เข้าระบบ

View Full Version : ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันพ่อแห่งชาติ ๓ - ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕


เถรี
15-12-2022, 17:31
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเข้า วันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๕

การปฏิบัติธรรมรอบนี้ถือว่าเป็นรอบสุดท้ายของปี ๒๕๖๕ นับเป็นรุ่นที่ ๘ จากตารางที่กำหนดเอาไว้ รุ่นที่ ๑ ของปี ๒๕๖๖ จะเป็นรุ่นส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

การที่เรามาปฏิบัติธรรมกันเป็นรุ่น ก็ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติกันอย่างเป็นทางการ แต่คราวนี้อะไรที่เป็นทางการ ก็มักจะไม่ได้เรื่องเสมอ..! สังเกตดูได้ เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้ว ไม่เคยชินกับการที่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบกับการอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก บางทีเราเองก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไร ? ความจริงก็แค่เกิดจาก "ตัวกูของกู" เท่านั้นเอง ก็คือไม่อยากเสียเวลาไปทำใจยอมรับคนอื่น ปลีกตัวออกมาเสียเลยจะง่ายกว่า

ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ตรงตามความประสงค์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้เราปลีกตัวออกจากหมู่ เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาไปคลุกคลีกับหมู่คณะ ที่จะทำให้ขาดการปฏิบัติธรรม แต่พวกเราปลีกตัวออกจากหมู่ เพราะว่าไม่อยากอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ ไม่อยากเสียเวลาไปทำใจยอมรับคนอื่น ก็แปลว่าการปลีกตัวออกจากหมู่ของพวกเรานั้น แบกกิเลสเอาไว้เต็ม ๆ..!

เรื่องพวกนี้โดยปกติแล้ว ถ้าเราไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง โอกาสที่เราจะรู้ จะเห็น จะเท่าทันกิเลส ก็เป็นไปโดยยาก ถ้าอยากจะรู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอะไรบ้าง ให้ไปเปิดพระไตรปิฎกหาวัญจกธรรม ๓๘ ประการ ซึ่งจะบอกเอาไว้ ๓๘ อย่างด้วยกันว่า ในสิ่งที่เราทำ เป็นกิเลสเต็ม ๆ แต่เรามักจะคิดว่าดี

เถรี
15-12-2022, 17:34
อย่างเช่นว่า เราเป็นคนขาดความเกรงใจผู้อื่น ไม่มีกาละเทศะ แต่เราไปบอกว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรม จึงมีการกระทำที่ตรงไปตรงมา แต่คราวนี้การตรงไปตรงมาของเรา ก็เหมือนกับบางท่านที่บอกว่า "ปล่อยวางแล้ว" แต่กระผม/อาตมภาพกล่าวว่า "ไปวางใส่กบาลคนอื่น..!"

จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องศึกษาเรียนรู้ เพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเอง ไม่ใช่ศึกษาเรียนรู้ แล้วก็กองเอาไว้เฉย ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย

การปฏิบัติธรรมแต่ละครั้ง เราควรที่จะพิจารณาดูว่าเรามีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมาบ้าง หรือว่ายังแย่อยู่เหมือนเดิม หรือถ้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือ แย่ไปยิ่งกว่าเดิม เพราะว่าตราบใดที่เรายัง "ดูตัวเองไม่ออก บอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็น" โอกาสที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีความก้าวหน้าก็น้อยมาก

ลักษณะเดียวกับผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ พอถึงเวลาสามารถดูเรื่องของคนอื่นได้หมด แต่ดูเรื่องของตัวเองแล้วหาความแม่นยำไม่ได้ ก็อยู่ในลักษณะเดียวกันก็คือ ขาดการวางกำลังใจให้เป็นอุเบกขา ยังแบกตัวกูของกูไว้เต็ม ๆ

ถ้ากำลังมโนมยิทธิบอกว่าไม่ดี ตัวเองยอมรับไม่ได้ สภาพจิตปรุงแต่งภายในเสี้ยววินาที เร็วกว่าสายฟ้าแลบอีก คำตอบก็จะเปลี่ยนไป แล้วก็ผิด..!

เถรี
15-12-2022, 17:35
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า ให้เชื่ออารมณ์แรก และโดยเฉพาะมโนมยิทธิเป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเอาไปใช้ในทางผิด ๆ แทนที่จะรู้เพื่อละ ก็กลายเป็นรู้แล้วยึด คนโน้นเคยเป็นอย่างนั้นกับกู คนนี้เคยเป็นอย่างนี้กับกู โดยเฉพาะเที่ยวไปดูใจคนอื่น ซึ่งไร้ประโยชน์สิ้นดี..!

เขาให้ดูใจตัวเอง เราต้องดูว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เรามีความผิดพลาดบกพร่องตรงไหน ? แล้วก็แก้ไขไป ไม่ใช่พอสิ่งไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น เราก็ไปหาหมอดู แล้วหมอก็แนะนำให้เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนไป ๕๐๐ ครั้ง ถ้าความประพฤติไม่เปลี่ยน ก็หาความดีขึ้นมาไม่ได้หรอก

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือดูตัวเอง แก้ไขตัวเองให้ได้ ว่าทำไมเราเข้าไปตรงไหน ก็วงแตกที่นั่น จะคุยกับใคร ก็มีแต่คนเมินหน้าหนี ทำไมกี่ปีกี่ปี เราก็ได้ยินแต่เสียงซุบซิบนินทาเราอยู่เสมอ เราผิดพลาดบกพร่องตรงไหน ?

คนอื่นมักจะรักตัวเองมากกว่า เขาก็เลยไม่กล้าที่จะตักเตือนบอกกล่าวเราตรง ๆ แต่ดันไปซุบซิบนินทากัน สร้างทุกข์สร้างโทษให้กับทั้งตัวเองและผู้อื่น

ในเรื่องของนักปฏิบัติธรรม จึงเป็นเรื่องของบุคคลผู้หวังความเจริญ ต้องพยายามกล่าวโทษโจทย์ตัวเองไว้เสมอว่ายังไม่ดีพอ แล้วปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี
15-12-2022, 17:37
อย่างสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง พอถึงเวลาท่านว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยไม่ได้ออกชื่อออกนามตรง ๆ จะได้ไม่ทำให้เขาเสียหน้า แต่ปรากฏว่าแทนที่จะรู้ตัวแล้วไปแก้ไข ออกจากโบสถ์มา กลับไปเที่ยวถามกันว่า "หลวงพ่อว่าใครวะ ?"

แทนที่จะคิดว่า ท่านว่าเรา เราควรที่จะแก้ไข กลับไปเที่ยวมองหาว่าใครที่เป็นอย่างนั้น จึงทำให้คนจำนวนมากด้วยกัน แม้จะอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ดีที่สุดอย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แต่ก็เอาดีไม่ได้ เพราะว่าไม่มองข้อบกพร่องของตัวเอง ไม่แก้ไข กาย วาจา ใจ ของตนเอง โดยเฉพาะที่ปฏิบัติธรรมแล้วก็ทิ้ง

ถึงเวลาทางวัดจัดการปฏิบัติธรรมเมื่อไร ก็รีบสมัครมาด้วยความกระตือรือร้น กิเลสกินเราปีละ ๓๖๕ วัน วันละ ๒๔ ชั่วโมง แล้วอย่างปีนี้ทางวัดจัดการปฏิบัติธรรมมา ๘ ครั้งเท่านั้น ถ้าเฉลี่ยว่าครั้งละ ๓ วัน ก็เพิ่งจะ ๒๔ วัน อีก ๓๐๐ กว่าวัน เราโดนกิเลสกินตลอดเวลา แล้วคิดว่าจะเอาดีได้ไหม ?

ถ้าหากว่าเราขาดสำนึกว่า เรื่องของกิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา ทุกเวลา ทุกวินาที ทุกชั่วลมหายใจ ส่วนเราเอง ผู้ที่จะต่อสู้กับกิเลส กลับต้องไปรอเวลา รอโอกาส กิเลสไม่เคยรอนะ..! แล้วเมื่อไรเราถึงจะชนะได้ ?

เถรี
15-12-2022, 17:39
บางคนก็น้อยอกน้อยใจ ปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อฤๅษีฯ มาถึงสมัยหลวงพ่ออนันต์ จนครูบาอาจารย์จะตายไปอีกแล้ว ยังเอาดีไม่ได้ แต่ไม่เคยดูว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน ? มัวแต่รอให้คนอื่นบอก แล้วใครเขาจะมาบอก ?

แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นได้เพียงผู้บอกเท่านั้น ส่วนบอกไปแล้ว ใครจะหวังความดี มีความเพียรพยายาม ทำด้วยชีวิต หรือว่าจะปล่อยให้ผ่านเลยไปเฉย ๆ โดยที่ไม่ได้อะไร ทำตัวเป็นทัพพีคาอยู่ในหม้อแกง กี่ปีกี่ชาติก็ไม่รู้ว่าแกงรสชาติเป็นอย่างไร ?

ถ้าหากว่าปุบปับตายลงไป หาความดีติดตัวไม่ได้ ก็เสี่ยงสูงมาก เพราะกำลังใจของเราเกาะความชั่วมากกว่าความดี โอกาสที่จะลงอบายภูมิก็มีสูง ถึงไม่ลงอบายภูมิ สามารถไปสู่สุคติได้ เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ก็แค่ชั่วคราว เดี๋ยวก็ต้องเกิดมายากลำบากอีก พลาดเมื่อไรก็ลงอบายภูมิอีก แล้วเรายังจะประมาทกันอยู่อีกหรือ ?

ปีนี้อาตมภาพอายุย่าง ๖๔ ปีแล้ว หลวงปู่ปานวัดบางนมโคอายุ ๖๑ ปีกว่าก็มรณภาพแล้ว แล้วยังคิดว่าอาตมภาพจะอยู่ได้อีกกี่วัน ? โดยเฉพาะงานหลวงงานราษฎร์เยอะมาก จนแทบจะไม่ได้อยู่ติดวัด ถ้าท่านทั้งหลายไม่พากเพียรปฏิบัติด้วยตนเอง จะต้องรอให้นำ จะต้องรอให้จูง ก็ขอบอกว่ารอไปเถิด ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็คงมีโอกาส..!

โดยเฉพาะระยะนี้เชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ระบาดหนักมากที่ทองผาภูมิ หนักหนาสาหัสมาตั้งแต่ช่วงกฐิน เพราะว่าประมาทกัน ติดเชื้อกันยกวัด ติดเชื้อยกหมู่บ้านกัน แม้กระทั่งพระเณรวัดท่าขนุน ที่ส่งไปช่วยงาน ก็ติดกลับมา ๗ - ๘ รูป ถ้าพวกเราติดเข้า แล้วสภาพร่างกายไม่แข็งแรง ปุบปับตายไป หาความดีติดตัวไม่ได้ ถึงตอนนั้นจะเสียใจ ก็ไม่ทันแล้ว

เถรี
15-12-2022, 17:41
พอพระยายมราชถามว่า "เจ้าเป็นอะไรตาย ?" ยังไม่ทันรู้ตัวเลย ตายแล้วหรือ..!? ยังไปบอกท่านว่า "อย่ามาล้อกันเล่นนะ ลุงก็เป็นผู้ใหญ่มากแล้ว จะมาล้ออะไรกับเด็กอย่างผม" ตายแล้วยังไม่รู้ตัวเลย ! พอท่านถามว่า "เคยทำความดีอะไรมาบ้าง ?" บรรลัยแล้ว..ความชั่วมีเยอะกว่า ท่วมทับจนนึกไม่ออกว่าความดีมีอะไรบ้าง

อย่าลืมว่าพระยายมราชท่านเป็นพรหมนะ ถ้า เมตตา กรุณา มุทิตา จนหมดแล้ว ก็อุเบกขานั่นแหละ ถึงเป็นลูกเป็นหลานก็ "ลงไปเถอะลูก" ขุมลึก ๆ ยิ่งดี จะได้อยู่นานหน่อย..!

ยิ่งถ้าหากว่าเป็นนักบวช เป็นพระภิกษุ สามเณร เป็นแม่ชี ก็ยิ่งต้องเคี่ยวกรำตัวเองให้หนัก เพราะว่าเราเป็นปูชนียบุคคลที่คนอื่นเขากราบไหว้ เขาบูชา ไม่ใช่วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ก็ยังคงอยู่แค่นั้น นอกจากไม่ก้าวหน้าแล้ว ยังถอยหลังอีกต่างหาก

ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยท่านได้ เพราะว่าชี้ทางออก บอกทางถูกให้แล้ว แต่ไม่เดิน ก็ให้วนเป็นปูขาเกต่อไป

เถรี
17-12-2022, 20:48
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๕


ธัมมะปฏิปัตติกาโล อะยัมภะทันตา..เธอทั้งหลาย ตอนนี้เป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่ของเราเป็น ธัมมัสสะวะนะกาโล..ที่แปลว่า เวลาแห่งการฟังธรรม ตอนไปประเทศศรีลังกาถึงเวลาเขาบอกว่า ปริตตะกาโล อะยัมภะทันตา..เป็นเวลาแห่งการสวดพระปริตร ของเราตอนนี้ก็เป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม

ลักษณะนี้เรียกว่าหาพยาน ประกาศให้เขารู้ จะได้ร่วมกันเป็นพยานให้ว่าเราทำอะไรอยู่ ถึงเวลาอ้างไป ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายได้ยินตอนเราประกาศ ก็จะช่วยเป็นพยานให้ แล้วต้องประกาศกันทุกบ่อยหรือเปล่า ?..ก็ไม่ต้องหรอก ของพวกเราแค่ "ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศล" ก็จบแล้ว..ง่ายที่สุด

เพราะว่าเรื่องของโลกนี้ โลกหน้า ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราเป็นแค่นักทัศนาจรเท่านั้น ไม่รู้ว่าเผลอไปซื้อทริปนี้มาตอนไหน ถึงเวลาก็เลยต้องมาเที่ยวโลกห่วย ๆ อย่างนี้..! คราวนี้เรามาจากไหน แล้วเราจะกลับไปได้หรือเปล่านี่สิสำคัญ แล้วก็มีวิธีเดียวก็คือศึกษาให้ดี ว่าเราจะซื้อตั๋วไปที่ไหน ?

ผู้รู้หลายท่านบอกว่า คนเราเลือกไม่ได้ ๔ อย่าง เลือกที่เกิดไม่ได้ เลือกที่อยู่ไม่ได้ เลือกงานที่ทำไม่ได้ และเลือกที่ตายไม่ได้ อาตมภาพมั่นใจว่าถ้าเราเก่งจริง เราเลือกที่เกิดกับที่ตายได้ เพราะว่าอย่างการที่มาเกิด ในปัจจุบันนี้ก็มีการขอลงมาก่อนเวลา เพราะถ้าลงมาตามเวลาหมดบุญแล้ว ความซวยอาจจะมาเยือนไม่รู้ตัว เพราะว่าทำบาปไว้เยอะมาก..!

เถรี
17-12-2022, 20:57
ผู้รู้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า บาปเหมือนกับน้ำเกลือ..เค็ม เราสร้างบุญก็เหมือนกับเติมน้ำจืดลงไปเรื่อย ๆ น้ำจืดยิ่งมีมากเท่าไร น้ำเค็มก็เจือจางลงไปเท่านั้น แต่ถามว่าเกลือไปไหนหรือเปล่า ? ไม่ได้ไปไหนหรอก ก็อยู่ในน้ำจืดนั่นแหละ เพียงแต่ว่าพอน้ำจืดมากเข้า..มากเข้า เกลือก็ไม่สามารถแสดงรสเค็มออกมาได้

เพราะฉะนั้นโ€ฆในเรื่องของการล้างบาป เราไม่สามารถที่จะล้างได้ แต่เราสามารถทำความดีหนีบาปได้ สำคัญตรงที่ต้องทำให้มากพอ จนสภาพจิตของเราจดจำแต่ในด้านดี ถึงกระนั้นก็ยังต้องระวังให้หนัก เพราะว่าอาสันนกรรม..กรรมที่จะแสดงผลก่อนเราตายนิดเดียว อาจจะทำให้เราพลาดจากความดีก็ได้

มีหลายคนที่ตายไป แล้วฟื้นขึ้นมา เล่าให้ฟังว่า ลูกหลานบอกให้ภาวนา "อะระหัง อะระหัง" บ้าง "พุทโธ พุทโธ" บ้าง กำลังภาวนาอยู่ดี ๆ เสียงเหมือนใครตีข้างฝาดังปั้ง..! ตกใจ..หลุดจากการภาวนา จิตหลุดออกจากกายตอนนั้นเลย

แต่ยังโชคดีที่มีเทวทูต ๔ ท่านมารับไป ท่านที่นุ่งแดงใส่แดงมารับนั่นไม่ใช่ยมบาลนะ ไม่ใช่นายนิรยบาล ท่านเป็นเทวทูต มีหน้าที่คอยมารับคนตาย ไปส่งที่ตำหนักพญายม นับเป็นเทวดาในสังกัดท้าวจตุมหาราช เพียงแต่ "รับจ๊อบ" จากตำหนักพญายม ถ้าหากว่ามี ๔ ท่านนี้มารับ อย่างน้อยโอกาสรอดของเรามีสูง เพราะว่าเราทำความดีไว้มาก แต่ถ้าไม่ต้องมารับเลยจะยิ่งดี ก็คือขึ้นตรง ลงตรงไปเลย ในเมื่อดีขึ้นข้างบนไม่ได้ ก็ชั่วให้ลงข้างล่างไปเลย..ประชดชีวิต เข้าท่าไหม ?..ไม่หรอก โดนเข้าไปแค่ยกเดียว ก็ร้องซะไม่มีเลย !

โดยเฉพาะพวกประเภทปากดี ที่บอกว่า "ขึ้นสวรรค์แล้วเหงา..คนน้อย ลงนรกถึงจะดี..เพื่อนเยอะ" ลงไปสักหน่อยสิ อยากรู้จริง ๆ ว่าเพื่อนเยอะแล้วจะช่วยอะไรได้บ้าง เห็นมีแต่ช่วยกันแหกปากร้อง..!

เถรี
17-12-2022, 21:42
เมื่อวานนี้ไปตรวจข้อสอบธรรมศึกษา เจอเด็กบางคนเขียนอธิบายกระทู้เผาเพื่อนทั้งห้องเลย กระทู้ตั้งคือ สุขํ ยาว ชรา สีลํ มาจากสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปัญจกนิบาต

เด็กก็อธิบายไปในเรื่องของศีล ถ้าหากว่าไม่รักษาศีล อย่างเช่น "กังฟูชอบเอาหนังสติ๊กไปยิงนก ถ้าตายลงไปอยู่ข้างล่าง จะโดนยมบาลเอาหนังสติ๊กไล่ยิงบ้าง ลุงของเพื่อนคนหนึ่งชอบกินเหล้า พอลงไปถึงข้างล่าง โดนยมบาลจับมัด เอาคีมง้างปาก ใช้น้ำกรดกรอกปาก ให้สมกับที่อยากกินเหล้าดีนัก อีกคนหนึ่งชอบเล่นไฮโลว์ ตายลงไปก็เลยโดนลูกไฮโลยักษ์ ใหญ่เท่าภูเขากลิ้งไล่ทับ..!" คนนี้จินตนาการดี อาตมายังไม่เคยเจอนรกขุมนี้เลย แต่เด็กคนนี้จินตนาการถึงแล้ว..!

ข้างล่างมีแต่ปิสสกปัพพตนรก เป็นนรกภูเขาเหล็กที่ไล่กลิ้งทับ อันนั้นสำหรับพวกคอรัปชั่น กินอะไรลงไปต้องรีดออกมาให้หมด เด็กคนนั้นเห็นเป็นลูกเต๋าหรือเปล่านะ ? เลยบอกว่ามีลูกเต๋าลูกเท่าภูเขาไล่ทับ..!

นรกอยู่ในส่วนของอบาย อบายภูมิ..ภูมิแห่งความเสื่อม ไม่มีความดีอะไรเลย พลาดลงไปเมื่อไร ก็ได้จะได้รับการต้อนรับน้องใหม่ ถึงเวลาก็ส่งเสียงร้องพร้อม ๆ กัน..!

เมื่อวานตรวจข้อสอบจนหลอนเลย ไม่นึกว่าเด็ก ๆ จะจินตนาการไปไกลขนาดนั้น ส่วนอีกคนหนึ่งก็ ปาปานิ อกรณํ สุขํ ไม่ทำบาปเสียก็เป็นสุขแล้ว เจ้านั่นก็อธิบายไป ตั้งใจจะโยงไปให้กระทู้รับคือ สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญนำมาซึ่งความสุข ก็อธิบายไปเรื่อย

"ตื่นเช้าขึ้นมาก็สวดมนต์ไหว้พระ แล้วก็ช่วยคุณแม่กวาดบ้าน ถูบ้าน หุงข้าวให้แม่ใส่บาตร ไปโรงเรียนเจอเงินตกอยู่ เอาไปให้ครูใหญ่ประกาศหาว่าใครทำเงินตกบ้าง เพื่อนมารับเงินคืนไป ผมดีใจมาก เพราะเพื่อนเป็นคนจน ถ้าเขาขาดเงินจะต้องเดือดร้อนมากเลย แล้วผมก็เอาบะหม่สำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสาร อาหารแห้ง ไปช่วยคนที่ลำบากเพราะน้ำท่วม เจอขอทานก็ให้เงินไป ๒๐ บาท ไปเจอคนแก่เก็บผักบุ้งขายอยู่ ด้วยความสงสาร ก็เลยช่วยซื้อผักบุ้ง ฯลฯ" ตั้งแต่ต้นจนจบทำความดีตั้งแต่ลืมตาตื่น จนหลับตาลงไปเลย..ใช้เงินเยอะมาก..! เอามาจากไหนวะ..!?

เถรี
17-12-2022, 22:06
เด็กเขาพยายามที่จะเขียนแต่เรื่องที่ดี ๆ แต่คราวนี้เขาลืมไปว่า เช้ายันเย็น ทำขนาดนั้นต่อให้เป็นลูกเจ้าสัวตระกูลเจียรวนนท์ก็มีสิทธิ์เจ๊งได้ ใช้เงินเยอะฉิบหาย..!

แต่คราวนี้ชอบใจตรงที่เขาจินตนาการดี เสร็จแล้วเขาก็บอกว่า เขาไปเรียนหนังสืออย่างมีความสุข สมกับกระทู้ที่มีมาในขุททกนิกาย ธรรมบทว่า สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย การสั่งสมบุญ ย่อมนำมาซึ่งความสุข ดังพรรณนามาด้วยประการฉะนี้แล เอ้อ..เอ็งเก่ง คือถ้าเราไม่เอาความสมจริงนะ ถือว่าเขียนได้เก่ง หลวงพ่อเลยให้ไป ๙๕ คะแนน จากเต็มร้อย ก็คือหักความไม่สมจริงออกไป ๕ คะแนน ได้แต่นึกในใจว่า "ถ้ามึงใช้เงินขนาดนี้พ่อแม่เจ๊งแน่เลยว่ะ..!"

เลี้ยวกลับมาเรื่องของเราต่อ เรื่องของการปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องที่สำคัญมาก บารมีไม่ถึงทำไม่ได้ ขอยืนยันว่าบารมีไม่ถึงทำไม่ได้ เราจะสังเกตดูว่า บางทีเราไปทำบุญ เจอบางคนที่เห็นคนอื่นทำบุญ แล้วก็อยากจะทำบุญบ้าง ควักเงินออกมา แต่ตัดใจไม่ได้ ก็ยัดคืนกลับไป อีกสักพักหนึ่งได้ยินโฆษกประกาศ ทำบุญตรงนี้ดีอย่างนั้น ทำบุญตรงนั้นได้แบบนี้ ก็อยากจะทำขึ้นมาอีก กัดฟันควักออกมาใหม่ แต่ปรากฏว่ามัจฉริยะคือความตระหนี่ มีกำลังสูงกว่า ก็ยัดคืนกระเป๋าไปอีก..!

นี่คือสิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า แค่ทานซึ่งเป็นความดีเบื้องต้น คนที่บารมีไม่ถึง ยังทำไม่ได้เลย ในเมื่อความดีเบื้องต้น อาศัยแค่สามัญบารมี..กำลังใจระดับต้น ยังไม่สามารถทำได้ ไม่ต้องไปพูดถึงศีล..ที่เป็นระดับกลาง และภาวนา..ที่เป็นระดับสุดยอด ในเมื่อตีนเขายังเดินไม่ถึงเลย จะให้ขึ้นไปถึงยอดเขาย่อมเป็นไปไม่ได้

เถรี
19-12-2022, 00:50
ดังนั้น…การที่พวกเราทั้งหลายที่มานั่งอยู่ตรงนี้ได้ ในขณะที่วันหยุดยาวคนอื่นเขาไปเที่ยวกัน เมื่อเช้านี้รถนักท่องเที่ยวเต็มตลาดทองผาภูมิ หลายคนก็พ่วงจักรยานมาบ้าง มอเตอร์ไซค์วิบากมาบ้าง หลายคนก็ลากเรือมาด้วย เขาไปเที่ยวกัน แล้วเรามาทำอะไรที่นี่ ?

เราก็จะได้เห็นว่า ในขณะที่คนอื่นเขาหาความสุขชั่วครั้งชั่วคราวใส่ตัว พวกเราพยายามหาความสุขที่ยั่งยืน ถ้าทำดี ทำถูก ย้ำอีกครั้งหนึ่งนะ ทำดี ทำถูก ทำดี..คือทำพอดี ทำถูก..คือถูกพอดี ถือเป็นมัชฌิมาปฏิปทา พอเหมาะพอดี เหมือนกับคนกินแต่พออิ่ม อิ่มแล้วก็ไม่อ้วน ถ้ากินเกินอิ่มก็จะอ้วน

ถ้าทำดีทำถูก ปัจจุบันนี้เราก็จะมีความสุข ภาษาพระเรียกว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์..ประโยชน์เห็นทันตา คนปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง ไม่ป่วยเป็นโรคเครียด ไม่เป็นไมเกรน นอนหลับสบาย ไม่เป็นเรื่องพวกนี้ โรคอื่นก็หายไปเยอะแล้ว

แล้วถ้าหากว่ารักษากำลังใจได้ล่ะ ? ก็จะเกิดสัมปรายิกัตถประโยชน์..คือประโยชน์สำหรับชาติภพต่อ ๆ ไป เราจะมีโอกาสเกิดในสุคติภูมิ เป็นมนุษย์ก็เป็นมนุษย์ชั้นดี มีฐานะร่ำรวย มีหน้าตาสวยงาม มีปัญญาดีมาก เกิดเป็นนางฟ้า เป็นเทวดา เป็นพรหม ก็อยู่ในส่วนของสัมมาทิฏฐิ มีแต่จะสร้างบารมีให้สูงยิ่งขึ้น ให้เจริญยิ่งขึ้น จนท้ายสุดก็หลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน

อันนี้เป็นเรื่องของคนยังเกิด แต่ถ้าไม่นิยมการเกิด เบื่อหมดทุกอย่างแล้ว เบื่อแป๊บเดียวไม่นับนะ ต้องเบื่อตลอด พวกเราส่วนใหญ่เบื่อพักเดียว รำคาญลูก รำคาญผัว รำคาญเมีย เบื่อจริงโว้ย..! ออกนอกบ้านไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋สักพักหนึ่ง หายเบื่อแล้ว กลับบ้านได้ อย่างนี้ไม่นับนะ

เถรี
19-12-2022, 00:52
ต้องเบื่อเพราะเห็นโทษจริง ๆ ว่าการเกิดมามีร่างกายอย่างนี้ การเกิดมาอยู่ในโลกอย่างนี้ มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งที่เรานั่งอยู่ตอนนี้ก็ทุกข์ ประเดี๋ยวก็เมื่อย ต้องขยับแล้ว

ถ้าเห็นชัดเจนแบบนี้ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากได้ใคร่ดีกับอะไรอีก ก็จะค่อย ๆ ถอนกำลังใจจากการยึดถือทั้งปวง ทรัพย์สิน เงินทอง พ่อ แม่ ลูก เมีย ผัว สารพัด อยู่ก็สักแต่ว่าอยู่ ทำหน้าที่ของตนไปวัน ๆ แต่กำลังใจพร้อมอยู่เสมอที่จะไป พ้นไปได้เมื่อไร จะมีความสุขที่สุด ถ้าลักษณะอย่างนี้มีโอกาสไปพระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ก่อให้เกิดปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์สูงสุด

ย้อนกลับมาใหม่ว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ทันตา การรักษาศีล ปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่าทำจริง ๆ จนเป็นคุณงามความดีเฉพาะตัว คนโน้นก็รู้ คนนี้ก็เห็น เขาก็จะยกย่อง เราก็กลายเป็นผู้นำ หรือว่าเป็น "ไอดอล" ของคนอื่น อันนี้เป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์

เกาะความดีมั่นคง ไปเกิดในภพภูมิที่ดี เป็นสัมปรายิกัตถประโยชน์

ไม่เอาอะไรเลย ปลดใจจากการเกาะทั้งปวง เป็นปรมัตถประโยชน์

เถรี
19-12-2022, 00:57
คราวนี้อยู่ที่เราว่าจะทำเพื่ออะไร ? ส่วนใหญ่แล้วพวกเราดีมาก ไม่ค่อยเอาอะไรไกล มอง ๆ อยู่แค่แถวสวรรค์เท่านั้นเอง อาตมภาพยิ่งแย่ใหญ่เลย สมัยเด็ก ๆ พ่อแม่ผู้ใหญ่เขาสอนว่า "อธิษฐานนะลูก ทำบุญทั้งที ขอให้เกิดมาสวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้เกิดมาได้พบพระศรีอารย์" ก็อธิษฐานตามเขาไปอยู่หลายปี ไม่รู้เหมือนกันว่าแรงพอหรือเปล่า ถ้าคำอธิษฐานแรง พอมีหวังได้ไปเกิดยุคพระศรีอาริย์แน่เลย..!

แต่พอรู้ว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร ก็เปลี่ยนใหม่ "ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ" ก็แปลว่าอธิษฐานด้วยความตั้งใจ ก็สามารถที่จะเปลี่ยนได้

ไม่ใช่แบบพระเจ้าปายาสิ ไปดูในปายาสิราชัญญสูตร พระกุมารกัสสปะเทศน์โปรด พระเจ้าปายาสิก็บอกว่า "พระคุณเจ้าพูดมาไพเราะมาก เห็นชัดว่าเป็นไปตามนั้น แต่โยมไม่สามารถจะเปลี่ยนทิฏฐิได้หรอก เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าโยมเป็นอย่างนี้" อ้าว..! แล้วคนอื่นรู้เกี่ยวอะไรกับมึงด้วยเล่า..!? เขารู้ว่าเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นไปตลอดชาติเลยหรือ ?

พระกุมารกัสสปะก็ว่าใหม่ เทศน์อีกหนึ่งรอบ พระเจ้าปายาสิก็บอกว่า "พระคุณเจ้าเทศน์ได้ไพเราะมาก อุปมาอุปไมยได้ภิญโญยิ่งนัก เปรียบเสมือนหงายของที่คว่ำ หรือตามประทีปในความมืด แต่โยมไม่สามารถที่จะเปลี่ยนความคิดได้หรอก เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าโยมเป็นอย่างนี้" นี่ถ้าอยู่ใกล้ อาตมาภาพจะช่วยถีบให้..!

เถรี
19-12-2022, 01:00
เพราะฉะนั้น..พวกเราไม่ต้องไปยึดถืออะไรมากมายหรอก ของชั่ว ๆ เรายึดมาเยอะแล้ว ให้หันมายึดความดีอย่างจริง ๆ จัง ๆ บ้าง บอกกับตัวเองให้ชัด ๆ ไปเลยว่า "เอ็งชั่วมาเยอะแล้ว ใช้กำลังใจเดียวกับที่ทำความชั่วนั่นแหละ หันมาทำความดีบ้าง กำลังเท่ากัน แค่เปลี่ยนมุมเท่านั้นเอง" เราก็แค่เปลี่ยนจากการไม่มีศีล ไม่มีธรรม หันมารักษาศีล ปฏิบัติธรรมเท่านั้นเอง

ใครจะกระแนะกระแหนอย่างไรก็ช่างหัวมัน..! อาตมาเขียนกลอนด่าให้ตั้งแต่ ๓๐ - ๔๐ ปีที่แล้ว เราทำดีแล้วเขายังมีหน้ามาว่าเรา เขาเองยังไม่ทำเลย แล้วเราทำไมต้องไปฟังชาวบ้านเขาด้วย ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดีอย่างแท้จริง ก็ทำต่อไป แต่ถ้าเขาบอกมาแล้ว เราเห็นว่าไม่ดีจริง เราก็เปลี่ยนมุมใหม่ ไปทำส่วนที่ดีจริงต่อไป

เราสามารถปรับเปลี่ยนกำลังใจของเราอยู่ได้ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นแล้วหลวงปู่หลวงพ่อสมัยพุทธกาล ท่านมีหลักยึด มีแนวปฏิบัติ ที่เข้มข้นกว่าเราไม่รู้กี่ร้อยเท่า ถ้าท่านไม่เปลี่ยน ท่านไม่สามารถที่จะรับรสแห่งพระธรรมได้ แต่ท่านยอมเปลี่ยน แล้วก็กลายเป็นพระอรหันต์บ้าง เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระโสดาบันบ้าง

เถรี
19-12-2022, 01:03
เป็นเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง อาตมาอ่านพระไตรปิฎกมาจนปรุ ส่วนใหญ่เขาเป็นกันอยู่แค่นี้ ท่านที่เป็นพระสกทาคามีนั้นมีน้อยมากเลย เห็นมีก็แต่ลูกสาวอนาถปิณฑิกเศรษฐีเท่านั้น อนาถปิณฑิกเศรษฐีถามลูกสาวที่ป่วยว่า "เป็นอย่างไรบ้างลูก ?" ลูกสาวตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอกน้องชาย" อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นพระโสดาบัน ลูกที่ใกล้ตายเป็นพระสกทาคามี ในเมื่อตัวเองเป็นสูงกว่าก็เลยเรียกพ่อว่าน้องชาย เล่นเอาพ่อเพี้ยนไปเลย นึกว่าลูกป่วยหนักจนเพ้อ..!

ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงคนที่ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม แล้วเป็นพระสกทาคามีน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ ที่เป็นพระอนาคามียังน้อยเลย เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นปัญญามาก ถ้าไม่ใช่เพราะติดสุขจนไปไหนไม่เป็น ก็มักจะกลายเป็นพระอรหันต์ไปเลย ท่านที่เป็นพระโสดาบัน กันนาน ๆ เพราะว่ามีความสุขที่ได้เป็น

โบราณเขาบอกว่า พระเจ้าจักรพรรดิที่มีความสุขว่า ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเรา ความสุขนั้นไม่ได้ ๑ ส่วน ๑๖ ของพระโสดาบัน ท่านที่เป็นพระโสดาบันแล้วมัวแต่สุขกันอยู่ ก็เลยไม่ได้ไปต่อ ติดอยู่แค่นั้นเอง ถือว่าได้น้อยไปหน่อย

เถรี
21-12-2022, 01:27
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเข้า วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๕

ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ที่นี่เมื่อเราทำสมาธิช่วงเช้ามืดแล้ว จะต่อด้วยการทำวัตร ปรากฏว่ามีน้อยรายที่สามารถรักษาอารมณ์ใจต่อเนื่องได้ในขณะที่ทำวัตร ส่วนใหญ่ก็คือพอเริ่มสวดมนต์ สมาธิก็เริ่มคลายตัว ไปได้หน่อยเดียวก็หลุดหายเกลี้ยงไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่การฝึกฝนในลักษณะนี้ของวัดท่าขนุนมีอยู่ทุกวัน แต่น้อยคนที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น ? แล้วทำไมถึงทำอย่างนั้นยังไม่พอ ยังไม่สามารถที่จะทำอย่างนั้นได้อีกด้วย

ช่วงเช้าของเราเป็นการปฏิบัติธรรมด้วยการภาวนาพระคาถาเงินล้าน ทุกท่านมักจะยึดติดว่าการปฏิบัติธรรมก็คือต้องนั่งหลับตานิ่ง ๆ ถ้าเป็นอาตมภาพก็บอกว่า นั่นเป็นเด็กหัดใหม่ การปฏิบัติธรรมต้องทำได้ทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะในขณะเคลื่อนไหว ประกอบกิจกรรมประจำวัน ไม่อย่างนั้นแล้วการปฏิบัติของเราก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะว่าแค่ขยับตัว สมาธิก็คลายหมด กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ประดังกันเข้ามา

ดังนั้น..ในเรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร ถ้าหากว่าทำเป็น จะเป็นเครื่องเสริมในการปฏิบัติธรรมของเราที่ดีมาก เพราะว่าอันดับแรกเลย ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว เราก็จะเผลอสติ สวดผิด

อันดับต่อไปก็คือ ถ้าเราภาวนาจนชินแล้ว คำสวดมนต์ก็คือคำภาวนานั่นเอง เพียงแต่ว่าเป็นคำภาวนาที่ยาวกว่าปกติเท่านั้น

ลำดับต่อไป ถ้าฝึกซ้อมจนมีความคล่องตัวแล้ว เราก็สามารถที่จะภาวนาได้ทั้ง ๆ ที่ทรงสมาธิแนบแน่นอยู่ ตรงจุดนี้พวกเราส่วนใหญ่แล้วยังทำไม่ได้กัน เพราะว่าขาดความคล่องตัว ขาดการฝึกซ้อม

เถรี
21-12-2022, 01:30
ลำดับต่อไป ถ้าหากว่าเราฝึกในทิพจักขุญาณ ให้นึกถึงคำที่เราสวดเป็นตัว ๆ วิ่งผ่านหน้าไป ทีละคำ ทีละคำ เห็นตัวหนังสือได้ชัดเจนแค่ไหน เราก็เห็นผีเทวดาได้ชัดเจนเท่านั้น..!

ลำดับต่อไป ถ้าท่านมีความสามารถ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดถวายพระบนพระนิพพาน ตรงนี้เป็นการประกันความเสี่ยง ก็คือถ้าตายเมื่อไร ก็อยู่ตรงนั้นไปเลย

ดังนั้น..ไม่ใช่ "แค่การสวดมนต์" อย่างที่พวกเราคิด สำคัญอยู่ตรงที่ว่าเราทำเป็นไหม ? ถ้าหากว่าทำเป็นก็ได้มากกว่าที่คิด แค่สวดมนต์อย่างที่พวกเรานึกกัน ก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้

เพียงแต่ว่าการสวดภาวนาพระคาถาเงินล้านนั้น เราต้องการอานิสงส์พิเศษ ก็คือมีความคล่องตัวในขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ แปลว่าต้องอาศัยเคล็ดลับหลายอย่างด้วยกัน

ประการแรกเลย ก็คือต้องไม่ภาวนาด้วยความอยาก หลายท่านสอบถามมาว่า "ภาวนาพระคาถามาแล้ว ๒ - ๓ เดือน ไม่เห็นจะรวยอย่างที่หลวงพ่อว่าเลย" ตอบไปว่า "เพราะมึงอยากรวยก็เลยไม่ได้อะไร..!" เนื่องเพราะว่าเราไปเอาตัณหานำหน้า ความบริสุทธิ์ของจิตมีน้อย แล้วจะให้ผลเกิดมากย่อมเป็นไปไม่ได้

แล้วก็มีคนถามมาว่า "ถ้าไม่อยากรวย แล้วจะภาวนาไปทำไม ?" ความอยากรวยไม่ใช่ความผิด แต่วางกำลังใจผิดที่ภาวนาเพราะอยากรวย ในระหว่างที่ภาวนา ให้เรามีหน้าที่แค่ภาวนา อย่าไปคิดว่าเราภาวนาครั้งนี้ เราจะต้องร่ำรวย เราจะต้องถูกหวย เราจะต้องเล่นหุ้นแล้วได้เท่านั้นล้าน เท่านี้แสน ถ้าทำแบบนั้นก็เจ๊งกะบ๊ง..!

ดังนั้น..เคล็ดลับขั้นแรกเลยก็คือ อย่าภาวนาเพราะอยากรวย เรามีหน้าที่ภาวนา ผลจะเกิดอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าสามารถรักษากำลังใจอยู่ในลักษณะอย่างนี้ได้ แล้วทำต่อเนื่องไป ประมาณ ๒ เดือนก็เริ่มเห็นผลแล้ว

เถรี
21-12-2022, 01:34
ข้อต่อไปก็คือ พระคาถาเงินล้านต้องมีการสนับสนุนด้วยทานบารมีและจาคานุสติ เราจะเห็นว่าตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ก็กำชับมานักหนาว่า ต้องทำบุญ ใส่บาตรทุกวัน แม้กระทั่งพระเจ้าพระสงฆ์ ท่านก็ให้ใส่พระด้วยกัน เวลานั่งร่วมวงภัตตาหารเดียวกัน ให้ตักอาหารที่ตนเองยังไม่ทันจะฉัน ใส่ให้กับรูปที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไปก่อน เพราะว่าลาภผลทุกอย่าง เกิดจากทานบารมีทั้งสิ้น ถ้าเราไม่เคยทำเอาไว้ แล้วจะไปหวังได้ ย่อมไม่มีทางที่จะได้อยู่แล้ว

ข้อต่อไปคือ ความจริงจังสม่ำเสมอ ไม่ใช่วันนี้ภาวนา ๙ จบพรุ่งนี้เหลือ ๓ จบ มะรืนโผล่ขึ้นมา ๗ จบ ความจริงจังสม่ำเสมอก็คือ ทำเท่า ๆ กันทุกวัน หรืออย่างที่กระผม/อาตมภาพแนะนำพวกเราก็คือ วันละ ๑๐๘ จบ เหตุที่ต้องการถึง ๑๐๘ จบ ก็เพื่อที่ว่าอย่างน้อยการภาวนาที่ใช้เวลานาน เราจะได้เกิดสมาธิขึ้น เพราะว่าเคล็ดลับข้อต่อไปของการภาวนาพระคาถาเงินล้านก็คือ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร ก็ยิ่งได้ผลเร็วเท่านั้น

ดังนั้น..ในส่วนที่ท่านทั้งหลายทำแล้วยังไม่เห็นผล ต้องถามตัวเองด้วยว่า ทำถูกต้องตามเคล็ดลับเหล่านี้หรือไม่ ? มีหลายคนบอกว่า "ท่านบอกว่าภาวนา ๒ เดือนขึ้นไปก็เห็นผลแล้ว แล้วทำไมฉันภาวนา ๒ เดือนแล้วยังไม่เกิดผลอะไรเลย ?" ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?" ก็ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจว่า "๑ จบ..!"

อาตมภาพได้ยินแล้วอยากจะบอกว่าจบเห่..! ทำงานอยากได้เงินเดือนเป็นล้าน แต่ทำวันละนาทีเดียว คุณไม่ใช่บิล เกตส์ หรือมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จะได้เซ็นหนังสือนาทีเดียว แล้วได้เงินเป็นล้าน

และที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องการศรัทธาคือความเชื่อมั่น ปสาทะคือความเลื่อมใส ถ้าหากว่าขาดความเชื่อมั่น ขาดความเลื่อมใส ในตัวพระคาถานี้ กำลังใจของเราย่อมไม่ทุ่มเทให้ทั้งหมด ในเมื่อไม่ทุ่มเทให้ทั้งหมด แล้วเราจะไปหวังให้ได้ผลมาก สิ่งที่เราทำ กับสิ่งที่เราหวัง ย่อมไปกันไม่ได้อยู่แล้ว

เถรี
21-12-2022, 01:35
การภาวนาพระคาถาเงินล้านอย่างที่บอกเอาไว้ก็คือ ต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่รอให้วัดจัดงานทีหนึ่งพวกเราก็มาภาวนา ๑๐๘ จบ ถ้าลักษณะอย่างนี้ ก็ประมาณว่า มื้อนี้มีกินจนแทบจะท้องแตกตาย แต่หลังจากนั้นก็อดไปเลย ๗ วัน ๑๐ วัน กว่าที่จะได้กินอีกสักรอบหนึ่ง..!

ของพวกนี้ความจริงใช้แค่สมองทั่ว ๆ ไปตรองดู ก็น่าจะรู้ว่าผลเป็นอย่างไร คนที่ทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง แต่อยากได้เงินเดือนมาก ๆ กับคนที่ขยันทำงานสม่ำเสมอ ใครควรที่จะได้มากกว่ากัน ก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว

ในส่วนของพระคาถาเงินล้านนั้น เรื่องของลาภผลไม่ได้มีทั้งหมด เพราะว่าพระคาถาเงินล้านประกอบด้วยคาถาต่าง ๆ หลายบทด้วยกัน มีทั้งเร่งลาภ ตัดอุปสรรค ป้องกัน รักษาทรัพย์ เสริมความสำเร็จ ก็แปลว่าถ้าหากว่าท่านทำพระคาถาเงินล้านบทเดียว ถ้าหากว่าได้ผล ก็จะได้รับผลหลายด้านด้วยกัน

แต่คราวนี้ถ้าหากว่าเรามัวแต่กำหนดอยู่ว่า คาถาบทไหน ให้ผลอย่างไร ก็จะกลายเป็นความฟุ้งซ่านไปอีก เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปใส่ใจว่าคาถาบทไหนให้ผลอย่างไร คิดแค่ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา เราก็ทำของเราไป

การภาวนาพระคาถาเงินล้านที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ จะจัดก็เฉพาะช่วงที่ทางวัดมีการปฏิบัติธรรม ก็คืออย่างน้อยมีวันหยุดต่อเนื่องกัน ๓ วันขึ้นไป แล้วก็มักจะจัดในวันสุดท้าย แต่ว่างานนี้ไม่สามารถที่จะจัดในวันสุดท้ายได้ เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ทางส่วนราชการนิมนต์พระวัดท่าขนุนไปร่วมงานเกือบทั้งวัด ไม่สามารถที่จะควบคุมเวลาในการทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้ จึงต้องเลื่อนมาจัดในวันนี้แทน

เถรี
21-12-2022, 01:36
ส่วนเดือนที่ไม่มีการปฏิบัติธรรม ก็จะยกให้ทางวัดอุทยาน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ไปจัดแทน ญาติโยมที่อยู่ทางกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะได้เดินทางไปสะดวก ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็จะไปเป็นประธานในงานสวดที่นั่นให้

ดังนั้น..ไม่ใช่ว่ารอแต่ที่วัดท่าขนุนอย่างเดียว หรือว่ารอแต่ที่วัดอุทยานอย่างเดียว หากแต่ว่าให้พวกเราภาวนาเอง อย่างสม่ำเสมอทุกวัน ถ้าคิดว่ามากจนเกินไป ก็ให้แบ่งออกเป็นสามช่วง ก็คือ เช้า กลางวัน เย็น ช่วงละ ๓๖ จบก็จะได้ ๑๐๘ จบตามที่ต้องการ

เราต้องไม่ลืมว่าในเรื่องของการสวดมนต์ภาวนา เป็นการสร้างกำลังใจของเราให้เข้มแข็ง เราจะเห็นว่าพี่น้องอิสลามมีการละหมาดวันละ ๕ รอบ ดังนั้น..ในส่วนของวัดท่าขนุนของเรา ทำวัตรเช้า เย็น ๓ รอบ ยังไม่ได้เท่ากับพี่น้องอิสลามเขาทำกันเลย

เราจะเห็นว่าพี่น้องอิสลามนั้น เป็นคนที่กล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าทำ เพราะว่ามีกำลังใจเข้มแข็งจากการละหมาดทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๕ รอบ ซึ่งก็คือการทำสมาธิภาวนานั่นเอง ถ้าหากว่าพวกเราจะเลียนแบบ จะลองดูก็ได้ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ทุกชั่วโมง แล้วภาวนาชั่วโมงละ ๙ จบ หกโมงเช้าเริ่มต้น หกโมงเย็นก็ครบ ๑๐๘ จบพอดี

เถรี
21-12-2022, 01:38
การที่สติเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ทำให้สมาธิทรงตัวได้ง่ายที่สุด เพียงแต่ว่าพวกเรามักจะเถรตรง ครูบาอาจารย์บอกแค่ไหน ตำราบอกแค่ไหน เราก็ทำแค่นั้น พลิกแพลงกันไม่เป็น

ดังนั้น..พอกระผม/อาตมภาพบอกว่า ตีลังกาภาวนาได้ คนก็ไม่ค่อยจะเชื่อกัน สมัยวัยรุ่นกระผม/อาตมภาพเล่นหกสูง เอามือเดินแทนเท้า สามารถภาวนาได้จากการเดินเป็นกิโลเมตรเลย เพราะว่าในเรื่องของการภาวนา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิริยาบถ หรือว่าท่าทาง แต่ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ว่าทรงตัวหรือไม่ ?

เรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงไม่ใช่เรื่องของคนเถรตรง เชื่อถือครูบาอาจารย์ไปทุกอย่าง แต่ว่าให้ปรับเอาส่วนที่เหมาะสมกับเราที่สุด ทำแล้วสมาธิทรงตัวเร็วที่สุด นำมาใช้งานกับตัวเรา หลังจากที่สมาธิทรงตัวแล้ว ก็ยังต้องรักษาเอาไว้ให้เป็น ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายทำไปเท่าไร ก็ไม่เกิดผลสักที แล้วยังมีหน้ามาคุยว่าปฏิบัติธรรมมานานแล้ว..!

เรื่องของการปฏิบัตินานหรือปฏิบัติน้อยไม่ใช่สาระ สาระสำคัญคือ ทำแล้วกำลังใจ ลด ละ เลิก รัก โลภ โกรธ หลง ได้เท่าไรต่างหาก

เถรี
21-12-2022, 18:56
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๕

วันนี้พวกเราได้ปฏิบัติธรรมเต็มเวลาแค่ช่วงบ่ายช่วงเดียว พรุ่งนี้ช่วงเช้าอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ปิดการปฏิบัติธรรมแล้ว จะเห็นได้ว่าเวลาในการปฏิบัติธรรมของเรานั้นมีน้อยมาก

พระพุทธเจ้าถึงได้กล่าวถึงพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็คือ ฝ่ายนักบวช ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี ฝ่ายฆราวาส คืออุบาสก อุบาสิกา

ภิกษุ ภิกษุณี มีเวลามาก ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติได้เต็มที่ เมื่อปฏิบัติได้แล้ว ก็นำเอาวิธีการที่ง่ายที่สุด สะดวกที่สุด มาบอกกล่าวให้แก่อุบาสกอุบาสิกา จะได้ปฏิบัติตามโดยไม่ยากลำบากนัก

อุบาสกอุบาสิกา เป็นฝ่ายทำมาหากิน ก็สนับสนุนด้วยปัจจัย ๔ เพื่อที่ให้ภิกษุ ภิกษุณี สามารถที่จะทรงชีวิตอยู่ได้ จึงอยู่ในลักษณะของการพึ่งพากัน แบบ "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า"

ในส่วนของการปฏิบัติธรรมยังต้องการความจริงจัง และสม่ำเสมอ ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครอยากรู้ว่าชีวิตนี้เราปฏิบัติธรรมแล้ว มีโอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลหรือไม่ ? ดูแค่กำลังใจที่จดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรมของเรา ก็สามารถให้คำตอบได้แล้ว เอาแค่ว่าถ้าเป็นการปฏิบัติธรรมตามเวลาอย่างตอนนี้ มีใครที่มาถึงก่อนเวลาบ้าง ? มีใครที่มาไม่เคยทันเวลาบ้าง ? แค่นี้เราก็รู้แล้วว่า โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลของเรามีไหม ? เพราะว่าบุคคลที่บารมีเข้มข้น ทำอะไรจะมีสติจดจ่อกับสิ่งนั้นอยู่เสมอ ก็จะไม่พลาดเวลาไปแบบนั้น

เรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงเป็นการวัดบารมีของเราที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าเรารู้วิธีวัดหรือไม่ ? หลายต่อหลายอย่างในการแสดงออก เราจะเห็นว่า คำพูดและการกระทำของเรา ไม่ได้ไปด้วยกัน อย่างเช่นบอกว่า ปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพาน แต่ว่าการปฏิบัติธรรมแค่ช่วงประมาณ ๒ ชั่วโมง เราเองก็มาไม่ทันเสียแล้ว แล้วลักษณะอย่างนี้ โอกาสที่เราจะได้มรรคได้ผล ก็เป็นไปโดยยาก

เถรี
21-12-2022, 19:02
โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเรา ส่วนใหญ่แล้วที่บวชเข้ามา ก็เพราะว่ามีหลวงปู่องค์นั้น มีหลวงพ่อองค์นี้ เป็น "ไอดอล" ของตนเองอยู่ อยากจะเป็นอย่างท่านบ้าง อยากทำได้อย่างท่านบ้าง ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ "ได้แค่อยาก" เพราะว่าอยากแล้วไม่พยายามทำให้เต็มที่ เป็นแค่ความอยาก ที่ไม่ได้สอดคล้องกับการกระทำของเราเลย

ถ้าอยากดีต้องเร่งทำดีให้มาก ประมาณว่าวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง ก็อยากจะทำสัก ๒๕ ชั่วโมง ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง พยายามอู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้เหลือเวลาในการปฏิบัติธรรมให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ ถ้าลักษณะอย่างนี้ ชาตินี้ก็ไม่ต้องหวัง ชาติหน้าก็ยังไม่ต้องหวัง คงต้องรอกันอีกนานแสนนาน..!

ดังนั้น..ไม่ใช่ว่าเราอยาก แล้วปล่อยให้ความอยากผ่านไปเฉย ๆ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่ปฏิบัติธรรมมีมากเหมือนขนวัว วัวทั้งตัวก็น่าจะมีขนเป็นแสนเส้น แต่บุคคลที่สามารถเข้าถึงมรรค ถึงผล มีจำนวนเท่ากับเขาวัว วัวทั้งตัวมีเขาแค่ ๒ ข้าง ต่อให้พิลึกพิลั่น พิสดารขนาดไหน ก็น่าจะมีไม่เกิน ๓ ข้าง แล้วคิดดูว่า ถ้าเรายังไม่เพียรพยายาม โอกาสของเราจะมีหรือไม่ ?

เถรี
21-12-2022, 19:04
ตัวเราทุกวันนี้เหมือนกับคนติดคุก แล้วเป็นคุกที่ผู้คุมไม่กลัวว่าเราจะแหกคุกด้วย เพราะฉะนั้น..ใครจะมีวิธีการแหกคุกแบบไหน ผู้คุมไม่ใส่ใจทั้งนั้น ทำได้ทำไป แต่พวกเราแทนที่จะเร่งรีบขุด เร่งรีบเจาะเพื่อหาทางออกจากคุก เรากลับทำบ้างนอนบ้าง เหมือนอย่างกับกลัวตัวเองจะพ้นคุก แล้วแบบนี้จะมีโอกาสพ้นไหม ?

การปฏิบัติธรรมทุกระดับ ต้องมีปัญญาเป็นเครื่องประกอบทั้งสิ้น ส่วนใหญ่แล้วพวกเราขาดปัญญา โดยเฉพาะปัญญาในการปฏิบัติธรรม ประมาณว่าเถรตรงเกินไปบ้าง โง่จนสุนัขไม่รับประทานบ้าง ถ้าหากเรารู้จักพินิจพิจารณาเราจะเห็นว่า เอาแค่ประชากรบ้านเรา มีราว ๆ ๖๕ ล้านคน ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ ๗ แสนกว่าคน บุคคลที่เข้าวัดปฏิบัติธรรมจริง ๆ มีไม่ถึงล้านคน ต่อให้มีถึง ก็แปลว่าหกคนครึ่งจะมีคนเข้าวัดแค่หนึ่งคนเท่านั้น แล้วบุคคลที่เข้าวัด ก็ยังมีหลายประเภท

ประเภทที่ ๑ วันก่อนเจอเยอะมาก คือ ไปเอาหวย
ประเภทที่ ๒ ไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าเคยไปวัดนี้มาแล้ว
ประเภทที่ ๓ ไปเอาวัตถุมงคล
ประเภทที่ ๔ ไปเพื่อเอาธรรมะ
แล้วก็ยังมีประเภทที่ ๕ ไปเพราะเพื่อนชวน ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำไม ? เพื่อนชวน รักเพื่อน เลยไปกับเพื่อนด้วย..!?

เถรี
21-12-2022, 19:05
เราจะเห็นว่าแม้แต่บุคคลที่เข้าวัด ก็ยังแบ่งออกเป็นหลายระดับกำลังใจ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่พวกเราทั้งหลายจะแย่งชิงโควต้าในการเข้ามรรค เข้าผลจึงมีสูงมาก เพราะว่าบุคคลที่เข้าวัดน่าจะมีถึง ๘๐ % ที่ไม่ได้ไปเพราะตั้งใจจะไปฟังธรรมหรือไปปฏิบัติธรรม แต่ไปด้วยสาเหตุต่าง ๆ อย่างที่ว่ามา ส่วนบรรดา ๒๐ % ที่ไปฟังธรรมไปปฏิบัติธรรมนั้น ก็ยังมีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ กันไป อย่างเช่นว่า บนเอาไว้ ถึงเวลาต้องเข้าวัดแก้บน ไปนุ่งขาวห่มขาว ถือศีล ๗ วัน ก็ยังดีนะ..ยังอุตส่าห์บนไว้ว่าจะเข้าวัด

อีกประเภทหนึ่ง ไปเพราะว่าได้ยินว่าหลวงปู่ หลวงพ่อ เจ้าอาวาสท่านเก่ง อยากจะปฏิบัติตามท่าน แต่คราวนี้ก็ต้องมาดูว่า กำลังใจในการปฏิบัติธรรมกับความต้องการของตนเอง ไปในแนวเดียวกันหรือเปล่า ?

มีอีกประเภทหนึ่ง ไปวัด ถือศีล ปฏิบัติธรรม เป็นแฟชั่น สมมติว่าตอนนี้ดารานิยมเข้าวัด นางงามนิยมเข้าวัด เราก็เข้าบ้าง โดยที่ไม่ได้รู้ว่าเขาเข้าไปทำอะไรบ้าง เรารู้แต่ว่าเป็นแฟนชั่น อยากจะเข้าตามไปด้วย..ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

เถรี
21-12-2022, 19:07
ดังนั้น..ถ้าหากว่าอยู่ในจำนวน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วยังมีแต่คนประเภทนี้ไปอีก แล้วเราลองมาคิดดูว่า บุคคลที่เข้าวัดเพื่อมรรคเพื่อผล จะเหลือสักเท่าไร ? ก็เหลือแค่หยิบมือเดียว ที่บอกว่าบุคคลที่ปฏิบัติธรรมเปรียบเหมือนขนของวัวทั้งตัว บุคคลที่เข้าถึงธรรมเปรียบเหมือนเขาของวัวตัวนั้น ดูท่าว่ายังจะมากเกินไป หรือจะเปรียบกับ "ตัวเดียวอันเดียว" ของวัวตัวนั้นแทน !!?

ถ้าหากว่าใครก็ตาม มุ่งหวังการปฏิบัติธรรม ดูแค่กำลังใจเหล่านี้ เราก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่า ถ้าหากว่ามรรคผลมีโควต้าเหมือนกับการสอบบรรจุข้าราชการ ตำแหน่งว่างก็มีเพียบเลย แต่ว่าหาคนสอบไม่ได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคุณสมบัติไม่ถึง เนื่องจากว่าทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย ไม่สมกับการที่เราตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ในเมื่อโควต้าว่างขนาดนั้น ถ้าเราเพิ่มความตั้งใจเข้าไปสักหน่อย ก็น่าจะไม่พ้นมือเราไปได้

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเคยขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก โดยเฉพาะในช่วง "วันโกน" ของโลกมนุษย์ ข้างบนเขามีการประกาศคุณงามความดีของบุคคล ที่ปฏิบัติในทาน ในศีล ในภาวนา ถ้าหากว่าวันไหนมีคนทำความดีมาก เหล่าเทวดา นางฟ้า ก็ดีอกดีใจว่า เราจะได้เพื่อนจำนวนมาก เพราะว่าเขาทั้งหลาย ย่อมมาเกิดในสุคติภพเช่นเดียวกับพวกเรา แต่ส่วนใหญ่แล้วก็คือ เทวดา นางฟ้า นั่งหงอยเหงาเศร้าซึม เพราะว่าคนไปเดินห้างมากกว่าไปเข้าวัดทำความดีกัน..!

เถรี
21-12-2022, 19:08
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าสมมติว่าเราปฏิบัติธรรมแล้ว มีบุคคลคอยดูแลคอยส่งเสริม ช่วงนี้ถือว่าเป็นโอกาสทองเลย เหมือนอย่างกับว่านักกีฬามีน้อย แต่พี่เลี้ยง หรือว่าโค้ชมีมาก ก็อาจจะหนึ่งคนเจอพี่เลี้ยงหรือโค้ชช่วยกันหนุนช่วยกันดันสัก ๕ คน ๑๐ คน..! ไม่ใช่ประเภทนักกีฬา ๑๐ - ๒๐ คนต่อพี่เลี้ยง ๑ คน หรือโค้ช ๑ คน ถ้าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ โอกาสที่เราปฏิบัติธรรมแล้วทรงความดีได้ก็จะมีสูงมาก เพราะว่าคนเอาใจช่วย คอยลุ้น มีมากเป็นพิเศษ

บางทีเรื่องที่พูดนี้ก็ฟังดูเพ้อเจ้อนิดหน่อย แต่เขาเรียกว่าเพ้อแบบมีหลักการ เพราะว่าเคยเห็นมาด้วยตนเอง ว่าแต่ละท่าน แต่ละคน กว่าจะหลุดลงมาได้ ก็ต้องไปขอเทวดาท่านโน้น ขอนางฟ้าท่านนี้ ช่วยเป็นพี่เลี้ยงดูแลให้ในระหว่างที่อยู่โลกมนุษย์ จะได้ไม่หลงทางจนกลับไม่ถูก

บางคนจะเห็นว่าบางทีเราก็อยากทำชั่วนะ แต่ทำไมหวาดระแวงไปหมด เหมือนกับมีคนคอยจ้องอยู่ แล้วในที่สุดก็ทำไม่ได้ ทำไม่ลง แต่ก็อีกจำนวนมาก ที่หน้าด้านทำกันได้ อยากจ้องก็จ้องไป..!

เถรี
21-12-2022, 19:14
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราเอามาใช้ในทางที่ถูก เราก็จะมีกองหนุนที่ช่วยเหลือเราได้มากเป็นพิเศษ แต่ว่าเราต้องไม่ลืมอุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วย อย่างที่พวกเราอุทิศว่า "ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า" ก็คือท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่ว่ามานี่เอง

คราวนี้ในส่วนที่ว่ามาทั้งหมด ก็เพื่อให้พวกเราลองดูกำลังใจของเราเอง ว่าจัดอยู่ในประเภทไหน ?

ประเภทมานั่งรอเวลาปฏิบัติธรรม
หรือว่าประเภทค่อย ๆ มา
หรือว่าประเภทรอให้ปฏิบัติไปแล้วครึ่งหนึ่ง ค่อยโผล่มา
หรือว่าเป็นประเภทมาเอาวินาทีสุดท้าย..กลัวตกขบวน..!
หรือไม่ก็ประเภทอ้างว่ามีงาน ไม่มาเสียเลย

แล้วเราก็สามารถที่จะวัดได้ว่า ตัวเราเองนั้นสมควรหรือไม่สมควรอย่างไร ต่อการบรรลุมรรคบรรลุผล ? ต่อการปฏิบัติธรรมแล้วจะสำเร็จสมปรารถนาหรือไม่ ?

ก็ฝากเอาไว้เป็นข้อคิด และแนวทางในการสังเกตของตนเอง และคนอื่น แต่ทางที่ดีที่สุด ให้ดูเฉพาะตนเองก็พอ ถ้าดูคนอื่นเมื่อไร ก็เกิดกิเลสเมื่อนั้น..!

เถรี
22-12-2022, 23:58
ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๕

งานบิณฑบาตถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ณ ที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิพรุ่งนี้ เขาต้องการพระ ๘๙ รูป ตามพระชนมายุของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วก็มักจะขอวัดท่าขนุน ๔๐ รูป..! ที่เหลือให้ทั้งอำเภอก็ไปเฉลี่ยกัน

เรื่องของจำนวนพระในต่างจังหวัด ส่วนใหญ่เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็เหลือแต่เจ้าอาวาส หรือไม่ก็เจ้าอาวาสกับสามเณร ๑ - ๒ รูป สมัยก่อนที่อาตมภาพจะมาเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ เวลาชาวบ้านนิมนต์พระ ๙ รูป ต้องไปยืมวัดข้างเคียงอีก ๒ วัด ก็คือพระจะมีครบ ๙ รูปก็ยังยาก

เรื่องนี้บางคนบอกว่า "พระอาจารย์เล็กบารมีดี มีบริวารเยอะ" กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ใช่ หากแต่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติของเราเอง คือทำอย่างไรให้ญาติโยมเขาเห็นว่า "พระวัดนี้ควรที่จะใส่บาตร" เพราะว่าจากที่บวชมา ๓๗ ปี ขึ้นปีที่ ๓๘ เคยมีประสบการณ์ชัดเจนมาก ก็คือเห็นว่าเวลาพระวัดหนึ่งเดินผ่านหน้า โยมอุ้มขันข้าวหันหลังให้..! พออาตมภาพเดินไปถึงค่อยหันกลับมาใส่ นี่ถ้าหากว่าเป็นอาตมาภาพเจอแบบนั้นเข้า ก็นั่งร้องไห้ตรงนั้นเลย..!

เหตุเพราะว่าวัดนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพระต่างด้าว ซึ่งกิริยาอาการต่าง ๆ ไม่ค่อยเรียบร้อยในสายตาของพวกเรา ถ้าหากว่าถามว่าท่านผิดศีล ผิดธรรมอะไรไหม ? เรื่องนั้นเราไม่รู้รายละเอียด แต่ว่าจริยาความประพฤตินั้น จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ผิดพระวินัย เพียงแต่ว่าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่านั้น แสดงว่าข้อเรียกร้องของโยมมีเยอะมาก ก็คือถ้าไม่ถูกตา ก็พลอยไม่ถูกใจ พอไม่ถูกใจ ก็ไม่ใส่บาตรให้กิน..!

เถรี
23-12-2022, 00:03
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ถึงได้บอกว่า "เราเป็นพระเป็นเณร ต้องระวังอยู่ตลอดเวลา อยู่คนเดียวต้องทำตัวเหมือนกับอยู่หลายคน ระมัดระวัง กาย วาจา ใจ ให้ดี อยู่หลายคนต้องทำตัวเหมือนกับอยู่คนเดียวได้" ก็คือถึงจะอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก ก็ต้องอยู่กับความสงบภายในของเราได้

ท่านบอกว่าเพราะว่า "พระเณรจะอยู่ในสายตาของชาวบ้านตลอดเวลา" พลาดเมื่อไรก็เยินเมื่อนั้น เราทำดีเป็นร้อยครั้ง..เขาจะชมสักครั้งก็ยาก แต่ถ้าเราพลาดครั้งเดียว..จะโดนด่าไปหลายปี..!

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่พระเณรเราต้องพึงสังวรให้จงหนัก ไม่ใช่ว่าทำอะไรก็ได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่ามีพระเณรอยู่ด้วยมาก เพราะว่าพระอาจารย์เล็กบารมีดี..ไม่ใช่ เพียงแต่ว่ากระผม/อาตมภาพได้รับคำสรรเสริญว่า "ดุกว่าหมาอีก" ในเมื่อโยมเขาเห็นว่าเอาลูกเขาอยู่ ก็เลยส่งลูกมาบวชด้วย จึงมีพระเณรค่อนข้างจะมาก แม้ว่าจะออกพรรษาแล้ว ก็ยังมีถึง ๔๐ กว่ารูป

ต้องบอกว่า สำคัญตรงเจ้าอาวาสหรือพระอุปัชฌาย์ ว่าจะเข้มงวดกับพระเณรตัวเองเท่าไร หลายรายก็กลัวว่า ถ้าเข้มงวดแล้ว พระเณรจะไม่อยู่ด้วย กระผม/อาตมภาพออกระเบียบวัดครั้งแรกที่เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ในขณะนั้น พอเห็นเข้าก็บอกว่า "อาจารย์เล็ก เดี๋ยวก็ได้อยู่คนเดียว..!" ก็คือในระเบียบวัด ๒๕ ข้อนั้น ระบุเอาไว้เลยว่า ถ้าพลาดเมื่อไรโดนไล่ออกเลย แต่ปรากฏว่าท่านทำนายผิด พอเจอ "หมูไม่กลัวน้ำร้อน" ญาติโยมกลับชอบ ส่งลูกมาบวชกันเยอะขึ้น..!

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันพ่อแห่งชาติ ณ วัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ - วันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)