![]() |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ปัญหานี้อิสลามถามอาตมามาแล้ว ครั้งนั้นนั่งรถไฟไปสายใต้ด้วยกัน ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นอิสลาม เพราะเขาแต่งตัวเหมือนคนทำงานบริษัท นั่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงเขาก็ยกมือไหว้ "อาจารย์ครับ..ผมเป็นอิสลาม ทางพระพุทธศาสนามีหลักการปฏิบัติหรือหลักธรรมอะไรที่ช่วยให้หมดทุกข์ได้บ้าง เพราะตอนนี้ผมมืดแปดด้าน แก้ความทุกข์ตัวเองไม่จบ" อาตมาจึงอธิบายให้เขาฟัง เขาเกิดศรัทธาอย่างไรก็ไม่รู้ สั่งอาหารมาเลี้ยง อาหารบนรถไฟมีข้าวต้มกับอาหารฝรั่ง อาตมาบอกว่า "เอาอาหารฝรั่งมาแล้วกัน เพราะอย่างน้อยก็มีขนมปังคู่หนึ่ง แต่ของโยมเขาไม่ต้องเอาหมูแฮมมา" ปรากฏว่าตู้เสบียงกลัวเขาจะขาดทุน เอาหมูแฮมมาจนได้ พอมาถึงเขาก็นั่งมองตาปริบ ๆ อาตมาจึงเอาส้อมจิ้มหมูมาไว้จานตัวเอง บอกว่า "ที่เหลือคุณกินไปก็แล้วกัน" ไปสายใต้บางทีก็เจออะไรที่ตลกมาก อย่างโยมที่เป็นการ์ดรถ มีหน้าที่ดูแลรถแต่ละตู้ เขาก็บอกว่า "เช้านี้ผมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารนะครับพระอาจารย์ พระอาจารย์ฉันเนื้อหมูได้ไหมครับ ?" อาตมาได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ นี่เขาเห็นอาตมาเป็นอิสลามมาบวชใช่ไหมนี่ ? เนื่องจากเขาเองอยู่สายใต้ เขาถามผู้โดยสารเสียจนชิน แต่เขาลืมดูไปว่าอาตมาห่มจีวรมา |
เนื่องจากมีคนพิการมาที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ถ้าหากบุคคลพิการมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เขาสามารถที่จะพัฒนาส่วนอื่นขึ้นมาใช้งานแทนได้ อย่างเด็กฝรั่งคนหนึ่งเกิดมาไม่มีแขนเลย แต่เขาใช้เท้าทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ โดยเฉพาะตอนกินไอศกรีมช็อกโกแลต น่าอิจฉามากเลย เขาใช้เท้าคีบ ดูแล้วมีความสุขมาก
ก่อนหน้านี้ก็มีคุณจุ๋ม คุณจุ๋มไปวัดท่าซุงเป็นประจำ นั่งรถเข็นไป เพราะเป็นโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดีมาก ร่าเริงเบิกบานได้ทั้งวัน เขาไม่รู้สึกว่าตนเองพิการเพราะไปไหนมาไหนได้ อย่างเวลาขึ้นรถสองแถว อาตมาก็คิดว่าเขาจะขึ้นได้อย่างไร ? แต่ที่ไหนได้ เขาใช้มือหนึ่งเหนี่ยวตัวเองขึ้นรถ ส่วนอีกมือหนึ่งหิ้วรถเข็นขึ้นตามไป เราเองมือเดียวไม่รู้จะยกไหวหรือเปล่า ? ตกลงเขาไม่ต้องพึ่งใครเลย ไปได้สบาย การที่เราเกิดมามีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเราสร้างกรรมดีแต่เดิมมาเพียงพอแล้ว จึงต้องใช้ให้คุ้มกับความดีที่เราทำมา อย่าเป็นอย่างที่โบราณเขาบอกว่า "เสียชาติเกิด" เกิดมาแล้วไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำความดียังพอทน กลับไปทำความชั่วอีกต่างหาก ถ้าอย่างนั้นกลายเป็นซ้ำเติมตัวเองมากขึ้น ชาติต่อไปอาจไม่ได้เกิดเป็นคน แต่ไปลงอบายภูมิแทน เพราะฉะนั้น..แม้ว่าบุคคลสภาพร่างกายจะพิการ แต่ถ้าสภาพจิตมุ่งมั่นอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เกิดใหม่เขาดีกว่าเราแน่นอน เรื่องเหล่านี้เราดูเปลือกนอกไม่ได้ ต้องดูใจเขา กำลังใจเป็นอย่างไร ถ้าเป็นเราก็มานั่งตัดพ้อต่อว่าตัวเอง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ? เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ทำไมเป็นแค่เราคนเดียว ? แบบนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด" |
ถาม : ...เป็นเนื้องอกในสมอง ?
ตอบ : ลักษณะนั้นต้องทำใจอย่างเดียวจ้ะ ทำใจให้สบาย ถึงเวลาเราก็รับ อาตมาเองเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ พอใกล้หายจะมีภาพนิมิตบอกให้รู้ว่าไปทำอะไรมาแล้วถึงเป็น ดังนั้น..โยมที่เจ็บป่วยอยู่ให้รู้ไว้เลยว่า ในอดีตเราต้องไปทำไม่ดีมาแน่นอน ถึงเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเสียใจ ไม่ต้องไปน้อยใจ เพราะส่วนใหญ่เราทำเขาถึงตาย เขาทำเราได้ถึงพิการถือว่าดีมากแล้ว ช่วงที่อาตมาทุ่มเททำรายงานส่งอาจารย์สามวันสามคืน พอสบายใจที่งานเสร็จแล้วจึงไปล้างหน้า เตรียมสวดมนต์ทำวัตร ตั้งใจว่าทำวัตร บิณฑบาต ฉันเช้าแล้วจะนอนให้ยันเย็นเลย แต่ตอนที่ล้างหน้าอยู่ เส้นหลังจมกึ้ก..! เส้นจมชนิดปวดแทบขาดใจ ยืดตัวไม่ขึ้น ก็เลยเดินเอียง ๆ ไปทำวัตร หลังทำวัตรบอกกับพระท่านว่า "ใครมีความสามารถ ช่วยมานวดผมหน่อย เส้นหลังผมจม ผมปวดจนกระดิกไม่ได้" พระท่านก็มานวดให้ อาตมาบอกว่า "เส้นหลังเส้นนี้จมให้กดด้านหน้าตรงนี้แล้วจะขึ้น" พระที่ท่านเชื่อฟังมาตลอด วันนั้นเกิดไม่ฟังขึ้นมาเสียอย่างนั้น ท่านไปกดแต่ข้างหลังตรงที่เจ็บ ยิ่งกดก็ยิ่งเจ็บหนักขึ้น ท้ายสุดเห็นว่าท่านไม่ทำตามที่บอก จึงบอกให้ท่านเลิกนวด เพราะยิ่งกดก็ยิ่งเจ็บ จึงทนกัดฟันเดินเอียงข้างไปบิณฑบาต กลับมาบอกกับน้องเล็กว่า "โทรเรียกป้ามิดให้หน่อย บอกว่าเส้นจมจะให้มานวด" ป้ามิดเป็นคนมอญ เขานวดเก่ง ฉันเช้าเสร็จแล้ว เราถามน้องเล็กว่า "ตกลงป้ามิดจะมากี่โมง ?" น้องเล็กก็ยืนเอ๋อ "อะไร..ให้เรียกป้ามิดด้วย ?" นี่วาระกรรมที่ยังไม่เปิด สั่งไปแล้วเขายังลืมหรือคิดว่าพูดให้ฟังเฉย ๆ พอโทรไป ปรากฏว่าป้ามิดบอกวันนี้ไม่นวด เพราะพวกมอญพม่าเขาจะถือวันลอยวันจมกัน ถ้าเป็นวันไม่ดีของเขา เขาจะไม่ทำงาน |
อาตมาก็บอกว่าให้เรียกหมอเทียนมา ปรากฏว่าหมอเทียนไม่ว่าง เพราะไปไร่ จึงต้องนอนทนเจ็บจนถึงวันรุ่งขึ้น ปวดอยู่วันหนึ่งกับอีกคืนหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นป้ามิดมา อาตมาชี้บอกป้าว่าเส้นสะบักหลังจม ให้กดเส้นคอด้านหน้าให้ที ป้ามิดก็ไม่ทำตาม ป้าเขาบอกว่า "จมข้างหลังต้องดึงข้างหลังเท่านั้น" รู้ดีกว่าอีกแน่ะ..! ป้ามิดแกดึงเส้นอย่างกับหนังสติ๊ก จับได้ก็กระชาก ยิ่งดึงก็ยิ่งจม อาตมาปวดแทบตาย ในเมื่อป้าช่วยไม่ได้ ก็บอกป้าว่า "ป้าพอเถอะ เสียเวลาฉันว่ะ" แม่ชีเห็นสภาพนี้มาสองวันแล้ว ตอนฉันเพลแม่ชีจึงส่งยาให้กำหนึ่ง บอกว่าเป็นยาแก้ยอก ยาแก้ยอกที่พวกมอญพม่าเขานิยมกันนักหนา ความจริงเป็นยาคลายเครียด ตอนนั้นอาตมาเห็นว่ายาแก้ยอก คิดว่าเข้าท่า จึงถามว่ากินแล้วง่วงไหม ? เพราะจะทำงาน แม่ชีบอกว่าไม่ง่วงหรอกเพราะกินประจำ ฟังให้ดีนะประโยคนี้ แกกินประจำ แกเลยไม่ง่วง แต่พออาตมากินลงไปไม่ถึง ๕ นาที สลบหัวไถพื้นเลย ตอนที่เกือบสลบนั่นแหละที่ไปเห็นภาพในอดีตเข้า |
เห็นภาพว่าตัวเองเป็นทหาร กำลังรบกับฝ่ายตรงข้ามอยู่ ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกน้องต้องมาล้มตายเพราะตน ก็เลยท้าดวลกับแม่ทัพของฝั่งตรงข้าม เขาออกมา ๕ คน เป็นพ่อลูกกัน ส่วนของอาตมาก็คนเดียว..!
ตอนช่วงนั้นใจคิดวางแผนรบไว้เรียบร้อยเลยว่าจะทำอย่างไร เริ่มจากพุ่งเข้าหาขุนทัพตัวพ่อก่อน เขาใช้ขวานสองหน้าซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็บังตัวเกือบมิด ส่วนอาตมาใช้ทวน แค่ขนาดอาวุธก็เทียบกันไม่ได้แล้ว แต่สำคัญตรงที่ว่า ถ้ารู้เคล็ดลับเรื่องการใช้แรงก็จะได้เปรียบ พอพุ่งเข้าใส่เขาก็สวนมาด้วยขวาน อาตมารั้งม้ารอจังหวะที่เขาฟันลงมาจนเกินครึ่งค่อยออกทวน จังหวะที่ขวานฟันลงมาครึ่งแรก แรงปะทะจะมาก แต่ครึ่งหลังขวานจะเป็นตัวถ่วง พอออกทวนเท่ากับชักนำขวานที่ออกตัวอยู่แล้วให้ผิดทิศไป จนกระชากเขาเซไปทั้งคนทั้งม้า พอเขาเซไปอาตมาก็กระชากม้ากลับ คนแรกที่อยู่ใกล้ที่สุดโดนเลย แทงด้วยทวนเข้าคอหอยพอดี..! ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่ตะลึงอยู่ อาตมาอาศัยจังหวะนั้นเหน็บทวนไว้ข้างขา เพราะเท้ากับโกลนติดกันอยู่ หนีบทวนไว้แล้วดึงเกาทัณฑ์ขึ้นมา เอี้ยวตัวยิงอีกฝ่ายที่กำลังล้อมเข้ามาด้านหลัง โดนคนหนึ่งเข้าเต็ม ๆ ตรงซอกคอทางขวาตกหลังม้าไป แต่เท้าเขาติดอยู่กับโกลนม้า โดนม้าลากไปเป็นทาง รับประกันว่าตายแน่..! |
พอชักม้ากลับก็กระตุ้นม้าพุ่งเข้าปะทะคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งมาบังคนแรกที่เป็นพ่อไว้ รวบตัวได้แบบจับเป็น ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ก็ถอย เพราะว่าเพิ่งจะปะทะกันไม่เท่าไรก็ตายไปสองคนแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งโดนจับเป็นได้
พอเขาถอยไป ทหารของเราก็เอาศพฝ่ายตรงข้ามมาให้ดู สมัยนั้นถ้าไม่ตัดหัวมาก็จะหิ้วมาทั้งตัว อาตมาสำรวจศพ คนหนึ่งคอหอยโดนทวน คนหนึ่งโดนลูกเกาทัณฑ์เข้าตรงข้างคอตรงนี้ อาตมาก็เข้าใจทันที เพราะที่เจ็บก็คือตรงนี้พอดีเลย สิ่งที่ทำไว้ถึงเวลาเขามาเอาคืน เจ็บอยู่แค่สองวันแต่ทำเขาตายไปถึงสองศพ ดังนั้น..ในส่วนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแค่เศษกรรม เหมือนกับเป็นหนี้เขา ๒๐ ล้าน เขาขอคืน ๒๐ บาทก็ให้ไปเถอะ ถ้ายิ่งสามารถรู้ได้ว่าเราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร ใจก็จะสบาย ว่าที่แท้เราทำเขามาเยอะ เขาเอาแค่นี้ก็ให้เขาไป ฉะนั้น..ยถากัมมุตาญาณช่วยได้ดีมากเลย ดีตรงที่เรารู้ว่าสร้างกรรมอะไรไว้ ใจเราจะได้ยอมรับได้ เพราะเราทำเองเราถึงเจอ ลองอย่างอาตมาบ้างไหม ? เกเรเขาไว้มาก ตอนแรกหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกให้ไปปล่อยปลาทุกเดือน จะได้บรรเทากรรมตรงนี้ เพราะเกิดเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาไว้ทุกชาติ อาตมาก็มาคิดว่า กรรมของเราจะหนักขนาดนั้นเชียวหรือ ? พอป่วยเช้าป่วยเย็นถึงรู้ว่าหนักขนาดนั้นจริง ๆ ที่กล่าวมานี้เพื่อให้นึกถึงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว ถ้าหากถึงวาระ ไม่ว่าจะไปหลบอยู่ที่ไหนก็หนีกรรมไปไม่พ้น |
ถาม : ถ้าเรานึกถึงพระ แต่เป็นตอนที่พระกำลังทำไม่ดี เป็นสังฆานุสติหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นสังฆานุสติ แต่จะมีกิเลสมารคอยชักจูงให้เราออกนอกทาง ถ้าใจเราหมองตอนนั้นก็เสร็จเหมือนกัน ถาม : สังฆานุสติสำคัญตรงท่าทางที่เราจับได้หรือเปล่า ? ตอบ : สำคัญที่กำลังใจทรงไว้โดยปราศจากนิวรณ์รบกวน นึกถึงชื่อท่านก็ได้ นึกถึงหน้าตาท่านก็ได้ นึกถึงความดีท่านก็ได้ ถ้านึกถึงความดีได้ถึงจัดว่าเป็นสังฆานุสติจริง ๆ |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แปลว่ากำลังใจเรายังไม่ทรงตัวจริง ถ้ากำลังใจเราทรงตัวจริง กิเลสตัณหาต่าง ๆ จะแทรกไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เมื่อเราแผ่เมตตาทรงอารมณ์จนกระทั่งสบายใจแล้ว ให้ภาวนาต่อไปเลย ภาวนาจนเราสามารถทรงฌานอย่างน้อย ๆ ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป แล้วรักษากำลังนั้นไว้ พวกกิเลสตัณหาต่าง ๆ ที่เกิดจากราคะ โทสะ โมหะ จะเข้ามากวนเราไม่ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงกับผู้ชายนี่ลำบากมาก พอถึงเวลาเราเมตตาเขา สงเคราะห์เขา ตัวกูของกูต้องโผล่มาทันทีว่า "เขาต้องชอบเราแน่เลย" จากเมตตาก็กลายเป็นตัณหาไป ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีสติสัมปชัญญะก็ให้ความร่วมมือด้วย แทนที่จะพากันขึ้น ส่วนใหญ่ก็พากันลง ดังนั้น..ในเรื่องของผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าจะเมตตาสงเคราะห์กัน ต้องมีเส้นแบ่งของตัวเองไว้เสมอ สมัยก่อนตอนเป็นฆราวาสอยู่ เวลาอาตมาไปวัด จะมีน้องผู้หญิงไปด้วย ๘-๑๐ คนเป็นประจำ แต่อาตมาขีดเส้นไว้แน่นอนแล้ว ระบุไว้ชัดเลยว่า เธอจะให้เป็นพ่อก็เป็นให้ เป็นพี่ก็เป็นให้ เป็นน้องก็เป็นให้ เป็นลูกก็เป็นให้ แต่เป็นผัวเธอฉันไม่เอา..! ในเมื่อระบุไว้ชัด เขาก็ไม่กล้ามาตอแยทางนี้ เพราะฉะนั้น..ต้องมีเส้นที่แน่นอนของตัวเองอยู่ ถ้าไม่มีแล้วล้ำเส้นเมื่อไร สิ่งที่เราทำอยู่ก็จะเสียหายมาก |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ แล้วสำคัญเท่ากันทุกตัว แต่เขาพยายามสร้างสติให้ทรงตัวที่สุด เพื่อใช้สติควบคุมตัวอื่นให้เจริญ ในเรื่องของอินทรีย์ ๕ หรือพละ ๕ ก็ตาม ท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนรถม้าที่เทียมด้วยม้า ๕ ตัว ม้าที่ชื่อสติ จะนำหน้า ม้าที่ชื่อวิริยะกับสมาธิจะตีคู่กันไป ม้าที่ชื่อศรัทธากับปัญญาจะต้องตีคู่กันไป ถ้าศรัทธาเกินจะเป็นอธิโมกขศรัทธา ปัญญาไม่มีก็จะเชื่อแบบงมงาย ถ้าปัญญาเกินก็จะจด ๆ จ้อง ๆ ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิดพลาด ถ้าวิริยะความเพียรมากจนเกินไป สมาธิสูงเกินหนักเกิน จะพิจารณาวิปัสสนาญาณไม่ได้ เพราะฉะนั้น..ในส่วนของศรัทธากับปัญญาต้องเสมอกันเป็นคู่ที่หนึ่ง ในส่วนวิริยะกับสมาธิต้องเสมอกันเป็นคู่ที่สอง แต่ในส่วนของสติ ท่านบอกว่ายิ่งมีมากยิ่งดี ดังนั้น..ถ้าเราเห็นรถเทียมม้า ๕ ตัววิ่งไป ตัวสติจะนำหน้า ตามมาด้วยคู่ของวิริยะกับสมาธิ และคู่ของศรัทธากับปัญญา แต่ทั้งปวงแล้วต้องเป็นผู้มีปัญญาก่อน จึงจะเห็นว่าอะไรดีแล้วควรทำ หลังจากนั้นต้องประกอบไปด้วยศรัทธาจึงอยากที่จะทำ เมื่อทำดังนั้นได้แล้ว ก็ต้องมีวิริยะคือพากเพียรทำไปจนสมาธิทรงตัว สมาธิที่ทรงตัวนั้นแหละ สติก็จะเกิดขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น |
ดังนั้น..การปฏิบัติของเราจะต้องทำทุกอย่างให้เสมอกัน แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่พวกเราจะไปหย่อนเรื่องสมาธิ
บางท่านอธิบายไว้ว่า "ใช้แค่อุปจารสมาธิแล้วลดกำลังของตัวอื่นให้มาเสมอกัน เมื่ออินทรีย์เสมอกันความก้าวหน้าจึงจะมี" อาตมาไม่เห็นด้วย เพราะกำลังอุปจารสมาธิต่อต้านราคะกับโทสะไม่ได้ เราควรจะเร่งสมาธิไปจนถึงฌานสี่เลย แล้วดึงเอาตัวศรัทธา วิริยะ ปัญญาตามไปด้วย ถ้าทำอย่างนั้นได้เราจะระงับเรื่องราคะและโทสะลงได้ ตัณหาต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะกินใจเราได้ เพราะกำลังของเราสูงพอที่จะระงับยับยั้งเอาไว้ แล้วค่อยใช้ปัญญาไปพิจารณาตัดละเอาทีหลัง |
ถาม : เราสอนใครสักคน สอนเขาตามที่เราเข้าใจ และเราก็คิดตามไปด้วย จนเราทรงฌาน มีไหมครับ ?
ตอบ : มี..เพราะว่าสอนเขาแล้วเราได้ด้วย เท่ากับสอนตัวเอง ถาม : เป็นกิเลสไหมครับ? ตอบ : ถ้าอยากสอนจะเป็นกิเลส ถ้าสงเคราะห์เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เป็นไร ถาม : ก็คือสิ่งที่เราปรุงแต่งเอง ? ตอบ : จะปรุงแต่งแต่ก็เป็นในส่วนที่เราชำนาญ ถ้าเขาต่ำกว่าก็ลากเขามาเถอะ ถ้าเขาสามารถไปเหนือกว่าเราได้ ก็ถีบส่งไปเลย ถาม : ถ้าเรานึกถึงสิ่งที่เราทำมาบ่อย ๆ เราก็จะก้าวหน้า ? ตอบ : ไม่ใช่แค่นึก แต่ต้องซักซ้อมของเก่าเอาไว้เสมอ เราจะได้มีความชำนาญและคล่องตัวขึ้น ถ้าอย่างเรื่องสมาธิก็จะปรับมาเป็นฌานใช้งาน จะมีความเบาความสบาย ไม่หนักเหมือนสมาธิที่เราฝึกหัด ถาม : แล้วเราจำเป็นต้องกลับไปทำตามแบบแผนไหมครับ ? ตอบ : ถ้ามีโอกาสทำตามแบบแผนได้ ให้เราทำ เพื่อประกันความเสี่ยง ถ้าไม่มีโอกาสก็ข้ามขั้นไปเลย |
ถาม : คนที่มีสมาธิมาก ๆ เขาจะมีสติมากหรือเปล่า?
ตอบ : สติจะมั่นคงตามไปด้วย สมาธิยิ่งทรงตัวมากเท่าไร สติจะยิ่งมั่นคงมากเท่านั้น ที่บอกว่านั่งเงียบไปเฉย ๆ ความจริงเขานั่งอย่างมีสตินะ เพราะข้างในรู้อยู่ตลอด เพียงแต่ไม่อยากจะคลายออกมาเท่านั้น |
ถาม : ตัวราคะก่อให้เกิดความทุกข์อย่างไร ?
ตอบ : โอ้พระเจ้า..ทุกข์หยาบขนาดนี้ยังมองไม่เห็น..!ในเมื่อเรายินดี ก็จะเกิดความอยากมีอยากได้ ก็คือตัวกำหนัดขึ้นมา ก็ต้องไปแสวงหา ขึ้นชื่อว่าการดิ้นรนแสวงหาแม้เป็นความคิดก็ทุกข์แล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงการตะเกียกตะกายไปหามาให้ได้นะ ถาม : แต่การทำให้อยาก ก็ต้องเกิดจากการ..? ตอบ : สำคัญว่าเราไปถูกทางไหม ? ถ้าไปถูกทางก็เป็นฉันทะ ถ้าไปไม่ถูกทางก็เป็นตัณหา สรุปง่าย ๆ ว่า ถ้าความอยากช่วยให้เราพ้นทุกข์เป็นฉันทะ ถ้าความอยากเพิ่มทุกข์ให้เราก็เป็นตัณหา |
ถาม : การอยากเป็นพระพุทธเจ้าเป็นตัณหาไหมครับ ?
ตอบ : เป็นตัณหาพาสู่พระนิพพาน เพราะว่าทุกข์หลายชาติเหลือเกิน ถาม : แต่การอยาก บางทีอาจจะเป็นการ..? ตอบ : แค่คิดก็ทุกข์แล้ว ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย ในเมื่อแค่คิดก็ทุกข์ เรื่องอื่นที่ไม่ทุกข์นั้นไม่มี |
ถาม : เราฝึกสมาธิบ่อย ๆ จับอารมณ์พระนิพพานบ่อย ๆ อารมณ์ก็เบา เย็นใจบ่อย ๆ ทำไมเราถึงไม่มีความรู้สึกอยากไปพระนิพพานเลย?
ตอบ : ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณอย่างคุณ ศึกษาพระนิพพานเพื่อไปสั่งสอนคนอื่น ยิ่งรู้แจ้งมากเท่าไร ยิ่งสั่งสอนได้ถนัดมากเท่านั้น ผู้ที่ปรารถนาสาวกภูมิ ศึกษาพระนิพพานเพื่อความหลุดพ้น จึงคนละวัตถุประสงค์กัน ดังนั้น..ตราบใดที่คุณยังไม่ตัดใจลาพระโพธิญาณเสีย ตราบนั้นก็ไม่คิดที่จะเลิก ต่อให้รู้จักพระนิพพานช่ำชอง อารมณ์เทียบเท่ากับพระอรหันต์ก็ไม่ตัด เพราะฉะนั้น..จงลำบากต่อไป ขอโมทนาด้วย ถาม : อารมณ์นั้นต้องเกิดขึ้นเองจริง ๆ ด้วยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ต้องเกิดจากความเบื่อหน่ายของตัวเอง ไม่อยากไปแล้ว คนอื่นแนะนำไม่ได้หรอก คุณจะเห็นว่ารู้จักกันมา ๒๐ กว่าปี เคยแนะนำให้ลาไหมเล่า ?เปล่า ..อยากไปไหนก็ไปเลย ตรงไหนถีบส่งได้ก็ถีบ ถ้าเข็ดเดี๋ยวก็เลิกเอง ถ้าไม่เข็ดก็เชิญไปต่อ |
เดือนก่อนไปวัดท่าซุง เจอเพื่อนรุ่นน้องที่เคยบวชอยู่ด้วยกันที่นั่น เพื่อนคนนี้มีคุณูปการมาก เพราะช่วงที่อาตมาบวชใหม่ ๆ ประมาณพรรษาที่ ๒-๓ มีแต่คนมาหาชนิดที่น่ากลัวมาก
ช่วงนั้นอาตมาทำหน้าที่รับโยมเข้าพัก ทุกคนที่มาวัด ถ้าไม่มีที่พักเฉพาะของตัวเองจะต้องผ่านมืออาตมาก่อน คนมาวัดเยอะแล้วดันทะลึ่งมาชอบใจอาตมา มาถึงแล้วไม่ยอมไปไหน ไล่ไปหาหลวงพ่อก็ไม่ไป บางคนถึงกับบอกว่า "ตั้งใจมาหาท่านเท่านั้น" อาตมาก็ซวยเท่านั้น มาวัดแล้วไม่ไปหาหลวงพ่อ หาเรื่องให้อาตมาโดนไล่ออกจากวัดแล้ว พอดีพรรษานั้นท่านนันทชัย มาเกิด (ฉายา สุธมฺมเทวธมฺโม) บวชเข้ามา อาตมาเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นพวกเดียวกันแน่นอน พระโพธิสัตว์แน่เลย วันนั้นนั่งทำวัตถุมงคลอยู่ด้วยกัน ก็คือ วัตถุมงคลของวัดท่าซุง บางส่วนก็ผลิตจากโรงงาน บางส่วนก็แรงงานพระผลิตกันเอง ทำกันไปก็นั่งคุยกันไป บอกท่านว่า "ผมเห็นหน้าคุณก็รู้ว่ามาสายพระโพธิญาณ ผมลาแล้ว..คุณจะลาไหม ?" ท่านบอกว่า เหมือนกับว่าทำงานบางชิ้นมาจวนจะเสร็จอยู่แล้ว อยู่ ๆ ให้ทิ้งงานไปท่านทำใจไม่ได้ เราบอกกับท่านว่า "ผมเองอยากลา แต่บริวารผมเยอะเหลือเกิน ดูท่าว่าเขาจะตามไม่ทัน ขอฝากท่านไว้ได้ไหม ?" ท่านตอบแบบไม่คิดเลยนะว่า "ได้..ขออย่างเดียว ถ้าหลวงพี่ไปสบายแล้วย้อนกลับมาช่วยผมบ้าง" อาตมารีบสาธุ ถ้าสบายแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ คนที่มาสุดเหนือสุดใต้ที่เขามาหาอาตมา หายไปเลย กระแสขาดลงจริง ๆ เขาก็ต้องหันไปตามผู้นำคนใหม่ของเขา เวลาที่วัดท่าขนุนจัดงานแต่ละครั้ง ที่โยมเห็นว่าคนเยอะแยะนั้น คนที่อาตมาต้องรับผิดชอบจริง ๆ มีไม่กี่คนหรอก นอกนั้นส่วนมากเป็นเด็กฝาก มีเด็กฝากของพระศรีอาริยเมตไตรย เด็กฝากของท่านปู่ท่านย่า ที่สำคัญที่สุด ไม่อยากรับไว้เลย ก็คือเด็กฝากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพวกนี้ขนาดพระองค์ท่านยังเข็นไม่ไป อาตมาจะไปเก่งกว่าท่านได้อย่างไร แต่ละคนสุดยอดจริง ๆ |
ช่วงนั้นที่วัดท่าซุงฝึกมโนมยิทธิ ถ้าคนไหนที่หลวงพี่อาจินต์เอาไม่อยู่ ท่านจะวิ่งรถมารับหลวงตาวัชรชัยไป วันนั้นทั้งหลวงพี่อาจินต์และหลวงตาวัชรชัยนั่งรถมาด้วยกัน "เฮ้ย..เล็ก มาช่วยหน่อยซิ เจ็ดวันแล้วมันยังไปไหนไม่ได้เลย" อาตมาก็คิดว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน..ต้องลองดู
โอ้..ตั้งแต่เที่ยงครึ่งยันบ่ายสองโมง เขาไปได้แค่จุฬามณี อาตมาเองแค่วินาทีเดียวก็ทะลุไปจนถึงชั้นไหนแล้วไม่รู้ ? รู้ไหมว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เขาตามดูบันไดทีละขั้น ทำอย่างกับจะลอกแบบไปสร้างจุฬามณีเอง..! ใครที่เป็นครูฝึกก็รู้สึกหนักหนาสาหัสทั้งนั้น เหมือนกับฉุดรถไฟทั้งขบวนด้วยมือเปล่า ๆ หรือไม่ก็เข็นเรือทรายบนบก ถึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าเป็นคนของสมเด็จองค์ปัจจุบันท่าน เหมือนกับคุณเข็นเรือเกลือบนบก พอดีเป็นวันที่ ๗ วันสุดท้าย ก็เลยพาเขาไปได้แค่นั้น จึงบอกว่า "ต่อไปคุณใช้วิธีนี้ แล้วก็ไปค่อย ๆ ดูเอง เพราะว่าทางวัดเขาให้อยู่ได้ ๗ วัน วันนี้วันสุดท้ายแล้ว" ถ้ามีวันรุ่งขึ้น อาตมาคงตายเอง เข็นไม่ไหวหรอก..! |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : วิสัยพุทธภูมิต่างจากเรา เราเดินขึ้นบันไดมา บันไดมีกี่ขั้นบางทีเราก็ยังไม่รู้ แต่พุทธภูมินอกจากต้องรู้ว่าบันไดมีกี่ขั้นแล้ว ต้องรู้ว่ากว้างยาวเท่าไร ? สร้างมาจากวัสดุอะไร ? ด้วยวิธีการอย่างไร ? ท่านต้องศึกษาให้ครบเพื่อพร้อมที่จะสร้างบันไดใหม่เลย เจอนันทชัยเมื่อเดือนก่อนที่วัดท่าซุง ยังคงเหมือนเดิม บอกว่า "ไม่เลิกครับ" ทุกข์แค่ไหนก็สู้ ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าไปรษณีย์อยู่ที่อยุธยา บอกว่า ถ้าผ่านไปอยุธยา แวะไปให้เขาเลี้ยงเพลบ้าง |
ถาม : พวกบริวารที่ตามผมมา ไม่น่าจะมีนะ
ตอบ : เรายังต้องไปอีกไกล แต่ละชาติจะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ถาม : พวกที่ลาพุทธภูมิ เขาไม่ได้ตั้งใจหรือเตรียมตัวมาก่อน ตอบ : มาเปลี่ยนใจทีหลังเยอะแยะไป พอเห็นอะไรดีกว่าก็ไปแล้ว แบบที่พระกุมารกัสสปะท่านเปรียบเทียบให้ฟัง ตอนแรกสองสหายไปเจออุจจาระแห้ง สองสหายก็โกยอุจจาระแห้งใส่ห่อทูนศีรษะไป เดินไปเจอเชือกปอ รายหนึ่งก็เทอุจจาระแห้งทิ้ง เอาเปลือกปอไป รายหนึ่งไม่ยอมทิ้งอุจจาระ ยังคงแบกไป พอเดินไปอีกหน่อยเจอด้ายป่าน รายแรกทิ้งเปลือกปอมาเอาด้ายป่าน แต่อีกรายก็ยังประคองอุจจาระต่อไป เดินไปอีกหน่อยเจอผ้า รายแรกก็หอบผ้าไป ส่วนอีกรายยังยึดมั่นในห่ออุจจาระอยู่ จนกระทั่งไปเจอเงินเจอทอง อีกฝ่ายแรกก็เลือกเอา ส่วนอีกรายหนึ่งก็ยังคงแบกห่ออุจจาระไปเรื่อย พระกุมารกัสปปะท่านเปรียบว่า พระเจ้าปายาสิเหมือนคนทูนห่ออุจจาระอยู่ ฝนตกไหลเลอะเปรอะเปื้อนอย่างไรก็ไม่ยอมทิ้ง เหมือนกับพระเจ้าปายาสิที่ไม่ยอมเลิกทิฐิ พระเจ้าปายาสินั่งหัวเราะ ท่านบอกว่าจะเปลี่ยนใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ฟังพระคุณเจ้าเปรียบเปรยแล้วสะใจดี อยากฟังให้เยอะ ๆ เราลองไปดูในปายาสิราชัญญสูตรในพระสุตตันตปิฎก เป็นสูตรที่นักเทศน์หรือนักโต้วาทีควรจะศึกษาไว้ อีกอย่าง คือมิลินทปัญหา พระนาคเสนท่านตอบได้ฉะฉานแจ่มแจ้งจริง ๆ ในชินบัญชรคาถา ท่านกล่าวถึงพระกุมารกัสสปะว่า กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก ผู้เป็นใหญ่ในการใช้วาทะอันวิจิตรพิสดาร ท่านเปรียบเปรยได้สุดยอดมาก |
พระเจ้าปายาสิเชื่อว่าคนตายแล้วสูญ จึงสั่งให้นำคนมาชำแหละหาวิญญาณ ก็คือหาดวงจิต หาเท่าไรก็ไม่เจอดวงจิต พระกุมารกัสสปะจึงอธิบายโดยเปรียบว่า อาจารย์บอกลูกศิษย์ให้รักษากองไฟเอาไว้ ลูกศิษย์มัวแต่ไปเล่นกันจนเพลิน พอไฟดับ ทีนี้ไม่รู้วิธีจุดไฟ ก็เลยเอาขวานมาผ่าฟืนเพื่อหาไฟ เพราะไฟเกิดจากฟืน..ใช่ไหม ? แต่ไฟไม่ได้อยู่ในฟืน หาไปคงจะเจอหรอก
ตอนที่พระเจ้าปายาสิเปรียบเทียบได้เจ็บปวดที่สุด ก็คือ "ญาติมิตรสาโลหิตที่สนิทสนมกัน พอใกล้ตายโยมก็ไปสั่งไว้ว่า ถ้าตายแล้วลงนรกให้มาบอกด้วย แต่ไม่มีใครมาบอกเลย โยมจึงเชื่อว่าตายแล้วสูญ" พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า "ดูก่อนมหาบพิตร..ถ้ามีนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องนำไปตระเวนบก ตระเวนน้ำ อย่างละเจ็ดวัน เป็นการประจานความชั่วแล้วค่อยนำไปประหาร เขาขออนุญาตลากลับบ้านเพื่อไปบอกลูกบอกเมียก่อน พระองค์จะปล่อยไปหรือไม่ ?" พระเจ้าปายาสิบอกว่า "ปล่อยได้อย่างไร ? มีแต่ต้องเร่งประหารเท่านั้น" |
พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า "ก็เช่นกัน มหาบพิตร..บุคคลพอลงไปรับโทษหนักอยู่ในนรก นายนิรยบาลเขาไม่ยอมปล่อยมา ญาติที่ไหนจะมาบอกกับท่านได้"พระเจ้าปายาสิจึงกล่าวว่า "แล้วพวกที่ไปสวรรค์เล่า ? ญาติมิตรสาโลหิตของข้าพเจ้าที่มีอยู่ พอถึงเวลาใกล้ตาย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านทั้งหลายทำความดีไว้มาก ถึงเวลาต้องไปสุคติโลกสวรรค์แน่นอน ข้าพเจ้าก็ไปแจ้งแก่พวกนั้นว่า ถ้าไปสวรรค์แล้วให้กลับมาบอกด้วย ก็ไม่เห็นมีใครมาสักคน แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าตายแล้วไม่สูญ ?"
พระกุมารกัสสปะบอกว่า "ดูก่อน..มหาบพิตร..อันบุรุษที่ตกลงไปในหลุมคูถ(ขี้) เมื่อพระองค์ท่านให้ราชบุรุษนำขึ้นมา ใช้ซี่ไม้ไผ่ครูดอุจจาระจนสะอาด ให้อาบน้ำ ลูบไล้ด้วยของหอมเครื่องย้อมเครื่องทา ให้นุ่งผ้าอันสวยงามพร้อมกับสวมพวงมาลัยดอกไม้ แล้วจะให้เขากระโดดลงไปในบ่ออุจจาระอีก จะเป็นไปได้หรือไม่ ?" พระเจ้าปายาสิบอกว่า "ไม่มีใครเขาทำอย่างนั้นแน่" พระกุมารกัสสปะบอกว่า "ก็เช่นเดียวกัน..มหาบพิตร กลิ่นมนุษย์เหม็นไปไกลเป็นโยชน์ เทวดาที่ไหนอยากจะเข้าใกล้ แล้วผู้ใดจะมาบอกกับท่านได้เล่า" ลองไปอ่านดูนะ สนุกมาก ท่านเปรียบเทียบแต่ละอย่างชัดเจนมาก เหมือนกับหงายของที่คว่ำ เหมือนกับตามประทีปในที่มืด |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีครูบาอาจารย์ท่านไม่ได้สอนนะ ท่านทำให้ดูเป็นตัวอย่าง นั่นยิ่งกว่าสอนอีก
มีเรื่องหนึ่งที่ให้ทิดตู่เขียน แต่ทิดตู่บอกว่าอย่างไรก็เขียนไม่ได้ เพราะอารมณ์ใจไม่ถึง ตอนนั้นที่เกาะพระฤๅษี มีต้นประดู่ส้ม(ประดู่เลือด) ถ้าคนไม่รู้จักต้นไม้ชนิดนี้แล้วไปฟันต้นเข้า ก็จะขวัญหนีดีฝ่อ เพราะยางไม้จะไหลมาสีเหมือนกับเลือด ปีหนึ่งประดู่ส้มก็จะผลัดใบครั้งหนึ่ง ตอนที่ใบอ่อนเกิดจะมีหนอนบุ้งซึ่งเป็นหนอนคันมากิน หนอนพวกนี้พออยู่ในระยะดักแด้ก็จะสลัดขนทิ้งหมด ขนคัน ๆ นั้นก็จะปลิวว่อน พวกเราก็เกาบ้าง ทนบ้าง คุณจิรา ลิ่วเฉลิมวงศ์ (ญาติของคุณแบม จณิสตา) เขาไปอยู่ปฏิบัติธรรมที่เกาะ โดนขนบุ้งเข้าไปแล้วเกิดอาการภูมิแพ้อย่างหนัก คอบวมขนาดหายใจไม่ได้ เขาก็มาบ่นให้ฟัง อาตมาจึงตัดสินใจแก้ที่ต้นเหตุ ตัดต้นประดู่ส้มทิ้งเลย ต้นใหญ่มากก็ต้องปีนขึ้นไปหั่นยอดลงมาก่อน ไม่มีใครกล้าขึ้นไปเพราะคันตายชัก อาตมาต้องตะกายขึ้นไปฟันยอดเอง พอลงมาข้างล่าง จากคนดี ๆ กลายเป็นคางคก เพราะคันบวมไปทั้งตัว จึงบอกพวกทิดตู่ว่า "ไปตำใบพลูตำกับเหล้ามาให้ที จะทาแก้คัน" หลังจากสรงน้ำแล้วจึงทา ทาเสร็จก็ไปทำวัตร เดินตาตี่มองทางเกือบไม่เห็น เพราะคันจนบวมไปทั้งตัว ทิดตู่เขาก็ถามว่า "หลวงพี่ทนได้อย่างไร ? ไม่เกาสักแกรกเดียว" เราบอกว่า "ยิ่งเกาก็ยิ่งลามสิวะ" ทิดตู่ก็ถามอีกว่า "คันขนาดนั้น แล้วทำไมยังทนได้ ?" อาตมาบอกว่า "ไม่ต้องทนหรอก ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะก็หมดเรื่อง" จนป่านนี้ทิดตู่เขายังไม่กล้าเขียนเรื่องนี้เลย เขาบอกว่าทำไม่ถึง ในเมื่อทำไม่ถึงอธิบายอารมณ์ไม่ถูก ก็ไม่เขียนหรอก ทำไม่รู้ไม่ชี้ ฟังดูง่ายนะ แต่ลองเจอด้วยตัวเองแล้วทำดูบ้างสิ..! ในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านทำให้ดู เพราะว่าสอนไปลูกศิษย์ก็โหนไม่ถึง จะไปบอกว่าวางกำลังใจอย่างนั้น วางกำลังใจอย่างนี้ ป่วยก็เหมือนกับไม่ป่วย ไม่ต้องไปอธิบายหรอก เต่าไปอธิบายให้ปลาฟังว่าบนบกหน้าตาเป็นอย่างไร ปลาฟังให้ตายก็ไม่รู้เรื่องหรอก ยกเว้นว่าปลาตัวนั้นจะตะกายขึ้นบกไปเอง" |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สรุปลงตรงที่ว่า สักกายทิฐิยังตัดไม่ได้ ก็เลยยังยึดเหนี่ยวอยู่ ทั้ง ๆ ที่คุณอยากจะละนั่นแหละ เกิดจากปัญญาไม่พอ ในเมื่อปัญญาไม่พอ เราจะไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ เมื่อไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ก็ไม่เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่คิดจะดิ้นรนหนี แถมบางคนปัญญาน้อยก็คิดว่าดีเสียอีก ก็เลยไปยึดมั่นหนักเข้าไปใหญ่ เราเริ่มต้นด้วยการตั้งใจละสักกายทิฐิ แต่ทำไป ๆ กลายเป็นยึดมั่นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในส่วนของรูปภพ อรูปภพ เพราะมีแต่ความสุขโดยส่วนเดียว ก่อนที่จะพ้นจากเขตนั้นมาจะไม่เจอกับความทุกข์ ยกเว้นว่าบุคคลที่ตั้งใจดิ้นรนเพื่อจะให้พ้นทุกข์ เห็นว่าการดำรงอยู่แม้ในสภาพของขันธ์ทิพย์ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ เพราะต้องขวนขวายเพื่อความหลุดพ้น ถ้าปัญญาระดับนั้นจึงจะเห็นได้ ดังนั้น..ยิ่งเป็นภพที่ละเอียด ก็ยิ่งละได้ยากขึ้น สรุปง่าย ๆ ว่าเกิดจากปัญญาไม่เพียงพอ ก็เลยไม่เห็นโทษ ไม่เบื่อหน่าย |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : จริง ๆ ในเรื่องสักกายทิฐิ ก็คือ การยึดมั่นว่าตัวเราเป็นของเรา ถ้าสามารถพิจารณาให้เห็นชัดว่าสักแต่เป็นรูปนาม สักแต่เป็นธาตุ ประชุมรวมขึ้นมาให้อาศัยเป็นร่างกายชั่วคราว ถ้ารู้เห็นจริงจัง สภาพจิตยอมรับ ก็จะคลายความยึดมั่นนั้นออก วิจิกิจฉา ตัวลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ถ้าหากว่าเราเข้ามาปฏิบัติ ตัวนี้ถือว่าได้กำไร เพราะว่าต้องสงสัยน้อยแล้วจึงยอมปฏิบัติ เราก็แค่ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริง ๆ เท่านั้น ก็ไปสำคัญตรงสีลัพพตปรามาส การรักษาศีลไม่จริงจัง สักแต่ว่าลูบ ๆ คลำ ๆ ก็เอาให้จริงจัง ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ สามารถทำไปพร้อมกับสมาธิ ควบไปจนสติตั้งมั่นถึงขนาดที่ขยับตัวเมื่อไรก็รู้ว่าศีลจะขาด ถ้าทำได้ระดับนั้นเมื่อไร ก็มีสิทธิ์ที่จะก้าวข้ามสังโยชน์สามข้อแรกได้ แต่ทั้งสามข้อที่ว่ามานี้ ตัวสักกายทิฐิไม่ได้ขาดเสียทีเดียว เพียงแต่เบาบางลง ยกเว้นเราจะตัดสังโยชน์ระดับสูงขึ้นไป ก็จะค่อยละสักกายทิฐิเบาบางตามลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงข้อสุดท้าย จึงจะละได้อย่างแท้จริง |
มีคนนำเสียงอ่านพระไตรปิฎกมาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "เป็นความพยายามอย่างสูงสุดของคนอ่าน โดยเฉพาะในส่วนของอภิธรรม คนที่สมาธิไม่ดีทนอ่านไม่ได้หรอก เพราะเป็นการอ่านอะไรที่เราก็ไม่เข้าใจ นี่เขาอุตส่าห์อ่านได้ครบแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ คนแบบนี้หาได้ยากมาก"
|
พระอาจารย์ได้กล่าวเตือนผู้ที่เลี้ยงสุนัขว่า "ขอเตือนอีกวาระหนึ่ง เลี้ยงหมาอย่ารักเขาจนเกินไป ให้มีสติรู้ด้วย เพราะถ้าจิตใจยึดเกาะหมามาก ไปดีใจเสียใจกับหมามาก นั่นไม่ใช่รักแต่เป็นหลง ตายตอนนั้นจะไปเกิดเป็นหมาแทน..!
สมัยอาตมายังวัยรุ่นอยู่ พี่สาวข้างบ้านเลี้ยงหมาไว้ ๕-๖ ตัวด้วยกัน เอาหมานอนบนเตียงเลย ไปบ้านพี่เขาเมื่อไร พอพี่เขาเปิดประตูรับอาตมาก็แทบจะหงายท้อง เพราะว่ากลิ่นหมามาเต็ม ๆ คนที่อยู่ด้วยจนชินจะไม่ได้กลิ่น แต่คนที่นาน ๆ เข้าไปทีจะได้กลิ่นชัดมาก" |
"หมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดเป็นหมากู้ภัย น้ำหนักตัวได้ถึงสองร้อยปอนด์ เซนต์เบอร์นาร์ดเกิดในพื้นที่หิมะ อุ้งเท้าใหญ่ เดินบนหิมะได้ง่าย เวลาคนติดในหิมะ เขาจะฝึกหมาพวกนี้ให้เป็นหมากู้ภัย ที่คอของเซนต์เบอร์นาร์ดจะมีถังบรั่นดีเป็นถังไม้เล็ก ๆ ผูกไว้ พอไปเจอคนที่ติดในหิมะ ก็จะไปนอนคร่อมเขา เพื่อไม่ให้หนาว แล้วเขาจะได้เปิดถังบรั่นดีกิน เพื่อรักษาชีวิตไว้ก่อนที่หน่วยกู้ภัยจะไปถึง
แต่คนจีนใช้เซนต์เบอร์นาร์ดผิดประเภท เลี้ยงแค่สองเดือนก็จัดการตุ๋น หมาพันธุ์ใหญ่ ถ้ายังอายุน้อยอยู่เนื้อจะนิ่ม ต้องได้อายุของเขากล้ามเนื้อถึงจะแข็งแรงเต็มที่ เขาก็เลยกินตั้งแต่ตอนที่ยังอายุน้อย ๆ " |
"ถ้าจะเลี้ยงหมาก็ให้รักเขาจริง ๆ โดยเฉพาะหมาพลังสูงอย่างโกลเดนรีทรีฟเวอร์ ถ้าไม่มีเจ้าของเล่นด้วยก็จะเฉา แต่เจ้าของก็เล่นด้วยไม่ไหวหรอก เพราะหมาพันธุ์นี้กระโดดโลดเต้นทั้งวัน และตัวใหญ่มาก
เมื่อก่อนน้องแพทรูปร่างกลมเป็นลูกฟุตบอล ส่วนน้องเจนนี่ก็แห้งเป็นตะเกียบ ตอนนี้น้องแพทโตเป็นสาวผอมสวย ส่วนน้องเจนนี่อ้วน เพราะน้องแพทเขาได้หมาพันธุ์ร็อตไวเลอร์มาเป็นของขวัญวันเกิด เขาพาไปหาสัตวแพทย์ฉีดยา สัตวแพทย์แนะนำว่าอย่าเลี้ยงให้อ้วน ถ้าอ้วนมากจะเป็นโรคง่ายและตายเร็ว น้องแพทเขารักหมามาก กลัวหมาจะตายก็พาหมาไปวิ่งลดความอ้วนทุกวัน เจ้าร็อตไวเลอร์วิ่งแต่เจ้าของรั้งไม่อยู่ ก็เลยกลายเป็นเจ้าของวิ่งตามหมาทุกวัน จากอ้วน ๆ กลายเป็นผอมกะหร่องไปเลย ส่วนหมายังอ้วนเท่าเดิม กลายเป็นว่าคุณูปการของการเลี้ยงหมา ก็คือ ทำให้หุ่นสวย สมัยก่อนที่เกาะพระฤๅษีมีหมาชื่อฟ้าใส เป็นหมาพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ หลงทางมา ปกติไซบีเรียนฮัสกี้จะอยู่ในทุ่งน้ำแข็งในไซบีเรียมาตลอด จึงไม่สามารถที่จะทำเครื่องหมายได้ เพราะฉี่ออกมาก็เป็นน้ำแข็ง เป็นอย่างนี้รุ่นแล้วรุ่นเล่า กลายเป็นพัฒนาการอยู่ในดีเอ็นเอว่าไม่ต้องทำเครื่องหมาย พอเจ้าพวกนี้ออกจากบ้านเมื่อไร ถ้าเจ้าของไม่ไปด้วยมักจะหลงทางเสมอ ยังดีที่เจ้าฟ้าหลงทางมาเจออาตมา ถ้าเจอคนอื่นเข้าไม่รู้จะเป็นอย่างไร ? เพราะตอนนั้นอายุแค่เดือนเดียว กำลังน่ากินเลย เจ้าฟ้าเป็นไซบีเรียนแท้ตาสีฟ้า ลูกออกมาครอกแรก ๖ ตัว มีตาสีฟ้า ๒ ตัว ครึ่งฟ้าครึ่งน้ำตาล ๒ ตัว อีก ๒ ตัวตาเป็นสีน้ำตาล" ถาม : แสดงว่าตอนนี้มีลูกเยอะ ? ตอบ : คนเขาขอไปจนหมดแล้ว เหลืออยู่ตัวเดียวชื่อเฉาก๊วย รูปร่างได้ไซบีเรียนมา แต่หน้าคือหมาวัด..! หุ่นหมาป่าแต่หน้าสั้น ๆ ตอนนี้ได้ยินว่าโดนเขาวางยาตายไปแล้ว โทษฐานดูแลสถานที่ดีเกินไป ใครมาก็ไปไล่เห่า เขาโกรธก็เลยวางยาซะ..! |
ถาม : การเจริญเมตตาที่เป็นพรหมวิหาร มีจิตที่สว่าง จิตที่สว่างนี้แผ่ออกไป เปล่งแสงกระจายออก แต่ตอนหลังวูบหดกลับเข้ามา..?
ตอบ : เพราะสมาธิไม่พอ อาตมามักจะสอนให้แผ่เมตตาไปทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า พูดง่าย ๆ ว่าเบื้องขวางคืออนันตจักรวาล เบื้องบนไปจรดภควัคพรหม เบื้องล่างไปถึงอเวจี อย่างเราทำสมาธิได้แค่นั้นก็จะแผ่ได้แค่นั้น แต่ถึงเราทำแค่นั้นแต่ก็ได้ประโยชน์ ก็คือ ระงับรัก โลภ โกรธ หลง ได้ชั่วคราว พอคลายสมาธิออกมารัก โลภ โกรธ หลง ก็งอกงามอีก เพราะฉะนั้น..เมื่ออารมณ์ใจทรงตัว เราเล่นเรื่องฌานสมาบัติสนุกพอแล้ว ให้คลายสมาธิออกมาแล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณแทน กำลังจะได้พอตัดกิเลสในเบื้องต้น ทำความสบายให้เราได้บ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วจะโดนกิเลสตีกลับทุกที |
ถาม : การแผ่เมตตาตอนกรรมฐาน..?
ตอบ : ตอนนั้นเราจะทำได้ง่ายเพราะมีครูบาอาจารย์คอยนำ สำคัญที่เราต้องซ้อมให้ชำนาญ ถ้าไม่ทำให้ชำนาญก็ได้แค่หน่อยหนึ่ง เดี๋ยวก็หดกลับมาอีก สังเกตไหมตอนที่สอน พอแผ่ออกไม่เป็นไร แต่พอบอกให้หดคืนนี่เราหดกลับทันทีเลย ก็เพราะว่าเราไม่ชำนาญ ความจริงเราต้องค่อย ๆ หดกลับมาทีละน้อย ๆ แล้วก็ค่อยขยายออกไป ทำอย่างนี้ทุกวัน จะเป็นกีฬาสมาธิให้เราเพลิดเพลินและกิเลสกินใจไม่ได้ หลังจากนั้นพอสมาธิทรงตัว ก็เอากำลังตรงนี้มาพิจารณาตัดกิเลส ถาม : พอเราปล่อยแล้วหดกลับมา ? ตอบ : ต้องค่อย ๆ มา ไม่ใช่พรวดเดียว ถ้าพรวดเดียวแสดงว่าฝีมือไม่ถึง |
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เคยมีไอ้บ้าอยู่คนหนึ่ง พอเขาได้ยินว่า วัตถุมงคลที่ทำจากของราคาสูงค่า จะยิ่งมีอานุภาพมาก เขาก็จัดแจงไปเอาทองคำขาวมาให้อาตมาทำตะกรุดมหาสะท้อน ผลปรากฏว่าอาตมาทำได้ แต่ม้วนตะกรุดไม่ได้
ด้วยความหมั่นไส้ เราบอกว่า "ถึงเขียนไม่ได้ก็จะเขียนให้ แต่ม้วนเอาเองนะ" เขาก็ครับ ๆ ปรากฏว่าแม้แต่ค้อนทุบก็ยังไม่กระดิกเลย คนไทยเรียกว่า "ทองคำขาว" แต่ไม่ได้เกี่ยวกับทองคำเลย ส่วนแร่โคตรเศรษฐีเป็นทองคำดำเพราะว่าองค์ประกอบเหมือนทองคำทุกอย่าง เพียงแต่เป็นสีดำ" |
ถาม : พระเตมีย์ใบ้ ทำไมท่านถึงมีกำลังใจสูง ?
ตอบ : เพราะท่านตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า กำลังใจสูงกว่าบุคคลทั่วไปนับเท่าไม่ได้ เรื่องที่เรารู้สึกว่ายากแต่เป็นเรื่องง่ายของท่าน แค่คิดว่าจะตัดหัวตัวเองถวายเป็นพุทธบูชา เราก็ไม่กล้าคิดแล้ว แต่นั่นท่านทำเลย กำลังใจต่างกันขนาดนั้น |
ถาม : เวลามีนิพพิทาญาณขึ้นมา จะเป็นฌานหรือไม่ ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเป็นอารมณ์เบื่อที่เกิดจากวิปัสสนาญาณ ถ้าหากว่าไม่ได้ดิ่งลึกจริง ๆ ก็ยังไม่เป็นฌาน ตรงที่ไม่เป็นฌาน จะทำให้คนฟุ้งซ่านได้ง่าย ถ้าหากว่าตัวนิพพิทาญาณเกิด รู้ตัวขึ้นมา เราก็วิ่งไปหาการภาวนาของเรา จะทำให้การฟุ้งซ่านน้อยลงแล้วพออยู่ได้ ไม่อย่างนั้นบางคนเบื่อมาก ๆ ถึงขนาดฆ่าตัวตายไปเลยก็มี นิพพิทาญาณเป็นของดีมาก เพราะถ้าเราไม่เบื่อก็อยากเกิดอีก ดังนั้นจึงต้องเบื่อก่อน แต่พยายามใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมดาของเราเป็นอย่างนี้ การเกิดมามีร่างกายนี้ การเกิดมาในโลกนี้ ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์เช่นนี้เป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแล้วพบกับความทุกข์เช่นนี้ของเราจะไม่มีอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว ถ้าสามารถทำอารมณ์ใจอย่างนี้ได้ ก็จะก้าวข้ามไปเป็นสังขารุเปกขาญาณ เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา ธรรมดาเราเกิดมาก็ต้องเจออย่างนี้ เราอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ทำไมจะอยู่ไม่ได้ ในเมื่อทุกอย่างมาลงตรงจุดนี้ ถึงเวลาก็มีความสุขเพราะว่าไม่ไปดิ้นรน อย่างที่เมื่อตอนบ่ายเปรียบเทียบว่าเหมือนเสือตัวหนึ่ง ถูกขังอยู่ในกรง พยายามพุ่งชนไปทุกทิศทุกทางเพื่อจะออกจากกรง แต่ก็เจ็บตัวฟรี ถ้าเสือตัวนั้นใช้ปัญญาหน่อยหนึ่ง รู้ว่าไม่มีทางออก ไม่ดิ้นไม่รน นอนเฉย ๆ ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะยอมรับแล้วว่าต้องอยู่ในกรงนี้ ดังนั้น..นิพพิทาญาณสำคัญตรงปัญญาเห็นแล้วยอมรับ ในเมื่อยอมรับแล้วปล่อยวางได้ ไม่ไปดิ้นรนว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์ เป็นของเรา เราทุกข์จริงหนอ ถ้าไม่ไปยึด ปล่อยวางหมดก็สบาย ส่วนใหญ่ที่ทุกข์มาก เพราะว่าไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา แทนที่จะเป็นคนดู รู้ไว้เฉย ๆ ก็กระโดดขึ้นเวทีไปเล่นเอง ถ้าอย่างนั้นก็จะเดือดร้อนนาน |
ถาม : ตัดต้นไม้ใหญ่ต้องทำอย่างไรบ้าง ? แล้วที่บ้านก็ปลวกขึ้นด้วย ?
ตอบ : ถ้าจะตัดต้นไม้มีแก่น ให้ตั้งศาลเพียงตา ๑ หลัง ตัดกิ่งต้นไม้นั้นมาสักศอกหนึ่ง เป็นกิ่งใหญ่นิดหนึ่ง เอาประมาณแขนก็ได้ แล้วตั้งเอาปลายขึ้น จุดธูปบอกรุกขเทวดาว่าให้ย้ายมาอยู่ในศาลนี้แทน เพราะเรามีความจำเป็นที่จะต้องโค่นต้นไม้นั้น เสร็จแล้วก็จัดการโค่นได้ ถ้าคิดว่ากิ่งสั้น ๆ นั้นเขาจะอยู่ได้หรือ ? ในธรรมบทบอกไว้ว่า ในปลายเข็มหมุดหนึ่ง เทวดาอยู่ได้ถึง ๘ องค์ ทั้ง ๆ ที่อัตภาพของท่านต่ำสุดคือ ๓ คาวุต ก็คือสูง ๑๒ กิโลเมตร แต่ถ้าจำเป็นขึ้นมา ท่านก็ประหยัดเนื้อที่ได้ คือปลายเข็มหมุดหนึ่ง ท่านอยู่กันได้ ๘ องค์ ถ้ามีต้นไม้ใหญ่หลายต้น ก็สร้างศาลหลายหลังหน่อย หรือว่าจะสร้างหลังเดียวแต่ตัดหลายกิ่งหน่อย ต้นนั้นกิ่งหนึ่ง ต้นนี้กิ่งหนึ่ง ถ้ารู้สึกว่าตัดเยอะไปก็ให้ตัดสักคืบหนึ่งก็ได้ แต่ให้เป็นกิ่งใหญ่หน่อยเท่านั้น ส่วนในเรื่องของปลวก ถ้าเป็นรังใหญ่ให้เอาน้ำมันโซล่าราดรังไว้ พอน้ำมันซึมลงใต้ดิน ปลวกได้กลิ่นจะยกขบวนหนีหมด แล้วเราค่อยขุดรังทิ้ง แต่ถ้าเป็นปลวกที่ทำเป็นทางเดินขึ้นบ้าน ให้รอเวลากลางวันแดดร้อน ๆ แล้วไปเขี่ยทิ้ง เพราะเวลาแดดร้อนปลวกจะหนีลงใต้ดิน หลังจากนั้นค่อยเอาน้ำมันราดทิ้งไว้ ปลวกจะได้ไม่ขึ้นมาอีก |
ถาม : ยุงกัดคนเป็นกรรมหรือเปล่า?
ตอบ : สัตว์เดรัจฉานอยู่ในภพภูมิที่มืดบอดกว่ามนุษย์ หลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำไม่จัดเป็นกรรมเพราะเขาไม่รู้ อย่างเช่นว่า เสือฆ่าพ่อเสือไม่เป็นอนันตริยกรรม แต่ถ้าคนฆ่าพ่อ เป็นอนันตริยกรรม ดังนั้น..ถ้าอยากทำอะไรแล้วไม่มีโทษ ก็ต้องไปอยู่ในนรก เพราะมืดบอดมาก ไม่รับรู้ว่าบาปบุญคุณโทษเป็นอย่างไร ทำไปเถอะ เพียงแต่วิ่งหนีหอกแหลนหลาวให้ทันก็แล้วกัน..! |
มีผู้นำรูปพระอาจารย์มาถวายให้ ท่านจึงกล่าวว่า "ยิ่งเบื่อหน้าตัวเอง คนยิ่งเอารูปมาให้ ถ้าโยมรู้จักสังเกต ใครที่ไปวัดแล้วเข้าไปในกุฏิของอาตมา จะไม่เคยเห็นรูปเลย เพราะอาตมาเบื่อหน้าตัวเองจะแย่แล้ว ต่อไปไม่ต้องเมตตาทำรูปมาให้อีกนะจ๊ะ เพราะว่าไม่ชอบ"
|
ถาม : วิชชาธรรมกาย?
ตอบ : ไปเปิดตำราอ่านเอง ก็แค่เอาใจจดจ่ออยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้วกำหนดภาพดวงแก้วขึ้นมา แค่นั้นเอง ไม่เห็นจะยากเลย สำหรับอาตมานั้น พออาจารย์ท่านพูดถึงธรรมกาย อาตมาก็ทำได้ครบ ๑๘ กายตามนั้นเลย อาจารย์ท่านสงสัยว่าเคยเรียนมาก่อนหรือเปล่า ? อาตมาก็บอกว่าเปล่า ตอนนั้นเพิ่งจะอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จึงไปขอให้อาจารย์ท่านช่วยสอนเพิ่มให้เพื่อความคล่องตัว กลายเป็นว่าลูกศิษย์กับอาจารย์คู่นั้น โดนทั้งเพื่อนและอาจารย์ท่านอื่นหาว่าบ้าทั้งคู่ เพราะสมัยนั้นปี ๒๕๑๗ เขาไม่รู้จักว่าพระนิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร ไอ้บ้าคู่นี้เขาจะไปพระนิพพานกัน..! |
มีผู้ใส่กางเกงขาสั้นมาบ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เห็นโยมนุ่งกางเกงขายาว (เห็นขายาว) มาแล้วทำให้นึกถึงตัวเอง เมื่อปี ๒๕๒๖ ตอนนั้นยังไม่ได้บวช ทางกทม.สั่งตั้งคันกั้นน้ำตรงแยกศรีนครินทร์กับอ่อนนุช ปัจจุบันเรียกว่าแยกศรีนุช แล้วก็สูบน้ำออกมาทางประเวศ
บ้านอาตมาอยู่ห่างจากแยกศรีนุชแค่ป้ายรถเมล์เดียว น้ำท่วมอยู่ ๖ เดือนกว่า ทำงานก็ไม่ได้เพราะที่บ้านเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ มีเวลาจึงไปบ้านสายลมบ้าง ไปวัดท่าซุงบ้าง เวลาไปก็นุ่งกางเกงขายาว (สั้น) ไป ถ้าขากางเกงคลุมจนถึงตาตุ่ม อาตมาเรียกว่า "กางเกงขาสั้น" เพราะเห็นขานิดเดียว ถ้ากางเกงที่เห็นขาเยอะ ๆ ก็เรียกเป็น "กางเกงขายาว" ตอนนั้นน้ำท่วมจนเลยขาอ่อนขึ้นมา จนหนังสือพิมพ์เขาบอกว่า น้ำท่วมสูงจนถึงหัวเทียนของผู้ชาย ถ้าเปรียบเทียบกับผู้หญิงก็ถึงจานจ่าย พวกที่รู้ว่าเครื่องยนต์มีส่วนประกอบอะไรบ้าง พากันหัวเราะแทบตายเลย อาตมาก็ต้องใส่กางเกงขายาว (สั้น) ที่ว่านั่นแหละ ไปนั่งรับใช้ข้าง ๆ หลวงพ่อ ตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งถึง ๑๑ โมง พอหลวงพ่อขึ้นฉันเพล ป้าหมอลัดดา (ทันตแพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์) คว้าแขนลากเข้าห้อง บอกว่า "หลวงพ่อเรามีคนเคารพศรัทธาทั่วประเทศและทั่วโลก คนที่มาก็มักจะถ่ายรูปท่านไปเป็นที่ระลึก แกรับใช้อยู่ด้านข้างก็พลอยจะติดไปด้วย คราวหน้าแกนุ่งกางเกงขาสั้น (ยาว) มาเถอะ ไม่อย่างนั้นเวลาถ่ายรูปไป เจอกางเกงขายาว (สั้น) แล้วดูน่าเกลียด คนจะตำหนิไปถึงหลวงพ่อแกได้" |
"ป้าหมอลัดดาน่ารักมากเลยนะ ท่านไม่ปล่อยให้เรื่องไม่ถูกต้องยืดยาวจนแก้ไขไม่ได้ พอเห็นท่านจะกระซิบบอก ไม่ว่าต่อหน้าคนอื่น ดึงเข้าห้องไปกระซิบกัน ๒ คน อาตมาก็บอกว่า "ที่บ้านน้ำท่วมครับป้า" ป้าบอกว่า "แกก็เอากางเกงขาสั้น (ยาว) ของแกใส่ถุงแล้วหิ้วมาสิวะ" ป้าแก้ปัญหาได้ง่ายมาก อาตมาเองไม่ได้คิดถึงตรงนี้ คิดว่านุ่งไปตัวเดียวพอแล้ว
การปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะที่ผ่านมา มีสาวน้อยนางหนึ่ง นุ่งกางเกงขายาว (สั้น) ขึ้นศาลา จะไปยกหนอ..ย่างหนอให้ถนัด อาตมาเจอตรงบันไดพอดี บอกว่า "ไอ้หนู ถ้าไม่มีกางเกงขาสั้น (ยาว) ก็ไปเอาตัวเก่ามาใส่ ตัวนี้ขามันยาว (สั้น) เกินไป เดี๋ยวหนุ่ม ๆ เขาฟุ้งซ่านไม่มีสมาธิ เวลาเดินต้องยกหนอ..ย่างหนอ เขามักจะมองต่ำ ๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นมองขาขาว ๆ แทน" เขาก็ดีนะ พอได้ยินก็รีบไปเปลี่ยนเลย เพราะว่าปฏิบัติธรรม ๕ วัน นุ่งจนไม่มีจะนุ่งแล้ว เลยงัดเอาตัวที่ขายาว (สั้น) ที่สุดมา" |
"สิ่งที่อยากจะบอกก็คือว่า จุดอ่อนของกรุงเทพฯ ก็คือไม่สามารถที่จะผลิตอาหารเลี้ยงตัวเองได้ กรุงเทพฯ เป็นแหล่งทำเงินที่ดีมาก มีสารพัดงานให้ทำ แต่ของกินต้องรับจากต่างจังหวัดล้วน ๆ ผลิตเองไม่พอใช้ไม่พอกิน
เพราะว่าพื้นที่ที่ใช้ในการผลิตอาหารกลายเป็นตึกรามบ้านช่องไปหมด คนโบราณบรรพบุรุษของเราเลือกภูมิประเทศได้ดีมาก คือเลือกกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง เพราะว่าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ว่าฤดูไหน ๆ ก็ไม่เคยเปลี่ยน ฝนตกมาก เหมาะที่จะปลูกข้าว พระเจ้าแผ่นดินในสมัยก่อน ๆ ก็ยังต้องปลูกข้าว โดยเฉพาะสนามหลวงที่สมัยก่อนเรียกว่าทุ่งพระเมรุ ก็คือเป็นนาข้าวของพระเจ้าแผ่นดิน แต่คราวนี้เราเอามาใช้ผิดวัตถุประสงค์ของบรรพบุรุษ ก็คือจากการที่เป็นแหล่งผลิตอาหารที่อุดมสมบูรณ์มาก ๆ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราเอามาสร้างตึกแทน แต่ฝนก็ยังตกต้องตามฤดูกาลเหมือนเดิม น้ำก็เลยท่วม" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:35 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.