PDA

View Full Version : ปกิณกธรรม ช่วงวันงานพุทธาภิเษกพระกริ่งสะท้านไตรภพ วันที่ ๒๑-๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๓


เถรี
26-08-2020, 06:16
(ก่อนวันงานพุทธาภิเษก)

เจริญพรญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน อยากจะถามว่า ยังสบายกันดีอยู่ไหม ? วันพรุ่งนี้ตามหลักโหราศาสตร์ที่อาตมาคิดเองจะเป็นวันเสาร์ห้า แต่คราวนี้ทางด้านปฏิทินราชการใช้วิธีคิดอีกแบบหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นว่าไม่ตรงกัน ซึ่งอาตมาได้ล็อกวันเอาไว้แล้วว่าเป็นวันไหว้ครูประจำปี ในเมื่อไม่ตรงกัน เพื่อความปลอดภัยในชีวิตก็อย่าไปใช้เลย เพราะว่าคนอาจจะสงสัยได้

พอดีทางด้านท่าน ดร.จักรกฤช ศีลาเจริญ ประธานมูลนิธิสามสมเด็จ ซึ่งรู้จักมักคุ้นกัน ท่านมาขออนุญาตสร้างพระกริ่งสะท้านไตรภพ และขอนำมาเสกวาระสุดท้ายที่วัดท่าขนุน อาตมาก็เหลือวันนี้วันเดียวให้ท่าน จึงบอกไปว่าเป็นวันที่ ๒๒ สิงหาคม และในเมื่อท่านจะสร้าง อาตมาเองเมื่อหล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงินแล้ว ก็ยังเหลือเงินชนวนอยู่อีก ๘๓ กิโลกรัมเศษ จึงขออนุญาตท่าน ดร.จักรกฤชว่า จะสร้างพระกริ่งและขอใช้ชื่อว่าพระกริ่งสะท้านไตรภพด้วย แต่จะเป็นแบบของวัดท่าขนุน ท่าน ดร.จักรกฤชก็ตกลง

อาตมาจึงให้ช่างเอาเนื้อชนวนหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงิน ไปหล่อเป็นพระกริ่งขึ้นมา ที่ท่านทั้งหลายกำลังจองกันอยู่ เป็นเนื้อชนวนล้วน ๆ ไม่ได้ผสมอะไรเลย ตอนหล่อบรรดาท่านผู้ไปควบคุมการหล่อเผ่นหนีจากวงตรงนั้นกันหมด บอกว่าพลังงานที่ลงมาแรงมากจนทานไม่ไหว โดยเฉพาะเวลาถ่ายรูปแล้วมีปรากฏการณ์พิเศษต่าง ๆ ขึ้นมาด้วย

เถรี
26-08-2020, 06:18
แล้วด้วยความที่คณะผู้จัดทำอยากจะได้อะไรที่ดี ๆ มาก ๆ ตามประสาคนโลภ..! ก็ขออนุญาตนำไปเข้าพิธีที่มณฑปหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท อาตมาเองนั้นก็แล้วแต่คนสร้าง พูดง่าย ๆ ก็คือ ตามใจคนจัด ขัดใจคนดู อะไรประมาณนั้น

ปรากฏว่าตอนเข้าพิธีเสก หลวงพ่อกวยท่านบอกว่า “ไม่มีอะไรจะเติมให้แล้ว เต็มหมดตั้งแต่แรกแล้ว” เนื่องเพราะว่าตอนที่หล่อพระพุทธลีลาประทานพรเนื้อเงิน พระท่านก็เสด็จมาสงเคราะห์ ตอนหล่อพระกริ่ง พระท่านก็เสด็จมาสงเคราะห์

และโดยเฉพาะพระรุ่นนี้ ตอนแรกอาตมาตั้งใจบรรจุเกศาของตนเองเป็นรุ่นแรกเลย ปกติแล้วไม่เคยเอาเกศาตัวเองไปทำพระ ก็ปรากฏว่ามีคำสั่งมาว่าให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุด้วย เมื่อกราบเรียนถามถึงเหตุผล พระท่านบอกว่า พระบรมสารีริกธาตุถ้านับเป็นวัตถุมงคล ก็เป็นวัตถุมงคลที่ใกล้ชิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่สุด เพราะว่าคืออัฐิของพระองค์ท่านเอง

เถรี
26-08-2020, 06:20
ในเมื่อทราบเหตุผลเช่นนั้น ก็ไปบอกทางช่างว่า ให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุด้วย แล้วอาตมาก็ขนพระบรมสารีริกธาตุของตนเองไปให้ ปรากฏว่าพอช่างเห็นเข้าบอกว่า “ขออนุญาตไม่คืนนะครับ” พูดง่าย ๆ ก็คือ บรรจุเหลือเท่าไรเขาอมหมด..!

เหตุที่ช่างขออนุญาตไม่คืน เพราะว่าพระบรมสารีริกธาตุของแท้กับของเทียมต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว ของแท้ถึงเหมือนเม็ดข้าวสารแตก ข้าวสารหัก เหมือนกับปลายข้าวก็จริง แต่จะมีรัศมีสดใสแวววาวมาก ส่วนของเทียมที่ทางท่าพระจันทร์ทำขึ้นมาเป็นคันรถ ๆ นั้นดูไม่ได้เลย เหมือนกรวดเหมือนทรายธรรมดา

ด้วยความที่ว่าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้วตามด้วยเกศา พระรุ่นนี้ร้อยละ ๙๙ เขย่าแล้วกริ่งจะไม่ดัง เพราะว่าเกศาอาตมาอุดแน่นไปหน่อย ...(หัวเราะ)... หลายท่านบอกว่า โบราณเขาถือเคล็ด พระกริ่งถ้าเขย่าไม่ดังแสดงว่าขลังมาก ระดับมหาอุดหยุดปืนเลยทีเดียว รุ่นนี้ไม่ได้ขลังอะไรมากมายหรอก แค่อัดเกศาเข้าไป กริ่งก็เลยไม่ขยับ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าของใครเขย่าแล้วดัง เอามาแลกองค์ที่ไม่ดังได้นะ..!

เถรี
26-08-2020, 06:21
คราวนี้การที่นำของเข้าพิธีในวันพรุ่งนี้ ก็ต้องดูคณะของท่าน ดร.จักรกฤชว่า ท่านจะนำวัตถุมงคลมาถึงเวลาไหน เพราะว่าท่านเป็นเจ้าของงาน อาตมาเองก็เป็นแค่ผู้อาศัยเหมือนกัน แต่ว่านัดแนะกันไว้แล้วว่าอย่างสายที่สุด ๐๙.๐๙ น. ต้องปลุกเสกได้ ถ้าช้ากว่านั้นจะจ่ายของไม่ทัน เพราะว่าญาติโยมมารอรับกันมาก

โดยเฉพาะวัตถุมงคลระยะหลัง ๆ ของวัดท่าขนุน ถ้าออกในเว็บ ก็มีการขนเอาลูกเด็กเล็กแดงมาช่วยกันจอง ถ้าให้จองนอกเว็บแบบวันนี้ ก็มีการจ้างคนมาเข้าคิวจอง คราวที่แล้วสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตเนื้อทองคำกับเนื้อเงิน เขาไปกว้านเอามอเตอร์ไซค์วินมาหมดเลย แต่ละคนก็มายืนงง ๆ ว่านี่คืออะไร ? ทำไมเขาจ้างเราตั้งแพงให้มาช่วยจอง ?

เถรี
26-08-2020, 06:23
สำหรับวันนี้ก็มีรายหนึ่งมาจากหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรีนี่เอง จ้างเด็กมา ๕๐ คน เหมารถมา ได้ยินเด็กบอกว่าเดี๋ยวต้องไปขึ้นค่าแรง..! ก็ดีเหมือนกัน คืออาตมาไม่ได้หวง ไม่ได้ห้าม ถือว่าใครเข้าคิวทันก็เป็นสิทธิ์ของคนนั้น เพราะว่ากติกาของวัดท่าขนุนชัดเจนมาก "ไม่มีเส้น..ใครมาก่อนได้ก่อน" ดังนั้น..ในเมื่อคุณมีความสามารถ หาเม็ดเงินมาได้ ๕๐ กิโลกรัม หาเด็กมาได้ ๕๐ คน ก็แล้วแต่คุณเถอะ จองแล้วจะเอาไปขายแพงเท่าไรก็เรื่องของคุณ เพราะว่าอาตมามีหน้าที่แค่ทำ

แต่ขอให้รู้ว่า ถ้าพระกริ่งสะท้านไตรภพของทางมูลนิธิสามสมเด็จอาจจะหน้าตาต่างกันไป แต่เป็นพระกริ่งรุ่นเดียวกัน ของวัดท่าขนุนนั้นมีการยิงเลเซอร์ที่ใต้ฐาน ตอนแรกอาตมาว่าจะตอกโค้ดเพิ่มด้วย แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ขนาดนั้นก็ควรที่จะพอแล้ว เพราะว่าอันดับแรก...เป็นเนื้อชนวนหลวงพ่อเงินล้วน ๆ ที่อื่นเขาไม่ค่อยกล้าลงทุนกันหรอก กลัวขาดทุน ประการที่สอง...การบรรจุกริ่งของเรานั้น เมื่อบรรจุแล้วขัดฐานเรียบก่อนที่จะยิงเลเซอร์ ถ้าตาไม่ดีจะไม่เห็นเลยว่าบรรจุตรงไหน ประการสุดท้าย...ส่วนใหญ่กริ่งเขย่าไม่ดัง ถ้าดังให้ระแวงไว้ก่อนว่าเป็นของปลอม ...(หัวเราะ)...

เถรี
26-08-2020, 09:33
(มีผู้ถวายวัตถุมงคล) ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นแฟนโขนนี่จะไม่รู้เลยนะว่าเป็นรูปใคร รู้จักไหม ? ท้าวเวสสุวรรณ...เจ้าพ่อยักษ์ ถ้าพวกเราไม่ชินกับโขนนี่ดูไม่ออก ถ้าเป็นลิงก็ต้องดูว่าสีอะไร ใช้อาวุธอะไร เพราะว่าพญาลิง ๑๘ มงกุฎ ...นิลเอกนิลนนท์นิลขัน สุรเสนสุรกานต์ทหารใหญ่ อีกชามพูวราชฤทธิไกร มีอายุได้โกฏิปีปลาย... อันนั้นพวกเรามักจะแยกไม่ออกหรอก

ยกเว้นพญาลิงบางตัวใส่มงกุฎเพราะว่าเป็นเจ้าเมือง อย่างพญาสุครีพ พญาพาลี แต่คราวนี้ก็ยังต้องมาแยกกันว่า ถ้าเป็นพญาสุครีพจะผิวกายสีแดงเพราะว่าเป็นลูกพระอาทิตย์ พญาพาลีผิวกายสีเขียวเพราะว่าเป็นลูกพระอินทร์ หน้าตาก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ ดังนั้น..ในส่วนนี้ถ้าโยมไม่ได้จำแม่นขนาดอาตมาก็จะลำบากหน่อย

คราวนี้เราดูว่าพญายักษ์ แต่พอเขาปั้นมาก็คือเทวดาดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ปั้นหน้าเป็นยักษ์ ถ้าตะบองเกลียวสั้นก็จะเป็นท่านท้าววิรุฬหก ท่านจะล่ำสัน ก็คือมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ ถ้าท่านท้าวเวสสุวรรณก็หุ่นอย่างนี้ และที่ถือเป็นตะบองยาว

เถรี
26-08-2020, 09:34
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้จะภูมิใจดีหรือเปล่า ? ก็คือระยะนี้เขาบอกกันว่า วัตถุมงคลที่พระอาจารย์เล็กเสกจะขายได้ คนอื่นเสกขายไม่ออก อาตมาก็ยังขำ ๆ อยู่เหมือนกันว่า พระอาจารย์เล็กเสกขายได้และขายแพงด้วย แต่ที่อื่นนี่เขาต้องไล่แจก ก็ต้องบอกว่าคนเราทำบุญมาต่างกัน

อาตมาสร้างวัตถุมงคลทุกครั้งวัตถุประสงค์ต้องชัดเจนมาก และโดยเฉพาะต้องได้รับอนุญาตจากพระท่านถึงจะทำ อย่างการสร้างพระพุทธลีลาประทานพรองค์เล็กที่เปิดจองเป็นการทำบุญกฐิน นั่นอาตมาไม่ได้สร้าง แต่ว่าท่านอาจารย์พระมหาเอเป็นคนสร้าง โดยไปขออนุญาตพระเองแล้วนำมาเข้าพิธี เพราะท่านเห็นว่าหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพรนั้น เคยมีส่วนเนื่องกับอาตมาในอดีต ถึงเวลาท่านก็มักจะมาสงเคราะห์เป็นพิเศษ

เถรี
26-08-2020, 09:36
ท่านอาจารย์พระมหาเอก็เลยเสียดายแบบองค์ใหญ่ว่าสวยมาก จึงขอย่อลงมาเป็นองค์เล็ก ปรากฏว่าคนจองเกินไปเป็นจำนวนมาก แล้วส่วนใหญ่ก็จองเอาไปขาย จึงมีหลายท่านที่ทิ้งจองเพราะว่าถึงเวลาแล้วขายไม่ได้ ขายไม่ทัน เนื่องจากว่าไปตั้งราคาไว้สูงมาก แล้วของก็ยังไม่ได้อยู่ในมือตัวเอง เป็นลักษณะของการจับเสือมือเปล่า

อาตมาก็เลยแจ้งทางทีมงานเว็บวัดท่าขนุนว่า ถ้าใครทิ้งจองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ให้จัดการแบนไปตลอดชีวิตเลย..! แล้วถ้าใครสมัครในยูสเซอร์เนมใหม่ แต่ไอพีเก่าก็แบนต่อไปด้วย..! ถ้าไม่มีบทลงโทษแบบนี้เขาก็จะไม่เข็ด เรียกง่าย ๆ ว่าหาประโยชน์จากคนอื่น โดยเอาวัดท่าขนุนเป็นเครื่องมือหากินประการเดียว และโดยเฉพาะไปตัดโอกาสของคนอื่นที่เขาจะจองเพื่อเอาไปบูชาด้วยความศรัทธา

เพราะฉะนั้น..ให้สังเกตว่าตั้งแต่การจองพระพุทธลีลาประทานพรก็ดี สมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตก็ดี เจ้าหน้าที่เว็บวัดท่าขนุนจะลงเอาไว้ว่า ถ้าท่านทิ้งจองจะโดนแบนตลอดชีวิต จัดอยู่ในกลุ่มพิเศษ ต้องได้รับการดูแลต่างจากคนอื่นเขา..!

ดังนั้น..ใครยังมีความประพฤติเช่นนี้อยู่ ขอให้ทำไปเรื่อย ๆ จะดูว่าท่านสามารถหาเครื่องคอมพิวเตอร์มาเพื่อสร้างยูสเซอร์เนมใหม่ได้สักกี่เครื่อง ? เพราะว่าถ้าซ้ำเครื่องเดิมเมื่อไร ไอพีเดิมโผล่มาก็จะโดนแบนทันที..! อาตมาไม่ได้โหด แต่ไม่ชอบคนที่โกงไปโกงมา ชอบแต่คนตรงไปตรงมา ถ้าจะหากินกับทางวัดก็ควรเอาแค่พอประมาณ ไม่ใช่เล่นกันทีหนึ่งรวยไปเลย โบราณเขาบอกว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน อาตมาเองก็ไม่ค่อยชอบคนที่เอาเปรียบ แล้วไปตัดโอกาสคนอื่นเขา

เถรี
26-08-2020, 09:37
เหลือเวลาไม่กี่นาที ใครที่เอาเม็ดเงินมาแลกไม่ทันก็กลับไปนอนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ที่วัดท่าขนุนของเราเอางานสงฆ์เป็นใหญ่ การสวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานเป็นหลัก งานอื่นถือว่ารอได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าถึงเวลาที่กิจกรรมของวัดมาถึงรอบ ก็จะดำเนินการไปเลย โดยทิ้งงานอื่นไว้ก่อน

ต้องบอกว่าไม่กลัวโยมจะไม่จอง หรือไม่กลัววัตถุมงคลจะขายไม่ออก วัตถุมงคลวัดท่าขนุนนี่สร้างสถิติอนาถใจให้เจ้าอาวาสมาตั้งแต่รุ่นแรก ๆ แล้ว คือถ้าเจ้าอาวาสอยากได้วัตถุมงคลรุ่นไหนก็ต้องบูชาเองด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มี ออกมาเมื่อไรเป็นหมด..!

เถรี
26-08-2020, 09:38
(กล่าวตักเตือนโยม) เวลาถ่ายรูปไปลงโซเชียลอย่ายก ๓ นิ้วนะ จะพาให้วัดซวยไปด้วย..!

เถรี
26-08-2020, 09:41
เดี๋ยวพอพระทำวัตรค่ำเสร็จ ศาลาหลังนี้ก็จะปิดไปเลย ญาติโยมไม่มีโอกาสได้นั่งแช่ เหตุเพราะว่าทรัพย์สินในศาลานี้ราคาหลายร้อยล้านบาท มีระบบป้องกันทั้งสัญญาณภัย ทั้งวงจรปิด ทั้งคนเฝ้า โดยเฉพาะบางวันวิ่งกันหูตาเหลือก เพราะว่าสัญญาณภัยดังขึ้น สรุปว่าสาเหตุเกิดจากจิ้งจกไปตัดระบบพอดี...! ซึ่งความจริงถ้าคลานอยู่ตามปกติ ระดับจิ้งจกนี่สัญญาณจะไม่ดัง แต่ดันทะลึ่งไปคลานผ่านกล่องตรงจุดยิงสัญญาณพอดี ตำรวจเลยเดือดร้อนกันหมด เพราะคิดว่าวัดโดนปล้นแล้ว..!

ถ้าหากว่าญาติโยมดูที่มณฑปจะเห็นพระพุทธรูปเงิน ทองคำ และนากอยู่ ๓ องค์ พระพุทธรูปเงินหล่อจากเม็ดเงิน ๑๕๐ กิโลกรัม มูลค่าราว ๆ ๔ ล้านบาท พระพุทธรูปทองคำหล่อจากทองคำ ๙๗.๕๗๕ กิโลกรัม มูลค่า ๓๑๑ ล้านบาทเศษ นั่นตอนทองคำบาทละ ๑๘,๓๐๐ บาท ปัจจุบันนี้ถ้าคิดราคาใหม่ก็น่าจะแพงหูดับกว่านั้นอีก พระพุทธรูปนากหล่อจากทองคำ ทองแดง และเงินรวมกัน ๑๖๐ กิโลกรัม เป็นทองคำ ๓๗.๕ กิโลกรัม มูลค่า ๔๓ ล้านบาทเศษ

ส่วนหลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพรด้านขวามืออาตมาบนมณฑป หล่อจากเม็ดเงิน ๑๕๑ กิโลกรัม มูลค่า ๓ ล้านบาทเศษ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นราคาตอนนี้ก็น่าจะขึ้นไปเกือบเท่าตัวแล้ว ยังดีที่รีบหล่อเสร็จก่อนที่ราคาจะแพงไปกว่านี้

เถรี
26-08-2020, 09:44
วัตถุมงคลวัดท่าขนุนที่เข้าพิธีงวดนี้ มีพระพุทธลีลาประทานพรองค์ขนาดบูชา ๙๙๙ องค์ มีเหรียญ มจร. หรือเหรียญในหลวง ร.๕ ที่งามสุด ๆ ฝีมือออกแบบของนายช่างปัทม์ บุณยรังค สำหรับหาทุนสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี มีเนื้อตะกั่ว ทองแดง และเงิน เป็นต้น

แล้วก็มีเบี้ยแก้สารพัดกันที่อาตมาเรียนวิชามาแล้วไม่อยากทิ้งไปเฉย ๆ ก็เลยทดลองทำดู แต่ว่าสิ่งที่บรรจุนั้นต่างจากสำนักอื่น เพราะว่านอกจากบรรจุน้ำปรอทหนัก ๑ บาทปกติแล้ว ก็ยังใส่ปรอทสำเร็จลงไปด้วย ปรอทสำเร็จเป็นปรอทที่เสกจนแข็งตัวเหมือนกับเม็ดทราย เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเป็นเบี้ยแก้บรรจุปรอทของทางวัดท่าขนุน เวลาเขย่าจะมีเสียงเหมือนมีเม็ดทรายอยู่ข้างใน สามารถไปเอ็กซเรย์ดูได้ ไม่ใช่ทราย แต่เป็นปรอทที่เสกจนแข็งตัวแล้วปนอยู่ในน้ำปรอท

เถรี
26-08-2020, 09:45
ถ้าเห็นว่าไม่ถึงคิวเราแน่แล้วก็กลับไปนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยมาใหม่ อาตมาเป็นคนคำนวณผลได้ผลเสียเร็วมาก แล้วตัดสินใจเด็ดขาด อะไรที่ตัดสินใจไปแล้วถ้าพลาดจะไม่เสียใจ เพราะถือว่าได้ ก็คือได้บทเรียน ตัดสินใจถูกได้กำไร ตัดสินใจผิดได้บทเรียน ไม่มีเสีย มีแต่ได้เท่านั้น

เถรี
27-08-2020, 23:07
(หลังทำวัตรรอบค่ำ)

วัดนี้ทำวัตรสองรอบ รอบแรกถวายหลวงปู่อดีตเจ้าอาวาส รอบสองถวายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โยมอาจจะไม่เคยเจอวัดที่ทำวัตร ๒ รอบ ๓ รอบ

การสวดมนต์ทำวัตร ถ้าเราทำเป็น แม้แต่จะไปพระนิพพานก็ได้ การสวดมนต์อันดับแรกเลยก็คือได้สมาธิ ให้สังเกตว่าถ้าวันไหนสมาธิไม่ดีเราจะสวดผิด เผลอสติเมื่อไรก็สวดผิด อันดับต่อไป ถ้าจะเอามากกว่านั้นที่ไม่ใช่สมาธิขั้นต้น ต้องการทรงฌานไปเลย ก็ใช้คำสวดมนต์แทนคำภาวนา ก็ถือว่าเป็นคำภาวนาที่ค่อนข้างจะยาวอยู่หน่อยหนึ่ง

ถ้าจะเอาให้มากกว่านั้นอีกก็ทำเป็นทิพจักขุญาณ ถึงเวลาสวดมนต์ก็นึกถึงตัวหนังสือคำสวดของเราขึ้นมาเป็นคำ ๆ อยู่ตรงหน้า ถ้าสามารถเห็นตัวหนังสือได้ชัดเจนเท่าไร เราก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเจนเท่านั้น อันดับสุดท้าย ถ้าหากว่าใครสามารถยกจิตขึ้นไปสวดถวายพระบนพระนิพพานได้ ก็ให้ทำอย่างนั้น ตายตอนนั้นก็อยู่บนพระนิพพานไปเลย

เถรี
27-08-2020, 23:09
โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล (สะอิ้ง สิรินนฺโท) ท่านพูดถึงอานิสงส์การสวดมนต์เมื่อไร ท่านก็จะถามว่า รู้ไหมว่าคนเราที่ตาย ๆ กัน มีสาเหตุกี่อย่าง ? ท่านบอกว่า ในโลกนี้ที่ตายกันอยู่นะ สาเหตุแรกคืออดตาย..ไม่มีจะกิน ดูอย่างทางแอฟริกา ขนาดอีแร้งมายืนรอเลยว่าจะตายเมื่อไร อันดับที่สอง...ป่วยตาย อันดับที่สาม...อุบัติเหตุตาย อันดับที่สี่...แก่ตาย

ท่านบอกว่า อดตายเพราะว่าในอดีตไม่เคยให้ทานไว้ ขาดทานบารมี เพราะฉะนั้น..ถ้าให้ทานนี่ป้องกันการอดตายได้ ป่วยตายเพราะว่าเราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้บ่อย ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรารักษาศีลเป็นปกติ โดยเฉพาะศีลข้อที่ ๑ จะป้องกันการป่วยตายได้

สำหรับอุบัติเหตุตาย ท่านบอกว่าขาดบุญรักษา ขาดเทวดารักษา วิธีแก้ก็คือ ขยันหมั่นสวดมนต์บ่อย ๆ นอกจากสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวเองแล้ว เทวดาท่านชอบใจยังตามรักษาอีกด้วย เพราะฉะนั้น..ให้สังเกตว่าถ้าวันไหนเราเผลอลืมสวดมนต์ไหว้พระ ออกรถไปอาจจะมีสิทธิ์โดนเฉี่ยวโดนชน ท่านบอกว่าที่แก้ไม่ได้มีอยู่อย่างเดียวคือแก่ตาย ธรรมะอะไรก็แก้ไม่ได้ จงยอมตายเสียเถอะ..!

เพราะฉะนั้น..จะเห็นว่าอานิสงส์ของการสวดมนต์สามารถป้องกันอุบัติเหตุได้ แต่คราวนี้เราต้องมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัยจริง ๆ ยึดท่านเป็นที่พึ่งเหมือนไม่มีอะไรในโลกนี้ให้เรายึดแล้ว ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับคนตกเหวแล้วไปคว้าเถาวัลย์เอาไว้ได้ ต้องยึดสุดชีวิตขนาดไหนก็ยึดแบบนั้นแหละ..!

เถรี
27-08-2020, 23:12
ญาติโยมจะเห็นว่า ไม่ว่าจะอดตาย ป่วยตาย อุบัติเหตุตาย แก้ได้หมด แต่ถ้าแก่ตายนี่ปล่อยไปเถอะ เพราะว่าแก่แล้ว สมัยนี้อายุขัยของคนก็แค่ ๗๔ ปีครึ่ง นับจากไหน ? ก็นับจากอายุพระพุทธศาสนา กาลเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุขัยของมนุษย์เสื่อมทรามลงไป ๑ ปี ตอนนี้ผ่านไปประมาณ ๒,๕๖๓ ปี ก็หายไป ๒๕ ปี ๖ เดือนกว่า ๆ ลบจากอายุขัยของมนุษย์ ๑๐๐ ปี ก็จะเหลือประมาณ ๗๔ ปีนิด ๆ ใครยังไม่ถึงให้พยายามหายใจไว้ ถ้าหากว่าใครถึงแล้วที่เหลืออยู่ก็เป็นกำไรล้วน ๆ

ที่บอกให้หายใจไว้นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ คนเราตายเพราะอะไร ? อายุกขยะ คือหมดอายุ มีอยู่แค่นั้น...เกินนั้นไม่ได้ อาหารักขยะ หมดอาหาร อาหารนี้มีหลายอย่าง มีตั้งแต่กวฬิงการาหาร อาหารคือข้าวคือน้ำตามปกติ ผัสสาหาร อาหารคือลมหายใจเข้าออก คราวนี้เห็นหรือยังว่าถ้าหายใจไว้นี่จะไม่ตาย วิญญาณาหาร อาหารคือสิ่งที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องการ ตาเห็นรูปสวย ๆ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ จมูกได้กลิ่นหอม ๆ ลิ้นได้รสอร่อย กายสัมผัสที่นุ่มนวลชวนสัมผัส รู้สึกชื่นใจก็อยู่ไปได้อีกหน่อยหนึ่ง

เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าใครมีพ่อมีปู่แก่ ๆ เอาไปรักษาในโรงพยาบาล ก็ให้จ้างนางพยาบาลสวย ๆ ไว้ เผื่อจะได้อยู่ได้อีกหน่อยหนึ่ง..! แต่ถ้าหากว่าอยากให้ไปเร็ว ๆ ก็ต้องจ้างที่ตรงกันข้ามเอาไว้ ...(หัวเราะ)...

เถรี
27-08-2020, 23:13
ปุญญักขยะ ตายเพราะว่าหมดบุญ หมดบุญก็ตายได้นะ กำลังส่งมาได้แค่นั้น กัมมักขยะ ตายเพราะหมดกรรม อ้าว...อันนี้ประหลาด ไม่ได้ประหลาดหรอก ให้ดูตัวอย่างพระภิกษุลูกศิษย์พระสารีบุตร ตั้งแต่เกิดมาจนพระสารีบุตรไปพบก็น่าจะอายุเกิน ๒๐ ปี สร้างกรรมหนักเอาไว้ วันหนึ่งกินอาหารเป็นข้าวได้ไม่เกิน ๗ เม็ด ถ้าเกินนั้นเมื่อไร อาหารทั้งหมดจะหายไปจากตรงหน้า ต่อให้กองอยู่ก็มองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้ เพราะว่าอดีตชาติสร้างกรรมกับพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้หนักมาก กรรมรักษาจริง ๆ กินแค่ข้าววันละ ๗ เม็ด อยู่มาได้อย่างไร ๒๐ กว่าปี

จนกระทั่งพระสารีบุตรไปพบเข้าก็เลยชวนมาบวช บวชแล้วออกบิณฑบาตก็ไม่มีคนใส่บาตรให้ พระสารีบุตรต้องกล่าวว่า “อาวุโส เธอจงอยู่ที่วัดเถอะ เราจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง” บิณฑบาตได้อาหารมา เอาไปส่งให้ ท่านก็มองไม่เห็น เห็นแต่บาตรเปล่า ๆ พระสารีบุตรต้องยืนจับบาตรไว้ ท่านจึงสามารถที่จะหยิบอาหารไปฉันได้

ในชีวิตได้ฉันอาหารอิ่มครั้งเดียวก็ตอนนั้นแหละ ร่างกายสบายขึ้นมาก็พิจารณาธรรมเห็นว่า ตลอดที่อยู่มา ๒๐ กว่าปีนี้ทุกข์เหลือเกิน ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์เช่นนี้เราไม่เอาอีกแล้ว จิตปลดจากการยึดเกาะในร่างกาย เป็นพระอรหันต์ก็นิพพานเลย..หมดกรรมแล้ว

เราเองไม่ว่าจะหมดอาหาร หมดอายุ หมดบุญ หมดกรรม ก็ตายทั้งนั้น ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เพราะฉะนั้น..วิธีที่ผู้ฉลาดเขาทำกันก็คือสั่งสมบุญ ไม่ได้สะสมบุญเพื่อให้อายุยืน เพราะว่าอย่างไรก็ต้องตาย สะสมบุญไว้เป็นเสบียงเพื่อเดินทางไกลข้ามวัฏสงสาร คนเราถ้าข้าวของเครื่องใช้เสบียงอาหารพร้อม เดินทางไกลเท่าไรก็ไม่ท้อ แต่ถ้าไม่ได้สะสมอะไรไว้เลย ถึงเวลาก็จะลำบากมาก

เถรี
27-08-2020, 23:14
ญาติโยมส่วนใหญ่มาวันนี้ได้นำเม็ดเงินมาแลกพระ โดยวัตถุประสงค์ก็คือเม็ดเงินนั้นจะได้หล่อพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๔๐ นิ้ว ๑ องค์ พระปางห้ามสมุทรทรงเครื่องความสูง ๑๕๕ ซม. อีก ๑ องค์ วันนี้ผู้ประสานงานแจ้งข่าวดีว่า ที่บอกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าใช้เม็ดเงิน ๗๐๐ กิโลกรัมนั้น ได้แค่องค์พระ ต้องมีฐานอีก ๓๐๐ กิโลกรัม เวรละกู..! เอาเถอะ...ญาติโยมก็จะได้สร้างฐานพระไปด้วย

การที่เราสร้างอาสนะก็ดี ฐานพระก็ดี ธรรมาสน์ก็ดี ตาลปัตรก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเผลอเกิดใหม่เมื่อไร จะมีอานิสงส์เหมือนกับอาตมา คือต่อให้ซ่อนอยู่ข้างหลังก็โดนเขาถีบออกไปข้างหน้า..! เพราะว่าเครื่องทั้งหลายเหล่านี้เสริมให้คนอื่นเด่น ถึงเวลาถ้าเราทำบุญแล้ว ต่อให้ต้องการหรือไม่ต้องการก็จะเด่นเอง เพียงแต่ว่าถ้าใครทำตอนนี้ก็ต้องรอชาติหน้านะ เขาบอกว่าทำบุญต้องรอชาติหน้า ถ้าทำหน้าจะได้ชาตินี้..! แต่ถ้าหากว่าทำหน้าก็อย่าเผลอไปให้ใครตบเข้า..เป็นเรื่องแน่ ๆ..!

เถรี
27-08-2020, 23:40
(สนทนาก่อนบวงสรวงพุทธาภิเษก)


การไหว้หนุมานที่แท้จริงก็คือ ไหว้ในส่วนของคุณความดี ปฏิบัติให้ดีได้อย่างท่าน หนุมานเป็นแค่เปลือก เพราะว่าฮินดูเขาเก่ง เขาตั้งเทวดาได้ การเคารพกราบไหว้เทวดานั้นจัดเป็นเทวตานุสติในกรรมฐาน ๔๐ กอง ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนเอาไว้

ส่วนใหญ่แล้วฮินดูเขาขอเทวดาให้สงเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งลักษณะอย่างนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าทุกอย่างในโลกนี้ที่เป็นไปนั้น เป็นไปโดยเหตุและผล ถ้าท่านสร้างเหตุเพียงพอ ผลก็จะเกิด ถ้าสร้างเหตุไม่พอนี่ ขอให้ตายก็ไม่ได้

เราอาจจะสงสัยว่า สถานที่นั้นเขาลือว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนา ใครไปบนขออะไรก็ได้ ทำไมเราบนแล้วไม่ได้ ? ก็เพราะว่าเหตุที่เราสร้างยังไม่เพียงพอ ผลจึงยังไม่เกิด

เถรี
27-08-2020, 23:44
แต่คราวนี้ในเมื่อสิ่งที่ชาวฮินดูเขาทำ ก็คือการแสดงความเคารพซึ่งเทวดาเหมือนกัน จึงต้องเดือดร้อนถึง ๒ ท่าน ท่านแรกก็คือท้าวสักกะเทวราช หรือที่เราเรียกง่าย ๆ ว่าพระอินทร์ ท่านที่สองก็คือท้าวสหัมบดีพรหม ท้ัง ๒ ท่านก็ต้องจัดเทวดาหรือพรหมที่มีศักดานุภาพใกล้เคียงกับที่เขาจินตนาการเอาไว้ ให้มารับหน้าที่เทวดาองค์นั้น ๆ

ดังนั้นหลายท่านก็อาจจะไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร อาตมาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านเป็นใคร ยกเว้นว่ามีเหตุจำเป็นต้องเกี่ยวข้องสัมผัสกัน ก็จะสอบถามท่าน แล้วด้วยความที่เป็นคนปากไม่มีหูรูด พวกฆ้องปากแตก ถึงเวลาทราบแล้วก็บอกต่อไปเรื่อย ขอให้โยมเข้าใจว่าสิ่งที่อาตมาบอกนี่ฝันเอาเองนะ ความฝันจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้

สรุปว่า...เทพหนุมานเป็นพรหมชั้นที่ ๓ ที่เราเรียกว่า มหาพรหมถ้าหากว่าจะบูชาท่าน ก็คือทำตัวให้ได้อย่างท่าน ประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ ทรงฌานสมาบัติได้ ถ้าอย่างนั้นท่านจะรักมากและตั้งใจสงเคราะห์ แต่ถ้าใครเอาแต่ขอให้ช่วยอย่างเดียวก็อาจจะโดนประเภทขอมาก ๆ กูก็เฉยซะ ฉะนั้น...ใครจะลองขอดูก็ได้

เถรี
27-08-2020, 23:49
วิชาการสร้างหนุมานที่ดังที่สุดในประเทศไทยของเรา ก็มีหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว หลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุนท่านแกะเป็นรูปหนุมานเลย มีทั้งทรงเครื่อง ที่เขาเรียกว่าพิมพ์หน้าโขน หรือว่าพิมพ์ปกติไม่ทรงเครื่อง ที่เขาเรียกว่า หน้ากระบี่

อันนั้นท่านให้ช่างแกะจากรากพุดซ้อนที่ท่านปลูก แล้วก็เสกน้ำรดอยู่ทุกวัน เลือกเอาเฉพาะรากที่หันไปทางทิศตะวันออก ถ้าหากว่ารากหันไปทางตะวันออกแล้วโดนขุดขึ้นมา ถ้าเป็นโคนรากก็จะแกะได้ตัวใหญ่หน่อย ถ้าเป็นปลายรากนี่ บางทีตัวเล็กจิ๋วเดียว จนแทบจะลอดง่ามมือ

อาตมาเองเล่นเครื่องรางของขลังมาหลายปี เฉพาะหนุมานหลวงพ่อสุ่น ผ่านมือมาเกิน ๒๐ ตัว ขอยืนยันว่ามีตั้งแต่เล็กจิ๋วขึ้นไปจนถึงขนาด ๒ นิ้วมือชิดกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโคนรากพุดซ้อนหรือว่าเป็นปลายราก

ส่วนของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัวนั้น เขาเรียกว่าลิงหลวงพ่อดิ่ง บางคนเรียกว่า ลิงจับหลัก ความจริงก็คือหนุมานนั่นเอง แต่ว่าช่างชาวบ้านแกะได้แค่นั้น ถ้าขืนบอกให้แกะหนุมาน ก็อาจจะถอดใจเลิกทำไปเลย

เถรี
27-08-2020, 23:55
ครูบาอาจารย์ที่สร้างหนุมานหรือลิง โดยอุปเท่ห์หลายประการด้วยกัน

ประการแรก...หนุมานใครฆ่าก็ไม่ตาย ต่อให้ตาย ลมพัดมาก็ฟื้น เพราะว่าเป็นลูกของพระพาย ถึงได้เรียกชื่อว่าวายุบุตร คือลูกของลม ในเมื่อฆ่าไม่ตาย ก็ถือว่าเป็นเคล็ดลับอันหนึ่งที่สุดยอดมาก

ประการที่สอง...หนุมานทำงานอะไรสำเร็จหมดทุกอย่าง ไม่เคยพลาด เจ้านายเรียกใช้เมื่อไร งานนั้นต้องเสร็จ แล้วเสร็จในลักษณะที่ออกมาดีด้วย ถ้าหากว่าท่านใดอ่านรามเกียรติ์จะเห็นว่า พระรามของเราถ้าไม่เอ่ยถึงนางสีดา ก็จะเอ่ยถึงหนุมาน แสดงว่าเป็นเจ้านายที่สุดยอดมาก ถ้าไม่ไปคร่ำครวญพร่ำเพ้อหาเมีย ก็จะนึกถึงลูกน้องว่าจะใช้งานอะไรดี

ในเรื่องนี้ตอนที่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค สร้างพระพิมพ์ขี่หนุมาน คนก็เลยไปจำกัดว่าหนุมานต้องรับราชการ เพราะว่าพระรามเป็นพระราชา เขากำหนดกันว่า นกทำนา เม่นเดินป่า ปลาค้าขาย ไก่หากิน ครุฑอำนาจ ลิงรับราชการ

ท่านอื่นที่สร้างเครื่องรางรูปลิงก็มีหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ อีกท่านหนึ่งที่สร้าง ท่านไม่ได้ตั้งใจให้อยู่ในชุดเครื่องรางที่ตั้งใจให้เป็นลิง แต่ทำเป็น ๑๒ นักษัตรประจำปีเกิด ก็คือหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก ตอนหลังมาก็มีหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ที่สร้างไม่ใช่ลิงที่เป็นวัสดุอย่างไม้แกะหรืองาแกะ แต่ว่าหล่อขึ้นมาจากโลหะเลย แล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดังติดลมบนในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าหลวงปู่ทิมท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เรียนจริง รู้จริง เก่งจริง

โดยเฉพาะวิชาสร้างผงพรายกุมารที่ใคร ๆ ว่าสุดยอดมาก ที่ไหนได้..หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านเสกจนเป็นเทวดาหมดแล้ว คาถาของหลวงปู่ก็คือ สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ อานุภาเวนะ จงอยู่ใต้ร่มพุทธบารมี หมดเลย อ้างพระพุทธเจ้าอย่างเดียวเลย

เถรี
27-08-2020, 23:57
ถึงแม้อาตมาจะศึกษาวิชาการเหล่านี้มา ซึ่งบางอย่างก็ไกลเกินไป คำว่าไกลเกินก็คือห่างพระรัตนตรัยมากไป อาตมาไม่เก่งเหมือนครูบาอาจารย์ ก็อย่าไปทำเลย แทนที่จะนึกถึงพระดันไปนึกถึงลิง ถ้าตายตอนนั้นอาจจะไปเกิดเป็นลูกลิงพอดี..!

แต่คราวนี้ลูกศิษย์ดันคัน ได้ตำราไปก็สร้างเรื่อยเปื่อย เอามาเข้าพิธีด้วย ถ้าโยมสังเกตจะเห็นว่า อาตมาเองแม้ขนาดทำตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชร ก็ยังเอายันต์เกราะเพชรที่เป็นพุทธบารมีใส่เข้าไป ไม่ต้องการให้ไปไกลเกิน ถ้าไกลเกินคุณพระเมื่อไร เดี๋ยวจะกู่กลับยาก..!

แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือ การที่เราสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปพระ การพุทธาภิเษกก็เป็นไปโดยง่าย เพราะว่าเสกพระเป็นพระไม่ลำบาก สักพักเดียวก็เรียบร้อย แต่วัตถุมงคลรูปอื่น ๆ โดยเฉพาะบรรดาสิงสาราสัตว์ ต้องเสกลิงให้เป็นพระนั้นยากสุด ๆ อันนี้ยังไม่เท่าไร ที่วัดบ้านห้วยน้ำขาวอาตมาต้องเสกควายเป็นพระ..! ฉะนั้น...อะไรก็ตามที่ห่างพระรัตนตรัยมากไป คนเสกจะเหนื่อยมาก

ญาติโยมทั้งหลาย ในส่วนนี้พวกเรามีหน้าที่ ถึงเวลาก็นึกถึงบารมีพระท่านให้ช่วยสงเคราะห์ ท่านจะสงเคราะห์ในด้านไหนเราก็รับทั้งหมด ถ้าให้ด้านเดียว ก็ขอรวยไว้ก่อน มีเงินแล้วสบาย ขับรถหรูชนตำรวจตายยังไม่เป็นอะไรเลย..! ดังนั้น...ต้องเอารวยไว้ก่อน

เถรี
28-08-2020, 07:37
แต่คราวนี้อย่าลืมว่า ในเรื่องของความรวยนั้น โยมจะไปวัดกับเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไม่ได้ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนั้นสร้างบารมีมาแต่เดิมก็ทานบารมี ชาตินี้มาก็สารพัดทานบารมี ในเมื่อสิ่งที่ท่านทำรองรับกันอยู่แล้ว พอถึงเวลาลาภผลก็ไหลมาเทมา ถ้าท่านทั้งหลายต้องการแบบนี้ ก็ต้องเสริมทานบารมีของเราให้เป็นปกติ

หลายท่านศึกษาพระไตรปิฎกมาก็บอกว่า ในเมื่อของการสร้างบุญสร้างกุศลต้องสร้างชาติที่แล้วถึงมารับชาตินี้ไม่ใช่หรือ ? เกือบใช่..! ต้องบอกว่าสร้างในอดีตมารับในปัจจุบัน ถึงจะถูกต้อง คราวนี้ถ้าญาติโยมทำตอนนี้ ๑ วินาทีผ่านไปก็เป็นอดีตแล้ว ถ้าโยมตั้งหน้าตั้งตาทำให้ต่อเนื่องตามกันไประยะหนึ่ง พอกำลังบุญสั่งสมตัวเพียงพอ คราวนี้สิ่งตอบแทนที่เราต้องการหรือไม่ต้องการก็จะมา บางทีมาจนอาตมารำคาญ จะให้อะไรกันนักหนาวะ ? แต่จะทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อคุณไปสร้างเหตุแบบนั้นไว้ ถึงเวลาผลก็จะเกิดแบบนั้น ฉะนั้น..ถือว่าพวกเราชาตินี้ยังมีหวัง ตั้งหน้าตั้งตาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาของเราไป อย่าใจร้อน

เรื่องของการสร้างบุญสร้างบารมีต้องทำกันชนิดที่นับกัปไม่ถ้วน ไม่ใช่นับชาติไม่ถ้วน แต่ละกัปเกิดกันเป็นล้าน ๆ ชาติ ในเมื่อต้องสร้างกันมาจนนับกัปไม่ถ้วน เราจะทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไม่ได้ เมื่อถึงเวลาก็ค่อย ๆ ทำไป ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำน้อย ๆ ทำบ่อยครั้ง ไม่ใช่ทำมากได้มาก

การทำบุญที่สำคัญคือ จิตใจเราได้สละออกเพื่อตัดความโลภ ดังนั้น..ต้องทำบ่อย ๆ ไม่ใช่ทำมาก อาจจะทำครั้งละหนึ่งบาท สองบาท ห้าบาท สิบบาท ยี่สิบบาท ขอให้ได้ทำไปเรื่อย ๆ พอสภาพจิตเคยชินจนกลายเป็นฌาน อะไรก็ตามไม่ว่าเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ถ้าทรงฌานได้ ผลก็จะมีมากกว่าปกติ

อย่างอาตมาเอง อดีตชาติก็ทำเอาไว้ ปัจจุบันชาติก็ทำเอาไว้ ฌานสมาบัติก็ฝึกหัดเอาไว้ พอถึงเวลา ผลที่เกิดจึงมีมาก ก็ถือว่าเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สร้างไว้ ญาติโยมสามารถที่จะเลียนแบบตามกันได้

เถรี
28-08-2020, 07:40
เรื่องของพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องของเหตุและผล ทางลัดไม่มี พอที่จะช่วยชี้บอกกันได้ แต่ต้องไปเอง แบบเดียวกับเรื่องของพระคาถาเงินล้าน เรารู้อยู่ว่าภาวนาคาถานี้แล้วจะรวย แต่หลายคนก็ไม่ทำกัน ในเมื่อไม่สร้างเหตุ ถึงเวลาจะรอให้ผลเกิด ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

สมัยที่อาตมาเรียนปริญญาตรีอยู่ มีเพื่อนพระ ปัจจุบันนี้คือพระครูใบฎีกาถาวร ถาวโร เจ้าสำนักสงฆ์ธรรมถาวร จังหวัดลพบุรี ท่านถาวรนี่ เดือนสองเดือนก็จะมีซองฎีกามาแจกเพื่อน ให้ช่วยทำบุญอย่างนั้น ทำบุญอย่างนี้ อยู่กันมานาน สนิทสนมกันมาก เพื่อนก็ด่าเอาเลย ขออภัยนะ "ไอ้ห่...ไม่รู้จักไปทำมาหากินที่อื่นหรืออย่างไรวะ ? คอยมาเอาแต่พวกนี่แหละ..!"

อย่าคิดนะว่าพ่อเจ้าประคุณจะทรุดหรือว่าจะสลด ท่านด่ากลับเลย ท่านว่า "ก็เป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน ถ้าไม่เอาจากเพื่อนแล้วจะเอาจากหมาที่ไหนวะ ? กูไม่ใช่พระครูเล็กนี่..!" อ้าว...แล้วเกี่ยวอะไรกับอาตมาวะ ? ท่านบอก "พระครูเล็กท่านทำมาตั้งแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ ? ชาตินี้มาถึงท่านก็เก็บเกี่ยวเอา เก็บเกี่ยวเอา ไอ้ของผมชาตินี้ นายังหาไม่ได้เลย อย่าว่าแต่หว่าน ก็ต้องมาเอาจากพวกเอ็งนั่นแหละ..!" เออ...ดีเหมือนกัน สรุปว่าอาตมาเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรก็โดนพาดพิง โดนเพื่อนยกเป็นตัวอย่าง

เรื่องพวกนี้ที่ท่านพูดนั่นใช่เลยนะ ก็คือถ้าสร้างไว้ในอดีต แล้วปัจจุบันเรารับผล คนอื่นจะมาอิจฉาก็ไม่มีประโยชน์ คุณต้องสร้างเอง ต้องทำเอง สร้างเหตุให้พอ แล้วผลถึงจะเกิด เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะได้แบบอาตมาก็ โน่น..ไปภาวนาพระคาถาเงินล้านให้ได้เหมือนกับอาตมา

เถรี
29-08-2020, 22:25
ช่วงภาวนาวันละ ๓๐๐ จบนี่สามปีเต็ม ๆ เกินสามปีด้วย แต่นับตัดเอาเต็ม ๆ แค่สามปี แล้วช่วงวันละประมาณ ๑,๒๐๐ จบนี่เกือบสามเดือน ไม่ต้องทำอะไรเลย ตื่นตี ๓ ก็เริ่มเดินจงกรม ภาวนาไปด้วย สาย ๆ หน่อย ประมาณ ๗ โมงครึ่ง ๘ โมง ฉันหนึ่งมื้อ ไม่เกิน ๑๐ นาที ๑๕ นาที เสร็จแล้วก็เข้าที่เดินจงกรมภาวนาต่อ ไปเลิกเอาตอน ๑ ทุ่ม เริ่มตี ๓ เลิก ๑ ทุ่มทุกวัน เดินจงกรมจนพื้นเป็นร่อง ถ้าโยมอยากได้อย่างอาตมา ก็ต้องทำแบบนั้น

บางคนอาจจะเห็นว่าเมื่อสักครู่นี้ ญาติโยมยกขันใส่ประคำเข้ามา อาตมามีลูกประคำหลายสาย แต่ละสายนับจนเงาวาววับ อยากจะบอกว่า ตอนที่บังคับตัวเองให้ภาวนาคาถาเงินล้าน ที่บอกว่าวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อยอยู่ประมาณ ๓ ปีเศษนั้น อาตมานับจนประคำสายขาดมานับครั้งไม่ถ้วน..!

พอถึงเวลานับไป ๆ สายประคำเปื่อย ทนแรงนับไม่ไหว ก็ขาดร่วงกราว ต้องวิ่งไล่เก็บกลับมาร้อยกันใหม่ เสร็จสรรพเรียบร้อย ภาวนานับต่อ ส่วนใหญ่ก็ได้ประมาณเดือนกว่า ๆ ขาดอีกแล้ว นับจนลูกประคำหวายซึ่งจะมีเปลือกเป็นลอนเล็ก ๆ ลักษณะเป็นวงกลมหมุนรอบตัวเอง นับจนลื่นเป็นแก้วเลย นิ้วมือตัวเองก็ได้หนังด้านขึ้นมาสองเม็ดหนา ๆ ประคำเส้นนั้น โดนโยมขอผาติกรรมไป แบ่งกันอยู่ ๔ - ๕ คน ผลัดกันใช้ บอกไม่เคยเห็นเนื้อหวายที่ใสเป็นแก้วแบบนี้ เหลืองเป็นแก้วเหมือนอย่างกับทำด้วยอำพันเลย

เถรี
29-08-2020, 22:28
มีคนพยายามเลียนแบบ อ๋อ..เอาเครื่องปั่นขัดเอา แล้ว เอาน้ำมันทา แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น

การที่เรานับประคำด้วยมือนั้น มี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ มือของเราที่นับ เท่ากับว่าเราใช้มือขัด เป็นการขัดที่ประณีตมาก เครื่องไม่สามารถที่จะทำได้

ประการที่สอง ปราณคือพลังชีวิต หรือพลังจิตที่เราทุ่มเท บรรจุอยู่ในนั้นด้วย ก็จะออกมาสวยงามกว่าปกติ ฉะนั้น...โยมจะเห็นว่าของบางอย่าง ถ้าเราใช้เป็นประจำจะดูดีมาก

ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ถ้าหากว่าญาติโยมภาวนาพระคาถาเงินล้านเอาไว้ ที่อาตมาบอกว่าทำวันละ ๑๐๘ จบ แบ่งออกเป็นวันละ ๓ ช่วงก็ได้ หรือจะเอากี่ช่วงก็แล้วแต่เราถนัด อาตมาเองถนัดเป็น ๓ ช่วง ก็คือช่วงเช้า ๓๖ จบ กลางวัน ๓๖ จบ เย็น ๓๖ จบ ตอนช่วงที่ภาวนาวันละ ๓๐๐ จบ ก็เช้า ๑๐๐ จบ กลางวัน ๑๐๐ จบ เย็น ๑๐๐ จบ ต่อมา เพิ่มเป็นเช้า ๑๒๐ จบ กลางวัน ๑๒๐ จบ เย็น ๑๒๐ จบ อยู่ที่เราจะเพิ่ม แล้วอาตมาเองก็ค่อนข้างจะบ้า ก็คือถ้ากำหนดไว้เท่าไรแล้วจะไม่มีน้อยกว่านั้น มีแต่จะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี
29-08-2020, 23:21
ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ไหวแบบนี้ ญาติโยมก็ต้องอาศัยมนต์คาถา ถ้าเป็นพวกนักวิชาการสมัยนี้บอกว่า ไสยศาสตร์คือเวทมนตร์คาถา แต่ความจริงนักวิทยาศาสตร์หรือบรรดานักวิชาการ เขาไม่เข้าใจอย่างแท้จริง ก็แบบเดียวกับที่พวกเรามาเพื่อรอรับวัตถุมงคล ก็จะมีประเภทที่คอยตำหนิว่า เป็นพวกกำลังใจห่วยแตก ใช้การไม่ได้ ยังต้องยึดถืออย่างโน้นอย่างนี้อยู่ ขอให้ทราบไว้เลยว่า คนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากันอย่างหนึ่ง ปัญญาไม่เท่ากันอย่างหนึ่ง

คนเราสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน คนที่สร้างบารมีมาน้อย ก็ต้องมีสิ่งจูงใจให้เข้าหาความดี คนที่มีปัญญาไม่ประมาท ก็ต้องอาศัยสิ่งของยึดเกาะในการเดินทาง เพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองพลาดล้ม หรือว่าถ้ามีสิ่งช่วยอำนวยความสะดวก ก็อาศัยใช้งานเพื่อความคล่องตัว และโดยเฉพาะว่า ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง จะไม่ตำหนิคนอื่น เพราะเห็นชัดว่าธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้น ถ้ายังตำหนิคนอื่นอยู่ แปลว่ายังไม่เห็นธรรมดาของโลก แปลว่าคนตำหนินั้นกำลังใจยังใช้ไม่ได้เอง

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่าไปเถียงกับเขา เพราะว่าญาติโยมยังไม่ชัดเจนในเหตุผลเลยว่าเรามานั่งรอแบบนี้ทำไม ? ไปนั่งเถียงกับเขา เดี๋ยวโดนนักวิชาการบี้ตาย แต่พวกนักวิชาการนี่ พอเจอเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนมักจะโดนบี้ตายแทน เพราะว่าอาตมาชัดเจนว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้คืออะไร สามารถยกเหตุยกผลขึ้นมาสู้กันได้

แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ อย่าไปเถียงกับใครโดยไม่จำเป็น เพราะว่าแสดงถึงทิฐิ คือกำลังใจของเราที่ยังแบกรับอยู่ ไม่ปล่อยวาง ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เสียหายถึงส่วนรวม อาตมาไม่เสียเวลาไปเถียงกับใครหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ..อยากพูดอะไรก็ให้พูดไป พอเหนื่อยเขาก็หยุดเอง แต่ถ้ามีอะไรเสียหายถึงส่วนรวมนี่อาตมาจะต้องพูด

ในเรื่องของการพูด เราต้องตั้งสติด้วย อย่าให้ไหลตามไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง ให้เป็นการว่ากันโดยธรรม ภาษาพระเขาเรียกว่า วิวาทะ ที่เราอ่านว่า วิวาท วิวาทนี่ไม่ใช่ทะเลาะกันนะ

วิ เป็นอุปสรรคในภาษาบาลี เขาแปลว่า วิเศษ แจ่มแจ้ง หรือแตกต่าง วิวาท มีคำพูดที่แตกต่างกัน ฉะนั้น..วิวาทนี่ไม่ใช่ทะเลาะกัน วิวาท ก็คือ แสดงคำพูดที่ต่างกัน ว่าเหตุผลของใครจะดีกว่ากัน

เถรี
29-08-2020, 23:23
แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายให้ทราบว่า ที่พวกเรามาร่วมบุญในงานนี้ เท่ากับว่าพวกเราได้สร้างพระ ๒ องค์ ก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้าหน้าตัก ๔๐ นิ้ว ๑ องค์ พระปางห้ามสมุทรทรงเครื่อง ความสูง ๑๕๕ เซนติเมตร ๑ องค์

เมื่อวานนี้เพิ่งจะได้รับคำบอกเล่ามาว่า เม็ดเงิน ๗๐๐ กิโลกรัมนั้น ได้แค่องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า ต้องมีฐานอีก ๓๐๐ กิโลกรัม ได้ยินแล้ว "น้ำตาจิไหล"..! อะไรช่างมีแต่เจริญขึ้น ไม่มีลงเลย เป็นสัญลักษณ์ที่ดีมาก ว่าทำอะไรมีแต่เจริญโดยส่วนเดียว ลูกคนรวยไม่ต้องกลัวของแพง..!

ท่านทั้งหลายที่บริจาคมา ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยมาก็ดี เม็ดเงินก็ตาม ก็จะได้อานิสงส์ ๒ ส่วน คือสร้างพระพุทธเจ้ากับสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ในบาลีเขาว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ทำไมถึงประมาณไม่ได้ ?

เถรี
29-08-2020, 23:25
อาตมาเปรียบเทียบให้ฟังไปหลายทีแล้วว่า ถ้าเราต้องการจะออกจากโลกนี้ไปสู่ห้วงอวกาศ เราก็ต้องสร้างจรวด ต้องหาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเหลว ก็ไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พันตัน ราคากี่หมื่นกี่แสนล้าน ส่งตัวเองให้หลุดพ้นแรงดึงดูดของโลก ไปลอยเท้งเต้งอยู่ในห้วงอวกาศของสุริยจักรวาล ไม่ได้ไปไหนเลย อยู่ในจักรวาลนี่แหละ ก็คืออยู่ในระบบของสุริยจักรวาล Solar System

คราวนี้อยากจะไปให้ไกลกว่านั้น ก็ต้องขวนขวายเชื้อเพลิงอีก สิ้นเปลืองอีกไม่รู้เท่าไร ส่งตัวเองให้พ้นสุริยจักรวาล ไปติดอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก ที่ฝรั่งเรียกว่า Milky Way Galaxy เอ้า...สรุปว่าไปยันโน่นแล้วก็ยังไม่ไปไหน ยังติดแหง็กอยู่แค่นั้นอีก ต้องขวนขวายหาเชื้อเพลิงหาต้นทุนใหม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร กว่าจะดีดตัวเองหลุดพ้นจากดาราจักรทางช้างเผือก ก็ไปติดอยู่ในเอกภพ ก็คือแหล่งรวมดาราจักรและเนบิวลาต่าง ๆ ที่เรียกว่า Universe ในภาษาอังกฤษ

ไม่ได้ไปไหนเลย ยังอยู่แค่นั้นแหละ เอ้า...ขวนขวายหาพลังงานเพิ่มเติมอีกประมาณไม่ได้ พาตัวเองหลุดพ้นจากเอกภพไป ก็เพิ่งจะไปติดอยู่แค่ชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช โอ้...พระเจ้า สั่งสมกำลังกี่ชาติ หมดงบประมาณไปก็ไม่รู้ ? ไปได้แค่นั้นเอง..!

แต่พระพุทธเจ้าของเราสอนให้เราประพฤติใน ทาน ศีล ภาวนา เบื้องต้นก็ไปถึงตรงนั้นแล้ว แล้วพระองค์ยังหลุดพ้นจากกามาวจร หลุดพ้นจากรูปาวจร หลุดพ้นจากอรูปาวจร หลุดพ้นไปยังพระนิพพาน กำลังมหึมามโหฬารขนาดนั้น มีใครประมาณได้บ้าง ? บาลีถึงได้บอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีใครประมาณได้

เดี๋ยวจะทำบวงสรวง พวกเรากราบขอบารมีพระองค์ท่านสงเคราะห์กันเอง อย่าลืมนะว่า สร้างเหตุให้พอแล้วผลจะเกิด ถ้าสร้างเหตุไม่พอ ไปอธิษฐานขอให้ตาย ก็ไม่ได้อะไร

เถรี
29-08-2020, 23:27
(หลังบวงสรวง) ถ้าญาติโยมที่ไม่ทันจองเนื้อเงิน หรือเนื้อทองแดงก็จองไม่ทัน ไปจองกับมูลนิธิสามสมเด็จนะ เพราะนั่นคือต้นตำรับพระกริ่งสะท้านไตรภพเลย แต่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกัน ต่างคนต่างทำ เพียงแต่เข้าพิธีเดียวกัน ของวัดท่าขนุนองค์ใหญ่กว่า เพราะว่าอาตมาบ้าเลือด ไม่กลัวเปลืองวัสดุ

ญาติโยมไม่ต้องหนักใจ ถึงไม่มีพระกริ่ง เดี๋ยวก็มีเหรียญรัชกาลที่ ๕ อานุภาพเหมือนกันทุกประการ แล้วเหรียญรัชกาลที่ ๕ นั้นได้เยอะกว่าด้วย เพราะว่าเข้าพิธีมาเป็น ๑๐ รอบแล้ว

เถรี
29-08-2020, 23:28
อาตมาชอบที่สุด ตอนที่พระท่านสงเคราะห์ลงมา เพราะว่าจิตของเราจะสงบนิ่งมาก กิเลสอะไรที่ฟุ้งซ่านอยู่ ตอนนั้นจะหายหมดเลย

เถรี
29-08-2020, 23:29
อาตมาพยายามแช่งให้ฝนตกก็ไม่ตก เขาบอกว่างานวัดท่าขนุน ถ้าไม่เลิก ฝนจะไม่ตก จะให้เสียสถิติก็ไม่สำเร็จ คือ อาตมาชอบแกล้งชาวบ้านมาก มีความสุขถ้าแกล้งเขาได้ แต่ปรากฏว่าอะไรที่พระท่านรับปากไว้ หรือเทวดาท่านรับปากแล้ว ต่อให้เราลืม ท่านก็ทำหน้าที่ของท่านเอง

โยมจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วช่วงนี้พายุเข้า ฝนตกทั้งวันทั้งคืน แต่พอเราเริ่มบวงสรวงก็หายจ้อยไปเลย แล้ววันนี้ร้อนตับแตกเลย..!

เถรี
29-08-2020, 23:30
อาตมาไม่อยากจะบอกว่า พระประธานในโบสถ์นั่นแหละ..มหาลาภใหญ่เลย ชื่อ หลวงพ่อหนุนดวง วัดท่าขนุน แต่อาตมาไม่กล้าติดป้าย เพราะว่ากลัวคนมาเยอะ เป็นพระประธานที่สร้างตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ โดยท่านนายอำเภอบุญธรรม บุษปะวนิช นายอำเภอคนแรกของทองผาภูมิเลย

ใครจะไปสวดคาถาเงินล้านถวายพระก็ตรงนั้นแหละ แล้วก็อธิษฐานกันเอาเองตามอัธยาศัย

เถรี
31-08-2020, 09:28
ถาม : อันนี้เขาบอกว่าเป็นพิสมรของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่แน่นอน เป็นของทำเลียนแบบ ของหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย ไม่ว่าจะใหญ่จะเล็ก จะสั้นจะยาว หัวท้ายจะเสมอกัน เท่ากัน ไม่ป่องกลางแบบนี้ จำไว้ว่าของแบบนี้ ถ้าไม่เก่งจริง อย่าไปเล่น เปลืองสตางค์

ถาม : อันนี้เขี้ยวเสือหลวงปู่ปานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาทอดน้ำมันมา เกรียมได้ที่เลย..!

เถรี
31-08-2020, 09:30
ถาม : อันนี้พระขรรค์หลวงพ่อโสกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เล่มนี้เป็นส่วนเขาที่ติดเนื้อสด ถึงเวลาจะหดตัวมาก พิจารณาง่าย ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเป็นเครื่องรางที่ใส่กรอบมา อย่าไปแตะ พิจารณายาก เพราะว่าติดกรอบ ส่วนอันนี้ชัดเจนเลยว่าใช่

ถ้าเป็นเนื้อเปลือกเขาจะแข็ง แล้วก็อยู่ตัว พิจารณายากนิดหนึ่ง ต้องดูฝีมือแกะ ต้องดูลายจาร แต่ถ้าเป็นประเภทติดเขาสดเลย ถึงเวลาหดตัวมาก มองดูก็รู้ว่าใช่ อันนี้เขาเรียกว่าแท้ตาเปล่า ขณะเดียวกันก็มีเก๊ตาเปล่าเหมือนกัน

เถรี
31-08-2020, 09:33
ถ้าใจสงบจะจำอะไรได้ง่าย ส่วนใหญ่พวกเราไม่ค่อยจะเป็นอย่างนั้น ฟุ้งซ่านได้ทั้งวันทั้งคืน ส่วนใหญ่ก็ปรุงไป รัก โลภ โกรธ หลง

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงงานพุทธาภิเษกพระกริ่งสะท้านไตรภพ
วันที่ ๒๑-๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย นายกระรอก และเผือกน้อย)