![]() |
ภาพพุทธานุสติ ที่ผมว่างามมาก ๆ ชุดหนึ่ง
5 Attachment(s)
ภาพพุทธานุสติ ที่ผมว่างามมาก ๆ ชุดหนึ่ง(ในความคิดของผม)
|
สุดยอดครับ แต่ดูการทรงเครื่องของเทวดา ดูแล้วน่าจะเป็นศิลปะของทางพม่านะครับ ศิลปินคือท่านใดครับ
|
อันนี้ผมก็ไม่ทราบ แต่เก็บไว้หลายปีแล้ว แล้วก็นำมาจับเป็นภาพในพุทธานุสสติเสมอ จะเห็นว่าผมใช้ photoshop แต่งเพิ่มเพื่อให้เหมือนจิตโดนดึงเข้าไปในอารมณ์ของภาพ "พระพุทธองค์"ครับ
|
ภาพที่หนึ่งสวยงามมากครับชอบมาก อยากขอดูภาพที่ไม่ได้แต่งได้ไหมครับ
|
อ้างอิง:
เจริญพร |
กราบนมัสการค่ะ หลวงพี่รัตน์
ขอความรู้ค่ะ โปรดสงเคราะห์เกี่ยวกับภาพสุดท้ายด้วยนะคะ จักเป็นพระคุณอย่างสูง หากกรรมใดที่ได้ประมาทพลาดพลั้งด้วยมิได้เจตนา และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ต่อพระคุณเจ้า ขอได้โปรดอดโทษนั้นให้ด้วยค่ะ กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง! :onion_yom::cebollita_onion-17: |
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ
ผมขอด้วยนะครับ |
งามมากจริง ๆ ครับหลวงพี่ นมัสการครับ
|
อ้างอิง:
พระติสสะ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ในเมืองสาวัตถี เวลานั้นองค์สมเด็จพระมหามุนี ทรงปรารภพระปูติคัตติสสะเถระ ตรัสพระธรรมเทศนาว่า “อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ” เป็นต้น เนื้อความมีอยู่ว่า ในเมืองนั้นปรากฏว่า มีกุลบุตรคนหนึ่ง ขณะที่ได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาระแรก ก็มีความเลื่อมใส เมื่อมีความเลื่อมใสก็ตั้งใจถวายตนในพระพุทธศาสนา นั่นก็หมายความว่าต้องการจะบวชตลอดชีวิต เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้วก็ขอบรรพชาอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า เมื่อบวชเป็นพระแล้วไม่นานนัก ก็มีกำลังขึ้นฌานโลกีย์ ทรงตัวได้บ้าง ทรงตัวไม่ได้บ้าง กำลังยังไม่มั่นคง ต่อมาโรคร้ายก็เกิดกับร่างกายของท่าน มันเป็นตุ่มเล็ก ๆ นิด ๆ ทั่วตัว ต่อมาเจ้าตุ่มนั้นก็โตขึ้นเท่าเม็ดถั่วเขียว จากเม็ดถั่วเขียวเท่าเม็ดถั่วเหลือง จากเม็ดถั่วเหลืองก็เท่าผลส้ม หนัก ๆ เข้าก็โตเท่าผลมะตูม มันเต็มตัวไปหมด พอเม็ดต่าง ๆ พองใสโตเท่ามะตูมมันก็แตก แตกทั้งหมดเป็นน้ำเหลืองเยิ้มทั้งร่างกาย ท่านก็ลุกไม่ไหว บรรดาพระทั้งหลายก็ปฏิบัติตามกำลัง ต่อมาไม่ช้าไม่นาน กระดูกของท่านก็แตก คำว่ากระดูกแตกนี่ ตามบาลีไม่ได้บอกว่าแตกส่วนใดส่วนหนึ่ง คงจะแตกทั้งกาย ผ้าก็เลอะเทอะไปทั้งน้ำเหลือง บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายปฏิบัติไม่ไหว เมื่อปฏิบัติไม่ไหวก็พากันทิ้ง ปล่อยรอความตาย |
ท่านบอกว่า คืนวันที่พระทิ้ง (สมมุติว่าทิ้งวันนี้นะ เวลาเช้ามืดพระพุทธเจ้าตรวจอุปนิสัยของสัตว์ ตามลีลา) การตรวจอุปนิสัยสัตว์ของพระพุทธเจ้านี่ ตามพระสูตร ๆ นี้บอกว่ามี ๒ เวลา
คือ ถ้าเวลาเช้ามืด ท่านตรวจจากขอบจักรวาลเข้ามาถึงที่อยู่ของพระองค์ ถ้าเวลาตอนเย็นพระองค์ก็ตรวจจากที่อยู่ของพระองค์ไปหาขอบจักรวาล แต่วันนี้เป็นเวลาตรวจอุปนิสัยของสัตว์ในตอนเช้ามืด จากขอบจักรวาลเข้ามา ในสถานที่อื่นก็ยังไม่เห็นว่าใครจะบรรลุมรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ต่อเมื่อทรงตรวจใกล้เข้ามาเขตวิหารของพระองค์ พระปูติคัตติสสะนี่อยู่วิหารของพระพุทธเจ้า อยู่วิหารเดียวกัน ปรากฎว่า ท่านก็เห็นพระปูติคัตว่ามีนิสัยเป็นอรหันต์ในวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้พระติสสะหรือปูติคัตติสสะ ปูติคัต แปลว่า เน่า พระติสสะผู้มีร่างกายเน่า ในวันพรุ่งจะได้บรรลุมรรคผล คืออรหันต์พร้อมกับนิพพาน และก็ทรงทราบว่า เวลานี้บรรดาพระลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายพากันทอดทิ้ง เธอมีร่างกายเน่าไปทั้งตัว ผ้าก็เต็มชื้นไปทั้งน้ำเหลืองเกรอะกรังทั้งร่างกายทั้งผ้า กระดูกร่างกายก็แตกขยับร่างกายไม่ไหว ก็ทรงดำริต่อไปว่า นอกจากตถาคตเสียแล้ว ไม่มีใครเป็นที่พึ่งแก่เธอได้ ยังมีต่อนะครับ ป.ล. ตอนนี้เป็น "ทิดรัตน์" แล้วครับ |
จากภาพ ถ่ายทอดออกมาแสดงถึงพระเมตตา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ พระติสสะได้อย่างงดงามมาก....สาธุ พระเมตตาของพระองค์ช่างหาประมาณมิได้
มาต่อกันดีกว่าครับ......... ฉะนั้น เวลาเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ก็เสด็จออกจากวิหารของพระองค์ ทำเป็นว่าเที่ยวไปในวิหาร เรียกว่าเดินไปเดินมาก็แวะห้องของพระติสสะ ทรงเอากาน้ำมาตั้งที่เตา ต้มให้ร้อน แล้วเอาผ้าที่เปื้อนน้ำเหลืองของเธอมาหวังจะซัก ก็พอดีพระสงฆ์เห็นเข้าก็บอกว่า งานนี้ข้าพระพุทธเจ้าทำเองพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็เลยหยิบผ้าที่มีน้ำเหลืองมา บอกว่าต้มน้ำให้ร้อน เอาผ้านี้ต้มขยี้ให้หมดน้ำเหลือง แล้วท่านก็เอาผ้าผืนหนึ่งไปชุบน้ำร้อนมาค่อย ๆ เช็ดตัวของพระติสสะ ที่น้ำเหลืองกรังทั้งตัว เช็ดจนกระทั่งน้ำเหลืองแห้งหมด ร่างกายสะอาด เวลานั้นพระติสสะก็มีความเบาใจ ชื่นใจ มีอาการปลอดโปร่งขึ้นมา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ที่ทำตามนั้นก็คือพระพุทธเจ้า กำลังก็เกิดมากต่อมาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัส เห็นเธอมีกำลังเบาใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุ ร่างกายของเธอนี้มีวิญญาณไปปราศแล้ว หาประโยชน์มิได้ จะนอนทับแผ่นดินเหมือนกับท่อนไม้ที่ไม่มีประโยชน์” และต่อมาก็ตรัสเป็นคาถาว่า “อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ” เป็นต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “ภิกษุ ไม่นานนักหนอ ร่างกายนี้จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว จะนอนทับผืนแผ่นดิน ที่บุคคลทั้งหลายเขาจะทอดทิ้งไป เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์” พอท่านฟังเพียงเท่านี้ ท่านบรรลุอรหัตผลพร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณ แล้วก็นิพพานทันที |
:4672615:ทีนี้ก็มาว่าถึงกฎของกรรม เมื่อพระติสสะ คำว่าปูติคัต แปลว่า เน่า เติมเข้ามา เมื่อพระปูติคุตติสสะนิพพานแล้ว บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็รับคำสั่งจากพระพุทธเจ้าให้ทำเจดีย์ พระพุทธเจ้าสั่งเผาร่างกาย แล้วเอากระดูกบรรจุเจดีย์เข้าไว้
ต่อมาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็กราบทูลถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า พระติสสะทำกรรมอะไรไว้ จึงมีร่างกายเน่าและกระดูกแตก” ความจริงท่านถามไว้สองตอน ฉันขอรวบรัด และก็ในที่สุดได้บรรลุอรหัตผล พร้อมปฏิสัมภิทาญาณไปนิพพานได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การที่ปูติคัตติสสะ หรือพระติสสะอย่างเดียวก็ได้ ในชาติก่อนโน้นเธอเป็นพรานฆ่านก คิดดักนกบ้าง ยิงนกบ้าง เอามาขายกับอิสรชนที่มีสตางค์ บางวันถ้ายังขายไม่หมด มีนกน้อย ๆ ก็ย่างเก็บไว้ขายในวันพรุ่งนี้ บางวันก็นกเหลือมาก ก็ย่างบ้าง ส่วนที่ยังเหลือจะขายสดในวันพรุ่งนี้ ถ้าจะปล่อยไว้เฉย ๆ ก็เกรงว่านกจะบินหนีไป ก็เลยหักขาบ้าง หักกระดูกบ้าง ป้องกันนกบิน” ท่านกล่าวว่า เพราะกรรมอย่างนี้เป็นปัจจัยให้ติสสะมีกายเน่า และก็มีกระดูกแตก |
แล้วอะไรเป็นปัจจัยให้พระติสสะ ท่านบรรลุถึงเข้าพระนิพพานได้ มีท่านใดทราบบ้างครับ......
|
อ้างอิง:
แต่ด้วยความอยากรู้ จึงไปค้นพบว่า... (เป็นเรื่องที่หลวงพ่อเล่า และบันทึกไว้ในในหนังสือ "ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน" จึงลงไว้แต่พอตอบคำถาม เป็นการป้องกันปัญหาลิขสิทธิ์ที่อาจมี) ...แล้วพระองค์ก็ทรงยืนอยู่ข้าง ๆ บอกว่า "ติสสะ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้ก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์" หมายความว่าจิตใจจะพ้นไปจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วร่างกายของเราก็ไร้ประโยชน์ เป็นของที่ชาวบ้านเขาจะทอดทิ้งเขาไม่ต้องการ สู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้ พระติสสะฟังเพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่เคยถวายทานกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณทันทีและก็นิพพานทันทีในวันนั้น |
ในชาติที่พระติสสะ เป็นนายพรานล่านก ได้เคยทำบุญดังนี้
มีพระอรหันต์ท่านเดินบิณฑบาต นายพรานนก (พระติสสะ) เห็นเข้าก็นิมนต์ท่าน รับบาตรมา มีความรู้สึกว่าเขาทำบาปทุกวันไม่เคยทำบุญเลย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ก็สั่งคนในบ้านให้ทำกับข้าวให้รสอร่อยที่สุด ที่เขาชอบมากที่สุด เอาเนื้อนกนั่นแหละทำ เมื่อทำเสร็จก็นำไปใส่บาตรพระจนเต็ม เป็นที่พอใจของตนเองว่าได้ทำบุญ (กำลังใจเต็ม) องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสว่าด้วยผลบุญ คือ ถวายทานกับพระขีณาสพนี่เอง (คำว่าขีณาสพคือพระอรหันต์) มาชาตินี้ชาติสุดท้าย จึงเป็นปัจจัยให้บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ พระท่านว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ “การให้ธรรมเป็นทาน ชนะทานทุกอย่าง” |
สาธุ สาธุ สาธุอนุโมทามิ อ่านไปด้วยความรู้สึกตื้นตันใจอันหาที่ประมาณมิได้ ในความเมตตาแห่งพระพุทธองค์ น้ำตาหยด น้ำตาร่วงตลอดเวลา :onion_beg:
เกิดธรรมสังเวช เห็นเหตุแห่งทุกข์อันเกิดจากกรรมที่ทำไว้แต่อดีต เฮ้อ..จะมีใครสักกี่คนหนอที่จะโชคดีแบบนั้น :4672615: ขอบคุณใน "ธรรมทาน" ค่ะคุณทิดรัตน์ ฮิ ฮิ..:onion078: (คิดว่าจะไม่เข้ามาตอบเสียแล้ว ฮิ ฮิ..) |
ภาพสวยมาก ๆ เลยครับ
|
ภาพสวยมากสงบดีมาก
|
โชคดีที่เปิดมาอ่าน เรื่องพระติสสะ ภาพก็งดงามมาก
โมทนาครับ จิมมี่ |
กราบนมัสการหลวงพี่ครับ
ผมขอด้วยนะครับ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:18 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.