กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-12-2025, 19:44
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 610
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 28,964 ครั้ง ใน 1,098 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-12-2025, 00:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,535
ได้ให้อนุโมทนา: 160,767
ได้รับอนุโมทนา 4,521,009 ครั้ง ใน 37,150 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ พรุ่งนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ วัดท่าขนุนจำเป็นต้องงดบิณฑบาต ๑ วัน เนื่องเพราะว่าทางที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ต้องการพระภิกษุวัดท่าขนุนไปรับบิณฑบาต เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็ต้องเป็นประธานในการสวดพระพุทธมนต์ถวายด้วย

ดังนั้น..การบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๘/๒๕๖๘ ของญาติโยมทั้งหลาย ก็จะบวชหลังจากที่
กระผม/อาตมภาพกลับจากที่ว่าการอำเภอแล้ว

ส่วนงานอุปสมบทหมู่ในวาระปัญญาสมวาร พูดภาษาไทยง่าย ๆ ว่า ครบ ๕๐ วันของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก็จะมีขึ้นในช่วงประมาณเที่ยงครึ่ง ก็แปลว่าในช่วงเช้าของพวกเราก็คือปฏิบัติธรรมกันก่อน

ช่วงบ่ายหลังจากที่อุปสมบทหมู่เสร็จ กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางเข้าวัดอุทยาน เนื่องเพราะว่าพรุ่งนี้และมะรืนนี้ มีงานพิธีประทานปริญญาบัตรแก่นิสิต ทั้งระดับบัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ประจำปี ๒๕๖๘ โดยเฉพาะปีนี้พิเศษตรงที่ว่า มีพระของจังหวัดกาญจนบุรี จบปริญญาเอกราว ๆ ๑๒ รูปด้วยกัน เป็นของอำเภอทองผาภูมิไป ๓ รูป จึงยิ่งจำเป็นที่จะต้องไป

งานพวกนี้จะว่าไปแล้วเป็น "งานสังคม" แต่ว่าโบราณเขาบอกเอาไว้แล้ว ถ้าเป็นทางด้านพระพุทธศาสนาของเราก็คือการปฏิบัติตามหลักสังคหวัตถุธรรม ก็คือ

ทาน มีการแบ่งปันให้กับผู้ที่ขาดแคลน

ปิยวาจา พูดดี พูดให้กำลังใจคนอื่น

อัตถจริยา ทำตนเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

สมานัตตตา เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาชอบใจ และถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2025 เมื่อ 00:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-12-2025, 00:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,535
ได้ให้อนุโมทนา: 160,767
ได้รับอนุโมทนา 4,521,009 ครั้ง ใน 37,150 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนทางด้านชีวิตฆราวาส โบราณเขาบอกไว้ว่า "คนเราจะเห็นใจกัน ก็ในยามเจ็บ ยามจน ยามจาก" ก็คือเจ็บไข้ได้ป่วย มีใครมาช่วยดูแลถามไถ่เป็นกำลังใจให้หรือไม่ ? ยามลำบากยากจน มีใครยินดีให้เราพึ่งพิงบ้างหรือไม่ ? และตอนตายมีใครมาดูใจบ้าง ?

เพียงแต่ว่าหลักการนี้ของเราก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่า ในวาระที่คนอื่นเขาได้รับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เราไปร่วมยินดีด้วย เป็นส่วนหนึ่งของหลักมุทิตาธรรมในพรหมวิหาร ๔ พูดง่าย ๆ ก็คือ "ยามดีก็ใช้ ยามไข้ก็ต้องรักษา" ไม่ใช่ว่าถึงเวลามีประโยชน์เราก็ไป ถ้าไม่มีประโยชน์ เราก็ไม่ใส่ใจ ถ้าทำแบบนั้น นานไปก็จะไม่เหลือใครเลย..!

โดยเฉพาะในส่วนของคณะสงฆ์เรา ถ้าหากว่ามีการช่วยเหลือเกื้อกูลประคับประคองกัน ให้ทุกคนสามารถเดินหน้าไปด้วยกัน พระพุทธศาสนาของเราจึงจะขับเคลื่อนไปด้วยดี ไม่ใช่ว่าเรามีความสามารถมาก ก็นำโด่งไปคนเดียว ไม่ต้องสนใจข้างหลัง ถ้าอยู่ในลักษณะนั้น มองกลับมาอาจจะไม่เหลือใครเลย..! ถ้าแบบนั้นพระพุทธศาสนาก็ไปไม่ได้ เนื่องเพราะว่ามีแต่เราเพียงผู้เดียว

ดังนั้น..ในส่วนพวกนี้จึงเป็นเรื่องของทั้ง "ศาสตร์" คือความรู้ และ "ศิลป์" คือวิธีการพลิกแพลงใช้งาน แต่หลักสำคัญที่สุดก็คือ ทำอย่างไรที่เราอยู่กับโลก แต่ไม่โดนกระแสโลกครอบงำ เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจะต้องเพียรพยายามทำให้ถึง เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วจะโดนกระแส รัก โลภ โกรธ หลง ชักนำไปเสมอ ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น อีกไม่นานเราก็จะโดนกิเลสชักนำจนผิดทาง แบบเดียวกับหลายต่อหลายท่าน บวชเข้ามาก็ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่พอนานไป ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เริ่มเข้ามา เราก็อาจจะเป๋ออกนอกทางโดยไม่รู้ตัว..!

กระผม/อาตมภาพเสียดายเพื่อนฝูงหลายต่อหลายท่าน แรก ๆ ก็ตั้งใจทำเพื่อส่วนรวม พอนานไปก็เอาตัวเองเป็นหลัก จะต้องมีกุฏิดี ๆ ติดเครื่องปรับอากาศ ที่นอนฟูกหนา ๖ นิ้ว ๘ นิ้ว ต้องมีรถตู้หรูเอาไว้ใช้ ต้องมีโทรศัพท์รุ่นล่าสุด กลายเป็นว่าแทนที่จะกระทำเพื่อพระศาสนาหรือส่วนรวม ก็กลายเป็นทำเพื่อตนเอง จะว่าไปแล้วก็ตำหนิกันไม่ได้ เนื่องเพราะว่าถึงเวลาจะตรงกับภาษิตจีนที่ว่า "บุคคลอยู่ในยุทธจักร ไม่เป็นตัวของตัวเอง" เพราะว่ากระแสรอบข้างจะชักนำไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2025 เมื่อ 00:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-12-2025, 00:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,535
ได้ให้อนุโมทนา: 160,767
ได้รับอนุโมทนา 4,521,009 ครั้ง ใน 37,150 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าท่านทั้งหลายมีโอกาสฟังในสิ่งที่บรรดาพระผู้ใหญ่ส่วนหนึ่งพูดคุยกัน ก็มีแต่ว่าปีนี้ใครจะได้รับพระราชทานตั้ง ปีนี้ใครจะได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ กลายเป็นว่าแทนที่อยู่นานไป จะสามารถปฏิบัติจนกระทั่งละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ กลับกลายเป็นแข่งขันกันไขว่คว้าเข้ามาใส่ตัว หลายท่านที่แต่แรกไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ ก็กลายเป็นสังคมโดนกดดัน จนต้องตะเกียกตะกายไปให้ทันเพื่อน ไม่อย่างนั้นก็รู้สึกน้อยหน้าคนอื่นเขา..!

ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพจึงกลายเป็นตัวแปลกแยกอยู่ในสังคมเสมอ เพราะว่าไม่สนใจเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เลย แต่กลายเป็นว่ายิ่งไม่สนใจ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ยิ่งมา อย่างที่ทุกท่านเห็นว่า แค่ตำแหน่งหลัก ๆ ก็ ๓๐ กว่าตำแหน่งเข้าไปแล้ว..! ประชุมแต่ละทีต้องปรับสมองกันแทบแย่ เพราะว่าต้องทำความเข้าใจว่าวันนี้ประชุมในฐานะอะไร ? แล้วเรามีอะไรที่จะเสนอให้กับที่ประชุมบ้าง ? เพียงแต่ดีอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราสามารถลอยตัวเหนือเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาคิด ไม่ต้องไปเสียเวลาเครียด

วันนี้ช่วงสายกระผม/อาตมภาพไปงานครบรอบ ๖ ปีวันมรณภาพของหลวงปู่ชุ้น - พระเดชพระคุณพระธรรมเสนานี (ชุณห์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดวังตะกู อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ปรากฏว่านาน ๆ ไปที เพื่อนฝูงก็คือพระครูปฐมภาวนาภิรัต วิ. (พรหมลิขิต ยโสธโร) เจ้าอาวาสวัดวังตะกูรูปปัจจุบัน เจ้าคณะตำบลวังตะกู ท่านออกปากว่า "นาน ๆ เจอพี่เล็กที ขอถ่ายรูปด้วยหน่อย" แล้วก็ชวนเจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี คือหลวงพ่อกำไร (พระครูโกวิทสุตการ) มาถ่ายรูปด้วยกัน

ทั้งสองรายอายุ ๖๓ ปี แต่กระผม/อาตมภาพย่าง ๖๗ มาครึ่งปีแล้ว ทั้งสองคนบ่นว่า "พวกผมอายุน้อยกว่า ผมขาวหมดแล้ว พี่เล็กยังไม่มีผมขาวเท่าไรเลย" ส่วนที่พูดตรงนี้แค่อยากจะบอกว่า ถ้าไม่ต้องเสียเวลาไปคิด ไปวางแผน เพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ไม่เครียด ดังนั้น..ทุกท่านจะเห็นว่าบรรดาเจ้าคณะปกครอง พอรับตำแหน่งไม่นาน ก็พากันแก่ชราเกินอายุไปตาม ๆ กัน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2025 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-12-2025, 00:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,535
ได้ให้อนุโมทนา: 160,767
ได้รับอนุโมทนา 4,521,009 ครั้ง ใน 37,150 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันก่อนทุกท่านก็คงเห็นท่านพระครูวรกาญจนโชติ, ดร. เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ท่านเพิ่งอายุ ๖๐ ปี ตอนนี้แก่แซงกระผม/อาตมภาพไปแล้ว เนื่องเพราะว่าเรื่องทั้งหลายในการปกครองคณะสงฆ์นั้น ถ้าเราทำแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องไปคิดฟุ้งซ่านเผื่ออนาคตว่า คนนั้นเป็นคนของเรา คนนั้นไม่ใช่คนของเรา ถึงเวลาคนนี้พ้นไป เราต้องเอาคนของเราเข้าไป คนนั้นจะก่อประโยชน์ให้เราอย่างไรบ้าง ? คิดไปก็เครียดตาย แต่ก็รู้สึกว่าเขาจะขยันคิดกันมาก..!

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรเอาไว้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือทำอย่างไร เราจะยืนหยัดอยู่ในกระแสโลกได้โดยไม่ไหลตามไป โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเรา ต้องเป็นหลักให้กับญาติโยม ถ้าไปไหลตามกระแสโลกไป แล้วจะเป็นหลักได้อย่างไร ?

ถ้าท่านไม่สามารถที่จะก้าวพ้นกระแสขึ้นสู่ฝั่งได้ อย่างน้อยก็ต้องเหมือนหินใหญ่กลางสายน้ำ ก็คือกระทบเท่าไรก็สะเทือนหวั่นไหวน้อยกว่าคนอื่น จะได้เป็นที่พึ่งให้แก่ญาติโยมเขาได้ ประมาณว่ายังไม่สามารถตัด รัก โลภ โกรธ หลงได้ แต่ก็ไม่ยอมให้ รัก โลภ โกรธ หลง ชักนำเราไปผิดทาง

เรื่องพวกนี้ขอฝากเป็นการบ้านให้กับพวกเราเอาไว้พิจารณา และถือว่าเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพิ่มขึ้นมา
นอกเหนือจาก ศีล สมาธิ ปัญญา แล้ว เราทำอย่างไรที่จะมี "ศิลป์" ในการที่จะอยู่ร่วมในสังคมของเรา โดยไม่ก่อให้เกิดความลำบากมากนัก

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2025 เมื่อ 01:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:34



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว