ด้วยความที่ตนเองห่างครู ห่างอาจารย์ เพราะว่าท่านมีกิจมากมายที่จะช่วยเหลือสาธารณชน ช่วยเหลือพระพุทธศาสนา และช่วยเหลือประเทศชาติ แทบไม่มีเวลาจะอยู่ติดวัด
กระผม/อาตมภาพเกรงว่าพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุน เมื่อห่างไกลครูบาอาจารย์แล้วก็จักไม่เอาดีอะไร เพราะถือว่า "ครูบาอาจารย์ไม่ได้สั่ง ครูบาอาจารย์ไม่ได้สอน" จึงให้เปิดเสียงธรรมของหลวงพ่อฤๅษีฯ กรอกหูอยู่ อย่างน้อยวันละ ๔ รอบ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะฟังกัน ตนเองก็พยายามบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนให้ได้ทุกวัน แต่ท่านทั้งหลายก็มักจะเลือกฟังเอาในเรื่องที่คิดว่าสนุก คิดว่าน่าตื่นเต้น ส่วนในเรื่องที่เป็นหลักธรรมก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ..!
กระผม/อาตมภาพจึงได้เข้าใจคำว่าอนุสาสนี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชกันไม่เว้นแต่ละวัน พูดไปเมื่อไรก็นึกถึงพระบาลีที่ว่า สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม ทุกที โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่ว่า ชื่อว่าตนนี้ช่างฝึกยากจริงหนอ ขึ้นมาทุกครั้งที่ต้องมาบันทึกเสียงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย
ก็ได้แต่คิดว่า ภาพพจน์ในพระพุทธศาสนาของเราตกต่ำไปขนาดนี้ ก็เพราะความไม่เคร่งครัดของครูบาอาจารย์ ไม่เคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งลูกศิษย์ก็ไม่คิดที่จะเอาดีอีกต่างหาก แต่ละท่านบวชเข้ามาก็มีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กันไป
แม้แต่ครูผู้เลิศที่สุดอย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง สมัยที่ท่านอยู่ยงดำรงขันธ์ มีพระภิกษุร่วมจำพรรษาแต่ละปีไม่น้อยกว่า ๔๐ รูป แล้วขณะเดียวกันก็มีพระภิกษุสงฆ์ไปมาหาสู่ในแต่ละงาน ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป เราท่านก็จะเห็นว่า มีท่านที่ออกไปเป็นหลักให้กับผู้อื่นได้แค่ไม่ถึง ๑๐ รูปเท่านั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าลูกศิษย์วัดท่าขนุนจะไม่เอาไหนเลย กระผม/อาตมภาพก็ไม่แปลกใจ ได้แต่หน้าด้านหน้าทน จ้ำจี้จ้ำไชต่อไป จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย
สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 01:43
|