะตอนขัดสี สมัยก่อนไม่มีเครื่องขัดเหมือนสมัยนี้ ต้องขัดด้วยมือ ถ้าเผลอสติหน่อยเดียวก็จะทะลุจากพื้นผิวเข้าไปถึงสีชั้นใน ก็คือถึงสีรองพื้น เกิดตำหนิขึ้นมา ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องเริ่มมาทำใหม่ ซ่อมใหม่ เสียเวลาแล้วก็เปลืองวัสดุอุปกรณ์มากขึ้น

ทำให้ต้องทุ่มเทสติสมาธิอยู่กับงานตลอดเวลา ทำให้คิดว่าไม่ได้ภาวนา เพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าสมาธิที่อยู่กับงานเป็นการภาวนาอยู่แล้ว ก็ต้องฉวยเวลาที่มีประมาณ ๑ ชั่วโมงตอนพักกลางวัน รีบกินอาหารกลางวันอย่างเร็วที่สุด ก็คือไม่เกิน ๑๐-๑๕ นาที เสร็จแล้วใช้ระยะเวลาที่เหลือในการภาวนา

นี่คือตัวอย่างว่า ถ้าเราเกิดฉันทะคือความพอใจขึ้นแล้ว ก็ต้องมีวิริยะคือความพากเพียรตามมาด้วย เพราะว่าจิตตะ คือกำลังของเราปักมั่นแน่วแน่ต่อเป้าหมายแล้ว เรามั่นใจแล้วว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีแน่ ก็ทุ่มเทให้สิ่งนั้นไป สำคัญที่สุดคือวิมังสา คือการไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ จะช่วยให้เราได้รู้ว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร ขณะนี้ทำไปถึงไหนแล้ว ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไร ตรงตามเป้าประสงค์แต่แรกหรือไม่ การทบทวนอย่างนี้จะทำให้เราปฏิบัติได้ไม่ผิดพลาด ตรงต่อเป้าหมาย และสัมฤทธิ์ผลตามที่ปรารถนาได้โดยง่าย

ดังนั้นใน ๒ วันที่ผ่านก็ได้กล่าวถึงสภาวะจิตใจที่ต้องเครียดจากน้ำที่ท่วมเข้ามาทุกทิศทุกทาง แต่เราจะทิ้งการปฏิบัติไม่ได้ เพราะการปฏิบัติคือตัวผ่อนคลายความเครียดที่ดีที่สุด แล้วให้เราทุ่มเทกับการปฏิบัติโดยรักษาสภาพจิตให้มั่นคงอยู่ในอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔ ก็คือฉันทะมีความพอใจที่จะปฏิบัติในธรรมะเหล่านี้ วิริยะมีความพากเพียรทุ่มเทให้กับการปฏิบัติโดยไม่ย่อท้อ จิตตะมีความแน่วแน่ต่อเป้าหมาย ไม่แปรผันเป็นอื่น วิมังสามีการไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่าเราทำอะไร ไปถึงจุดใดแล้ว

ถ้าหากว่าทุกคนสามารถทำตรงนี้ได้ ความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะปรากฏให้เห็น และโดยเฉพาะว่าพวกเราทั้งหมดตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่าเรามีพระนิพพานเป็นที่ไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2011 เมื่อ 17:18
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-11-2011, 08:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในส่วนของการปฏิบัติตามกติกาเพื่อจะไปสู่พระนิพพาน ก็ต้องเอาตามแบบที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้สอนเอาไว้ คือให้เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ให้รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ท้ายสุดเป็นการใช้ปัญญา ก็คือรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากว่าตายเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น ถ้ากำลังใจของเรามั่นคงอย่างนี้ ก็ให้จับลมหายใจเข้าออกภาวนาต่อไป เพื่อสร้างความเข้มแข็งมั่นคงให้กำลังใจยิ่ง ๆ ขึ้นไป

สำหรับตอนนี้ก็ให้ทุกคนกำหนดใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจและคำภาวนาของตน ผู้ใดจับภาพพระ ก็ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าออกของตนไป หรือท่านที่ยกจิตไปเกาะพระนิพพาน ก็ให้แน่วแน่มั่นคงกับภาพพระบนพระนิพพานนั้น ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ เราก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย มีคำภาวนาอยู่ก็ให้กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าหากว่าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา ก็กำหนดรู้อยู่ว่าตอนนี้ไม่มีลมหายใจ ตอนนี้ไม่มีคำภาวนา

อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น และอย่าอยากให้หายจากอาการอย่างนั้น เราทำตัวเหมือนคนดูที่อยู่ห่าง ๆ มีหน้าที่รับรู้เอาไว้เท่านั้นเป็นพอ สภาพจิตจะค่อย ๆ ดิ่งลึกเข้าไปสู่องค์สมาธิเบื้องสูงมากกว่านั้น ลำดับนี้ก็ให้ทุกคนภาวนาและพิจารณาไปตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-11-2011 เมื่อ 21:01
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-02-2012, 22:51
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 261
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 51,025 ครั้ง ใน 1,309 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2554-11-06

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว