View Full Version : ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๒๘ - ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖
LL4hR8S-Zis
ถ้ากำลังใจยังเข้าไม่ถึงปฐมฌานละเอียด สติจะขาดและหลับ จะสังเกตได้ว่าเวลาสติจะขาด เราเหมือนจะง่วงขาดใจเลย ทั้ง ๆ ที่นอนมาทั้งคืน แล้วเราก็สงสัยว่า "ง่วงอะไรนักหนาวะ ?" บางคนสวดมนต์ไปก็หาวไป นั่นคือสภาพจิตที่เริ่มเป็นอัปปนาสมาธิขั้นแรก ๆ โดยเฉพาะเป็นส่วนของปฐมฌานหยาบ ถ้าสติไม่ละเอียดพอก็จะตัดหลับไปเลย บางคนนั่งตัวตรงแหน็วแต่หลับไปแล้ว..!
ช่วงนี้เป็นช่วงหยุดยาว พวกเราจะมีเวลาปฏิบัติธรรมถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคมเลย แต่อาตมภาพเองไม่ค่อยได้อยู่ เพราะว่าเพื่อนก็มรณภาพ ครูบาอาจารย์ก็มรณภาพ เมื่อสามวันที่แล้วพระครูสิริสุวรรณาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดคอกวัว จ.สุพรรณบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกันมรณภาพ ส่วนเมื่อวานพระราชมงคลวุฒาจารย์ (สุวรรณ สุวิชาโน) วัดดอนไก่ดี อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร มรณภาพที่อายุ ๑๐๗ ปี..!
โชคดีที่ท่านอายุยืนขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นไม่ได้เป็นเจ้าคุณหรอก เป็นพระครูปลัดสุวรรณอยู่นั่นแหละ แต่ด้วยความที่เป็นพระเถระ อายุกาลพรรษามาก และอยู่ในพื้นที่สำคัญอย่างวัดดอนไก่ดี ดอนไก่ดีนี่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องเบญจรงค์ที่เป็นอันดับ ๑ ของเมืองไทย เมื่อความทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ในหลวงถวายสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชมงคลวุฒาจารย์
แม้กระทั่งหลวงปู่เอี่ยม วัดอรุณราชวราราม เจ้าของหนังสือมนต์พิธี หนังสือที่พิมพ์มากที่สุดในประเทศไทย ท่านก็เป็นพระครูสมุห์เอี่ยมอยู่นั่นแหละ เป็นจนเขาทนไม่ไหว ให้เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูอรุณธรรมรังษี แล้วก็ติดอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนกับใครเขา เพราะว่าหลวงปู่ท่านไม่มีงานคณะสงฆ์ ๖ ด้าน
การพิจารณาสมณศักดิ์เขาคิดจากงานคณะสงฆ์ ๖ ด้าน คือ การปกครอง การเผยแผ่ การศึกษา การศาสนสงเคราะห์ การศึกษาสงเคราะห์ และการสาธารณูปการ มีไม่ครบเขาไม่ให้ แต่ถ้าความทราบไปถึงพระเนตรพระกรรณในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ไม่ว่าจะมีครบหรือไม่ครบ ถ้าพระองค์ท่านเห็นว่าสมควร พระองค์ท่านก็ถวายให้เลย
หลวงปู่ท่านจึงขึ้นมาเป็นพระราชวัชรรังษี เพิ่งจะมรณภาพและพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ท่านก็อยู่จนอายุ ๘๗ ปีถึงได้เป็นเจ้าคุณ หลวงปู่สุวรรณถ้าทนอยู่ไม่ถึงร้อยก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน ท่านอยู่จนถึงร้อยกว่าปีถึงได้เป็น
บางทีอาตมาภาพก็อายตัวเองเหมือนกัน เพราะว่าเป็นพระครูสัญญาบัตรฝ่ายวิปัสสนาด้วย แล้วก็เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วันนี้ไปก็นั่งรองจากเจ้าคณะอำเภอรูปเดียว รู้สึกเหมือนกับว่าความดีของเรายังไม่พอ แต่ในหลวงท่านให้มาเยอะ ในสัญญาบัตรพระองค์ท่านก็จะระบุไว้ว่า "ขอพระคุณท่านโปรดรับภาระธุระในพระพุทธศาสนา" ก็แปลว่าให้แบกงานแทนพระองค์ท่านด้วย แต่ว่าเรื่องงานพวกนี้ถ้าหากว่าเราบวชมาด้วยใจรักจริง ๆ ก็เป็นงานที่ต้องทำอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าหลายท่านมักจะเอาเฉพาะตน ก็คือนั่งภาวนาเงียบ ๆ สมัยนี้ถ้าภาวนาเงียบ ๆ แล้วจะรอดยาก เพราะว่ากระแสโลกแรง ต้องออกมาชนให้รู้เรื่องกันไปข้างหนึ่งเลย..!
การปฏิบัติธรรมถ้าไม่มีการทดสอบเราจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นมีผลเท่าไร อย่างอาตมาภาพนี่ถ้าโดนคนอื่นด่า ก็จะช่วยเขาด่าด้วย อยากด่าพระอาจารย์เล็กใช่ไหม..? เราก็ผสมโรงด่าไปด้วย..! ก็คือไม่เห็นสาระในการด่า แล้วจะไปถือโทษโกรธเคืองอะไร ?
คนเราถ้าเขาด่าเรา เราต้องพิจารณา อันดับแรกเลย สิ่งที่เขาด่านั้นเป็นจริงไหม ?
ถ้าเป็นจริงเราควรที่จะขอบใจเขา ที่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นภาพคนที่ไม่ดีของเรา จะได้แก้ไข
ถ้าไม่เป็นจริง ความจริงเป็นอย่างไรเขายังไม่รู้เลย คนโง่ขนาดนั้นเราก็อภัยให้เขาเถอะ ถ้าคิดได้ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปแบก..ใช่ไหม ?
จนกระทั่งพระแถวนี้เขาบอกว่า "พระอาจารย์เล็กโกรธใครไม่เป็นหรอก" ใครบอกว่าโกรธไม่เป็น โกรธเป็น..แต่กูขี้เกียจแบกไว้ โกรธเสร็จก็กองทิ้งไว้ตรงนั้นแหละ แบกมาทำไม ? เหนื่อยตายชัก..!
อย่างที่พระกุมารกัสสปะเถระท่านเปรียบเทียบให้พระเจ้าปายาสิฟังว่า
"บุคคลสองคนเดินไปด้วยกัน เจออุจจาระแห้ง
คนหนึ่งก็ปูผ้าลงโกยเก็บอุจจาระแห้งไป เอาไปเป็นอาหารเลี้ยงหมูได้ เอาไปทำปุ๋ยได้
อีกคนก็ทำแบบเดียวกัน
ไปอีกหน่อยหนึ่งเจอมัดปอ
คนแรกก็เทอุจจาระทิ้ง แล้วเอามัดปอห่อผ้าแบกไป
อีกคนหนึ่งไม่เอา แบกอุจจาระต่อไป
ขยับไปอีกหน่อยหนึ่งเจอผ้าป่าน
คนแรกก็ทิ้งมัดปอ แล้วเอาผ้าป่านแบกไป
ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยังแบกขี้แห้งต่อไปเหมือนเดิม
ไปได้อีกหน่อยฝนตก..เรียบร้อย ขี้ที่แบกไว้ก็ละลายเพราะโดนน้ำ เละเทะ..เหม็นไปทั้งตัว..!"
ท่านเปรียบพระเจ้าปายาสิว่า แบกแต่ขี้เอาไว้ โดยไม่ยอมเปลี่ยนทิฏฐิทั้งที่เห็นผิด
เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากจะแบกขี้เอาไว้ก็เชิญ พวกประเภท ขี้รัก ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง แบกไปเถอะ..แบกไว้ก็มีแต่โทษต่อเราเอง สถานเบาก็ซึมเศร้า สถานหนักก็มะเร็งรับประทาน เพราะว่าเครียด ความเครียดเป็นเชื้อเลี้ยงมะเร็งอย่างดีเลย
พวกเราที่วันหยุดยาว ๆ เข้าวัดมาปฏิบัติธรรมกันเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน ใช่หรือเปล่า ? โง่จริง ๆ เลย..! เมืองไทยก็มีให้ไป เมืองนอกก็มีให้ไป ดันบอกว่าไม่รู้จะไปไหน..! นั่นก็เพราะว่าที่อื่นไม่ตรงกับกำลังใจของตัวเอง อาตมภาพเองตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ให้ไปกินไปเที่ยวนี่ไปไม่เป็น ไปเป็นแต่วัด
เพราะฉะนั้น..เราก็มาหาสิ่งที่เราชอบ ผู้รู้เขาเปรียบว่า เอาผึ้งกับแมลงวันใส่ขวดไว้ด้วยกัน ถึงเวลาเปิดขวด ผึ้งก็บินไปหาดอกไม้ เก็บน้ำหวานเก็บเกสรของตัวเอง แมลงวันก็บินไปหากองขี้ ต่างคนต่างชอบของตัวเอง ไปว่าของคนอื่นไม่ได้
เหมือนที่เขาเปรียบกับหนอนในกองขี้ คนสองคน คนหนึ่งสร้างบุญ คนหนึ่งสร้างบาป คนสร้างบุญเกิดเป็นเทวดา คนสร้างบาปเกิดเป็นหนอนในกองขี้ เทวดามองลงมาเห็นเพื่อนตัวเองแล้วสงสาร จึงสอนเพื่อน..บอกให้เร่งทำบุญทำกุศลเอาไว้นะ จะได้มาเกิดเป็นเทวดาสบายอย่างเรา หนอนบอกว่า "มึงเป็นไปเถอะ กูอยู่อย่างนี้สบายดีแล้ว พอถึงเวลาก็มีคนมาขี้ให้ กินสบาย..นอนสบาย..!" คิดกันคนละอย่าง..!
ดังนั้น..พระพุทธศาสนาของเราถึงเอาสัมมาทิฏฐิขึ้นหน้า ต้องเอาปัญญาขึ้นหน้าก่อน ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นไม่ถูกต้องเดี๋ยวก็เละ..! เดี๋ยวก็จะบอกว่าพ่อแม่ไม่มีบุญคุณ เลยไม่จำเป็นจะต้องกราบไหว้อะไรหรอก ถึงเวลาเรียกชื่อก็ได้..ใช่หรือเปล่า..? จะไปยุ่งอะไรกันนักหนา..! ไปทำสิ่งที่สังคมรับไม่ได้ นั่นเขาเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิคือความเห็น มิจฉาคือผิดพลาด มิจฉาทิฏฐิคือมีความเห็นผิด สัมมาทิฏฐิคือมีความเห็นถูกต้อง
เพราะฉะนั้น..ต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน แล้วหลังจากนั้นก็เป็น
สัมมาสังกัปปะ..มีแนวคิดที่ถูกต้องว่า เราต้องการความพ้นทุกข์
เพราะฉะนั้น..ที่เราเรียกว่า ศีล-สมาธิ-ปัญญา นั้น จริง ๆ แล้วก็คือ ปัญญา-ศีล-สมาธิ
มีปัญญารู้ว่าศีลเป็นของดี เป็นบันไดให้เราก้าวสู่สุคติ และท้ายสุดล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
แล้วเราก็ไปรักษาศีล ศีลมีอะไร ? สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สัมมาวาจา ไม่โกหก ไม่สอดเสียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่พูดคำหยาบ
สัมมากัมมันตะ มีการกระทำที่ถูกต้อง คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการดื่มสุราหรือเสพยาเสพติด
สัมมาอาชีวะ คือ ประกอบอาชีพที่ถูกต้องทั้งกฎหมายและศีลธรรม หรือไม่ก็เว้นจากมิจฉาวณิชชา การค้าขายในทางที่ผิด ๕ ประการ
ขายมนุษย์ สมัยก่อนเราค้าทาส สมัยนี้จับผู้หญิงไปขาย บังคับให้รับแขก
ขายอาวุธ สหรัฐฯ ยุคนอื่นให้ตีกันแล้วขายอาวุธ
ขายสุรา
ขายยาพิษ สมัยนี้เยอะเลย แม้กระทั่งยาฆ่าแมลงก็จัดอยู่ในประเภทนี้ เพราะว่าคนที่เอาไปสามารถไปเบียดเบียนคนอื่นได้
ขายสัตว์ที่มีชีวิต บ้านเราไม่ค่อยมี บ้านเราส่วนใหญ่ฆ่าเลย แต่รอบบ้านของเรา ถ้าข้ามไปพม่า ข้ามไปลาว เขาขายกันเป็นตัว ๆ เลย ไก่ก็มัดขาใส่ชะลอมไว้ ต้องการตัวไหนไปเลือกเอา มีกระทั่งแลนที่เรียกกันว่าเหี้ยนั่นแหละ จับมัดมือมัดตีนไขว้หลังไว้ ต้องการตัวไหนไปชี้เอา คนอื่นเขาปล่อยนกปล่อยปลา หลวงพ่อเล็กปล่อยเหี้ยมาแล้ว..! ทนดูไม่ไหว
คราวก่อนไปเดินตลาดที่ลาว ไปถึงก็เห็นลูกปลาน้อยเพียบเลย เขาขายเป็นถุง ถามว่า "ถุงละเท่าไร ?" เขาบอกว่า "หมื่นหนึ่ง" อาตมาก็เหมาเลย "ถุงละหมื่นหนึ่ง เอามาหมดนั่นแหละ" หมื่นกีบนะ ตอนนี้ ๕๕๔ กีบเท่ากับ ๑ บาท จะกี่สตางค์กันเชียว พันกีบก็สองบาท หนึ่งหมื่นกีบก็ยี่สิบบาท ให้ไปเถอะ..! เหมาหมดตลาด จะได้เอาไปปล่อย
ปลาเยอะขนาดนั้น ปล่อยเสร็จเรียบร้อยยังตกบันไดหน้าเบี้ยวไปตั้ง ๒ - ๓ เดือน ลืมไป..มองเมืองลาวแต่ในด้านดี ๆ ลืมไปว่าสมัยรัชกาลที่ ๓ ไปล่อเขาเสียเละเลย..! ก็สมัยนั้นเรารบกับประเทศลาว..ใช่ไหม ? ในหลวงสั่งก็ไปตีกับเขา เจ้านายสั่งก็ไป ลืมไปว่าเคยทำอะไรไว้ ถึงเวลาเขาก็รอเอาคืน เผลอหน่อยเดียว เรียบร้อย..โดนจนได้..! นั่นขนาดปล่อยสัตว์ไปตั้งเยอะแล้วนะ สังหรณ์ใจไว้ก่อนแล้ว อุตส่าห์เข้าตลาดไปเจอแล้วก็ซื้อไปปล่อย ยังโดนเสียขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะถึงตาย..!
พวกเราที่มานี่อันดับแรกเลยก็คือ
กลัวภัย กลัวภัยในวัฏสงสาร เวียนว่ายตายเกิดแต่ละชาติ ทุกข์ไม่รู้จบ แล้วก็กลัวตาย ในเมื่อกลัวตายก็ต้องหาทางให้พ้นตายพ้นเกิด เพราะว่าถ้ายังเกิดก็ต้องตาย เพราะอย่างนั้นก็เลยหาทางไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนคือพระนิพพาน
สรุปได้หรือยังว่าเรามานั่งตรงนี้ อันดับแรกต้องมีสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง ว่าสิ่งนี้ดีเราต้องรีบทำให้มากเข้าไว้
สัมมาสังกัปปะ มีแนวคิดที่ถูกต้อง เราต้องการจะออกจากทุกข์
สัมมาวาจา พยายามควบคุมวาจาให้อยู่ในกรอบ ไม่พูดโกหก ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ
สัมมากัมมันตะ เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ดื่มสุราหรือเสพยาเสพติด
สัมมาอาชีวะ ค้าขายถูกต้องตามศีลธรรมและตามกฎหมายบ้านเมือง
แล้วต่อไปก็มี...
สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง เพียรละชั่ว เพียรทำดี เพียรระวังไม่ให้ชั่วเข้ามาในใจ เพียรรักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
คราวนี้ก็ไปลำบากหน่อยที่..
สัมมาสติ เขาบอกว่าให้ใจไปอยู่ในสติปัฏฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่เราไม่ต้องคิดมาก เราคิดแค่ ๒ ข้อ ข้อแรกก็คือเราไม่เอาร่างกายนี้แล้ว ข้อที่สองคือตายเมื่อไรไปนิพพาน เอาแค่นี้พอ เรื่องอื่นยากปล่อยคนอื่นเขาคิดกัน เราเป็นคนโง่ คิดอะไรง่าย ๆ จะได้ไปง่าย ๆ
ท้ายสุดลำบากอีกหน่อยก็...
สัมมาสมาธิ ก็ที่เราจะมาฝึกกันเดี๋ยวนี้แหละ จะพองหนอ..ยุบหนอ หรือ ซ้ายย่างหนอ..ขวาย่างหนอ ก็เพื่อให้กำลังสมาธิเพียงพอ จะได้อาศัยกำลังนี้ในการตัดกิเลส
ที่นี่ใครถนัดแบบไหนให้ทำแบบนั้น ยกเว้นเวลาเดินจงกรม ที่ต้องการความพร้อมเพรียง เราค่อยไป ซ้ายย่างหนอ..ขวาย่างหนอ แต่จำไว้ว่าการเดินจงกรมสำคัญที่สุดก็คือ ระลึกรู้อยู่ทุกฝีก้าว รู้อยู่ทุกอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็คือสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันนี้ ถ้าสติสมบูรณ์มาก ๆ ขนาดลมพัดมากระทบผิวกาย เส้นขนเราไหวกี่เส้นก็ยังรู้เลย ไม่ได้พูดเล่นนะ..นี่เรื่องจริงเลย..!
ถ้าหากว่าสติสมบูรณ์ สมาธิทรงตัว คราวนี้ใช้ปัญญาได้สารพัด โดยเฉพาะมองเห็นให้ชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖
PCEpis3hdEE
ถ้ากำลังใจของเราไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ยังเห็นเรื่องอื่นสำคัญกว่า ก็แปลว่ากำลังใจของเรายังไม่เพียงพอต่อมรรคผล เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนั้น แม้ต้องสละชีวิตลงไปก็ยอม แต่ถ้าเราไปให้ความสำคัญกับอย่างอื่นมากกว่า ก็แปลว่าเราเห็นอย่างอื่นสำคัญกว่าชีวิตตัวเอง แล้วโอกาสเข้าถึงมรรคผลจะมาจากไหน ?
เรื่องของการปฏิบัติธรรมกับเรื่องของบารมีเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันอย่างชนิดแยกไม่ออก ถ้าบารมีไม่เข้มข้นพอ เราก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้ บารมีนั้นมีอยู่ ๓ ระดับ ๙ ขั้น
บารมีระดับต้นเรียกว่า สามัญญบารมี
สามัญญบารมีขั้นต้น พูดถึงทาน ศีล ภาวนานี่ฟังไม่รู้เรื่องเลย สักแต่ว่าเกิดมาเป็นคนเท่านั้น คิดว่าคนอื่นพูดภาษาต่างดาว..!
สามัญญบารมีขั้นกลาง รักษาศีลไม่ได้ เจริญภาวนาไม่ได้ จะให้ทานแต่ละที ต้องรอโฆษกประกาศเชิญชวนสัก ๓ วัน ๓ คืน กว่าจะเกิดศรัทธาควักกระเป๋าออกมา บางทีก็ยัดกลับคืนไปอีก..!
สามัญญบารมีขั้นปลาย สามารถให้ทานได้แม้จะเสียดายใจจะขาด แต่ก็ยังรักษาศีลและปฏิบัติธรรมไม่ได้
พอมาบารมีระดับกลางเรียกว่า อุปบารมี
อุปบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลขาดตกบกพร่อง
อุปบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้บ้างไม่ได้บ้าง โอกาสได้มีมากกว่า แต่ก็ยังศีลขาดบ้างอยู่ดี
อุปบารมีขั้นละเอียด ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่บอกเรื่องภาวนาแล้วฟังไม่รู้เรื่อง
ก็ต้องมาถึงบารมีระดับสูงสุดคือ ปรมัตถบารมี
ปรมัตถบารมีขั้นต้น ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่เรื่องภาวนาจะเหมือนอย่างกับแบกภูเขาไว้ทั้งลูก จะโดนทับตายตอนไหนก็ไม่รู้ ..!? อย่างที่โบราณท่านเปรียบว่า "เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา"
ปรมัตถบารมีขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้แต่รักษาอารมณ์ไม่ได้ ก็คือนั่งลงทำได้ตอนนั้น พอลุกขึ้นก็ทิ้งหมดเลย..!
ปรมัตถบารมีขั้นปลาย ถือว่าเป็นขั้นสูงสุด ให้ทานได้ รักษาศีลได้ เจริญภาวนาได้ จึงเป็นผู้ควรแก่การปฏิบัติธรรม
การเป็นผู้ควรแก่การปฏิบัติธรรมก็แปลว่าสัจจบารมี ซึ่งคือความแน่วแน่มั่นคงต่อการงานของเรา จะต้องเต็มร้อย คนประเภทนี้ไปไหนทีหลังไม่เป็น ถ้าไม่ตรงเวลาก็ต้องไปก่อนเวลา อธิษฐานบารมีคือมีกำลังใจปักมั่นแน่วแน่อยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ท้อถอยจนกว่าจะสำเร็จ
เห็นหรือยังว่าการปฏิบัติธรรมกับเรื่องของบารมีความจริงก็คือเรื่องเดียวกัน เพราะว่าบารมีแปลได้ง่าย ๆ ว่ากำลังใจ
กำลังใจไม่พอ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ
กำลังใจอย่างแย่ ๆ เลย อาศัยเกาะแต่ชาวบ้านเขา ยืนหยัดด้วยตนเองไม่ได้
กำลังใจอย่างกลาง ยืนหยัดด้วยตนเองได้ แต่ช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้
กำลังใจระดับสูงสุด ยืนด้วยตัวเองได้ ช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย
แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราต้องเข้าใจว่า เมื่อเราเกิดมาถึงระดับนี้แล้ว จะว่ากำลังใจใช้ไม่ได้นั้นไม่ใช่ เพียงแต่เรายังเร่งรัดตัวเองไม่พอ
ถ้าจะยกตัวอย่างก็ต้องยกตัวอย่างอาตมภาพเอง สมัยก่อนศรัทธาหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แต่เห็นงานสำคัญกว่า ถึงเวลารู้ว่าท่านมาสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม ก็ฝากเงินพี่ชายไปทำบุญเดือนละครั้ง ทำแบบนั้นอยู่เป็นปี ๆ
จนกระทั่งมีความรู้สึกว่า "แล้วเขาไปทำอะไรกันที่บ้านสายลม ?" อยากรู้อยากเห็น ก็เลยไปเอง พอไปเอง ๐๘.๓๐ น. หลวงพ่อฤๅษีฯ ลงมาเริ่มรับสังฆทาน ได้ทำบุญกับท่านเรียบร้อย ก็สบายใจ กลับบ้านได้ อยู่ลักษณะอย่างนั้นเป็นปี ๆ
แล้วกำลังใจเมื่อคิดว่า "แล้วตอนบ่ายเขาทำอะไรกัน ?" หลังจากทำบุญแล้วก็อยู่ต่อ ดูว่านอกจากหลวงพ่อท่านรับแขกแล้ว ยังตอบปัญหาธรรมด้วย แล้วตอนหลังเที่ยงเริ่มมีการฝึกมโนมยิทธิ เมื่อฝึกฝนตนเองเรียบร้อยก็กลับบ้านอีก อยู่ในลักษณะนี้ต่อไปอีกนาน
จนตัวเองเกิดความสงสัยว่า "แล้วตอนเย็นเขาทำอะไรกัน ?" จึงอยู่ต่อถึงค่ำ ประมาณหนึ่งทุ่มหลวงพ่อท่านลงมารับสังฆทาน เสร็จแล้วก็เจริญกรรมฐานรอบค่ำ เสร็จสรรพกว่าจะได้กลับบ้านก็ประมาณสี่ทุ่ม
เห็นหรือยังว่าจากที่ไม่ไปเลยกลายเป็น..ไปแค่ช่วงเช้า..ไปแค่ครึ่งวันหรือครึ่งวันนิด ๆ..ไปเต็มวัน..ไปทั้งวันทั้งคืน หลังจากนั้นหนักกว่านั้นอีก พอหลวงพ่อท่านมาบ้านสายลมเมื่อไร วันศุกร์หลังเพลอาตมาหายตัวจากบ้านไปแล้ว กลับมาอีกทีไม่ดึก ๆ วันจันทร์ก็เช้าวันอังคาร ไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอก ไปถวายการรับใช้หลวงพ่อท่านที่บ้านสายลม
เรื่องของกำลังใจ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์..ได้พบพระพุทธศาสนา..ได้ฟังธรรม..รู้จักน้อมนำมาปฏิบัติ แต่ละคนกำลังใจเหลือเฟือแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะเร่งรัดตัวเองให้เข้มข้นได้เท่าไร ? ตั้งแต่จัดปฏิบัติธรรมที่นี่มาตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๕๑ จนถึงปีนี้ ๒๕๖๖ มีใครไม่เคยขาดบ้าง ? มีอยู่หนึ่งคนแน่นอน ก็คือเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เพราะว่าถ้าไม่อยู่จัดงานไม่ได้ ส่วนของพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะโผล่มาตอนไหนกันบ้าง..?
แต่ก็มีหลายท่านที่ส่วนใหญ่มักจะมา ก็คือมาได้ถึง ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ของระยะเวลาที่จัดงาน กำลังใจจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่อยากจะชมว่าดี เพราะว่าที่ตะกายมาทุกครั้งก็คือหวังให้หลวงพ่อลากไปด้วย..ไม่ได้คิดจะทำเอง..! มาอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อทำได้ง่ายหน่อย..แบบนี้น่าตีให้ตาย..!
เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของการที่เราต้องเร่งรัดต้นเองให้มากขึ้น ความเกรงใจต่อโลกจะน้อยลง สมัยแรก ๆ เพื่อนชวนไปเที่ยวกลางคืนเราก็อาจจะบอกว่า "ไม่ไปหรอก ไม่ค่อยสบาย" แต่ความจริงก็คือตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ดี เราจะเลิกไป แต่พอกำลังใจเข้มข้นขึ้นมาอีก พอเพื่อนชวนไปเที่ยวก็บอกว่า "ไปเองเหอะ อยู่ทางนี้จะรักษาศีลปฏิบัติธรรม" เริ่มบอกกันตรง ๆ
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของคนมีปัญญา นอกจากมี "ศาสตร์" คือความรู้แล้ว ยังต้องมี "ศิลป์" คือวิธีการด้วย ไปบอกตรง ๆ เดี๋ยวคนอื่นเขาว่า จะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านไป
พอถึงเวลารักษาศีลแปด เพื่อนชวน "เฮ้ย..เย็นนี้กินหมูกะทะด้วยกันนะ" จะบอกเพื่อนว่าอย่างไรดี ? ถ้าบอกว่ารักษาศีลแปด เพื่อนคงมองหัวยันตีน ตีนยันหัวสามรอบแน่..! ก็บอกไปสิว่า "ช่วงนี้สุขภาพไม่ดี กินโปรตีนเยอะไม่ได้ ไตจะพัง" หรือไม่ก็ "อ้วนแล้ว กำลังอยู่ในระหว่างลดความอ้วนอยู่ แกไปกินคนเดียวเถอะ" ดีกว่าบอกไปว่ารักษาศีลแปดไหม ? ไปบอกว่ารักษาศีลแปดรับรองว่ากลายเป็นสัตว์ประหลาดแน่นอน..!
ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเราต้องมีปัญญา ต้องรู้รักรักษาตัวรอดในสังคมได้ ตามสังคมไปได้ทุกอย่าง แต่ไปแค่กรอบของศีล อะไรที่ทำให้ศีลบกพร่องเราจะไม่ทำ ความรู้สึกพวกนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง แต่คราวนี้อยู่ที่เราพลิกแพลง อย่าตรงไปตรงมาเป็นเถรตรง สมัยนี้โลกเราอยู่ยาก เป็นเถรตรงนี่รับประกันว่าโดน "บูลลี่" รอบทิศเลย..!
ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ทำอย่างไรที่คำพูดและการกระทำของเราจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นให้น้อยที่สุด ก็คือนอกจากจะทำเพื่อตัวเองแล้วยังเมตตาคนอื่นด้วย เพราะว่าคนที่ "บูลลี่" ผู้ปฏิบัติธรรมเขาไม่รู้หรอกว่าตัวเองนั้นมีโทษหนักแค่ไหน..! เราเองซึ่งไม่ระมัดระวังไปทำให้เขาต้องแสดงออกซึ่ง กาย วาจา ใจ ในลักษณะปรามาสพระรัตนตรัย การปรามาสผู้ปฏิบัติธรรมก็คือปรามาสหนึ่งในพระรัตนตรัย ก็คือพระธรรม..โทษหนักมาก
ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักระวัง โทษจะเกิดกับคนอื่น ช่วยเมตตาเขาหน่อย แต่ว่าหลายคนก็กำลังใจเข้มแข็งจนไม่สนใจเสียงนกเสียงกาแล้ว พอมีคนชวน "ช่วงนี้หยุดยาวตั้งหลายวัน ไปเที่ยวทะเลด้วยกันดีกว่า" พวกไม่สนใจเสียงนกเสียงกาก็ "เออ..ไปเถอะ..ขอให้สนุกนะ เราจะไปปฏิบัติธรรม อนุโมทนาด้วยกัน เราทำบุญอะไรขอให้เธอมีส่วนด้วย" พวกนี้หน้าด้านแล้ว ใครว่าอะไรไม่รู้สึกหรอก มั่นใจในความดีที่ตัวเองทำ
แต่เกรงใจโลกเขาหน่อยจะดีมาก เพราะว่าถ้าไม่เกรงใจ บางทีบางคนอื่นกำลังใจเขาไม่ได้อนุโมทนาด้วย เขาจะด่าเราอีกต่างหาก "อายุแค่นี้ มึงจะรีบเข้าวัดไปทำอะไร ? รอแก่ ๆ ก่อนค่อยไป" เชื่อเถอะ..คนที่พูดแบบนี้ พอแก่แล้วก็ไม่เข้าวัดหรอก..!
อาตมาเคยเจอมาแล้ว "โยม..ทำไมไม่ไปวัด ?" โยมบอกว่า "โอ๊ย..ลูกยังเล็กเจ้าค่า" พอเห็นลูกเข้าเรียนแล้วก็ถามใหม่ "โยม..ทำไมไม่ไปวัด ?" โยมตอบ "ต้องเลี้ยงหลานเจ้าค่ะ" อย่างนั้นไม่ต้องไปหรอก..อยู่นั่นแหละ รอเขาหามมาเข้าวัด..! พอรดน้ำเสร็จสรรพเรียบร้อย เดี๋ยวหลวงพ่อก็จะสวดพระอภิธรรมให้เอง..!
ดังนั้น..เรื่องที่พวกเราทำ ขอให้รู้ว่าต้องฝืนกระแสโลก บุคคลที่ฝืนกระแสโลกได้จัดว่าเป็นมหาบุรุษ ต่อให้เป็นผู้หญิงเขาก็เรียกว่ามหาบุรุษ เพราะคำว่า ปุริส คำนี้คือคำว่า บุรุษ ที่แปลว่า คน มหาบุรุษก็คือยอดคน ในเมื่อเราจะเป็นยอดคน ก็ต้องทนเรื่องที่ลำบากกว่าคนอื่นเขาได้
ดังนั้น..ตั้งแต่วันนี้วันที่ ๒๘, ๒๙, ๓๐ ไปจนถึง ๓๑ ทนอย่างเดียว ช่วงบ่ายนี้มีเวลาปฏิบัติธรรมแค่ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น ดูว่าจะทนไม่ไปห้องน้ำได้ไหม ? จะทนไม่รับโทรศัพท์ได้ไหม ? ได้มีคนตายกันบ้างแน่เลย..!
กิเลสมักจะชวนเราให้ทำอย่างอื่น เพราะเขารู้ว่าถ้าหากเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม กิเลสจะอยู่ไม่ได้ ดังนั้น..ถ้าชวนไปห้องน้ำบอกไปเลยว่า "ตูจะเดินจงกรมให้ฉี่ราดอยู่ตรงนี้แหละ..แน่จริงทำไปเลย" ถ้าจะให้เรารับโทรศัพท์ ตอนปฏิบัติธรรมก็ปิดโทรศัพท์ทิ้งไปเลย..!
เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีโทรมาหาอาตมภาพตอนกำลังทำวัตรเย็น เปิดเสียงให้ท่านฟังเสียงทำวัตรตั้งเกือบสามนาที จนท่านวางหูไปเอง ก็สวดมนต์อยู่ มีอะไรก็โทรมาหลังสวดมนต์สิครับ ไม่ใช่โทรมาตอนนี้ ถ้าหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้ได้..ก็พออยู่ได้นะ..!
ก่อนทำวัตรเย็น วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖
mKdvHb6dQ1w
ใครมาเป่ายันต์บ้าง ? แล้ววันนั้นใครที่บ่นว่าร้อน วันนี้ฝนตกอากาศเย็นช่วยบ่นให้ได้ยินหน่อยสิ..! ทุกวันนี้ที่พวกเราทุกข์อยู่ ก็เพราะว่าเราเข้าไม่ถึงความจริง แล้วไปดิ้นรนต่อต้าน พวกเราเหมือนอย่างกับสัตว์ที่ติดกับดัก ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ แต่ถ้ายอมรับ ก็จะเจ็บตัวน้อยหน่อย
เรื่องของอากาศจะร้อนหนาวฝนตกอย่างไรก็ตามเป็นธรรมชาติ แต่พอถึงเวลาเราก็ไปโวยวาย ทำอย่างกับโวยแล้วจะหายร้อน อาจจะหายก็ได้..หายคลั่ง แต่ก็ยังร้อนอยู่เหมือนเดิม..!
แล้วทำอย่างไรเราถึงจะไม่ไปดิ้นรนต่อต้าน ? ปัญญาต้องเห็นว่าธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ธรรมดาเป็นอย่างนั้น ถ้าใครเข้าถึงคำว่าธรรมดานี่กินได้ตลอดชาตินี้ ชาติหน้า ยันเข้าพระนิพพานเลย..!
ธรรมดาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ธรรมดาของปุถุชนปล่อยวางได้ระดับหนึ่ง
ธรรมดาของกัลยาณชนปล่อยวางได้มากกว่านั้น
ธรรมดาของอริยชนก็ปล่อยวางหนักเข้าไปอีก
ธรรมดาของพระอรหันต์ก็ปล่อยหมดเกลี้ยงเลย ถ้าไม่ใช่วาระกรรมจะไม่แตะเลย เลิกยุ่งแล้ว
แต่พวกเรายังยุ่งอยู่ก็เลยทุกข์มากกว่า แล้วส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง อยากได้โน่น อยากได้นี่ อยากได้นั่น อยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่ อยากเป็นนั่น..อันนี้เป็นเรื่องของอนาคต
แล้วไอ้โน่นก็ไม่น่าเป็นอย่างนั้นเลย ไอ้นี่ไม่น่าเป็นอย่างนี้เลย..นั่นเป็นเรื่องในอดีต
ไม่ได้อยู่กับปัจจุบันเลย ก็คือถ้าไม่ไปโหยหาอดีต ก็ไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต รถยนต์ที่ผ่านไปแล้วเราขึ้นไม่ได้ รถอดีตผ่านเลยไปแล้ว รถยนต์ที่ยังมาไม่ถึงเราก็ขึ้นไม่ได้ นั่นรถในอนาคต แล้วจะไปสนใจทำไม ? ทำไมเราถึงไม่ขึ้นรถคันปัจจุบัน ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ?
ถ้าหากว่ากำลังใจของเราอยู่กับปัจจุบัน เราจะเหลือความทุกข์น้อยมาก ก็คือมีแต่ความทุกข์ตามสภาพของร่างกายเท่านั้น แต่เรามักจะฟุ้งซ่าน ไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต กลายเป็นว่าคิดให้ตัวเองทุกข์ ถึงได้กล่าวว่าพวกเราทุกข์เพราะความคิดตัวเอง
หรือถ้าหากพูดอีกมุมหนึ่งก็คือทุกข์เพราะความอยากของตัวเอง อยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนี้ ไม่อยากเป็นอย่างนั้น ไม่อยากเป็นอย่างนี้ เหล่านี้เป็นตัณหาล้วน ๆ ตัณหาคือความทะยานอยาก อยากสวย อยากรวย อยากมีชื่อเสียง อยากเป็นที่ยอมรับในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
"อยาก" เป็นตัณหาเราเข้าใจได้ แล้ว "ไม่อยาก" เป็นตัณหาตรงไหน ? ไม่อยากก็คืออยาก แต่เราไปใช้คำว่า "ไม่อยาก" ก็เลยกลายเป็นวิภวตัณหา อย่างเช่นว่าไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย ฟังดูเหมือนกับไม่อยาก แต่จริง ๆ แล้วก็คือ อยากจะไม่เจ็บ อยากจะไม่แก่ อยากจะไม่ตาย..อยากทั้งนั้น
พอแค่นี้ก่อน ได้เวลาทำวัตรค่ำแล้ว
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖
byEfskNDeuE
เรื่องแรก..ใครเอาร่มเจ้าอาวาสไปตั้งแต่เช้า ? อาตมาเดินตากฝนมา ๒ รอบแล้ว จะหยิบจะจับอะไรก็ให้มองดูเสียก่อน ว่าใช่ของตัวเองหรือเปล่า ? เพราะว่าร่มที่ทิ้งเอาไว้แล้วไม่ใช่ของตัวเองพระหยิบไม่ได้ ภิกษุหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เคลื่อนจากฐานเศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผมต้องอาบัติปาราชิก..!
ไม่ใช่คิดว่า "เออ..ทิ้งของเราไว้ คนอื่นจะได้ใช้แทน" ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้ตัวหรือยังว่าหยิบของเจ้าอาวาสไป อุตส่าห์กางไว้กับพื้นเพื่อให้ต่างไปจากคนอื่นเพราะว่าส่วนใหญ่เขาจะวางไว้บนที่วางรองเท้า แสดงว่าการปฏิบัติธรรมไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย ยังมักง่ายอยู่เหมือนเดิม..!
เคยบอกเอาไว้หลายต่อหลายครั้งแล้วว่า การปฏิบัติธรรมเป็นการกระทำสิ่งที่ซ้ำ ๆ กันอยู่ทุกวัน แต่ว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานได้ไหม ? แล้วก็มีเป้าหมายต่อไปว่า "เราต้องทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้" ไม่ใช่ว่าเมื่อไร ๆ สภาพจิตก็ยังหยาบอยู่เหมือนเดิม ทำอะไรก็ขาดความระมัดระวัง
เป็นโทษอื่นไม่เท่าไร แต่ถ้าโทษปรามาสพระรัตนตรัยจะปิดมรรคปิดผล ทำให้ตายก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่รู้ตัวว่าได้ทำผิดไปแล้ว การจะเข้าถึงมรรคผล กฎเกณฑ์กติกาแรกเลยก็คือ ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกิน ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ
(พระอาจารย์คืนงานวิทยานิพนธ์ของลูกศิษย์ที่ตรวจเสร็จแล้ว ให้ไปแก้ตามที่เขียนบอกไว้)
ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจไม่เปิดกว้างพอ การศึกษาระดับมหาบัณฑิต หรือดุษฎีบัณฑิต ซึ่งก็คือปริญญาโท ปริญญาเอก เขาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการศึกษาตามอัธยาศัย อยากเรียนเรื่องอะไรก็ไปหาที่เขามีสอนเองแล้วก็เรียนเอา คนที่จะเรียนในระดับนี้ได้ มุมมองต่อโลกต้องกว้างพอ พูดง่าย ๆ คือต้องมีประสบการณ์ชีวิต
เพราะฉะนั้น..หลายมหาวิทยาลัยถึงได้กำหนดว่า ถ้าคุณจะมาต่อโท MBA ที่นี่ คุณจะต้องมีประสบการณ์ทำงาน ๓ ปี หรือ ๕ ปี เพื่อที่จะได้มีมุมมองต่อโลกกว้างขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วก็มองโลกอยู่แต่ขาวกับดำแค่ ๒ สี หารู้ไม่ว่าตรงกลางเขาสีเทากันไปหมดตั้งนานแล้ว..!
แล้วทำอย่างไรเราถึงจะอยู่กับโลกสีเทาขมุกขมัวนี้ได้ ? เราก็ต้องเอาศีลเป็นเครื่องป้องกันตัวเอง ไปแค่กรอบของศีล ถ้าหากว่าเกินกรอบของศีลแล้วเราไม่ไปด้วย ก็คือเรายังคงอยู่กับโลกนั่นแหละ..แต่ไม่ติดในโลก เมื่อเรามีศีลเป็นกรอบ ก็เหมือนกับน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวใบบอน ถึงอยู่กับโลกแต่ก็ไม่ติดอยู่ในโลก เรามีศีลเป็นน้ำมันหล่อลื่น กลิ้งไปกลิ้งมาโดยไม่ติด
หยดน้ำที่กลิ้งบนใบบัวหรือใบบัวบอนเป็นทรงกลมถึงค่อนข้างกลม พวกเราส่วนใหญ่แล้วใช้หลักธรรมไม่ถูก ก็คือไม่สามารถที่จะกลมกลืนกับโลกได้ อย่างที่บอกเมื่อวานนี้ว่าพอมีคนถามว่า "ไม่กินข้าวเย็นหรือ ?" เราก็ไปตอบว่า "ไม่ล่ะ..เราถือศีลแปด..!" คนอื่นได้ยินเขาก็มองเราหัวถึงตีน..! ก็บอกไปสิว่า "ตอนนี้เป็นโรคกระเพาะอยู่..กินมากไม่ได้"
นั่นก็คือการที่จะทำอย่างไรเราถึงจะเกลาเหลี่ยมเกลามุมของตัวเองให้ลดความแข็งกระด้างลงมา แรก ๆ ก็เป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ ร่วงตุบลงไปก็อยู่ตรงนั้นแหละ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่เป็น..เถรตรงมาก แต่พอปฏิบัติธรรมไปนาน ๆ ปัญญาจะต้องเกิด เราต้องปรับตัวเราเข้ากับโลกได้ ทำอย่างไรให้ กาย วาจา ใจ ของเรา เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นให้น้อยที่สุด..?!
พอเกลาตัวเองไปเรื่อย ๆ ภาษาบาลีเขาว่าสัลเลขตา คือ การขัดเกลาตนเอง เกลาไปเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็กลม คราวนี้พอกลมแล้ว จะกลิ้งไปทางไหนก็ไป เพียงแต่อย่าหลุดจากใบบัวใบบอนไปก็แล้วกัน หลุดเมื่อไรก็ต๋อม..ลงน้ำหายเงียบ..!
การที่เราจะอยู่กับโลกสีเทา ๆ นี้ได้ ต้องนึกถึงภาษิตจีนที่บอกว่า "พบผู้คนกล่าววาจาผู้คน พบภูตผีกล่าววาจาภูตผี" มึงมาอย่างไรกูไปได้ทั้งนั้นแหละ..แต่..กูมีศีล..!
เพียงแต่อย่าไปอวดคนอื่นเขา เรารักษาศีลเพราะเรารู้ว่าศีลนี้ดีเราถึงทำ ไม่ใช่ว่าคนอื่นทุกคนจะมีสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าศีลเป็นของดีเหมือนกับเรา ถ้าเขาเอ่ยปรามาสขึ้นมาแม้แต่ประโยคเดียว เท่ากับสร้างโทษใหญ่ให้กับเขาเอง และเราเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้น..เมตตาต่อตัวเองและก็เมตตาต่อคนอื่น เมตตาต่อคนอื่นแล้วก็เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย ค่อย ๆ เกลาตัวเองไปเรื่อย
ตัวอย่างเช่นบอกแม่ว่า "แม่..ไม่อยู่หลายวันนะ"
แม่ถาม "ไปไหนล่ะ ?"
ตอบไปว่า "เพื่อนชวนไปเที่ยว"
แม่ถามต่อ "ไปที่ไหน ?"
ตอบไปว่า "ทองผาภูมิ..ตอนนี้อากาศกำลังดี"
ที่ไหนได้..ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ถ้าบอกแม่ว่า "แม่..ไปปฏิบัติธรรม ๕ วันนะ" รับประกันว่าไม่ได้ออกจากบ้านหรอก โดนล่ามโซ่เลย..!
บอกไปว่าไปกับเพื่อน รอบข้างเรานี่ก็เพื่อนทั้งนั้นแหละ เขาเรียกสหธรรมิก เพื่อนร่วมปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็ วิสฺสาสา ปรมา ญาติ ความคุ้นเคยยิ่งกว่าเป็นญาติ แต่เรานับเขาเป็นเพื่อนก็แล้วกัน ยิ่งคนไหนรวย ๆ เราก็รีบคว้าเป็นเพื่อนไว้ก่อน เขาจะเป็นเพื่อนเราหรือเปล่าเรื่องของเขา แต่เราเป็นก็แล้วกันนะ..! คราวนี้ก็มีข้ออ้างออกจากบ้านได้สบายแล้ว ขากลับหาทุเรียนทองผาภูมิไปฝากแม่ด้วยอีกต่างหาก
การที่เราจะมีปัญญาได้ศีลต้องทรงตัว
พอศีลทรงตัว การที่เราระมัดระวังศีลอยู่ตลอดเวลา ทำให้สมาธิเกิดโดยอัตโนมัติ
พอสมาธิเกิด สภาพจิตนิ่งสงบ ปัญญาก็จะเกิด
เพราะฉะนั้น..ศีล สมาธิ ปัญญา เหมือนกับการที่เราไขเกลียวน็อต ไขไปเรื่อยเดี๋ยวก็สุดเอง พอถึงเวลาปัญญาเกิดก็จะไปควบคุมศีลให้บริสุทธิ์ ศีลยิ่งบริสุทธิ์สมาธิยิ่งทรงตัว สมาธิยิ่งทรงตัวปัญญายิ่งเกิด คราวนี้จะรู้แล้วว่าต้องกะล่อนอย่างไร เป็นการกะล่อนแบบไม่ผิดศีลนะ..!
อาตมภาพสมัยเรียนทหารอยู่กองโรงเรียน ไม่เคยโกหกผู้บังคับบัญชาเลย ถึงเวลาฝึกกันแทบรากเลือด แต่ถ้าเขาถามว่า "หิวไหม ?" ต้องตะโกนตอบว่า "ไม่หิว" ซึ่งโกหกชัด ๆ..!
ก็ใช้วิธีพอถึงเวลาเขาถามว่า "หิวไหม ?" อาตมาก็รอเพื่อนทั้งกองตอบขึ้นว่า "ไม่" แล้วเราค่อยตะโกนแค่คำว่า "หิว" คำเดียว แต่เสียงตะโกนพร้อมกับเขานี่ ถามว่า "เหนื่อยไหม ?" คอยเพื่อนทั้งกองตะโกนตอบว่า "ไม่" แล้วเราก็ตะโกนแค่คำว่า "เหนื่อย" พร้อมกับคนอื่น ไม่เคยโกหกเลย..!
ก็บอกแล้วว่าอยู่กับโลกนั้นอยู่ได้ แค่อยู่ให้เป็น ไม่ผิดศีลหรอกถ้าอยู่เป็น ปัญญาต้องมี ปัญญาไม่พออยู่ไม่ได้ หรืออยู่ยาก
การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าท่านหวังผล ๓ สถานด้วยกันคือ
ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ การปฏิบัติธรรมต้องมีประโยชน์ทันตาในชาตินี้ ต้องเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่อยู่แต่ในวัด
สัมปรายิกัตถประโยชน์ ถ้าทำจริงทำจัง กำลังใจมั่นคง ชาติต่อไปนี่หวังสุคติได้แน่นอน เทวดา นางฟ้า พรหมนี่เรื่องเล็ก กำลังใจทรงตัวได้นี่เลือกเอาได้เลยว่าจะเอาชั้นไหน เพียงแต่ว่าถ้าจะเป็นพรหม ต้องสร้างกำลังใจให้ได้ตามชั้นของท่านก็แล้วกัน แต่ถ้าหากว่าจะเป็นเทวดานี่เราเลือกได้เลย เพราะกำลังใจเกินพอแล้วนี่ ถ้าจะเอาน้อยกว่าที่เราทำก็ได้..เขาไม่ว่าหรอก
ปรมัตถประโยชน์ ช่วยส่งให้เราพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน
พระพุทธองค์ท่านไม่ได้หมายเอาสุดท้ายโน้น ซึ่งไม่รู้ชาติไหน ท่านเอาตั้งแต่ตอนนี้ ประโยชน์ ๓ สถาน บางที่บอกว่า อัตตัตถะ..ประโยชน์ต่อตน ปรัตถะ..ประโยชน์ต่อผู้อื่น อุภยัตถะ..ประโยชน์ทั้งเขาและเรา ที่ฝรั่งเรียกว่า win - win ชนะทั้งคู่
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖
Ju9Gj4kJFBI
(หลังจากเสียงตามสายจบ) เมื่อครู่นี้หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกเรื่องวาจาส่อเสียด มีศัพท์อยู่คำหนึ่งก็คือ "ไอ้หมอนั่น" เด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยได้ยินคำนี้กัน ต้องเข้าใจว่าคนรุ่นเก่าถ้าถนัดหรือชำนาญอะไร เขามักจะเรียกเป็น "หมอ" แม้กระทั่งควาญช้างก็เรียกว่า "หมอช้าง" ทนายความก็เรียกว่า "หมอความ" แต่พอเอามาเรียกคนเข้าความหมายก็เพี้ยน ก็คืออยู่ในลักษณะเป็นคนกะล่อน "ไอ้หมอนั่น" ก็แปลว่าเขามีความเชี่ยวชาญในการกะล่อนมากเป็นพิเศษ
คำพูดเก่า ๆ หลายคำ พอไม่ได้ใช้ก็เลือนหายไป อย่างปัจจุบันนี้อาตมาไม่ได้ยินคำว่า "กระถ็อก" แล้ว มีใครเคยได้ยินไหม ? อย่างเช่นกระถ็อกน้ำปลา คือปกติแล้วจะตัดจุกขวดน้ำปลาให้รูใหญ่ไม่ได้ เดี๋ยวเทแล้วน้ำปลาจะออกมาเยอะเกินไป ต้องตัดรูเล็ก ๆ แต่พอรูเล็กเททีน้ำปลาก็ไม่อยากจะออก ถ้าเป็นเราก็เรียกว่าเขย่า..ใช่ไหม ? แต่ภาษาโบราณเขาเรียกว่า "กระถ็อก"
กลายเป็นว่าศัพท์บางคำหายไป ในขณะเดียวกันศัพท์ใหม่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา แต่ศัพท์รุ่นใหม่ฟังแล้วเครียด เขาสามารถบัญญัติศัพท์ที่เราฟังไม่รู้เรื่องได้ ต้องเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องชั่วคราว สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง หรือถ้าหากแปลให้ฟังเข้าใจก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรเที่ยง
ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นถือมั่น เราก็จะทุกข์ ขอร้องร่างกายนี้ให้อย่าแก่เลย..แล้วร่างกายฟังเราไหม ? อย่าอ้วนเลย..ร่างกายไม่ฟังเราหรอก เพราะว่าเป็นไปของมันเอง ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง เราไปหวังให้เที่ยงก็เท่ากับว่าเราไปฝืนธรรมดา
คำว่า "ธรรมดา" ถ้าใครหาเจอ จะใช้หากินได้ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อ ๆ ไปยันพระนิพพานเลย..!
ธรรมดาเป็นอย่างนั้น ธรรมดาการเกิดมาในโลกต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ ธรรมดาของการทำงานที่นี่ ก็ต้องเจอเจ้านายเฮงซวยอย่างนี้..!
ธรรมดาของแต่ละคนไม่เท่ากัน
ธรรมดาของปุถุชน คนหนาแน่นด้วยกิเลส ปล่อยวางได้แค่นี้
ธรรมดาของกัลยาณชน คนมีศีลมีธรรม ปล่อยวางได้อีกหน่อยหนึ่ง
ธรรมดาของอริยชน ก็ว่าไปตามลำดับ ตั้งแต่โสดาปัตติมรรคไปถึงอรหัตผล
พวกเราทุกคนต้องหาคำว่า "ธรรมดา" ให้เจอ ถ้าหาไม่เจอชีวิตนี้ไม่มีความสุขหรอก เพราะว่าเราไม่เห็นความธรรมดา ธรรมดานี้มาจากธรรมชาติ..คือปกติที่เกิดขึ้นแบบนั้น
ชาติ หรือชาตะ แปลว่า ความเกิด
ธรรมชาติ แปลว่า เกิดขึ้นตามปกติและมีปกติเป็นเช่นนั้น
ในเมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนั้น เราจะไปหวังอะไรมากมาย โบราณเขาถึงได้บอกว่า อย่าไปตั้งความหวังไว้กับใคร ตั้งความหวังไว้มากถึงเวลาก็จะผิดหวังมาก
อาตมภาพเจอโยมอยู่คนหนึ่ง ลูกสาวเรียนจบแล้วกำลังทำงาน ส่วนลูกชายกำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แต่เที่ยวหัวหกก้นขวิดทุกคืน ออกจากบ้านหกโมง ทุ่มครึ่ง กลับมาอีกทีก็สว่าง ถามแม่เขาว่า "เครียดไหม ?" เขาบอกว่า "แรก ๆ ก็เครียด ในที่สุดก็เห็นว่าธรรมดา อนาคตของเขา ถ้าเขาไม่สนใจก็เรื่องของเขาเถอะ เราไม่ได้เลี้ยงเขาตลอดไปอยู่แล้ว" แม่ทำใจได้ ส่วนลูกจะรู้ตัวเมื่อไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรม..!
อาตมภาพมาทองผาภูมิใหม่ ๆ ปี ๒๕๓๒ ประมาณ ๓๔ ปีที่แล้ว นั่งคุยกับครูท่านหนึ่งของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เขามาสำรวจที่เพื่อตั้งฐานฝึกลูกเสือ ครูคนนี้เป็นคนขาดเหล้าไม่ได้ คุยกับพระไปก็ก๊งเหล้าไป อาตมาก็นั่งคุยกับเขาหน้าตาเฉย
คุยไปคุยมา ครูทนไม่ได้ถามว่า "อาจารย์..ถามจริง ๆ เถอะ เห็นผมกินเหล้า จะไม่ห้ามบ้างหรืออย่างไร ?" อาตมภาพบอกเขาไปว่า "อ้าว..ตัวก็ตัวของมึง เงินก็เงินของมึง อยากกินก็กินไปสิ กูจะไปห้ามทำไม..?!" แกบอกว่า "พระอื่นแค่ได้ยินว่าผมกินเหล้านี่ โอ๊ย..เทศนาเป็นชั่วโมง จะให้เลิกให้ได้ มีแต่อาจารย์นี่แหละที่นั่งคุยกับผม ผมคุยไปดื่มไปครึ่งกลมแล้ว อาจารย์ยังไม่บ่นสักคำ..!"
อาตมาก็บอกว่า "เรื่องของสุรา เรื่องของยาเสพติด ถ้าเจ้าตัวยังไม่เห็นโทษและคิดเลิกด้วยตนเองแล้ว อาตมาพูดให้ปากฉีกถึงหู โยมก็ไม่เลิกหรอก แล้วจะพูดไปให้เหนื่อยทำไม ?" แกบอกว่า "จริงครับ"
หลังจากนั้นหลายปีก็เลิกได้นะ เพราะว่าตับแข็ง ไปโรงพยาบาลหมอบอกว่า "ถ้ากินต่อตายแน่..!" เลยเลิกได้ นี่ถ้าไม่มีความตายมาเกี่ยวก็คงไม่เลิกหรอก แล้วไปนึกถึงพี่ชายคนโตของอาตมภาพเหมือนกัน ตายตอนอายุ ๙๕ ปี พี่ชายคนนี้ตั้งแต่วัยรุ่นก็กินเหล้าแทนน้ำเลย ถึงเวลาคนอื่นออกไร่ออกนาไปทำงาน เขาหิ้วน้ำกันไป พี่ชายอาตมภาพหิ้วแกลลอนใส่เหล้าเถื่อนไป ดื่มแทนน้ำทั้งวันเลย..!
อาตมาพอเรียนหนังสือรู้ภาษา สมัยโน้นเข้าเรียนตอน ๘ ขวบ ตอนเย็น ๆ ก็มีหน้าที่เอาจักรยานไปรับแกกลับจากตลาด แกก็นั่งโงกเงก ๆ อยู่ท้ายจักรยาน อาตมาก็ปั่นไปเรื่อย ไกลหลายกิโลฯ อยู่ สักพักหนึ่งก็ โครม..หล่นลงไปกองกับพื้น..! อาตมภาพก็ต้องหยุดจักรยาน ปัดขาตั้งเรียบร้อย พยุงแกขึ้นมานั่งใหม่แล้วก็ปั่นต่อ อีกสักพักก็ โครม..ลงไปกองกับพื้นอีกแล้ว..!
สักอายุ ๘๐ กว่าปี ไปเยี่ยมแก ปรากฏว่าเลิกเหล้าได้แล้ว ตับแข็ง..หมอไม่ให้กินต่อ หมอบอกว่า "ถ้าอยากตายก็กินไปเลย..!" เหมือนกันเลย ก็คือถ้าไม่มีเรื่องตายเข้ามานี่ห้ามไม่ได้หรอก แล้วอัศจรรย์มากว่าแกอยู่มาได้อย่างไร กินเหล้าแทนน้ำมาตั้งแต่วัยรุ่น อยู่มาได้จนอายุ ๙๕ ปี ถ้าแกไม่กินเหล้าไม่อยู่เป็นร้อยปีหรือ ?
เรื่องพวกนี้เราบอกกันไม่ได้นะ บอกคนอื่นว่ากินเหล้าไม่ดี ไม่ดีที่ไหน ดูอาแปะแกอยู่ถึง ๙๕ ปี แล้วถ้าบอกว่าสูบบุหรี่ไม่ดี ลองไปถามล้อต๊อกดูสิ ล้อต๊อกสูบวันละสองซองครึ่ง อยู่จนอายุ ๗๙ ปี ยังมีลูกเลย ตายตอนอายุเกือบ ๙๐ ปี เด็กรุ่นหลังแทบจะไม่รู้จักล้อต๊อกกันแล้ว
ที่ว่ามาถึงตรงนี้ก็เพราะว่า เรื่องของการสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเอง เราต้องมีจิตสำนึกของตนเอง อย่างที่เมื่อวานเล่าไปว่า ถามโยมคนหนึ่งว่า "โยม..เมื่อไหร่จะเข้าวัด ?" โยมบอกว่า "ลูกยังเล็กเจ้าค่ะ" พอลูกโตเข้าโรงเรียนได้ก็ถามใหม่ "โยม..เมื่อไรจะเข้าวัดเสียที ?" โยมตอบว่า "กำลังเลี้ยงหลานเจ้าค่ะ" อย่างนี้เอ็งไม่ต้องเข้าหรอก รอเขาหามเข้ามาเถอะ..! ตอนนั้นมาก็แบมือรอรดน้ำอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว..!
เรื่องบุญเรื่องกุศลเป็นเรื่องที่พวกเราต้องทำเอง ทำแทนกันไม่ได้ ทำให้ได้ แต่ทำแทนกันไม่ได้ คำว่าทำให้ได้นี่ก็คือ ตอนที่เราตายแล้วคนอื่นทำให้ แต่คราวนี้มีปัญหาที่ว่า อันดับแรก..เขาจะทำให้หรือเปล่า ? อันดับที่สอง..เขาทำถูกวิธีหรือเปล่า ?
ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง มาบอกมากล่าวไว้ พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่าการถวายสังฆทานจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ผีกี่ราย ๆ มาขอบุญให้ถวายสังฆทานให้
อันดับแรก ต้องมีพระพุทธรูปอย่างน้อยหน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไป เพราะว่าจะทำให้มีรัศมีกายสว่างมาก เทวดา นางฟ้า พรหม ตลอดจนพระบนนิพพาน เขาวัดกันด้วยรัศมีกาย ใครมีศักดานุภาพมากกว่าก็มีรัศมีสว่างกว่า
อันดับที่สอง ขอให้มีผ้าอย่างน้อยกว้างคืบยาวคืบ ผ้ากว้างคืบยาวคืบภาษาบาลีเขาเรียกว่าจีวร หรือถ้ามีสตางค์มากก็ซื้อสบงสักผืนก็ได้ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ถวายผ้าไตรทั้งชุดไปเลย
อันดับที่สาม ขออาหาร จะเป็นอาหารสดก็ได้ อาหารแห้งก็ได้ ขอให้เป็นอาหาร จะสด จะแห้ง จะน้ำ อะไรได้ทั้งหมด จะทำให้เขามีร่างกายเป็นทิพย์ ไม่ต้องเสียเวลากิน..ก็คืออิ่มบุญ
เขาขอหลัก ๆ แค่นี้แหละ แต่หลวงปู่มหาอำพัน ครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่งของอาตมภาพ ท่านไปอ่านในพระธรรมบท ที่ยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นใหญ่ใต้ต้นไทรต้นหนึ่ง คนหรือสัตว์ที่เข้าไปในร่มเงาของไทรต้นนั้น ยักษ์สามารถจับกินได้ อันนี้ไม่ใช่ท้าวเวสสุวรรณท่านให้พรส่งเดชนะ คนหรือสัตว์ที่วาระกรรมมาไม่ถึง ก็จะไม่เข้าไปที่ตรงนั้น
ปรากฏว่าตรงนั้นเป็นทางผ่านระหว่างเมืองต่อเมือง พอยักษ์กินคนหนัก ๆ เข้า ก็ไม่มีใครเดินทางนั้น การค้าระหว่างเมืองก็สะดุดลง คนที่เดือดร้อนที่สุดคือพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าเก็บภาษีการค้าระหว่างเมืองได้น้อยลง พระเจ้าแผ่นดินก็เลยประกาศหาคน ถ้าใครไปจัดการกับยักษ์ได้จะให้รางวัล
พระโพธิสัตว์ท่านเป็นคนจน อยากได้รางวัลมาเลี้ยงดูแม่ที่แก่แล้ว ก็เลยไปอาสา เมื่อถูกถามว่า "จะเอาอาวุธอะไรบ้าง ?" พระโพธิสัตว์ตอบว่า "อาวุธไม่ต้อง ขอเพียงรองเท้าหนึ่งคู่ กับร่มหนึ่งคัน" แล้วก็ใส่รองเท้าอย่างเท่เลย กางร่มเดินออกไป ยักษ์ก็งง ระยะนี้ไม่มีใครมาเพราะเขารู้ข่าวกันหมด แต่ไอ้นี่ดันเดินดุ่ย ๆ มาเฉยเลย..!
พอพระโพธิสัตว์ไปถึง
ยักษ์ก็โผล่ออกมาตะคอกว่า "เจ้าเข้ามาอยู่ในร่มเงาต้นไทรนี้ อยู่ในอำนาจของข้าแล้ว ข้าจะกินเจ้า"
พระโพธิสัตว์บอกว่า "แกไม่มีสิทธิ์กินข้าหรอก"
ยักษ์ถามว่า "ทำไม ?"
พระโพธิสัตว์บอกว่า "ข้าอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไทรที่ไหน ข้าถือร่มอยู่ อยู่ใต้เงาของร่มคันนี้"
ยักษ์บอก "ถ้าแกเหยียบพื้นดินนี่อยู่ ข้าก็กินแกได้"
พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า "ข้าเหยียบอยู่บนรองเท้า"
ยักษ์เห็นว่ามีปัญญาก็เลยยอม
พระโพธิสัตว์ถามยักษ์ว่า "อยากจะพ้นจากสภาพนี้ไหม ?"
ยักษ์บอกว่า "ถ้าไปจากที่นี่ก็จะไม่มีอะไรกิน หรือถ้าหากว่าต้องไปไล่ล่าเองก็ลำบากมาก"
พระโพธิสัตว์บอกว่า "ไม่ต้อง อยู่เฉย ๆ ก็มีคนเอามาให้กิน"
ยักษ์ก็ตกลง พระโพธิสัตว์ก็เลยชวนยักษ์ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน บอกพระเจ้าแผ่นดินว่า "ต้องการทหารเฝ้าปากทางเข้าเมืองไหม ? รับประกันได้ คนเดียวเท่านั้น แค่กินเยอะหน่อย แต่ว่าใช้การได้เหมือนทหารทั้งกองทัพเลย"
พระเจ้าแผ่นดินก็ตกลง สั่งคนเอาเสบียงไปส่งให้ยักษ์ทุกวัน ก็แค่กินมากกว่าคนธรรมดา ๓-๔ เท่าเท่านั้น คราวนี้ข้าศึกเข้ามาไม่ได้ ไม่ว่าจะขี่ช้างขี่ม้าอะไรมา ยักษ์โผล่หน้าไปก็วิ่งกันป่าราบหมด กลายเป็นเมืองที่ไม่มีข้าศึก
หลวงปู่มหาอำพันท่านติดใจตรงนี้ก็เลยถวายร่มกับรองเท้าไว้ในชุดสังฆทานด้วย
สรุปว่าสังฆทานต้องมี
อันดับแรก พระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไป
อันดับสอง ผ้ากว้างคืบยาวคืบขึ้นไป
อันดับสาม อาหารสดหรือแห้งก็ได้
ส่วนรองเท้ากับร่มไม่ต้องมีก็ได้ แต่หลวงปู่มหาอำพันท่านถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ปลอดภัย ท่านก็เลยทำไปด้วย
เมื่อครู่พูดถึงว่า "ถ้าเราไม่ทำเอง แล้วคนอื่นจะทำให้ไหม ?"
แล้ว "ถ้าเขาทำให้ จะทำถูกหรือเปล่า ?"
ประการต่อไป "ทำให้ ทำถูก แล้วเราจะได้เมื่อไร ?"
ถ้าเขาไม่อิทัง ปุญญะพลังฯ นี่เราอดเลยนะ ซื้อของไว้เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไม่ส่ง "เคอรี่" ให้ ไม่จ่าหน้าถึงเรา แล้วเราจะได้เมื่อไร ? เพราะบางคนทำแล้วอุทิศส่วนกุศลไม่เป็น
แบบพระเจ้าพิมพิสาร ญาติที่เป็นเปรตมาตั้ง ๙๑ กัปต้องไปทวง ร้องกรี๊ด ๆ พระเจ้าพิมพิสารตกใจ จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ทำบุญแล้วต้องอุทิศส่วนกุศล ธรรมเนียมพราหมณ์ถึงเวลาจะให้อะไรใครก็เอาน้ำรดมือคนนั้น เป็นสัญญาณว่าฉันให้แกแล้ว คนที่โดนน้ำรดมือก็ยกเอาของอะไรที่เขาให้นั้นไปได้
คราวนี้พอจะให้ส่วนกุศล ผีอยู่ไหนหว่า ? มือก็ไม่ยื่นมา จะเอาน้ำรดใคร ? พระเจ้าพิมพิสารก็เลยรดมือตัวเอง อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอผลบุญนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติของข้าพเจ้าจงมีความสุข พวกเราก็ถือเป็นรูปแบบกรวดน้ำมาจนถึงทุกวันนี้ พอถึงเวลาก็เอาน้ำรดมือ ซึ่งไม่ต้องรดก็ได้
เราจะอุทิศส่วนกุศลให้ใครไม่ต้องทำใหม่ด้วยนะ ที่นั่งอยู่ตรงนี้บุญล้นกันแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ยังใช้บุญไม่เป็น ก็เลยยังไปนิพพานไม่ได้สักที
เพราะฉะนั้น..จะอุทิศส่วนกุศลให้ใคร ตั้งใจไปเลยว่า "ผลบุญที่ข้าพเจ้าสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม ขอเธอ..เธอคือใคร ? ถ้าได้ยินแต่เสียงก็..ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น ถ้าได้กลิ่นก็..ผู้เป็นเจ้าของกลิ่นนั้น ถ้าเห็นแต่เงาแว่บ ๆ ก็..เจ้าของเงานั้น แต่ถ้ารู้ชื่อรู้นามสกุล ก็ออกชื่อออกนามสกุลไปเลย ขอเธอจงโมทนา เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับด้วย ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด"
คราวนี้รู้หรือยังว่ารอคนอื่นทำนั้นแย่แค่ไหน ? ทำให้หรือเปล่า ? ทำถูกหรือเปล่า ? ทำถูกแล้วอนุญาตให้เรารับหรือเปล่า ? ดังนั้น..จงทำเองเถอะ
การทำบุญของเรา
ทาน อานิสงส์ทำให้เกิดกี่ชาติก็จะสมบูรณ์พูนสุข มีโภคทรัพย์มาก
รักษาศีล เกิดมามีรูปสวย มีจิตใจดีงาม มีชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นที่เคารพนับถือของคนอื่น
เจริญภาวนา จะเป็นผู้มีปัญญามาก
อานิสงส์ไปคนละทิศคนละทางเลย ก็แปลว่าเราควรที่จะทำทั้งสามอย่าง มีโอกาสให้ทานเราให้ มีโอกาสรักษาศีลเรารีบรักษา มีโอกาสภาวนาเรารีบปฏิบัติ ถ้าอย่างนี้ถือว่าประกันความเสี่ยง เพราะว่าหนทางในวัฏสงสารนี้ยาวไกลจนไม่เห็นต้นไม่เห็นปลาย
หลวงปู่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ญาโณทยมหาเถร) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ท่านกล่าวเอาไว้ว่า "บุญเป็นเรื่องสำคัญมาก ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตราบนั้นเราต้องเร่งสร้างบุญให้มาก เพราะว่าบุญส่งผลให้ดีในส่วนเดียวเท่านั้น"
ทำดีได้รับผลดีแน่นอน เพียงแต่ของเรานั้นดีไม่ทั่วแถมยังชั่วไม่หมด ก็เลยดีบ้างชั่วบ้างอย่างทุกวันนี้ เพราะว่าบุญบาปจะมาสนองกันตามวาระที่เราทำ มาตามเวลาบ้าง มาตามความหนักเบาบ้าง มาแบบยักย้ายถ่ายเทบ้าง มีอย่างเดียวที่ไม่ให้ผลเลยก็คืออโหสิกรรม จบแล้วจบเลย
พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นการสร้างสมบุญกุศลให้ตัวเอง โดยเฉพาะการเปิดดวงตาคือปัญญา ให้รู้หลักการวิธีการว่า เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรให้อยู่ในโลกนี้แบบไม่ลำบากมากนัก แล้วขณะเดียวกันให้หนทางในวัฏสงสารของเรารวบรัดตัดสั้นที่สุด พ้นทุกข์ชาตินี้ได้เลยยิ่งดี เป้าหมายมีแค่นี้เอง ทำงานกันแทบเป็นแทบตาย..อย่าผิดเป้าหมายนะ ผิดเป้าหมายตรงไหนต้องถามสุนทรภู่ สุนทรภู่บอกว่า
อันตัณหาราคะนั้นสาหัส
ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง
อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง
ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน
มาใกล้ ๆ ตอนนี้สิ อาตมาจะถองให้ดู ก็บอกว่าใครตัดได้จะให้ถอง ก็ดันไปเจอแต่คนที่ตัดไม่ได้
ทุกวันนี้ที่เราทำงาน จริง ๆ แล้วเป็นการสร้าง มีแต่เพิ่ม ไม่ได้ลด สร้างภาระในการแบกทุกข์หาบทุกข์ของเรา ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว ยังไปเอาขันธ์ ๑๐ มาไว้ข้างตัว แถมกรนเสียงดังอีก..! แล้วมีไอ้ตัวเล็ก ๆ มาเป็นขันธ์ ๑๕ ขันธ์ ๒๐ โอ๊ย..ทุกข์อย่าบอกใครเลย..!
เห็นลูกคนอื่นเขาน่ารักทุกคน เป็นเทวดาตัวจ้อย นางฟ้าจิ๋ว เห็นแล้วอยากจะอุ้มอยากจะชู เลี้ยงเองเมื่อไรนรกชัด ๆ..! ทำไมอาตมาถึงรู้ ? อาตมามีพี่ ๘ คน เขาเอาหลานมาให้เลี้ยง ๓๒ คน..! คนจีนเขานิยมลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง อาตมาเลี้ยงหลานจนเข็ด จนต้องหนีมาบวชอยู่นี่แหละ..! ใครจะเลียนแบบก็ลองไปเลี้ยงหลาน ๓๒ คนดู ตกนรกทุกวันเลย..! พอแล้ว..โม้มากไม่ดี เห็นทุกข์เห็นโทษแล้วก็เร่งปฏิบัติธรรมหนีกันด่วน ๆ เลย
ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖
4PXOZP3AGjU
ปีแรกที่อาตมภาพจำพรรษาเป็นหลักเป็นฐานที่ทองผาภูมิคือปี ๒๕๓๖ ฝนตกวันแรกวันที่ ๑๒ มิถุนายน ไปหยุดวันที่ ๒๐ ตุลาคม..! ตกทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดเลยสักวันเดียว นั่นคือสภาพป่ายุคนั้น ยุคนั้นเขายังมีพวกทำไม้กันเยอะมาก
สมัยก่อนเขาบอกว่าข้าราชการมาอยู่ทองผาภูมิต้องยุ่งกับ สาม ม. ไม่ ม.ใดก็ ม.หนึ่ง ไม่ก็เอาหมดเลย คือ ม้า ไม้ มอญ
ม้า ก็คือ ค้ายาม้า (ยาบ้า)
ไม้ ก็คือ ทำไม้เถื่อน
มอญ ก็คือ วิ่งพวกต่างด้าวเข้าประเทศ ก็น่าคิดนะ..หัวละ ๒๐,๐๐๐ บาท รถกระบะหนึ่งคันยัดเข้าไปเกือบ ๒๐ คน..!
ไม้เถื่อนตอนนั้นยกละ ๑,๗๐๐ บาท - ๑,๘๐๐ บาท อาตมภาพสร้างเกาะพระฤๅษี วิ่งลงไปซื้อไม้ในเมืองกาญจน์ ยกละ ๗,๐๐๐ บาท ใคร ๆ ก็ว่าพระอาจารย์เล็กบ้า ไม้แค่ ๑,๗๐๐ บาท - ๑,๘๐๐ บาท มีเต็มป่า แต่วิ่งลงไปซื้อไม้ยกละ ๗,๐๐๐ บาทจากในเมือง แล้วกว่าจะขนขึ้นมาอีกล่ะ ?
แต่เขารู้ไหมว่า พระเราต้องรักศีล รักความเป็นพระของเรามากกว่ารักผลประโยชน์ เพราะพระเรามีราคาไม่เกิน ๙๙ สตางค์ ถึง ๑ บาทเมื่อไร ขาดความเป็นพระทันที..!
ไม้เถื่อนแปลว่าไม่ได้ตีตราชักลาก ไม่ได้เสียภาษี แล้วภาษีเท่าไร ? ซื้อไม้เถื่อนไปเมื่อไรก็ขาดความเป็นพระเมื่อนั้นแหละ..! เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศีลพระว่า "ภิกษุรู้อยู่ ช่วยพ่อค้าซ่อนภาษีฯ" สมัยก่อนเขามีการขายเพชรขายพลอย แล้วพ่อค้าฝากใส่ย่ามพระ ผ่านด่านไปเพื่อหลบภาษี แล้วในกรณีไม้เถื่อนหมายความว่าอย่างไร ? รู้อยู่..เราก็รู้ว่านั่นเป็นไม้เถื่อน ซ่อนภาษี..ก็คือหลบไป..ไม่ยอมจ่าย
พระพุทธเจ้าท่านมีมหาปเทส ๔ คือข้ออ้างใหญ่ ๔ ข้อไว้ให้ตีความพระวินัย หนึ่งในนั้นคือ สิ่งที่ไม่สมควร..ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่สมควร..สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร ไม้เถื่อนเป็นสิ่งไม่สมควรอยู่แล้ว..พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร..ถ้าเราไปซื้อมาก็ย่อมไม่สมควร แปลว่าโดนอาบัติ
คราวนี้อาบัติข้อนี้เกี่ยวข้องกับเงิน เพราะไม่ได้จ่ายภาษี ถ้าถึง ๑ บาทขึ้นไปขาดความเป็นพระเลยนะ
แล้วตกลงคุณจะรักความมักง่าย รักผลประโยชน์ หรือว่าจะรักความเป็นพระของตนเอง ? เป็นพระเป็นเณรแล้วพอทำอะไร สิ่งแรกเลยที่ต้องนึกถึงคือ บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ
พระท่านพิจารณากันอยู่บ่อย ๆ พวกเราฟัง ทำวัตรตามไปก็เห็น แต่ส่วนใหญ่ก็พิจารณาแล้วไม่ได้เอาไปใช้ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนโกยไปใช้หมด..ต่างกันตรงนี้
สมัยอาตมภาพอยู่วัดท่าซุง มีพระอยู่ร่วมกันภายใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของหลวงพ่อฤๅษีฯ ๔๐ กว่ารูป แล้วทำไมถึงออกมาเป็นหลักให้ชาวบ้านเขาได้แค่ ๓ - ๔ รูป ? ก็เพราะว่าที่ออกมาส่วนใหญ่ก็คือบุคคลที่แบกระเบียบวัด แบกศีลพระอยู่จนคนอื่นเขาเหม็นขี้หน้าแล้วว่า "มึงจะเคร่งไปถึงไหน ?"
เรื่องของศีล เรื่องของระเบียบวินัย เราต้องเคร่งไว้ก่อน แต่เคร่งในลักษณะเคร่งครัดกับตัวเอง เพราะว่าโดยปกติแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง กฎระเบียบอะไรก็ตาม พอนาน ๆ ไปจะเกิดการล้า ล้าแล้วก็หย่อนยาน ถ้าเราขันตึงไว้แต่แรก ถ้าหย่อนก็จะพอดี แต่ถ้าเราหย่อนตั้งแต่แรกก็จะยานติดพื้นนะสิ..! ไม่รู้จะเหลือความเป็นพระให้ชาวบ้านเขาไหว้ได้สักกี่มากน้อย เพราะฉะนั้น..ตรงนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อน
คุยต่อไม่ดี..เดี๋ยวเลยเวลาทำวัตร
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖
iu8ppeWY9TA
การซึมเศร้าเกิดจากการที่เราคิดแล้วหยุดความคิดไม่เป็น สังเกตดูสิว่าความคิดของเราจะมา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ ครบรอบแล้วก็จะกลับมา ๑ ใหม่ ไม่ได้ไปไหนไกลเลย เรื่องเดิม ๆ วนไปวนมาสัก ๓ - ๕ รอบก็เริ่มคิดได้อย่างลึกซึ้ง..ก็คือคิดแล้วได้อารมณ์..ก็เริ่มซึม..แล้วเดี๋ยวก็จะเศร้า..+
อาตมาเองบวชใหม่ ๆ ความคิดก็ชวนให้สึก เดี๋ยวเราสึกไป แล้วทำงานหาเงิน ซื้อบ้านสักหลัง ซื้อรถสักคัน แต่งงานมีเมีย มีลูกสักสองคน แล้วก็กลับมาบวชใหม่ สักพักก็เอาใหม่อีกแล้ว ถ้าเราสึกไปนะ""เราก็ไปทำงานนี้ ซื้อรถยี่ห้อนี้ ซื้อบ้านหมู่บ้านนี้ แต่งงานกับสาวคนนี้ มีลูกสักสองคน แล้วเดี๋ยวมาบวชใหม่ พอจะวนรอบที่สามนึกขึ้นมาได้ "ไอ้เหี้..มึงกำลังบวชอยู่ไม่ใช่หรือ""!? แล้วมึงจะออกไปทำอะไร..!?" บังเอิญรู้ตัวเร็ว..เลยวนได้แค่สองรอบ รอบที่สามกำลังจะวน รู้ตัวก่อน..ด่าไปทีหูตาสว่างเลย..!
แล้วก็รู้ด้วยนะว่าถ้าพาไปไกลวัด เราจะไม่ไปด้วย ก็เลยอุตส่าห์ให้โอกาสกลับมาบวชใหม่ "แล้วมึงจะไปลำบากลำบนตั้งหลายปีทำไม ? ก็มึงบวชอยู่แล้ว..!" ลองกลับไปดูตัวเองนะ ที่นอนไม่หลับนั้น ส่วนใหญ่เพราะคิดไม่เลิก คิดเป็นแต่หยุดความคิดไม่เป็น
เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือหยุดความคิดตัวเอง อย่าให้ปรุงแต่งต่อ อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงนี้ ถ้าอยู่แค่นี้ไม่หลุดไปไหน รัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็เกิดไม่ได้ เก่งแค่ไหนก็เกิดไม่ได้ ขอยืนยันว่า ที่ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดได้เพราะเราไปคิด เลิกคิดก็เกิดไม่ได้หรอก
อาตมภาพเคยเปรียบให้ฟังหลายครั้งแล้วว่า ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำร้อนเปล่า ๆ มา ไม่มีใครอยากกิน ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรล่ะ ? ก็ใส่ลูกชิ้น ๒..๓..๔..๕ ห้าลูกก็พอ เยอะเกินไม่ดี..เดี๋ยวขาดทุน หมูสับอีกหน่อย หอมซอยนิด ผักชีหน่อย แถมยังมีตั้งโอ๋ กระเทียมเจียว ใส่พริกป่นนิด ถั่วคั่วหน่อย น้ำส้มอีกนิด ยิ่งใส่ก็ยิ่งอร่อย ทีนี้ก็กินไม่เลิก..!
ก็เพราะว่าเราไปปรุง ไปปรุงด้วยการคิด ทำอย่างไรที่เราจะไม่คิด ? ไม่คิดก็จะเป็นเหมือนก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ไม่มีใครกินหรอก แต่คราวนี้สภาพจิตของเราทำอย่างไรถึงจะเห็นโลกเหมือนก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ
ก็ต้องเร่งใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ หยุดอารมณ์ใจเราไว้กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า อย่าให้ไปไกลเกินนี้ รู้ตัวเมื่อไรให้รีบดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกทันที ถ้าอย่างนี้มีโอกาสรอด แต่ถ้าหลุดจากลมหายใจไปเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมฟ้ามาเชียว..!
หลายคนตอนปฏิบัติธรรมดีมากเลย มีเพื่อนมีฝูง มีสภาพแวดล้อมดี ประคับประคองรักษาใจเอาไว้ได้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้ แต่เผลอหน่อยเดียวกิเลสตีกลับ โดนแล้วโดนอีกไม่เข็ดสักที..!
ถ้ารู้จักเข็ดก็จะรู้จักระวัง พอรู้จักระวังก็จะไม่ให้ผิดอีก ก็จะผิดน้อยลง แรก ๆ เอาแค่ผิดน้อยลงก็พอ
หลายคนก็มาสารภาพว่า "หลวงพ่อเจ้าขา..หนูยังมีกิเลส" มีก็ปล่อยแม่งงสิ..! จะไปยุ่งอะไรกับมัน ? รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย เราตัดทิ้งได้ที่ไหนกัน ?
"แล้วที่เขาบอกว่าตัดกิเลสละเจ้าคะ ?" เขาไม่ได้ตัดกิเลส เขาแค่ไม่ไปยุ่งกับกิเลส ไม่ยุ่งกับกิเลส ไม่ใช่ไม่มีกิเลสนะ กิเลสมีครบถ้วนเลย
"อ้าว..แล้วที่เขาตัดกันจนกลายเป็นพระอรหันต์ละเจ้าค่ะ ?" อันนั้นตัดด้วยปัญญา ท่านเห็นแล้วว่าเป็นโทษอย่างไร ท่านก็เลยเลิกยุ่งกับกิเลสอย่างเด็ดขาด ส่วนพวกเรานี่เสือนอนอยู่เฉย ๆ ก็ไปแหย่วักนิดหนึ่งซิ..กลัวเสือจะไม่ตื่น..!
การที่เราจะไม่ไปยุ่งกับกิเลสได้ อันดับแรกเลยต้องทรงสมาธิให้ได้ นี่คือเบื้องต้น ของพวกเรานี่ยังไม่ใช่ตัดกิเลส ถ้าทรงฌานได้ก็แค่ละกิเลส..ห่างออกมาหน่อยหนึ่ง ตัดกิเลสนี่ต้องเลิกหรือวางทิ้งไปเลย เพราะเห็นโทษแล้วว่ากี่ชาติ ๆ เอ็งก็พาข้าเกิดแทบเป็นแทบตายอยู่อย่างนี้ เข็ดหรือยัง ? พอหรือยัง ? ถ้ารู้จักเข็ด รู้จักพอก็จะหยุด พอหยุดแล้วก็จะหาทางหนีจากไป ตรงนี้เขาจัดเป็นวิปัสสนาญาณ
อาทีนวานุปัสสนาญาณ เห็นทุกข์เห็นโทษในร่างกายนี้
จะเกิดมุญจิตุกัมยตาญาณ หาทางหลีกหนีจากร่างกาย
เกิดปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พยายามที่จะหนีจากไป
เกิดนิพพิทาญาณ เบื่อหน่ายเหลือทน ซึมเศร้าดีกว่า..อ้าว..เลี้ยวผิด..! ต้องเบื่อก่อนนะ ถ้าไม่เบื่อเราจะไม่เลิก
เพราะฉะนั้น..ใครที่ปฏิบัติธรรมแล้วเบื่อ แล้วก็รีบ ๆ ไปดูหนังฟังเพลงให้หายเบื่อ..นั่นผิด..! ให้รักษาความเบื่อให้อยู่กับเราให้นานที่สุด..เราจะได้เข็ด แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่รักษา เรารีบผลักทิ้ง บ๊ายบาย..ไปละ..ดูหนังฟังเพลง เที่ยวชายทะเลดีกว่า ของดีอยู่ตรงหน้าดันโยนทิ้งเสียได้ เพราะไปคิดว่าความเบื่อเป็นของไม่ดี ความเบื่อเป็นของดีมาก ๆ เลย เพราะโดยปกติแล้วเขาไม่เบื่อกันนะ..!
หลักการของพุทธตันตระที่เป็นเป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งที่เละเทะอยู่ทุกวันนี้ เขามี ๕ ม.
มัทนะ กินเหล้า คนฮินดูทั่ว ๆ ไปไม่กินเหล้า
มังสะ กินเนื้อ คนฮินดูส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ
มุทรา ร่ายรำบวงสรวง
มันตรา ท่องบ่นภาวนา
เมถุน เสพกาม
เขาบอกว่าเรื่องของการกินเหล้า เรื่องของการกินเนื้อ เรื่องของการเสพกาม ถ้าทำจนเต็มที่แล้วจะเบื่อ หมดอยากไปเอง หลักการดีมาก..! แต่ถ้าบารมีคุณสร้างมาไม่ถึงระดับจริง ๆ..ไม่เบื่อหรอก การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ ถ้าไม่ใช่ผู้เห็นภัยในวัฏสงสารจะไม่เบื่อ ๔ ตัวนี้เด็ดขาด มีแต่จะต้องการมากยิ่งขึ้น
เขาบอกว่าเมื่อผู้หญิงผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กันไปจนถึงจุดสุดยอด จะเกิด "ภาวะนักปราชญ์" อันนี้แปลมาจากตำราฝรั่ง ก็คือสภาพจิตจะรู้สึกพึงพอใจ ปล่อยว่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหมดชั่วคราว คราวนี้คนที่เขาเก่งจริง ๆ เขาจะจับสภาวะนี้แล้วรักษาเอาไว้ ก็เลยทำให้คิดว่าพุทธตันตระช่วยให้หลุดพ้นได้ แต่นั่นเป็นแค่อุปจารสมาธิขั้นปลายเท่านั้น ยังไม่เป็นฌานเลย เป็นสภาพจิตที่ว่างจากกิเลสชั่วคราว ลักษณะเหมือนช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น มาแค่แวบหนึ่ง ใครนะ..เก่งขนาดจับเอาไว้ได้..!
แล้วแต่ละอย่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นของที่สร้างโลก เป็นสัญชาตญาณฝังลึกอยู่ใน DNA อย่าตำหนิตัวเองว่าเรามีราคะจัด อย่าตำหนิตัวเองว่าเราโลภโน่นโลภนี่ อย่าตำหนิตัวเองว่าเราขี้โกรธ พวกนี้เป็นเครื่องมือสร้างโลก ฝังอยู่ใน DNA ของเรา
เพียงแต่เราเห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็พยายามหลีกหนี อันดับแรกก็ลด แล้วก็ละ ท้ายสุดก็เลิก ไล่ไปแต่ละขั้นตอน โอกาสที่จะโดดข้ามขั้นนั้นยากมาก
เพราะฉะนั้น..ทางเดียวคือค่อย ๆ ไปตามขั้น อันดับแรกเมื่อเห็นโทษแล้วก็พยายามหนี รักษาใจของเราให้ผ่องใสไว้ โดนกิเลสกินพอกพูนกลับไปเมื่อไร ก็รีบขัดรีบเกลา โดยสังเกตตัวเองได้ว่าปฏิบัติธรรมแล้วเกิด
อัปปิจฉตา มักน้อยไหม ? คนมักน้อยนี่ไม่อยากได้อะไรเพิ่มเติมแล้ว ไม่ใช่ว่ามีเสื้อผ้าเต็มสามตู้ที่บ้าน ไปถึงห้างเดินผ่านร้าน หยุดซื้ออีกหนึ่งชุดก็แล้วกัน ซื้อไปก็ไม่ได้ใส่หรอก แขวนไว้เฉย ๆ ถ้าเป็นคนมักน้อยก็จะไม่อยากได้เพิ่มแล้ว
สันตุฏฐิตา สันโดษ ยินดีตามมีตามได้ไหม ? อันนี้อย่าเข้าใจผิดนะ สันโดษที่โคตรรวยเลยก็มี
เขามียถาลาภสันโดษ..ยินดีตามที่ได้มา
ยถาพลสันโดษ..ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ ลองไปแข่งกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ดูสิว่าใครจะหาได้มากกว่าเขาไหม ?
ยถาสารุปปสันโดษ..ยินดีตามฐานะของตน คนที่มีเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เขาจะซื้อรถลัมโบร์กินี่ สัก ๔ - ๕ คัน จะไปมีใครเขาว่าอะไร ส่วนของเรานี่ยังกินเงินเดือนอยู่เลย ไปผ่อนลัมโบร์กินี่ก็ตายกันพอดี ต้องรู้จักยินดีตามมีตามได้
สัลเลขตา ขัดเกลากาย วาจา ใจของตนเอง ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานได้ไหม ?
อิทมัฏฐิตา ปลีกตัวออกจากหมู่ไหม ? หรือวัน ๆ ถ้าได้ "เม้าท์" แล้วมีความสุขมาก ? รู้ไหมว่าเพราะ "เม้าท์" มากเกินไปเลยตัดกิเลสไม่ได้สักที ถ้าถามว่าเกี่ยวกันตรงไหน ?
เราปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างสมกำลังให้เพียงพอที่จะมีอำนาจเหนือกิเลส แต่ว่ากำลังเหล่านี้ถ้าเผลอมักจะรั่ว
รั่วออกทางตา..ไปดูโน่นดูนี่ ไม่ได้ซื้อ ขอแค่มองก็ยังดี
รั่วออกทางหู..ดูหนังฟังเพลง
รั่วออกทางจมูก..หลีกกลิ่นที่ไม่ชอบ ไปหากลิ่นที่ชอบ
รั่วออกทางลิ้น..บางคนนี่ถ้าไม่ใช่ร้านอาหารเชลล์ชวนชิม หรือแม่ช้อยนางรำ หรือถนัดแดกแนะนำ กูไม่กิน กูจะต้องกินเฉพาะร้านพวกนี้เท่านั้น
รั่วออกทางกาย..ที่นอนต้องดีอย่างนั้น เสื้อผ้าต้องดีอย่างนี้
รั่วออกทางใจ..หนักกว่าอีก ฟุ้งซ่านทั้งวันทั้งคืน
คราวนี้ถ้าเรานั่งกรรมฐาน สมมุติว่ารักษาใจได้เปรี๊ยะเลย ๒ ชั่วโมง แล้วเผลอไปนั่งส่องเฟซฯ พักเดียวหมดไป ๒ ชั่วโมงแล้ว ไปเขี่ยไลน์ต่ออีกครึ่งชั่วโมง..ขาดทุนไปแล้ว..!
เห็นหรือยังว่าสิ่งที่เราไม่สามารถจะควบคุมได้เหล่านี้ ทำให้กำลังที่เราทำได้หมดไปทุกวัน กลายเป็นคนขยัน แต่ทำงานเท่าไรไปไม่ถึงเป้าหมายสักที
ในเมื่อรู้แล้วก็ระวัง หัดปลีกตัวออกจากหมู่ อยู่คนเดียวบ้าง "ฉันกำลังเป็นโรคซึมเศร้า แกอย่ามายุ่งกับฉัน..!" รักษา กาย วาจา ใจ เอาไว้ อกจะแตกแล้วค่อยยื่นหน้าออกไปหน่อยหนึ่งอย่างระมัดระวัง เปิดช่องให้ระบายอากาศได้นิดหนึ่ง พอหายอกแตกแล้วก็รีบกลับมา
สมัยอาตมาภาพบวชใหม่ ๆ พอถึงเวลานั่งกรรมฐานทั้งวันทั้งคืน ไปต่อไม่ได้..อกจะแตกตาย..! ขออนุญาตลาหลวงพ่อฤๅษีฯ นั่งรถทัวร์จากอุทัยธานีลงมาหมอชิต ถึงเวลาก็ดูฟ้า ดูดิน ดูท้องนาเขียว ๆ มาตามข้างทาง พอมาถึงหมอชิต สั่งข้าวแกง กินอิ่มแล้วก็โดดขึ้นรถกลับ หมดวันพอดี แค่นั้นแหละ..ภาวนาต่อได้อีกเป็นเดือน
ดังนั้น..เราจะเห็นว่าทำไมบุคคลบางคนต้องออกธุดงค์ ก็เพื่อให้สภาพจิตที่คุ้นชินกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนตายด้าน ไม่ยอมรับความดีเพิ่ม เมื่อเปลี่ยนสถานที่แล้วจะรู้สึกว่าดีขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น เดี๋ยวได้ออกธุดงค์กันหมด..เสืออิ่มแน่นอน..!
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖
zXSA0-V1L04
วันนี้นิสิตระดับปริญญาตรีที่มาเก็บข้อมูลชุมชน ต้องทำพรีเซนต์ร่วมกับเด็กอนุบาลในชุมชน ปรากฏว่าเด็กอนุบาลของเราพรีเซนต์ได้ดีกว่า เพราะนิสิตมัวแต่สั่น ส่วนเด็กอนุบาลของเราชั้นประถม ๔ ถึง ประถม ๖ พูดจ๋อย ๆ เป็นต่อยหอย ที่นิสิตสั่นก็เพราะว่าปกติเจอแต่อาจารย์ เต็มที่ก็แค่คณบดี แต่คราวนี้อธิการบดีก็มา รองอธิการบดีก็มา เจ้าของทุนวิจัยก็มา เลยสั่นไปหมด
อาตมาสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ พอให้สัมภาษณ์เสร็จ
ครูถามว่า "เคยให้สัมภาษณ์แบบนี้มาก่อนหรือเปล่า ?"
ตอบไปว่า "ไม่เคยครับ"
ครูบอกว่า "ท่าทางของเธอเหมือนคนให้สัมภาษณ์เป็นประจำ เพราะไม่ประหม่าเลย"
ก็เลยบอกไปว่า "อ๋อ..ครูสอนให้ผมพูดหน้าชั้นตั้งแต่ ป.๕ ครับ"
ครูถามต่อว่า "แล้วครูเขามีหลักการอะไร ?"
ตอบไปว่า "ครูเขาบอกว่า เพื่อนนั้นคือคนตาย เรากำลังพูดให้คนตายฟัง ไม่เห็นมีอะไรต้องไปประหม่าเลย..!"
แต่ปรากฏว่าทำไม่ได้ คนตายอะไรวะ มองตาแป๋วทุกคนเลย..?! ท้ายสุดก็เลยต้องใช้วิธีของตัวเอง คิดว่า "กูเก่งกว่ามึง กูถึงได้มาพูดหน้าชั้น..!" คิดได้อย่างนั้นแล้วคราวนี้ไปได้ลื่นเลย เพราะฉะนั้น..บางทีสิ่งที่ตำราสอนใช้ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าไม่ตรงกับสภาพจิตของเรา หรือว่าไม่ตรงกับแนวที่ถนัดของเรา
อาตมภาพตอนสมัยวัยรุ่นจนกระทั่งเริ่มบวช ส่วนหนึ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือเรื่องของกามราคะ เพราะฉะนั้น..เวลาฝึกกรรมฐาน หมวดแรก ๆ เลยที่ต้องไปลุยก็คืออสุภกรรมฐาน เพราะเขาบอกว่าตัดราคะได้ แต่ปรากฏว่าตัดไม่ได้ กลัวผีแทบตาย แต่พอความกลัวเลยไป ราคะก็โผล่มาใหม่..!
ตอนบวชใหม่ ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหนึ่งก็คือ ร้อยตำรวจเอกสุรินทร์ หลากสุขถม เป็นลูกของลุงโต๋ว - ป้ากิมกี หลากสุขถม ที่เปิดร้านค้าอยู่ในวัดท่าซุง เยื้อง ๆ กับโบสถ์ พี่สุรินทร์เป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของนิติเวชกรมตำรวจ เพราะรู้ว่าพวกเราอยากจะพิจารณาศพ พอถึงเวลามีศพให้ผ่า พี่สุรินทร์ก็จะโทรมาวัด "หลวงพี่รูปไหนต้องการดู ให้รีบมา พรุ่งนี้จะมีการผ่าศพครับ" พวกเราก็ไปกัน
เหยียบเข้าห้องนิติเวชครั้งแรกเกือบอ้วกแตกเพราะกลิ่น..! ขอยืนยันกับญาติโยมที่ฝึกอสุภกรรมฐานด้วยการเปิดรูปดูตามอินเตอร์เน็ต ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่ามีแต่สีไม่มีกลิ่น เหยียบเข้าไปในห้องนิติเวช กลิ่นเลือด กลิ่นน้ำเหลือง กลิ่นเน่า สารพัด รู้เลยว่านี่กลิ่นศพ..!
ครั้งแรกเห็นเขาจรดมีด กรีดควั่บ พอปลิ้นเนื้อคนออกมา ข้างใต้เป็นไขมันเหลือง ๆ เป็นแผงใหญ่ ๆ เลยนะ เสร็จแล้วก็เอามีดเลาะกระดูกหน้าอก แล้วก็แบะออก เจอเข้าไปครั้งแรกกินอะไรไม่ได้ไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ ทั้งสี กลิ่น รส ติดตาติดใจมาก ใหม่ ๆ ก็อ้วกแตกอ้วกแตนไปตาม ๆ กัน..!
หลังจากนั้นไม่กี่วันเอาอีกแล้ว ไม่ดูตรงที่เขาผ่าน่ะสิ แต่เลือกดูตรงที่ยังดี ๆ..น่าฆ่าไหม..?! เหลือเชื่อว่ากิเลสมีมารยามากขนาดนี้ ก็แปลว่า สำหรับอาตมาภาพแล้ว อสุภกรรมฐานไม่สามารถที่จะแก้ไขในเรื่องของกามราคะได้
พิจารณากายคตานุสติ แยกร่างกายออกเป็นชิ้น ๆ ตามตำราสายอีสาน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้นท่านสอนให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พอสอนไปถึงจะบอกให้ว่าเป็นชิ้น ๆ เป็นอย่างไร เขาเรียกว่าวิชาม้างกาย ถอดเป็นชิ้น ๆ ไปเลย เห็นชัดเจนมาก แต่สำหรับอาตมาก็ได้แค่ตอนทำ พอเลิกทำราคะก็มาท่วมฟ้าเหมือนเดิม..!
"โอ้หนอ..กูจะเอาอย่างไรกับมึงดีวะ ? ไหนบอกว่าอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสติเป็นคู่ศึกของกามราคะ นี่สู้แม่งไม่ได้สักมุม..!" อย่างเก่งก็ได้พักเดียว เหมือนกับกินยารักษาโรค พอกินลงไป ไข้ก็ลดไปนิดหนึ่ง มองซ้ายมองขวาเห็นว่าเราไม่มียาแรงกว่านี้ ไข้ก็กลับมาแรงกว่าเดิมอีก..!
จนกระทั่งวันหนึ่งญาติโยมนิมนต์ ปรากฏว่าบ้านที่ต้องไปกิจนิมนต์นั้นมีลูกสาว ๒ คน สวยเสียด้วย ที่วัดท่าซุงนี่เวลาเราจะลา อันดับแรก ให้ไปแจ้งพระหัวหน้าเวร อันดับที่สอง ลงสมุดลา อันดับที่สาม ไปยื่นใบลากับหลวงพ่อ..!
ตอนยื่นใบลากับหลวงพ่อนี่แหละทีเด็ด ท่านไม่ต้องอ่านใบลาของเราท่านก็รู้ คราวนี้ไปถึงก็ถวายใบลา "หลวงพ่อครับ ขออนุญาตไปกิจนิมนต์ครับ" ท่านบอกว่า "เหรอ..นึกว่าไปงานแต่ง" ได้ยินแล้วสะดุ้ง..! ครูบาอาจารย์ท่านไม่พูดเล่นนะ ก็เลยต้องกลับมาพิจารณา "กูจะทำอย่างไรดีวะ ? ฝึกมาตั้งหลายปี กรรมฐานทุกอย่างชัดเจนดีมาก และอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่างนี่แทบจะกวาดมาครบแล้ว แต่ใช้อะไรไม่ได้สักอย่าง..!"
พอดีก่อนหน้านี้กำลังเรียนนักธรรมชั้นโทอยู่ เขามีอนุพุทธประวัติ คือ ประวัติพระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ รูป เขาเรียกว่าอสีติมหาสาวก มีประวัติของพระรัฐบาลเถระ ซึ่งเป็นผู้ออกบวชด้วยศรัทธา
พระเจ้าอุเทนถามพระรัฐบาลเถระว่า "ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงทรงพรหมจรรย์อยู่ได้ ?" เราแค่เปลี่ยนจากภิกษุมาเป็นตัวกูก็จบแล้ว จะเป็นผู้หญิงผู้ชาย จะหนุ่มจะสาวได้ทั้งนั้น
พระรัฐบาลเถระท่านตอบว่า "ดูก่อนมหาบพิตร..ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาว่า มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งมารดา ก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา สมควรตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งที่สาว สมควรตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว สมควรตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ดูก่อนมหาบพิตร..ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาอย่างนี้ ก็ทรงพรหมจรรย์อยู่ได้"
โอ้โห..อ่านถึงตรงนี้สว่างไปสามโลกเลย..! นี่แหละ..ใช่เลย เห็นเขาเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกับเรา ก็เลยไม่เกิดกามราคะขึ้น แล้วก็เลยทำให้เข้าใจว่า ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันนักหนาว่า กรรมฐานทุกกองถ้าทำเป็น เข้าถึงอรหัตผลได้ทั้งหมด
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็เพราะว่ากรรมฐานทุกกองต้องสามารถ ตัดราคะ ตัดโลภะ ตัดโทสะ ตัดโมหะ ได้ เพียงแต่ว่าจะตัดมุมไหน ? เขาบอกว่ากรรมฐานคู่ศึกของกามราคะก็คืออสุภกรรมฐาน และกายคตานุสติกรรมฐาน แล้วทำไมเราเอามาใช้แล้วถึงสู้ไม่ได้สักมุม ? แต่พอมาเจอประวัติพระรัฐบาลเถระ คราวนี้สบาย..ลอยลำ มาเท่าไรกูสู้ได้หมด..! นั่นคือเมตตาพรหมวิหาร รักเขาเหมือนคนในครอบครัวตัวเอง ถ้าหากว่าพรหมวิหารสี่ตัดราคะไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้..นี่ตัดได้ ขอยืนยัน..เพราะว่าทำมาด้วยตัวเองแล้ว
ถึงได้บอกกับโยมว่า บางทีกิเลสไม่มาในมุมที่เราคิดไว้ นักสู้กิเลสจะประมาทไม่ได้ ประมาทเมื่อไรตายฟรีเมื่อนั้น แล้วอาตมาไม่อายหรอก ที่จะเล่าเรื่องชั่ว ๆ ของตัวเองให้โยมฟัง เพราะว่าเจอกับตัวเองมาทุกรูปแบบ เราเป็นอย่างนี้เราก็พร้อมที่จะบอกว่าเราเป็นอย่างนี้ เราแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้ เราก็ต้องบอกว่าเราแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้ ประโยชน์ถึงจะเกิดกับโยมได้ ถ้ามัวแต่อายอยู่ กลัวคนอื่นจะบอกว่าครูบาอาจารย์ของเราราคะจัดมาก เดี๋ยวเขาตำหนิเอา ไม่ต้องไปสนใจใคร เราเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเดินจงกรมต่อสู้กับกามราคะในป่าช้า ปรากฏว่าเวลาเกิดอารมณ์เพศขึ้นมา อวัยวะเพศเสียดสีผ้าสบงก็แข็งตัว ท่านต้องเดินเกือบจะแก้ผ้าก็คือตลบผ้าสบงขึ้นมาผูกไว้ข้างบน เดินจงกรมเป็นวันเป็นคืนกว่าที่จะยอมสงบ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามึงไม่เลิก กูก็เดินให้ตายไปเลย..!
บรรดพาลูกศิษย์หน้าบาง พอจะเขียนประวัติหลวงพ่อชาก็ขอว่า "ตัดตรงนี้ออกได้ไหม ?" หลวงพ่อชาบอกว่า "ถ้าตัดออกก็ไม่ต้องเขียนประวัติข้า" ก็ท่านสู้มาแบบนี้แล้วท่านชนะ ต้องไปอายตรงไหน..!?
มีใครไม่มีกิเลสบ้าง ? มีทุกคน ญาติโยมส่วนหนึ่งพอถึงเวลาที่กิเลสชนะ ก็อับอายขายหน้าเหลือเกิน ไม่กล้าไปวัด ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่เป็นเดือนเป็นปี กว่าที่กำลังใจจะทรงตัวได้เหมือนเดิม แล้วค่อยไปวัด ตอนชั่ว ๆ อายหลวงพ่อ..ไม่กล้าไป..!
ถามหน่อยเถอะว่า "ตอนดีแล้วมึงมาทำไม..?" ตอนที่เราไม่ไหวนั่นแหละ เราต้องรีบไปวัด พระท่านจะได้แนะนำว่าควรที่จะแก้ไขอย่างไร ท่านไม่มาเสียเวลาดูหรอกว่าเราชั่วอย่างไร แต่ท่านจะดูว่าจะช่วยเราอย่างไร เพราะฉะนั้น..เปลี่ยนได้แล้วนะ ตอนชั่วเต็มที่ให้รีบมาวัด ระยะเวลาในการชั่วจะได้น้อยลงหน่อย
ขอให้พวกเรารู้ว่า ในเวลาที่เราแพ้กิเลส ควรเป็นเวลาที่เราพึ่งพาครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด อาตมภาพถึงได้สอนว่าพวกเราทำดีต้องหน้าด้าน..! ถ้าหน้าไม่ด้านพออย่ามาทำดี มัวแต่อายอยู่ มัวแต่กลัวอยู่ แล้วเมื่อไรจะเอาดีได้
เราต้องดูตัวอย่างในพระไตรปิฎก
พระพุทธเจ้าตรัสถาม "ภิกขเว ดูก่อน..ภิกษุ เธอได้กระทำสิ่งนี้หรือ ?"
คนผิดจะตอบว่า "ทำพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสบอกไปว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ สิ่งที่เธอทำนั้นไม่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น"
เป็นการว่ากล่าวที่รุนแรงมากเลย เพราะโมฆบุรุษแปลว่าผู้ว่างเปล่าจากความดี ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง..!
แล้วอย่างไร ? ผิดก็คือผิด..รับไปเลย..!
สำหรับอาตมภาพถ้าผิดก็คือผิด จนกระทั่งทุกคนเขาสงสัยว่าอาตมภาพเป็นเด็กเส้น ทำอะไรไม่เห็นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ฟันหัวขาดเหมือนกับคนอื่น ก็โดนเหมือนกันนั่นแหละ คือถ้าเราคิดว่าดีเมื่อไรโดนแน่นอน..! แต่ถ้าคิดว่าครั้งนี้เราพลาดไปแล้ว เราจะพยายามระมัดระวัง ครั้งต่อไปจะไม่ให้โดนอีก คิดได้นี่หลวงพ่อท่านจะไม่พูดถึงเลย แต่คนไหนที่ปิด ๆ บัง ๆ ประเภททำผิดแล้วกลัวว่า "เดี๋ยวครูบาอาจารย์จะรู้" จะโดนเต็ม ๆ ทุกครั้ง..!
ในเรื่องของการทำดี ถ้าหากว่าคนเราเดินมาพร้อมกัน หกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกได้แล้วไปเลย อีกคนหนึ่งมัวแต่นั่งคร่ำครวญ "ไม่น่าเลย..เดินมาตั้งไกล..เจ็บเหลือเกิน..ปวดเหลือเกิน..เสียเวลามานานขนาดนี้..หกล้มเสียได้" ในขณะที่อีกคนไปไกลหลายกิโลฯ แล้ว ลองคิดดูว่าสองคนนี้ใครจะไปถึงจุดหมายก่อนกัน ? ก็ต้องเป็นคนที่หน้าด้านหน้าทน ล้มแล้วลุก..ไปต่อเลย
พวกเราก็เหมือนกัน ทันทีที่พลาด ให้ตั้งใจเลยว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" เริ่มต้นนับหนึ่งเดี๋ยวนั้นเลย วินาทีที่สองร่วงตึงลงไปอีก วินาทีที่สามก็ลุกใหม่ ตั้งใจว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" หน้าด้านหน้าทนสู้ไป พอระมัดระวังไปเรื่อย ๆ ก็จะยืนระยะได้ จากนาทีก็เป็นหลาย ๆ นาที เป็นชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง เป็นสามชั่วโมง ครึ่งวัน หนึ่งวัน เราก็ไม่เลวนี่หว่า..ดีได้เป็นวันเหมือนกัน..!
ศีลเขารักษากันทั้งชีวิต ไม่ใช่รักษาเป็นวัน แต่ก็เอาเถอะ..ดีกว่าไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าอย่าซึมเศร้า อย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่ เริ่มต้นใหม่เดี๋ยวนั้นเลย แล้วเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนคนอื่นเขา
ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖
LrNaslwN1Zg
ความเคยชินคือการยึดติดในรูปแบบหนึ่ง ฟังแล้วน่าตกใจไหม ? ทางด้านจิตวิทยาเขาบอกว่า ถ้าเราทำอะไรซ้ำ ๆ กันถึงสามวัน จะทำให้เราเริ่มเกิดความเคยชิน
ในการปฏิบัติธรรมนั้น ความเคยชินหมายถึงการทรงฌานได้ เขาถึงให้พวกเราสวดมนต์บ่อย ๆ ไหว้พระบ่อย ๆ ทำบุญใส่บาตรบ่อย ๆ พอถึงเวลาเคยชินแล้วไม่ได้ทำ จะรู้สึกผิดปกติจนระลึกถึงขึ้นมาได้เอง นับว่าเราทรงฌานในเรื่องนั้นแล้ว อย่างเช่นว่าทรงฌานในการรักษาศีล ทรงฌานในการให้ทาน
แต่ความเคยชินอย่างเรื่องของถิ่นที่อยู่ หรือว่าบรรดาวัตถุสิ่งของต่าง ๆ เป็นความเคยชินที่ทำให้เรายึดติด อย่างแค่อาสนะที่เรานั่งอยู่นี้ พอถึงเวลาตอนเช้าเรานั่งตรงนี้ ตอนบ่ายมีคนนั่งแทน เราจะรู้สึกว่าคนนั้นนั่งที่ของกู นี่คือความเคยชินที่เป็นการยึดติด..!
การยึดติดเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับนักปฏิบัติ เพราะว่าถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้ว ยึดติดมากเท่าไร โอกาสหลุดพ้นก็น้อยลงเท่านั้น เหมือนแมลงติดใยแมงมุม เส้นสองเส้นยังพอมีหวังว่าจะดิ้นหลุดไปได้ แต่ถ้าติดทีทั้งกระจุกเลยก็จบ เสียชาติเกิดไปฟรี ๆ..!
ดังนั้น..ในเรื่องของความเคยชิน เราต้องมีปัญญารู้จักสังเกตว่า อย่างไรเป็นความเคยชินในด้านดี อย่างเช่นว่ามีอนุสติระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นต้น อย่างไรเป็นความเคยชินในด้านที่ไม่ดี เช่น การยึดติดใน คน สัตว์ วัตถุสิ่งของ
หลายต่อหลายคนเลี้ยงหมาก็ติดหมา เลี้ยงแมวก็ติดแมว เลี้ยงคนก็ติดคน โน่นก็ผัวกู นี่ก็เมียกู นั่นก็ลูกกู โน่นก็หลานกู ความยึดติดเหล่านี้จะส่งผลร้ายตอนก่อนเราจะหมดลมหายใจ ยิ่งยึดติดมากเท่าไร ห่วงพะวงก็จะมีมากเท่านั้น โอกาสจะไปสู่ภพภูมิที่ดีก็ยากมาก
เราจึงต้องมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีสถานภาพใดกับเราก็ตาม เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าต่างคนต่างตาย ถึงเวลาก็ต้องแยกจากกันไป ไม่จากเป็นก็จากตาย ต้องพยายามซักซ้อมตัดละอยู่เสมอ ๆ
ยิ่งตอนเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งดีใหญ่เลย ถามตัวเราว่า "ถ้าเราตายลงไปตอนนี้ คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติที่เราห่วงใยมีไหม ?" ต้องตอบกันว่ามีแน่นอน แต่เราพร้อมที่จะละทิ้งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปหรือยัง ?
ขอให้เป็นคำตอบจากใจจริง ๆ เลยนะ ไม่ใช่ตอบว่าพร้อมเพราะรู้ว่าเป็นคำตอบที่ถูก กำลังใจของเราจะบอกเราเองว่าเราพร้อมหรือไม่พร้อม ไม่ใช่ตอบว่าพร้อมเพราะรู้ว่านี่เป็นคำตอบที่ถูก แต่ใจเรายังยึดอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์..แบบนั้นก็จบกัน..!
เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เราต้องซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ สมมติว่าเราจะตาย ตายแล้วเรายังมีอะไรยึดติดห่วงหาอาลัยอยู่หรือไม่ ? เราพร้อมที่จะตายหรือยัง ?
ถ้าขาดการซักซ้อมเหล่านี้ สภาพจิตไม่เคยชินกับการละห่วง ถึงเวลาก็ยึดติด เลี้ยงหมาติดหมาก็ไปเกิดเป็นลูกหมา เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานยึดติดลูกหลานก็ไปเกิดเป็นลูกของลูกหลานอีกที เกิดมาแล้วไม่ยอมเรียกแม่ "ก็กูเป็นแม่..กูไม่ใช่ลูก..!" ยังไปยึดสัญญาเก่าอยู่ เรื่องพวกนี้มีปรากฏให้เห็นอยู่บ่อย ๆ
แต่ก็ต้องบอกว่าเกิดเป็นคนนี่ถือว่าดีมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่กำลังใจของเราจะเกาะในกรรมชั่วมากกว่ากรรมดี ก็แปลว่าเรามีโอกาสลงสู่ทุคติ ไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มีมากกว่าไปสุคติหลายเท่า
ถ้าถามว่า "มากกว่าขนาดไหน ?" พระพุทธเจ้าทรงเปรียบไว้ว่า "บุคคลผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น มีสุคติเป็นที่ไป เปรียบเหมือนเขาวัว ส่วนบุคคลที่ปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น มีทุคติเป็นที่ไป เปรียบเหมือนกับขนวัว..!"
วัวตัวหนึ่งมีเขากี่อัน ? สองอันหรือคู่เดียว แล้วมีขนกี่เส้น ? เต็มตัวก็เป็นหมื่นเป็นแสน ก็แปลว่าคนลงข้างล่างมากกว่าขึ้นข้างบน ในเมื่อลงข้างล่างมากกว่าข้างบน ถ้าเราลงไปก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากว่าไม่ยอมลงนับว่าแปลกแยกจากสังคม ถ้าอย่างนั้นเรายอมแปลกแยกจากสังคมก็แล้วกัน ถ้าไม่ยอมแปลกแยกจากสังคมก็มีสิทธิ์ที่จะลงตรงไปข้างล่างเลย..!
คำว่า ซำเหมา มีที่มาจากการ์ตูนเรื่องซำเหมาพเนจร ซำเหมาเป็นเด็กมีหัวจุก ๓ อัน เป็นเด็กเร่ร่อนฐานะยากจน เพราะฉะนั้น..อะไรที่อยู่ในลักษณะที่ดูแล้วไม่ดี Low Class ไม่มีเกรด ไม่มีแบรนด์ เขาเลยเรียกว่าซำเหมา ของพวกนี้บางทีพวกเราเกิดไม่ทัน บางคนเกิดทันก็จำไม่ได้ว่ามีที่มาอย่างไร ว่าทำไมคนลำบากยากจนไปเรียกว่าซำเหมา ?
บ้านเราเมืองเราบ้าละครกันเยอะ สมัย "ออเจ้า" ไม่ได้บ้าแค่บ้านเรา ลาว เขมรก็บ้าด้วย สองประเทศนั้นฟังภาษาไทยออก
ภาษาไทยมากต่อมากด้วยกันมีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร ตอนอาตมภาพไปประเทศเขมร ด้วยความที่เขียนอักขระเลขยันต์ขอมบ่อย ๆ ก็อ่านภาษาเขาออก บางอย่างอ่านไปก็หัวเราะไป อย่างเช่นว่าเข้าไปร้านอาหาร ป้ายภาษาอังกฤษเขียน Open 6.00 AM ภาษาเขมรเขียนว่า "เบิกโรง" ซึ่งแปลว่าเปิดร้าน
นั่งเครื่องบินไปลงท่าอากาศยานนานาชาติเสียมเรียบ เสียมเรียบแปลว่าสยามแพ้ คนไทยก็เลยเรียกว่าเสียมราฐ ที่แปลว่ารัฐของสยาม ทะเลาะกันแค่คำเดียว""! ภาษาอังกฤษก็คือ Siem Reap International Airport ภาษาเขมรเขียนว่าอากาศยานฐานอันตรชาติ อากาศยานฐานคือสนามบิน อันตร แปลว่า ในระหว่าง อันตรชาติก็ International
อาตมภาพไปประเทศเขมรแล้วอ่านภาษาเขาออก ไปพม่ามองไปมองมาก็ดันอ่านภาษาพม่าได้อีก""! ภาษาพม่าก็คือภาษาเขมรนั่นแหละ แต่ตัดหางทิ้ง ไม่มีหาง เรามีพื้นฐานขอมอยู่แล้ว ก็เลยอ่านพม่าออกไปด้วย
เขมรเป็นเด็กมีปมด้อย เขาถือว่าเขาเป็นมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่มาก่อน เคยครองอุษาคเนย์ ตอนอาตมาภาพไปเขมร มีไกด์ชื่อนายแสง สาคร ความจริงนั่นไม่ใช่นามสกุลนะ นั่นคือชื่อ ชื่อนายสาคร ส่วนคำนำหน้าเป็นชื่อพ่อ ก็คือนายสาครลูกนายแสง เขมรไม่มีนามสกุลแบบบ้านเรา ก็แบบฮุนเซน ความจริงเขาชื่อฮุน ฤทธิเสน ซึ่งก็คือนายฤทธิเสนลูกนายฮุน
นายแสง สาคร เล่าประวัตินครวัด พุทธศักราชเท่านั้น พุทธศักราชเท่านี้ แล้วก็พูดด้วยความภูมิใจว่าตอนนั้นยังไม่มีประเทศไทยเลย..! อาตมภาพก็เกรงใจ ไม่อย่างนั้นจะสวนกลับไปว่า ตอนนั้นก็ไม่มีกัมปูเจียเหมือนกัน..!
บ้านเราเรียกกัมพูชา เขมรออกเสียงกัมปูเจีย แต่ถ้าหากว่าชาวบ้านทั่วไปเขาออกเสียงว่ากัมโป๊ด ก็คือกัมโพช (ออกเสียงกัม-โพ-ชะ) แคว้นกัมโพชในสมัยพุทธกาล ส่วนแคว้นเวสาลีอยู่ที่พม่า ทุกวันนี้เขาเรียกว่าแวสะลิ แวสะลิก็คือนาข้าวสาลี ส่วนโกสัมพีอยู่กำแพงเพชรของเรา..รู้มากไม่ดีหรอก..บ้า..!
กาลเวลาผ่านไป ภูมิประเทศและผู้คนเปลี่ยนหมด คนเคยยิ่งใหญ่ก็ตกต่ำ คนเคยตกต่ำก็ยิ่งใหญ่ สลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่กัมพูชาเป็นเด็กมีปมด้อย เด็กมีปัญหา ไม่ค่อยยอมรับอะไร เขาบอกอยู่อย่างเดียวว่าให้ไปดูที่กำแพงนครวัด ถ้ากำแพงนครวัดมีอยู่ก็แปลว่าเป็นของกัมพูชา ช่วงที่ผ่านมาก็มี "ดราม่า" มวยไทยที่เขาบอกว่ามาจากกุนขแมร์ ขแมร์ก็คือเขมร
เขมรมีสถานที่หนึ่งที่น่าไปมาก คือ เขาพนมกุเลน ถ้าใครมีโอกาสต้องไปให้ได้ ถ้ามีโอกาสไปนั่งสมาธิที่นั่นได้ยิ่งดีเลย พลังงานสูงมาก มิน่าว่า..สมัยก่อนพระธุดงค์ไทยพอข้ามพนมดงเร็ก ที่คนไทยเรียกว่าพนมดงรัก ภาษาเขมรเรียกพนมดงเร็ก พนมคือภูเขา ดงเร็กคือไม้คาน เขาไม้คาน ลักษณะเทือกเขาเหมือนกับไม้คานหาบของ พระธุดงค์ข้ามไปได้ก็จะพยายามที่จะลงไปพนมกุเลนให้ได้ เพื่อที่จะไปไหว้พระที่นั่น มีการแกะสลักยอดเขาทั้งยอดเป็นองค์พระเลย เสร็จแล้วก็สร้างวิหารครอบยอดเขาไว้ จนกลายเป็นวิหารพระนอนอยู่บนยอดเขา
ไปที่โน่นให้นึกถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ นะ ท่านเป็นเจ้าพ่ออยู่แถวนั้น แต่ลูกน้องแสบมาก ตอนที่ไปเจ้าพ่อไม่ค่อยมีเวลาเลยให้ลูกน้องมาแทน ลูกน้องแต่ละรายนี่ ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันนี่โดนต้มซึ่ง ๆ หน้าเลยนะ..!
พรหมเทวดาส่วนใหญ่บอกอย่างไรก็อย่างนั้น สมัยที่อาตมภาพอยู่ที่เกาะพระฤๅษี คราวนั้นมาจัดงานที่วัดท่าขนุน ก็ขอให้อากาศไม่ร้อน ขอให้ฝนไม่ตก ปรากฏว่าวัดท่าขนุนที่จัดงานแดดเปรี้ยง ร้อนหัวแทบละลาย แต่ที่เกาะพระฤๅษีมืดครึ้มเย็นสบาย คือดันลืมบอกพรหมเทวดาไปว่าขอให้ที่ไหน เห็นหรือยังว่าของเขาตรงไปตรงมาแบบกวนมากเลย..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๕๖๖ ณ วัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ - วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
พิชวัฒน์
30-08-2023, 09:39
ก่อนทำวัตรเย็น วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖
rRwcz2uMSdk
พวกเราส่วนใหญ่แล้ว ปฏิบัติธรรมแต่รักษาอารมณ์ปฏิบัติกันไม่อยู่ อย่างที่อาตมาเคยเปรียบว่า เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำ พอถึงเวลาเลิก ก็ปล่อยลอยตามน้ำไป แล้วก็ว่ายใหม่ จากนั้นปล่อยลอยตามน้ำไปอีก ถ้าวันไหนเหนื่อยมาก ๆ ว่ายกลับมาได้ไม่เท่าเดิม พอถึงเวลาปล่อยไหลตามน้ำไปอีก ก็ต้องไหลไปไกลกว่าเดิม
นี่เป็นสาเหตุที่พวกเราปฏิบัติธรรมกันมาเนิ่นนานแล้วเอาดีไม่ได้ กลายเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี เรื่องพวกนี้ต่อให้บอกเท่าไร ถ้าพวกเรายังไม่เข็ดจริง ๆ ก็ยังไม่คิดที่จะรักษาอารมณ์ใจให้ต่อเนื่อง ต้องโดนแล้วโดนอีก โดนแล้วโดนอีก..!
สำนวนสุภาษิตโบราณก็คือ "สัญชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้สำนึก" คางคกเป็นสัตว์ที่ตายยากมาก ถึงโดนเตะกระเด็นไป พอพลิกตัวได้ก็เดินต่อ เด็ก ๆ รำคาญเอาไม้ตีคางคก ทุบปั้บ..อย่างเก่งคางคกก็ร้อง "แอ่กก" แล้วก็ไปต่อ คางคกเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างจะอึด ถึก บึกบึน ทำอะไรให้กระทบกระเทือนได้ยาก ก็เลยต้องตีจนกว่ายางจะออก
คางคกปล่อยยางออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง เพราะว่ายางคางคกมีพิษ เขาถึงได้มีสำนวนว่า "สัญชาติคางคก ยางหัวไม่ตกไม่รู้สำนึก" ความจริงแล้วคางคกก็ไม่ได้สำนึกหรอก แต่ต้องป้องกันตัว เพราะโดนเยอะมาก ถ้าโดนเยอะกว่านั้นเดี๋ยวตาย..!
เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเจอคางคก จับเล่นได้เลย แค่อย่าไปทำอะไรรุนแรงจนกระทั่งคางคกต้องปล่อยยางจากต่อมที่เห็นเป็นตุ่ม ๆ รอบตัว แต่ความจริงแล้วถ้ายางคางคกโดนมือของเรา ให้รีบล้างน้ำเสียก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่ว่าอย่าให้เข้าปากเข้าตา พวกลูกหมาน้อยชอบไปเล่นคางคก ถึงเวลาโดนยางคางคกก็เมายางคางคก หน้าบวม เดินโซซัดโซเซไม่ตรงทาง
ในเมื่อพวกเราไม่สำนึก ก็คือยังไม่เข็ด ต่อให้เคี่ยวเข็ญเท่าไรเราก็ไปได้ไม่ดีกว่านี้ ถ้าเป็นสำนวนนักประพันธ์อย่างวศิน อินทสระ ก็จะว่า "ดูก่อน..ท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร" คำนี้บาลีเขาใช้ว่า ภะยะทัสสาวี ผู้มองเห็นซึ่งภัย ถ้าเรายังไม่เห็นภัย ยังไม่เห็นโทษ ก็จะยังไม่เข็ด จะอยู่ในระหว่างก้ำกึ่งกัน ประเภทเบื่อ ๆ อยาก ๆ
ตอนอารมณ์ใจทรงตัวดีก็เบื่อไปหมด อยากจะหนีไปวันนี้เลย..! อาตมาเจอลูกศิษย์มาหลายคนแล้ว บอกว่า "จะไปบวชแล้ว" อาตมาก็บอก "มาได้เลย" เขาก็ว่า "เดี๋ยว..ขอเวลาเคลียร์งานก่อน" ให้เคลียร์งานไป ๔ - ๕ วัน เขาบอกไม่บวชแล้ว..! คือตอนแรกเบื่อ แต่พอผ่านไป ๔ - ๕ วันแล้วหายเบื่อ เป็นผู้ที่ใช้โอกาสเปลืองมาก..!
วงจรกรรมหรือวัฏฏะจะหมุนไปเรื่อย ๆ ตามบุญตามกรรมที่เราทำไว้ ถ้าวาระบุญมาสนอง สติ สมาธิ ปัญญา ทรงตัว เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดนี้แล้ว ต้องรีบหนีให้สุดชีวิตเลย..! ไม่อย่างนั้นพอหมุนเลยไปก็จะไปไม่ได้แล้ว
ใครเคยดูหนังเรื่อง ฉีกคุกอัลคาทราซ (Escape From Alcatraz) บ้าง ? ที่แหกคุกหนีออกมาจากเกาะอัลคาทราซ เกาะหินโดดเดี่ยวกลางทะเล ที่เรียกกันว่า เดอะร็อค (The Rock) นั่นก็เป็นลักษณะเหมือนวงจรกรรม มีช่องอยู่ที่ผนัง ส่วนด้านนี้ก็มีช่องแต่หมุนไปเรื่อย แล้วก็จะมีจังหวะที่ทั้งสองช่องมาตรงกันอยู่นิดเดียว คนแก่ในเรื่องไปได้ทุกที ส่วนพระเอกกว่าจะไปได้เกือบตาย..!
ในเมื่อวัฏฏะ หรือวงจรของบุญของบาปของเรามีจังหวะ เราก็ต้องฉวยจังหวะให้เป็น
อาตมภาพเองต้องบอกว่าออกมาบวชในจังหวะที่ดีที่สุด เพราะว่าส่งน้องเรียนจบ ส่งหลานเรียนจบ หน้าที่การงานก็ประสบความสำเร็จ บริษัทไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ บริษัทดัดแปลงรถ ขอตัวไปเป็นหัวหน้าแผนก เงินเดือนตอนนั้น ๓๐,๐๐๐ บาท มีสวัสดิการ ที่พัก อาหาร รักษาพยาบาลให้ด้วย
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ อาตมภาพบวชมาได้ ๑๙ พรรษา ไปปฏิบัติธรรมในฐานะธรรมทูตสายวิปัสสนา ก็ปรากฏว่าไปเจอเด็กน้อยในสมัยที่อาตมภาพทำงานอยู่ที่ไทยรุ่งฯ เด็กหญิงแก้วเก้า เผอิญโชค ที่โตขึ้นมาเป็นอุบาสิกา มาเป็นเจ้าภาพสนับสนุนงานปฏิบัติธรรมของพระธรรมทูต อาตมภาพเห็นหน้าก็เลยถามว่า "คุณแก้วจำได้ไหม ?" คุณแก้วเก้าตอบว่า "จำไม่ได้เจ้าค่ะ" อาตมาก็บอกว่า "เคยเป็นลูกน้องป๋าวิเชียร" พอพูดแบบนี้คุณแก้วเก้าก็รู้เลยว่าเคยทำงานที่นี่จริง เพราะถ้าไม่ใช่ลูกน้อง จะไม่เรียกเจ้าของบริษัทไทยรุ่ง (คุณวิเชียร เผอิญโชค) ว่า "ป๋า"
ตอนนั้นอาตมภาพเงินเดือน ๗,๐๐๐ บาท อย่าคิดว่าน้อยนะ สมัยนั้นทองคำบาทละ ๒,๒๐๐ บาท ดิ้นรนเท่าไรก็อยู่ระดับนั้นแหละ ไม่ได้เพิ่ม แต่พอรับปากหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ว่าจะบวชได้แค่ ๓ วัน ป๋าวิเชียรก็เรียกตัวไปทดสอบ เสร็จแล้วก็ประกาศอัตราเงินเดือนให้เป็น ๓๐,๐๐๐ บาท และมีที่พัก มีอาหาร มีรักษาพยาบาลให้
อาตมภาพมานอนคิดอยู่ไม่ถึงชั่วโมงว่า "ไอ้นี่แหละคือบ่วงมาร เราดิ้นรนอยู่หลายปี อัตราเงินเดือนอยู่ที่ ๗,๐๐๐ บาท พอเราจะบวชปุ๊บ เงินเดือนขึ้นเป็น ๓๐,๐๐๐ บาท เกือบ ๕ เท่า..!"
ถ้าเป็นพวกเราเอาไหม ? แต่พระอาจารย์เล็ก บ๊ายบาย..ให้พี่ชายไปแทน ปรากฏว่าพี่ชายไปทดลองงานแล้วเขาให้แค่ ๒๒,๐๐๐ บาท ..(หัวเราะ).. ในเมื่ออยู่ในลักษณะนี้ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วถึงมาบวช ทำหน้าที่ของตนเองสมบูรณ์แล้ว
ดูแลพ่ออยู่ ๖ ปีจนตายคามือไปเลย ดูแลแม่อยู่ ๓ ปี จากนอนไอซียูอยู่เป็นเดือน แล้วทำกายภาพบำบัดจนกลับมาเป็นปกติ ส่งน้องเรียน ส่งหลานเรียน หน้าที่การงานของเราถ้ารับปากไปทำที่ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ อัตราเงินเดือนของสมัยนั้นถ้าเทียบเป็นสมัยนี้ สมัยนั้นทองคำบาทละ ๒,๐๐๐ กว่า เงินเดือนที่ได้ก็ซื้อทองได้ ๑๐ กว่าบาท คิดเป็นอัตราเงินเดือนสมัยนี้ก็คง ๓ - ๔ แสนบาท ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตพอเพียงแล้ว ไม่ใช่ประเภทไปบวชเพราะ อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายขอให้บวชแก้บน..!
อาตมาไม่เปลี่ยนใจ บวชก็บวช ส่วนพวกเราขาดลูกบ้า..ยังบ้าไม่พอ อาตมารับปากหลวงพ่อวัดท่าซุงว่าบวชแค่ ๗ วัน แต่เงินเก็บทั้งหมดโอนให้น้องสองคนไปแบ่งครึ่งกัน ผ้าผ่อนท่อนสไบยกให้พี่ชายไป กะว่า "๗ วันนี้ถ้าเราบวชแล้วเอาดีไม่ได้ สึกออกไป กูจะเริ่มต้นจากศูนย์..!" ในชีวิตนี้ลำบากมามาก การเริ่มต้นจากศูนย์นี่สำหรับอาตมาแล้วไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ยิ่งยากแล้วทำสำเร็จ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเรามีฝีมือ..!
ดังนั้น..พวกเราลูกบ้าน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะพระเณรของเราจำนวนมากเลย บวช ๆ สึก ๆ พวกประเภทเปิดกว้าง ๓๖๐ องศา ลำบากหน่อยกูสึกทันที..นี่เอาดียาก ถ้ายังมีทางให้หนี คนหรือสัตว์จะไม่สู้เต็มที่เต็มกำลัง เพราะไปเปิดทางหนีให้ตัวเอง บวช ๆ สึก ๆ ไปเรื่อย ก็เลยเอาดีไม่ได้ อาตมาไม่เปิดหรอก ปิดตายไปเลย..! ถ้ากลับไปก็เริ่มต้นจากศูนย์ นั่นแค่ ๗ วันนะ ถ้าตั้งใจบวชเป็นพรรษาอาจจะหนักกว่านั้น..!
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๕๖๖ ณ วัดท่าขนุน
ช่วงค่ำวันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.