View Full Version : ถาม  ถาม  ถาม
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าว่าคนนี้เป็นโสดาบัน ?
ตอบ : ก็ต้องเป็นโสดาบัน
ถาม : ถ้าเรามีสติ  เราจะมองเห็นทุกอย่างเป็นธาตุ  ๔  ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องมีปัญญาด้วย
ถาม :  พระอริยเจ้าท่านทุกข์หรือไม่ ?
ตอบ : พระอริยเจ้าท่านทุกข์แต่ร่างกาย ใจท่านไม่ทุกข์หรอก อย่างเวลาท่านปวดเมื่อยขา   ท่านกลับพอใจเสียด้วยซ้ำ  ที่ทำให้รู้ว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์
ถาม : ที่เขาบอกว่าอมปรอทแล้วเหาะได้ จริง ๆ แล้วปรอทนี่ช่วยให้เหาะได้หรือคะ ?
ตอบ :  แท้จริงแล้วเขาใช้กำลังของคนที่เหาะเองต่างหาก เพราะกว่าจะทำปรอทสำเร็จได้ ต้องใช้สมาธิมาก ถ้าทำสำเร็จก็ได้อภิญญาดี ๆ นี่เอง
ถาม :  ธรรมสังเวช คืออะไร ?
ตอบ :  ธรรมสังเวช คือ สลดใจกับสิ่งที่เราเห็นตามสภาพความเป็นจริง อย่างเราก็สลดใจว่ากิเลสมันแรง
ถาม : หวังว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่รู้สึกแบบนี้
ตอบ :  ได้แต่หวังว่า..จะเป็นกำลังใจให้ก็แล้วกัน
ถาม : เวลาผมนั่งสมาธิ เหมือนกับเข้าสมาธิลึก ๆ อยู่อย่างนั้นครับ  สงสัยว่าสมาธินี้เราจะสามารถดึงมาใช้งานได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ :  ได้..ตอนนั้นสมาธิกำลังทำงานอยู่อย่างเต็มที่เลย การใช้กำลังสมาธิที่เราต้องการก็เพื่อความสงบของใจ ใจจะต้องสงบได้  รัก  โลภ โกรธ  หลง จะต้องหมดไป ตอนนั้นสมาธิกำลังทำหน้าที่กด รัก โลภ โกรธ หลง อย่างเต็มที่   กำลังทำหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว และเราได้ใช้งานอยู่แล้ว  เพียงแต่ว่าเราไม่รู้เท่านั้นเอง
ถาม :  ช่วงนี้รู้สึกอารมณ์ฟุ้งซ่านตลอดเลย  พยายามจับลมหายใจแล้วก็รู้สึกอึดอัด  เลยต้องเลิก บางทีก็ภาวนาไม่ได้ บางทีก็ภาวนาคาถาเงินล้าน แต่ว่าท่องไม่จบ อึดอัดไปหมด
ตอบ : ให้ใช้คาถา อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง  ภาวนานำไปไม่กี่นาทีกำลังใจก็จะนิ่ง แล้วเราจะภาวนาอะไรต่อก็ได้   แต่ว่าให้ใช้คาถานี้ขึ้นต้นก่อน
ถาม : หนูดูรูป ทั้ง ๆ ที่เป็นรูปตัวเอง แต่หนูรู้สึกว่าไม่ใช่หนู  แล้วก็เกิดอาการร้องไห้ฟูมฟาย
ตอบ : เรียกว่า ปีติที่ได้เห็นธรรม เห็นความจริงว่า ไม่มีอะไรเป็นของเรา เป็นเรื่องปกติ
ถาม : เดี๋ยวนี้เห็นอะไรก็จะติดร้องไห้ ฟูมฟาย
ตอบ : ก็ปล่อยให้เต็มที่  ถ้าเต็มที่แล้วจะเลิก แต่ถ้ายังไม่เต็มที่ ถึงตรงนั้นเมื่อไหร่ก็จะเป็น
ถาม : ถ้าเคยมีชาติใดชาติหนึ่งที่เราเคยอธิษฐานร่วมกับใครไว้ ที่บอกว่าจะเกิดร่วมกันทุกชาติ แล้วถ้าเราหมดอายุขัยลงมาก่อน ส่วนเขาก็อยู่ข้างบน  แล้วเขาก็ยังตามเราอยู่ตลอด แล้วแบบนี้เราจะทำอย่างไรดีละคะ ?
ตอบ : บอกว่าตามมาได้  แล้วอย่าตามเฉย ๆ  ต้องช่วยให้ฉันรวยเร็ว ๆ ด้วย  ถ้าช่วยให้ฉันรวยไม่ได้อย่ามา   
ถาม : แต่หนูฝันเห็นเขามาทวงสัญญา
ตอบ : บอกว่าจะให้ทำตามสัญญาก็ได้  แต่ให้ทำอย่างที่ฉันว่ามาก่อน
ถาม : แต่หนูกลัวเขาค่ะ 
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็จงกลัวต่อไป..!
ถาม : ถ้าขออโหสิแล้วกรรม กรรมนั้นจะจบไปไหม ?
ตอบ : จบแล้วจบเลย นอกจากบางเรื่อง เพราะไม่ใช่ตามอโหสิกันได้ทุกคน และไม่ใช่อโหสิกันได้ทุกเรื่อง
ถาม : การใคร่ครวญในธรรม จัดเป็นธัมมานุสติหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นโดยตรงเลย
ถาม :  ถ้าอย่างนั้นเราควรใคร่ครวญในธรรมที่เป็นปัจจุบัน หรือว่าใคร่ครวญในธรรมที่เป็นอดีตด้วย ?
ตอบ : ใคร่ครวญในธรรมที่เป็นปัจจุบัน และในอดีตด้วย ว่าที่ผ่านมาเราทุกข์เพราะเหตุใด ? และตอนนี้หนุ่มหล่อในอดีตได้ตายกลายเป็นกระดูกไปแล้ว(หัวเราะ) และก็ใคร่ครวญถึงธรรมในอนาคตด้วย ว่าอีกต่อไปทุกสิ่งทุกอย่างเดี๋ยวก็ดับสลาย
ถาม : แล้วควรทำอย่างไร  เวลากลับไปจึงจะสามารถรักษาอารมณ์อย่างนี้ให้ต่อเนื่องไปได้ดีตลอด ?
ตอบ : มีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่เหลือบไปทางอื่น..ไปทางหนุ่ม ๆ
ถาม :  การที่จะละในอารมณ์อันเป็นกุศลและอกุศลก็ดี จะมีวิธีการปฏิบัติหรือพิจารณาอย่างไรเพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ?
ตอบ : ให้ละชั่วทำดี...ละชั่วทำดี...ละชั่วทำดี ไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาแล้วกำลังจะปล่อยของเขาได้เอง เหมือนคนเดินขึ้นบันไดก็ต้องเกาะราวบันได  พอถึงชั้นบนแล้ว ไม่มีใครเอาราวบันไดนั้นติดมือไปด้วย
ถาม :   เวลาที่ท่านสอนคนอื่น   บางคนท่านใช้วิธีเฆี่ยนแล้วเฆี่ยนอีก   แต่ทำไมบางคนท่านถึงได้ใจดีเมตตาเหลือเกิน ?
ตอบ : ตถตา เป็นเช่นนั้นเอง.. แล้วแต่วิสัย บางคนชอบกินแกงจืด  จะเอาแกงเผ็ดไปให้ เขาก็กินไม่ได้
ถาม : ทำบุญอย่างไรจึงจะได้อานิสงส์สูงสุด ?
ตอบ :  ปีติให้ได้มากที่สุด  ทำบุญแล้วเกิดอาการปีติให้มาก ๆ  เอาให้กระโดดโลดเต้น  ตีลังกาไปเลย (หัวเราะ)
ถาม :  ดอกบานไม่รู้โรยเอามาบวงสรวงได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้...โดยเฉพาะสีขาวกับสีม่วงได้สองทิศเลย
สีม่วงทิศใต้  สีขาวทิศตะวันตก สีแดงทิศเหนือ สีเหลืองทิศตะวันออก หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า การบวงสรวงทุกครั้งให้มีสีแดงติดไว้กับเครื่องบวงสรวงบ้าง เพราะว่าสีแดงเป็นเครื่องหมายของเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่ท่านมาสงเคราะห์
  
บอกไปแล้วก็ไม่จำ  เดี๋ยวก็มาถามใหม่  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่จำแต่ก็จะบอก ถือว่าตักน้ำรดหัวตอ ไม่งอกก็ไม่เป็นไร ให้เปียก ๆ บ้างก็ยังดี
ถาม : สงสัยว่าทำความดีขนาดไหน?  และอย่างไร ? จึงจะสามารถทำให้ทิพอาสน์ของท่านปู่พระอินทร์  แข็งกระด้างดั่งศิลา
ตอบ : ทำความดีขนาดไหน ? ก็ทำความดีขนาดพระโสดาบันขึ้นไป  ทำอย่างไร ? ก็ทำกุศลอันยิ่งใหญ่ในพุทธศาสนา
ถาม : ทำไมเวลาเขาอธิษฐานฤทธิ์ในกสิณ  เขาต้องถอยออกจากฌาน  ๔  มาอธิษฐานที่อุปจารสมาธิด้วยคะ ?
ตอบ : อ๋อ...ที่ถอยมาเพราะว่าถ้าอยู่ในฌาน  ๔  แล้วจะอ้าปากไม่ได้ คิดไม่ออก นิ่งอย่างเดียว (หัวเราะ)  แต่ถ้าคนที่คล่องเขาก็อธิษฐานตอนเป็นฌาน  ๔  นั่นแหละ
จริง ๆ แล้ว ทราบมาว่าการอธิษฐานจิตในกสิณนั้น หากเป็นผู้ที่คล่องในการเข้าฌาน ออกฌาน การลดกำลังของใจในระดับต่าง ๆ ของสมาธินี่จะไวแบบไม่ต้องคิด แค่มีดำริของจิต จิตก็ลดกำลังไปตามความต้องการเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว บางทีการนึกเป็นคำท่านว่า"ยังช้าไป"
ป.ล.ท่านใดทำได้กรุณาคอนเฟิร์มด้วยนะครับ
ถาม :  ท่านที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้นั้น  ต้องเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ :  ถ้าเป็นพระอนาคามีสุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญญโญ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้  ได้เฉพาะผลสมาบัติ  ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้ต้องเป็นพระอนาคามีปฏิสัมภิทาญาณขึ้นไปเท่านั้น เพราะต้องใช้ผลจากเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน จึงจำเป็นต้องได้สมาบัติ ๘ มาก่อน
ถาม :  ท่านที่ได้นิโรธสมาบัติ จะเข้าเป็นปกติหรือไม่คะ ?
ตอบ :  ท่านที่ได้นิโรธสมาบัติ ท่านจะใช้เป็นปกติ  นิดหน่อยก็เอา เพียงชั่วครู่นี่ท่านทำแน่ เพราะช่วยให้พักเหนื่อยได้ดี ที่กำหนดเวลา ๗ วัน ๑๕ วัน นั้น เป็นการเข้าเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยตรง จึงต้องใช้เวลามาก เพื่อผลแห่งอานิสงส์จะได้ตอบแทนแบบทันตาเห็น
ถาม :  ฌานสมาบัติกับผลสมาบัติ  ต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : ฌานสมาบัติ เป็นผลจากการเข้าฌานของปุถุชน(ฌานลาภีบุคคล)ทั่วไป ผลสมาบัติเป็นผลจากการเข้าฌานของพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
ถาม :  พระอริยเจ้าท่านเข้าผลสมาบัติเป็นปกติหรือไม่คะ ?
ตอบ :  พระอริยเจ้าท่านเข้าผลสมาบัติเป็นปกติ  แม้แต่พระอริยเจ้าที่ท่านเป็นสุขวิปัสสโก ก็ต้องพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนเข้าถึงฌานสมาบัติตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จึงมีกำลังพอที่จะตัดกิเลสได้ เมื่อท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณจึงเท่ากับเข้าผลสมาบัติไปด้วย
ถาม :  ตอนนั่งเรียน หนูเห็นอารมณ์ตัวรักเข้ามา เวลาที่เข้ามารู้สึกได้ชัดเจนเลยว่ามาเป็นกระแส ค่อย ๆ คืบคลาน แล้วแผ่ขยายลามไปเรื่อย ๆ กิเลสมีแบบเป็นกระแสได้ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : มี...ความผิดเพราะเรานั่นแหละ ที่ไปเผลอปล่อยให้มันเข้ามา  เวลามาให้หาทางหนี อย่าไปสู้ เพราะกำลังของเรายังสู้ไม่ไหว กำลังเขามีเป็นกองทัพ...มีเป็นหลายหมื่น  แต่เรามีแค่สองพัน จะไปไหวได้อย่างไร ?  ให้หาทางเลี่ยงไปก่อน
ถาม :  มันจะเข้ามาเหมือนมีตารางเวลาเลย มีเวลาประจำด้วย
ตอบ :  แสดงว่าพวกนี้น่าคบ เพราะตรงต่อเวลา  เราก็เลยคบมาเสียหลายชาติ (หัวเราะ)
ถาม :  เวลาที่มีเรื่องเข้ามาในใจ  ขณะนั้นเราไม่รู้สึกว่าโดนกระทบ   แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราปล่อยวางแล้วจริง ๆ ?
ตอบ :  สังเกตดูว่า  สิ่งนั้นที่เข้ามานั้น เรายังเก็บเอาไปคิดเวลาอื่นอีกหรือไม่ ?  ถ้าเก็บเอาไปคิดอีก แสดงว่าเป็นอารมณ์ฌาน แต่ถ้าเราไม่เก็บเอาไปคิดทีหลัง แสดงว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.