![]() |
ถาม : ความชัดเจนของทิพจักขุญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ปกติไม่เท่าเทียมกัน คำว่าพระอรหันต์ปกติ หมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : พระอรหันตสาวกทั่วไป ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระอัครสาวกจะสว่างคล้ายกัน ถาม : แล้วอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ? ตอบ : ท่านสอนพวกเราว่าให้ขอบารมีพระท่านทุกครั้ง อยากรู้ชัด ๆ ก็ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ เสียบปลั๊กจากเครื่องปั่นไฟก็หมดเรื่อง จะไปเสียเวลาคิดอีกว่าท่านเป็นใคร จ้างให้ก็ไม่ใช้กำลังตัวเองหรอก |
ถาม : เจ้าที่มาให้เห็นแต่งตัวเป็นเทวดาแบบพุทธ ไม่ใช่แบบอิสลาม ?
ตอบ : ปกติ...ถ้าไม่ใช่ท่านมาให้เห็นชัดว่าเป็นอิสลามละก็เหมือนกันหมด ไม่ต้องกังวล เพราะเขตอิสลามอาตมาเจอเทวดาพุทธมาเยอะแล้ว เพราะอิสลามไม่ค่อยจะได้เป็นเทวดาหรอก ถาม : บูชาท่านอย่างไรคะ ? ตอบ : บูชาท่านตามปกติ ส่วนใหญ่พวกเราจะกังวลว่าพออยู่ในเขตอิสลามแล้วเจ้าที่จะเป็นอิสลามไปด้วย ที่อาตมาไปปากีสถานมาเห็นแล้วบางทีก็สงสาร อุทิศส่วนกุศลให้แล้ว บรรดาท่านทั้งหลายที่พอจะรับได้ก็ไม่กล้าเข้ามา อยู่ไกลลิบเลย เขาไม่เข้าใจว่าอยู่ ๆ ที่สว่างโร่นี่คืออะไร ? เป็นอันตรายหรือเปล่า ? เขาเลยไม่กล้าเข้ามา ถาม : แล้วทำไมเขาไม่รู้ครับ ? ตอบ : ก็เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความจริงตายแล้วฉลาดทั้งนั้นแหละ แต่คราวนี้เขาระแวง อยู่ ๆ สว่างขนาดนั้นคืออะไรก็เลยไม่กล้าเข้ามา ลองคิดว่าถ้าเป็นเราเห็นอยู่ ๆ สว่างโร่จนมองไม่ค่อยรู้เรื่อง จะกล้าเข้ามาไหม ? ถาม : อิสลามที่เห็นไม่ได้เป็นเทวดาหรือครับ ? ตอบ : เป็นเหมือนกัน แต่ต้องบอกว่าบุญเขาน้อยมาก เป็นเทวดาขั้นต่ำ ส่วนใหญ่ที่เจอก็คือสัมภเวสี เพราะว่าพวกนี้ตายก่อนหมดอายุ ถ้าตายตามอายุขัยส่วนใหญ่ก็ลงยาว เพราะว่าศาสนาของเขาสอนให้ฆ่าเป็นปกติ จะกินได้เฉพาะสิ่งที่ตัวเองฆ่าเท่านั้น |
ถาม : ที่บอกว่าสัมภเวสี ตายก่อนหมดอายุนี่คืออย่างไรครับ ?
ตอบ : สมมุติว่าเราอายุ ๗๐ ปีแล้วเราตายก่อน ก็เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปจนกว่าจะครบ ๗๐ ปีมนุษย์ ถาม : ที่พระอาจารย์เคยบอกว่าเทวดานางฟ้าบางชั้นยังต้องมีการไปซื้อหาของกิน มีการค้าขาย ประเภทนี้ตายก่อนหมดอายุขัยหรือเปล่า ? ตอบ : หมดอายุขัยแล้ว แต่ยังโง่ไปหน่อย คิดว่าตัวเองยังต้องกินต้องใช้ก็เลยไป จนกว่าจะรู้สึกว่า เอ๊ะ...เราเป็นเทวดานางฟ้าอิ่มทิพย์นี่นา ไม่จำเป็นจะต้องมายุ่งตรงนี้ก็ได้ ก็กลับไปวิมานตัวเอง พอเถอะ...อะไรที่นอกเหตุเหนือผลคุยไปก็เท่านั้นแหละ ไปดูเองถึงจะหมดเรื่อง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเด็กสมัยนี้แล้วนึกถึงมโหสถบัณทิต พ่อมโหสถเป็นมหาเศรษฐี เป็นโรคปวดหัวรักษาไม่ได้อยู่หลายปี พอคลอดมโหสถบัณฑิตออกมาลูกถือแท่งยามาด้วย แล้วยานั้นแหละใช้รักษาโรคของพ่อได้ ที่บอกว่าคิดถึงตรงนี้เพราะอะไรรู้ไหม ? เด็กสมัยนี้ถ้าออกมาคงถือไอโฟนมาด้วย เพราะเป็นยุคของเขา
พักเดียวเขาเล่นของพวกนี้ได้แล้ว เขาไม่รู้สึกว่ายาก แต่พวกเราไปคิดว่ายาก แสดงว่าผู้ใหญ่เราติดอุปาทาน ในเมื่อติดอุปาทานไปคิดว่ายากก็เลยเล่นไม่ได้ ฝรั่งเขาลองทำวิจัย ลองเอาไอแพ็ดไปทิ้งไว้หมู่บ้านแถวแอฟริกา ประเภทที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกเลย ไปทิ้งเอาไว้เดือนหนึ่งเล่นเป็นทุกคนเลย เปิดเองได้แล้วก็จิ้มไปเรื่อย ท้ายสุดก็เล่นเองได้" |
ถาม : เวลาไปงานศพแล้วจะมีอาการปวดหัว ไม่สบาย ?
ตอบ : เรื่องปกติ ที่โบราณเขาเรียกว่าชง ให้สังเกตว่าที่งานศพเขาจะมีขันน้ำมนต์อยู่ ให้ตักมาล้างหน้าก่อนเข้าบ้าน ถ้าเป็นงานศพคนจีนก็จะเป็นขันใส่ใบทับทิม ของไทยก็ขันที่หยดเทียนนั่นแหละ เขามีวิธีแก้อยู่ |
พระอาจารย์กล่าวว่า “ดูชื่อโยมที่บริจาคทองคำร่วมหล่อพระ มีชื่อหิรัญชัย อาตมาได้ยินเป็นครั้งที่ ๒ หิรัญชัยคนแรกเป็นลูกศิษย์ที่เรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ส่วนรายนี้ก็ยังมาคิดว่าคำนี้ควรจะแปลว่าอะไร หิรัญแปลว่าเงิน ชัยก็คือชนะ จะแปลว่าชนะเงินหรือ ?
ในวรรณคดีเขามียักษ์หิรัญ ยักษ์ตัวนี้ชื่อเงิน มีนิสัยเกเรมาก ขอพรพระอิศวรได้ก็ไปม้วนแผ่นดินหนีบเอาไว้ใต้แขน สัตว์และมนุษย์ลำบากไปหมด พระนารายณ์ก็เลยต้องไปปราบ พระนารายณ์ไปทำอย่างไร ? ก็ปลอมเป็นพราหมณ์ไป อยากให้ยักษ์ได้บุญก็เลยขอพื้นที่สำหรับการบำเพ็ญภาวนา ยักษ์ก็คิดว่าแค่นี้สบาย โลกทั้งโลกอยู่ใต้แขน ตัวเองหนีบเอาไว้นี่ ม้วนเป็นขนมทองม้วนเลย พราหมณ์บอกว่าขอไม่มากหรอก ขอแค่ ๓ ก้าวเท่านั้น ยักษ์เขาก็เต็มใจคลี่แผ่นดินลงให้ พระนารายณ์เดิน ๓ ก้าว หมดโลกพอดีเลย คนสมัยก่อนเขามีสัจจะ ในเมื่อถือสัจจะรับปากว่าจะให้ แม้จะโดนหลอกก็ต้องให้ ก็เท่ากับคืนพื้นโลกให้กับมนุษย์และสัตว์ต่อไป" |
"ทางด้านมวยไทยของเราก็มีท่านี้ เรียกว่า ย่างสามขุม คลุมแดนยักษ์ จะเห็นว่าเขาเดินอยู่แค่ ๓ มุมแต่ไม่มีที่สิ้นสุด กลับหัวกลับหางพลิกซ้ายพลิกขวาไปเรื่อย ถ้าหากคนไหนฝึกย่างสามขุมได้เก่ง ๆ คู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ได้หรอก จะเป็นจังหวะก้าวอัตโนมัติ ที่บางทีเขาใช้คำว่า หลบฉาก ความจริงไม่ใช่ฉากหรอก แต่เป็นสามเหลี่ยม กลับซ้ายกลับขวา พลิกบนพลิกล่าง สามเหลี่ยมจะหกคะเมนตีลังกาไปเรื่อย แต่จะอยู่ในสามเหลี่ยม ก็คือไม่เสียหลักด้วย
เพราะฉะนั้นคำว่า หิรัญชัย ในที่นี้น่าจะหมายถึงผู้ชนะยักษ์หิรัญ ซึ่งหมายถึงพระนารายณ์ อย่าไปแปลตรง ๆ ตามศัพท์ แปลตรงตามศัพท์บาลีเขาว่าแปลโดยพยัญชนะ ว่าตามตัวอักษรทุกตัวมักจะไม่ได้ความ ฉะนั้นต้องแปลโดยอรรถ ก็คือเนื้อความหรือความหมาย หิรัญชัยตัวนี้แปลว่าชนะซึ่งยักษ์หิรัญ ไม่ได้แปลว่าชนะเงิน ความจริงชนะเงินก็ดีนะ มาเท่าไหร่ก็ใช้ให้หมด..!” |
ถาม : คนที่อยู่ไกลต่างประเทศ ห่างไกลครูบาอาจารย์ เวลาติดขัดในการปฏิบัติไม่รู้จะถามใคร ควรทำเช่นไรครับ ?
ตอบ : ปฏิบัติต่อไปเดี๋ยวก็ได้คำตอบเอง |
ถาม : เวลาทำสมาธิบ่อยครั้งสังเกตว่า ถ้าวางใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่แบ่งแยกว่าเราคือเรา โดยไม่ได้จับลมตั้งแต่แรก จะสามารถจับลมได้เบาละเอียดกว่า จิตเบาสบาย เข้าสมาธิได้ดีกว่า อย่างนี้จะดีกว่าหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ควรจะเริ่มที่ลมหายใจก่อน แล้วค่อยไปคิดพิจารณา จากนั้นถึงจะกลับมาหาลมหายใจอีกที |
ถาม : ตอนแรกเขาไม่อยากมีครอบครัว อยากมีเวลาในการปฏิบัติ และก็อยากช่วยงานครูบาอาจารย์สร้างบารมี แต่ปรากฏว่าต้องไปอยู่ต่างประเทศ มีภาระ มีครอบครัว ต้องดูแลสามีและคนรอบข้าง พอกลับมาเมืองไทยตั้งใจจะกราบครูบาอาจารย์ แต่ยังไม่สามารถจะทำได้เลย จะต้องให้เวลากับครอบครัวที่เมืองไทย ?
ตอบ : บอกเขาว่าเลิกสงสารตัวเอง มีหน้าที่อะไรก็ทำให้ดี ถาม : จะบวชถือศีล ๗ วันแต่ก็ไม่มีใครดูแลลูก ๆ ได้แต่อธิษฐานรอไปก่อน อย่างนี้เรียกว่าเป็นกรรมไหมครับ ? ตอบ : ต้องโทษตัวเองที่กำลังใจไม่แข็งพอ |
ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิในแดนสัปปายะ เราไม่มีลมหายใจ เราจะนั่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : คุณใช้คำว่าแดนสัปปายะนี่เอามาจากใคร ? ถาม : เป็นคำที่คิดเองครับ ? ตอบ : ไปเปลี่ยนใหม่ อย่าบัญญัติศัพท์ขึ้นมาแล้วทำให้คนอื่นเขาสับสนไปด้วย ถาม : ถ้าเรานั่งสมาธิในพระนิพพาน ถ้าไม่มีลมหายใจแล้วเราจะนั่งได้ไหมครับ ? ตอบ : กำลังใจเกาะอยู่กับพระนิพพาน ลมหายใจจะมีหรือไม่มีก็ช่างหัวมัน |
ถาม : เขาบอกว่าที่เทวดาเขารบกันจริง ๆ แล้ว ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ยังไม่สามารถที่จะชี้ขาดได้ว่าถ้าตบะแตกแล้วจะเอาหรือเปล่า อย่าลืมว่าเทวดาก็ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนกับเรา |
ถาม : เรื่องของรูปผมพอจะพิจารณาว่าไม่เที่ยงได้ แต่เรื่องกลิ่นนี้จะพิจารณาอย่างไรครับ ?
ตอบ : เราสามารถที่จะได้กลิ่นตลอดไปไหม ? ถ้าไม่ได้ก็ไม่เที่ยง ถึงเวลาอยากให้มาก็ไม่มา ถึงเวลาไม่อยากให้มากลับมา ถึงเวลาอยากได้หอมกลับเหม็น ถึงเวลากลิ่นเหม็นมาแทนที่จะหอมเราก็ทุกข์ แล้วท้ายที่สุดตัวเราเองก็จะชิงตายจากไปเสียก่อน |
ถาม : ที่เขาบอกว่า คำว่าบังเอิญไม่มี ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้น...คำว่าบังเอิญไม่มีในโลกนี้ |
ถาม : ตอนที่พระอาจารย์ตัดต้นไม้แล้วมีมด พระอาจารย์วางกำลังใจอย่างไรที่ไม่กลัวมดจะกัดเรา พระอาจารย์ทรงฌานอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ |
ถาม : เพื่อนไปวัดแล้วเอาข้าวของของวัดกลับมา แล้วไปเตือนเขา ?
ตอบ : ทำไมต้องไปช่วยเขาแก้ด้วย ไปช่วยเขาทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้อะไรเลย จะกลายเป็นซ้ำเติมเขาหนักยิ่งขึ้น คนที่เขาไม่ยอมรับเขาจะด่าเรากลับมา กลายเป็นสร้างกรรมหนักยิ่งขึ้น เรื่องของทางโลกกับทางธรรมเราต้องรู้ว่าเวลาไหนควรที่จะพูด เวลาไหนควรที่จะวางเฉย คนเขาเอาของสงฆ์กันเป็นปกติ แล้วเราไปห้ามเขา เดี๋ยวเราเองจะโดนเสียเอง |
ถาม : ขอกราบนิมนต์พระอาจารย์เป็นประธานงานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : ไม่มีอารมณ์ จะทำอะไรอาตมารอพระสั่ง ถ้าพระท่านไม่ได้สั่ง คุณไม่ต้องเสียเวลามานิมนต์...! |
ถาม : (อุทิศส่วนกุศลให้ท่านที่ไม่เห็นตัว)
ตอบ : แค่นึกถึงก็พอ เห็นคนไหนก็นึกถึงเจ้าของภาพนั้น ถ้าได้ยินแต่เสียงก็นึกถึงเจ้าของเสียงนั้น ถ้าได้แต่กลิ่นก็นึกถึงเจ้าของกลิ่นนั้น |
ถาม : รู้สึกว่าจิตดับ ?
ตอบ : ใช้ให้ถูก ไม่ใช่จิตดับ แต่เป็นเพราะสติขาดแล้วเรารับรู้อะไรไม่ได้ เหมือนอย่างกับหลับไปเฉย ๆ ถาม : รู้สึกว่ามีแรงดึงไปครับ ? ตอบ : เขาดึงก็ตามเขาไปสิ ตั้งใจว่าพระอยู่ที่ไหนเราจะไปที่นั่น เขาอุตส่าห์ช่วยดึงแล้ว รีบตะกายไปเลย...ไม่ต้องเกรงใจ อาตมาเองตอนแรกก็โง่ เห็นแสงสว่างอยู่ลิบ ๆ มาดูดตัวไป ยังดื้อไม่ยอมไป ตอนนั้นยังไม่รู้ ไปขอให้ครูบาอาจารย์ช่วย ถึงเวลาท่านช่วยเราก็ดันสู้ยื้อเอาไว้อีก ถาม : ให้ไปเลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ตั้งใจไปเลย ตั้งใจว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไปกราบพระที่นั่น |
ครูบาอาจารย์ก่อนจะรู้เรื่องก็ผิดมาแล้วเหมือนกันทั้งนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเจริญกรรมฐานแล้วเห็นโครงกระดูกลอยมาทีละชิ้น ๆ ตั้งแต่หัวกะโหลกไล่มาจนกระทั่งถึงกระดูกปลายนิ้วเท้า ท่านก็ปล่อยเลยไป เห็นลอยมาอีกก็ปล่อยเลยไป เพราะไปจำที่หลวงปู่ปานสอนว่า ถ้านิมิตเกิดขึ้นอย่าไปสนใจ
แต่ปรากฏว่าอันนี้เป็นนิมิตในกองกรรมฐาน ท่านเคยทำอสุภกรรมฐานในอดีตมาก่อน ถึงเวลากำลังใจรวมตัวของเก่าก็มา ท่านก็ปล่อยให้เลยไปเรื่อย จนกระทั่งหลวงปู่ปานท่านเห็นว่า ดูท่าจะฉลาดแค่นั้น ท่านก็เลยเตือน ถามว่า "เป็นอย่างไรคุณ ? ผีหลอกหรืออย่างไร ?" หลวงพ่อท่านเลยเล่าให้ฟัง "ในเมื่อหลวงพ่อสั่งผมให้ไม่สนใจ ผมก็ไม่สนใจ" ทำตามคำสอนเป๊ะเลย...แต่ผิด นิมิตบางอย่างให้เราละ นิมิตบางอย่างถ้าเรารู้แล้วยึด จะง่ายกว่าเพราะไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่ อาตมาก็ผิดมาแล้ว ประเภทเขาดึง ก็ไปรั้งเอาไว้ไม่ยอมไป ถ้าหากว่าแรงดึงมากจริง ๆ แล้วไปรั้งไว้ก็เหมือนประเภทชักกระตุก ดิ้นตึงตังโครมคราม |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันงานทำบุญถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาบอกว่าเป็นงานฉลองพระอุปัชฌาย์ แต่จริง ๆ ทำถวายครูบาอาจารย์ อาตมาก็ถวายเงินร่วมสร้างหลวงพ่ออู่ทองที่พุทธมณฑลสุพรรณบุรี ไป ๑ ล้านบาท หลวงพ่อพระเทพสุวรรณโมลีสนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน ถ้าหากว่านิมนต์ท่านเมื่อไร วัดท่าขนุนไกลแค่ไหนท่านก็ไป
ยังขำ ๆ ตอนที่นิมนต์ท่านมางานฉลองสัญญาบัตรพระครูวิลาศกาญจนธรรม เพื่อนกันก็คือพระครูปลัดชลอ ซึ่งปัจจุบันก็คือพระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์ ท่านอาสาเอาฎีกาไปถวาย อาตมาก็มักง่าย ปกติพระผู้ใหญ่เราควรจะไปถวายฎีกาด้วยตัวเอง คราวนี้เพื่อนอาสาก็ยกให้ไป ท่านก็โทรมา "เฮ้ย...ไอ้พระครูวิลาศฯ มึงเป็นใครวะ ?" ก็กราบเรียนว่า "พระครูเล็กวัดท่าขนุนเองครับ" "อ้อ...มึงเองหรือ ? ชื่อใหม่กูก็ไม่รู้เรื่องเลย ไอ้ลอมาถึงก็ไม่บอกว่าเป็นใคร" ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของท่าน ปกติถ้าไม่รู้จักดีท่านก็วางเลย ท่านเห็นเบอร์โทรข้างใน ยังดีที่โทรมาถาม เงินล้านหนึ่งออกปากถวายท่านตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ช่วงที่สอบพระอุปัชฌาย์ แล้วท่านไปเป็นวิทยากรบรรยาย กราบเรียนท่านว่า "ผมตั้งใจถวายช่วยหลวงพ่อสร้างพระใหญ่ ๑ ล้านบาท แต่มีข้อแม้คือ ถ้าผมสอบพระอุปัชฌาย์ได้ จัดงานฉลอง วันงานจะถวายหลวงพ่อ ถ้าผมสอบพระอุปัชฌาย์ตก หลวงพ่อก็อด..!" มีการข่มขู่พระผู้ใหญ่ด้วย" |
"ตอนนี้ท่านกำลังสร้างองค์นั่งแสดงพระธรรมเทศนา ก็คือ ปางโปรดพุทธมารดา เป็นพระที่แกะสลักบนหน้าผา เฉพาะเกตุมาลาอย่างเดียวหนักเป็นตัน พอถวายปัจจัยท่านเสร็จแล้ว ท่านก็บอกว่าให้หาพวกแก้วแหวนเงินทองไว้ให้หน่อย ถึงเวลาวันบรรจุจะได้ช่วยกันบรรจุ ทำแบบโบราณ พอบรรจุพระบรมสารีริกธาตุก็ใส่แก้วแหวนเงินทองลงไปด้วย
ตอนนี้ท่านกำลังให้ช่างเจาะถ้ำอยู่ ในพุทธประวัติมีบรรดาถ้ำที่ใช้งานจริง หลายแห่งที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น ถ้ำสัตตบรรณคูหาที่เป็นที่สังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก ไหน ๆ ท่านก็สร้างพระใหญ่แล้ว ก็เจาะภูเขาทำเป็นห้องโถงประชุมไปด้วย ท่านยืนยันว่า "ถ้ายังไม่ถึง ๑๐๘ ปี ข้ายังไม่ตายหรอก" แล้วท่านก็ยกตัวอย่าง มโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจ ถ้าหากว่ากำลังใจถึงก็อยู่ได้ ท่านบอกว่าตั้งใจสร้างพระใหญ่ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าพระไม่เสร็จท่านไม่ตายหรอก ถ้าหากว่าเสร็จ ท่านก็จะหางานอื่นทำต่อไป เจอคนแก่ไม่กลัวตายยังไม่พอ ไม่กลัวที่จะอยู่นานอีกด้วย" |
ถาม : ตอนนี้ผมได้ยินเสียงแว่วมาปีหนึ่งแล้ว เสียงแว่วบอกว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นอมนุษย์ และทำให้ผมจิตตกอยู่เรื่อย ๆ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรกับเสียงแว่วนี้ ?
ตอบ : เคยนั่งสมาธิภาวนาบ่อยไหม ? ถาม : ไม่เคย ตอบ : ไปทำเสีย วิธีที่จะหนีจากเจ้ากรรมนายเวร ต้องสร้างกุศลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กุศลที่เราจะสร้างได้มากที่สุดและง่ายที่สุดก็คือทำสมาธิ ถาม : และถ้าเขาพูดกรอกหู ? ตอบ : เขาจะว่าอะไรก็เรื่องของเขา เรามีหน้าที่ภาวนา โดยเฉพาะถ้ากำลังของเราสูงกว่า เขาก็กวนเราไม่ได้เอง |
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงพ่อพระครูบวรพัฒนกิจ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอท่าม่วง มรณภาพ เรื่องของพระครูบวรพัฒนกิจนี่เป็นกรณีศึกษาของบุคคลที่เกษียณอายุราชการ ไม่มีงานทำ แล้วเฉา
ก่อนนี้ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอ งานทุกอย่างประดังลงตรงที่ท่าน มีแต่คนวิ่งไปมาหาสู่อยู่ทุกวัน พอท่านเกษียณอายุแล้ว พวกที่เคยไปก็ไม่ไปอีก พวกที่เคยนิมนต์ก็ไม่นิมนต์อีก ก็มีแต่วัดท่าขนุนที่ยังนิมนต์ท่านสม่ำเสมอ เลยกลายเป็นว่าปีหนึ่งท่านมีโอกาสไปข้างนอกไม่กี่ครั้ง ก่อนหน้านั้นเคยวิ่งงานทั้งปี ท่านก็เลยอยู่เหงา ๆ เฉา ๆ พอเฉามากไปก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ท้ายที่สุด พอร่างกายโทรมมาก ๆ ก็เดินไม่ไหว ต้องนั่งรถเข็นแล้วในที่สุดก็นอนติดกับเตียง แล้วก็มรณภาพ พอมาเปรียบกับหลวงพ่อพระเทพสุวรรณโมลี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านเกษียณแล้วท่านตั้งใจแกะสลักพระที่หน้าผามังกรบิน เป็นพระแกะด้วยหินองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และยังตั้งใจทำห้องประชุมใต้ภูเขา ถ้ามีเวลาท่านต้องแกะปางประสูติ ปางตรัสรู้ ปางแสดงปฐมเทศนา ปางปรินิพพานอีก ซึ่งดูจากงานที่ท่านกำหนดไว้แล้ว อีก ๑๐ ปีก็ยังไม่เสร็จ ตอนนี้พระองค์ใหญ่เพิ่งจะเสร็จแค่ช่วงบนลงมาถึงไหล่เท่านั้น ยังอีกเป็นปี ๆ กว่าจะแกะสลักองค์แรกเสร็จ แต่ท่านเล่นเฟส ๒ คือเจาะถ้ำแล้ว ท่านยืนยันว่าถ้าไม่ถึง ๑๐๘ ปี ท่านยังไม่ตายหรอก เพราะงานไม่เสร็จ" |
"ฉะนั้น...จะเห็นว่ามโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นของใจ ความจดจำของใจว่างานยังมีอยู่ เลยทำให้ท่านเองกระตือรือร้นคึกคัก ขนาดอายุ ๘๐ กว่า ไปบรรยายที่ไหน เป็นชั่วโมง ๆ ก็สรวลเสเฮฮาไปเรื่อย ส่วนหลวงพ่อพระครูบวรพัฒนกิจ พอท่านเกษียณแล้วไม่มีงานทำอีก เพราะงานในวัดท่านทำหมดแล้ว ต้องบอกว่าโบสถ์วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุงเป็นโบสถ์ที่สวยติดอันดับต้น ๆ ของกาญจนบุรี ในเมื่อท่านไม่มีงานที่จะทำอีก กำลังใจที่จะมุ่งมั่นก็ไม่มี ในที่สุดก็เฉา...หมดสภาพ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "สร้างพระขุนแผนอาตมากลัวอยู่แค่ ๒ สำนัก หลวงปู่ทิมคือ ๑ ใน ๒ สำนักนั้น พระของหลวงปู่ทิมเราจะเห็นว่าเคลือบบรอนซ์ จริง ๆ แล้วนั่นเป็นตัวชี้ขาดเลยว่าจริงหรือปลอม เพราะว่าสีเคลือบจะเก่าตามอายุ พวกของปลอมนี่ปลอมอย่างไรก็ไม่เก่าจริง
พระของหลวงปู่ทิมตอนนี้อาตมาก็เหลือแต่ลูกอมมัทรี ลูกอมผงพลายกุมาร เม็ดประคำผงพลายกุมาร หนุมานไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ? เพราะหนุมานได้มาตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี ถ้าหาเจอรับประกันว่าราคาแพงหูตูบ เปิดกระทู้กฐินปลดหนี้ด้วยพระขุนแผนพรายกุมารหลวงปู่ทิม ประเดิมที่ ๒ แสนบาท เพราะว่ากฐินปลดหนี้อาตมารับประกันยอดให้กับทุกวัด ๑ ล้านบาท ถ้าได้ไม่ถึงอาตมาจะควักเพิ่มให้จนครบหนึ่งล้าน ถ้าได้เกินก็ถวายท่านทั้งหมด ตั้งแต่ทำมาได้ต่ำสุดวัดละหนึ่งล้านห้าแสนบาท สูงสุดอยู่ที่วัดครูบาเหนือชัย สามล้านห้าแสนบาท ได้มากที่สุดก็ตอนที่ไปประมูลของกัน" |
"เหรียญเจริญพรหลวงปู่ทิมที่ไม่มีห่วง เพราะว่าอาตมาเอาห่วงไปหล่อพระ อาตมารู้ว่าคนเอาไปเลี่ยมเขาไม่เอาห่วงหรอก เหรียญนั้นยังไม่ได้ใช้ ใหม่กริ๊บเลย จะโทษใครได้...สมัยนั้นพระครูแสงท่านแนะนำเอง รู้สึกว่าพี่สุรกานต์จะบูชาหนุมานมา ๑ ตัว ช่วงนั้นพวกเรายังเบี้ยน้อยหอยน้อย ทำงานได้ค่าแรงวันละ ๒๕ บาทเท่านั้น ใครจะไปนึกว่าของ ๒๐ บาท ๓๐ บาทในสมัยนั้น ราคาจะเป็นล้านในสมัยนี้
สมัยนั้นเหรียญแพงที่สุดแค่ ๖๐ บาท นั่นเท่ากับค่าแรง ๒ วันกว่าทีเดียว เหรียญอายุยืนเต็มองค์ หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค เนื้อนวโลหะ ราคาตั้ง ๘๐ บาท หลายปีก่อนพระครูแสงมาถามว่า "หลวงพี่...เหรียญอายุยืนนวโลหะยังอยู่หรือเปล่า ?" แล้วท่านก็ขอไปปล่อยให้ใครก็ไม่รู้ ที่อาตมาหวงมากก็ชานหมากหลวงปู่สี เพราะหลวงปู่ท่านคายแล้วฉีกผ้าอาบห่อให้ ถือว่าได้ผ้าอาบด้วย ว่าจะตัดใจสร้างพระสักรุ่นหนึ่ง ด้วยการถล่มผงของครูบาอาจารย์ลงให้หมด เพราะว่าไปได้ลูกอมผงพรายกุมารมาครึ่งเม็ด ครึ่งเม็ดนี่แหละที่จะเอามาทำผง คือคนบูชาเขาขอดูเนื้อข้างใน บอกว่าขอผ่าเม็ดหนึ่ง ถ้าใช่จะก็เอาหมดเลย ใจถึงนะ...อาตมาเลยได้แบ่งมาครึ่งซีก อยากผ่านักก็ให้ผ่า ความจริงผ่าแล้วของหมดราคา แต่ดีที่เอาไปทำผงสร้างพระได้ ลูกอมผงพรายกุมารก็คือเนื้อพระขุนแผนพรายกุมารนั่นแหละ ท่านปั้นเป็นก้อน ก้อนใหญ่เพื่อทำพระขุนแผนพรายกุมารพิมพ์ใหญ่ ก้อนเล็กสำหรับทำพิมพ์เล็ก ที่ทำไม่ทันแข็งตัวเสียก่อน ท่านก็ชุบสีทอง กลายเป็นลูกอมผงพรายกุมารไป" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมซื้อหนังสือมาถวาย ๔ -๕ เล่ม พลิกดูแล้วเซ็งมาก บอกแล้วว่าถ้าจะซื้อหนังสือถวายอาตมา ให้ถามก่อนว่าอ่านหรือยัง ? เอามาแต่ละเล่มอ่านแล้วทั้งนั้น ไปเจอคนอ่านหนังสือไม่มีทิศไม่มีทางอย่างอาตมาก็ลำบาก เพราะว่าอ่านทุกแนวเลย"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามประวัติของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จะเป็นตัวอย่างการฝึกกรรมฐานที่ดีที่สุดของพวกเรา เพราะว่าท่านเสกปลักขิก เสกเท่าไรก็ไม่ดิ้น ตามตำราบอกว่าถ้าปลัดขิกดิ้นได้หรือวิ่งได้ ถึงจะใช้ได้ ท่านก็อุตส่าห์ไปหาต้นตำหรับปลัดขิกอย่างหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ไปถามทั้ง ๒ รูปตอบเหมือนกันว่า "ถ้าใจมั่น ก็ดิ้นได้"
ถามแล้วท่านก็กลับมาทำ ตรงจุดนี้ที่เรานักปฏิบัติมักจะเสียก็คือ เราทำเพราะอยากได้ ส่วนหลวงปู่เสกปลัดขิกแล้ว "อยากให้ดิ้นได้" เข้าใจหรือยังว่ากำลังใจพลาดตรงไหน ? พวกเราเวลาปฏิบัติแล้วอยากได้โน่นอยากได้นี่ ใจก็ไม่นิ่งเหมือนกัน จนกระทั่งท่านเข้าใจ คือตั้งใจว่าจะทำอะไร เป็นอย่างไร แล้วก็ทิ้งความตั้งใจไปเลย ภาวนาอย่างเดียว ปลัดขิกก็ดิ้นได้เอง ระยะหลังมีเกจิอาจารย์รุ่นใหม่ ๆ อายุน้อย ๆ ที่เสกปลัดขิกตั้งได้ นั่นเป็นของปลอม ข้างในเขาฝังแม่เหล็กไว้ เขาจะมีกล่องแม่เหล็กอยู่กับตัวเองที่กระเป๋าอังสะบ้าง ผูกอยู่ที่หน้าขาบ้าง ถึงเวลาก็จะวางปลัดขิกในมือ พอไปถึงกล่องปุ๊บ กล่องจะดูดปลัดขิกให้ตั้งขึ้นเอง ฉะนั้น...พวกนี้ถ้าให้ยื่นมือห่างตัว เสกให้ตายก็ไม่ตั้ง แล้วก็มีวัสดุบางอย่างที่เขาบอกว่าเป็นเหล็กไหล เอาแม่เหล็กดูดแล้วยืด วิ่งหาแม่เหล็กได้ อันนั้นจริง ๆ แล้วเป็นวัสดุบางอย่างคล้าย ๆ กับดินน้ำมัน แล้วเขาผสมกับผงเหล็ก ถึงเวลาเอาแม่เหล็กดูดใกล้ ๆ ผงเหล็กโดนแม่เหล็กก็จะวิ่งหา แต่ตัววัสดุติดอยู่ด้วยก็เลยยืดตามมา เขาก็เอาแกว่งซ้ายแกว่งขวาให้ดู ว่าดิ้นได้อะไรได้ แล้วขายเป็นเหล็กไหลราคาแพง ๆ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่ตั้งใจจะรับยันต์เกราะเพชรในวันที่ ๙ นี้ ถ้าคิดจะทำสะเดาะเคราะห์ก็ไม่ต้องเสียเวลามาทำที่นี่ เพราะการรับยันต์เป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัวอยู่แล้ว"
|
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนหน้านี้บางคนเรียกอาตมาว่า "หลวงพ่อ" ก็ยังรับได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ตอนนี้เรียกหลวงพ่อได้เต็มปากเต็มคำแล้ว เพราะว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชพระเองแล้ว ตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ก็เหมือนกับพ่อผู้ให้กำเนิดพระ เขาก็เลยเรียกว่าหลวงพ่อ ส่วนพระคู่สวดเขาเรียกว่าพระอาจารย์ ท่านเปรียบเหมือนกับเป็นพี่เลี้ยง บางคนบอกว่าเหมือนกับแม่นม
อาตมาเป็นแม่นมมา ๒๐ กว่าปี เพิ่งจะมาเป็นพ่อเอง เพราะว่าตั้งแต่พรรษาที่ ๕ พอออกพรรษา หลวงพ่อวัดท่าซุงก็บอกว่า "ให้แกซ้อมคู่สวดเอาไว้" เพราะว่าวัดท่าซุงบวชหมู่บ่อย บวชหมู่ตั้งแต่รุ่นอาตมา รุ่นนั้น ๓๖ รูป รุ่นถัดไปรุ่นพระครูแสง ๕๒ รูป ถัดไปเป็น ๑๘๐ รูป มีแต่เยอะขึ้นเรื่อย ถ้าคู่สวดน้อยจะไม่พอ ถ้าหลวงพ่อเห็นแววใครและอายุพรรษาได้ ท่านก็ให้ซ้อม ๆ คู่สวดไว้ แต่ตอนที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาได้แต่ซ้อมเป็นตัวสำรองอยู่ เพราะตอนนั้นคู่สวด ก็คือ พระครูปลัดอนันต์ พระครูสมุห์พิชิต พระครูสังฆรักษ์สุรจิต พระครูใบฎีกาสมพงษ์ พระปลัดวิรัช พระสมุห์บัญชา พระใบฎีกาประทีป ท่านรับหน้าที่อยู่ เมื่อเป็นอย่างนั้นอาตมาก็เป็นตัวสำรอง ออกมาจากวัดท่าซุงก็ไม่คิดที่จะเป็นคู่สวดใคร อยู่ป่าอยู่ดงสบายใจดี ปรากฏว่าพอไปช่วยงานหลวงพ่อวัดท่ามะขาม วันนั้นคู่สวดไม่มา หายไปรูปหนึ่ง บวชพระไม่ได้ หลวงพ่อท่านก็หันมาถาม "อาจารย์เล็ก...สวดได้ไหม ?" "ได้ครับ" "เออ...ถ้าอย่างนั้นก็สวดเลย" สวดเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านชมว่า "คล่องดีนี่ เดี๋ยวไปเอาตราตั้งได้" ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด ท่านก็ออกตราตั้งพระกรรมวาจานุสาวนาจารย์ให้ เท่ากับว่ามีใบขับขี่ สวดได้ถูกต้องตามกฎหมาย" |
"ตอนที่อยู่วัดท่าซุงนั่นแค่หลวงพ่อท่านอนุญาตให้สวด ถือว่าเป็นการภายใน แต่พอมาอยู่กาญจนบุรีได้รับตราตั้งตามระเบียบของคณะสงฆ์ จากนั้นก็สวดมาเรื่อย ต้องบอกว่าเป็นได้แค่พระอาจารย์ เพราะว่าคู่สวดคืออาจารย์ของพระใหม่ เป็นทั้งพี่เลี้ยงด้วย เป็นทั้งพระอาจารย์ด้วย พอมาเป็นพระอุปัชฌาย์ คราวนี้ใครเรียกหลวงพ่อก็รับได้เต็มที่แล้ว
โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ของหนกลางเขาบังคับว่าต้อง ๒๐ พรรษาขึ้นไป ของหนอื่นก่อนหน้านี้ก็ ๑๐ พรรษาบ้าง ๑๕ พรรษาบ้าง ถ้าอยู่ในที่กันดารอย่างพวกด่านช้าง แม่ฮ่องสอน ก็อาจจะผ่อนผันให้ ๑๒ พรรษาก็ได้ แต่ของหนกลาง (๒๓ จังหวัดภาคกลางและตะวันออก) ต้อง ๒๐ พรรษาถึงจะให้เป็นพระอุปัชฌาย์ มีคนถามหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ว่าทำไมถึงต้องพรรษามากขนาดนั้น ? ท่านบอกว่า ถ้าหากเป็นพระที่บวชตั้งแต่อายุครบ ๒๐ ปี ถ้าแค่ ๑๐ พรรษานี่ยังเหลาะแหละเต็มที มีโอกาสที่จะสึกได้ ถ้าหากว่าลูกศิษย์ลูกหาอยู่ไปจนเป็นใหญ่เป็นโตในวงการสงฆ์ แต่พระอุปัชฌาย์สึกไปก็จะรู้สึกไม่ดี อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากอายุพรรษาห่างกัน ๒๐ ปี ก็พอที่จะเป็นพ่อลูกกันได้อย่างแน่นอน" |
ถาม : ถ้าเราถือศีล ๘ แล้วกินนมถั่วเหลืองเป็นน้ำปานะ โดยไม่ได้เจตนา ?
ตอบ : ไม่ผิด ถาม : เพราะไม่เจตนาหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่เจตนาเฉย ๆ กินอย่างไรก็ไม่อิ่ม จะไปนับเป็นอาหารได้อย่างไร ? ถาม : หนูเห็นเขาโพสต์ในเฟซบุ๊ก ? ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของพระ จะเอาเคร่งครัดขนาดนั้นก็ได้ แต่จำไว้ว่าอะไรที่เคร่งเกินไป จะเป็นอัตกิลมถานุโยค โดยเฉพาะเราเป็นฆราวาสไม่ใช่พระ ถ้าไม่เจตนาไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้ว่าทำอย่างนี้แล้วผิดศีล แล้วยังตั้งใจทำ นั่นจึงถือว่าละเมิด |
ถาม : เวลาที่เราอาราธนาบารมีของครูบาอาจารย์ จะอาราธนาได้มากหรือน้อย เกี่ยวกับตัวเราเองไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเรารู้จักท่านและให้ความเคารพจริงไหม ? เหมือนกับว่าโยมจะไปเชิญนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในงาน ถ้าไม่รู้จักท่านแล้วจะไปเชิญท่าไหน ? ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักท่านแต่เข้าไปหาด้วยความเคารพ แล้วท่านเห็นใจและเมตตา ท่านก็รับเชิญ เราก็เชิญท่านได้เหมือนกัน ดังนั้น...เรื่องของการอาราธนาบารมีพระ สำคัญที่ว่าเรารู้จักท่านหรือเปล่า ? เราอาราธนาด้วยความเคารพหรือเปล่า ? ไม่ใช่อย่างปัจจุบันนี้เห็นมากต่อมากด้วยกัน นึกอยากจะสร้างรูปท่านก็สร้าง นึกอยากจะสร้างเหรียญก็สร้าง ประเภทที่ว่าทำก่อนบอกทีหลัง อย่างนั้นไม่ใช่การขออนุญาต แต่เป็นการแจ้งเพื่อทราบ เป็นลักษณะของผู้ใหญ่ทำกับเด็ก แล้วเราจะไปใหญ่กว่าพระได้อย่างไร ? ถาม : เวลาที่เราอาราธนาบารมีพระครอบตัว ? ตอบ : อยู่ที่เรา ขอทุกที่ทุกเวลาแต่ใจเราไม่ได้นึกถึงท่านก็เท่านั้นแหละ เราต้องนึกถึงพระด้วย |
ถาม : เคยอ่านหนังสือเจอ ถ้าเราพยายามทำกิจกรรมต่าง ๆ ในสิ่งที่เป็นกุศลในดินแดนพระนิพพาน ถ้าผมเองทำอะไรแล้วฟุ้งซ่าน ผมจึงยกจิตขึ้นไปดินแดนพระนิพพาน เพื่อระงับจิตที่ฟุ้งซ่าน ถือว่าเป็นวิปัสสนาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การระงับใจของตนเองไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ดีที่สุดคืออยู่กับลมหายใจเข้าออก แต่การที่เราส่งจิตออกไปยังที่อื่น เพื่อการระงับการฟุ้งซ่าน จะทำได้ดีต้องมีความคล่องตัวมาก ต้องคล่องตัวในเรื่องของฌานสมาบัติถึงระดับคิดจะทรงฌานเมื่อไรก็ทรงได้ ไม่อย่างนั้นเรากำลังฟุ้งอยู่ จิตไม่เป็นสมาธิ ทรงฌานไม่ได้ ย่อมไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว ถาม : ไม่รู้จะเป็นการปรามาสหรือเปล่า อย่างวิธีพื้นฐาน ก็คือ นึกถึงหน้าพระอาจารย์เล็ก เวลาผมจะระงับความฟุ้งซ่าน ผมจะเห็นพระอาจารย์เล็กยิ้ม ผมไม่ได้ตั้งใจจะปรามาส ผมเห็นเอง อย่างนี้ถือว่าเป็นการเหมาะสมไหมครับ ? ตอบ : เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอยู่ที่เรา ไม่ใช่เรากำลังด่าชาวบ้านอยู่ก็นึกถึงพระไปด้วย ถ้าหากว่าเห็นตอนไหนเกิดความเคารพ รู้สึกว่าดี ก็ใช้ได้ ถาม : ถ้าเราภาวนาที่ดินแดนพระนิพพานและข้างล่างทั้งสองแดนพร้อมกัน จะดีขึ้นไหมครับ ? ตอบ : ถ้าทำได้พร้อมกันก็จะดีขึ้น เพราะว่าเราสามารถแยกจิตออกไปหลาย ๆ ที่ได้ หลาย ๆ ใจได้ แต่ว่าถ้าตั้งใจให้จิตรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ต่อไปจะลำบาก เพราะว่าการที่เราแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่าง ก็อาจจะมีส่วนหนึ่งที่ฟุ้งซ่านได้ ถ้าจะให้ดีต้องเลือกเอาอย่างเดียว หลายคนเจอสภาพอย่างนี้มาแล้ว คือภาวนาอยู่แต่อีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านได้ |
ถาม : ถ้าผมอาราธนาพระพุทธเจ้าหลายองค์คลุมพร้อม ๆ กันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...จะไปยากอะไร เอาพระพุทธเจ้าไว้เหนือเศียรเหนือเกล้าของเรา ถัดลงมาเป็นครูบาอาจารย์ ถัดไปก็เป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งท่านไว้ตรงไหนของร่างกายก็จัดเรียงกันไป |
ถาม : การที่เราไหว้พระ เราได้ดอกไม้เวียน จะเป็นบาปกว่าดอกไม้ที่เราจัดหามาเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่บาปเขาหมายถึงถวายดอกไม้ที่เหี่ยวแล้ว ถ้าหากว่าเราเกรงว่าจะเป็นอย่างนั้นก็หาไปเอง เอาดอกใหม่ ๆ ไปสิ ถาม : แต่ถ้าเราเวียนแล้ว ดอกไม้ก็ยังใหม่อยู่ ? ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าสะดวกด้วยกันสองฝ่าย เราเองกว่าจะเดินทางไปซื้อไปหา บางทีก็ลำบากลำบน ระยะทางไกลบ้าง หรือไม่ก็เหน็ดเหนื่อยขึ้นมา เกิดอารมณ์เสีย กุศลก็ลดน้อยลงไปอีก ทางวัดเขาจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก็ถือว่าอำนวยความสะดวกให้แก่เรา แต่ถ้าเห็นว่าเหี่ยวมาก เราก็ไปหาของใหม่มาเอง |
ถาม : ตอนแรกผมลังเลว่าจะบูชาพระขุนแผนดีหรือไม่ เพราะผมก็เป็นคนทั่วไปที่ไม่รู้สึกในแง่บวกกับท่าน แต่ทีนี้ผมอ่านเจอว่าขุนแผน...(ไม่ชัด).... ซึ่งผมคิดว่าท่านต้องมีกุศลจิตอยู่แล้ว ถึงแม้ผมจึงจะเคารพได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ถือว่าเป็นการตั้งจิตที่ถูกต้องหรือไม่ ?
ตอบ : แล้วทำไมคุณนึกถึงขุนแผนเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ทำเป็นรูปพระพุทธ ? นึกให้เลยขุนแผนไปถึงพระพุทธเจ้าก็หมดเรื่องหมดราวไปแล้ว |
ถาม : ผมเคยอ่านเจอว่า มีพระวัดหนึ่งวิจารณ์เรื่อง..... ?
ตอบ : กำลังจะเป๋แล้ว ถาม : ไม่เป๋ครับ ผมอธิบายไม่ถูก ? ตอบ : ขอยืนยันว่าจะเป๋แล้ว ต่อไปอีกไม่นานจะออกมาแนวพุทธวจนะ หรืออาจารย์เกษม วัดสามแยก หรือพุทธอิสระ เรื่องของการปล่อยวางต้องรู้จริงถึงจะวางได้ แล้วจำไว้ให้แม่น ๆ ว่า บุคคลที่ปล่อยวางสมมติได้ ยังเคารพสมมติทุกอย่างเป็นปกติ ฉะนั้น...ให้ระวังตรงนี้เอาไว้ให้มาก ๆ ถ้าหากว่าเราวาง ๆ ๆ ๆ ทุกอย่างเลย จะกลายเป็นวางใส่กบาลคนอื่นเขา..! ถาม : อย่างเวลาเราจิตรวมตัว เรารู้สึกว่าถ้าเราละ เราจะไปอีกขั้นหนึ่ง ? ตอบ : ลองดูสิ...ถ้ารู้สึกว่าสมาธิสมาบัติตลอดจนกระทั่งกำลังใจดีขึ้นก็แปลว่าจริง |
ถาม : ถ้าเราชื่นชมใคร เราแค่ชอบ เราผิดศีลข้อ ๓ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีสิทธิ์ที่จะชื่นชมได้ ศีลข้อ ๓ จำกัดที่การล่วงละเมิดเท่านั้น ดูแต่ตามืออย่าต้องก็หมดเรื่อง ใจจะคิดอย่างไรก็คิดไป เพราะห้ามไม่ได้อยู่แล้ว ถาม : หมายความว่าเราชอบได้ ? ตอบ : เรามีศีลเป็นเกราะก็จบแล้ว อย่าไปล่วงศีล จะรักจะชอบสักกี่ร้อยคน อย่าไปละเมิดศีลก็หมดเรื่อง |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:07 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.