เถรี
25-07-2009, 09:49
ถาม : เราจะละอุปาทานที่อยู่ในใจเราได้อย่างไร ?
ตอบ : ใช้ สติ สมาธิ และปัญญา สติจะต้องรู้เท่าทันอยู่ ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร สมาธิต้องมีกำลังเพียงพอที่จะหักห้ามใจได้ ข้อสุดท้ายคือปัญญา รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง จิตก็จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แล้วถอนความอยากเสียได้
ถ้ายังไม่เห็นตามสภาพความเป็นจริง อย่างเช่นว่า ผู้หญิงเห็นผู้ชายยังหล่ออยู่ ผู้ชายเห็นผู้หญิงก็ยังสวยอยู่ แปลว่ายังโดนอวิชาบังเอาไว้ แต่ถ้าเรามองเข้าไปว่า เออ..นั่นสักแต่เป็นรูปเป็นนาม สักแต่ว่าเป็นธาตุ ภายในร่างกายก็มีแต่เครื่องจักรกล เต็มไปด้วยความสกปรก เห็นความเป็นจริง จิตก็จะคลายออกมา เพราะฉะนั้น...ต้องหลายอย่างรวมกัน ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ถาม : ต้องซ้ำไปเรื่อย ๆ หรือ ?
ตอบ : ต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแรก ๆ ก็อาจจะสะเทือนใจนิดหน่อย แต่พอปัญญามากขึ้น สะเทือนมากขึ้น บางอย่างถ้าหากปัญญาเราพร้อม กระทบทีเดียวจู่ ๆ นั่งน้ำตาไหลเลย สลดใจว่าทำไมก่อนหน้านี้เราไม่เห็น แต่ตอนนี้เห็น คนอื่นก็ว่าบ้า นั่งร้องไห้ทำไม
เราว่าเราเป็นเจ้าของร่างกายนี้ ที่จริงเป็นประสาทของร่างกายที่โยงติดกัน แต่ใจเราไปยึดว่าเป็นของเรา ก็เลยรับไปด้วยว่าเราเจ็บ เราปวด
ที่เคยเปรียบเอาไว้ว่า ร่างกายนี่คือรถ จิตก็เหมือนกับคนขับรถ แต่เราดันไปคิดว่า ร่างกายนี้คือเรา พอมาแยกออก รถส่วนรถ เราส่วนเรา รถชนโครมเข้า ซ่อมได้ก็ซ่อม ซ่อมไม่ได้ก็หาคันใหม่ อย่างนี้ก็จะไม่ไปยึดไปเกาะกับร่างกาย ไม่ใช่รถชนโครม โอ๊ย..รถของเราพังหมดแล้ว นั่นไปยึดอยู่
เรื่องของกายกับจิตที่ยึดเกาะเหนียวแน่นขนาดนั้น เพราะเราเกาะมาจนนับชาติไม่ถ้วน ใช้เป็นเครื่องอาศัยอยู่ในแดนนี้ ในเมื่อเราอาศัยมาชาติแล้วชาติเล่า กัปแล้วกัปเล่า ก็เลยยึดถือแน่นหนามาก กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ยึดมั่นไม่ยอมปล่อย ว่านี่..ตัวกูของกู..
ตอบ : ใช้ สติ สมาธิ และปัญญา สติจะต้องรู้เท่าทันอยู่ ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร สมาธิต้องมีกำลังเพียงพอที่จะหักห้ามใจได้ ข้อสุดท้ายคือปัญญา รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง จิตก็จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด แล้วถอนความอยากเสียได้
ถ้ายังไม่เห็นตามสภาพความเป็นจริง อย่างเช่นว่า ผู้หญิงเห็นผู้ชายยังหล่ออยู่ ผู้ชายเห็นผู้หญิงก็ยังสวยอยู่ แปลว่ายังโดนอวิชาบังเอาไว้ แต่ถ้าเรามองเข้าไปว่า เออ..นั่นสักแต่เป็นรูปเป็นนาม สักแต่ว่าเป็นธาตุ ภายในร่างกายก็มีแต่เครื่องจักรกล เต็มไปด้วยความสกปรก เห็นความเป็นจริง จิตก็จะคลายออกมา เพราะฉะนั้น...ต้องหลายอย่างรวมกัน ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ถาม : ต้องซ้ำไปเรื่อย ๆ หรือ ?
ตอบ : ต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแรก ๆ ก็อาจจะสะเทือนใจนิดหน่อย แต่พอปัญญามากขึ้น สะเทือนมากขึ้น บางอย่างถ้าหากปัญญาเราพร้อม กระทบทีเดียวจู่ ๆ นั่งน้ำตาไหลเลย สลดใจว่าทำไมก่อนหน้านี้เราไม่เห็น แต่ตอนนี้เห็น คนอื่นก็ว่าบ้า นั่งร้องไห้ทำไม
เราว่าเราเป็นเจ้าของร่างกายนี้ ที่จริงเป็นประสาทของร่างกายที่โยงติดกัน แต่ใจเราไปยึดว่าเป็นของเรา ก็เลยรับไปด้วยว่าเราเจ็บ เราปวด
ที่เคยเปรียบเอาไว้ว่า ร่างกายนี่คือรถ จิตก็เหมือนกับคนขับรถ แต่เราดันไปคิดว่า ร่างกายนี้คือเรา พอมาแยกออก รถส่วนรถ เราส่วนเรา รถชนโครมเข้า ซ่อมได้ก็ซ่อม ซ่อมไม่ได้ก็หาคันใหม่ อย่างนี้ก็จะไม่ไปยึดไปเกาะกับร่างกาย ไม่ใช่รถชนโครม โอ๊ย..รถของเราพังหมดแล้ว นั่นไปยึดอยู่
เรื่องของกายกับจิตที่ยึดเกาะเหนียวแน่นขนาดนั้น เพราะเราเกาะมาจนนับชาติไม่ถ้วน ใช้เป็นเครื่องอาศัยอยู่ในแดนนี้ ในเมื่อเราอาศัยมาชาติแล้วชาติเล่า กัปแล้วกัปเล่า ก็เลยยึดถือแน่นหนามาก กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ยึดมั่นไม่ยอมปล่อย ว่านี่..ตัวกูของกู..