กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5063)

เถรี 11-07-2016 21:29

ถาม : ตามที่พระอาจารย์ได้ให้ข้อมูลมา มีข้อมูลมานานมากหรือครับ ?
ตอบ : ถามว่านานมากไหม ? ถ้าการแต่งเรื่องขุนช้างขุนแผนก็ต้องบอกว่านานมากแล้ว อาตมาเองอ่านหนังสือมามาก ในเมื่ออ่านมามาก ในสิ่งต่าง ๆ ที่รู้ว่าโบราณเขาทำอย่างไรถูกต้อง ก็ตักเตือนกันไปเรื่อย แต่ส่วนหนึ่งก็ฟัง บางส่วนก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ การที่โยมมาถามข้อมูลก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าเราเป็นสื่อมวลชน เราสามารถทำให้ข้อมูลแผ่ไปในวงกว้างได้ง่ายขึ้น

ถาม : ขอคำยืนยันว่าจริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจริงหรือไม่จริง มีข้อมูลยืนยันอยู่แล้ว โยมลองไปค้นตามที่ว่ามา

ถาม : เรื่องนี้ควรเผยแพร่ต่อหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็แล้วแต่โยมเห็นว่าเหมาะสม อาตมาก็ยังคงพูดไปเรื่อยถ้ายังไม่หมดแรงเสียก่อน เพราะต้องการให้ทำให้ถูกต้อง เนื่องจากว่าทางวัดเป็นศูนย์วัฒนธรรมของอำเภอด้วย

ถาม : ที่พระอาจารย์ได้ข้อมูลมานี้ พระอาจารย์ได้ศึกษามาจากหนังสือหรือที่ไหนครับ ?
ตอบ : ทั้งจดจำมาจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาปฏิบัติตามมา ทั้งที่อ่านจากหนังสือและตำราต่าง ๆ สรุปลงได้ว่า ที่พูดมานั้นไปตามที่ตนเองรู้ว่าโบราณเขาถือกันอย่างไร

เถรี 11-07-2016 21:34

ถาม : ที่วัดเป็นศูนย์วัฒนธรรม ?
ตอบ : เป็นศูนย์วัฒนธรรมของอำเภอ ซึ่งแต่ละแห่งเขาจะมีศูนย์ของตนเอง ก็อยากจะให้เด็ก ๆ เขาได้รับรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ทางด้านกระทรวงวัฒนธรรมเขาจัดตั้งเป็นศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน

ถาม : ในส่วนของครูบาอาจารย์จะคอยเตือนญาติโยม ?
ตอบ : อะไรที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็พยายามตักเตือนให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้องเข้าไว้ ถ้าหากว่าคนที่รู้จริงเขาไป จะได้ตำหนิเราไม่ได้

ถาม : เหมือนกับมีคนพูดถึงว่า ถ้าแต่งตัวแบบกาลเทศะก็จะแบ่งได้ว่า คนนี้เป็นญาติใคร ?
ตอบ : ใครอาวุโสมากกว่า ใครอาวุโสน้อยกว่า ก็จะบอกได้ชัดเลย

เถรี 11-07-2016 21:38

ถาม : พระอาจารย์เกิดที่กาญจนบุรี ?
ตอบ : ไม่ใช่ อาตมาเกิดนครปฐม บวชที่อุทัยธานี ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสที่กาญจนบุรี

ถาม : แสดงว่าประเพณีการแต่งกายนี้ พระอาจารย์ได้มาจากจังหวัดนครปฐม ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วเขาใช้กันทั่วประเทศ เพียงแต่ระยะหลังเขาไม่ได้เน้นเท่านั้นเอง ก็อาจจะเป็นเพราะเห็นว่าฝรั่งเขาแต่งดำไปงานศพ แล้วพวกเราก็อาจจะเห็นขนบธรรมเนียมของฝรั่งเขาว่าเท่กว่า โก้กว่า ลืมในเรื่องสิ่งดี ๆ ของวัฒนธรรมไทย ก็ไปเลียนแบบฝรั่ง

ถาม : หลัง ๆ ที่เปลี่ยนไปเพราะวัฒนธรรมตะวันตก ?
ตอบ : ใช่...ก็คงจะเป็นการเห่อตามตะวันตกไป ก็เลยทำให้ผิดพลาด ถ้าหากว่าเราจะดูให้ชัดต้องดูงานหลวง งานหลวงนี่เราจะเห็นชัดเลยว่า ถึงเวลาเขาแต่งชุดขาว ติดแขนทุกข์

ถาม : อย่างงานใครล่าสุดครับ ?
ตอบ : ที่เห็นชัดล่าสุดเลยก็คือ งานของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราจะเห็นว่าผู้ที่แต่งดำจะมีแต่ผู้ที่ศักดิ์สูงกว่าเท่านั้น ถ้าโดยอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ที่สูงกว่า แม้จะอายุน้อยกว่าก็แต่งดำไป

โมทนากับโยมด้วย ที่อุตส่าห์ช่วยทำความจริงให้ปรากฏ แต่คนจะฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะค่านิยมส่วนใหญ่เพี้ยนไปหมดแล้ว ลองไปค้นหาข้อมูลดูก่อนนะ เนื้อหาตอนวันทองถูกฆ่าก็รู้สึกว่าค่อนข้างจะยาว ก็ลองดูว่าตอนที่เขานำศพไป จะเห็นว่าทั้งครอบครัวแต่งขาวหมด แล้วก็พวกชาวบ้านที่เขามาเที่ยว ก็แต่งชุดขาวหมด

เถรี 11-07-2016 21:52

ถาม : ผมเป็นนักดนตรี เวลาทำงานจะภาวนาอย่างไรครับ ?
ตอบ : เวลาทำงานใจก็อยู่กับงาน จะได้ไม่ผิดพลาด เวลาว่างแล้วก็มาอยู่กับกรรมฐาน

ถาม : หูไม่ค่อยได้ยินครับ ?
ตอบ : ถ้าดังขนาดนี้ไม่ได้ยินก็ไม่ต้องฟัง...! แสดงว่าเล่นพวก Heavy Metal แน่นอน หูพังไปเรียบร้อยแล้ว เสียงดังขนาดนี้โยมบอกไม่ได้ยิน แสดงว่าเล่นพวกดนตรีหูเหล็กมาเยอะ

เถรี 11-07-2016 22:14

พระอาจารย์พูดกับโยมที่ลูกพูดช้าแล้วไปเอาเขียดตบปาก "คราวนี้เสียใจแล้วใช่ไหมที่เอาเขียดตบปาก ? เอาตอนไม่พูดดีกว่านะ เคล็ดลับบางอย่างที่โบราณเขาทำมาก็มีผลจนคิดไม่ถึง อย่างที่เด็กไม่พูดแล้วเอาเขียดตบปาก กลายเป็นพูดไม่หยุด ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ก็เห็นได้ผล

ส่วนอีกอย่างที่เห็นแล้วไม่น่าเชื่อเลย ก็คือ ตอนอาตมายังเรียนมัธยมอยู่ มีหลานอยู่คนหนึ่งแหกปากร้องเช้ายันค่ำ ร้องไปร้องมาสะดือโป่งขึ้นมาเป็นลูก เพราะตะเบ็งเสียงมากเกินไป จนกระทั่งใส ๆ เป็นลูกโป่ง พ่อแม่เขาก็ตกใจ แต่ปรากฏว่าโยมแม่อาตมาที่เป็นย่าบอกว่า อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แกไปเก็บมะเขือเปราะมาลูกหนึ่ง แล้วกลั้นใจวนรอบสะดือ ๓ รอบ แล้วก็เอาไปวางทิ้งไว้ให้เหี่ยว พอมะเขือเหี่ยวสะดือก็ยุบ ไม่น่าเชื่อว่าโรคที่บางทีต้องผ่าตัดเลย คนโบราณเขาเล่นมะเขือเปราะลูกเดียวก็แก้ได้"

เถรี 11-07-2016 22:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนพยายามจะซื้อหนังสือให้อาตมาอยู่เรื่อย แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าอาตมาอ่านจบไปแล้ว

เสถียร จันทิมาธร เขียนหนังสือลักษณะคล้าย ๆ กับวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำวิทยานิพนธ์ มีการอ้างอิงหนังสือหลาย ๆ เล่ม ที่เป็นแหล่งข้อมูลต่าง ๆ กันไป

พอมีคนซื้อหนังสือให้อาตมาก็คอยมองด้วยความหวัง ว่าจะเป็นของที่ยังไม่ได้อ่านหรือเปล่า"

เถรี 13-07-2016 20:14

ถาม : แม่เป็นเบาหวานครับ ?
ตอบ : บอกแม่ลองรักษาตามวิธีของอาจารย์บ๊ะ เอาน้ำผึ้ง ๑ ช้อนชา ชงน้ำอุณหภูมิปกติ กินก่อนนอน ๗ วันแค่นั้นเอง แล้วก็ไปเช็คเลือดดู แทนที่จะขึ้นกลับลด แปลกมากเลย เป็นวิธีรักษาเบาหวานที่อร่อยมาก

ถาม : ต้องเป็นน้ำผึ้งแท้หรือครับ ?
ตอบ : ก็ต้องน้ำผึ้งแท้นั่นแหละ

เถรี 13-07-2016 20:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัณวิทย์ ชื่อแปลว่าอะไรวะ ? คนก็ตั้งไปเรื่อยเปื่อยเหมือนกันนะ วิทยะ แปลว่า ความรู้ ปัณ แปลว่าใบไม้ ปัณวิทย์ แปลว่า รู้จักใบไม้หรือ ?

สมัยนี้รู้สึกว่าเขาจะเอาแต่อักษรที่รวมกันแล้วได้ตัวเลขมงคล ไม่ได้สนใจว่าชื่อจะอ่านออกหรืออ่านไม่ออกอย่างไร กูตั้งอย่างเดียวเลย แบบคุณอะไรที่ไปปฏิบัติธรรม ชื่อยาวเหยียด ชื่อยาวสุด ๆ เลย ตั้งใจจะรวมให้ได้ตัวเลขมงคล เขาก็เลยตั้งไปเรื่อย ก็แปลกใจว่า แล้วทำไมพวกเจ้าหน้าที่ปัญญาอ่อนถึงยอมให้เปลี่ยนชื่อ ทีของเราตั้งชื่อไปมีคำแปลชัด ๆ ดันบอกว่าแปลไม่ได้"

เถรี 13-07-2016 21:22

พระอาจารย์พูดถึงหนังสือเครื่องรางของขลังที่วางขายทั่วไป "เดี๋ยวนี้เขาใช้วิธีนี้ ก็คือออกหนังสือให้หน้าตาดูน่าเชื่อถือ แล้วก็เอาของของตัวเองยัดลงรูปไว้ เอาไปจำหน่าย ชั่วจริง ๆ อาตมาดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของแท้

หนังสือที่ดีมาก ๆ เลย ๒-๓ ฉบับก็คือ ศิลปวัฒนธรรม สารคดี ฯลฯ รู้สึกคนไม่ค่อยจะสนับสนุนกัน ก่อนหน้านี้ก็มีหนังสือดี ๆ ๒-๓ ฉบับ คนค้นฅนก็หายหมดแล้ว ออกได้ไม่กี่เล่ม นี่ขนาดออกเป็นรายเดือนยังออกไม่ค่อยจะไหวเลย

อีกเล่มหนึ่งถ้าหากว่าเล่นเครื่องรางของขลัง ก็ต้องโน่นเลย Spirit ไม่ใช่เครื่องรางของขลังอย่างเดียว ของเก่าก็ลง นาฬิกาก็ลง แต่ถ้าพระเครื่ององค์ไหนลงในหนังสือของเขา เขาประกันให้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าคุณบูชาไปในราคาที่เขาลงเอาไว้ แล้วไม่พอใจเขาคืนในราคาเดิม เพราะเขามั่นใจว่าของเขาแท้ เขาเรียกว่าพระพันตา ก็คือต่อให้ ๕๐๐ คนดู ก็ต้องยืนยันว่าแท้ ยกเว้นมีตาไม่ครบสองข้าง แล้วเท่าที่ดูก็ใช่ แต่อย่างเล่มเมื่อครู่ที่คุณอรสาเอามาให้ดู ตอนหลัง ๆ เละเป็นโจ๊กเลย ปลอมทั้งนั้น

เรื่องของพระเครื่อง อาตมาสรุปง่าย ๆ ว่าเหมือนกับต้นไม้ ถ้าเรารู้จักว่านี่คือต้นไม้ชนิดไหน ต่อให้ต้นใหญ่ ต้นเล็ก ต้นแก่ ต้นอ่อน อย่างไรเราก็รู้ว่าคือต้นอะไร เมื่อวันก่อนมีโยมถวายมีดเล่มหนึ่ง อาตมาก็บอกว่าฝักทำด้วยไม้ชิงชัน สมุห์กอล์ฟถามว่า “แล้วดูออกได้อย่างไร ?” ถ้าเรารู้จักไม้ก็ดูออก ก็คือไม้ประดู่นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ประดู่แดง เป็นประดู่ชิงชัน"

เถรี 13-07-2016 22:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครอยู่ภาคใต้บ้าง ? น่าจะสักปลายกันยายนถึงเดือนตุลาคม น่าจะย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น อย่าไปอยู่ปักษ์ใต้ ของบางอย่างกฎของกรรมก็หนัก แบบเดียวกับโยมคนหนึ่ง ก่อนนั้นเขาซื้อกระสอบทรายกั้นรอบบ้านเลย แกถือว่ารั้วแกแข็งแรง ตอนช่วงน้ำท่วมปี ๕๔ แกก็กั้นแค่หน้าประตูบ้าน ปรากฏว่าน้ำมาหนักเข้า ๆ ดันกำแพงถล่มพรวดเดียว ชั้นล่างหายไปครึ่ง เก็บของไม่ทันสักชิ้นเดียว มัวแต่ใจเย็น บ้านอื่นเขาเก็บของขึ้นชั้นสองหมด บ้านนี้สบายใจ โฮมเธียเตอร์เอยอะไรเอย เละเทะหมด กลายเป็นเศษขยะเลย

ส่วนอีกบ้านหนึ่งนั้นน่าสงสารมาก กั้นหมด รั้วรอบขอบชิดแข็งแรง น้ำขึ้นมาทางท่อน้ำทิ้ง คนเราถ้าหากทำกรรมเอาไว้ ถึงเวลาก็โดนจนได้ ครอบครัวของท่านเจ้าคุณปิงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด บ้านอยู่ตรงไหนตรงนั้นไม่ท่วม แสดงว่าไม่ได้สร้างกรรมไว้เลย ที่ตลกที่สุดก็คือพี่สาวแต่งงานไปอยู่บ้านพี่เขย น้ำท่วมข้างละซีก แสดงว่าพี่เขยเฉลี่ยไปครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ได้แต่งกับพี่สาวท่าน สงสัยว่าจะโดนทั้งบ้าน

เรื่องกฎของกรรมนี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดว่า หลบไปอยู่ที่ไหนก็ไม่พ้น ไปอยู่กลางมหาสมุทร ไปอยู่บนภูเขา กลางอากาศ ไม่รอดทั้งนั้น

ขอบอกชัด ๆ ว่า ตอนนี้ที่เหตุร้าย ๆ ทุกอย่างยังชะลอ ๆ อยู่เพราะเขาเกรงใจในหลวง พอสิ้นในหลวงเมื่อไรได้รับเละกันแน่ ๆ คนอื่นเขาก็ไม่กล้าบอกชัดอย่างนี้"

เถรี 13-07-2016 22:44

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เหล็กที่เห็นไม่ใช่เหล็กน้ำพี้นะ เป็นน้ำพี้ปลอม แม้กระทั่งข้างบ่อ อ.ทองแสนขัน ยังปลอมเลย คนที่ไม่เข้าใจเห็นสีเหมือนปีกแมลงภู่ ก็คิดว่าน้ำพี้แน่นอน ไม่ได้สังเกตน้ำหนัก เหล็กน้ำพี้น้ำหนักจะเบา ที่เห็นเป็นเหล็กธรรมดาไปชุบแบบรมดำปืน จะเอาสีขนาดไหนชุบได้ทั้งนั้นแหละ

เดี๋ยวนี้เป็นยุคสมัยแห่งการหลอกลวง อะไร ๆ ก็ปลอมหมด แม้แต่ผู้หญิงยังปลอมเลย..!"

ชยาคมน์ 14-07-2016 17:12

1 Attachment(s)
อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี (โพสต์ 169436)
ถาม : ตามที่พระอาจารย์ได้ให้ข้อมูลมา มีข้อมูลมานานมากหรือครับ ?
ตอบ : ถามว่านานมากไหม ? ถ้าการแต่งเรื่องคุณช้างขุนแผนก็ต้องบอกว่านานมากแล้ว อาตมาเองอ่านหนังสือมามาก ในเมื่ออ่านมามาก ในสิ่งต่าง ๆ ที่รู้ว่าโบราณเขาทำอย่างไรถูกต้อง ก็ตักเตือนกันไปเรื่อย แต่ส่วนหนึ่งก็ฟัง บางส่วนก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ การที่โยมมาถามข้อมูลก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าเราเป็นสื่อมวลชน เราสามารถทำให้ข้อมูลแผ่ไปในวงกว้างได้ง่ายขึ้น

ถาม : ขอคำยืนยันว่าจริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจริงหรือไม่จริง มีข้อมูลยืนยันอยู่แล้ว โยมลองไปค้นตามที่ว่ามา

ถาม : เรื่องนี้ควรเผยแพร่ต่อหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็แล้วแต่โยมเห็นว่าเหมาะสม อาตมาก็ยังคงว่าไปเรื่อยถ้ายังไม่หมดแรงเสียก่อน เพราะต้องการให้ทำให้ถูกต้อง เนื่องจากว่าทางวัดเป็นศูนย์วัฒนธรรมของอำเภอด้วย

ถาม : ที่พระอาจารย์ได้ข้อมูลมานี้ พระอาจารย์ได้ศึกษามาจากหนังสือหรือที่ไหนครับ ?
ตอบ : ทั้งจดจำมาจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาปฏิบัติตามมา ทั้งที่อ่านจากหนังสือและตำราต่าง ๆ สรุปลงได้ว่า ที่พูดมานั้นไปตามที่ตนเองรู้ว่าโบราณเขาถืออย่างไร

ฝากทีมงานพิจารณาด้วยครับ (หากเห็นชอบโปรดแนบข้อมูลนี้ประกอบในโพสต์ที่ ๖๑ ด้วยครับ)

ผมขออนุญาตนำเสนอเอกสารอ้างอิง เพื่อประกอบคำแนะนำของพระอาจารย์ที่เมตตาแนะนำเรื่องการแต่งกายไปงานศพครับ

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1468490336

อ้างอิงจากหนังสือ "ประเพณีเนื่องในการตาย" ของ "เสถียรโกเศศ" หน้า ๑๖๓
(หนังสือเล่มนี้น่าจะมีการเขียนไว้ไม่น้อยกว่า ๕๐ ปีครับ)

นามปากกา "เสถียรโกเศศ" เป็นของ "ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน"
ประวัติของท่าน https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8...B8%A8%E0%B8%A8)

ท่านสามารถดาวน์โหลดหนังสือ "ประเพณีเนื่องในการตาย" ของ "เสถียรโกเศศ" ฉบับเต็มที่ได้
http://www.openbase.in.th/files/satienbook011.pdf

สำหรับเอกสารประเพณีไทยอื่น ๆ สามารถดาวน์โหลดได้ที่
http://www.sathirakoses-nagapradipa....&limitstart=40

เถรี 14-07-2016 20:42

ถาม : การวางกำลังใจของคนใกล้ตาย....(ไม่ชัด)..... จิตต้องรวมเป็นสมาธิ กำลังบุญเก่าจะกลับมาหมด หรือมาอัตโนมัติเจ้าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจิตก็ไม่รวม ถ้าจิตไม่รวมกำลังบุญเก่าก็ไม่กลับมา ขนาดพวกอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ยังลงนรกมาเยอะแล้ว จึงต้องภาวนาให้เคยชินไว้ทุกวัน ถึงเวลาสภาพจิตจะได้วิ่งเข้าไปหาองค์ภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวตอนสุดท้ายเขาก็จะรู้เองแหละว่าจะวางอย่างไรถึงจะไปได้

ถาม : จะต้องให้ศีล สมาธิ มากกว่านี้ หรือได้แค่อุปจารสมาธิก็ได้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าถ้าได้ฌานก็แน่นอนกว่า ถ้าได้อุปจารสมาธินี่มีอะไรกวนหน่อยก็เสียหายแล้ว คนใกล้ตายส่วนใหญ่สภาวะจิตจะกลับไปสู่อุปจารสมาธิโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนั้นจะรู้เห็นคติคือที่ไปของตัวเอง ท่านที่ทำความดีเอาไว้จะเห็นพรหมเห็นเทวดามารับ หรือถ้าความดีสูงสุดก็เห็นพระท่านมารับ ถ้าหากว่าเห็นอย่างอื่นคติก็บิด ๆ เบี้ยว ๆ ไปตามที่เห็นนั่นแหละ

เถรี 14-07-2016 21:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อทบที่อาตมาอยากได้จริง ๆ และเคยเห็นครั้งเดียวในชีวิตก็คือตะกรุด ๑๖ ชั้น ม้วนหนาเป็นถ่านไฟฉายเลย เห็นคนที่มีเขาบอกว่า “อะไรที่มีในชีวิตท่านใส่ลงไปหมดเลย” ถามท่านวิสุทธิ์ ท่านก็บอกว่าผมเองก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าอาตมาซี้กับ นายก อบต.วังชมพู ประเภทของอะไรเก่า ๆ ที่คนแถวนั้นมีก็พอจะได้เห็นบ้าง

โดยเฉพาะพวกวังชมพูเล่น ๑๑ มม.กันทุกบ้าน ของไม่ดีจริงเขาไม่พกหรอก แล้วของหลวงพ่อทบนี่ลองได้ทุกชิ้น จนกระทั่งทุกวันนี้สังขารท่านก็ไม่เน่าไม่เปื่อย อยู่ให้กราบไหว้บูชา

หลวงพ่อทบทำตะกรุดไม่เหมือนสำนักไหน ไม่เหมือนตรงที่ว่าจารเสร็จจะส่งให้ลูกศิษย์เอาไปยิงก่อน ถ้ายิงออกก็ทิ้งไปเลย ถ้ายิงไม่ออกท่านค่อยเอามาเสกเพิ่มให้ ...(หัวเราะ)... ก็คือใช้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาปิดท้ายก็ได้ ท่านก็ทุ่มเททำให้จนกระทั่งตอนช่วงท้ายก็สายตาเสีย มองอะไรไม่เห็นเลย"

เถรี 14-07-2016 21:03

"สมัยนั้นเขาเรียนวิชาถึงกันหมด แบบเดียวกับหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว เป็นลูกศิษย์หลวงปู่กลิ่น วัดหนองบัว หลวงปู่กลิ่นนี่เป็นอาจารย์ของทั้งหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ทั้งหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ทั้งหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ยิ้มถือว่าเป็นลูกศิษย์ลำดับท้าย ๆ ประเภทช่วงท้ายอายุหลวงปู่กลิ่นเลย

คนเขาก็สงสัยว่าอาวุโสหลวงปู่ยิ้มบางทีไม่ทันหลวงปู่เงิน ประเภทว่าทันเห็นกัน ทำไมท่านไปมาหาสู่กันขนาดนั้น ความจริงคือเรียนวิชาอาจารย์เดียวกัน มีวิชาอยู่วิชาหนึ่งของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัวก็คือการถักหวายคาดเอว โยนลงทะเลแล้วตักน้ำจากวงหวายจะเป็นน้ำจืด ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านเรียนมาจากหลวงปู่พ่วง วัดลิงโจน หรือว่าหลวงปู่ทิม วัดบางลี่น้อย เพราะว่าสายแม่กลองกับสายเมืองกาญจน์นี่ถึงกัน แจวเรือไปหากันได้"

เถรี 14-07-2016 21:07

"กรุงเทพฯ มีชื่อวัดลิงขบ แสดงว่าโดนลิงกัดไปเยอะ ที่เมื่อประมาณสักอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าต้นไม้ล้มแล้วลิงตายไป ๕๐-๖๐ ตัว อันนั้นไม่ใช่ว่าต้นไม้ทับลิงตาย เพราะว่าต้นไม้ล้มแล้วโอกาสที่ลิงจะตายนี่มีเกือบจะเป็นศูนย์ คาดว่าฟ้าผ่าต้นไม้ ลิงโดนไฟฟ้าตายก่อนแล้วต้นไม้ค่อยล้ม เพราะเป็นต้นไม้สูงใหญ่มาก เป็นต้นเดียวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย โด่เด่ล่อฟ้าอยู่เลย แล้วฟ้าผ่านี่ขนาดควายยังตายยกฝูงมาแล้ว ลิงตัวนิดเดียวจะไม่ตายยกฝูงได้อย่างไร

๕๐ กว่าตัวรอดไปแค่ ๖ ตัว คาดว่า ๖ ตัวนั้นวิ่งไปหลบที่อื่น ไม่ได้อยู่บนต้นนั้นด้วย ความจริง ๕๐ กว่าตัวนี่กินได้ทั้งหมู่บ้านเลยนะ ใครกินเนื้อลิงแล้วจะเสียนิสัย เพราะว่าอร่อย...!

สมัยที่ลุงปานยังไม่เกษียณแกยิงประจำ อาตมาไปอยู่ที่บึงลับแลจะมีลิงอยู่ ๒ ฝูง จะลงมาประจำเลย ฝูงใหญ่มีร่วม ๓๐ ตัว ส่วนฝูงเล็กก็ ๑๐ กว่าตัว หากินกันคนละขอบบึง แต่ก็เจอกันบ่อย พออาตมาอยู่จะมาล้อมเต็มไปหมด มีอะไรก็ต้องแบ่งให้กิน ที่แน่ ๆ คือกลางคืนหนาวมาก พอก่อไฟเขาก็มาอาศัย ตรงเวิ้งถ้ำที่ก่อไฟมีหินงอกหินย้อยอยู่ เขาก็อาศัยเกาะหินเพื่อเอาไออุ่น พอโดนควันก็ไอค็อกไอแค็ก น้ำตาไหลน้ำตาร่วง สงสารก็สงสาร

สังเกตได้ว่าลุงปานจะมาส่งอาหารตอนไหน เสียงลิงที่แซ่จะไปหายหมด ถ้าอยู่ ๆ มีตัวหนึ่งร้องเสียงดังขึ้นมาพักเดียวหายหมดฝูงเลย แล้วก็นับไปเถอะ อีกประมาณชั่วโมงหนึ่งลุงปานจะมา แสดงว่าลิง
ตัวที่เป็นยามอยู่บนยอดเขา เห็นตั้งแต่แกออกจากบ้าน แล้วลุงปานก็อยู่โน่น บ้านอยู่ห่างไปตั้งหลายกิโลเมตร แต่ลิงเขาเห็น"

เถรี 14-07-2016 21:15

ถาม : ทำไมต้องให้ยามไปเฝ้าดูลุงด้วยคะ ?
ตอบ : ก็แกยิงไปกินบ่อยจนกระทั่งลิงจำได้ว่าไอ้นี่แหละ ก็วางเวรเฝ้าเลย พอร้องทีหายหมด ถ้าอยู่ ๆ เสียงลิงเงียบหมดก็นับเวลาได้เลย ประมาณชั่วโมงหนึ่งลุงปานจะเอาอาหารมาส่ง

ถาม : แกยิงลิงทำไมคะ ?
ตอบ : กิน...แสดงว่าคนถามไม่เคยกินลิงผัดเผ็ด พวกลิงพวกค่างนี่ถ้าคนจะกินต้องใจแข็ง ๆ หน่อย เพราะเวลาที่เขาจับลอกหนังแล้วเหมือนเด็กถอดเสื้อ ...(หัวเราะ)...

ถาม : ลุงปานทำลิงผัดเผ็ดมาถวายหรือคะ ?
ตอบ : ไม่หรอก แกคนเดียวก็ไม่พอกินแล้ว ส่วนใหญ่ที่มาแกแบกข้าวสารมาให้ เพราะแกรู้ว่ากับข้าวมีแล้ว เป็นพวกปลากระป๋อง แกมาแล้วได้หวยนี่จึง ขยันฉิบหา...เลย ยิ่งใกล้ ๆ วันที่ ๓๐ หรือวันที่ ๑๕ นี่เป็นตายก็ต้องมาให้ได้ แกศรัทธามากขนาดแบกฟูกกับที่นอนเข้ามาให้ บอกไปว่า “ลุงปาน พระมาธุดงค์จะให้สบายขนาดนั้นเชียวหรือ ?” แกก็เลยแบกกลับไป เห็นอยู่ในป่าอากาศหนาว กลัวพระจะลำบากอุตส่าห์แบกฟูกกับที่นอนมาให้ แต่แกได้หวยไปก็คุ้ม คือนางไม้ตรงนั้นขยัน ถึงเวลาก็จะบอกก่อนว่างวดนี้ให้กี่ตัว บางทีจำกัดว่าเล่นได้เท่าไร บางทีก็ไม่จำกัด ที่ไม่จำกัดส่วนใหญ่กลับไปกลับมาแล้วให้มาตั้ง ๓ ตัว แกต้องแทงมั่วของแกไปเรื่อยเดี๋ยวก็ถูกเอง

เถรี 14-07-2016 21:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาเรียนวิชาโดยการแลกกันไปแลกกันมา อย่างวิชาธงกันไฟไหม้ กันฟ้าผ่า ที่หลวงปู่ปานท่านถ่ายทอดมานั้นก็เป็นวิชาสายแม่กลอง มาจากหลวงปู่ทิม วัดบางลี่น้อย ของเราสมัยนี้ไม่ค่อยจะมีเรื่องฟ้าผ่าแล้ว ส่วนใหญ่มีสายล่อฟ้า อาตมาเรียน ๆ ไว้ก็ไม่เคยทำสักที อุตส่าห์เขียนจนสวยเลย

ตอนช่วงหัดเขียนจะแกะอักขระเอาไว้บานเลย ยันต์ที่หลวงปู่ปานท่านลงไว้อีกด้านหนึ่งของยันต์เกราะเพชร เอาไว้กันไฟไหม้ กันฟ้าผ่าโดยเฉพาะ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะเอาไว้กันไฟไหม้

อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอย่างไร พอเห็นยันต์ก็รู้เลยว่าต้องเขียนอย่างไร ทำอย่างไร เวลาเขียนพวกอักขระยันต์ต่าง ๆ ที่เขียนยาก ๆ มีคนเคยถามว่าแก้หลายทีไหม ? “อาตมาเขียนยันต์ไม่เคยแก้ว่ะ” เขากลัวเขียนผิด พวกเขียนผิดแสดงว่าสมาธิไม่ดี

เดี๋ยวจะทำแบบนี้สักอันหนึ่ง ตัวนี้เป็นยันต์ตะกรุดคู่ชีวิต มาจากสายหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง หลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง แล้วก็มาถึงหลวงพ่อทบ วัดชนแดน พูดง่าย ๆ ก็คือดอกเดียวประกันชีวิตให้ ...(หัวเราะ)... แต่ว่ายันต์อันนี้หลวงปู่ปานท่านได้มาจากหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง เอาไว้มีอารมณ์แล้วอาตมาจะทำให้ เพราะเครื่องรางของขลังทำยาก ต้องเสกจนเป็นพระ รูปพระนี่อย่างไรก็เสกง่ายเพราะอย่างไรก็เป็นพระอยู่แล้ว"

เถรี 14-07-2016 21:37

ถาม : ต้องเข้าฌาน ๔ เขียน ?
ตอบ : ก็เต็มที่ที่เราทำได้ อย่างหลวงปู่ปานท่านก็ปิดโบสถ์ ๑๕ วันทำไปเรื่อย มีน้ำบาตรเดียว พูดง่าย ๆ ก็คือของหลวงปู่ปานท่านบังคับเข้านิโรธสมาบัติเลย คนก็ว่าหลวงปู่ปิดโบสถ์เขียนอักขระลบผงไปเรื่อย ๑๕ วันฉันน้ำบาตรเดียวอยู่ได้อย่างไร เห็นท่านออกมาก็ผ่องใสดี ความจริงอาตมาขอเรียนวิชานี้จากหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่าเป็นวิชาเฉพาะตัว ก็คือเทวดาท่านมาสงเคราะห์หลวงปู่ปานเอง หลวงปู่เอาผ้าเช็ดหน้ามาเสกโยนไปก็กลายเป็นครุฑ กางปีกมามีอักขระอยู่ก็ลอกมาทำผง เสกผ้าโยนไปเป็นหนุมาน แบมือมามีอักขระก็ลอกมาทำผง

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ข้าเสกโยนไปทีไรก็เป็นผ้าทุกที เพราะฉะนั้น...แกอย่าเรียนเลย" ...(หัวเราะ)... อาตมาคิดว่าขนาดครูบาอาจารย์ยังเสกโยนไปเป็นผ้า แล้วตูจะเป็นอะไรวะ ? เลยไม่เรียนก็ไม่เรียน เป็นวิชาเฉพาะตัว เทวดาท่านสงเคราะห์เฉพาะคน เสกเป็นนกกระจาบ เป็นไก่ เป็นเม่น เป็นปลา แต่ละอย่างจะมีอุปเท่ห์ก็คือวิธีการใช้ที่แตกต่างกันไป

แต่ว่าพอหลวงปู่ปานลบผงแล้ว ท่านเอามารวมกันหมด จึงมีอานุภาพเหมือนกันหมด ถ้าหาพระหลวงปู่ปานไม่ได้ระยะหลังนี้ก็โน่น ลูกอมนี่แหละ เพราะว่าตอนที่เอาผงวิเศษอุดก็เหมือนสมัยพวกอาตมาอุดผงคำข้าวนี่แหละ พออุดไปอุดมาแล้วที่ติดกาวติดอยู่กับมือ ปั้นไปปั้นมาก็เป็นลูกอม เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาความขลังนี่ลูกอมน่าจะขลังกว่า ...(หัวเราะ)... เพราะเป็นผงวิเศษล้วน ๆ

อาตมาเคยเห็นของเสี่ยเล็ก ชินวัตร มีติดตัวอยู่องค์หนึ่งเมื่อประมาณปี ๒๕๓๕-๒๕๓๖ แกบูชามาสองแสนบาท เป็นพระพิมพ์ขี่หนุมานนี่แหละ แต่ว่าเป็นเนื้อผงล้วน ๆ เลย ไม่รู้ว่าใครแอบปั๊มออกมา คือดูพิมพ์อะไรก็ใช่หมด แต่เป็นเนื้อผงล้วน ๆ เนื้อขาวเหลืองเลย แล้วสมัยโน้นองค์หนึ่งราคาสี่ห้าหมื่นเท่านั้น แกกล้าบูชามาสองแสนบาท แต่ก็ถือว่าคุ้มเหมือนกัน เพราะน่าจะประมาณมีองค์เดียวในโลก เหมือนอย่างกับอาตมาที่ทำพระวิสุทธิเทพ ถึงเวลาได้เกศาหลวงพ่อมา คนอื่นครกหนึ่งก็ใส่หยิบมือหนึ่ง ของอาตมาองค์หนึ่งใส่หยิบมือหนึ่ง ก็ทำเองนี่ เจ้านั้นก็คงเหมือนกัน อยากได้ผงวิเศษล้วน ๆ เล่นปั๊มออกมาเลย

เถรี 14-07-2016 21:38

พระอาจารย์กล่าวถึงตำราบูรพาจารย์ว่า "วันก่อนมีทิดสึกใหม่จากวัดท่าขนุน เขาถ่ายเอกสารตำราจากวัดไป แล้วค่อยมาขออนุญาต อาตมาก็เลยด่าไปว่า "ไอ้นี่เขาไม่เรียกขออนุญาต เขาเรียกว่าแจ้งเพื่อทราบ" ถ้าขออนุญาตต้องมาบอกก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงไปทำ นี่ทำเสร็จแล้วมาบอก"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:58


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว