กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2727)

เถรี 25-06-2011 16:45

ถาม : ดอกบัวครรภ์รักษามีวิธีใช้อย่างไร?
ตอบ : ห่อผ้าขาวบางต้มกับน้ำมะพร้าวอ่อน ๓ ผล พอเดือดก็ยกลงทิ้งให้เย็น กินเช้า ๑ แก้ว เย็น ๑ แก้ว พอหมดแล้วต้มอีก ๓ ผล กินหมดแล้วต้มอีก ๓ ผล รวมต้ม ๓ ครั้ง จำนวน ๙ ผล เศษที่เหลือให้ลอยทิ้งน้ำไป

ตอนกินก็อธิษฐานขอให้คลอดง่าย มีความปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ให้เด็กเกิดมาแข็งแรง สมบูรณ์ เลี้ยงง่าย โตเร็ว เฉลียวฉลาด กตัญญู ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ถ้าเป็นผู้ชายขอให้ได้บวชสักหนึ่งพรรษา

เถรี 25-06-2011 16:55

ถาม : ใช้ของพวกโทรศัพท์มือถือแล้วเสียบ่อยมาก เสียแบบไม่มีสาเหตุด้วย เหมือนกับผ่านคลื่นแม่เหล็กแล้วถูกลบข้อมูลไปหมด เป็นเรื่องของไสยศาสตร์ใช่ไหม ?
ตอบ : บางทีก็อยู่ที่ตัวเราเหมือนกัน บางคนมีสนามแม่เหล็กในตัวเองสูงมาก พวกสนามแม่เหล็กนี้จะอยู่ในทุกอวัยวะ บางคนสนามแม่เหล็กมีคลื่นสูงมากเป็นพิเศษ ทำให้ของใช้เสียเร็ว ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องภายนอก เป็นที่ตัวเราเอง

ถาม : แก้อย่างไร?
ตอบ : อยู่ห่าง ๆ ของใช้ อย่าเอาติดตัวไว้ ถ้าติดตัวไว้จะเสียเร็ว อวัยวะทุกส่วนเราส่งคลื่นแม่เหล็กออกมาได้ ถ้าหากทางสายปฏิบัติเขาเรียกว่า "รัศมี" หรือ "รังสี" ฝรั่งเขาเรียกว่า "ออร่า" คนไหนที่พลังงานแรง ๆ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์จะพังหมด

เถรี 25-06-2011 17:17

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเมืองว่า "มีเบอร์ในดวงใจหรือยังว่าจะเลือกใคร ? นักการเมืองโดยเฉพาะบุคคลที่ได้ขึ้นไปเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ถ้าไม่ใช่คนช่างสังเกตหรือลงไปขลุกกับงานด้วยตัวเองแล้ว จะโดนปิดบังอยู่ตลอดเวลา

คนเขาจะบอกแต่ในสิ่งที่ชอบฟัง แต่จะไม่บอกในสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น..เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องตรงไหน คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นดีแล้วทั้งนั้น เจอแต่พวก "ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน" ก็กลายเป็นว่าทุกอย่างที่ทำนั้นดีหมด กว่าจะรู้ว่าไม่ดี คู่ต่อสู้ก็เอาไข่ไปชั่งกิโลเยาะเย้ยแล้ว..!

ดังนั้น..ถ้าก้าวขึ้นไปสู่ที่สูงแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็คือยังขลุกกับงานอยู่เหมือนเดิม ถ้าไปปล่อยให้คนอื่นทำแทน ตัวเราเองจะไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริงเลย เขาจะชงแต่เรื่องดี ๆ ให้ตลอด"

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สามก๊กบอกว่าแกล้งโง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ไม่ได้ แต่ถ้าโง่โดยไม่ต้องแกล้ง ถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ..!

เถรี 25-06-2011 18:26

ถาม : ถ้าจะแกะกรอบพระเลี่ยมทอง จากองค์หนึ่งไปอีกองค์หนึ่ง จะเป็นอะไรหรือไม่ ?
ตอบ : ดูเจตนาด้วย เจตนาครั้งแรกเราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาแล้วไปแกะนี่เป็นเรื่องเลย แต่ถ้าประเภทเงินทองเหลือเฟือมีกี่องค์เราเลี่ยมหมด ก็ทำได้

ถาม : เงินไม่เหลือหรอกครับ ตอนแรกเลี่ยมเพราะชอบองค์นี้ นาน ๆ ไปรักอีกองค์
ตอบ : ไม่เป็นไร บอกท่านว่าผมจะไปตัดจีวรให้ กรุณาหาเงินค่าจีวรให้ผมด้วย

ถาม : ถ้าเกิดหาจีวรไม่ได้ เลยเอาจีวรท่านไปขายเล่าครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน ถ้าตั้งใจถวายจะเป็นพุทธบูชา แล้วไปทำอย่างนั้นก็ซวยไปเลย แต่ถ้าไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อนก็แกะไปเถอะ มีเงินแล้วค่อยเลี่ยมให้ท่านใหม่

เถรี 25-06-2011 18:38

พระอาจารย์กล่าวถึงในหลวงว่า "ในหลวงทรงบารมีสิบครบถ้วนสมบูรณ์น่าชื่นชม วันแรกที่ขึ้นครองราชย์ก็ตรัสว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม" ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ๖๐ กว่าปีแล้ว พระองค์ยังไม่เคยผิดสัญญาเลย สัจจะบารมีเต็มเปี่ยมจริง ๆ บารมีตัวไหนเต็มเสียตัวหนึ่ง ตัวอื่นก็พลอยเต็มไปด้วย เพราะใช้กำลังใจเท่ากัน"

เถรี 25-06-2011 18:40

ถาม : เราจะแก้นิสัยขี้สงสัยในการปฏิบัติอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้จ้ะ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดผลแล้วจะหายสงสัยไปเอง ถ้าไม่สงสัยเราก็ไม่ดิ้นรนค้นคว้า เพียงแต่ว่าเราปฏิบัติให้เกิดผล ก็จะหมดความสงสัยในที่สุด

เถรี 25-06-2011 19:24

ถาม : ฝันว่าถือพระคำข้าวมาถวายท่าน อย่างนี้ต้องทำตามฝันไหม ?
ตอบ : ฝันเห็นพระเขาถือว่าเป็นมงคลใหญ่ โดยเฉพาะพระคำข้าว ท่านเด่นในทางให้ลาภ ดังนั้น..ตั้งใจขอบารมีท่านสงเคราะห์เราก่อน เหลือเมื่อไรค่อยเอามาถวายพระ

ถ้าฝันแล้วต้องทำตาม ฝันว่าเป็นหนี้พระก็ยุ่งสิ..มิต้องจ่ายกันบานตะไทเลยหรือ ?

เถรี 25-06-2011 19:31

ถาม : ฤกษ์ดีในการปลูกบ้าน เปิดร้านค้า ควรใช้ฤกษ์ไหน ?
ตอบ : ปลูกบ้านปลูกเรือน ตั้งร้านค้า ใช้วันศุกร์ข้างขึ้น เดือนคู่ แต่เดือนคู่นี้ให้เว้นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบ เพราะอยู่ในช่วงเข้าพรรษา เขาถือกัน

แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วจะเปิดกิจการใหม่ ให้ใช้ฤกษ์วันอื่นที่ไม่ใช่วันศุกร์

ถาม : แล้วกี่ค่ำ ?
ตอบ : ให้ข้างขึ้นไว้ก่อน จะกี่ค่ำก็ช่าง เขาถือเคล็ดคำว่า "ขึ้น" จะได้เจริญรุ่งเรือง

เถรี 26-06-2011 08:43

ถาม : ความรักคืออะไร ?
ตอบ : ความรักก็ต้องความรักในเมตตาตามแบบของพระ ก็คือการหวังดีปรารถนาดีต่อผู้อื่น เหมือนกับความปรารถนาดีต่อตนเอง เรารักเราชอบอะไร ก็อยากให้คนอื่นได้อย่างนั้นด้วย

เถรี 26-06-2011 10:53

พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่นำลูกเล็ก ๆ มาทำบุญว่า "เวลาลูก ๆ น่ารัก พ่อแม่ก็ปลื้มใจ ในเทวตาสังยุตของสังยุตนิกาย สุตตันตปิฎก มีเทวดาไปกล่าวคาถาต่าง ๆ ถวายพระพุทธเจ้า เทวดาองค์หนึ่งท่านกล่าวว่า "ผู้มีบุตรย่อมรื่นเริงเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมรื่นเริงเพราะโค"

สังคมอินเดียเขาพึ่งพาวัวโดยตลอด นม เนย นมเปรี้ยว ตลอดจน "กี" ซึ่งเป็นเนยที่เขาเคี่ยวเอาไว้เพื่อจุดไฟบูชาพระเจ้า และเชื้อเพลิงก็ได้จากขี้วัว ฉะนั้น..ใครมีวัวเยอะ ๆ ถือว่าเป็นมหาเศรษฐี ร่ำรวย คนมีวัวเขาก็ดีใจ

พอเทวดากล่าวว่า "ผู้มีบุตรย่อมรื่นเริงเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมรื่นเริงเพราะโค" ถ้าหากว่าถูก พระพุทธเจ้าจะประทานสาธุการให้ ถ้าไม่ถูกพระพุทธเจ้าจะแก้ให้ คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านแก้ว่า "ผู้มีบุตรย่อมทุกข์เพราะบุตร ผู้มีโคย่อมทุกข์เพราะโค"

เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งเทวดายังมีการเข้าใจผิดเลย เพราะฉะนั้น..ตอนนี้เราก็รื่นเริงเพราะบุตรไปก่อนนะ ถึงเวลาค่อยต่างคนต่างไป"

เถรี 26-06-2011 10:58

มีคนมาถวายหนังสือเกี่ยวกับหลวงตามหาบัวหลายเล่ม พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "พอสิ้นหลวงตาบัวแล้ว หนังสือต่าง ๆ ทะลักออกมาจนเต็มตลาด บอกไม่ถูกแล้วว่าเยอะขนาดไหน แต่เท่าที่ดูเล่มนี้น่าจะสมบูรณ์ที่สุด (หนังสือชื่อ"สมณะ")

เขาบอกเล่าเรื่องราวของท่านตั้งแต่ยังเด็ก ๆ อยู่ โดยเฉพาะรูปนี้ ยืนยันได้ว่าท่านจบเปรียญธรรมจริง ๆ เพราะมีพัดที่ได้รับพระราชทานจากในหลวง

สมัยก่อนคนสอบเปรียญธรรมจะมีไม่มาก ในหลวงก็พระราชทานพัดให้ พอมาระยะหลังสอบกันเป็นพัน ๆ ต้องมอบหมายให้เจ้าคณะหน ซึ่งจะมีหนกลาง หนเหนือ หนใต้ และเจ้าคณะธรรมยุติ ฯลฯ ให้ไปเป็นผู้ประทานพัดให้แทน"

เถรี 26-06-2011 12:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "การกล่าวคำขออุปสมบท นอกจากต้องชัดเจนแล้ว ยังต้องได้ยินทั่วถ้วนกันทั้งโบสถ์ เพราะเราไปร้องขออุปสมบทต่อคณะสงฆ์ จะได้เป็นหลักฐานยืนยันว่า..เอ็งมาร้องขอทั้งน้ำตา ให้ข้าบวชให้ ไม่ใช่ข้าทะลึ่งไปบวชให้เอ็ง..!"

เถรี 26-06-2011 12:16

ถาม : พระที่บวชแล้วไม่เป็นพระเต็มตัว คนที่บวชจะเป็นพราหมณ์หรือเป็นแค่เณรครับ ?
ตอบ : อย่างดีก็แค่เณร แต่ยังดีที่ได้เป็นเณร

ถาม : ถ้าใส่ผ้าเหลืองก็เป็นเณรแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ..! ใส่ผ้าเหลืองไม่มีศีลแล้วจะเอาความเป็นเณรมาจากไหน ?

ถาม : ผมรู้สึกหงุดหงิดใจมาก อีกไม่กี่วันนี้แม่ผมจะเดินทางไปวัดใหญ่วัดหนึ่งแถวบ้าน
ตอบ : คุณจะไปยุ่งอะไรกับแม่เล่า ?

ถาม : ผมอยู่ในงานด้วย ผมไม่ชอบใจมาก
ตอบ : เป็นเพราะเราเลวเอง มีอยู่สมัยหนึ่งประมาณปี ๒๕๓๐ สมณะที่สันติอโศกไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ตอนนั้นยังไม่มีการตัดสินให้คณะของท่านพ้นจากสภาพความเป็นนักบวช แต่พวกเราทุกคนก็รู้ว่าท่านไม่ใช่นักบวช เพราะท่านบวชกันเอง

ท้ายสุด..หลวงตาวัชรชัยต้องเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า จะจัดการอย่างไรกับเขาดี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "เอ็งก็เห็นเขาเป็นพระซะก็หมดเรื่อง"

หลวงตาก็มานอนคิดอยู่เป็นวัน ในที่สุดก็สรุปได้ว่า อย่าว่าแต่คนเลย ท้ายสุดหมูหมา กาไก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย อะไรก็ตาม จะต้องหลุดพ้นเข้าพระนิพพานกันหมด เอ็งก็ไหว้อนาคตพระอรหันต์ซะก็หมดเรื่อง จะไปสนใจอะไรกับปัจจุบันของท่าน

เถรี 26-06-2011 12:22

ถาม : แล้วผมควรจะอยู่เฉย ๆ ไว้ ?
ตอบ : ถ้าไม่เฉยก็แย่ เดี๋ยวแม่จะไม่ให้มรดก..!

ถาม : ผมควรจะไปไหมครับ ?
ตอบ : ตามแม่ไป ถือว่าเราไปดูแลแม่

ถาม : ตามหลักความเป็นจริง ถ้าผมควรจะอยู่เฉย ๆ นี่..?
ตอบ : เรามันโง่เอง จริง ๆ..โง่ฉิบหายเลย จะอยู่ที่ไหนก็ตาม เราก็ทำความดี ศีล สมาธิ ปัญญาของเราได้ อยู่บ้านเรารักษาศีลได้ อยู่วัดรักษาไม่ได้หรืออย่างไร ? อยู่บ้านเราทำสมาธิได้ อยู่ที่นั่นเขาทำกันเยอะแยะ เราก็ทำตามแบบของเราไป

เราจะได้เห็นว่า บุคคลที่หวังความหลุดพ้นยังไม่แน่ว่าจะหลุดพ้นได้ ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ขนาดนี้ แล้วเราจะเกิดอีกทำไม ? เราต้องฉวยสถานการณ์ให้เป็น เลือกเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง เหมือนกับเลือกเพชรจากก้อนกรวด แม้ว่าก้อนกรวดจะกองใหญ่ไปหน่อย เราคุ้ยเพชรให้เจอก็แล้วกัน

ให้รู้จักฉลาดขึ้นบ้าง จะได้ไม่ไปขัดคอใคร โบราณเขาบอกว่า ขัดขัน ขัดจอก ยังพองามได้ แต่ขัดคอเขาไม่ได้อะไร นอกจากจะโดนเตะ..!

ประสบการณ์ชีวิต กำลังบารมีที่สั่งสมมา จะทำให้มุมมองของเรากว้างออกไปเรื่อย ๆ และท้ายที่สุด ก็จะเห็นอย่างที่พระอริยเจ้าท่านเห็น ก็คือ คนเราไม่มีดีไม่มีชั่ว มีแต่คนที่กำลังเป็นไปตามกรรม ท่านก็จะไม่รังเกียจใคร แต่ถ้าประสบการณ์ไม่พอ เราก็ยังไปแบ่งแยกขาวดำชัดเจน ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี 26-06-2011 17:55

ถาม : ฝึกเจริญพระกรรมฐานมโนมยิทธิครับ นิมิตต่าง ๆ อย่างพวกการ์ตูนเข้ามากวนใจอยู่เรื่อย จะกำจัดพวกเรื่องที่แวบเข้ามาในหัวตอนที่ปฏิบัตินี้ได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ให้เราอยู่กับสมาธิมากกว่า โดยเฉพาะอยู่กับลมหายใจ ถ้าหลุดจากลมหายใจเมื่อไร การ์ตูนจะแทรกเข้ามา

เพราะฉะนั้น..ให้เราอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ ไม่ต้องไปที่อื่น นึกอยู่แค่นี้แล้วอย่างอื่นจะเข้ามาไม่ได้ แต่ถ้าเราหลุดไปเรื่องอื่นเมื่อไร การ์ตูนก็จะแทรกเข้ามา คราวนี้เห็นความร้ายกาจของการ์ตูนหรือยัง ?

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : บางคนอาจจะคิดว่าไม่สำคัญ เพราะว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เรารู้ว่าการ์ตูนเป็นอย่างไร แต่เด็ก ๆ เขาแยกไม่ออกว่าการ์ตูนกับเรื่องจริงต่างกันตรงไหน ฉะนั้น..จะอยู่ในใจของเขาง่ายกว่า พอนั่งกรรมฐานเมื่อไร การ์ตูนก็เข้ามา

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าเราหลุดไปจากตรงนี้ พอการ์ตูนมาเมื่อไร เราวิ่งกลับมาอยู่กับลมหายใจของเรา มานึกถึงลมหายใจเข้าจมูก..อก..ท้อง หายใจออกท้อง..อก..จมูก อยู่แค่นี้ก็เข้ามาไม่ได้แล้ว

แต่พอเผลอก็เข้ามาอีก ต้องสู้กันอย่างนี้ เหมือนเขาจะยึดเมืองเรา พอโผล่มาเราก็หนี ปิดประตูป้องกันเมืองเราไว้ พอทำไปนาน ๆ แล้ว กำลังใจทรงตัวแล้ว เขาก็เข้ามาไม่ได้เอง

เถรี 26-06-2011 18:02

ถาม : เวลาฝึกจับลมหายใจ จับแค่ลมตรงจมูกเข้าออกเท่านั้น
ตอบ : แค่ไหนก็ได้ ให้อยู่กับลมได้ก็ใช้ได้ทั้งนั้น วิธีนี้ในวิสุทธิมรรคท่านบอกว่า เหมือนกับคนเลี้ยงวัว ยืนเฝ้าวัวอยู่ที่ปากคอก วัวจะเข้าออกกี่ตัวก็นับไว้ นี่คือวิธีหนึ่งเหมือนกัน

ส่วนรู้ลมสามฐานหรือรู้ลมเจ็ดฐาน สำหรับคนจิตละเอียดนิดหนึ่ง เราเองฐานเดียวก็ดีเกินแล้ว ทรงเป็นฌานได้เหมือนกัน ขอให้อยู่กับลมจริง ๆ เถอะ

ถาม : เวลาภาวนานะมะพะธะรู้สึกว่าบางวันไม่ค่อยดี ต้องใช้สติปัฏฐาน แต่บางวันไม่ต้องสติปัฏฐาน ก็ไปเอง
ตอบ : สังเกตดูว่า ตอนนั้น ชั่วขณะนั้น เราคิด เราพูด เราทำอย่างไรถึงไปง่าย แล้วเราคิด เราพูด เราทำอย่างไรถึงไปยาก หมั่นสังเกตและเลือกเอาแต่ที่ไปง่ายไว้ จะได้ง่ายไปเรื่อย ๆ เราสังเกตไม่เป็นเอง

เถรี 26-06-2011 18:11

วันอาทิตย์หลายครอบครัวพาเด็ก ๆ มาบ้านวิริยบารมี จึงมีคำสอนเกี่ยวกับเด็ก ๆ หลายอย่าง เช่น

น้องซันร้องไห้อยู่หลังห้อง ใครว่าอย่างไรก็ไม่เงียบ พระอาจารย์จึงพูดว่า "ใครร้องไห้บ่อย ๆ โตขึ้นจะขี้เหร่ ไม่หล่อหรอก ถ้าเป็นผู้หญิงก็ขี้เหร่ไม่สวย ถ้าเป็นผู้ชายก็ขี้เหร่ไม่หล่อ เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้นะลูก ยิ่งร้องมาก ๆ หน้าหงิกทำคืนยากนะ จะน่าเกลียดมากเลย" น้องซันได้ยินดังนั้น เงียบทันที

พระอาจารย์บอกว่า "สำคัญที่ผู้ใหญ่ต้องรู้ว่าเด็กต้องการอะไร ถ้าไม่รู้ก็หลอกเด็กไม่ได้ และคนเป็นพ่อเป็นแม่ ต้องอยู่ในลักษณะปรับเปลี่ยนเฉพาะหน้า พลิกแพลงให้ทัน"

ท่านเล่าให้ฟังว่า "ที่ทองผาภูมิมีน้องฟ้าใส ฟ้าใสจะมาดักใส่บาตรทุกวัน เพราะหลวงตาให้พรว่า โตขึ้นให้เรียนเก่ง ๆ และสวย ๆ ฟ้าใสเขาอยากได้คำหลัง จึงชอบใส่บาตร"

เถรี 26-06-2011 18:17

พระอาจารย์สอนพ่อแม่เด็กว่า "ถ้าเกี่ยวกับวัด เกี่ยวกับพระ เด็ก ๆ เขาไม่รู้ เวลาทำอะไรที่ไม่ปกติ ที่เรารู้สึกว่าน่าเกลียด ไม่ถูกต้อง
เราอย่าเพิ่งไปห้ามหรืออย่าไปดุเขาแรง ๆ ให้ค่อย ๆ สอนเขา เพราะถ้าไปห้ามหรือไปดุเขาแรง ๆ ต่อไปเขาอาจจะกลัว ไม่เข้าใจ แล้วจะไม่กล้ามาอีกเลย

ค่อย ๆ อธิบาย ปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย เดี๋ยวก็เข้าใจเอง"

เถรี 26-06-2011 18:22

อย่างแม่ที่ตีลูกบ่อย ๆ พระอาจารย์ก็จะบอกว่า "ต้องให้แม่ฝึกสมาธิให้มากกว่านั้น เพราะแม่ยังระงับอารมณ์ใจตนเองไม่ได้

เป็นธรรมดาของเด็ก เพราะว่าสติ สมาธิ ปัญญาเขายังน้อย ก็เลยกลายเป็นความไม่ธรรมดาของผู้ใหญ่ที่ยังรักษากำลังใจไม่ได้
เลยต้องไปตีเด็ก เพราะฉะนั้น..มีวิธีก็คือ รักษากำลังใจของตัวเองให้ได้"

เถรี 26-06-2011 18:25

พระอาจารย์กล่าวถึงคนที่บวชว่า "คนที่หลุดออกจากวัดไป ถ้ากำลังใจไม่เข้มแข็งพอ จะกลับมาบวชอีกยาก เหมือนเสือหลุดจากกรงแล้วไม่อยากกลับเข้ากรง ยกเว้นจะรู้ว่ากรงนั้นมีประโยชน์อย่างไร ถึงจะกลับมา"

เถรี 26-06-2011 19:51

ถาม : ถ้าอยากให้สมาธิทรงตัว ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : รักษาระดับเอาไว้ ส่วนใหญ่เราทำแล้วทิ้งเลย ทำแล้วทิ้งเลยก็ถอยหลัง ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ถึงเวลานั่งแล้วสมาธิทรงตัวแค่ไหน เลิกไปทำอย่างอื่นแล้วต้องทรงให้ได้อย่างนั้น

เถรี 26-06-2011 19:54

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานอ่านเจอข่าวคนจีนขายไตไปซื้อไอแพด อะไรจะปานนั้นหนอ ? นั่นแสดงว่ากำลังใจของเขาต่ำมาก ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านกระแสบริโภคนิยม คือ รัก โลภ โกรธ หลงเลย

ยังดีนะเลือกขายไตตัวเอง ถ้าเลือกไปปล้นเขาเพื่อไปซื้อไอแพด สังคมจะแย่กว่านี้อีก นับว่ายังมีจิตสำนึกที่ดีอยู่บ้าง"

เถรี 26-06-2011 19:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "การตั้งศาลเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพของเราต่อท่านที่เป็นเจ้าที่เจ้าทางตรงนั้น ถ้ารู้วิธีว่าต้องตั้งศาลอย่างไร เราทำเองเป็นดีที่สุด เพราะแสดงออกซึ่งความเคารพและตั้งใจจริงของเรา ไม่ต้องไปง้อหมอพราหมณ์อะไรหรอก ทำเองไปเลย"

เถรี 27-06-2011 10:59

เวลาที่พระท่านกราบพระด้วยกัน โยมไม่ควรกราบพร้อมกับพระ เพราะเท่ากับให้พระท่านรับไหว้เรา

พระอาจารย์ได้เตือนโยมว่า "สำหรับโยม ถ้าไปที่อื่น อย่ากราบพร้อมกับพระ เดี๋ยวเขาจะดุเอา ปกติพระจะรับไหว้เฉพาะพระเท่านั้น แต่อาตมารับไหว้หมดทุกคน

ยิ่งปฏิบัติไปต้องยิ่งละเอียดขึ้น เพราะถ้าไปวัดอื่นเจอท่านที่ปากไม่ค่อยดี บางทีท่านจะด่าให้เลย เราต้องระวังไว้อย่าพลาดให้เขาตำหนิเอาได้"

เถรี 27-06-2011 11:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "แม้เราไม่มีรูปท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไว้บูชา แต่ท่านให้พรไว้ว่า ใครที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต
ดังนั้น..ถึงไม่มีรูปท่าน แต่ถ้าเราตั้งใจทำความดีจริง ๆ ก็นึกถึงท่านได้ ขอให้ท่านโมทนาบุญที่เราทำแล้วช่วยดูแลรักษาเราด้วย"

เถรี 27-06-2011 11:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องวัตถุมงคลของหลวงพ่อ อาตมาชอบเพราะท่านทำไปในทางแคล้วคลาดมากกว่า ท่านบอกว่าถ้ามหาอุตม์ เดี๋ยวลูกหลานเป็นโจรกันหมด พวกเรากำลังใจมักจะเกิน ส่วนใหญ่ไปด้านเดียว ถ้าเป๋ก็เป๋กระฉูดไปเลย ถ้ามีของดีชนิดที่ใครก็ทำอะไรไม่ได้ มีหวังได้เป็นโจรบ้าง ท่านก็เลยไม่ให้ทำมหาอุตม์

แต่อาตมานี่ถ้าวันไหนคันมือก็ทำ ถ้าไม่คันมือก็เอาเรื่องลาภผลดีกว่า ด้านลาภผลนั้นพื้นฐานของคนเสกจะต้องมี ถ้ามาด้วยผลของทานบารมีนี่ขลังสุด ๆ เลย

ถ้าในเรื่องของเมตตามหานิยม คนทำต้องถนัดในเรื่องแผ่เมตตา ไม่อย่างนั้นทำจะไม่ได้ผล เพราะต้องออกมาจากใจจริง ๆ
แต่มหาอุตม์แค่อุปจารฌาน ขนลุกก็ใช้ได้แล้ว ทำยากสุดคือเมตตามหานิยม เพราะต้องออกจากใจของคนเสกเอง"

เถรี 27-06-2011 19:27

มีโยมถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องกสิณ พระอาจารย์กล่าวว่า " เรื่องการฝึกกสิณเป็นพื้นฐานที่ง่ายมาก ๆ เพราะกสิณเป็นของหยาบ มีวัตถุเป็นเครื่องเพ่ง ยกเว้นกสิณแสงสว่างและอากาสกสิณเท่านั้น

ในเมื่อมีวัตถุให้ยึด อารมณ์ใจก็ทรงตัวได้ง่าย สำคัญตรงที่ทำแล้วต้องประคองดวงกสิณไว้ให้ได้ ถ้าประคองไว้ไม่ได้ ปล่อยให้นิวรณ์ ๕ เข้ามา ก็กลับมามืดบอดใหม่ ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ดังนั้น..การฝึกกสิณ ถ้าตั้งใจทำตามพระพุทธเจ้าท่านกล่าว รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดไม่ได้เลย เพราะใจเราต้องจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับองค์กสิณอยู่ตลอดเวลา เคยใช้คำเปรียบเทียบว่า เหมือนกับเราเลี้ยงลูกแก้วที่ตั้งอยู่บนปลายเข็ม เผลอเมื่อไรลูกแก้วก็ตกแตก เพราะฉะนั้น..ต้องมุ่งมั่นประคับประคองสุดชีวิต ทำให้อารมณ์ที่จะไปปรุงแต่งเป็นรัก โลภ โกรธ หลงก็ไม่มี

ดังนั้น..ในเรื่องของสมาธิหรือกสิณไม่ต้องมาถาม ไปหาตำรามา ชอบกองไหนก็ลุยไปเลย ส่วนใหญ่พวกเราหลายใจ พอใครว่าอะไรดีก็เปลี่ยนไปทำอย่างนั้น การปฏิบัติกรรมฐานต้องทำของเดิมให้ถึงที่สุดก่อน

คำว่า "ถึงที่สุด" ก็คือ ถ้าเป็นในเรื่องของสมถภาวนาต้องได้ฌานสี่ คล่องตัวในกองกรรมฐานนั้น ๆ แล้วจึงเปลี่ยนกองใหม่ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเหตุการณ์ที่อาตมาเคยเปรียบว่า ขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำ เราตั้งใจจะขุดบ่อ ขุดไปได้ ๓-๔ วา จวนจะถึงน้ำแล้ว เขาบอกว่าตรงนั้นน่าจะดีกว่า ก็ย้ายไปขุดตรงนั้น ขุดได้สักวาสองวา เขาบอกทางด้านนี้ดีกว่า เราก็ย้ายมาขุดด้านนี้ อีกกี่ชาติถึงจะได้น้ำ?

เราต้องขุดให้ถึงน้ำไปเลย แล้วค่อยเปลี่ยนที่ อย่าหลายใจ มุ่งมั่นกรรมฐานเดิมของตนเองให้ทะลุปรุโปร่งก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นกองอื่นใหม่"

เถรี 27-06-2011 19:37

"ก่อนจะเริ่มต้นกองอื่น เราต้องเริ่มซ้อมทบทวนกองเดิมไว้ทุกครั้ง สมัยที่อาตมาฝึกอนุสติ ๑๐ ไล่ตั้งแต่พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ มรณานุสติ กายคตานุสติ อุปสมานุสติและอานาปานสติ ถึงเวลาก็ต้องไล่ย้อนทวนแต่ละกอง ก่อนที่จะขึ้นกองใหม่

พอทำคล่องก็ไปรายงานหลวงพ่อวัดท่าซุง ไปด้วยความปลื้มใจมากว่า "หลวงพ่อครับ..เดี๋ยวนี้อนุสติ ๑๐ กอง ผมสามารถไล่ครบได้ภายในครึ่งชั่วโมง" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ลูก..ทั้ง ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึงสองนาทีนี่แย่มากแล้ว"

ตอนแรกอาตมาไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อแล้ว เพราะอารมณ์ท้ายสุดเป็นฌานสี่เท่ากัน ถ้าเราไปไล่ทีละกองก็โง่ตายชัก แค่ขึ้นฌานสี่ให้เต็มที่แล้วขยับทีละกอง สองนาทีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ สำคัญตรงที่เราทำคล่องตัวจริงหรือเปล่า ?

แต่คำว่าคล่องตัวจนทรงฌานสี่ได้ ไม่ใช่พระอริยเจ้านะ เพียงแต่ทรงกองกรรมฐานนั้น ๆ เท่านั้น การจะทรงความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้ได้อภิญญาแล้วก็ต้องย้อนกลับมาในส่วนของสุกขวิปัสสโก ก็คือมาดูเรื่องศีล และมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นกำลังของสุกขวิปัสสโกล้วน ๆ เลย

ฉะนั้น..ใครจะว่าเรามาด้านของวิชชาสาม มาด้านอภิญญาหก มาสายปฏิสัมภิทาญาณ ถ้าไม่เลี้ยวมาหาสุกขวิปัสสโก บรรลุไม่ได้หรอก แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป กำลังท่านสูง โอกาสบรรลุท่านง่ายกว่า แต่ต้องมาบรรลุด้วยสุกขวิปัสสโก ก็คือ ต้องมาพิจารณาวิปัสสนาญาณทั้งนั้น"

เถรี 28-06-2011 02:18

ถาม : ทำกิจการร่วมกับคนอื่นแล้วถูกโกง จะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ไปแค่กรอบของศีล พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่สามารถจะร่วมทางกันได้ ก็ให้จากกันด้วยดี เราไปแค่กรอบของศีลก็พอ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่ค่อยคำนึงถึงศีลถึงธรรม คิดถึงแต่ผลกำไรอย่างเดียว

เมื่อเช้านี้ได้พูดไปแล้ว ตอนโยมเขาเอาตำราเศรษฐศาสตร์มาแจก อาตมาเรียนเศรษฐศาสตร์มา ตำราเขาบอกมาคล้าย ๆ กับพระบอกเลย เขาบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีจำกัด แต่ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงต้องศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ เพื่อทำการแบ่งสรรปันส่วนให้ทุกคนได้รับความพึงพอใจอย่างสูงสุด เหมือนเอาพระมาเขียนตำราเลย

เพราะฉะนั้น..ถ้าพวกเราไปกันไม่ไหวจริง ๆ เราไปแค่กรอบของศีลพอ รักษาใจตัวเองไว้ ถอยออกมาดีกว่า

เถรี 28-06-2011 02:36

ถาม : พระ..จับเงิน..ไม่จับเงิน..?
ตอบ : ความจริงจับไม่ได้ทั้งคู่แหละ มหานิกายก็ผิด ธรรมยุตก็ผิด เพราะสิกขาบทที่ ๘ ในโกสิยวรรค นิสสัคคียปาจิตตียกัณฑ์กล่าวไว้ว่า ภิกษุรับเงินทองหรือสิ่งของที่เขาใช้แทนเงินทองก็ดี ต้องนิสสัคคียปาจิตตีย์

สิกขาบทที่ ๙ กล่าวว่า ภิกษุรับเองหรือใช้ผู้อื่นรับก็ดี ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ แปลว่า ถ้าพระธรรมยุตให้ลูกศิษย์รับก็โดนเหมือนกัน ฉะนั้น..พระมหานิกายที่ใจกล้ากว่า ก็คว้าเงินเองเลย ไหน ๆ ก็ผิดแล้ว

สำคัญตรงที่ว่าเรารับไป เราเอาไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมหรือเพื่อตัวเอง ? ถ้าเพื่อตัวเอง ต่อให้จับเงินหรือไม่จับก็แย่พอกัน สมัยก่อนหลวงปู่บุดดาท่านก็ไม่จับเงิน แต่พอไปอยู่วัดท่าซุง คนถวายเงินมา หลวงปู่ก็แหวกย่ามให้ใส่ หลวงพ่อท่านหันมาพอดี "ไม่เอาใช่ไหม ? ผมเอาเองก็ได้"

หลวงปู่บุดดาท่านตะครุบเลย "จับแล้วครับ" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ต้องอย่างนั้นสิ แค่วัตถุที่เป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าหากทำให้ใจหมอง ก็อย่าเอาเลย ผมเอาเองก็ได้"

มีหลายอย่างที่ทางธรรมยุตเขาถือมั่น ความจริงเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้จิตละเอียดขึ้น แต่จำนวนเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แทนที่จิตจะละเอียดขึ้น ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นได้ง่ายขึ้น กลายเป็นยึดติดมากขึ้น

ที่ยึดติดมากขึ้นเพราะไปคิดว่าท่านเคร่งกว่า ท่านดีกว่า ตรงจุดนี้จะเป็นอุปาทานอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า สีลัพพัตตุปาทาน ยึดมั่นในศีลพรต ยึดหลักปฏิบัติของตนว่าดีกว่าผู้อื่น ก็เลยไปไหนไม่ได้สักที แต่ท่านที่ดีทำถูก ความละเอียดตรงนี้ก็ส่งผลให้ท่านเข้าถึงธรรมได้เร็วขึ้น

เถรี 28-06-2011 02:39

ถาม : พระทิเบตท่านเป็นพระอริยะได้ไหมครับ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายมักจะไม่เป็นพระอริยะ เพราะท่านมาสายพระโพธิสัตว์

ถาม : ส่วนใหญ่..ก็แสดงว่าส่วนน้อยยังมีบรรลุอยู่ ทั้งที่ผิดศีล ?
ตอบ : ถ้าไม่ทิ้งศีล ๑๐ มีสิทธิ์บรรลุทุกคน เพราะว่าศีลพระที่เกิน ๑๐ ข้อไปนั้น เป็นศีลที่เอาใจชาวบ้าน เราต้องดูว่าสามเณรมีศีล ๑๐ แต่ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ ? ศีลข้อที่เหลือส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ชาวบ้านเขาติเตียน เขายึดถือมาก่อน ก็เลยต้องตามใจชาวบ้านเขา

แต่มาสำคัญตรงพวกเรา สิ่งใดที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้าม หรือสั่งให้ทำ เราต้องทำด้วยชีวิต ถึงจะแสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ ก็เลยกลายเป็นพวกเราลำบาก ต้องทำเยอะกว่าเขา ส่วนเขาเองตั้งใจรักษาแค่นั้น สบายใจเฉิบ

เถรี 28-06-2011 02:41

ถาม : ฌานในแต่ละระดับแบ่งอย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่ได้แบ่ง สำคัญว่าเราเข้าถึงหรือเปล่า ? ถ้าเราทำเข้าถึงระดับไหนก็เป็นฌานนั้น ที่เขาแยกแยะให้เพราะแต่ละขั้นตอนมีสภาพไม่เหมือนกัน

เราเองไม่จำเป็นต้องไปไล่ฌาน ๑ ๒ ๓ ๔ หรอก บางท่านภาวนาหายใจเข้า หายใจออก ข้ามไปฌานสี่แล้วก็มี ยิ่งฌานมีระดับสูงเท่าไร ยิ่งมีกำลังในการตัดกิเลสมากเท่านั้น

เถรี 28-06-2011 02:51

ถาม : ได้คาถาท่านให้มาตอนทำกรรมฐาน จะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : รับ ๆ เอาไว้และใช้งานซะ ถือว่าตอนนี้เป็นช่วงสร้างตัว นานไปอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ ตอนที่ผมไปธุดงค์ในทุ่งใหญ่ ผู้ร่วมคณะเขาขี้เกียจเดินกันจึงไปโบกรถ แต่ไปเจอรถระยำ วิ่งไปหน่อยเดียวก็ดันเสีย ในเมื่ออาศัยรถเขามาก็เลยต้องช่วยเข็น เข็นไป ๗๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น..!

ไม่ใช่ทางราบนะ ขึ้นเขาลงห้วยไปตลอด เข็นขึ้นเขาไปทีละนิ้ว เอาไม้รองไปเรื่อย พอถึงยอดเขาก็ปล่อยไหลลง กระโดดเกาะรถไป เข็นตั้งแต่เช้ายันค่ำ ขี้โคลนท่วมหัวเลย พอกลางคืนผมนอนเฝ้ารถ ปล่อยให้คนอื่นไปนอนกันที่โรงเรียนบ้านหินตั้ง

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เราลำบากแทบล้มประดาตายแม้แต่คำเดียว ท่านมาสั่งงานและให้คาถาไว้ด้วย ที่จะบอกคุณก็คือ บางทีท่านให้นั่นให้นี่ไว้ ไม่ได้กล่าวถึงความทุกข์ยากของเราเลย เพราะท่านรู้ว่าแค่นั้นเราทนได้อยู่แล้ว

เถรี 28-06-2011 02:56

ถาม : แม่ทำนากุ้งครับ ผมก็เลยต้องช่วยแม่ ผิดศีลใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของการขายที่เป็นมิจฉาวณิชชา คือ ขายสุรา ขายยาพิษ ขายมนุษย์ ขายสัตว์ที่มีชีวิต พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าพุทธมามกะไม่ควรทำ เพราะคนเข้าใจผิดจะคิดว่าไปสนับสนุนให้เขาศีลขาด

อย่างเช่น ขายเหล้า ความจริงเราไม่ได้บังคับให้เขากิน เขามาซื้อเอง เราไม่มีโทษหรอก แต่คนที่ไม่รู้ไปนินทาเข้าจะเกิดโทษกับเขา ดังนั้น..ตัวเราไม่ควรจะเป็นทุกข์โทษเวรภัยแก่ผู้อื่น แม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจเลย

พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เว้น ถ้าหาอาชีพอื่นได้ ก็บอกแม่เปลี่ยนอาชีพเถอะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องตัดใจ ประเภทเขามาซื้อเราขายให้ ส่วนเขาเอาไปทำอะไรเราไม่ต้องไปรับรู้

เถรี 28-06-2011 03:02

ถาม : กำลังใจยึดเกาะครูบาอาจารย์ แต่เป็นการยึดในกายเนื้อ รู้สึกว่าผิด...?
ตอบ : กำลังใจเราต้องมีหลักยึด ถ้าเราไม่ยึดหลักให้มั่นคงก็จะเคว้งคว้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่า จงมีตัวเองเป็นเกาะ จงมีตัวเองเป็นที่พึ่ง ในการเดินทางข้ามโอฆะคือห้วงกิเลสนี้ เพราะถ้าเรามัวแต่พึ่งคนอื่นอยู่ เขาไม่อยู่ให้พึ่ง เราก็จะเคว้งคว้างต่อไป

ท่านถึงได้กล่าวว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน โก หิ นาโถ ปโร สิยา ใครอื่นเลยจะเป็นที่พึ่งแก่เราได้ อัตตา หิ สุทันเตนะ ก็ตัวเราเองที่ฝึกดีแล้วนั่นแหลนาถัง ละภะติ ทุลละภัง จะเป็นที่พึ่งที่หาได้โดยยาก

เพราะฉะนั้น..เราต้องฝึกใจให้มั่นคงจริง ๆ สมาธิต้องทรงตัวจริง ๆ แล้วจะไม่เกิดความรู้สึกนั้นขึ้นอีก

เถรี 28-06-2011 19:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครถวายธรรมาสน์ ถวายตาลปัตร ถวายอาสนะ ถวายพรมรองนั่ง พระท่านว่าบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเกิดใหม่จะเล็กไม่เป็น เขายันออกไปอยู่แถวหน้าเสมอ เพราะอานิสงส์ที่ไปหนุนเสริมผู้อื่นเขา ผลบุญจึงเสริมตัวเองให้เด่นไปด้วย"

เถรี 28-06-2011 19:22

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเคยชินกับการที่เอาของไปแจกเขา เพราะที่วัดท่าซุงเป็นศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร

พอไปอยู่ทองผาภูมิอาตมาก็ทำแบบนั้นอีก รับสังฆทานได้ก็เอาไปไล่แจกตามวัดต่าง ๆ พระท่านรับแล้วทำหน้างง ๆ เพราะไม่เคยชินกับการที่พระไปทำบุญ ท่านรู้แต่ว่าพระมีหน้าที่นั่งรับอย่างเดียว แต่ตอนนี้พวกท่านชินแล้ว ถึงไม่ให้ท่านก็มาขอเองแล้ว

สังฆทานเป็นของส่วนรวม รับแล้วจะเอาไปกินไปใช้คนเดียวไม่ได้ ต้องแบ่งให้พระอื่นอย่างน้อยสี่รูปขึ้นไป แต่อาตมาแบ่งให้เป็น ๔-๕ วัด"

เถรี 28-06-2011 19:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในมหาปุริสวิตก ๘ ประการ ที่พระอนุรุทธท่านตรึกถึง มีอยู่ข้อหนึ่งที่ท่านว่า เป็นผู้มีสติตั้งมั่น คือ จำสิ่งที่ฟังมานานได้ จำสิ่งที่พูดมานานได้ ฉะนั้น..อาตมามองทีเดียวจำได้ จำไปตลอดชาติด้วย"

เถรี 29-06-2011 01:53

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องเทวดาว่า "ถ้าไม่ได้มีความชอบส่วนตัว อาวุธของเทวดามักจะเป็นพระขรรค์แก้วเหมือน ๆ กัน ท่านใดที่เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผลบุญก็จะส่งผลให้มีพระขรรค์คู่มืออยู่แล้ว"

เถรี 29-06-2011 01:59

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เห็นความจริงให้ได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น จิตใจจะปลดวางไม่ไปต่อต้าน แล้วความสุขจะเกิดขึ้น เหมือนกับเราขังเสือตัวหนึ่งไว้ในกรง เสืออยากจะออกจากกรงก็พุ่งชนกรง ทำให้เจ็บตัวไปเรื่อย แต่ถ้าเสือรู้ความจริงว่ากรงนี้ไม่มีวันเปิดออกมาจนกว่าจะตาย เสือก็แค่นอนนิ่ง ๆ แล้วจะไม่เจ็บตัว

จึงสำคัญว่าเรายอมรับได้หรือไม่ ? ถ้าเราเห็นความจริงแล้วยอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น อะไรที่ไม่เกินวิสัยเราก็แก้ไขไป ถ้าอะไรเกินวิสัยเราก็ยอมรับว่าเกินกฎของกรรม ไม่ไปดิ้นรน เราก็จะไม่เจ็บตัว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:52


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว