กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2727)

เถรี 13-06-2011 13:50

ถาม : แล้วคนที่ดวงมีมหาอุจจ์เยอะ ๆ นี่เป็นพวกดวงแข็งหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่เป็นมหาเศรษฐีก็เป็นมหาโจร ต้องดูว่าเขาจะเลี้ยวไปทางไหน ถ้าไม่เป็นรัฐมนตรีก็ต้องเป็นเจ้าพ่อ

ถาม : ถ้าเกิดทลิทโทฤกษ์ ?
ตอบ : ทลิทโทฤกษ์ แปลว่า ฤกษ์ขอทาน ถ้าทลิทโทฤกษ์ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ ต้องเป็นพระถึงจะดี เพราะทลิทโทฤกษ์ต่อด้วยมหัทธโนฤกษ์ ก็คือฤกษ์ขอทานต่อด้วยมหาเศรษฐี แปลว่าขอเขาได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น..ต้องบวชพระ..!

เถรี 13-06-2011 13:51

ถาม : การเปิดรับพุทธานุภาพจากวัตถุมงคลนี่ต้องใช้กำลังใจระดับไหนคะ ?
ตอบ : อุปจารสมาธิก็พอแล้ว เพียงแต่สำคัญว่าให้มีความเชื่อมั่นและเลื่อมใสจริง ๆ เหมือนอย่างกับว่าท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตของเรา เหมือนกับคนตกเหว คว้าไปเจอเชือกหรือเถาวัลย์แล้วต้องโหนให้สุดชีวิต ทำใจอย่างนั้นได้ก็รับรองว่าได้เต็ม ๆ

เถรี 14-06-2011 05:50

ถาม : ตอนนี้เห็นทุกข์จนเบื่อ จนไม่อยากไปพิจารณาอริยสัจ เพราะเบื่อมาก..?
ตอบ : รักษาความเบื่อเอาไว้ เพราะหาได้ยาก ถ้าไม่เบื่อเราก็อยากเกิดอีก ความเบื่อเป็นต้นทางของความหลุดพ้น เพียงแต่พิจารณาให้เห็นจริงว่า ธรรมดาของการเกิดมา จะต้องพบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์ มีแต่ความน่าเบื่อหน่ายแบบนี้ จะมีแก่เราชาตินี้ชาติเดียว ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพาน

ตั้งอารมณ์ใจไว้แบบนี้ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาของเราต่อไป ถ้ากำลังใจพอเมื่อไรจะก้าวข้ามไปเป็นสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางได้ ก็จะไม่ไปทุกข์ไปเบื่ออีก

เถรี 14-06-2011 05:55

ถาม : มีพระเครื่องอยู่องค์หนึ่งหายไป ก็เลยใช้คาถาที่ท่านบอก แต่ยังไม่ได้คืน..?
ตอบ : ยังไม่ได้คืนแสดงว่าสมาธิไม่ดีพอ อาตมาเองมีพระเนื้อเมฆสิทธิ์ปางซ่อนหาของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม หล่นหายตอนตัดกิ่งไม้ ตัดอยู่เป็นสิบ ๆ ต้นจึงไม่รู้ว่าหล่นหายที่ไหน

ปกติถ้าหากว่าอาตมาลืมพระของหลวงปู่ทับ ท่านจะตะโกนเรียก วันนั้นท่านคงนึกอยากจะเล่นซ่อนหา ท่านก็เลยไม่เรียก ท่านจึงเจอไอ้หลานทรยศ "ไม่เรียกกูก็ไม่หา" ท้ายสุดท่านก็เลยต้องง้อด้วยการกลับมาเอง

ถ้าอยากแล้วเราจะไม่ได้จ้ะ ท่องแล้วทำใจสบาย ๆ จะกลับมาหรือไม่กลับมาก็แล้วแต่ท่านเถอะ

ถาม : เวลาปฏิบัติใช้อารมณ์ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกับมองเห็นคนที่หยิบพระไป แต่พอถามเขาไปจริง ๆ..?
ตอบ : อย่าทำอย่างนั้น เพราะเราเองไม่มั่นใจว่าเรารู้จริง ในเมื่อไม่มั่นใจว่าเรารู้จริง อาจจะเป็นการคาดคำนวณ เอาความรักชอบเกลียดชังส่วนตัวของเราบวกเข้าไปด้วย ถ้าเราไม่แม่นในทิพจักขุญาณขนาดพิสูจน์ได้ทุกเวลา จะใช้เป็นหลักฐานไม่ได้

ถาม : หนูจึงตัดใจไปเลย
ตอบ : จ้ะ ตัดใจไปเลย รอพระองค์ใหม่ก็แล้วกัน

เถรี 14-06-2011 06:00

ความจริงอาตมาไม่รู้จักหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม ตอนพุทธาภิเษกพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน เจอหลวงตาแก่มาก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ ก็ถามท่านว่ามาจากไหนชื่ออะไร ท่านบอก “ข้าชื่อทับ” อาตมาก็ว่า “อ๋อ..หลวงปู่ทับวัดทอง”

เท่านั้นแหละ..โดนด่าหูตูบเลย “ไอ้ห่..มีแต่ไอ้ท่านวัดทองดังคนเดียวหรือไงวะ..?” อาตมาจะไปรู้หรือว่ามีอีกทับหนึ่ง ปรากฏว่าหลวงปู่ทับมีตั้ง ๓-๔ องค์ ก็ท่านไม่บอกว่าวัดไหน อาตมารู้จักแต่วัดทองวัดเดียว จึงโดนไปเต็ม ๆ เลย

พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้าน พอเจอหลวงปู่ทับช่วยสงเคราะห์ด้วย ก็เลยกลายเป็นพร้อมที่จะตีกับชาวบ้านเขาด้วย ก็นิสัยท่านบู๊ออกขนาดนั้น พูดง่าย ๆ ว่าเป็นประเภทถ้าขอดี ๆ แล้วไม่ให้ท่านก็จะปล้น..!

ที่ขำ ๆ ก็คือ พอได้พระปิดตาปางซ่อนหาของท่านมาก็พกติดตัวเอาไว้ ลืมทีไรท่านก็บอกทุกที วันนั้นหล่นหายท่านไม่บอก ไม่บอกก็เรื่องของท่านเถอะ..!

อาตมาบอกกับพระในวัดว่า "ผมไปตัดต้นไม้แถว ๆ นั้นนะ พวกคุณไปหาดูก็แล้วกัน แถว ๆ ๗ - ๘ ต้นนั่นแหละ ไม่รู้ว่าไปหล่นอยู่ตรงไหน.." ปรากฏว่าพระท่านหากันไม่เจอ อาตมาก็ไม่หาหรอก ปล่อยไปเกือบ ๆ ๒ เดือน จึงโผล่กลับมา

เถรี 14-06-2011 08:36

ของที่หายแล้วกลับมาเองก็มีหลายอย่างด้วยกัน อย่างสมัยก่อนเป็นแหวนมงคล ๙ ของหลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม วัดเดียวกับหลวงปู่ทับนั่นแหละ รุ่นไล่ ๆ กัน

คนโบราณตัวใหญ่ นิ้วก็เลยใหญ่ไปด้วย แหวนท่านอาตมาใส่นิ้วชี้ยังหลวมเลย วันนั้นเอาขยะไปทิ้ง เหวี่ยงเสียเต็มที่แหวนก็เลยลงคลองไปด้วย แล้วจะไปเอาคืนได้อย่างไร ปรากฏว่าอีกไม่กี่วันแหวนมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า นั่นถ้าหากว่าไม่ได้ทำหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา ก็ไม่มีทางที่จะเชื่อหรอกว่าท่านกลับมาเองได้ แสดงว่าท่านเบื่อน้ำเน่าเหมือนกัน จึงต้องเผ่นขึ้นมาอยู่ในตู้เสื้อผ้า

ตอนนั้นไปกราบหลวงพ่อเจ้าคุณไสว วัดอนงคาราม (ท่านเป็นเจ้าคุณพระเทพวิสุทธิเวที) ท่านเป็นเพื่อนร่วมวงน้ำปลาพริกป่นของหลวงพ่อวัดท่าซุงสมัยเรียนบาลีอยู่ ตอนนั้นท่านเป็นเณร แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นพระ

หลวงพ่อเจ้าคุณไสวบอกว่า "เฮ้ย..พระที่วัดตายพอดี ตอนนี้คณะสงฆ์กำลังแบ่งทรัพย์สินกัน ลองไปดูสิ เผื่อมีอะไรที่เขาแบ่งมาให้บ้าง" อาตมาก็เมียง ๆ ไป เขาส่งแหวนมาให้วงหนึ่ง แหวนมงคล ๙ มีอักขระเป็นหัวใจอิติปิโส อะสังวิสุโลปุสะพุภะ ทำด้วยเงิน แต่ว่าวงใหญ่เสียจนกระทั่งใส่นิ้วชี้ยังหลวม ก็แล้วแต่เขาให้ ให้อะไรก็เอาทั้งนั้นแหละ

แบบเดียวกับที่ไปวัดเทพศิรินทร์ เขาแบ่งสมบัติของหลวงปู่มหาอำพัน คราวนี้พระท่านส่งคทาของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาให้ ถามว่าจะเอาไหม ? อาตมาต้องวางปั้นหน้านิ่งแทบตาย ทำท่ารับแบบเสียไม่ได้ ความจริงอยากจะกระโดดกอดเขาเลย..!"

เถรี 14-06-2011 10:33

ถาม : ขอสูตรเคี่ยวน้ำมันแก้ปวดข้อปวดเข่า
ตอบ : ใช้น้ำมันมะพร้าว ๑ กะละมัง แล้วก็หัวเลียงผาทั้งหัว กระดูกหน้าแข้งเลียงผา ๔ ท่อน ทุบให้แตก ใส่ว่านม้าทองทุบแตกลงไปด้วย แล้วก็เคี่ยวกันข้ามวันข้ามคืน

ถาม : จะหาเลียงผาจากไหนคะ ?
ตอบ : ในเขาดินก็มี ก็ไปอุ้มมาสิ..!

เถรี 14-06-2011 11:29

ถาม : ปฏิบัติกรรมฐานจำเป็นต้องสมาทานพระกรรมฐานอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีเวลาก็ทำ เพราะว่าเป็นการขอบารมีพระท่านช่วยอย่างเป็นทางการ ถ้าหากไม่มีเวลาก็ลงมือภาวนาเลย ดังนั้น..ถ้ามีเวลาก็ทำ จะได้เป็นรูปแบบที่ถูกต้อง เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่เราด้วย

เถรี 14-06-2011 15:15

พระอาจารย์กล่าวถึงพระอภิธรรมว่า "พระอภิธรรมเขาเพิ่งจะมาใช้สวดงานศพในระยะหลังนี่เอง ที่ประหลาดที่สุดก็คือก่อนหน้านี้พระอภิธรรมเขาสวดในงานมงคล อย่างเช่นงานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานวันเกิด แต่พอเขาเอาพระอภิธรรมมาสวดในงานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ สมัยรัชกาลที่ ๕ ตั้งแต่นั้นมาคนก็เลยถือว่าอภิธรรมเป็นการสวดในงานอวมงคล แล้วไม่ไปใช้ในงานมงคลอีกเลย

เพราะฉะนั้น..งานแต่งงานของใคร ถ้าเขาให้ขึ้น "กุสลา ธมฺมา" ทำใจไว้ได้เลยต้องเจริญมากแน่ ๆ เพราะว่าพระอภิธรรม ๗ บทเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าเทศน์แล้วมีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ก็คือ ๘๐ โกฏิ

เราจะว่าเห็นพระพุทธเจ้าทรงเทศน์อนุปุพพิกถา บรรลุธรรมไป ๑๑๐,๐๐๐ คน เข้าถึงไตรสรณาคมน์อีก ๑๐,๐๐๐ คน ถือว่ามากมายมหาศาลแล้ว แต่พระอภิธรรม ๗ บทนี่บรรลุธรรมตั้ง ๘๐ โกฏิ"

ถาม : เฉพาะคนหรือเทวดา ?
ตอบ : เฉพาะเทวดา เพราะว่าเทศน์ให้คนฟังไม่ได้ ขนาดเทวดาที่ฟังหัวข้อแล้วเข้าใจยังใช้เวลาตั้ง ๓ เดือน อย่างพวกเราเอาแค่ ๓ ชั่วโมง ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ฟังแล้ว หนีไปกินข้าวกันหมด

เอาไหม ? ใครแต่งงานระบุให้ชัดไปเลย เดี๋ยวจะไปสวดอภิธรรมให้ พอขึ้นนะโมชั้นเดียว โยมที่เขารู้พิธีกรรมก็ใจหายแวบเลย เพราะว่างานมงคลทั่ว ๆ ไปปัจจุบันเขาขึ้นนะโม ๙ ชั้น

ถาม : เป็นอย่างไรครับนะโม ๙ ชั้น ?
ตอบ : อยู่ที่จังหวะ ถ้าเป็นนะโม ๕ ชั้นเอาไว้สวดนาค หรือไม่ก็เทศน์

เถรี 15-06-2011 07:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังตามหาที่อยู่ของธรรมโฆษ เพื่อขออนุญาตนำเรื่องลีลาวดีมาลงในเว็บไซต์วัดท่าขนุน

เรื่องลีลาวดีนี้ พระเรวัตตะในเรื่องไม่มีตัวตนจริง แต่ใช้ชื่อพระเรวัตตะในสมัยพุทธกาลแทน ตัวจริงคือพระอานนท์ มาจากตอนที่พระอานนท์ไปขอน้ำดื่มจากนางกุมภทาสี พระอานนท์เป็นวรรณะกษัตริย์ ส่วนนางกุมภทาสีเป็นจัณฑาล นางกุมภทาสีถามพระอานนท์ว่า ตนเองสามารถจะให้น้ำแด่วรรณะกษัตริย์ได้หรือ ? เพราะสมัยนั้นเขาถือว่าจัณฑาลเป็นเสนียดจัญไร

พระอานนท์บอกว่า คนเราทั้งหมดเกิดมาก็ล้วนแต่เสมอกัน ใครทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่ได้แตกต่างกันด้วยวรรณะ นางกุมภทาสีก็เลยชอบใจ ถวายน้ำแด่พระอานนท์ และยังแอบหลงรักพระอานนท์อีก เขาก็เลยเอาเนื้อหาตรงนี้มาผูกเป็นเรื่องลีลาวดี

แต่ว่าเรื่องลีลาวดีนี้ พระเอกเป็นจัณฑาล คือเรวัตตะไปหลงรักลีลาวดีที่เป็นลูกเศรษฐี ลีลาวดีก็รักตอบด้วย แต่พ่อแม่ของลีลาวดีไม่ยอมให้แต่งงาน ท่านหวงลูกสาว พระเรวัตตะช้ำใจก็เลยหนีไปบวช ลีลาวดีก็หนีไปบวชเป็นภิกษุณีตามไปด้วย หมดไปหนึ่งชาติ เพราะมัวแต่บรรยายความตามไท้เสด็จยาตร ตั้งแต่ต้นยันปลาย สรุปได้แค่นี้

ปรากฏว่าตอนท้ายภิกษุณีลีลาวดีป่วยใกล้ตาย พระเรวัตตะไปเยี่ยม ภิกษุณีลีลาวดีก็ยังคงตั้งกำลังใจผูกมั่นอยู่ พอตายไปก็มาเกิดใหม่ในภาค ๒ ลีลาวดีโตเป็นสาววัยรุ่น ไปเจอกันเข้า ต่างคนต่างจำกันได้ พระเรวัตตะตอนนั้นอายุประมาณ ๔๐ กว่าแล้ว ก็พยายามหนี เพราะตอนนั้นพระเรวัตตะเป็นอาจารย์ใหญ่มีชื่อเสียงมากแล้ว มีคนเคารพนับถือมาก เมื่อพระเรวัตตะพยายามหนี ลีลาวดีในชาติใหม่ก็ช้ำใจ ไปบวชอีกรอบหนึ่ง"

เถรี 15-06-2011 07:39

"พระเรวัตตะเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ เจอใครที่เป็นศาสดาเจ้าลัทธิเก่ง ๆ หรือจอมโวหาร ก็ยกหลักธรรมพระพุทธเจ้าขึ้นไป อยู่ลักษณะโต้วาทีเอาชนะเขา พอชนะเขาได้ก็ยิ่งมีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายิ่งมีชื่อเสียงมากก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่กำลังใจของตนต้องการ กำลังใจที่ตัวเองต้องการคืออยากแต่งงานกับลีลาวดี

ก็เลยตัดสินใจว่าจะสึกแล้ว เดินทางกลับเพื่อหาว่าลีลาวดีอยู่ที่ไหน ก็ไปเจอกันตรงประตูเมือง พระเรวัตตะก็แจ้งความประสงค์กับลีลาวดีว่าจะสึกแล้ว ลีลาวดีที่เป็นเด็กสาว อายุน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง บอกว่า "น้องชาย..ให้ตั้งใจปฏิบัติเถิด ธรรมะของพระบรมศาสดานั้นไม่เป็นหมันหรอก ใครปฏิบัติตามก็ได้ผลทั้งนั้น"

ลีลาวดีเธอเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ก็เลยเรียกพระเรวัตตะว่าน้องชาย หักมุมเอวเคล็ดจริง ๆ อุตส่าห์ตามมาข้ามชาติข้ามภพ ท้ายสุดเห็นทุกข์ ปล่อยวางได้กลายเป็นพระอรหันต์ พระเรวัตตะที่ปฏิบัติต่อเนื่องอยู่ชาติเดียว ตามไม่ทัน

ตรงจุดนี้แหละ..ตอนที่พระเรวัตตะบวชแล้วกามราคะกำเริบ พระอาจารย์พาไปดูซากศพในป่าช้า นั่งพิจารณาไปแล้วพระเรวัตตะก็ได้คิด ธรรมโฆษเขาเขียนเป็นกลอนว่า

นารีจะดูงาม..............ก็เมื่อยามที่ยังเยาว์
แก่แล้วก็เหี่ยวเฉา.......บ่มีส่วนจะพึงชม
ดุจปวงบุปผชาติ.........งามวิลาศน่าเด็ดดม
แรกบานก็งามสม.........แต่บ่นานก็โรยรา

เขามัวบรรยายในลักษณะนี้ ภาคหนึ่งจึงหมดไปตรงลีลาวดีป่วยตาย ตรอมใจตาย

เราจะเห็นอยู่อย่างหนึ่งว่า พระเรวัตตะพยายามหนีตัวเองสุดชีวิต พูดง่าย ๆ คือหนีกิเลส ท้ายที่สุดหนีไม่พ้น ยอมกลับไปเป็นทาสกิเลสใหม่ ปรากฏว่ากิเลสไม่ใช่กิเลสแล้ว ตัวกิเลสกลายเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว..!"

เถรี 16-06-2011 11:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ไม่เคยนอนเมรุ ไม่รู้หรอกว่าเมรุน่านอนแค่ไหน อาตมาไปวัดโพธิ์เมืองปัก ของหลวงพี่มหาถวัลย์ วัดนี้เป็นวัดเล็ก ๆ เวลาที่วัดจัดงานนี่เสียงดังกลบไปทั้งวัด อาตมาทนรำคาญไม่ไหว อยู่บนศาลานอนไม่ได้แน่ จึงลงไปเดินหามุมเงียบ ๆ

เดินไปเจอบ้านผีที่เขาทำเป็นช่อง ๆ สำหรับเสียบโลงได้โลงหนึ่ง แล้วซ้อนขึ้นไปเป็นชั้น ๆ อาตมาเห็นว่าว่างก็มุดเข้าไป เอาหัวเข้าไปได้ก็ปลอดภัยแล้ว อย่างน้อย ๆ เสียงเข้าไปได้ช่องเดียวก็ไม่ดังมาก แย่งที่ผีนอนก็แย่งมาแล้ว เรื่องอื่นเรื่องเล็ก..!

แต่ที่ไปแม่สานนั่นไม่ได้เจตนานะ ไม่รู้จริง ๆ เห็นเนินลาด ๆ ประมาณ ๖๐ องศา ต้นไม้ขึ้น ๒ ข้าง ก็คิดว่าสบายแล้ว ผูกเชือกแขวนกลดได้พอดี จัดการเสร็จสรรพเรียบร้อยก็สรงน้ำสรงท่า พอถึงเวลาเข้ากลดเอนตัวลงจะนอน เห็นผีโผล่มาตรงปลายเท้า ๖ ตัว แต่เทวดาที่มาทางหัวนี่ เฉพาะที่นำหน้า ๑๒ องค์ ที่ตามมาอีกเป็นกองทัพ ผีก็เลยต้องเผ่นแทน..!

อาตมาก็สงสัยว่าอะไรวะ อยู่ ๆ มาหลอกกัน แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ภาวนาของตัวเองไป พอรุ่งเช้าเก็บกลดเสร็จ สะพายบาตรเข้าไปที่วัด เณรเกียงดาถามว่าเมื่อคืนนอนที่ไหนครับ ? อาตมาก็ชี้ให้เขาดู เณรทำหน้าพิกล บอกว่า "นอนเข้าไปได้อย่างไร นั่นป่าช้า..!" อ้าว..ก็เอ็งไม่บอกนี่หว่า จึงกลับไปพิจารณาใหม่ ไอ้เนินลาด ๆ นั่นที่แท้ก็หลุมศพ มิน่า..เขาหวงหลุมถึงจะมาเล่นงานเอา..!"

เถรี 16-06-2011 11:04

"ว่ามาถึงตอนนี้ก็นึกถึงคุณทัศน์ทรง ชมพูมิ่ง คุณทัศน์ทรงรถเสียอยู่กลางป่า รถเสียแกก็นอนพัก ปรากฏว่าพอรุ่งเช้า มีชาวบ้าน ๗-๘ คน ถือขันดอกไม้มา บอกว่า "พ่อเลี้ยง..ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย" คุณทัศน์ทรงก็ถามว่าทำไม ? เห็นข้าเป็นอาจารย์ขลังหรืออย่างไร ? ชาวบ้านเขาบอกว่า "พ่อเลี้ยงนอนตรงนี้ได้ต้องขลังแน่เลย เพราะที่พ่อเลี้ยงนอนนี่เป็นหลุมผีตายทั้งกลม หลอกทุกคนที่มา..!"

พ่อเลี้ยงเขาเข้านอนเร็ว น่าจะไปนอนทับอยู่ผีก็ออกมาหลอกไม่ได้ ผีโดนทับออกมาไม่ทัน..(หัวเราะ).. อาตมาฟังแกเล่าก็ขำ ชาวบ้านเห็นว่านอนบนหลุมผีได้ต้องขลังแน่เลย "ช่วยลงกระหม่อมให้ด้วย" คนยังไม่ทันจะตื่นมานั่งล้อมกันแล้ว คุณทัศน์ทรงเขาคงจะพกวัตถุมงคลอะไรบางอย่าง ผีก็เลยไม่กล้าหือ"

เถรี 16-06-2011 11:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครที่ไปปฏิบัติธรรมแล้วยังรักษาศีล ๘ ไว้ได้ถึงตอนนี้บ้าง ? ในอุโปสถสูตร บรรดาหญิงชาวบ้านไปรักษาอุโบสถศีลกันเยอะ นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็สอบถามว่า “นี่แน่ะ...แม่ทั้งหลาย พวกท่านรักษาอุโบสถศีลไป โดยประสงค์สิ่งใดหรือ ?” หญิงมีอายุมากบอกว่า "เรารักษาอุโบสถศีลเพราะปรารถนาโลกสวรรค์"

หญิงวัยกลางคนบอกว่า "เรารักษาอุโบสถศีลเพราะไม่ต้องการอยู่รวมกับหญิงอื่นของสามี" พูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องการให้อานิสงส์ของอุโบสถศีล ช่วยให้ผัวไม่มีเมียน้อย หญิงสาวที่แต่งงานแล้วบอกว่ารักษาอุโบสถศีลเพราะหวังจะได้ลูกเป็นผู้ชาย

ส่วนหญิงที่ยังไม่แต่งงานก็บอกว่า รักษาอุโบสถศีลด้วยหวังว่าจะได้แต่งงานกับชายในตระกูลที่เสมอกัน พูดง่าย ๆ คือให้เป็นคนวรรณะเดียวกัน อย่าเป็นวรรณะต่ำกว่า

นางวิสาขามหาอุบาสิกาพอได้ยินแล้วก็สลดใจ ไปปรารภกับพระพุทธเจ้าว่า ทำไมเขาถึงตั้งความหวังกันแค่นั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "สำหรับปุถุชนทั่ว ๆ ไปแล้ว การปฏิบัติก็หวังในวัฏฏะทั้งนั้น ก็คือยังยึดข้องอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด จะไปให้เขาหวังความหลุดพ้นเป็นไปไม่ได้" คราวนี้เห็นหรือยังว่านั่นระดับศีล ๘ นะ"

เถรี 16-06-2011 11:12

"จุดที่น่าสังเกตมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นคนฉลาด และช่างคิดมาก ปกติของเราถือศีล ๘ ก็คงไม่คิดไปไล่ถามเขาหรอก ว่าต้องการอะไรถึงได้ถือศีล ๘

ประการที่ ๒ ก็คือ คนถือศีล ๘ สมัยนั้นมีทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่หญิงสาวรุ่นยังไม่แต่งงาน หญิงสาวที่เพิ่งแต่งงาน หญิงกลางคน หญิงชรา หวังว่าคงไม่มีเด็กอายุ ๖ ขวบอย่างน้องส้มโอนะ ...

ฉะนั้น..ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกเอาเรื่องจริง ๆ จะได้อะไรเยอะมาก จะเห็นสภาพของสังคมของยุคนั้นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เราจะได้รู้ว่า "คาม" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ? "นิคม" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ? "ชนบท" มีหน้าตาเป็นอย่างไร ?

คามะหรือคามในสมัยก่อน น่าจะประมาณหมู่บ้านของเราในปัจจุบัน พวกนิคมต่าง ๆ ต้องใหญ่ประมาณอำเภอหรือจังหวัด ถ้าหากว่าชนบทนี่เป็นประเทศเลยนะ จะเห็นว่าประเทศในสมัยนั้นไม่ได้ใหญ่โตมาก ประมาณ ๒-๓ จังหวัดได้ แต่ถ้าใหญ่ประมาณ ๗-๘ จังหวัดนี่เรียกมหาชนบท

สมัยนั้นมหาชนบทมีอยู่ ๑๖ แคว้นด้วยกัน แต่ว่าจะมีอยู่ ๔ แคว้นที่เป็นแคว้นใหญ่ ก็คือ มคธ โกศล วัชชี วังสะ วังสะมีกรุงโกสัมพีเป็นเมืองหลวง วัชชีมีเมืองเวสาลีเป็นเมืองหลวง มคธมีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง โกศลมีสาวัตถีเป็นเมืองหลวง

ถ้าเปรียบในปัจจุบัน มคธกับโกศล ก็คงเหมือนจีนกับอเมริกา ส่วนวัชชีกับวังสะ ก็คงจะรอง ๆ ลงมาในระดับอังกฤษกับเยอรมัน"

เถรี 16-06-2011 11:16

"แคว้นมคธถ้าเห็นว่าแคว้นอื่นเผลอเมื่อไร ก็ผนวกแคว้นอังคะเข้าไปด้วยทุกที เพราะฉะนั้นมหาชนบท ๑๖ แคว้นนี่บางทีก็มีไม่ครบ ๑๖ แคว้นหรอก เพราะว่าโดนแคว้นใหญ่กว่ากลืนไป

แคว้นโกศลนี่มีแคว้นเล็ก ๆ อยู่ในปกครองจำนวนมาก อย่างกบิลพัสดุ์ เทวทหะ ก็เป็นแคว้นในปกครองหมด พระเจ้าปายาสิ ในปายาสิราชัญญสูตร ที่ไปถามปัญหาพระกุมารกัสสปะ นั่นก็เป็นกษัตริย์ที่มีประเทศ แต่อยู่ในปกครองของแคว้นโกศล พระเจ้าปายาสิถึงได้บอกว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วว่าเรามีทิฐิอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงเปลี่ยนทิฐิไม่ได้ เจ้านายรู้แล้วว่าเป็นอย่างนี้ เปลี่ยนแล้วเดี๋ยวเจ้านายจะไม่ชอบขี้หน้า"

เถรี 20-06-2011 19:04

"ถ้าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะมีกษัตริย์ปกครอง แต่บางทีเขาก็เรียกผู้ปกครองว่ากษัตริย์บ้าง ราชาบ้าง แต่ถ้าเป็นแคว้นโกศลนี่เขาเรียกว่ามหาราช เพราะว่าปกครองหลายประเทศ

ส่วนแคว้นวังสะมีพระเจ้าอุเทนเป็นผู้ครองแคว้น ถ้าเอ่ยถึงแคว้นวังสะ เรื่องที่ชัดที่สุดก็เรื่องของพระนางสามาวดี ส่วนแคว้นวัชชี พระพุทธเจ้ามาจำพรรษาสุดท้ายอยู่ที่นี่ ที่บ้านเวฬุวคาม เมืองเวสาลี และทรงปลงอายุสังขารที่ปาวาลเจดีย์"

ถาม : แคว้นวัชชีมีผู้ปกครองหลายคนไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะคณะผู้ปกครอง ๗,๗๐๗ คน ก็คือ หัวหน้าใหญ่มี ๗ คน ทั้ง ๗ คนนี้จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐๐ คน เท่ากับมีแล้ว ๗๐๗ คน แล้วหัวหน้ารอง ๗๐๐ คนนี้จะเลือกคนขึ้นมาอีกคนละ ๑๐ คน เป็น ๗,๐๐๐ เพราะฉะนั้น..คณะของกษัตริย์ลิจฉวีที่ปกครองประเทศมีด้วยกัน ๗,๗๐๗ คน

เถรี 20-06-2011 19:12

ถาม : แคว้นวัชชีเป็นเมืองที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องจะตีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เมืองเวสาลี แคว้นวัชชีนี่แหละ ที่พระเจ้าอชาตศัตรูจ้องมาตั้งแต่สมัยพระราชบิดาของตนแล้วว่า ถ้ามีอำนาจเมื่อไรจะเอาแคว้นนี้แน่

เมื่อเช้าได้กล่าวถึงเรื่องอปริหานิยธรรม ว่าตราบใดที่แคว้นวัชชียังรักษาอปริหานิยธรรมได้ ย่อมไม่มีใครตีบ้านเมืองได้ แต่วัสสการพราหมณ์ใช้เวลา ๓ ปี ทำลายความสามัคคีได้ แล้วก็มีคนตั้งกระทู้ถามว่า พระพุทธเจ้ารู้อยู่ว่าถ้าตรัสถึงเรื่องอปริหานิยธรรมอย่างนั้นแล้ว วัสสการพราหมณ์จะไปทำการยุยงให้เขาแตกกัน และตีบ้านตีเมืองเขา ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกให้วัสสการพราหมณ์รู้ ?

มีคำเฉลยว่า ถ้าไม่ตรัสอย่างนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูจะยกทัพไปลุยเดี๋ยวนั้นเลย แข็งต่อแข็งเจอกันเลือดก็นองเป็นท้องธาร แต่ถ้าตรัสอย่างนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูต้องเสียเวลาวางแผนอีก ๓ ปี ทำให้เสียบ้านเสียเมืองช้าไป ๓ ปี มีเวลาทำความดีอีก ๓ ปี ก็คือ จะช้าจะเร็วก็เสียเมืองแน่ แต่ให้เสียช้าหน่อย คนตายน้อยลงหน่อย

เถรี 20-06-2011 19:28

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่ได้เข้าแคว้นโกศล เพียงแต่วนอยู่รอบ ๆ แคว้นนี้ตลอด ๑๔ ปี จนพระพุทธศาสนาปักหลักมั่นคงแล้วถึงได้เข้าแคว้นโกศล เพราะว่าตอนนั้นกบิลพัสดุ์เป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศลอยู่ บวกกับคำทำนายที่ว่า "สิทธัตถะราชกุมารจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก" ได้หลอกหลอนอยู่ทุกแคว้น ถ้าพระพุทธเจ้าเข้าไปแคว้นโกศลตรง ๆ ก็อาจจะหัวขาด..!

แม้ไม่มีใครฆ่าพระองค์ได้ แต่ก็ทำให้เขาสร้างเวรสร้างกรรมอันใหญ่หลวง พระพุทธเจ้าจึงต้องรอเวลาที่สมควร รอจนกระทั่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาแต่งงาน รอจนกระทั่งธนัญชัยเศรษฐีไปอยู่แคว้นโกศล รอจนกระทั่งอนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นพุทธสาวก เป็นพระโสดาบัน รอจนกำลังหนุนมากพอ เพราะว่ากี่ยุคกี่สมัยคนรวยเสียงย่อมดัง ในเมื่อแต่ละคนล้วนแล้วแต่กลายเป็นพุทธสาวก ให้ความเคารพและเอ่ยถึงพระพุทธเจ้ามาก ๆ เข้า ท้ายสุดพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทนไม่ไหว ต้องเข้าไปหากับเขาด้วย

ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎกแล้วรู้จักคิดจะสนุกมากเลย เพียงแต่อ่านแล้วต้องมีหลักนะ ถ้าคิดอย่างไม่มีหลักแล้วจะฟุ้ง

เถรี 21-06-2011 14:31

พระอาจารย์บอกว่า "คนที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก จะไม่ให้ความรักความชังหรืออารมณ์ส่วนตัวมาอยู่เหนือกว่าประโยชน์ของส่วนรวม

อย่างนิยายจีนเรื่อง แส้สะบัดเลือด พระเอกกับตัวละครตัวหนึ่งที่มีนิสัยกึ่ง ๆ ตัวโกง จะสู้กันทุก ๓ ปี โดยตัวละครที่มีนิสัยกึ่งตัวโกงนี้เขามีฉายาว่าขงเบ้งพิษ เป็นระดับสุดยอดฝีมือเลย ๓ ปีดวลกันครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคยชนะพระเอก ไม่ว่าจะวางแผนมาอย่างไรพระเอกก็แก้ได้หมด จนเขาเองก็แปลกใจว่า เขามีฉายาว่าขงเบ้งนะ พระเอกฉลาดกว่าหรืออย่างไร ?

ความจริงก็คือพระเอกเป็นหัวหน้าพรรค มีลูกน้อง ๓๐๐ กว่าคน ส่วนขงเบ้งพิษเป็นคนโดดเดี่ยว กึ่งธรรมะกึ่งอธรรม พระเอกเขาเฉลยว่า บุคคลที่ต้องคิดแทนผู้อื่น ๓๐๐ กว่าคน กับบุคคลที่คิดแค่คนเดียว บุคคลที่คิดแทนคนอื่นอย่างไรก็รอบคอบกว่า กำลังใจเหนือกว่ากันเยอะ"

ถาม : ระหว่างคนที่มีกำลังใจเมตตาผู้อื่น กับคนที่ไม่เมตตา ?
ตอบ : คนที่เมตตาผู้อื่น มุมมองของชีวิตจะกว้างกว่า สามารถที่จะเห็นชัดเจนเลยว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตัวเอง รัก โลภ โกรธ หลง จึงน้อยลง โอกาสที่จะหลุดพ้นก็มีมากขึ้น แต่ถ้ากอบโกยเพื่อตัวเอง จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยรัก โลภ โกรธ หลง ก็หลุดพ้นยากขึ้น

เถรี 21-06-2011 16:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครอบครัวคนจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมเขาจะไม่กินสัตว์ใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นคุณูปการของเจ้าแม่กวนอิมที่ช่วยชีวิตสัตว์ได้อย่างมหาศาล ถ้าไม่อย่างนั้นสัตว์คงต้องตายกันอีกนับไม่ถ้วน"

ถาม : อิสลามเขาสอนลูกสอนหลาน ไม่ให้กินหมูตั้งแต่เด็ก ๆ
ตอบ : ทางตะวันออกกลางสมัยนั้นสภาพภูมิประเทศไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหมู เพราะว่าอากาศร้อน และหมูสกปรก จะเกิดโรคระบาดได้ง่าย ก็เลยเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นแทน จนกลายเป็นข้อห้ามไป

ตอนอาตมาวัยรุ่น อยู่แถว ๆ ประเวศ มีเพื่อนเป็นอิสลามเยอะแยะ เอาหมูให้เขากินมาเยอะแล้ว เราก็ถามว่าเป็นอิสลามทำไมกินหมูได้ เพื่อนเขาบอกว่าถ้าไม่พูดถึงก็กินได้ แต่ถ้าพูดเขาต้องไปล้วงคอทิ้ง

เถรี 21-06-2011 16:18

ถาม : อิทธิบาทสี่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะมีครบทั้งสี่ข้อหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา คือมีฉันทะ วิริยะถึงจะพากเพียรตามมา แต่ถ้าปัญญาไม่เพียงพอจิตตะกับวิมังสาจะไม่มี

เพราะฉะนั้น..คนที่มีอิทธิบาท ๔ ต้องมีปัญญาประกอบด้วย พอใจที่จะทำก็พากเพียรทำไป แต่ถ้าปัญญาไม่พอ จิตใจอาจจะไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับงานนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่รู้จักทบทวนว่าทำไปถึงไหนแล้ว ที่อาฬวกยักษ์ท่านถามว่าอะไรเป็นเครื่องนำไปสู่ความหลุดพ้น? พระพุทธเจ้าตอบว่า ปัญญานำไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไม่มีปัญญาก็ทำผิด ถ้าพยายามผิด พากเพียรผิดนี่ผลก็จะผิดไปด้วย

ถาม : ผู้ที่อธิษฐานให้มีอายุอยู่ต่อนี่ท่านอธิษฐานอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ใช่อธิษฐาน ท่านปรับธาตุร่างกายตัวเองให้เสมอกัน คือให้สมบูรณ์อยู่เสมอ ถ้าธาตุในร่างกายเราสมบูรณ์บริบูรณ์ก็สามารถที่จะใช้งานไปได้เรื่อย ๆ

เถรี 21-06-2011 16:30

ทางด้านพม่า จะมีหลวงปู่โกวิทะ พม่าเขาออกเสียงว่า "โกวิด๊ะ" ท่านอายุ ๙๐๐ กว่าปีแล้ว จะออกมาเจอประชาชนปีละครั้งเดียว ช่วงประมาณวันเกิดครบรอบปีของท่าน

เขาจะสร้างเหมือนถ้ำหรือเหมือนกับเตาเผาถ่าน แล้วใส่ของหอมเยอะแยะไปหมด ท่านก็จะเข้าไป จุดไฟแล้วก็ปิดประตู ไฟไหม้ลุกท่วม พอเสร็จสรรพท่านก็เดินยิ้มออกมา เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง จะทำอย่างนั้นปีละครั้งหนึ่ง

คนไปงานนี้เป็นแสน ๆ คน เขาถ่ายวิดีโอเอาไว้ เวลาดูนี่เหมือนอย่างกับจัดฉากเลย เพราะว่าคนเป็นแสน ทางด้านที่อยู่ห่างก็เรียก "หลวงปู่..ทางนี้หน่อย" ท่านก็แวบไปตรงนั้น กล้องถ่ายรูปจะจ่อทางนั้น พอเรียก "หลวงปู่ทางนี้หน่อย" ท่านก็แวบมาทางนี้ แต่ขอโทษ..มีปีละครั้งเดียว นอกนั้นท่านไปหลบอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ?

ถาม : สังขารท่านหนุ่มหรือแก่ ?
ตอบ : แก่..แต่กี่ปี ๆ ก็แก่แค่นั้น ไม่ได้แก่ไปกว่านั้น

ถาม : ปกติเลย ?
ตอบ : ปกติเลย เดินเหินคล่องตัวเหมือนหนุ่ม ๆ เดิน พอถึงเวลาปรับธาตุเสมอกันก็เหมือนกับหนุ่ม ๆ นั่นแหละ

เถรี 21-06-2011 16:33

ถาม : อิทธิบาทสี่ต้องเดินปรับธาตุ ?
ตอบ : ทำอย่างนั้นแหละ ถ้าอิทธิบาทไม่พอก็ทำไปไม่ถึง ทางบ้านเราก็มีหลวงปู่โลกอุดร

ถาม : ต้องใช้กำลังของอะไรครับ ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ กสิณ ๑๐ ต้องคล่องตัว ถ้ากสิณ ๑๐ ไม่คล่อง ทำไม่ได้อยู่แล้ว

ถาม : ถ้าทำได้แล้ว อธิษฐานให้คนอื่นมีอายุต่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตัวเองจะอยู่ก็ยังคิดหนัก แล้วจะให้ไปช่วยแมวที่ไหนเล่า ? ทำได้ขนาดนั้นส่วนใหญ่ก็ยอมรับกฎของกรรม ที่ต้องทนอยู่ต่อไปเพราะงานยังไม่หมด

เถรี 22-06-2011 00:58

มีแม่ชีมาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องวิทยานิพนธ์ พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "แม่ชีท่านจะทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า หัวข้อวิชชาจรณสัมปันโน จึงถามว่าวิชชาจารณสัมปันโนนี่ครอบคลุมแค่ไหน ? เพราะประโยคนี้หมายความว่า ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติทั้งปวง

วิชชาในที่นี้ต้องเน้นเอาอย่างเดียวก็คือว่า ความรู้ที่ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น คือ ต้องเน้นความรู้ในมรรค ๘ สรุปลงเป็นไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนจรณะคือความประพฤตินั้น ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่า ยถาวาที ตถาการี คือพูดอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น ถึงจะเป็นแบบอย่างแก่คนอื่นได้ แต่สมัยนี้มีเยอะที่เขาบอกว่า "จงทำอย่างที่ผมพูด แต่อย่าทำอย่างที่ผมทำ" เพราะผมเป็นตัวอย่างที่ดีไม่ได้

ความจริงต้องถามอาจารย์ที่ปรึกษา เพราะว่าอาจารย์ที่ปรึกษาอาจจะมีแนวความคิดเพิ่มเติมขึ้นมา ที่มาถามอาตมาก็คงได้แนวความคิดกว้าง ๆ แล้วก็ไปค้นเอกสารไว้ก่อน แม่ชีบอกว่าจะส่งโครงร่างวิทยานิพนธ์ภายในอาทิตย์นี้ ถ้าโครงร่างเสร็จก็เท่ากับวิทยานิพนธ์เสร็จ เพราะโครงร่างนั้นมีถึง ๑๐ หัวข้อ มาแยกใส่บทที่ ๒ และ บทที่ ๓ ได้ ส่วนที่เหลือไปสรุปเนื้อหาให้ตรงกับสภาพปัญหาที่ทำวิจัยก็ใช้ได้แล้ว"

เถรี 22-06-2011 01:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านยังมีอีก ๒ เนื้อที่ยังไม่ได้ออก เนื้อแรกคือเนื้อเมฆสิทธิ์ เนื้อที่สองเป็นเนื้อชิน แต่เนื้อชินสร้างแค่ ๓๐๐ องค์ จัดเข้าเป็นชุดกรรมการ เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้..! ยกเว้นว่าเป็นกรรมการ

แต่ว่าเนื้อเมฆสิทธิ์นี้กำลังรออยู่ว่า ถ้าพระอาจารย์วันชาติบอกว่าพร้อมเมื่อไร อาตมาจะออกเนื้อเมฆสิทธิ์ทันที เพราะว่าอาจารย์วันชาติจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๕๐ ศอก ใหญ่กว่าสมเด็จองค์ปฐมวัดหนองหญ้าปล้องถึง ๑๐ ศอก ท่านขอทุนเริ่มต้นไว้ที่ ๑ ล้านบาท

สมเด็จองค์ปฐมองค์นี้ฐานจะทำเป็นโบสถ์ แปลว่าสร้างพระองค์หนึ่งได้โบสถ์อีกหลังหนึ่ง ท่านขอทุนเริ่มต้นที่ ๑ ล้านบาท เพราะฉะนั้นพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์กำลังรอท่านอยู่ ถ้าท่านยกมือว่าผมพร้อมแล้วก็ออกให้ทันที อาตมาหาให้ท่านก่อน ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นก็ทยอยไป แบบเดียวกับของวัดหนองหญ้าปล้อง ถึงเวลาก็ให้ทุนไปเริ่มแรก ๑ ล้านบาท แล้วก็ให้ไปเรื่อย ๆ กว่าจะปิดงบได้ อาตมาหมดไป ๘ ล้านกว่าบาท"

เถรี 22-06-2011 01:38

"เงิน ๘ ล้านกว่าบาทนี่ถือว่าจ่ายน้อยแล้วนะ เพราะว่ารอบแรกตกลงกันว่า เจ้าภาพ ๑๘ รูป รูปละ ๑ ล้านบาท แต่ไป ๆ มา ๆ มีแต่อาตมาจ่าย ๑ ล้านบาทอยู่คนเดียว คนอื่นเขาจ่ายแสนหนึ่งบ้าง สองแสนบ้าง รวม ๆ แล้วได้เงินมาแค่ ๒ ล้านกว่าบาท และ ๒ ล้านกว่าบาทนั้นจมอยู่ใต้ดินหมด มองอะไรไม่เห็น

ส่วนอาตมาก็ไม่รู้จะไปไหน เขายันขึ้นหน้าไปเป็นประธานแล้วก็ทำเรื่อยไป ท่านอาจารย์โนรีเองก็วิ่งเหนือวิ่งใต้ เพื่อหาเงินมาเพื่อไม่ให้งานสะดุด ท้ายสุดอาตมาก็ยกกฐินไปปลดหนี้ให้ท่านถึงจบ คราวนี้สร้าง ๕๐ ศอกไม่รู้ว่าจะต่อเนื่องอีกนานเท่าไร แต่บอกท่านวันชาติแล้วว่าเริ่มต้นให้ล้านหนึ่ง ที่เหลือไปจัดการเองแล้วกัน ถ้ามีจะช่วย ถ้าไม่มีก็จะเอาใจช่วย..!"

เถรี 22-06-2011 01:49

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องน้ำปานะว่า "ที่วัดท่าขนุนหลังจากทำวัตรค่ำแล้วจะมีการถวายน้ำปานะ คือถวายครั้งเดียวในรอบวัน ใครอยากได้มากกว่านั้นให้ไปหามาฉันเอง งดกาแฟ ชา โอเลี้ยง เป๊บซี่ โค้ก และเครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท

แรก ๆ เขาถวายกันเป็นปกติ ปรากฏว่ากว่าพระจะหลับได้ก็ ๕ ทุ่มเที่ยงคืนไปแล้ว และจะไปง่วงจัดอีกทีตอนนั่งกรรมฐานทำวัตรเช้า ตอนแรก ๆ อาตมาก็ได้แต่นั่งมอง อย่างไรตรงจุดนี้ต้องแก้ไข

พอเป็นเจ้าอาวาสจึงสั่งเลิกของพวกนี้เลย ถวายน้ำปานะอะไรก็ได้ยกเว้นพวกนี้ โดยเฉพาะชา กระตุ้นหนักกว่ากาแฟอีก แต่ชาจะกระตุ้นแบบนิ่ม ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ดีดเราลอยไปกลางฟ้าแล้ว ไม่เหมือนกาแฟที่กระตุ้นพรวดพราดเลย จึงทำให้พระท่านนอนไม่หลับ แล้วก็จับกลุ่มคุยกันจนดึก พอถึงเวลาตี ๔ จะนั่งกรรมฐานก็คอพับไปตาม ๆ กัน

ถ้าหากว่าเราเห็นจุดบกพร่องตรงไหนก็ต้องรีบแก้ไข อย่าปล่อยให้เนิ่นนาน แต่การที่จะแก้ไขก็ต้องดูว่ามีอำนาจหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ามีอำนาจก็สั่งการไปได้เลย ถ้าหากว่าไม่มีก็ต้องรอวาระที่เหมาะสมไปก่อน

ถ้าเห็นว่าผู้มีอำนาจท่านให้ความใส่ใจ เราก็เสนอแนะไป การเสนอแนะที่มีศิลปะก็คือบอกแนวคิดให้ท่านฟัง แล้วให้ท่านนำไปปฏิบัติเองเหมือนกับว่าเป็นผลงานของท่าน แต่ถ้าบอกท่านว่าต้องอย่างนี้ ๆ บางคนไม่ทำหรอก"

เถรี 22-06-2011 01:53

"ดังนั้น..ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า สิปฺปญฺจ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ การมีศิลปะจัดเป็นมงคลสูงสุดอย่างหนึ่ง ศิลปะในที่นี้ นอกจากหมายเอาความรู้ความสามารถต่าง ๆ แล้ว ยังมีศิลปะในการดำเนินชีวิตด้วย เพราะถ้าไม่มีศิลปะในการดำเนินชีวิต บางทีก็ไม่ประสบความสำเร็จ

สมัยก่อนตอนที่อาตมาไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ไม่สนใจเรื่องงานเหมือนกัน บอกกับเจ้านายว่า ถ้าเห็นว่าผมผิดก็ไล่ออกไปเลย จนท้ายสุดเจ้านายเห็นว่าไม่ยอมลงให้จริง ๆ ก็ต้องใช้วิธีปรับงาน กลายเป็นว่าเจ้านายรู้กำหนดการงานของหลวงพ่อมากกว่าอาตมาเสียอีก เพราะเขาจะต้องจ่ายงานให้คุ้มกับที่อาตมาไม่อยู่ เขาจะรู้ว่าตอนนี้หลวงพ่อจะไปไหน ที่วัดมีงานอะไร ช่วงว่างเอ็งก็รับงานอ้วกไปแล้วกัน..!

แต่อาตมาก็เต็มใจรับ เพราะว่าถึงเวลาจะไปก็ไปได้โดยสะดวก ความจริงสะดวกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถึงท่านห้ามอาตมาก็ไม่ฟัง แปลว่าจะต้องยอมรับชะตากรรม ถ้าอะไรจะเกิดขึ้น เขาหมั่นไส้ไล่ออกก็คือต้องออก ต้องไปแบบไม่ตัดพ้อต่อว่า เพราะว่าเราผิดจริง ๆ แต่ตอนอยู่ก็ทำงานให้คุ้ม

เพื่อน ๆ เขาถึงบอกว่า "มึงเก่งจริงกูไม่เถียง คนอื่นทำงาน ๔-๕ คนเท่ากับมึงคนเดียว แต่ทำไมมึงรู้อะไรแล้วต้องพูดด้วยวะ ?" ก็จริงของเขา นิสัยนี้ไม่ค่อยดี คนเขาจะเกลียดปาก พวกเราอย่าไปรุนแรงกับเจ้านายขนาดนั้นนะ เดี๋ยวเขาจะชอกช้ำเสียก่อน"

เถรี 22-06-2011 11:34

ถาม : พระสายป่าท่านไม่เน้นการสร้าง?
ตอบ : ท่านพยายามอยู่กับธรรมชาติ แต่คนมักจะศรัทธาไปสร้างให้ สร้างหรูเสียด้วย เรื่องพวกนี้ต้องเด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ถ้าไม่เด็ดขาดแบบหลวงตาบัว ในที่สุดก็ทนเสียงอ้อนวอนของญาติโยมไม่ได้ ต้องยอมให้สร้าง

ดูอย่างวัดอนาลโยที่พะเยา ถ้าเราไม่ดูข้าง ๆ จะไม่รู้เลยว่า เขาต่อเสาขึ้นมาสูง ๓๐-๔๐ เมตร เพราะพื้นที่เป็นภูเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ เขาต้องปรับพื้นให้เท่ากัน เขาเทเสาขึ้นมามองข้าง ๆ แล้วใจหาย สูงกว่ายอดตาลอีก เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างหลวงตาบัว ในที่สุดก็ต้องสร้างจนได้เพราะโยมเขาศรัทธากันมาก

เถรี 22-06-2011 11:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเวลาเขาชมลูกสาวลูกชายบ้านใคร เขาใช้ประโยคว่า มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย

"มีลูกสาวคนเดียว หุงข้าวเหนียวเหมือนนึ่ง" ส่วนใหญ่ข้าวเหนียวเขาใช้นึ่งเอา คนที่สามารถหุงข้าวเหนียวได้สวยเหมือนนึ่งต้องสุดยอดฝีมือเลย

"มีลูกชายคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย" รุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยเห็นคนถากไม้ ถากไม้เหมือนหมาเลีย ก็คือ ถากได้เรียบกริบ ถากไม้เขามีผึ่งกับขวานเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะถากได้เรียบขนาดนั้น

"ผึ่ง" เป็นลักษณะขวาน แต่เป็นขวานที่มีทรงเหมือนจอบ เขาก็เลยถากสองมือได้ ขวานนี่เอาไว้เก็บรายละเอียด หลัง ๆ เขามีกบเพิ่มขึ้นมา ก็ทำได้ดีขึ้น แต่ถ้าคนโบราณกล่อมเสาได้เหมือนหมาเลียก็ต้องสุดยอดฝีมือ พวกนี้ส่วนใหญ่นิยมไปทำเสาศาลา ทำเสาโบสถ์"

เถรี 22-06-2011 14:08

"ที่บ้านอาตมาสมัยก่อนเป็นเสาไม้ หลังคามุงแฝกมุงจากนั่นแหละ อยู่ไป ๆ มีคนมาขอซื้อเสาไปหมด จึงต้องเปลี่ยนจากไม้มาเป็นตึก ไม้ชุดที่ซื้อไปนั้นเป็นไม้มะเกลือกับไม้ประดู่เลือด ประดู่เลือดบางคนเรียก "ประดู่ส้ม"

คนที่ไม่รู้จักไม้ประดู่เลือด พอเข้าป่าแล้วไปฟันเข้า จะขวัญหนีดีฝ่อเลย เพราะยางไม้ลักษณะเหมือนเลือด พลอยจะไปคิดว่านางไม้แสดงปาฏิหาริย์ให้ดู แก่นประดู่เลือดที่ดี ๆ แกร่งขนาดขวานสับไม่ค่อยจะเข้า

ส่วนมะเกลือเป็นไม้ที่มวลรวมหนักกว่าน้ำ ไม้มะเกลือจะจมน้ำ โยมพ่อเอามาทำเก้าอี้ทำโต๊ะ แม้แต่โต๊ะเก้าอี้เขาก็ขอซื้อไปหมด โต๊ะไม้มะเกลือหนักจนกระทั่งต้องใช้คน ๔ คนยก ทั้ง ๆ ที่เป็นโต๊ะกินข้าวตัวเดียว เพราะมะเกลือมวลรวมหนักมาก

รุ่นหลัง ๆ เขาเอาไม้มะเกลือมาหลอกว่าเป็นพญางิ้วดำกันเยอะ ต้องรู้จักสังเกต ประการแรก คือไม้มะเกลือหนักแต่พญางิ้วดำจะเบา เพราะอย่าลืมว่างิ้วก็คือต้นนุ่น ต้นนุ่นเนื้อจะเบา

ประการที่สองคือ ลายไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเขาบอกงิ้วดำแต่มีลายเหลือง ๆ แทรกอยู่ให้รู้ว่าเป็นมะเกลือ มะเกลือดำก็จริง แต่ดำแล้วก็จะมีลาย ๆ อยู่หน่อย"

เถรี 22-06-2011 14:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพระรูปหนึ่งที่วัด ตอนท่านบวชที่อื่นนั้นติดอาบัติสังฆาทิเสสอยู่ ๗ เดือน

ปัจจุบันนี้เขาเข้าใจสุทธันตปริวาสผิดกัน สุทธันตปริวาส คือ บุคคลที่จำไม่ได้ว่าต้องสังฆาทิเสสมานานเท่าไร ให้คณะสงฆ์เป็นผู้กำหนดวันเข้าปริวาสให้

ในปัจจุบันนี้เขาจะกำหนดให้ ๙ วัน แต่ว่าจริง ๆ แล้วใช้ไม่ได้ เพราะแม้คณะสงฆ์เป็นผู้กำหนดวันให้ แต่ท่านให้กำหนดมากกว่าไว้เสมอ แปลว่า เราบวชปีหนึ่ง ถ้าโดนสังฆาทิเสสอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเข้าปริวาส ๑ ปีกับอีก ๖ วัน

คราวนี้พระรูปนั้นขอไปอยู่วัดชากสมอ อยู่ ๗-๘ วันก็กลับมาแล้ว อาตมาก็ถามว่า “เฮ้ย..กลับมาอย่างไรวะ ?” เขาบอกว่า “ผมสบายใจแล้วครับ”

อาตมาบอกว่า “โคตรเตี่ยมึงแน่ะ..! ถ้าศาลตัดสินสั่งจำคุกมึง ๗ เดือน มึงอยู่ ๗-๘ วัน บอกว่าผมสบายใจแล้วขอออกจากคุก เขาจะยอมมึงไหม ?” เขาก็เลยไปใหม่ อยู่จนครบ ๗ เดือนแล้วถึงกลับมา เพราะว่าถ้าอยู่ปริวาสไม่ครบ ก็ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล คือ บุคคลที่สมควรแก่มานัตต์ เก็บมานัตต์ไม่ได้ ถ้าเก็บนี่เสียเลย กลายเป็นว่าที่ทำมานั้นเป็นศูนย์ ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เพราะฉะนั้น..ถ้าอยู่ไม่ครบ อย่าไปเก็บมานัตต์ ไปอยู่ต่อที่อื่นจนกว่าจะอยู่ครบตามเวลา แล้วค่อยไปเก็บเอาที่สุดท้าย"

เถรี 23-06-2011 09:52

พระอาจารย์กล่าวถึงหนังสือเรื่อง The Tibetan Code รหัสลับหลังคาโลก ว่า"เป็นเรื่องของนักธุรกิจจีนเชื้อสายทิเบตคนหนึ่ง มีอาชีพเพาะเลี้ยงหมาไว้ขาย แต่เขาเป็นคนที่รักหมามาก จะขายให้เฉพาะคนที่รักหมาจริง ๆ เท่านั้น และเลือกเอาเฉพาะระดับสุดยอดของหมามาให้ลูกค้า

วันนั้นกำลังประมูลกันว่าจะให้ราคาเท่าไร สำหรับสุดยอดหมามาสตีฟตัวนี้ ปรากฏว่าอยู่ ๆ ก็มีคนมาสะกิดแล้วก็ส่งรูปให้ใบหนึ่ง เป็นรูปเบลอ ๆ ตอนแรกเขาก็ไม่สนใจ แต่พอมองไปที่รูปเท่านั้น ก็วิ่งตามเขาไปเลย ไม่สนใจงานประมูลแล้ว ประธานใหญ่ไม่อยู่ วิ่งตามเขาไปเฉยเลย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีคำสั่งให้รองประธานบริหารงานแทน ตัวเองตามล่าสุดขอบฟ้าเพื่อที่จะหาเจ้าหมาตัวนั้นให้เจอ

จากการคำนวณของเขา คนถ่ายรูปเป็นสุดยอดฝีมือในการถ่ายรูป ขนาดซุ่มอยู่แล้วลั่นชัตเตอร์ ยังได้แค่รูปเบลอ ๆ เขาคิดว่าหมาตัวนั้นต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง..!

แล้วโยงเข้าหาประวัติศาสตร์ทิเบตโบราณที่เขาเคยศึกษามาตอนเด็ก ๆ ว่า มีสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "กิเลนม่วง" ท่านประธานเห็นรูปแล้วสรุปว่า กิเลนม่วงก็คือหมาทิเบตมาสตีฟนี่แหละ ด้วยความที่เป็นหมาสงคราม ฝึกมาเพื่อรบโดยเฉพาะ ทำให้หมาชนิดนี้ไม่เห่า ภักดีต่อเจ้านายชนิดตัวตาย สั่งให้ลงมือกับใคร ก็คือ ตายกันไปข้างหนึ่งถึงจะเลิก ถ้าตัวเองไม่ตายก็เป้าหมายตาย ท่านประธานในเรื่องนี้เขาตามหมามา ๔ เล่มแล้ว ยังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย..!"

เถรี 23-06-2011 10:02

"เรื่องนี้โยงกับประวัติศาสตร์ทิเบตโบราณ เกี่ยวกับวิหารพาลาปา ที่เชื่อกันว่าในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม บรรดาลามะชุดดำขนเอาทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้ที่นั่น แล้วให้กิเลนม่วงเฝ้าไว้ ต้องสืบไปทีละเปลาะ ๆ แล้วก็ไปเจอเป้าหมายน่าสงสัยทีละนิดทีละหน่อย ขยับใกล้เข้าไปเรื่อย แล้วก็มีคู่แข่งจากสารพัดประเทศ จ่อมาที่เป้าหมายเดียวกัน

คราวนี้ก็ต้องมาดวลกันว่า ใครฝีมือดีกว่า ใครปัญญาดีกว่า เพราะว่าจะเข้าไปแต่ละที่มีแต่สารพัดกับดัก กับดักบางอย่างก็คำนวณจากจิตใจคน คำนวณความโลภ ความโกรธ ความหลงของคนไว้ก่อนแล้วถึงทำ เขาบอกว่าหนังสือเล่มนี้ทำลายสถิติด้วยยอดจำหน่ายเกินกว่า ๓ ล้านเล่ม อาตมาอ่านเล่มนี้แล้วการสอนวิชาพระพุทธศาสนากับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาในทิเบต มีรสชาติขึ้นอีกเยอะ เพราะมีรายละเอียดบางส่วนที่ก่อนนี้รู้ไม่ชัดเจน แล้วชัดเจนขึ้นมาตอนนี้

อย่างเช่น ทำไมพระทิเบตถึงมีการเต้นรำ การเต้นรำของทิเบตเป็นการเต้นรำในลักษณะขับไล่สิ่งชั่วร้าย แล้วก็อัญเชิญสิ่งที่เป็นมงคลเข้ามา พระพุทธศาสนาในทิเบตรุ่งเรืองขึ้นมาโดยท่านปัทมสัมภวะ ภาษาทิเบตเขาเรียก คุรุรินโปเช่ ก็คืออยู่ในลักษณะของท่านอาจารย์ใหญ่

ท่านปัทมสัมภวะเข้าไปตอนที่ทิเบตยังนับถือผีอยู่ ก็คือลัทธิบอน ก็เลยมีการต่อสู้กันระหว่างพระพุทธศาสนากับลัทธิบอน ท่านปัทมสัมภวะชนะทุกยก จึงทำให้คนทิเบตส่วนหนึ่งหันมานับถือพุทธศาสนา พอดีพระเจ้าซองซันกัมโปเสด็จขึ้นครองราชย์ แล้วได้รับการสนับสนุนจากทั้งจีนและเนปาล

จีนก็ตรงกับสมัยพระเจ้าถังไท่จงฮ่องเต้ ก็ส่งเจ้าหญิงเหวินเฉิงให้ไปแต่งงานด้วย ทางด้านเนปาลก็ส่งเจ้าหญิงภริคุติเทวีไปแต่งงานด้วย เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์นับถือศาสนาพุทธ ก็เลยขนพระพุทธรูปและทรัพย์สมบัติสารพัดที่เป็นพุทธบูชาเข้าไปด้วย พระเจ้าซองซันกัมโปก็เลยถามว่า จะให้สร้างสถานบูชาหรือว่าวัดที่ไหนบ้าง

เจ้าหญิงเหวินเฉิงปรึกษากับท่านปัทมสัมภวะแล้วว่า รูปทรงของประเทศทิเบตเป็นรูปยักษ์ เพราะฉะนั้น..จะต้องทำการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์สะกดยักษ์ตัวนี้ไว้ ทิเบตถึงจะเจริญ ก็เลยสร้างวิหาร ๕ แห่ง เป็นการตรึงมือเท้าและร่างกายของยักษ์เอาไว้ อย่างวัดโจคัง วัดเดรปุง เป็นต้น แล้วเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์ก็ช่วยกันผลักดันจนพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในทิเบต"

เถรี 23-06-2011 10:04

"พอมาถึงสมัยพระเจ้าลางทรมา ท่านนับถือลัทธิบอนแบบฝังหัวไม่ยอมเปลี่ยน จึงฆ่าล้างผลาญศาสนาพุทธ ฆ่าจริง ๆ จนกระทั่งบรรดาภิกษุต้องทิ้งวัดหนีเข้าป่า แล้วก็เกิดอัศวินม้าดำขึ้นมา ก็คือมีพระภิกษุนุ่งห่มจีวรสีดำ สวมหมวกดำ ขี่ม้าดำ บุกเข้าไปตอนที่พระเจ้าลางทรมากำลังล่าสัตว์ สามารถประหารพระเจ้าลางทรมาลงได้ ดังนั้น..การแต่งตัวชุดดำแล้วมีการเต้นรำ ก็จะมีส่วนหนึ่งที่แสดงออกถึงประวัติศาสตร์ช่วงนี้

เราจะเห็นได้ว่าสายทิเบตเขามาสายพระโพธิสัตว์แท้ เพื่อความสุขของคนส่วนมาก ตัวเองตกนรกก็ไม่ว่า จับอาวุธขึ้นมาฆ่าเลย ปัจจุบันนี้ ศาสนาพุทธในทิเบตที่ตกต่ำไปมาก เพราะจีนเข้าไปยึดครองโดยอ้างว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของเขตปกครองของจีน

ตอนที่จีนส่งทหารเข้าไป มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่คือว่า ลามะผู้ใหญ่หลายท่านเห็นว่าไม่สามารถที่จะยับยั้งวาระกรรมนี้ได้แล้ว หลายท่านก็เข้ากรรมฐานทิ้งไปเฉย ๆ ให้ลูกศิษย์เอาร่างโยนน้ำไป ทหารจีนเก็บศพที่นั่งกรรมฐานตายได้หลายศพ ไม่เน่าเปื่อยด้วย เพราะว่าท่านเข้าสมาธิทิ้งร่างไปเฉย ๆ"

เถรี 23-06-2011 10:07

"ส่วนที่รัสเซีย แถว ๆ เมืองคามึยเคีย มีวัดทิเบตที่ใหญ่มาก พระสังฆราชในสมัยนั้น(ก่อนคอมมิวนิสต์จะปกครอง) พยายามบอกใบ้สุดชีวิต บอกว่าสิ่งชั่วร้ายสีแดงกำลังมา แต่ไม่มีใครตีความได้ จนกระทั่งคอมมิวนิสต์ปกครองถึงได้รู้ แล้วท่านก็บอกด้วยว่า ท่านจะตายวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น แต่ว่าเขาจะฝังท่าน ๒ ครั้ง ท่านบอกล่วงหน้า ๔๐-๕๐ ปี

ระยะหลัง พอคอมมิวนิสต์ปกครองรัสเซียเสร็จ ได้ข่าวว่าคนยึดศาสนามาก จึงตั้งใจจะทำลายศาสนาให้หมด ได้ยินว่าที่ฝังสังขารของท่านลามะรูปนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในรัสเซีย รัฐบาลคอมมิวนิสต์ก็สั่งขุดเลย พอขุดขึ้นมา เจอศพท่านนั่งกรรมฐาน ตายแล้วไม่เน่า จึงไม่กล้าแตะต้อง ต้องทำการฝังใหม่ ก็ตรงกับคำที่ท่านพยากรณ์ไว้ทุกอย่าง ว่าถ้าท่านตายแล้วต้องฝัง ๒ ครั้ง

ปัจจุบันนี้รัสเซียฟื้นศาสนาพุทธขึ้นมาเยอะมาก พออนุญาตให้นับถือศาสนา พวกบรรดาชาวพุทธเดิม ๆ ที่หลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำพิธีกรรมก็แสดงออกอย่างชัดเจน รัฐบาลก็สนับสนุนงบประมาณบางส่วนให้ซ่อมแซมวัดวาอารามขึ้นมาใหม่ ถึงได้รู้ว่าวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอยู่ที่รัสเซีย เป็นวัดลามะนี่แหละ

ตอนนี้มีพระไทยเผยแผ่พุทธศาสนาในรัสเซีย ท่านไปอยู่ที่นั่นมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ท่านบอกว่า ๗ ปีแรกนี่ศึกษาภาษารัสเซียอย่างเดียวจริง ๆ เลย ใครมาสอบถามนี่ต้องตีใบ้อย่างเดียว พูดภาษาเขาได้ไม่กี่คำ ไม่สามารถที่จะอธิบายหลักธรรมที่เป็นภาษาลึกซึ้งได้ ก็เลยต้องศึกษาภาษารัสเซียก่อน"

เถรี 23-06-2011 10:12

"แต่จากการใบ้และทำตัวให้ดูว่าต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง เช่น สวดมนต์ นั่งกรรมฐาน บรรดาชาวพุทธรัสเซียก็พยายามทำตาม และเขาฉลาด เขาไม่รอพระสอน เขาไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าศาสนาพุทธมีหลักการปฏิบัติอย่างไร แล้วลุยกันเองเลยโดยอาศัยวัดเป็นศูนย์กลาง เพราะฉะนั้น..ในยุโรปนี่ยอดผู้นับถือศาสนาพุทธเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ถ้าไม่ใช่ศาสนาแห่งความสงบอย่างที่ทุกคนรู้แล้ว มีสิทธิ์โดนสกัดแน่นอน

อย่างศาสนาอิสลาม หลายประเทศก็จะมีการประกาศห้ามนับถือ ไปนึกถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ให้พระจาริกไปเพื่อประโยชน์สุขของชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก ปรากฏว่าตอนนี้เห็นชัดแล้ว ท่านที่ทุ่มเทขนาดนั้นมีอยู่จริง ๆ โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในรัสเซีย

ตอนแรกจะยุมหาเค (พระมหาธีราวุธ ธีรปญฺโญ)ให้ไปรัสเซีย แต่ปรากฏว่ามหาเคไปอเมริกา มหาเคจบปริญญาวิศวกรรมจากรัสเซีย ไปใหม่ ๆ อย่าว่าแต่คุยรู้เรื่องเลย ฟังยังไม่รู้เรื่อง จบปริญญาวิศวกรรมมาจากรัสเซีย แต่ไม่ได้ใช้งานอะไรเลย เพราะจบแล้วก็มาบวช พ่อแม่มีกิจการร้านอาหารใหญ่ ๆ โต ๆ ยกให้ ลูกก็ไม่ได้ทำอะไร ปิดไปเฉย ๆ จนกระทั่งต้องให้พี่สาวไปทำแทน

ตอนแรกมหาเคขอบวชแต่พ่อแม่ไม่ให้บวช ลูกก็ไม่ว่าอะไร นอนเฉย ๆ ประท้วงน้อยกว่าพระรัฐบาลหน่อย พระรัฐบาลท่านนอนแล้วไม่กินด้วย พ่อแม่กลัวลูกคนเดียวจะตายเลยให้บวช แต่มหาเคนี่นอนเฉย ๆ ไม่ทำงาน กินอย่างเดียว ท้ายสุดพ่อแม่เห็นว่าเอาจริงก็เลยต้องปล่อยให้บวช

ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนมีพระที่เป็นบุคลากรดี ๆ ในวัดเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วท่านไม่กล้าเสี่ยง ที่ไม่กล้าเสี่ยงก็คือว่า ไม่กล้าริเริ่มทำอะไร เพราะกลัวว่าจะทำผิด นี่แสดงว่าเขาไม่เคยดูอาจารย์ อาตมาทำทุกเรื่อง เรื่องไหนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านด่า จะเลิกทำตลอดชีวิต เรื่องไหนไม่ด่าก็ทำไปเรื่อย"

เถรี 24-06-2011 11:47

ในขณะที่เถรีกำลังนั่งพับเหรียญโปรยทานที่บ้านวิริยบารมี พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "กำลังใจของคนทำบุญจริง ๆ จะประณีตและเยือกเย็น คนโบราณเขาจึงค่อย ๆ ถัก ค่อย ๆ ห่อ กว่าจะได้เหรียญแล้วไปโปรยทาน ก็ต้องใช้ระยะเวลาที่นานมาก

สมัยก่อนตอนไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ พรรษาแรก พวกมอญเขาจัดผ้าป่ามาถวาย ผ้าป่าทั้งต้นมีเหรียญห้อยโตงเตงเต็มไปหมด นับแล้วได้ ๑๗๓ บาท แต่อาตมาแจกวัตถุมงคลหมดไปหลายพัน เพราะเขามากันทั้งหมู่บ้าน

ลักษณะอย่างนั้นเราจะไปดูที่จำนวนเงินไม่ได้ ต้องดูกำลังใจที่เขาจะทำบุญจริง ๆ อุตส่าห์จัดมาเสียอย่างดี ตัดกระดาษพับมาอย่างดี ห่อเหรียญห้อยด้ายมา รับปัจจัยในลักษณะอย่างนั้น อาตมาดีใจกว่าคนถวายเงินเป็นล้าน เพราะว่าบางคนถวายเงินมาเป็นล้านแต่กำลังใจยังสู้พวกเขาไม่ได้

เรื่องของงานบุญสำคัญที่กำลังใจในการสละออก เขามีเงินร้อยหนึ่ง สละออกบาทหนึ่ง เท่ากับ ๑ % แล้วนะ ถ้าคนมีเงินพันล้านสละออกล้านหนึ่ง ก็ไม่ถึง ๑% อย่างพวกเขา"

เถรี 24-06-2011 11:52

พระอาจารย์กล่าวถึงโรคเก๊าท์ว่า "โรคเก๊าท์มีวิธีแก้ที่ง่ายมาก ก็คือ ให้ดื่มน้ำอุ่นเยอะ ๆ โรคเก๊าท์เกิดจากกรดยูริกของโปรตีนไปตกผลึกอยู่ตามข้อ ผลึกเป็นรูปแหลม ๆ เหมือนกับเข็มอยู่ตามข้อทำให้ปวด เวลาดื่มน้ำเข้าไปมาก ๆ จะละลายผลึกพวกนี้ออกมา เราก็จะหาย

ดังนั้น..ถ้าเป็นโรคเก๊าท์ไม่ต้องไปหาหมอหรอก เสียเวลา ดื่มน้ำมาก ๆ ขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะหายภายใน ๒ วัน แต่ถ้าไปกินพวกสัตว์ปีก เครื่องใน อาหารทะเล ยอดผัก เดี๋ยวก็เป็นอีก เราก็ดื่มน้ำใหม่ ที่ต้องใช้น้ำอุ่นเพราะว่าถ้าใช้น้ำเย็นมาก ๆ เดี๋ยวจะเป็นไข้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:14


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว