กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 18-10-2025, 19:47
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,183
ได้ให้อนุโมทนา: 226,529
ได้รับอนุโมทนา 815,086 ครั้ง ใน 40,218 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-10-2025, 23:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,546 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่า "ลมเหนือ" มาแล้ว ก็แปลว่าอากาศหนาวกำลังจะมาเยือนพวกเรา แต่คราวนี้ช่วงอากาศเปลี่ยนมักจะเจ็บไข้ได้ป่วยกัน ใครที่ไวต่ออากาศก็หาพวกยาแก้แพ้ฉันไว้สักเม็ดสองเม็ด

แต่ถ้าเป็นโบราณเขาแก้ด้วยอาหาร เขาเรียกว่า "อาหารเป็นยา" ส่วนใหญ่หน้านี้บรรดาแม่บ้านแม่ครัวก็มักจะทำ "แกงส้มดอกแค" เพื่อที่กินเข้าไปแล้ว ร่างกายจะได้ไม่เป็นหวัดง่าย สมัยนี้หมอเขามักง่าย ใช้วิธีจ่ายยาวิตามินซีให้ ซึ่งผลก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะว่าแกงส้มก็อาศัยรสเปรี้ยว ซึ่งก็คือวิตามินซีนั่นเอง ในการป้องกันหวัด หรือที่คนรุ่นเก่า ๆ เขาเรียกว่า "ไข้หัวลม"

โดยเฉพาะถ้าเด็ก ๆ เป็นหวัด ก็จะให้อาบน้ำอุ่นแล้วก็มีการ "สุมหัว" คำว่า "สุมหัว" ในที่นี้ก็คือใช้สมุนไพรในครัวเรือน อย่างเช่นว่าหัวหอม หรือว่าใบมะขามอ่อน ตำพอแหลก เสร็จแล้วก็ห่อผ้าโปะหัวเด็ก พร้อมกับให้อาบน้ำอุ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกดีเหมือนกัน เพราะว่าบางทีเด็กเป็นหวัด น้ำมูกเต็มจมูก หายใจแทบจะไม่ออก พอโดนสุมหัวเข้าไป รู้สึกว่าจมูกโล่ง หายใจได้ง่ายขึ้น

เรื่องของคนสมัยก่อนต้องบอกว่ารักษากันตามฤดูกาล แต่ละระยะ แต่ละเวลา ส่วนใหญ่จะเจ็บไข้ได้ป่วยลักษณะไหน ก็มีการแก้ไขกันไปตามนั้น

คราวนี้ในเรื่องของดินฟ้าอากาศ ถ้าหากว่าสมาธิของเราทรงตัว ผลกระทบก็มีน้อย โดยเฉพาะท่านที่ทรงฌานได้ใหม่ ๆ จะรู้สึกว่าตากแดดก็ไม่ร้อน ตากฝนก็ไม่หนาว สภาพจิตมีความสุขอยู่กับภายในของเรา เพราะว่าปลอดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว คนที่โดน ไฟรัก ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง เผาอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาไฟดับลงด้วยอำนาจสมาธิ บอกไม่ถูกว่ามีความสุขขนาดไหน แต่ทำให้บุคคลส่วนหนึ่งติดอยู่ตรงนั้น ก็เลยหาความก้าวหน้ามากกว่านั้นไม่ได้..!

เพียงแต่ว่าถ้าเราทรงฌานได้ ผลกระทบจากดินฟ้าอากาศก็มีน้อย เหมือนอย่างกับบรรดาโยคี หรือว่านักบวชของทิเบต ที่ไปนั่งกรรมฐานกันท่ามกลางยอดเขาหิมะ..! บางคนหิมะตกท่วมตัวเลย แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะว่าอำนาจสมาธิสามารถคุ้มครองได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-10-2025, 23:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,546 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ทางด้านตะวันตก ก็คือส่วนใหญ่ที่เราเรียกง่าย ๆ ว่า "ฝรั่ง" ไม่ค่อยจะเชื่อถือ และพยายามที่จะพิสูจน์ อย่างเช่นว่ามีโยคีอยู่ท่านหนึ่งโดนจับไปเข้าห้องทดลอง พูดง่าย ๆ ว่าโดนขังเอาไว้นั่นเอง อยู่ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ติดสารพัดเครื่องวัด ไม่ว่าจะวัดคลื่นสมอง วัดคลื่นหัวใจ วัดความดันโลหิต เหล่านั้นเป็นต้น ๘๓ วันเต็ม ๆ โดยที่ไม่มีอาหารไม่มีน้ำอะไรเลย ก็ไม่เห็นโยคีท่านจะเป็นอะไร..!

เนื่องเพราะว่าถ้าถึงในระดับนั้นแล้ว ร่างกายก็ดึงเอาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นส่วนละเอียดเข้าไปใช้งานเอง ไม่ต้องเสียเวลากินด้วย ก็จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า "อิ่มทิพย์" หรือว่า "อยู่ด้วยธรรมปีติ"

หลายท่านถ้าหากว่าเราทรงฌานได้ใหม่ ๆ ก็จะรู้สึกว่าไม่หิว ไม่กระหาย มีความอิ่ม ความเยือกเย็นอยู่ข้างในตลอดเวลา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กำหนดเอาไว้เหมือนกันว่า "ไม่ควรให้เกิน ๑๕ วัน" เพราะว่าร่างกายจะขาดสารอาหารมาก

เราไม่ใช่ได้อภิญญา ๕ กันทุกคน ถ้าอยู่ในระดับอภิญญา ๕ สามารถอาศัยธาตุ ๔ ประสานกัน เพื่อคืนความบกพร่องของร่างกายได้ แต่ถ้าหากว่าไปไม่ถึง แล้วเราอยู่ในลักษณะอดอาหารนาน ๆ บางทีร่างกายขาดสารอาหารมาก ก็ดึงจากตัวของเราไปใช้งาน บางท่านพอโดนดึงไปมาก ๆ อวัยวะภายในบางส่วนก็ล้มเหลว ก็คือจะตายโดยใช่เหตุ..! จึงกลายเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังกันเอง

ถ้าหากว่าทำถึงก็ต้องมีสติ โดยเฉพาะอยู่ในส่วนที่เรียกว่าเกรงใจโลกเขาบ้าง เนื่องเพราะว่าถ้าเราปล่อยยาวไปเลยก็อยู่ได้ แต่ว่าหลายคนอาจจะเห็นเป็นผู้วิเศษ ซึ่งถ้าเขาเห็นในลักษณะนั้น บางทีก็มากวนแบบ "หัวไม่วาง หางไม่เว้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-10-2025, 23:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,546 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนั้น เราเองไม่มีเวลารักษากำลังใจ ถ้าหากว่ากำลังของกิเลสตีกลับเมื่อไร บางคนก็เสียผู้เสียคนไปเลย เพราะว่าจากที่จิตสงบจากรัก โลภ โกรธ หลง จนคิดว่าบรรลุมรรคบรรลุผลกันแล้ว อยู่ ๆ กำลังใจตกลงมาแย่กว่าหมาเสียอีก..!

บางท่านเองถ้าเกรงใจชาวโลก อย่างหลวงปู่เกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านก็ฉันให้เขาคำสองคำ บางทีอาหารหม้อหนึ่งก็อุ่นแล้วอุ่นอีก อุ่นเสียจนกระทั่ง ต้องบอกว่าระเหยหายไปเป็นครึ่ง ๆ เพราะว่าบางทีท่านก็ชิมแค่คำเดียว..!

เราต้องรู้จักระมัดระวังในลักษณะเกรงใจโลกบ้าง ถ้าทำอะไรได้แล้วไม่รู้จักปกปิดตัวเอง จะเข้าในสิ่งที่หลวงปู่จันทร์ กุสโล ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ พระอารามหลวง แล้วย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ สมณศักดิ์สุดท้ายของท่านก็คือพระพุทธพจนวราภรณ์ รองสมเด็จพระราชาคณะ ท่านบอกว่า "ถ้าดังก็อย่าหวังความสงบ" เนื่องเพราะว่าคนก็จะแห่ไปหาแบบ "หัวไม่วาง หางไม่เว้น"

ถ้าเมตตามาก เกรงใจคนมาก เราเองก็จะไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมของตนเอง แล้วถ้ากำลังใจไม่ได้หลุดพ้นจริง ๆ เป็นเพียงการใช้กำลังสมาธิกดกิเลสไว้ ถ้ากิเลสตีคืนเมื่อไรก็จะเสียหายมาก เราเสียครูบาอาจารย์ดี ๆ ไปหลายรูปแล้ว เพราะว่าไปกวนท่านแบบหัวไม่วาง หางไม่เว้นนั่นเอง เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องรู้ตัวเองด้วย ก็คือถ้าไม่ไหวแล้วยังมัวแต่ไปสงเคราะห์ญาติโยมอยู่ คนที่เดือดร้อนก็จะเป็นตัวเอง..!

ทุกท่านจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่ค่อยเกรงใจโยมหรอก ใครมาหาจะมาเรียกมาร้อง อยากมาพบ ไม่ได้ใส่ใจ
เพราะว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องระวังกำลังใจของเราเอง พยายามที่จะปลอบใจให้เมตตาโยม ก็เกิดความรู้สึกว่าเราควรที่จะเมตตาต่อตัวเองก่อน ถ้าคนที่ไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะรู้สึกว่าอยู่ในลักษณะเห็นแก่ตัว แต่บุคคลที่ยังไม่มั่นคง แล้วคิดจะไปช่วยเหลือคนอื่น ก็คงจะช่วยได้ไม่มากนัก ต้องรอความมั่นคงของตัวเองเสียก่อน ว่าช่วยเหลือเขาแล้ว เราต้องไม่เสียหายด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-10-2025, 23:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,794
ได้รับอนุโมทนา 4,512,546 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่าถ้าเราสามารถรักษากำลังใจอยู่ได้ เราก็จะเป็นกำลังส่วนหนึ่งที่จะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ถ้ามัวแต่ไปเกรงใจญาติโยมจนกระทั่งเสียหาย หลายท่านก็สึกหาลาเพศไป ไม่สามารถที่จะอยู่เป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนาได้ แล้วถึงเวลานั้น ญาติโยมก็ไม่ได้มาสนับสนุน หรือว่าสงสารอะไรเรา เพราะว่าตอนเขามา เขาก็หวังแต่ประโยชน์เฉพาะตนเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังให้มาก

สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าโยมเริ่มนั่งอยู่ตรงหน้าหลายคนก็จะไล่เตลิดเปิดเปิงหมด จนมีรุ่นน้องบางท่าน ถามว่า "ทำไมหลวงพี่ไล่โยมแบบนี้ ? ผมสิกลัวคนจะไม่รู้จัก" ได้บอกกับท่านไปว่า "ถ้าท่านสามารถบวชอยู่ต่อไปข้างหน้าได้สัก ๑๐ ปี รู้จักคนสักปีละ ๑๐ คน ครบ ๑๐ ปี ไอ้ ๑๐๐ คนนั่นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ท่านก็ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนแล้ว..!"

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ท่านไปอยู่แห่งหนไหน เพราะว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาเกิน ๓๐ ปีแล้ว แต่คาดว่าถ้าท่านยังอยู่ได้ ก็คงจะอยู่ในลักษณะที่เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดตอนนั้นหมายถึงอะไร

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:19



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว