 
| 
 | |||||||
| ภาพอื่น ๆ สำหรับภาพพุทธศิลป์ ศิลปะ และภาพที่ใช้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ทั่วไป | 
|  | 
|  | คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
			 
			#1  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|  ภาพพุทธานุสติ ที่ผมว่างามมาก ๆ ชุดหนึ่ง 
			
			ภาพพุทธานุสติ  ที่ผมว่างามมาก ๆ ชุดหนึ่ง(ในความคิดของผม)
		 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-06-2009 เมื่อ 11:52 | 
| สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#2  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			สุดยอดครับ แต่ดูการทรงเครื่องของเทวดา ดูแล้วน่าจะเป็นศิลปะของทางพม่านะครับ ศิลปินคือท่านใดครับ
		 | 
| สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ทิดตู่ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#3  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่เก็บไว้หลายปีแล้ว แล้วก็นำมาจับเป็นภาพในพุทธานุสสติเสมอ จะเห็นว่าผมใช้ photoshop แต่งเพิ่มเพื่อให้เหมือนจิตโดนดึงเข้าไปในอารมณ์ของภาพ "พระพุทธองค์"ครับ
		 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ทิดตู่ : 07-05-2009 เมื่อ 11:19 | 
| สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#4  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			ภาพที่หนึ่งสวยงามมากครับชอบมาก อยากขอดูภาพที่ไม่ได้แต่งได้ไหมครับ
		 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตามรอยพ่อ : 13-10-2009 เมื่อ 09:52 | 
| สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตามรอยพ่อ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#5  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			ได้ หากจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในพุทธานุสติ เจริญพร 
				__________________ สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 13-10-2009 เมื่อ 09:57 | 
| สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#6  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			กราบนมัสการค่ะ หลวงพี่รัตน์ ขอความรู้ค่ะ โปรดสงเคราะห์เกี่ยวกับภาพสุดท้ายด้วยนะคะ จักเป็นพระคุณอย่างสูง หากกรรมใดที่ได้ประมาทพลาดพลั้งด้วยมิได้เจตนา และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อพระคุณเจ้า ขอได้โปรดอดโทษนั้นให้ด้วยค่ะ กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง!    | 
| สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ยายนุ้ย ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#7  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			กราบนมัสการหลวงพี่ครับ   ผมขอด้วยนะครับ | 
| สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ กาแฟ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#8  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			งามมากจริง ๆ ครับหลวงพี่ นมัสการครับ
		 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สณ.นิรนาม : 19-10-2009 เมื่อ 19:01 | 
| สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สณ.นิรนาม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#9  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   อ้างอิง: 
 พระติสสะ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี เวลานั้นองค์สมเด็จพระมหามุนี ทรงปรารภพระปูติคัตติสสะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาว่า “อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ” เป็นต้น เนื้อความมีอยู่ว่า ในเมืองนั้นปรากฏว่า มีกุลบุตรคนหนึ่ง ขณะที่ได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาระแรก ก็มีความเลื่อมใส เมื่อมีความเลื่อมใสก็ตั้งใจถวายตนในพระพุทธศาสนา นั่นก็หมายความว่าต้องการจะบวชตลอดชีวิต เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้วก็ขอบรรพชาอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า เมื่อบวชเป็นพระแล้วไม่นานนัก ก็มีกำลังขึ้นฌานโลกีย์ ทรงตัวได้บ้าง ทรงตัวไม่ได้บ้าง กำลังยังไม่มั่นคง ต่อมาโรคร้ายก็เกิดกับร่างกายของท่าน มันเป็นตุ่มเล็ก ๆ นิด ๆ ทั่วตัว ต่อมาเจ้าตุ่มนั้นก็โตขึ้นเท่าเม็ดถั่วเขียว จากเม็ดถั่วเขียวเท่าเม็ดถั่วเหลือง จากเม็ดถั่วเหลืองก็เท่าผลส้ม หนัก ๆ เข้าก็โตเท่าผลมะตูม มันเต็มตัวไปหมด พอเม็ดต่าง ๆ พองใสโตเท่ามะตูมมันก็แตก แตกทั้งหมดเป็นน้ำเหลืองเยิ้มทั้งร่างกาย ท่านก็ลุกไม่ไหว บรรดาพระทั้งหลายก็ปฏิบัติตามกำลัง ต่อมาไม่ช้าไม่นาน กระดูกของท่านก็แตก คำว่ากระดูกแตกนี่ ตามบาลีไม่ได้บอกว่าแตกส่วนใดส่วนหนึ่ง คงจะแตกทั้งกาย ผ้าก็เลอะเทอะไปทั้งน้ำเหลือง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติไม่ไหว เมื่อปฏิบัติไม่ไหวก็พากันทิ้ง ปล่อยรอความตาย 
				__________________ สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 28-10-2009 เมื่อ 17:26 | 
| สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#10  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			ท่านบอกว่า คืนวันที่พระทิ้ง (สมมุติว่าทิ้งวันนี้นะ เวลาเช้ามืดพระพุทธเจ้าตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ตามลีลา) การตรวจอุปนิสัยสัตว์ของพระพุทธเจ้านี่ ตามพระสูตร ๆ นี้บอกว่ามี ๒ เวลา คือ ถ้าเวลาเช้ามืด ท่านตรวจจากขอบจักรวาลเข้ามาถึงที่อยู่ของพระองค์ ถ้าเวลาตอนเย็นพระองค์ก็ตรวจจากที่อยู่ของพระองค์ไปหาขอบจักรวาล แต่วันนี้เป็นเวลาตรวจอุปนิสัยของสัตว์ในตอนเช้ามืด จากขอบจักรวาลเข้ามา ในสถานที่อื่นก็ยังไม่เห็นว่าใครจะบรรลุมรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ต่อเมื่อทรงตรวจใกล้เข้ามาเขตวิหารของพระองค์ พระปูติคัตติสสะนี่อยู่วิหารของพระพุทธเจ้า อยู่วิหารเดียวกัน ปรากฎว่า ท่านก็เห็นพระปูติคัตว่ามีนิสัยเป็นอรหันต์ในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้พระติสสะหรือปูติคัตติสสะ ปูติคัต แปลว่า เน่า พระติสสะผู้มีร่างกายเน่า ในวันพรุ่งจะได้บรรลุมรรคผล คืออรหันต์พร้อมกับนิพพาน และก็ทรงทราบว่า เวลานี้บรรดาพระลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายพากันทอดทิ้ง เธอมีร่างกายเน่าไปทั้งตัว ผ้าก็เต็มชื้นไปทั้งน้ำเหลืองเกรอะกรังทั้งร่างกายทั้งผ้า กระดูกร่างกายก็แตกขยับร่างกายไม่ไหว ก็ทรงดำริต่อไปว่า นอกจากตถาคตเสียแล้ว ไม่มีใครเป็นที่พึ่งแก่เธอได้ ยังมีต่อนะครับ ป.ล. ตอนนี้เป็น "ทิดรัตน์" แล้วครับ 
				__________________ สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 28-10-2009 เมื่อ 07:08 | 
| สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#11  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			จากภาพ ถ่ายทอดออกมาแสดงถึงพระเมตตา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ พระติสสะได้อย่างงดงามมาก....สาธุ พระเมตตาของพระองค์ช่างหาประมาณมิได้  มาต่อกันดีกว่าครับ......... ฉะนั้น เวลาเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ก็เสด็จออกจากวิหารของพระองค์ ทำเป็นว่าเที่ยวไปในวิหาร เรียกว่าเดินไปเดินมาก็แวะห้องของพระติสสะ ทรงเอากาน้ำมาตั้งที่เตา ต้มให้ร้อน แล้วเอาผ้าที่เปื้อนน้ำเหลืองของเธอมาหวังจะซัก ก็พอดีพระสงฆ์เห็นเข้าก็บอกว่า งานนี้ข้าพระพุทธเจ้าทำเองพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็เลยหยิบผ้าที่มีน้ำเหลืองมา บอกว่าต้มน้ำให้ร้อน เอาผ้านี้ต้มขยี้ให้หมดน้ำเหลือง แล้วท่านก็เอาผ้าผืนหนึ่งไปชุบน้ำร้อนมาค่อย ๆ เช็ดตัวของพระติสสะ ที่น้ำเหลืองกรังทั้งตัว เช็ดจนกระทั่งน้ำเหลืองแห้งหมด ร่างกายสะอาด เวลานั้นพระติสสะก็มีความเบาใจ ชื่นใจ มีอาการปลอดโปร่งขึ้นมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ที่ทำตามนั้นก็คือพระพุทธเจ้า กำลังก็เกิดมากต่อมาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัส เห็นเธอมีกำลังเบาใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุ ร่างกายของเธอนี้มีวิญญาณไปปราศแล้ว หาประโยชน์มิได้ จะนอนทับแผ่นดินเหมือนกับท่อนไม้ที่ไม่มีประโยชน์” และต่อมาก็ตรัสเป็นคาถาว่า “อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ” เป็นต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ภิกษุ ไม่นานนักหนอ ร่างกายนี้จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว จะนอนทับผืนแผ่นดิน ที่บุคคลทั้งหลายเขาจะทอดทิ้งไป เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์” พอท่านฟังเพียงเท่านี้ ท่านบรรลุอรหัตผลพร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณ แล้วก็นิพพานทันที 
				__________________ สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 29-10-2009 เมื่อ 20:35 | 
| สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#12  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|    ทีนี้ก็มาว่าถึงกฎของกรรม  เมื่อพระติสสะ  คำว่าปูติคัต  แปลว่า เน่า  เติมเข้ามา  เมื่อพระปูติคุตติสสะนิพพานแล้ว  บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้าให้ทำเจดีย์  พระพุทธเจ้าสั่งเผาร่างกาย  แล้วเอากระดูกบรรจุเจดีย์เข้าไว้ ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า พระติสสะทำกรรมอะไรไว้ จึงมีร่างกายเน่าและกระดูกแตก” ความจริงท่านถามไว้สองตอน ฉันขอรวบรัด และก็ในที่สุดได้บรรลุอรหัตผล พร้อมปฏิสัมภิทาญาณไปนิพพานได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ปูติคัตติสสะ หรือพระติสสะอย่างเดียวก็ได้ ในชาติก่อนโน้นเธอเป็นพรานฆ่านก คิดดักนกบ้าง ยิงนกบ้าง เอามาขายกับอิสรชนที่มีสตางค์ บางวันถ้ายังขายไม่หมด มีนกน้อย ๆ ก็ย่างเก็บไว้ขายในวันพรุ่งนี้ บางวันก็นกเหลือมาก ก็ย่างบ้าง ส่วนที่ยังเหลือจะขายสดในวันพรุ่งนี้ ถ้าจะปล่อยไว้เฉย ๆ ก็เกรงว่านกจะบินหนีไป ก็เลยหักขาบ้าง หักกระดูกบ้าง ป้องกันนกบิน” ท่านกล่าวว่า เพราะกรรมอย่างนี้เป็นปัจจัยให้ติสสะมีกายเน่า และก็มีกระดูกแตก 
				__________________ สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 28-10-2009 เมื่อ 16:58 | 
| สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#13  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้พระติสสะ ท่านบรรลุถึงเข้าพระนิพพานได้ มีท่านใดทราบบ้างครับ......
		 
				__________________ สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม | 
| สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#14  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   อ้างอิง: 
 แต่ด้วยความอยากรู้ จึงไปค้นพบว่า... (เป็นเรื่องที่หลวงพ่อเล่า และบันทึกไว้ในในหนังสือ "ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน" จึงลงไว้แต่พอตอบคำถาม เป็นการป้องกันปัญหาลิขสิทธิ์ที่อาจมี) ...แล้วพระองค์ก็ทรงยืนอยู่ข้าง ๆ บอกว่า "ติสสะ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้ก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์" หมายความว่าจิตใจจะพ้นไปจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วร่างกายของเราก็ไร้ประโยชน์ เป็นของที่ชาวบ้านเขาจะทอดทิ้งเขาไม่ต้องการ สู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้ พระติสสะฟังเพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่เคยถวายทานกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณทันทีและก็นิพพานทันทีในวันนั้น 
				__________________ การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว... กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑ | 
| สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สายท่าขนุน ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#15  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			ในชาติที่พระติสสะ เป็นนายพรานล่านก ได้เคยทำบุญดังนี้ มีพระอรหันต์ท่านเดินบิณฑบาต นายพรานนก (พระติสสะ) เห็นเข้าก็นิมนต์ท่าน รับบาตรมา มีความรู้สึกว่าเขาทำบาปทุกวันไม่เคยทำบุญเลย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็สั่งคนในบ้านให้ทำกับข้าวให้รสอร่อยที่สุด ที่เขาชอบมากที่สุด เอาเนื้อนกนั่นแหละทำ เมื่อทำเสร็จก็นำไปใส่บาตรพระจนเต็ม เป็นที่พอใจของตนเองว่าได้ทำบุญ (กำลังใจเต็ม) องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าด้วยผลบุญ คือ ถวายทานกับพระขีณาสพนี่เอง (คำว่าขีณาสพคือพระอรหันต์) มาชาตินี้ชาติสุดท้าย จึงเป็นปัจจัยให้บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ พระท่านว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ “การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทุกอย่าง” 
				__________________ สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม | 
| สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#16  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			สาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิ อ่านไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอันหาที่ประมาณมิได้ ในความเมตตาแห่งพระพุทธองค์ น้ำตาหยด น้ำตาร่วงตลอดเวลา   เกิดธรรมสังเวช เห็นเหตุแห่งทุกข์อันเกิดจากกรรมที่ทำไว้แต่อดีต เฮ้อ..จะมีใครสักกี่คนหนอที่จะโชคดีแบบนั้น  ขอบคุณใน "ธรรมทาน" ค่ะคุณทิดรัตน์ ฮิ ฮิ..  (คิดว่าจะไม่เข้ามาตอบเสียแล้ว ฮิ ฮิ..) | 
| สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ยายนุ้ย ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#17  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			ภาพสวยมาก ๆ เลยครับ
		 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2010 เมื่อ 03:01 | 
| สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ณัฐพล ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#18  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			ภาพสวยมากสงบดีมาก
		 | 
| สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุขใจ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#19  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			โชคดีที่เปิดมาอ่าน เรื่องพระติสสะ ภาพก็งดงามมาก โมทนาครับ จิมมี่ | 
| สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#20  
			
			
			
			
			
		 | |||
| 
 | |||
|   
			
			กราบนมัสการหลวงพี่ครับ   ผมขอด้วยนะครับ | 
| สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|  | 
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| 
 | 
 |