ครั้นไปถึงบริเวณอาคารแล้ว ถึงได้เห็นว่ามีพระพุทธรูปสมัยคุปตะ ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. ๑๑๐๐ องค์ใหญ่สวยงามอยู่บริเวณขอบบ่อ เจ้าหน้าที่บอกให้ระมัดระวังในการเดินเข้าไปกราบสักการะถึงองค์พระพุทธรูปด้านใน เพราะว่าต้องเลาะขอบบ่อแคบ ๆ เข้าไป แล้วบอกให้พวกเราทยอยกันเข้ามา
แต่ปรากฏว่ามีคณะชาวทิเบตแห่เข้ามาด้วย ก็เลยเบียดกันไปคนละทิศคนละทาง ทำให้เข้ามาได้ไม่ถึงครึ่ง เมื่อกราบถวายสักการะและถ่ายรูปหมู่แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ล้วงกระเป๋าส่งให้กับคนเฝ้าเป็นรางวัล ปรากฏว่าเป็นแบงค์ ๒๐๐ รูปีใหม่เอี่ยมอีกแล้ว เทวดาแถวนี้รู้สึกว่าขี้เหนียวเอาเสียจริง..!
เมื่อเดินออกมาทางด้านนอก พวกเราก็เดินทางต่อไปยังมกุฎพันธนเจดีย์ สถานที่ถวายพระเพลิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแม้ว่าจะปรักหักพังไปแล้ว แต่มีสิ่งสำคัญคือพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ด้านใน เมื่อพวกเราไปถึง ก็ได้ทำการเวียนประทักษิณ สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วกราบขอขมาและถ่ายรูปหมู่รวมกัน หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมายังโรงแรม ดิ อิมพีเรียล กุสินารา เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งทางด้าน "คุณสุโภชน์" เจ้าของโรงแรม มาดูแลพวกเราด้วยตนเอง และขอถ่ายรูปร่วมกันเอาไว้ด้วย
เมื่ออิ่มแล้วพวกเราก็ขึ้นรถ เพื่อที่จะเดินทางอีก อย่างน้อย ๆ ก็ ๖ - ๗ ชั่วโมง เพื่อไปยังเมืองสาวัตถี เมื่อขึ้นรถมาได้ พวกเราก็ได้สวดมนต์กันเพื่อความเป็นศิริมงคล และเพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ด้วย มีการผ่านด่านเก็บเงินลักษณะด่านทางด่วนบ้านเรา แต่รถก็วิ่งได้ช้ามาก เหตุก็เพราะว่าบริเวณนั้นโดนบีบถนนเหลือแค่ด้านเดียว แล้วให้รถฝั่งตรงข้ามวิ่งสวนมา เพราะว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นเขากำลังทำถนนใหม่กันอยู่
ประมาณบ่ายสามโมงของอินเดีย พวกเราวิ่งมาจนถึง Anand Resort ได้แวะเข้าห้องน้ำ ก็แปลว่าจะต้องใช้บริการของเขาไปด้วย ก็คือสั่งชานมกันบ้าง สั่งน้ำร้อนน้ำชาอื่น ๆ กันบ้าง กระผม/อาตมภาพนั้นเจอน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) ช่วยสั่งชาดำให้ ๒ แก้ว แต่เจ้าประคุณเถอะ...มันไม่ใช่ชาดำปกติ เนื่องเพราะว่าเขาใส่น้ำตาลมาหวานเจี๊ยบยังไม่พอ ยังเป็นน้ำขิงอีกต่างหาก..! ฉันเข้าไปคำหนึ่งก็สะอึกทีหนึ่งเพราะความเผ็ดร้อนของขิง..! จะวางทิ้งก็ไม่ได้ "มหามาตา" บอกว่า "กรุณาฉันให้หมด ไม่เช่นนั้นแล้วกลางคืนจะสู้หนาวไม่ได้" กระผม%อาตมภาพจึงได้กัดฟันสู้ทนฉันไปจนหมด แล้วก็ขึ้นรถวิ่งกันต่อไป
ถนนหนทางรู้สึกว่าคับแคบลง และเข้าสู่บริเวณที่ดูเหมือนบ้านนอกสุด ๆ สองข้างเป็นท้องนารกร้างบ้าง เป็นไร่ผักบ้าง เป็นบ้านคนบ้าง จนกระทั่งเย็นย่ำค่ำสนธยา ประมาณ ๔ โมงเย็น ก็ผ่านบริเวณ "ตลาดเย็น" ที่พวกเขาเอาข้าวเอาของมาค้าขายกันอยู่ พวกเราดูว่าเขาจะมีสินค้าอะไรบ้าง ? แต่ดันเป็นจังหวะรถไม่ติดเสียอีก..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 03:14
|