กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 17:50
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,114
ได้ให้อนุโมทนา: 225,962
ได้รับอนุโมทนา 809,144 ครั้ง ใน 39,818 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า เมื่อวานนี้, 23:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,873
ได้ให้อนุโมทนา: 159,037
ได้รับอนุโมทนา 4,496,947 ครั้ง ใน 36,484 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพฝ่าฝนไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ซึ่งในช่วงนี้ของทุกปี ทางมหาวิทยาลัยมีการมอบรางวัลมณีกาญจน์ ให้กับผู้ที่สมควรได้รับในด้านต่าง ๆ ด้วยกัน ๖ ด้าน เช่น ด้านศาสนา ด้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น

กระผม/อาตมภาพได้มอบปัจจัยจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่ ผศ.,ดร.พจนีย์ สุขชาวนา อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ตามที่เคยปฏิบัติเป็นประจำมาทุกปี เพื่อให้เป็นทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนผู้ด้อยโอกาสของทางมหาวิทยาลัย

แล้วได้พูดคุยกับพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา องคมนตรี ซึ่งเป็นประธานกรรมการสถานศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และนายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นขอตัวกลับสู่ทองผาภูมิ เพราะว่ามีงานสวดพระพุทธมนต์ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารกล้าผู้พลีชีพในสงครามไทย - เขมรช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ระหว่างที่เดินทาง เพื่อนฝูงก็ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของภิกษุในเมืองไทยเข้ามาให้ ซึ่งเป็นข้อมูลที่จำแนกประเภทของพระภิกษุออกเป็นหลายประเภท ตามสายตาของเจ้าของข้อมูล ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่า พระภิกษุเราในสายตาของญาติโยมนั้นมีสภาพอย่างไรบ้าง ควรที่เราท่านจะได้รู้ทั่วกัน จึงขออนุญาตคัดลอกข้อมูลมาลงในเสียงธรรมวัดท่าขนุนวันนี้ ดังต่อไปนี้

ประเภทที่ ๑ พระภิกษุเกจิอาจารย์ ประเภทนี้เน้นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ปลุกเสกวัตถุมงคล แจกวัตถุมงคล บอกใบ้ให้หวย เป็นที่นิยมในหมู่ "สายมู" และชาวบ้านผู้หลงใหลความศักดิ์สิทธิ์ มักถูกมองว่าเป็น "ภิกขุพาณิชย์" มากกว่าผู้นำทางจิตวิญญาณ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า เมื่อวานนี้, 23:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,873
ได้ให้อนุโมทนา: 159,037
ได้รับอนุโมทนา 4,496,947 ครั้ง ใน 36,484 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประเภทที่ ๒ พระภิกษุนักเทศน์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท

๒.๑ พระภิกษุนักเทศน์เพื่อการเผยแผ่ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ยึดหลักธรรมจากพระไตรปิฎก เทศน์เพื่อประโยชน์แก่สาธารณชน ควรค่าแก่การยกย่อง

๒.๒ พระภิกษุผู้เทศน์เพื่อชื่อเสียง มีการเทศน์แบบแหล่ ลีลาดี น้ำเสียงดี มีคณะและค่าตัวชัดเจน มุ่งสร้างชื่อเสียงแก่ตนเอง มากกว่าเผยแผ่ธรรมะอย่างแท้จริง

ประเภทที่ ๓ พระภิกษุสายวิชาการ มุ่งเน้นด้านการศึกษา เรียนปริยัติธรรมทั้งนักธรรม บาลี และความรู้ทางโลกในมหาวิทยาลัย ชีวิตวนเวียนอยู่กับตำรา การเรียน การสอน เพื่อวุฒิการศึกษาและความก้าวหน้าของตน

ประเภทที่ ๔ พระภิกษุนักพัฒนา แต่ละวันทุ่มเทอยู่กับงานก่อสร้าง ศาลา วิหาร เมรุ กำแพง วัดใหญ่โตมักจะมีพระภิกษุประเภทนี้เป็นกำลังหลัก

ประเภทที่ ๕ พระภิกษุนักปกครอง มุ่งสู่ตำแหน่งหน้าที่ซึ่งประกอบด้วยอำนาจ ยศศักดิ์ ตั้งเป้าว่าจะเป็นเจ้าอาวาส พระครู เจ้าคุณ หมกมุ่นอยู่กับอำนาจ มากกว่าบำเพ็ญสมณธรรม

ประเภทที่ ๖ พระภิกษุนักปฏิบัติ มุ่งขัดเกลากิเลส ปลีกวิเวก ฝึกจิต เดินจงกรม นั่งสมาธิ ไม่ข้องแวะกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ถือเป็นพระภิกษุผู้เจริญรอยตามพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง หาได้ยากยิ่งในยุคนี้

ประเภทที่ ๗ ประเภทสุดท้าย พระภิกษุผู้ไม่เอาไหนเลย บวชมาเพื่อพักผ่อน ไม่หวังทำประโยชน์อะไร ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ทำกิจของสงฆ์ อยู่กินข้าวฟรีไปวัน ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า เมื่อวานนี้, 23:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,873
ได้ให้อนุโมทนา: 159,037
ได้รับอนุโมทนา 4,496,947 ครั้ง ใน 36,484 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยที่ท่านเจ้าของบทความกล่าวว่า "เนื้อหานี้มิได้มีเจตนาโจมตีใคร แต่เพื่อสะท้อนภาพความเป็นจริงของพระภิกษุในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ผิดถูกเป็นเรื่องของการพิจารณา แต่ความจริงย่อมเป็นความจริง กราบขออโหสิกรรมแก่พระภิกษุทุกรูป หากมีข้อมูลใดล่วงเกินต่อท่านทั้งหลาย"

กระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็รู้สึกว่า ดูท่าตนเองแทบจะโดนไปทุกข้อหาที่เขากล่าวมา..! แต่ก็ประหลาดตรงที่ว่า บางข้อหาก็เป็นประโยชน์ แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นมองไปในทางเป็นโทษมากกว่า ซึ่งเรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว ก็สำคัญที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ ว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์อบรมสั่งสอนท่านมาอย่างไร ประการหนึ่ง ประการที่สองก็คือ ท่านบวชมาเพื่ออะไรอีกประการหนึ่ง

เราจะเห็นว่าพระภิกษุทั้งหลายเหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว อย่างพระภิกษุฉัพพัคคีย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๖ รูป มีการประชุมปรึกษากันก่อนว่า บ้านนี้เมืองนี้ประกอบไปด้วยความสะดวกสบาย มีประชาชนจำนวนกี่หมื่นกี่แสนครัวเรือน สามารถภิกขาจารบิณฑบาตได้ง่าย เราควรที่จะไปอยู่อาศัยในที่นั้น เป็นต้น

ดังนั้น..ท่านผู้รู้ถึงได้แยกพระภิกษุออกเป็นหลายประเภทตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่า

ประเภทที่ ๑ อุปชีวิกา บวชเข้ามาเพื่อเลี้ยงชีพ ประเภทนี้แน่นอนว่า "ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ตกดึกซัดบะหมี่สำเร็จรูป" ตามที่เขากล่าวคล้องจองกันมา

ประเภทที่ ๒ อุปกิฬิกา บวชเพื่อความสนุกสนาน โดยเฉพาะมีการแห่นาค มีการทำขวัญนาค มีการเลี้ยงผู้คน เป็นต้น บางรูปเข้าไม่ทันจะถึงโบสถ์ก็เมาหัวไถพื้นไปแล้ว..!

ประเภทที่ ๓ อุปนิสสรณิกา บวชมาปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า วันนี้, 00:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,873
ได้ให้อนุโมทนา: 159,037
ได้รับอนุโมทนา 4,496,947 ครั้ง ใน 36,484 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จะว่าไปแล้ว ทางโบราณท่านแยกเอาไว้น้อยไปนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าแยกออกมากมายแบบท่านทั้งหลายที่กล่าวมา ก็ยังถือว่าน้อยไป เนื่องเพราะว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพ ท่านได้แยกประเภทภิกษุออกหลายต่อหลายประเภทมากกว่านี้ แต่ไม่ขอกล่าวถึง ขอกล่าวถึงแต่เพียงว่า ในสายตาของชาวบ้าน ส่วนใหญ่มองพระภิกษุเราไปในด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ทำอย่างไรที่เราท่านทั้งหลายจะสามารถสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นกับญาติโยม แล้วชักนำเขาเข้ามาในวิถีทาง วิถีธรรมที่ถูกต้อง ?

ดังที่ทุกท่านจะได้เห็นว่า กระผม/อาตมภาพไปที่ใดก็ตาม มีแต่ผู้คนยินดีต้อนรับ เพราะว่าเราไปให้ ไม่ได้ไปเอา นี่แค่ "ทาน" ในหลักธรรมเบื้องต้นที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงเท่านั้น

นี่ก็เป็นเพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านสอนไว้ตั้งแต่วันแรกว่า "สตรีกับสตางค์ เสือสองตัวนี้เป็นภัยใหญ่กับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น..เมื่อบวชเข้ามาแล้ว อย่าพยายามให้มีสตางค์เหลือ เงินของปีนี้ อย่าใช้ให้ถึงปีหน้า ถ้ามีเงินเหลือถึงปีหน้า ให้คิดโครงการที่เราจะทำให้มากกว่าเงินเข้าไว้ ถึงเวลาเงินเข้ามา เราจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของตนเอง เมื่อไม่มีสตางค์ สตรีก็ไม่มา เพราะเขารู้ว่ามาแล้วก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร"

ทุกท่านจะเห็นว่า
สิ่งที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนนั้น บางทีพระภิกษุสามเณรต่างหากที่ไม่คิดจะจดจำ ไม่คิดที่จะปฏิบัติตาม อย่างกระผม/อาตมภาพเอง บวชอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ๗ พรรษาเต็ม ๆ ได้รับคำสอนจริง ๆ จากท่านแค่ไม่กี่ครั้ง นอกนั้นต้องขวนขวายเอาเองจากหนังสือ จากเทปบันทึกเสียงของท่าน แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตาม ถ้าขืนรอให้ท่านมาจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรเท่านั้น

เพราะว่าครูบาอาจารย์บางรูปบางท่าน อย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพัน - พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ วิ. (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) แห่ง กุฏิ ต. ๓ คณะเหนือ วัดเทพศิรินทราวาส ท่านไม่ค่อยจะสอนอะไร นอกจากทำให้เป็นตัวอย่าง ถ้าเราไม่รู้จักดู ไม่รู้จักเก็บ เราอยู่กับท่านก็แทบจะไม่ได้อะไรเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า วันนี้, 00:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,873
ได้ให้อนุโมทนา: 159,037
ได้รับอนุโมทนา 4,496,947 ครั้ง ใน 36,484 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ด้วยความที่ตนเองห่างครู ห่างอาจารย์ เพราะว่าท่านมีกิจมากมายที่จะช่วยเหลือสาธารณชน ช่วยเหลือพระพุทธศาสนา และช่วยเหลือประเทศชาติ แทบไม่มีเวลาจะอยู่ติดวัด

กระผม/อาตมภาพเกรงว่าพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุน เมื่อห่างไกลครูบาอาจารย์แล้วก็จักไม่เอาดีอะไร เพราะถือว่า "ครูบาอาจารย์ไม่ได้สั่ง ครูบาอาจารย์ไม่ได้สอน" จึงให้เปิดเสียงธรรมของหลวงพ่อฤๅษีฯ กรอกหูอยู่ อย่างน้อยวันละ ๔ รอบ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะฟังกัน ตนเองก็พยายามบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้ได้ทุกวัน แต่ท่านทั้งหลายก็มักจะเลือกฟังเอาในเรื่องที่คิดว่าสนุก คิดว่าน่าตื่นเต้น ส่วนในเรื่องที่เป็นหลักธรรมก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ..!

กระผม/อาตมภาพจึงได้เข้าใจคำว่าอนุสาสนี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชกันไม่เว้นแต่ละวัน พูดไปเมื่อไรก็นึกถึงพระบาลีที่ว่า สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ทุกที โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ว่า ชื่อว่าตนนี้ช่างฝึกยากจริงหนอ ขึ้นมาทุกครั้งที่ต้องมาบันทึกเสียงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย

ก็ได้แต่คิดว่า
ภาพพจน์ในพระพุทธศาสนาของเราตกต่ำไปขนาดนี้ ก็เพราะความไม่เคร่งครัดของครูบาอาจารย์ ไม่เคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งลูกศิษย์ก็ไม่คิดที่จะเอาดีอีกต่างหาก แต่ละท่านบวชเข้ามาก็มีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กันไป

แม้แต่ครูผู้เลิศที่สุดอย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง สมัยที่ท่านอยู่ยงดำรงขันธ์ มีพระภิกษุร่วมจำพรรษาแต่ละปีไม่น้อยกว่า ๔๐ รูป แล้วขณะเดียวกันก็มีพระภิกษุสงฆ์ไปมาหาสู่ในแต่ละงาน ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป เราท่านก็จะเห็นว่า มีท่านที่ออกไปเป็นหลักให้กับผู้อื่นได้แค่ไม่ถึง ๑๐ รูปเท่านั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าลูกศิษย์วัดท่าขนุนจะไม่เอาไหนเลย กระผม/อาตมภาพก็ไม่แปลกใจ ได้แต่หน้าด้านหน้าทน จ้ำจี้จ้ำไชต่อไป จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน )
วิรกานต์

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว