#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ถ้าทุกท่านสังเกตจะเห็นว่า "ลมเหนือ" มาแล้ว ก็แปลว่าอากาศหนาวกำลังจะมาเยือนพวกเรา แต่คราวนี้ช่วงอากาศเปลี่ยนมักจะเจ็บไข้ได้ป่วยกัน ใครที่ไวต่ออากาศก็หาพวกยาแก้แพ้ฉันไว้สักเม็ดสองเม็ด
แต่ถ้าเป็นโบราณเขาแก้ด้วยอาหาร เขาเรียกว่า "อาหารเป็นยา" ส่วนใหญ่หน้านี้บรรดาแม่บ้านแม่ครัวก็มักจะทำ "แกงส้มดอกแค" เพื่อที่กินเข้าไปแล้ว ร่างกายจะได้ไม่เป็นหวัดง่าย สมัยนี้หมอเขามักง่าย ใช้วิธีจ่ายยาวิตามินซีให้ ซึ่งผลก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะว่าแกงส้มก็อาศัยรสเปรี้ยว ซึ่งก็คือวิตามินซีนั่นเอง ในการป้องกันหวัด หรือที่คนรุ่นเก่า ๆ เขาเรียกว่า "ไข้หัวลม" โดยเฉพาะถ้าเด็ก ๆ เป็นหวัด ก็จะให้อาบน้ำอุ่นแล้วก็มีการ "สุมหัว" คำว่า "สุมหัว" ในที่นี้ก็คือใช้สมุนไพรในครัวเรือน อย่างเช่นว่าหัวหอม หรือว่าใบมะขามอ่อน ตำพอแหลก เสร็จแล้วก็ห่อผ้าโปะหัวเด็ก พร้อมกับให้อาบน้ำอุ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกดีเหมือนกัน เพราะว่าบางทีเด็กเป็นหวัด น้ำมูกเต็มจมูก หายใจแทบจะไม่ออก พอโดนสุมหัวเข้าไป รู้สึกว่าจมูกโล่ง หายใจได้ง่ายขึ้น เรื่องของคนสมัยก่อนต้องบอกว่ารักษากันตามฤดูกาล แต่ละระยะ แต่ละเวลา ส่วนใหญ่จะเจ็บไข้ได้ป่วยลักษณะไหน ก็มีการแก้ไขกันไปตามนั้น คราวนี้ในเรื่องของดินฟ้าอากาศ ถ้าหากว่าสมาธิของเราทรงตัว ผลกระทบก็มีน้อย โดยเฉพาะท่านที่ทรงฌานได้ใหม่ ๆ จะรู้สึกว่าตากแดดก็ไม่ร้อน ตากฝนก็ไม่หนาว สภาพจิตมีความสุขอยู่กับภายในของเรา เพราะว่าปลอดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว คนที่โดน ไฟรัก ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง เผาอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาไฟดับลงด้วยอำนาจสมาธิ บอกไม่ถูกว่ามีความสุขขนาดไหน แต่ทำให้บุคคลส่วนหนึ่งติดอยู่ตรงนั้น ก็เลยหาความก้าวหน้ามากกว่านั้นไม่ได้..! เพียงแต่ว่าถ้าเราทรงฌานได้ ผลกระทบจากดินฟ้าอากาศก็มีน้อย เหมือนอย่างกับบรรดาโยคี หรือว่านักบวชของทิเบต ที่ไปนั่งกรรมฐานกันท่ามกลางยอดเขาหิมะ..! บางคนหิมะตกท่วมตัวเลย แต่ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร เพราะว่าอำนาจสมาธิสามารถคุ้มครองได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:14 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ทางด้านตะวันตก ก็คือส่วนใหญ่ที่เราเรียกง่าย ๆ ว่า "ฝรั่ง" ไม่ค่อยจะเชื่อถือ และพยายามที่จะพิสูจน์ อย่างเช่นว่ามีโยคีอยู่ท่านหนึ่งโดนจับไปเข้าห้องทดลอง พูดง่าย ๆ ว่าโดนขังเอาไว้นั่นเอง อยู่ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ติดสารพัดเครื่องวัด ไม่ว่าจะวัดคลื่นสมอง วัดคลื่นหัวใจ วัดความดันโลหิต เหล่านั้นเป็นต้น ๘๓ วันเต็ม ๆ โดยที่ไม่มีอาหารไม่มีน้ำอะไรเลย ก็ไม่เห็นโยคีท่านจะเป็นอะไร..!
เนื่องเพราะว่าถ้าถึงในระดับนั้นแล้ว ร่างกายก็ดึงเอาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นส่วนละเอียดเข้าไปใช้งานเอง ไม่ต้องเสียเวลากินด้วย ก็จะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า "อิ่มทิพย์" หรือว่า "อยู่ด้วยธรรมปีติ" หลายท่านถ้าหากว่าเราทรงฌานได้ใหม่ ๆ ก็จะรู้สึกว่าไม่หิว ไม่กระหาย มีความอิ่ม ความเยือกเย็นอยู่ข้างในตลอดเวลา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กำหนดเอาไว้เหมือนกันว่า "ไม่ควรให้เกิน ๑๕ วัน" เพราะว่าร่างกายจะขาดสารอาหารมาก เราไม่ใช่ได้อภิญญา ๕ กันทุกคน ถ้าอยู่ในระดับอภิญญา ๕ สามารถอาศัยธาตุ ๔ ประสานกัน เพื่อคืนความบกพร่องของร่างกายได้ แต่ถ้าหากว่าไปไม่ถึง แล้วเราอยู่ในลักษณะอดอาหารนาน ๆ บางทีร่างกายขาดสารอาหารมาก ก็ดึงจากตัวของเราไปใช้งาน บางท่านพอโดนดึงไปมาก ๆ อวัยวะภายในบางส่วนก็ล้มเหลว ก็คือจะตายโดยใช่เหตุ..! จึงกลายเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังกันเอง ถ้าหากว่าทำถึงก็ต้องมีสติ โดยเฉพาะอยู่ในส่วนที่เรียกว่าเกรงใจโลกเขาบ้าง เนื่องเพราะว่าถ้าเราปล่อยยาวไปเลยก็อยู่ได้ แต่ว่าหลายคนอาจจะเห็นเป็นผู้วิเศษ ซึ่งถ้าเขาเห็นในลักษณะนั้น บางทีก็มากวนแบบ "หัวไม่วาง หางไม่เว้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:25 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าอยู่ในลักษณะแบบนั้น เราเองไม่มีเวลารักษากำลังใจ ถ้าหากว่ากำลังของกิเลสตีกลับเมื่อไร บางคนก็เสียผู้เสียคนไปเลย เพราะว่าจากที่จิตสงบจากรัก โลภ โกรธ หลง จนคิดว่าบรรลุมรรคบรรลุผลกันแล้ว อยู่ ๆ กำลังใจตกลงมาแย่กว่าหมาเสียอีก..!
บางท่านเองถ้าเกรงใจชาวโลก อย่างหลวงปู่เกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านก็ฉันให้เขาคำสองคำ บางทีอาหารหม้อหนึ่งก็อุ่นแล้วอุ่นอีก อุ่นเสียจนกระทั่ง ต้องบอกว่าระเหยหายไปเป็นครึ่ง ๆ เพราะว่าบางทีท่านก็ชิมแค่คำเดียว..! เราต้องรู้จักระมัดระวังในลักษณะเกรงใจโลกบ้าง ถ้าทำอะไรได้แล้วไม่รู้จักปกปิดตัวเอง จะเข้าในสิ่งที่หลวงปู่จันทร์ กุสโล ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านอยู่วัดป่าดาราภิรมย์ พระอารามหลวง แล้วย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จังหวัดเชียงใหม่ สมณศักดิ์สุดท้ายของท่านก็คือพระพุทธพจนวราภรณ์ รองสมเด็จพระราชาคณะ ท่านบอกว่า "ถ้าดังก็อย่าหวังความสงบ" เนื่องเพราะว่าคนก็จะแห่ไปหาแบบ "หัวไม่วาง หางไม่เว้น" ถ้าเมตตามาก เกรงใจคนมาก เราเองก็จะไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมของตนเอง แล้วถ้ากำลังใจไม่ได้หลุดพ้นจริง ๆ เป็นเพียงการใช้กำลังสมาธิกดกิเลสไว้ ถ้ากิเลสตีคืนเมื่อไรก็จะเสียหายมาก เราเสียครูบาอาจารย์ดี ๆ ไปหลายรูปแล้ว เพราะว่าไปกวนท่านแบบหัวไม่วาง หางไม่เว้นนั่นเอง เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็ต้องรู้ตัวเองด้วย ก็คือถ้าไม่ไหวแล้วยังมัวแต่ไปสงเคราะห์ญาติโยมอยู่ คนที่เดือดร้อนก็จะเป็นตัวเอง..! ทุกท่านจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่ค่อยเกรงใจโยมหรอก ใครมาหาจะมาเรียกมาร้อง อยากมาพบ ไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องระวังกำลังใจของเราเอง พยายามที่จะปลอบใจให้เมตตาโยม ก็เกิดความรู้สึกว่าเราควรที่จะเมตตาต่อตัวเองก่อน ถ้าคนที่ไม่เข้าใจตรงนี้ ก็จะรู้สึกว่าอยู่ในลักษณะเห็นแก่ตัว แต่บุคคลที่ยังไม่มั่นคง แล้วคิดจะไปช่วยเหลือคนอื่น ก็คงจะช่วยได้ไม่มากนัก ต้องรอความมั่นคงของตัวเองเสียก่อน ว่าช่วยเหลือเขาแล้ว เราต้องไม่เสียหายด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
เนื่องเพราะว่าถ้าเราสามารถรักษากำลังใจอยู่ได้ เราก็จะเป็นกำลังส่วนหนึ่งที่จะช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนา ถ้ามัวแต่ไปเกรงใจญาติโยมจนกระทั่งเสียหาย หลายท่านก็สึกหาลาเพศไป ไม่สามารถที่จะอยู่เป็นกำลังให้กับพระพุทธศาสนาได้ แล้วถึงเวลานั้น ญาติโยมก็ไม่ได้มาสนับสนุน หรือว่าสงสารอะไรเรา เพราะว่าตอนเขามา เขาก็หวังแต่ประโยชน์เฉพาะตนเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังให้มาก
สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าโยมเริ่มนั่งอยู่ตรงหน้าหลายคนก็จะไล่เตลิดเปิดเปิงหมด จนมีรุ่นน้องบางท่าน ถามว่า "ทำไมหลวงพี่ไล่โยมแบบนี้ ? ผมสิกลัวคนจะไม่รู้จัก" ได้บอกกับท่านไปว่า "ถ้าท่านสามารถบวชอยู่ต่อไปข้างหน้าได้สัก ๑๐ ปี รู้จักคนสักปีละ ๑๐ คน ครบ ๑๐ ปี ไอ้ ๑๐๐ คนนั่นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ท่านก็ไม่ต้องกินไม่ต้องนอนแล้ว..!" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ท่านไปอยู่แห่งหนไหน เพราะว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาเกิน ๓๐ ปีแล้ว แต่คาดว่าถ้าท่านยังอยู่ได้ ก็คงจะอยู่ในลักษณะที่เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพพูดตอนนั้นหมายถึงอะไร สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|