กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา วันที่ ๑๐ - ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11101)

เถรี 17-07-2025 00:29

ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา วันที่ ๑๐ - ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๘
 
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๖๘


เฮ้อ..หายใจไม่ทัน แก่แล้วยังป่วยอีก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าเราดันไปฝืนร่างกายทำงาน ร่างกายก็เลยไม่ค่อยจะปกติ

สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรม เวลางาน..สติ สมาธิ มุ่งอยู่กับงาน นอกเวลางาน..สติสมาธิอยู่กับกรรมฐาน หลักการมีง่าย ๆ แค่นี้เอง ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็จะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม

แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะใช้วิธีภาวนาเช้า - เย็น ตีเสียว่าเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง ที่เหลือก็ปล่อยลอยตามน้ำไป แล้ววันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราว่ายน้ำ ๑ ชั่วโมง ปล่อยลอยตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเอาดีไม่ได้..!

ดังนั้น..นักปฏิบัติที่ดีต้องอยู่กับการปฏิบัติธรรมตลอดเวลา พยายามทำให้หน้าที่การงานทุกอย่างของเราเป็นกรรมฐาน ก็คือเอาสติสมาธิจดจ่ออยู่กับงานนั้นจริง ๆ จัง ๆ แต่ไม่ค่อยดีอยู่อย่างว่า บางคนสมาธิลึกแต่ตัวเองไม่รู้ตัว คนอื่นปฏิสันถารด้วยก็ไม่รับรู้อะไร สถานเบาเขาก็แค่หาว่าเราหยิ่ง แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาเรียกแล้วไม่รู้อะไร ก็เตรียมตัวหางานใหม่ได้..!

แล้วก็มีบางคนทำดีเกินไป ไปทรงสมาธิตอนขับรถ พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ ประสาทบังคับร่างกายไม่ได้ จะเบรกรถก็เบรกไม่ได้ ก็เลยไปเบรกกับท้ายคันอื่น..! ถ้าอยู่ในลักษณะนั้นต้องซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว สามารถเข้าหรือออกสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ แล้วค่อยไปทำกิจกรรมอันตรายอย่างเรื่องการขับรถ

ที่บ้านวังปริง อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งปฏิบัติธรรมแล้วเกิดปัญหา มาสอบถาม ก็คือว่าทุกครั้งที่จะขับรถมอเตอร์ไซค์ พอเริ่มสตาร์ทรถ ตัวก็จะแข็งทื่อทำอะไรไม่ได้ เขาใช้คำว่า "ต้องเขย่าให้หลุดแล้วค่อยขับรถ" พอขับไปได้หน่อยก็แข็งทื่ออีกแล้ว ต้องเขย่าให้หลุดอีก เขาถามว่า "จะแก้ไขอย่างไร ?" ได้บอกไปว่า "ไม่ต้องแก้ไขอะไรมาก ให้เขย่าบ่อย ๆ"

เถรี 17-07-2025 00:31

ลักษณะนั้นแสดงว่าสมาธิทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือทรงฌานได้ คราวนี้การทรงฌานนั้น จิตกับประสาทจะแยกเป็นคนละส่วนกัน ถ้าขาดความชำนาญจะบังคับร่างกายไม่ได้ เหมือนกับคนนั่งหลับหรือว่านั่งแข็งทื่อไปเฉย ๆ คราวนี้เขาไม่รู้ว่าการที่ตัวเองตั้งใจขับรถนั่นคือสมาธิ ด้วยความเคยชินพอจิตเข้าสมาธิ ก็วิ่งไปในระดับที่ตัวเองทำได้สูงสุด ก็เลยนั่งแข็งทื่อ..!

ถ้าเขาซักซ้อมการเข้าออกสมาธิเอาไว้ ก็จะสามารถคลายออกมาเพื่อทำหน้าที่ปกติได้ แต่คราวนี้เขาไม่เข้าใจตรงนั้น ก็เลยใช้คำว่า "ต้องเขย่าให้หลุด" ก็คือเขย่าตัวเองให้สมาธิคลายออกมา แล้วค่อยขับรถต่อ ขับไปอีกหน่อยก็แข็งทื่ออีก ต้องเขย่ากันใหม่..!

ต่อไปบุคคลนี้จะมีความคล่องตัวในการเข้าออกสมาธิมาก ก็คือทรงวสี ๕ ได้อย่างน้อย ๒ ตัว คือสมาปัชชนวสี..ชำนาญในการเข้าสมาธิ และวุฏฐานวสี..ชำนาญในการออกจากสมาธิ ซึ่งวสียังมีอีก ๓ ตัว ก็คือ ชำนาญในการเข้าสมาธิตามลำดับ ชำนาญในการเข้าสมาธิตามเวลาที่กำหนดไว้ และชำนาญในการเข้าสมาธิสลับระหว่างระดับฌานได้

ถ้าใครซักซ้อมคล่องตัวขนาดนั้น อยู่ในอิริยาบถไหนก็ทรงฌานได้ สามารถทรงฌานได้ก็จะปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว ขอย้ำคำว่า "ชั่วคราว" เพราะว่าอำนาจฌานสมาบัติ สามารถระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ลงได้ แต่ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะมาเป็นฟ้าถล่มดินทลายเลย..! เพราะว่าก่อนหน้านี้เราไปเก็บกดเอาไว้

จึงมีหลายต่อหลายท่านที่กลัวหรือว่าเข็ดการเข้าสมาธิไปเลย เนื่องเพราะกลัวว่ากิเลสจะตีกลับ ซึ่งความจริงกิเลสมีเท่าเดิม พอโดนอำนาจสมาธิกดไปนาน ๆ กิเลสกลัวว่าตัวเองจะตายก็ต้องสู้สุดชีวิต อาการที่แสดงออกจึงรุนแรงกว่าปกติ อย่างเช่นว่าบางคน เพื่อนพูดอะไรไม่เข้าหูหน่อยเดียว ก็ด่าเขาสาดเสียเทเสียไปเลย แล้วคนอื่นก็จะงงว่า "นี่หรือผู้ปฏิบัติธรรม..!? สะกิดหน่อยเดียวทำไมถึงอารมณ์แรงขนาดนี้ ?" โดยที่ไม่รู้ว่าไปสะกิดผิดจังหวะเข้า..!

เถรี 17-07-2025 00:35

เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าเราคลายอารมณ์มาพิจารณาไม่เป็น จะเหมือนกับเราเป่าลูกโป่ง มีแต่จะตึงมากขึ้น ๆ จนท้ายที่สุดใครซวยมาสะกิดในจังหวะสุดท้าย ก็ระเบิดตูมใส่เขา..! เป็นเรื่องที่นักปฏิบัติในระยะต้น ๆ ต้องระมัดระวังให้ดี ไม่อย่างนั้นแล้วคนเขาจะดูถูกดูแคลนว่า "เป็นนักปฏิบัติภาษาอะไร ทำไมระงับอารมณ์ไม่เป็น ?"

เนื่องเพราะว่าสมาธิภาวนานั้น เมื่อทำไปจนสุดแล้ว จะเหมือนชาร์จแบตเตอรี่เต็ม สภาพจิตจะถอยออกมาเองโดยอัตโนมัติ เราต้องหาวิปัสสนาญาณมาให้พินิจพิจารณา เป็นการใช้กำลังสมาธิที่เราสั่งสมไว้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อพิจารณาไปจนกำลังหมด จิตเราก็จะวิ่งไปหาการภาวนา เราก็ภาวนาไปจนเต็มที่ แล้วคลายมาพิจารณาใหม่ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้จึงจะมีความก้าวหน้า

ถ้าเราภาวนาอย่างเดียวแล้วพิจารณาไม่เป็น ถึงเวลาสภาพจิตคลายออกมาเมื่อไร เราจะโดนกิเลสขโมยกำลังไปใช้ ก็คือจะไปฟุ้งซ่านกับ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะฟุ้งได้แรงมากเพราะว่ามีกำลังดี ที่ได้จากที่เราทำสมาธิมา แล้วก็อยู่ในลักษณะ "เอาไม่อยู่" ก็คือฟุ้งซ่านจนกระทั่งบางคนหงุดหงิดรำคาญ เลิกปฏิบัติธรรมไปเลย


จึงเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติธรรมต้องสังวรระวังไว้ว่า ภาวนาแล้วต้องพิจารณา พิจารณาแล้วต้องภาวนา จะทำเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ เพราะว่าเราไม่เก่งพอ

เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีโยมท่านหนึ่งบอกว่า "ตอนนี้สมาธิแย่มาก ไม่สามารถที่จะพิจารณาอะไรได้เลย ฟุ้งซ่านตลอด" จึงได้ถามไปว่า "คุณปฏิบัติแบบไหน ?" เขาบอกว่า "จับลมหายใจ ๒ - ๓ ครั้งแล้วก็พิจารณา" จึงตอบเขาไปว่า "คุณทำแบบนั้นก็ฟุ้งซ่านทั้งชาติ..! เพราะว่ากำลังสมาธิไม่พอ เหมือนคนหาเงินได้ ๒๐ บาท แล้วก็ใช้เสีย ๕๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ บาท มีแต่เจ๊งตลอด..!"

เพราะลักษณะแบบนั้นก็คือการใช้วิปัสสนาญาณเป็นหลัก ถ้าปัญญาเราไม่มากพอจริง ๆ จนสภาพจิตยอมรับในสิ่งที่พิจารณาไปเลย ก็จะออกอาการฟุ้งซ่านแบบนั้น หรือถ้าหากว่าเราเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว แล้วกำลังไม่สามารถจะยั่งยืนถึงขนาดกดกิเลสไว้เป็น ๑๐ เป็น ๑๐๐ ปี กิเลสก็ไม่ตาย กิเลสรอเวลา เราเผลอหลุดออกมาเมื่อไรก็โดนกิเลสตีกระหน่ำอีก..!

ก็แปลว่าที่พวกเราทำมาทั้งหมด ถูกบ้างผิดบ้าง ตามแต่ความเชื่อถือของตน บางคนครูบาอาจารย์บอกก็ไม่เชื่อ..ขอทำเอง..ลักษณะแบบนี้ดีมาก คือให้โดนให้เข็ด..จะได้จำ..!

เถรี 18-07-2025 01:01

ก่อนทำวัตรเย็น วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๖๘


(ช่วงเย็นขณะจุดผางประทีปวันอาสาฬหบูชา มีฝนตกลงมา) ตอนฝนตกเป็นอย่างไรบ้าง ? กำลังใจหายวาบไปแล้วหรือเปล่า ? จะต้องมั่นคง ไม่ใช่เอะอะก็ใจคอไม่ดี ถ้ากำลังใจเป็นประเภทหายวูบไปเลย ลักษณะอย่างนั้นต่อให้เหนียวแสนเหนียวก็บรรลัยหมด..!

ญาติโยมถ้าสังเกตจะเห็นว่า พวกเราทำอะไรค่อนข้างเร็วกว่าคนอื่นเขา เมื่อครู่เราตามประทีป พักเดียวเสร็จแล้วเข้ามานั่งอยู่ในนี้ บางคนอาบน้ำมาทันด้วย บางคนก็กะว่าเวียนเทียนแล้วค่อยไปอาบ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม เรื่องยุ่งอื่น ๆ ไม่ค่อยไปแตะต้องแล้ว บรรดาสิ่งฟุ้งซ่านต่าง ๆ จากภายนอกก็ไม่เอา

กระผม/อาตมภาพเองตั้งแต่ก่อนบวชสองปี ก็ทิ้งหมดทุกอย่างเลย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติภาวนา รักษาศีล ๘ เผื่อไว้ก่อน เผื่อตอนเป็นพระ ถ้ารักษาไม่ได้ก็จะไม่บวชแล้ว คราวนี้พอทำในลักษณะนั้นแล้วปรากฏว่า เรื่องความต้องการทางโลก ๆ ลดน้อยลงไปมาก

ผ้าผ่อนใช้วิธีซื้อทีละ ๖ ชุด ก็คือจะซื้อกางเกง ง่ายที่สุดก็คือกางเกงกีฬาที่เรียกว่า "กางเกงวอร์ม" ๖ ตัวไปเลย บางคนไม่สังเกตนึกว่าใส่ตัวเดียว เพราะว่าจะมีตะเข็บขาวเล็ก ๆ ตะเข็บเหลือง ตะเข็บน้ำเงิน ตะเข็บแดง ส่วนเสื้อก็ซื้อพวกมียี่ห้อหน่อยอย่างพวกลาคอส โปโล แกรนด์สแลม เข้าร้านไปทีไร พวกพนักงานขายจำได้นี่แทบจะวิ่งเข้ามาอุ้มเลย เพราะรู้ว่าซื้อแน่นอน แล้วก็ใช้ไป อีก ๓ ปีค่อยเจอกันใหม่..!

หกชุดใช้ไปสามปี อาทิตย์หนึ่งเกือบไม่ใส่ซ้ำ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่นา ถ้าเรามั่นใจในตัวเอง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เสื้อผ้า

อัน จินเผิง เป็นเด็กจีนยากจนมาก ไปสอบคณิตศาสตร์โอลิมปิกที่สหรัฐอเมริกา ปรากฏว่ามีเสื้อผ้าอยู่แค่ ๒ ชุด แล้วเด็กวัยรุ่นโตเร็ว ก็ให้แม่คลายตะเข็บแล้วก็เย็บใหม่ให้ยาวพอดี พอครูเห็นเข้าก็ถามว่า "นี่เธอไม่อายชาวต่างชาติเขาหรือ ?" อัน จินเผิงบอกว่า "ความรู้ในหัวผมมั่นใจว่าสู้เขาได้แน่นอน แล้วมีอะไรต้องอายด้วย ?"

เถรี 18-07-2025 01:04

ดังนั้น..ในเรื่องของเวสารัชชกรณธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงว่า ธรรมที่ทำให้กล้าประกอบไปด้วย สัทธา ศีล พาหุสัจจะ สมาธิ ปัญญา

คนมีศีลไปไหนมั่นใจว่าเรามีความดีรักษา แรก ๆ ทุกคนต้องเพียรพยายามรักษาศีล ได้บ้างหลุดบ้าง เดี๋ยวก็ขาดอีกแล้ว แต่พอกำลังใจเริ่มมั่นคง การรักษาศีลเป็นเรื่องปกติ หลายคนก็ขยับขึ้นมารักษาศีล ๘ ได้โดยอัตโนมัติ ถ้าถึงตอนนั้นเราไม่ต้องรักษาศีลแล้ว ศีลจะเป็นคุณงามความดีที่รักษาเราเอง จะไปไหนก็มีความกล้าหาญมีความมั่นใจ ก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่าเชื่อดี

ต้องเชื่อให้ได้ระดับไกรทอง ไกรทองจะไปสู้กับชาละวัน เขาบอกว่าชาละวันใหญ่ยาวถึง ๙ วา ก็คือประมาณ ๑๘ เมตร..! ใหญ่กว่าเรืออีกนะ แล้วไกรทองทำอย่างไร ? ชาละวันเอาคางเกยตูมเดียวแพพังไปเลย..! แต่ไกรทองไม่หนี

'ไกรทองเข้าชิดติดชนัก จมน้ำสำลักไม่ยักหนี ทิ้งชนักควักมีดกรีดกุมภีร์ เชื่อดีต่อสู้ไม่รู้รา' ไกรทองมั่นใจในวิชาการที่ตัวเองเรียนมา ถ้าหากว่าเป็นธรรมก็คือมีพาหุสัจจะ เรียนมามาก ทำมามาก ศึกษามามาก และเรียนจนรู้จริง ไกรทองถือชนักก็คือลักษณะหอกยาว ๆ จะเอาไว้แทงไอ้เข้ พอประชิดตัวแล้วใช้ไม่ถนัดก็ต้องทิ้ง ควักมีดหมอมาแทง ไปอ่านกันใหม่นะ พวกเราอ่านแล้วลืมหมด หลวงพ่ออ่านเท่าไรก็จำได้..!

เถรี 19-07-2025 01:21

เมื่อครู่นี้ตอนเขาตีกลองระฆังย่ำค่ำ ตัวหนังสือวิ่งมาเป็นแถวเลย วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน ลืมกันหมดแล้วใช่ไหม..? รำพึงในป่าช้า ของพระยาอุปกิตศิลปสาร

๑. วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน ฝูงวัวควายผ้ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวอยู่เดียว เอย

จำได้ไหมว่านี่เป็นการแต่งกลอนดอกสร้อย จะขึ้นด้วยเอ๋ยลงด้วยเอย

แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างปราดเปรียวอย่างกับหมา ร้องเรียกเหมียว ๆ เยี่ยวราดมา เลอะแข้งเลอะขาน่าเอ็นดู ใช่หรือเปล่า..!? ตอนอาตมาเป็นเด็กนี่ครูปวดหัวมาก อะไรได้ยินแล้วกูแปลงทั้งหมด..!

๒. ยามเอ๋ยยามนี้ ปฐพีมืดมัวทั่วสถาน อากาศเย็นเยือกหนาวคราววิกาล สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง มีก็แต่จังหรีดกระกรีดกริ่ง เรไรหริ่งร้องขรมระงมเสียง คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะเพียง รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่ว เอย

บอกเขาว่าเรียนมาตั้งแต่ ป. ๑ ยันปริญญาเอกยังไม่เคยลืมอะไรเลย คนเขาก็งง ๆ พอถึงเวลาห้ามสะกิด ถ้าสะกิดถูกเหมือนใส่พาสเวิร์ด ข้อมูลจะออกมาเอง

เพราะฉะนั้น..สมัยก่อนเวลาบรรยายให้เด็กฟัง ๒ - ๓ ชั่วโมงว่าไปเถิด ล่าสุดนี้ก็บรรยายให้พระวินยาธิการฟัง หลวงพ่อพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี บอกว่า "นิมนต์หน่อยครับ ให้คนอื่นบรรยายช่วงบ่ายเดี๋ยวหลับกันหมด" ไม่มีอะไรหรอกก็แค่เอาของเก่ามาขายให้เขาฟัง

เมื่อครู่สองบทแล้ว ใครต่อบทที่สามได้ ?

๓. นกเอ๋ยนกแสก จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ...

พระอนุรุทธเถระเพื่อนฝูงบรรลุอรหัตผลกันหมดแล้ว ท่านติดอยู่ ๗ ปีเต็ม ๆ เพราะมัวแต่ไปตรึกในมหาปุริสวิตก ๗ ประการ จนพระพุทธเจ้าต้องมาบอกเพิ่มประการที่ ๘ ให้ ท่านบอกว่า "บุคคลที่มีใจตั้งมั่นย่อมระลึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วได้นาน" ไม่ได้ระลึกเฉย ๆ นะ แค่นานอย่างของพวกเรานี่บางทีก็เป็นเดือนเป็นปี อันนี้เขาระลึกกันข้ามชาติข้ามภพเลย..!

เพราะฉะนั้น..แค่ที่เรียนมาชาตินี้เรื่องเล็ก ให้ฟังไปเรื่อย ๆ ก่อนเพราะเราทำวัตรตอนหนึ่งทุ่ม ตอนนี้ยังไม่ถึงทุ่มเลย นาฬิกาตายหรือไรทำไมเดินช้าแท้ ? เหลืออีกตั้งหลายนาที

เถรี 19-07-2025 01:24

ในเรื่องของการศึกษาสำคัญที่สุดก็คือไตรสิกขา การศึกษาสามอย่าง ก็คือ

สีลสิกขา ศึกษาในศีล ไม่ได้เรียนให้รู้ว่าศีลมีอะไร แต่เรียนแล้วต้องทำให้ได้ คือรักษาศีลได้ด้วย การรักษาศึลก็ต้องอยู่ในลักษณะที่
ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมผู้อื่นให้ละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล

ใครมั่นใจว่าทำได้บ้าง ? ถึงเวลาเห็นมดชักแถวเข้าครัว คว้ายาได้ ฉีดควั่บ..ตายเป็นเบือ..! อันนี้ละเมิดศีลด้วยตัวเอง

คราวนี้เป็นคนดีขึ้นมาหน่อยเห็นมดเดินมา หยิบยาขึ้นมาแล้ว แต่เรารักษาศีลนี่หว่า ? ยัดใส่มือลูก บอก "อีหนู..ฉีดทีซิ..!" อันนี้ยุให้คนอื่นละเมิดศีล

มดเดินมา ช่างมัน เรารักษาศีล ลูกเดินมา หุบปากไว้ เราไม่บอกให้เขาละเมิดศีล ลูกเห็นมดเดินเยอะแยะไปหมด คว้ายามาฉีดควั่บเข้าให้ เราก็ "เออ ..มึงน่าจะทำนานแล้ว" อันนี้ยินดีเมื่อคนอื่นละเมิดศีล บรรลัยพอกัน..!

เพราะฉะนั้น..การรักษาศีลเบื้องต้น ถ้าจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าต้องได้ทั้ง ๓ ส่วน ก็คือต้องไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

แต่..แต่อย่าเผลอว่าตนเองมีศีลแล้วเป็นคนดี สมัยนี้ติดดีกันเยอะมาก เรารักษาศีลเพื่อปลดตนเองออกจากเครื่องร้อยรัด โดยเฉพาะ รัก โลภ โกรธ หลง

เถรี 19-07-2025 01:29

ศีลข้อที่ ๑ ต้องระงับความโกรธ ก็คือไม่ตีราฆ่าฟันใคร

ศีลข้อที่ ๒ ต้องระงับความโลภ ไม่หยิบฉวย ช่วงชิง ฉ้อโกงสิ่งของผู้อื่น

ศีลข้อที่ ๓ ต้องระงับความรัก รักตัวนี้ไม่ใช่เมตตาแต่เป็นราคะ..! ก็คือไม่ละเมิดทุกคนที่มีเจ้าของ

โอ้โห..พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ๒๒ ประเภท ไม่รอดสักราย หญิงผู้มีบิดา หญิงผู้มีมารดา ผู้มีพี่ชาย ผู้มีพี่สาว ผู้มีน้องชาย ผู้มีน้องสาว ผู้มีกฎหมายคุ้มครอง ผู้มีบุคคลจองตัวไว้แล้ว ก็คือคู่หมั้นเขา จนกระทั่งท้ายที่สุดก็มีสามีแล้ว มีภรรยาแล้ว และหนักที่สุดคือผู้มีธรรมคุ้มครอง ตาย..ขยับไม่ได้เลย..ผิดหมดทุกประตู..!

ศีลข้อที่ ๔ แทบจะห้าม รัก โลภ โกรธ หลง หมดทุกอย่างเลย เพราะว่าอยากได้ก็โกหก โกรธก็หลอกเขาไปตายก็มี..! รักก็หลอกลวงเขาว่ายังไม่มีผัวไม่มีเมีย อาตมภาพไม่น่ารอดมาได้หรอก แต่มีความคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเป็นเพศตรงข้ามเห็นหน้าเมื่อไรก็นึกไว้ก่อนว่า "เมียเขา" อันนี้ปฏิบัติมาตั้งแต่วัยรุ่นเลย จะได้ไม่เสียเวลาไปจีบเมียเขา..!

ในจูฬราหุโลวาทสูตร พระพุทธเจ้าตักน้ำล้างพระบาท เสร็จแล้วก็คว่ำขันให้สามเณรราหุลดูว่า "ดูก่อน..ราหุล ภายในภาชนะนี้มีน้ำเหลืออยู่หรือไม่ ?" พระราหุลตอบว่า "ไม่มีเหลืออยู่เลยพระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อน..ราหุล บุคคลผู้โกหกหลอกลวงผู้อื่น เป็นผู้ว่างเปล่าจากความดี เหมือนภาชนะที่คว่ำอยู่นี้" แค่นี้ยังไม่พอนะ หาความดีไม่ได้แล้วยังไม่พอ พระองค์ท่านยังบอกว่า "ผู้โกหกหลอกลวงผู้อื่น จะไม่ทำความชั่วอื่นนั้นไม่มี" โห..บรรลัยเลย ตาย ๆ ๆ เพราะฉะนั้น..ถ้าใครยังโกหกอยู่ลด ๆ ลงบ้างนะ ความชั่วอื่นจะได้ลดตามไปด้วย..!

ศีลข้อสุดท้าย การดื่มสุราเมรัย ข้อที่ ๕ นี้ป้องกัน รัก โลภ โกรธ หลง ทุกข้อเหมือนกัน เพราะว่าถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บริบูรณ์ เราก็ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหรอกลวงคนอื่นเขา

คราวนี้ในส่วนของศีล เมื่อตั้งใจระวังรักษา สมัยก่อนเมื่อบอกอนุศาสน์ท่านจะกล่าวอานิสงส์ว่า "สีลปริภาวิโต สมาธิมหัปผโล โหติ มหานิสังโส การระมัดระวังศีลโดยรอบคือครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ มีอานิสงส์ใหญ่คือสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น" จิตใจคอยระมัดระวังอยู่ เมื่อจดจ้องระมัดระวังต้องมีสมาธิ ไม่อย่างนั้นก็เผลอหลุด ดังนั้น..คนที่รักษาศีลได้ ถ้าทำสมาธิจะง่ายมาก

เถรี 19-07-2025 21:38

คราวนี้อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วเมื่อตอนบ่ายว่า พวกเราพอถึงเวลาภาวนาแล้ว พิจารณาไม่เป็น ก็คือไม่ถนัดการใช้ปัญญา ก็เลยทำให้เราเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง คือ ทำสมาธิแล้วส่งให้กิเลสไปใช้ เพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ได้กำลังจากกิเลสไป ก็มีกำลังกล้าแข็ง ทำความชั่วได้ถนัดยิ่งขึ้นเนื่องจากมีกำลังดี

เราจึงต้องพยายามใช้ปัญญา ยกหัวข้อธรรมที่ขัดข้องขึ้นมาพินิจพิจารณา ไม่ต้องเอาอะไรมาก แค่พระท่านบอกว่า "ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด" เราเถียงไหม ?

เราเห็นว่าสวยงาม แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย เหลือเชื่อที่ว่าบางคนป่วยติดเตียงจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ พออาการดีขึ้นมาหน่อยลืมไปอีกแล้ว ตอนแรกก็ "โอ๊ย..ตายตอนนี้จะไม่ว่าสักคำ" พอได้หมอได้ยาดีขึ้นมาหน่อยก็ "อยู่ต่ออีกนิดก็แล้วกัน" ทำไมสภาพใจถึงได้กลับกลอกจนขนาดนั้น..!

ก็เพราะว่าสมาธิไม่พอ ปัญญาก็เลยไม่สามารถตัดขาด หรือว่ามองเห็นอย่างแท้จริงว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง ก็เลยเถียงว่า "ตอนนี้ยังไม่ป่วย ตอนนี้ยังไม่แก่ โดยเฉพาะตอนนี้ยังไม่ตาย" อาตมาได้ยินแล้วอยากสิ้นชีวิตแทน..!

เถรี 19-07-2025 21:38

พอบอกว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์..เถียงไหม ? ทุกข์ตรงไหน ? โยมแม่อาตมานี่เถียงทุกเม็ด..! ทำงานเลี้ยงลูกงก ๆ มา ๑๓ คน เป็นคุณแม่สู้ชีวิตมาก ไปปฏิบัติมโนมยิทธิครั้งแรก คุณครูถามว่า "ยาย..เกิดมาทุกข์ไหม ?" แม่บอกว่า "ไม่ทุกข์" เล่นเอาคุณครูหัวเราะ เดินออกมาถามว่า "ท่านเล็ก..สอนแม่อย่างไร ? ถามแม่ว่าเกิดมาทุกข์ไหม ? แม่บอกว่าไม่ทุกข์ !" ก็เลยบอกว่า "คุณครูกลับไปถามใหม่ คุณครูใช้คำพูดผิด ให้ไปถามแม่ว่า..เกิดมาลำบากไหม ? แกบรรยายได้สามวันสามคืนเลย..!"

เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่า ถ้าครูบาอาจารย์ไม่เข้าใจกำลังใจลูกศิษย์ บางทีก็พาให้เสียประโยชน์เหมือนกัน อาตมาเองตอนฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก ครูฝึกถามว่า "สว่างไหม ?" ตอบไปว่า "ไม่เลยครับ มืดตื๋อ" ครูฝึกถามต่อ "เห็นอะไรไหม ?" อาตมาก็ "ไม่ครับ" ถามเท่าไรก็ไม่อย่างเดียว จนแทบต้องเอาถังดับเพลิงมาวางไว้ข้าง ๆ เพราะถามอะไรไม่ (ไหม้) หมด จนครูท้อใจเลิกถามไปเลย..!

อาตมาก็นั่งสมาธิไปเรื่อย จนปรากฏว่าคุณครูที่อยู่อีกวงหนึ่งถามลูกศิษย์ในวงว่า "นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหมคะ ?" อาตมาเผลอหลุดปากไปว่า "ได้ครับ" อาตมาจับภาพพระเป็นกสิณมาก่อนตั้งสามปีแล้ว นึกเมื่อไรก็ได้ ครูก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นน้อมใจกราบลงตรงนั้นนะ..ทำได้ไหม ?" ก็ตอบไปว่า "ทำได้ครับ"

ครูฝึกก็ตะล่อมไปเรื่อย ท้ายสุด "ลองอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูว่า ถ้าพระองค์ท่านมาโปรดเราจริง ขอให้ประทับยืนขึ้นได้ไหม ?" เหลือเชื่อมาก ภาพพระพุทธรูปจากนั่งสมาธิยืนขึ้นเฉยเลย..! ตอนนั้นรู้สึกว่าจะลอยทั้งตัว..!!

เถรี 19-07-2025 21:40

คราวนี้เห็นหรือยังว่าครูบาอาจารย์สำคัญขนาดไหน ? สอนผิด ไม่ตรงกำลังใจ..ลูกศิษย์เสียประโยชน์ สอนถูก ตรงกำลังใจ..ลูกศิษย์ได้ประโยชน์

พระสารีบุตรเห็นลูกชายนายช่างทองเป็นคนหนุ่ม รูปร่างหน้าตาดีมาก ฐานะร่ำรวยมาก คาดว่าเป็นผู้มากด้วยกามราคะ ก็เลยให้อสุภกรรมฐานไปพิจารณา ปรากฏว่าทำเท่าไรก็ไม่ได้ผล ถึงได้นำตัวไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลว่า สอนมานานแล้วก็ยังไม่ได้ผล

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กุลบุตรผู้มีศรัทธามา ถึงตถาคตแล้วปฏิบัติธรรมจะไม่ได้ผลนั้นไม่มี" แล้วก็เนรมิตดอกบัวทองคำแต่เป็นสีแดงดอกหนึ่งให้ บอกว่าไปกอบทรายพูนขึ้นมา เอาดอกบัวปักไว้ แล้วก็ลืมตามอง หลับตานึกถึง ถ้าภาพหายไปก็ลืมตามองใหม่ หลับตานึกถึง

พักเดียวเท่านั้นเอง ลูกชายนายช่างทองก็ทรงกสิณได้ พิจารณาต่อไปว่าภาพกสิณมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตัวเราก็เหมือนกัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด เมื่อตัดใจว่าถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ปรารถนาการเกิดอีกแล้ว ก็กลายเป็นพระอรหันต์ไป

ลูกชายนายช่างทองไม่ใช่ราคะจริต แต่เป็นโทสะจริต อะไร ๆ ต้องได้อย่างใจ เอาใจตัวเองแบบลูกคนรวย พระสารีบุตรให้กรรมฐานผิด พระพุทธเจ้าให้กสิณไป โดยเฉพาะวรรณกสิณ จึงสามารถระงับโทสะจริตได้

ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครเจอครูบาอาจารย์พาเข้ารกเข้าพงก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร รู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมงวดนี้ อาตมาคงไม่ได้นำปฏิบัติธรรมช่วงเช้ามืด เพราะว่าเสียงไม่อำนวย ไม่ตะเบ็งแล้วไม่มีเสียง การนำกรรมฐานช่วงเช้ามืดต้องใช้เสียงเบา เพราะฉะนั้น..งวดนี้ลองหากินกันเองดูบ้างนะ เอ้า..เตรียมทำวัตรค่ำได้

เถรี 20-07-2025 22:23

ก่อนเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กรกฏาคม ๒๕๖๘



อะไรที่เราทำตามเวลา นานไปคนรู้ก็จะรักษาตามเวลานั้น ไม่ต้องเสียเวลามานัดแนะ ญาติโยมก็จะรู้ว่า "วัดท่าขนุนเวียนเทียนตอนสองทุ่ม" ความจริงอยากจะเวียนเทียนตอนทุ่มครึ่งเสียด้วยซ้ำไป เพื่อที่จะไม่ให้พวกวัยรุ่นเอาเป็นข้ออ้างว่า "ไปวัดท่าขนุน" แล้วกลับบ้านดึก แต่ก็เกรงใจญาติโยมบางส่วนที่บารมีน้อย ทำอะไรโคตรช้าเลย..!

ผ่านไป ๓๐ กว่าปี ทุกอย่างดีขึ้นมาบ้าง ตอนมาอยู่วัดท่าขนุนใหม่ ๆ โดนโยมต่อว่า "วัดของเราแท้ ๆ จัดงานแล้วเข้าศาลาไม่ได้" ก็ถามว่า "โยมมาถึงวัดกี่โมง ?" โยมตอบว่า "แปดโมงครึ่ง" อ๋อ..ศาลาเต็มตั้งแต่ตีห้าแล้ว..!

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม เมื่อเราฝึกตนดีแล้วด้วยหลักธรรมอันใด พึงฝึกผู้อื่นด้วยหลักธรรมเช่นนั้น ขึ้นชื่อว่าการฝึกตนนั้นช่างยากจริงหนอ..!


ถ้าอาตมาฝึกญาติโยมทุกคนแบบที่ตัวเองฝึกมา ก็คาดว่าญาติโยมคงตายเกินครึ่ง..! เนื่องเพราะว่าช่วงที่ปฏิบัติหนัก ๆ อย่างเก่งก็นอนคืนละ ๒ ชั่วโมง นอกนั้นเวลาทั้งกลางวันกลางคืนอยู่กับการเดินจงกรมและภาวนา..!

สมัยก่อนได้ยินว่าครูบาอาจารย์สายวัดป่าภาคอีสานบอกว่าเดินจงกรมจนทางจงกรมลึกครึ่งแข้ง ..! ก็ยังคิดว่า "เป็นไปได้หรือ ?" พอตัวเองเดินหนัก ๆ เข้าแค่เดือนเดียวเท่านั้น ทางจงกรมลึกไปเป็นนิ้วเลย แล้วถ้ายิ่งมีการกวาดทำความสะอาดบ่อย ๆ ก็ยิ่งลึกเร็วเข้าไปอีก..!

ในการอบรมพระคิลานุปัฏฐากคือพระภิกษุผู้ดูแลคนป่วย มีการแนะนำว่าต้องลดอาหารอย่างนั้น ต้องระวังอาหารอย่างนี้ ถ้าเป็นอาตมภาพก็ฉันเต็มที่นั่นแหละ เพราะว่าที่ทำไปนั้นมากกว่าที่กิน ส่วนใหญ่การป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ของพระเรา ไม่ว่าจะเป็นเบาหวาน ไขมัน ความดัน เกิดจากการกินล้นกินเกินทั้งนั้น ถ้าหากว่ากินเข้าไปแล้วทำให้มากกว่าที่กินก็จบแล้ว..!

เถรี 20-07-2025 22:25

แต่ส่วนมากพวกเรามักจะรักตัวเองมากกว่า กลัวตัวเองจะลำบากในชาตินี้ แต่ไม่กลัวตัวเองลำบากในชาติหน้า..! ก็เลยไม่ค่อยจะเอาไหน เป็นคนที่ใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าในทางที่ผิด ก็คือเป็นคนปรารถนาน้อย ไม่ค่อยจะเอาอะไร แต่กลายเป็นว่าไม่ค่อยจะเอาดี..! จะว่าไปแล้วการตีความหลักธรรมผิดพลาด ก็อาจจะสร้างความเสียหายให้กับตนทั้งชาตินี้และชาติหน้า..!

แบบเดียวกับที่พระเถระรูปหนึ่งของอำเภอทองผาภูมิ มีปฏิปทาว่าจะจำพรรษาปีละหนึ่งประเทศ ท่านบอกว่า "พระพุทธเจ้าสั่งให้เที่ยว เพราะฉะนั้น..ผมต้องเที่ยว..!" ถ้าไม่ใช่แกล้งโง่ก็แปลว่าอ่านหนังสือไม่ครบแปดบรรทัด..! พระพุทธเจ้าตรัสว่า

จะระถะ ภิกขะเว จาริกัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอพวกเธอจงเที่ยวไป

พะหุชะนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก

โลกานุกัมปายะฯ เพื่ออนุเคราะห์แก่โลกฯ


แต่ท่านแปลแค่ว่าเที่ยว ก็เลยบอกว่าพระพุทธเจ้าสั่งให้เที่ยว เพราะฉะนั้น..ท่านต้องเที่ยว กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็นั่งปลงอนิจจังว่า ท่านจะสอนลูกศิษย์ให้เป็นมิจฉาทิฏฐิไปอีกกี่คนก็ไม่รู้ ?!

สมัยก่อนตอนกำลังสวดนาคอยู่ที่วัดท่ามะขาม โทรศัพท์มือถือดังขึ้น ตอนนั้นเป็นยี่ห้อโนเกียรุ่น ๓๓๑๐ ยักแย่ยักยันล้วงออกมาจะปิดเสียง หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดแบมือ บอกว่า "เอามานี่" ก็นึกว่าท่านจะเมตตาช่วยปิดให้ เพราะอาตมากำลังสวดอยู่ ที่ไหนได้..ท่านขว้างตูมออกไปนอกโบสถ์เลย..! ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต้องจำเลยว่าถ้าอยู่ในที่ประชุมต้องปิดเสียงก่อน

เถรี 22-07-2025 00:21

เรื่องของการเวียนเทียนเป็นการบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ก็คือการบูชาด้วยแสงสว่าง ของหอม แล้วก็ดอกไม้ ตามที่บาลีว่า

อันนัง ปานัง วัตถัง ยานัง อันนังคือข้าว ปานังคือน้ำ วัตถังคือผ้า ยานังคือยานพาหนะ

มาลา คันธัง วิเลปะนัง มาลาคือดอกไม้ที่ร้อยดีแล้ว คันธังคือของหอม วิเลปะนังคือเครื่องลูบไล้ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะเป็นพวกโลชั่น แต่สมัยก่อนนั้นเป็นพวกน้ำมันสำหรับทาเท้า ป้องกันเท้าแตกเวลาเดินทางไกลเป็นวัน ๆ

เสยยาวะสะถัง ปะทีเปยยัง เสยยาคือเครื่องนอน มุ้ง หมอน ฟูก ผ้าห่ม วะสะถังคือเครื่องนั่ง โต๊ะ เก้าอี้ ปะทีเปยยังคือเครื่องตามประทีป ถ้าแปลตรงตัวก็น่าจะเป็นพวกไม้ขีดไฟแช็ก แต่ในที่นี้ท่านรวมทั้งพวกเทียนพวกตะเกียงอะไรไปด้วย เพราะว่าถ้ามีแค่ไม้ขีดไฟแช็ก ก็ไม่สามารถที่จะตามประทีปได้

ทานะวัตถู อิเม ทะสะ ทั้ง ๑๐ ประการนี้จัดเป็นวัตถุทาน คือของที่ควรถวายแก่บรรพชิต

แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ญาติโยมถวายทานด้วยยานก็คือพาหนะ แต่ห้ามภิกษุขับยานที่เทียมด้วยสัตว์ เพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจ จะไปโทษว่าพระเราทรมานสัตว์ คือเรื่องของยานพาหนะเป็นการอำนวยความสะดวก พระพุทธเจ้าไม่ได้หวังความสะดวกของพระภิกษุสามเณร แต่หวังอานิสงส์ความสะดวกจะเกิดแก่ผู้ถวาย

เถรี 22-07-2025 00:23

อาตมภาพรู้จักโยมท่านหนึ่ง ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน รถติดรถแน่นขนาดไหน ก็จะมีที่จอดรถทุกครั้ง แม้กระทั่งล่าสุดมาถวายภัตตาหารเพลในวันที่วัดอุทยานมีงาน ทุกตารางนิ้วมีแต่รถจอด กระผม/อาตมภาพส่งไลน์ไปว่าให้ทิ่มมาตรง ๆ หน้าประตูกุฏิริมป่าช้าเลย

แต่พออีกฝ่ายไลน์มาว่ามาถึงแล้ว โผล่ไปดูก็ไม่เห็นรถ สอบถามแล้วได้ความว่า พอวิ่งเกือบจะถึง ก็มีรถเลื่อนออกคันหนึ่งพอดี แล้วทุกครั้งก็จะอยู่ในลักษณะอย่างนี้ นั่นคือการได้รับความสะดวกในทุกที่ ตามอานิสงส์เดิมที่ตนเองเคยทำไว้

เพียงแต่ว่าพระภิกษุสามเณรของเราเมื่อจะรับก็ต้องพินิจพิจารณาให้รอบคอบ เพราะว่าพระพุทธเจ้ากำหนดฐานะของเราเหมือนกับขอทาน ต้องไปขอเขากิน ถ้าขอทานรวยก็คงไม่มีใครอยากให้อะไร

ทุกวันนี้ก็ด่ากันกระจายอยู่แล้ว ประมาณว่า "รวยฉิบหายเลยโว้ย บวช ๕ พรรษามีเงินเก็บมากกว่ากูทำงาน ๒๐ ปี" ถ้าจะอิจฉาพระขนาดนั้นทำไมไม่มาบวชวะ ? คือทุกคนจะพูดในลักษณะ "ตีหัวเข้าบ้าน" ด่าพระไว้ก่อน แต่ให้ตัวเองมาบวชไม่มีใครบวช ทั้ง ๆ ที่บอกว่า "บวชพระสบาย" อยากจะเห็นคนพูดสบายบ้าง..!

หลวงพ่อพฺรหฺมวํโสไปเทศน์ให้นักโทษในคุกที่ออสเตรเลียฟังว่า "พระต้องตื่นเจริญกรรมฐานตั้งแต่ตี ๔ ต้องเดินบิณฑบาตเป็นระยะทาง ๕ - ๑๐ กิโลเมตรกว่าที่จะได้ภัตตาหารมาขบฉัน กลับมาแล้วก็ยังต้องประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม เก็บกวาดวัด ถูศาลา เข้าที่จงกรม เจริญภาวนาเช้ายันค่ำ โดยเฉพาะห้ามมีเมีย ห้ามสะสมเงินทอง" นักโทษบอกว่า "หลวงพ่อสึกมาอยู่กับพวกผมเถอะ สบายกว่าตั้งเยอะ..!"

เถรี 22-07-2025 23:50

ทำบุญช่วงเช้าวันเข้าพรรษา วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๖๘


วันนี้เป็นวันเข้าพรรษา แต่ว่าของวัดท่าขนุนเราอธิษฐานพรรษาไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว เหตุเพราะว่าใน "กฐินขันธกะ" ในพระวินัยปิฎกกล่าวถึงการจำพรรษาและอานิสงส์กฐินไว้ว่า "ผู้ที่จะรับกฐินได้ ต้องจำพรรษาถ้วนไตรมาส คือ ๓ เดือนเต็ม..!"

คราวนี้ถ้าท่านทั้งหลายอธิษฐานพรรษาในวันนี้ สมมุติว่าได้อรุณตั้งแต่หกโมงเช้า แล้วเราไปอธิษฐานพรรษาตอนหนึ่งทุ่ม ก็แปลว่าท่านทั้งหลายขาดพรรษาไป ๑๓ ชั่วโมง ซึ่งวัดส่วนใหญ่มักจะทำกันแบบนี้ แล้วการออกพรรษานั้น ทางวัดท่าขนุนจะไปออกพรรษาและปวารณาต่อกันในวันตักบาตรเทโว เพื่อให้มั่นใจเลยว่าอยู่ครบถ้วนสามเดือนเต็ม ๆ..!

เรื่องของพระธรรมวินัยจึงเป็นเรื่องที่พระเราต้องระวังกันเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาบอก สิ่งแรกที่ทางวัดท่าขนุนบอกกล่าวแก่นาคที่มาบวชก็คือ ศีลพระมีอะไรบ้าง ช่วงที่เป็นนาคต้องระวังและรักษาเอาไว้ให้ดี เราจะไปรอคนอื่นมาบอกมากล่าวไม่ได้

พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ถึงสาเหตุของการต้องอาบัติคือศีลพระที่ขาดไว้ดังนี้
๑. ต้องโดยไม่ละอาย ก็คือ รู้อยู่ว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วศีลขาด แต่ก็หน้าด้านทำไป..!
๒. ต้องโดยไม่รู้ ก็คือ ไม่พยายามที่จะศึกษาว่าศีลพระมีอะไรบ้าง ?
๓. ต้องโดยสงสัยแล้วขืนทำลงไป
๔. ต้องโดยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร อย่างเช่นว่าไปกินเนื้อสัตว์ต้องห้าม เช่น เนื้อหมา เนื้อหมี เนื้องู คิดว่าไม่เป็นไร แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามเอาไว้
๕. สำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร อย่างเช่นว่า ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าเพื่อรักษาโรค ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะฉัน
๖. ต้องโดยลืมสติ รู้แต่ลืมไป เพราะว่าศีลมีมาก หรือว่าเห็นสาวเขาสวยแล้วขาดสติ อันนั้นก็ช่วยไม่ได้..!

เถรี 22-07-2025 23:53

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้นเกี่ยวกับศีลพระ ทำก็คือศีลขาด ไม่ต้องรอให้ศาลตัดสิน ไม่ต้องรอคนอื่นมาบอก ทำเมื่อไรโดนเมื่อนั้น

แล้วถ้าเป็นอาบัติหนัก ก็ขาดจากความเป็นพระไปเลย อย่างเช่นว่าหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ราคาได้ ๑ บาทขึ้นไป เราต้องระมัดระวังตัวเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงขนาดห้ามไม่ให้ภิกษุลูบคลำผลไม้หรือข้าวเปลือกที่ติดอยู่กับต้น เพราะเกรงว่าถ้ามีเถยยจิตคิดอยากได้ แล้วเด็ดไปก็แปลว่าโดนอาบัติ อาจจะศีลขาดแต่สามารถแสดงคืนได้ หรือว่าถ้าราคาเกิน ๕ มาสก ก็ขาดจากความเป็นพระไปเลย จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสำนึกว่า
"พระเรานั้น ราคาถูกมาก..!"

โดยเฉพาะในส่วนของการรักษาศีล สมัยนี้ในเรื่องของศีลพระรักษายากมาก เหตุที่ยากก็เพราะว่าโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือพระเณร ถ้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ โอกาสที่โดนอาบัติมีสูงมาก

สมัยก่อนที่อาตมภาพยังรับโทรศัพท์ด้วยตัวเอง ๔ ทุ่มกว่า ๕ ทุ่ม มีเสียงผู้หญิงโทรเข้ามา ถามหาบุคคลนั้นบุคคลนี้ พอบอกว่า "โยมน่าจะโทรผิดเพราะว่านี่เป็นวัด" โยมบอกว่า "ไม่เป็นไร
กำลังเหงา ขอคุยด้วย" อาตมภาพก็เลยบล็อกเบอร์ทิ้งไปเลย..!

เป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังด้วยตัวเอง ไม่ใช่พอถึงเวลาเห็นส่งไลน์มา โปรไฟล์ดี ๆ หน้าตาสะสวย หุ่นเช้งวับ แม่ให้มาเยอะ..! กูก็รีบกดรับทันที ถ้าอย่างนั้นน่ะหาที่ตาย..! สมัยนี้ AI แต่งรูปได้สวยกว่าตัวจริงเป็นล้านเท่า..!

อาตมภาพเจอบ่อย ถึงเวลาส่งไลน์มา อาตมาก็จะซุ่มเงียบ รอดูอยู่ ๓ - ๕ นาที ถ้าไม่รายงานตัวมึงเจอบล็อกแน่นอน..! พวกประเภททุจริตจะมาลักษณะอย่างนี้เสมอ ก็คือทักไลน์ส่วนตัวอย่างเดียว เพราะกลัวว่าคุยตอนแรกถ้าคนอื่นรู้ อาจจะหลอกเหยื่อไม่สำเร็จ โดยเฉพาะพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์..!

เถรี 22-07-2025 23:55

อาตมภาพโดนมาแบบเนียนมาก ๆ คืออยู่ ๆ มีข้อความส่งเข้ามาว่าถูกล็อตโต้ ๓ ล้านเหรียญสหรัฐ โห..โคตรรวยเลย ถามไปว่า "ถูกได้อย่างไร ?" เขาบอกว่า "เป็นล็อตโต้การกุศล ใช้สุ่มจากเบอร์โทรศัพท์ พอดีได้เบอร์ของท่านมา"

อาตมาภาพบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น
๓ ล้านดอลลาร์นั่น บริจาคการกุศลไปเลย..!" เขาบอกว่า "ไม่ได้..ตามระเบียบแล้ว ต้องเบิกเงินออกมาก่อน ขอให้ติดต่อไปที่อีเมลนั้น ที่หมายเลขโทรศัพท์นี้" อาตมาภาพดีดทิ้งไปเลย..!

อีกไม่นานมาใหม่ บอกว่ามีชื่อของท่านและหมายเลขโทรศัพท์นี้คาอยู่ ถูกล็อตโต้แล้วทำไมไม่เบิก ? ให้รีบติดต่อไปที่หมายเลขนี้โดยด่วน อาตมภาพตัดทิ้งไปตามเคย "กูไม่เคยซื้อล็อตโต้..กูจะไปถูกได้อย่างไร ?" อีกปีต่อมาถูกล็อตโต้อีกแล้วอีก ๒ ล้านเหรียญ..! สรุปแล้วนี่อาตมภาพมีเงินล็อตโต้คาอยู่ยังไม่ได้เบิก ๕ ล้านดอลลาร์..!

เป็นเรื่องสำคัญที่ว่าเราโลภหรือเปล่า ? เขาบอก ๓ ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นเงินไทยก็หลายร้อยล้านบาท แต่ว่าเราต้องโอนค่าดำเนินการ โอนภาษี ให้เขา เขาถึงจะโอนยอดเงินมา เราโอนไปที ๗ - ๘ แสนนี่ไหวไหม ? มีการแนะนำอีกด้วยว่า "อย่าบอกใคร เดี๋ยวคนรู้แล้วจะมาขอแบ่ง..!"

บางรายก็โทรมาบอกว่า "อยู่ในห้องไอซียู กำลังจะผ่าตัดวันนี้
ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ? ที่บ้านสะสมเครื่องมุกเอาไว้มาก ทั้งโต๊ะหมู่ ทั้งเก้าอี้รับแขก ราคารวม ๆ แล้วหลายแสนบาท ศรัทธาในชื่อเสียงของพระคุณเจ้า ตั้งใจถวายเป็นการทำบุญเผื่อไว้ครั้งสุดท้าย เพียงแต่ว่าโยมอยู่ห้องไอซียู" ก็ไม่รู้หมอที่ไหนใจดีให้เขาใช้โทรศัพท์ได้..!

"ตอนนี้โทรเรียกสิบล้อไปขนของขึ้นอยู่ ขอพระคุณเจ้าช่วยโอนเงินค่าน้ำมันให้กับรถสิบล้อสัก ๙,๐๐๐ บาท เขาจะได้ขนของไปส่งวันนี้เลย" อาตมภาพบอกไปว่า "บ้านโยมอยู่ใกล้วัดไหนที่สุด ก็ถวายวัดนั้นแหละ" เขาคงไม่เคยมาวัดท่าขนุน เนื่องเพราะว่าถ้าเคยมาวัดท่าขนุน จะเห็นว่าแทบไม่มีอะไรเลย นอกจากศาลาเปล่า ๆ..!

เถรี 22-07-2025 23:59

อีกรายหนึ่งโทรมาบอกว่า "ผมเคยมาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ๒,๐๐๐ บาท จำได้ไหมครับ ? ตอนนี้ผมตกรถอยู่ที่นั่น ที่นี่ รบกวนหลวงพ่อช่วยโอนเงินค่ารถให้ผมสัก ๑,๐๐๐ บาท จะได้กลับบ้านได้"

อาตมภาพถามกลับไปว่า "โยมเคยมาทำบุญกับอาตมภาพแน่นะ" เขาบอกว่า "แน่ครับ..วันนั้น เวลานั้น หลวงพ่อน่าจะจำได้" ก็เลยบอกไปว่า "ถ้าโยมเคยมา ต้องรู้ว่าวัดอาตมภาพอยู่กลางป่า กว่าจะเดินทางไปถึงธนาคารใช้เวลาหลายชั่วโมง แล้วโยมจะให้อาตมาไปโอนเงินอย่างไร ?" เขาบอกว่า "ให้โอนเงินออนไลน์" ก็เลยบอกกลับไปว่า "พอดีไม่มีบัญชีออนไลน์..!" สรุป..ไม่รู้ว่าใครหลอกใคร !?

พวกนี้ดีอยู่อย่าง อาตมาไม่ค่อยกดทิ้งหรอก อยากรู้ลีลาก็ชวนคุยไปเรื่อย อีกรายหนึ่งมาถึงก็บอกว่า "เบอร์ของท่านพัวพันกับการฟอกเงิน จะโดนปิดเบอร์เดี๋ยวนี้แล้ว ให้รีบโทรกลับไปที่เบอร์นี้ ไม่เช่นนั้นแล้วภายใน ๑ ชั่วโมงนี้จะโดนปิดเบอร์โทรศัพท์" อาตมภาพบอกไปว่า "ปิดไปได้เลย กูมีตั้งหลายเบอร์ ขี้เกียจจ่ายค่าโทรศัพท์รายเดือนอยู่ด้วย..!"

เพราะฉะนั้น..โยมจะเห็นว่าถ้าเราไม่โลภ โอกาสที่พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเราได้จะน้อยมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะโลภ เจออยู่รายหนึ่งเป็นสามเณรเพิ่งบวชพระได้ ๒ พรรษา มาติดต่อกระผม/อาตมภาพว่า จะแนะนำโยมรายหนึ่งให้ เป็นบุคคลสำคัญระดับชาติ ที่ใคร ๆ ลือว่าสวรรคตไปแล้วแต่ไม่จริง หากแต่ไปทำมาหากินอยู่ประเทศจีน ตอนนี้มีเงินหลายแสนล้านบาท จะโอนเงินมาช่วยน้องชายที่ครองราชย์อยู่ แต่รัฐบาลบล็อกเอาไว้ไม่ให้โอน ดังนั้น..เงินจำนวนมากก็เลยต้องทยอยกันเข้าบัญชีหลาย ๆ คนเข้ามา เพื่อที่ไม่ให้รัฐบาลรู้ พิจารณาแล้วว่าท่านเป็นผู้มีบารมีพอที่จะร่วมงานกันได้ อาตมภาพได้ยินแล้วก็กลืนน้ำลายดัง "เอื๊อก..!" เรื่องแบบนี้มึงก็เชื่อได้นะ..!?

แล้วเป็นเรื่องอัศจรรย์มากว่า พวกนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าเรียนจิตวิทยามาหรืออย่างไร ? เขาสามารถพูดโน้มน้าวให้เราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญที่สุด เป็นบุคคลที่ต้องมี ต้องช่วยเขาเลย ซึ่งถ้าหากว่าไปตกลงปลงใจเมื่อไร ต้องโอนค่าดำเนินการแบบโน้นแบบนี้ไปเรื่อย ไม่รู้จบไม่รู้พอกันเสียที..!

ยังโชคดีที่ว่าทางรัฐบาลจีนช่วยกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทางประเทศพม่าไป พอหนีไปตั้งฐานที่เขมร รัฐบาลของเราก็ดันทำอะไรโง่ ๆ เซ่อ ๆ ให้ทหารจัดการปิดชายแดน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ระยะนี้ก็เลยหายไป ไม่อย่างนั้นแล้วจะมีเรื่องน่ารำคาญกว่านี้อีกเยอะ..!

เถรี 23-07-2025 21:07

ในวันเข้าพรรษากิจกรรมทางวัดท่าขนุนจะมีน้อยมาก เพราะว่าส่วนใหญ่จะทำเสร็จเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว หลังจากงานทำบุญเช้าแล้ว ก็เหลือแค่สังฆทานสลากภัตในตอนค่ำ ซึ่งของเราเองญาติโยมเองก็แทบไม่มีส่วนร่วมเลย เพราะทางวัดจัดกันเอง

ความจริงสลากภัตควรที่จะให้โยมร่วมกันเป็นเจ้าภาพ แต่ด้วยความที่ว่าญาติโยมจัดมามากน้อยต่างกัน ลักลั่นกันมาก ถ้าให้ทางวัดจัดเองก็จะใกล้เคียงกัน ตั้งแต่
อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสก็เลยจัดเองมาโดยตลอด จะมีมากน้อยต่างกันก็ตรงปัจจัยที่เป็นเงินสด ก็คือมีตั้งแต่ ๓,๐๐๐ บาท ๒,๕๐๐ บาท ๒,๐๐๐ บาท ๑,๕๐๐ บาท ๑,๐๐๐ บาท ๕๐๐ บาท เป็นต้น

ให้แต่ละคนไปวัดกันว่า "ใครภาวนาพระคาถาเงินล้านแล้วมีผลมากกว่ากัน ?" ความจริงมีเคล็ดลับในการจับสลากภัตอยู่ แต่ไม่บอก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกวาดรางวัลใหญ่ไปหมด คนอื่นจะเดือดร้อน..!

เถรี 23-07-2025 21:09

อีก ๕ นาทีพระภิกษุสามเณรจะขึ้นอาสน์สงฆ์ ปีนี้วัดท่าขนุนมีพระเก่า ๓๕ รูป พระใหม่ ๗ รูป สามเณรใหม่ ๑ รูป การบวชจำพรรษาปีนี้รอดมาได้แค่รูปเดียว อีก ๒ นาคหลุดหายไป ไม่ผ่าน QC เพราะว่าวัดท่าขนุนเราต้องมาเป็นนาคล่วงหน้ากันนาน คนไม่ตั้งใจจริงจะไม่มาบวชที่นี่

โดยเฉพาะญาติโยมรอบ ๆ วัด เคารพรักหลวงปู่สายอดีตเจ้าอาวาสเป็นอย่างมาก จะบวชลูกเมื่อไร ต้องแห่มากราบหลวงปู่สายก่อน แต่ไปบวชวัดอื่น โดยบอกว่า "ถ้าอยู่วัดท่าขนุนเดี๋ยวลูกจะลำบาก..!" พอตีสามครึ่งก็ต้องตื่นมาทำกรรมฐานกันแล้ว ทำวัตรเช้าทำวัตรค่ำอีกวันละสามรอบ แถมยังออกบิณฑบาตทุกวัน บางวันถึงฝนตกกระหน่ำเป็นฟ้ารั่วก็บิณฑบาต กลับมาแทนที่จะได้ข้าวสวย ก็กลายเป็นข้าวต้ม..! เพราะว่าเวลาเปิดบาตรรับโยม น้ำก็ลงไปด้วย..!

เขากลัวลูกจะลำบากกัน ก็เลยไม่ค่อยอยากจะให้บวชวัดท่าขนุน ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ย้อนแย้งมาก เขาบอกว่าวัดท่าขนุนเคร่งเกินไป อาตมภาพเองก็ "หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก" ญาติโยมอยากได้พระเณรที่เคร่งครัดต่อพระวินัย แต่กูไม่ให้ลูกบวชวัดนี้ ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

เถรี 23-07-2025 21:11

ตั้งแต่อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสมา พักเดียวจะ ๒๐ ปีแล้ว ยังไม่มีปีไหนที่มีพระน้อยกว่า ๓๐ รูป ถ้าใครต้องการเรียน..ส่งเรียนไปจนสุดกำลังของท่าน ไม่ใช่ของอาตมา ถ้าใครต้องการปฏิบัติธรรม..ติดขัดตรงไหนสอบถามได้ทุกขั้นตอน ดังนั้น..พระวัดนี้ก็เลยค่อนข้างจะแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก็คือฝ่ายเรียนกับฝ่ายปฏิบัติธรรม แต่ก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

พระภิกษุสงฆ์และแม่ชีที่จบปริญญาเอกของจังหวัดกาญจนบุรีในช่วงแรกมีทั้งหมด ๑๓ รูป เป็นของวัดพระขนุนไป ๖ รูป เห็นแม่ชีหุงข้าวต้มแกงให้โยมอยู่ภายในวัด โยมก็ไม่รู้หรอกว่านั่นเป็นแม่ชีด็อกเตอร์ จบปริญญาเอกอยู่ ๒ รูป..!

อาตมภาพไม่มีกติกา เรียนจบปุ๊บสึกปั๊บก็ไม่ว่า แต่ว่าตอนที่อยู่ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็ต้องเรียน ห้ามอยู่เฉย ๆ มีอยู่สาขาวิชาหนึ่งก็คือปริญญาโทการพัฒนาสังคม ส่งไปเรียนจบมา ๖ รูป สึกไปพัฒนาสังคมเสีย ๖ รูป..! ก็เลยบอกกับผู้อำนวยการหลักสูตรว่า "ต่อไปหลักสูตรนี้อย่าเลี้ยวไปทางวัดท่าขนุนอีก เพราะว่าดีเกินไป..! ทำให้พระบวชแล้วเห็นช่องทาง ถึงเวลาเรียนจบ ก็สึกไปพัฒนาสังคมกัน" เป็นอะไรที่ขำ ๆ ดี

ปัจจุบันนี้ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรอำเภอทองผาภูมิ ถ้าใครเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี มาเบิกค่ารถได้ที่วัดท่าขนุนเดือนละ ๓,๐๐๐ บาทต่อรูป พูดง่าย ๆ ว่าส่งเรียนทั้งอำเภอ ส่วนทุนการศึกษาระดับประถมและมัธยม ก็ให้ทั้ง ๓๔ โรงเรียนในอำเภอนี้ โรงเรียนประถมให้ ๒๐ ทุน โรงเรียนมัธยมให้ ๓๐ ทุน ปีหนึ่งก็หลายล้านบาท..! เพราะฉะนั้น.. "สีกากอล์ฟ" ไม่เลี้ยวมาวัดนี้หรอก เพราะว่ามีเงินเท่าไรก็ใช้หมด..!

เถรี 25-07-2025 00:43

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๖๘


ผู้ปฏิบัติธรรมไปไหนหมด ? ขอตรวจสอบรายชื่ออีกหนึ่งรอบเพื่อความแน่นอนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกวุฒิบัตร บางท่านปฏิบัติธรรมกลางคันก็โดนฝนละลายหายไปจากวัดนี้..! ถ้าได้ยินแล้วมาด่วน ๆ เลยนะจ๊ะ

ตรงเวลาของวัดนี้ไม่ใช่ตรงตามนาฬิกา แต่ก่อนนาฬิกาประมาณ ๒๐ นาทีเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครมีนิสัยตรงเวลา มาวัดนี้จะเป็นคนทำอะไรช้าและสายกว่าคนอื่น..!

การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้สภาพจิตของเราละเอียดขึ้น แหลมคมขึ้น ว่องไวขึ้น ดังนั้น..การตัดสินใจและการกระทำจึงเร็วกว่าผู้อื่น แต่ว่าเป็นความเร็วที่มีโอกาสพลาดน้อยมาก เนื่องเพราะว่าตรึกตรองดีแล้วถึงได้ทำ

สมัยที่อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถ้าท่านบอกว่าเวลาไหน ให้รีบไปก่อนเวลาเสมอ มีรุ่นพี่คือท่านฐิติ กระผม/อาตมภาพเตือนท่านเพราะท่านนั่งฉันอยู่ในวงแบบทองไม่รู้ร้อนว่า "หลวงพี่ต้องไปจันทบุรีกับหลวงพ่อไม่ใช่หรือ ทำไมไม่รีบไปขึ้นรถ ?" ท่านบอกว่า "หลวงพ่อนัด ๗ โมงเช้า" คือตอนนั้นประมาณ ๖.๔๐ น.

ท่านฉันเสร็จแล้วก็ขับรถไปที่หน้าวิหารแก้วร้อยเมตร เพราะว่านัดขึ้นรถกันที่นั่น ปรากฏว่ารถทุกคันหายไปนานแล้ว..! สรุปก็คือหลวงพี่ฐิติเป็นพระรูปเดียวที่ไปจันทบุรีด้วยกระเป๋า เพราะเอากระเป๋าขึ้นรถไปก่อน ส่วนตัวก็อยู่ที่วัด อีก ๕ วันเพื่อนค่อยเอากระเป๋ามาคืนให้..!

บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน อะไรที่ล่าช้าหรือว่ารกรุงรังจะไม่เอา ดังนั้น..ก็เลยทำอะไรเร็วกว่าคนอื่นเขา เป็นเรื่องที่สามารถสังเกตได้ ถ้าในระยะเวลาเท่ากัน เราอาจจะทำงานได้แค่ ๑ แค่ ๒ อย่าง แต่คนจะไปพระนิพพานอาจจะทำได้ถึง ๗ - ๘ อย่างไปแล้ว

เถรี 25-07-2025 00:52

อยากจะบอกว่าสิ่งที่เราทำ คำที่เราพูด ใจที่เราคิด มีผลต่อการปฏิบัติธรรมของเราทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าแต่ละบุคคลนั้น สร้างบารมีหรือว่ากำลังใจมาไม่เท่ากัน ทำให้มีปัญญามากน้อยต่างกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บางท่านแม้ว่าเพิ่งจะปฏิบัติธรรม แต่ว่าก้าวหน้าเร็วมาก เพราะว่าคิดดี พูดดี ทำดี ความดีทั้งหมดจึงหนุนเสริมกัน ให้มีความก้าวหน้ากว่าคนอื่นเขา

พวกเราส่วนหนึ่ง
สิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำขัดกันเอง อย่างเช่นเราปฏิญาณตนว่า "ขอมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แต่พอลำบากนิดเราก็ถอย ลำบากหน่อยเราก็ท้อ ดังนั้น..ถ้าใครก็ตามที่ความคิด คำพูด และการกระทำขัดกันเอง สิ่งที่เราจะพึงได้ก็จะยากกว่าคนอื่น เหมือนกับไม่มีอะไรจะทำก็เตะสกัดตัวเอง..!

เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ใช่คนช่างคิดช่างพิจารณาจะมองไม่เห็น มักจะคิดว่าเราคิดถูก พูดถูก ทำถูกอยู่เสมอ ลักษณะอย่างนั้นภาษาบาลีเรียกว่าวิปลาส ก็คือผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง อย่างเช่นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง..เราเห็นว่าเที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์..เราเห็นว่าไม่ทุกข์ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน..เราก็ไปยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา

วิปลาสเหล่านี้ยังมีอีกมาก อย่างเช่นว่าปกติของร่างกายมีความสกปรก ประกอบประกอบไปด้วยทวารทั้ง ๙ มีแต่สิ่งสกปรกหลั่งไหลออกมาตลอดเวลา ต้องคอยชำระล้างให้สะอาดอยู่เสมอ แต่เราก็ไปเห็นว่าเป็นของสะอาด สิ่งที่ไม่สวยไม่งาม เราเห็นว่าสวยงาม เนื่องเพราะว่าปัญญาไม่ถึง โดนกิเลสหลอกให้หลง ๒ ชั้น ๓ ชั้น บางทียังทำให้เราพลอยยินดีปลาบปลื้มใจอีก อย่างเช่นมีคนทักว่าสวยขึ้น ซึ่งความจริงต้องใช้คำว่าสวยลง..!

เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่ต้องใช้ความละเอียดของจิตเข้าไปพินิจพิจารณาเป็นอย่างมาก การปฏิบัติธรรมจึงขาดวิปัสสนาญาณไม่ได้ เพราะว่าถ้าขาดเมื่อไร เราก็จะไม่เห็นความเป็นจริง ถ้าขาดสมาธิคือสมถะ ถึงเห็นความเป็นจริงสภาพจิตก็ไม่ยอมรับ จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่กันไป ไม่ใช่ทำเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

เถรี 25-07-2025 00:57

คราวนี้การที่เราจะทำควบคู่กัน ถ้าหากว่าต้องการใช้ได้ทุกเวลาในชีวิตประจำวัน ก็ต้องพยายามพิจารณาให้เห็นธรรมชาติรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุ สิ่งของต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และเสื่อมสลายตายพังไปในที่สุด มองไปทางไหนก็เห็นเป็นอย่างนี้ ก็คือจะเห็นว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็ได้ จะเห็นว่ามีแต่ดับมีแต่พังสลายไปก็ได้ จะเห็นว่าเป็นทุกข์ เป็นภัย เป็นของน่ากลัวก็ได้

แต่คราวนี้เห็นแล้วใจเรายอมรับอย่างแท้จริงหรือไม่ ? บางคนสลดใจแค่ ๑ - ๒ นาทีแล้วก็กลับไปยึดมั่นถือมั่นเหมือนเดิม บางคนสามารถดึงตัวห่างออกมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็หลงกลกิเลส ย้อนกลับไปหาใหม่ อยู่ในลักษณะเบื่อ ๆ อยาก ๆ ประมาณว่าดีชั่วรู้หมดแต่อดไม่ได้..!

ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส เพียงแต่ว่าเราต้องไม่ประมาท ระลึกอยู่เสมอว่าลมหายใจนี้อาจจะเป็นลมหายใจสุดท้ายของเราก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงเป็นผู้ไม่มีวันพรุ่งนี้ มีเฉพาะวันนี้ หรือว่ามีเฉพาะเดี๋ยวนี้ เราจึงต้องทำวันนี้หรือว่าทำเดี๋ยวนี้ของเราให้ดีที่สุด คำว่าดีที่สุดก็คือเต็มกำลังกาย เต็มกำลังใจ เต็มกำลังสติปัญญา หรือว่าถ้าต้องอาศัยภายนอกก็เต็มกำลังคน เต็มกำลังทรัพย์ด้วย

คาดว่าทุกท่านคงไม่เคยทุ่มเทจนเต็มกำลังอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ เรื่องเพราะว่าฆราวาสถ้าบรรลุมรรคผลก็มักจะสิ้นชีวิตภายใน ๗ วัน อันนี้ตำราบอกไว้ แต่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านบอกว่า ที่ท่านเจอมา ฆราวาสบรรลุมรรคผลกลางวัน ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ฆราวาสที่บรรลุมรรคผลกลางคืน ไม่มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้น มักจะโดนตัดให้ตายไปเสียก่อน..!

เถรี 25-07-2025 00:58

พูดแค่นี้หลายคนเริ่มหวาดเสียว กลัวว่าตัวเองจะตาย ซึ่งจะว่าไปแล้วท่านทั้งหลายก็ยังมีความกลัวเป็นปกติ เราก็ต้องซักซ้อมการตายไว้เสมอ ๆ

ตื่นเช้าขึ้นมาทำกรรมฐานให้เต็มที่ แล้วลองถามตัวเองว่า คนที่เรารักมีหรือไม่ ? ของที่เรารักมีหรือไม่ ? ทรัพย์สมบัติที่เราห่วงใยมีหรือไม่ ? ถ้าให้ตายลงไปตอนนี้พร้อมหรือไม่ ? ให้กำลังใจตอบตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่ข้อนี้ต้องตอบว่าไม่ถึงจะถูก แล้วเราก็ตอบตามนั้น ถ้าลักษณะแบบนั้นจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าไม่ใช่กำลังใจที่แท้จริงของตนเอง

ขอฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับพวกเราว่า
เรายังมีความรักความห่วงใยร่างกายนี้ ตลอดจนกระทั่งผู้คน สิ่งของรอบข้างหรือไม่ ? ถ้ามีก็พยายามสลัดตัดทิ้งไปให้เหลือน้อยที่สุด ถึงเวลาจะได้มีความคล่องตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ลำดับต่อไปให้ทุกคนตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานแล้วเข้าสู่การปฏิบัติธรรมช่วงบ่ายกัน

เถรี 26-07-2025 00:38

ก่อนทำวัตรเย็น วันศุกร์ที่ ๑๑ กรกฏาคม ๒๕๖๘


เวลาเห็นคนอื่นเขาตื่นเต้นยินดีแล้วยังคิดว่าตัวอาตมาตายด้านหรือเปล่า ? พอดูอาการแล้วก็น่าจะตายด้านจริง ๆ นั่นแหละ..!

ในเรื่องของยศของตำแหน่ง อาตมภาพไม่เคยดิ้นรนอะไร เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์ไม่เคยสอนให้กอบโกยเรื่องอื่นใส่ตัว ท่านให้แต่ธรรมะเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นถือเป็น "ยศช้างขุนนางพระ" เขาให้มาก็รับไว้ เขาไม่ให้ก็แล้วไป

อาตมาก็ประพฤติอย่างนี้มาตลอด ก็แปลว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มา แม้กระทั่งตำแหน่งต่าง ๆ ๓๐ กว่าตำแหน่ง ได้มาเพราะผู้บังคับบัญชาเห็นว่าสมควร แม้แต่สมณศักดิ์ครั้งแรกก็ไม่ได้ขอ ตอนนั้นหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอ ท่านเคยทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะอำเภอมาก่อน แล้วพวกเราคนขี้เกียจไม่อยากมีภาระ ก็ช่วยกันดันท่านขึ้นไปเป็นรองเจ้าคณะอำเภอ ท่านบอกว่า "หลวงพ่อช่วยสแกนลายเซ็นให้ผมหน่อย ผมจะทำเรื่องขอสัญญาบัตรให้"

ก็ยังบอกกับท่านไปว่า "ให้คนอื่นเขาไปสิ ผมไม่จำเป็นต้องมีอะไรหรอก เป็นแค่ "อาจารย์เล็ก" เป็นแค่ "หลวงพ่อเล็ก" ก็ทำงานเป็นปกติอยู่แล้ว" ท่านบอกว่า "ไม่ได้ครับ พอถึงเวลาส่งชื่อคนอื่นไป แล้วผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองท่านถามว่า..แล้ววัดท่าขนุนอยู่ที่ไหน ?" โดนกดดันมาก ก็เลยต้องทำเรื่องขอให้

แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ เนื่องเพราะว่าแต่ละอย่างไม่ได้ขอ แต่ลงวาระที่เหมาะสมทุกครั้ง สัญญาบัตรครั้งแรกเป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท ได้ปีที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา อย่างรางวัลวันเสาเสมาธรรมจักรผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ได้รับจากกรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตอนนั้นท่านยังเป็นสยามบรมราชกุมารีเท่านั้น ได้รับปี ๒๕๕๕ ปีพุทธชยันตี ก็คือเป็นปีที่ ๒,๖๐๐ พอดี แล้วท้ายที่สุดทุกอย่างก็ค่อย ๆ ลงตัวไปเรื่อย ไม่ดิ้นไม่รน ใครทนไม่ไหวเดี๋ยวเขาก็ให้มาเอง เพราะว่าสิ่งที่ได้มาก็เป็นภาระ..!

เถรี 26-07-2025 00:42

ญาติโยมจะเห็นว่าในศาลานี้ไม่มีรูปอาตมาเลย ยกเว้นตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้ ขณะเดียวกันไปบางวัดติดเสียทุกเสาเลย เพื่อนฝูงเขาถามว่า "ทำไมอาจารย์เล็กไม่ติดรูปตัวเองบ้าง ?" ตอบไปว่า "ผมไม่ชอบเยี่ยวรดต้นเสา" ฟังเข้าใจไหม ? คือมีอะไรบางอย่างที่พอถึงเวลาต้องทำเครื่องหมายว่า "นี่เป็นของกู" แล้วก็ยกขาเยี่ยวรดใส่..!

คราวนี้ความคิดคนไม่เหมือนกัน บางท่านก็ติดรูปตัวเองเสียทุกซอกทุกมุม ในวัดในวาของเราสิ่งที่ควรติดก็คงจะเป็นรูปพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ ไม่ใช่รูปตัวเอง อาตมาภาพคิดอย่างนี้

เพราะฉะนั้น..ญาติโยมจะเห็นว่าอาตมภาพสร้างวัตถุมงคลมาหลายปียังไม่มีรูปตัวเอง เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก มีคนเขาถามว่า "ทำไมไม่ออกเหรียญรุ่นแรก ?" บอกเขาไปว่า "เกรงว่าความดียังไม่พอ" คนที่ขึ้นหิ้งให้เขาบูชาแล้วความดีไม่พอนี่ แหม..น่าเกลียดมาก..!

อาตมภาพไปช่วยตุ๊พ่อสิงห์ท่านสร้างพระจุฬามณีที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ตอนนี้เสร็จแล้ว ท่านขอพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุ แล้วก็คงไม่แคล้วอาตมาต้องไปเป็นประธานบรรจุให้กับท่าน ยังเสียว ๆ อยู่เหมือนกันว่าอายุ ๖๗ ปี นี่ขึ้นบันไดสูง ๆ ยังไหวไหม ? มีแต่คนเขาเห็นว่าอาตมายังไม่แก่ ส่วนเจ้าตัวนั้นรู้ว่าตัวเองโคตรแก่เลย..!

เดี๋ยวพวกเราทำวัตรก่อน อาตมาจะไปอัญเชิญพระบรมรสารีริกธาตุให้กับทางวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่

เถรี 26-07-2025 20:42

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑๒ กรกฏาคม ๒๕๖๘



เป็นอย่างไร..ที่เหลือหายไปไหนกันหมด ? โดนฝนละลายไปใช่ไหม ? เรื่องของกิเลส มารยาสุด ๆ ถ้าผ่อนผันอะไรให้แม้แต่ครั้งเดียว ครั้งต่อไปจะบอกว่า "คราวที่แล้วยังได้เลย" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องเข้มงวดกับตัวเอง ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเสียท่ากิเลสอยู่ร่ำไป ภาษาบาลีเขาว่า ปุนัปปุนัง คือ ไม่รู้จักแล้วจักเลิก

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของการตรงต่อเวลาก็ดี กินน้อยนอนน้อยเพื่อปฏิบัติให้มากก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น ไม่อย่างนั้นแล้วเราก็จะโดนกิเลสจูงจมูกอยู่เรื่อย ๆ สภาพจิตก็จะหยาบขึ้น มืดบอดมากขึ้น ขนาดที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักพิจารณา ไม่รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร

อย่างการใส่บาตรเมื่อเช้า คนอื่นเขาเข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย พวกนี้ยืนขวางแถวพระเลย ประมาณว่าใส่บาตรเสร็จแล้วพระจะไปทางไหนก็เรื่องของพระ แต่กูจะยืนตรงนี้ แล้วอาตมาเองก็เป็นคนไม่หลีกใครเสียด้วย จึงเดินชนไปเลย..!

อีกประเภทหนึ่งก็ไม่ยอมถอดรองเท้า พอบอกให้ถอดรองเท้า ยังมีข้อแก้ตัวสารพัด ประมาณว่า "ถ้าถอดเดี๋ยวบิดามารดาจะสิ้นชีวิต..!" "ถอดแล้วกิจการจะล่มจม..!" อะไรประมาณนั้น อาตมาเองก็ขี้เกียจฟัง ส่วนใหญ่ก็เดินเลยไป ไม่ถอดรองเท้าก็ไม่ต้องใส่บาตร..!

ในเมื่อสภาพจิตหยาบ มืดบอด ความเป็นมิจฉาทิฐิเข้าถึงได้ง่าย โอกาสที่จะพลิกฟื้นก็ยากเต็มทีแล้ว เพราะว่าเรื่องของกิเลส พอถึงเวลาก็จะมีข้ออ้าง แล้วพอมีข้ออ้างทีหนึ่ง ถ้ากำลังใจเราไม่เข้มแข็งพอ ก็ไม่ต้องผุดไม่ต้องเกิดกัน..!

จึงเป็นอะไรที่น่าหนักใจมากว่า พุทธศาสนิกชนของบ้านเรา มักจะ
เอาความมืดบอดมาแทนปัญญา ความโง่เขลามาแทนศรัทธา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปโทษใคร เนื่องเพราะว่าตัวเองทำตัวเอง เมื่อทำตัวเองก็คงไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเราได้..!

เถรี 26-07-2025 20:45

วันนี้ช่วงเช้าเราปฏิบัติธรรมกันตามปกติ หลังจากเลิกแล้ว ช่วงบ่ายขอเวลาสำหรับงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศฯ ก็แปลว่าวันนี้เราปฏิบัติธรรมเฉพาะช่วงเช้า

คราวนี้พอมีงาน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ดูใจตัวเองด้วยว่าเรารักษากำลังใจได้ไหม ? ฟุ้งซ่านไปกับคนหมู่มาก หรือว่านิ่งสงบได้เหมือนอย่างกับอยู่คนเดียว นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ทำได้ก็จะหลุดหายหมดตอนงานนี่เอง..!

โยมจะเลียนแบบอาตมภาพไม่ได้หรอก เพราะว่าของอาตมานี่กดปุ่มสั่งได้ ก็คือของบางอย่างในจำนวนคนมาก ๆ ด้วยกัน ถ้าไม่ดุ ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่กล่าว ระเบียบก็จะไม่มี แต่ถ้าจะดุ จะด่า จะว่า จะกล่าว ต้องระวังกำลังใจตัวเองด้วยว่า เราเกิดโทสะขึ้นมาหรือไม่ ? ถ้าเกิดโทสะขึ้นมา วางกำลังใจเป็นกลางไม่ได้ เราจะเสียผลเอง

โยมส่วนใหญ่แล้วดูไม่ออก มองไม่เป็น สู้หมายังไม่ได้ หมาของอาตมาตวาดด่าปุ๊บ..มันเลียแผล็บ..! รู้ว่าด่าแต่ปาก อยากด่าก็ด่าไป เดี๋ยวเจ้านายก็ต้องเลี้ยงเราเอง เพราะฉะนั้น..ในเมื่อหลาย ๆ อย่าง
เราสู้หมาไม่ได้ ก็ต้องพยายามทำ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเป็นเจ้านายหมาไม่ได้ เป็นได้แค่ "ทาสหมา" เท่านั้น หรือส่วนใหญ่เป็นอยู่แล้ว ?

อาตมาก็เป็น "ทาสหมา" ไปเกินครึ่งแล้ว แต่ละเดือนค่ารักษานี่หลายหมื่นบาท มีอยู่สองเดือนก่อนกระมัง ? จ่ายค่าผ่าตัดให้หมา ๓๐,๐๐๐ กว่าบาท ผ่าได้สองวันตาย..! ถ้าหมาตายก่อนหน้านั้น อาตมาก็ไม่ต้องเสียเงินแล้ว..!

ตอนแรกพระที่ท่านพาหมาไปหาหมอก็บอกว่า "หมอไม่รับรอง เพราะว่าสภาพหมาป่วยมานาน โทรมมาก ไม่สามารถจะหาเลือดหมามาเติมให้ได้ เพราะฉะนั้น..ถึงผ่าตัดไปก็มีสิทธิ์ตายมากกว่ารอด..!" ก็เลยบอกไปว่า "ชีวิตทุกรูปทุกนามไม่มีใครอยากตายหรอก เพราะฉะนั้น..รักษาไปให้เต็มที่ ได้เท่าไรก็แค่นั้น" แหม..ได้สองวัน..!

นี่ถ้าอาตมาเป็นหมาตัวนั้นนี่ด่าเลย "ผ่ากูเจ็บแทบตาย ไม่หาย..แถมยังตายเหมือนเดิม..!" พวกเราถ้าเคยพาหมาไปหาหมอแล้วจะรู้ หมากลัวหมอเหมือนกับคนนี่แหละ พอถึงเวลาจะฉีดยานี่สั่นไปทั้งตัวเลย แล้วหมารู้ได้อย่างไรว่านั่นคือเข็มฉีดยา ? ถึงเวลาต้องปิดตาไว้ไม่ให้ดู ไม่อย่างนั้นเห็นเข็มแล้วหมากลัวมาก..!

เถรี 28-07-2025 01:25

เรื่องของการกลัวทุกอย่างคือกลัวตาย อาตมาตามดูเรื่องตายอยู่เรื่องเดียวเป็นปี ๆ อยากรู้ว่ากลัวเพราะอะไร ? ท้ายที่สุดสรุปได้ว่าทุกอย่างที่กลัวคือกลัวตาย..!

กลัวหิว กลัวอด หิวมาก ๆ อดมาก ๆ..ตาย กลัวอ้วน อ้วนแล้วไม่สวย ไม่มีคนรัก นั่งซึมเศร้า เฉา..ตาย เชื่อเถิดทุกอย่างลงตรงตายหมด ตามดูมาเยอะแล้ว กลัวจิ้งจก จิ้งจกโดดเกาะ ยี้..ขยะแขยง..ขาดใจตาย ตามดูจนกระทั่งเลิกกลัวไปเอง พอเห็นว่าจริง ๆ แล้วทั้งหมดอยู่ตรงกลัวตาย ก็เลยเลิกกลัวไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?!

ตอนเด็ก ๆ กลัวผีมาก กลัวชนิดที่ว่ากลางคืนไม่กล้าออกไปปัสสาวะนอกบ้าน แถวบ้านนอกสมัยนั้นขุดส้วมไว้ท้ายไร่โน่น กว่าจะเดินไปถึงก็หิวข้าวแล้ว บางทียังตัดสินใจว่า "วันนี้จะขี้ดีไหม ?" เพราะเดินไปกว่าจะถึงก็หิวใหม่แล้ว..!

สมัยก่อนเป็นส้วมหลุมไม่ใช่ส้วมซึม ในเมื่อเป็นส้วมหลุมถ้าอยู่ใกล้บ้านก็ดมกลิ่นทั้งวัน ต้องไปขุดไว้ไกล ๆ บ้าน แล้วพยายามให้อยู่ด้านใต้ลมเอาไว้ โดยเฉพาะต้องดูทิศเหนือทิศใต้ไว้ให้ดี ให้กลิ่นออกนอกบ้านไป ถ้าหากว่าหน้าหนาวลมเหนือจะมา ถ้าหากว่าหน้าร้อนลมตะวันออกจะมา ก็แปลว่าด้านที่ไม่สามารถจะขุดส้วมได้เลยก็คือเหนือกับตะวันออก ก็ต้องไปโน่น ตะวันตกเฉียงใต้ ปรากฏว่าโบราณกับปัจจุบันตรงกันที่ว่า ปัจจุบันนี่สร้างตึกเขาก็บอกให้สร้างส้วมไว้ด้านตะวันตก เพราะว่าแดดบ่ายจะได้ช่วยเผาช่วยอบ ทำให้ส้วมสะอาดขึ้นส่วนหนึ่ง

เถรี 28-07-2025 01:28

จังหวัดสุพรรณบุรีก่อนหน้านี้เป็นป่าใหญ่ ถึงเวลาก็มีการจับช้างส่งเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเป็นช้างศึกใช้ในการรบ เขาก็มี "ด่านช้าง" มี "คอกช้าง" มี "ประตูสาร" คำว่า "สาร" ในที่นี้ก็คือคชสาร คือช้าง

แล้วก็มี "ท่าช้าง" ที่แม่น้ำสุพรรณ ต่อแพใหญ่ ๆ เอาช้างขึ้นแพ ล่องมาตามแม่น้ำสุพรรณ เข้าคลองงิ้วราย มาถึงเจ้าพระยา ขึ้นที่ "ท่าช้าง" เกิดไม่ทันนึกภาพไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้น..สุพรรณบุรีเขามีด่านช้างมีอะไรก็เป็นเรื่องปกติ

ถ้าดูเรื่องขุนช้างขุนแผน สมเด็จพระพันวัสสาไปล่าสัตว์ที่อู่ทอง เขาถึงได้มีคำโบราณลักษณะเหมือนอย่างกับคำขวัญว่า "ช้างป่าต้น คนสุพรรณ" ป่าต้นก็คือป่าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสล่าสัตว์ ประพาสต้น

สมัยหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง มาซื้อไม้เพื่อไปทำวัด ไปสร้างโบสถ์ สร้างศาลา ก็มาซื้อที่อู่ทอง จากอยุธยาเดินลัดทุ่งมาประมาณหนึ่งวันจะมาตรงบ้านไร่รถ สุพรรณบุรี ปักกลดนอนหนึ่งคืน รุ่งขึ้นเดินต่อถึงอู่ทอง ไม่ใช่ทางรถยนต์ เป็นทางเดินป่า เดินลัดทุ่งไป

สมัยก่อนเขาก็แค่ดูทิศ ถามทางถามหมู่บ้านแล้วก็เดินลัดไป ไม่ต้องห่วง ถ้าไม่ใช่ประเภทไปกัน ๔ - ๕ คน และพกปืนไปด้วย ถามทางมีแต่คนเขาเต็มใจบอก สมัยก่อนเขาถือว่าเป็นการสร้างบุญอย่างหนึ่ง อำนวยความสะดวกให้กับคนอื่น ในเมื่อใจคนอยู่กับบุญอยู่กับกุศล ก็เลยทำให้ผู้คนมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่ใช่ถามว่า "ไปไหนมา ?" แล้วตอบว่า "สามวาสองศอก" ก็คือหมายถึงพวกพูดไม่รู้ภาษา ถามอย่างตอบอย่าง

เดี๋ยวพวกเราปฏิบัติธรรมกันตามปกติ จะมีพระไปมีใครมาไม่ต้องสนใจ ย่างหนอ เหยียบหนอ ของเราไปเรื่อย ถ้าเขาขวางก็เหยียบหนอแรง ๆ หน่อย..! ตั้งใจสมาทานพระกรรมฐานกัน

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา ๒๕๖๘ ณ วัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ - วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:12


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว