กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=167)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11276)

ตัวเล็ก 18-10-2025 19:47

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘



เถรี 18-10-2025 23:45

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่า "ลมเหนือ" มาแล้ว ก็แปลว่าอากาศหนาวกำลังจะมาเยือนพวกเรา แต่คราวนี้ช่วงอากาศเปลี่ยนมักจะเจ็บไข้ได้ป่วยกัน ใครที่ไวต่ออากาศก็หาพวกยาแก้แพ้ฉันไว้สักเม็ดสองเม็ด

แต่ถ้าเป็นโบราณเขาแก้ด้วยอาหาร เขาเรียกว่า "อาหารเป็นยา" ส่วนใหญ่หน้านี้บรรดาแม่บ้านแม่ครัวก็มักจะทำ "แกงส้มดอกแค" เพื่อที่กินเข้าไปแล้ว ร่างกายจะได้ไม่เป็นหวัดง่าย สมัยนี้หมอเขามักง่าย ใช้วิธีจ่ายยาวิตามินซีให้ ซึ่งผลก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะว่าแกงส้มก็อาศัยรสเปรี้ยว ซึ่งก็คือวิตามินซีนั่นเอง ในการป้องกันหวัด หรือที่คนรุ่นเก่า ๆ เขาเรียกว่า "ไข้หัวลม"

โดยเฉพาะถ้าเด็ก ๆ เป็นหวัด ก็จะให้อาบน้ำอุ่นแล้วก็มีการ "สุมหัว" คำว่า "สุมหัว" ในที่นี้ก็คือใช้สมุนไพรในครัวเรือน อย่างเช่นว่าหัวหอม หรือว่าใบมะขามอ่อน ตำพอแหลก เสร็จแล้วก็ห่อผ้าโปะหัวเด็ก พร้อมกับให้อาบน้ำอุ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกดีเหมือนกัน เพราะว่าบางทีเด็กเป็นหวัด น้ำมูกเต็มจมูก หายใจแทบจะไม่ออก พอโดนสุมหัวเข้าไป รู้สึกว่าจมูกโล่ง หายใจได้ง่ายขึ้น

เรื่องของคนสมัยก่อนต้องบอกว่ารักษากันตามฤดูกาล แต่ละระยะ แต่ละเวลา ส่วนใหญ่จะเจ็บไข้ได้ป่วยลักษณะไหน ก็มีการแก้ไขกันไปตามนั้น

คราวนี้ในเรื่องของดินฟ้าอากาศ ถ้าหากว่าสมาธิของเราทรงตัว ผลกระทบก็มีน้อย โดยเฉพาะท่านที่ทรงฌานได้ใหม่ ๆ จะรู้สึกว่าตากแดดก็ไม่ร้อน ตากฝนก็ไม่หนาว สภาพจิตมีความสุขอยู่กับภายในของเรา เพราะว่าปลอดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว คนที่โดน ไฟรัก ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง เผาอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาไฟดับลงด้วยอำนาจสมาธิ บอกไม่ถูกว่ามีความสุขขนาดไหน แต่ทำให้บุคคลส่วนหนึ่งติดอยู่ตรงนั้น ก็เลยหาความก้าวหน้ามากกว่านั้นไม่ได้..!

เพียงแต่ว่าถ้าเราทรงฌานได้ ผลกระทบจากดินฟ้าอากาศก็มีน้อย เหมือนอย่างกับบรรดาโยคี หรือว่านักบวชของทิเบต ที่ไปนั่งกรรมฐานกันท่ามกลางยอดเขาหิมะ..! บางคนหิมะตกท่วมตัวเลย แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะว่าอำนาจสมาธิสามารถคุ้มครองได้

เถรี 18-10-2025 23:48

เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ทางด้านตะวันตก ก็คือส่วนใหญ่ที่เราเรียกง่าย ๆ ว่า "ฝรั่ง" ไม่ค่อยจะเชื่อถือ และพยายามที่จะพิสูจน์ อย่างเช่นว่ามีโยคีอยู่ท่านหนึ่งโดนจับไปเข้าห้องทดลอง พูดง่าย ๆ ว่าโดนขังเอาไว้นั่นเอง อยู่ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ติดสารพัดเครื่องวัด ไม่ว่าจะวัดคลื่นสมอง วัดคลื่นหัวใจ วัดความดันโลหิต เหล่านั้นเป็นต้น ๘๓ วันเต็ม ๆ โดยที่ไม่มีอาหารไม่มีน้ำอะไรเลย ก็ไม่เห็นโยคีท่านจะเป็นอะไร..!

เนื่องเพราะว่าถ้าถึงในระดับนั้นแล้ว ร่างกายก็ดึงเอาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นส่วนละเอียดเข้าไปใช้งานเอง ไม่ต้องเสียเวลากินด้วย ก็จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า "อิ่มทิพย์" หรือว่า "อยู่ด้วยธรรมปีติ"

หลายท่านถ้าหากว่าเราทรงฌานได้ใหม่ ๆ ก็จะรู้สึกว่าไม่หิว ไม่กระหาย มีความอิ่ม ความเยือกเย็นอยู่ข้างในตลอดเวลา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กำหนดเอาไว้เหมือนกันว่า "ไม่ควรให้เกิน ๑๕ วัน" เพราะว่าร่างกายจะขาดสารอาหารมาก

เราไม่ใช่ได้อภิญญา ๕ กันทุกคน ถ้าอยู่ในระดับอภิญญา ๕ สามารถอาศัยธาตุ ๔ ประสานกัน เพื่อคืนความบกพร่องของร่างกายได้ แต่ถ้าหากว่าไปไม่ถึง แล้วเราอยู่ในลักษณะอดอาหารนาน ๆ บางทีร่างกายขาดสารอาหารมาก ก็ดึงจากตัวของเราไปใช้งาน บางท่านพอโดนดึงไปมาก ๆ อวัยวะภายในบางส่วนก็ล้มเหลว ก็คือจะตายโดยใช่เหตุ..! จึงกลายเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังกันเอง

ถ้าหากว่าทำถึงก็ต้องมีสติ โดยเฉพาะอยู่ในส่วนที่เรียกว่าเกรงใจโลกเขาบ้าง เนื่องเพราะว่าถ้าเราปล่อยยาวไปเลยก็อยู่ได้ แต่ว่าหลายคนอาจจะเห็นเป็นผู้วิเศษ ซึ่งถ้าเขาเห็นในลักษณะนั้น บางทีก็มากวนแบบ "หัวไม่วาง หางไม่เว้น"

เถรี 18-10-2025 23:53

ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนั้น เราเองไม่มีเวลารักษากำลังใจ ถ้าหากว่ากำลังของกิเลสตีกลับเมื่อไร บางคนก็เสียผู้เสียคนไปเลย เพราะว่าจากที่จิตสงบจากรัก โลภ โกรธ หลง จนคิดว่าบรรลุมรรคบรรลุผลกันแล้ว อยู่ ๆ กำลังใจตกลงมาแย่กว่าหมาเสียอีก..!

บางท่านเองถ้าเกรงใจชาวโลก อย่างหลวงปู่เกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านก็ฉันให้เขาคำสองคำ บางทีอาหารหม้อหนึ่งก็อุ่นแล้วอุ่นอีก อุ่นเสียจนกระทั่ง ต้องบอกว่าระเหยหายไปเป็นครึ่ง ๆ เพราะว่าบางทีท่านก็ชิมแค่คำเดียว..!

เราต้องรู้จักระมัดระวังในลักษณะเกรงใจโลกบ้าง ถ้าทำอะไรได้แล้วไม่รู้จักปกปิดตัวเอง จะเข้าในสิ่งที่หลวงปู่จันทร์ กุสโล ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ พระอารามหลวง แล้วย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ สมณศักดิ์สุดท้ายของท่านก็คือพระพุทธพจนวราภรณ์ รองสมเด็จพระราชาคณะ ท่านบอกว่า "ถ้าดังก็อย่าหวังความสงบ" เนื่องเพราะว่าคนก็จะแห่ไปหาแบบ "หัวไม่วาง หางไม่เว้น"

ถ้าเมตตามาก เกรงใจคนมาก เราเองก็จะไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมของตนเอง แล้วถ้ากำลังใจไม่ได้หลุดพ้นจริง ๆ เป็นเพียงการใช้กำลังสมาธิกดกิเลสไว้ ถ้ากิเลสตีคืนเมื่อไรก็จะเสียหายมาก เราเสียครูบาอาจารย์ดี ๆ ไปหลายรูปแล้ว เพราะว่าไปกวนท่านแบบหัวไม่วาง หางไม่เว้นนั่นเอง เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องรู้ตัวเองด้วย ก็คือถ้าไม่ไหวแล้วยังมัวแต่ไปสงเคราะห์ญาติโยมอยู่ คนที่เดือดร้อนก็จะเป็นตัวเอง..!

ทุกท่านจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่ค่อยเกรงใจโยมหรอก ใครมาหาจะมาเรียกมาร้อง อยากมาพบ ไม่ได้ใส่ใจ
เพราะว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องระวังกำลังใจของเราเอง พยายามที่จะปลอบใจให้เมตตาโยม ก็เกิดความรู้สึกว่าเราควรที่จะเมตตาต่อตัวเองก่อน ถ้าคนที่ไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะรู้สึกว่าอยู่ในลักษณะเห็นแก่ตัว แต่บุคคลที่ยังไม่มั่นคง แล้วคิดจะไปช่วยเหลือคนอื่น ก็คงจะช่วยได้ไม่มากนัก ต้องรอความมั่นคงของตัวเองเสียก่อน ว่าช่วยเหลือเขาแล้ว เราต้องไม่เสียหายด้วย..!

เถรี 18-10-2025 23:55

เนื่องเพราะว่าถ้าเราสามารถรักษากำลังใจอยู่ได้ เราก็จะเป็นกำลังส่วนหนึ่งที่จะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ถ้ามัวแต่ไปเกรงใจญาติโยมจนกระทั่งเสียหาย หลายท่านก็สึกหาลาเพศไป ไม่สามารถที่จะอยู่เป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนาได้ แล้วถึงเวลานั้น ญาติโยมก็ไม่ได้มาสนับสนุน หรือว่าสงสารอะไรเรา เพราะว่าตอนเขามา เขาก็หวังแต่ประโยชน์เฉพาะตนเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังให้มาก

สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าโยมเริ่มนั่งอยู่ตรงหน้าหลายคนก็จะไล่เตลิดเปิดเปิงหมด จนมีรุ่นน้องบางท่าน ถามว่า "ทำไมหลวงพี่ไล่โยมแบบนี้ ? ผมสิกลัวคนจะไม่รู้จัก" ได้บอกกับท่านไปว่า "ถ้าท่านสามารถบวชอยู่ต่อไปข้างหน้าได้สัก ๑๐ ปี รู้จักคนสักปีละ ๑๐ คน ครบ ๑๐ ปี ไอ้ ๑๐๐ คนนั่นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ท่านก็ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนแล้ว..!"

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ท่านไปอยู่แห่งหนไหน เพราะว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาเกิน ๓๐ ปีแล้ว แต่คาดว่าถ้าท่านยังอยู่ได้ ก็คงจะอยู่ในลักษณะที่เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดตอนนั้นหมายถึงอะไร

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:12


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว