View Full Version : เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเริ่มรับสังฆทานอย่างเป็นทางการในปี ๒๕๓๖ โดยคุณแม่ทองดี ม่วงน้อยเจริญ เจ้าของบ้านอนุสาวรีย์ฯ นิมนต์ให้ไปรับสังฆทานและสอนกรรมฐานอย่างเป็นทางการ จนคนมากเข้า ไม่สามารถที่จะขยับขยายได้ ก็ได้รับความกรุณาจากแม่ป๋อม (กนกวลี วิริยประไพกิจ) เปิดบ้านวิริยบารมีขึ้นมาแทน
รับสังฆทานที่บ้านวิริยบารมีตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ ไปจนสิ้นปี ๒๕๕๙ ทางแม่ป๋อมขอบ้านคืน ทำให้คุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา และคุณณัฐพล สุขวัฒนศิริ ต้องหาสถานที่ใหม่ให้รับสังฆทานและสอนกรรมฐาน ซึ่งก็คือบ้านเติมบุญแห่งนี้"
"ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ มาจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยขาดการไปสงเคราะห์ญาติโยมเลย แม้กระทั่งปี ๒๕๕๔ ที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ อย่างหนัก ก็ยังคงไปเป็นปกติ เพิ่งจะมีเดือนเมษายน ๒๕๖๓ นี้ ที่ต้องหยุดการรับสังฆทานและสอนกรรมฐาน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙
หลายท่านอาจจะไม่กลัวไวรัสแพร่ระบาด แต่ถ้าเรายังคงมีกิจกรรมตามปกติ พวกเรานั่นแหละที่จะเป็นตัวแพร่ระบาดไวรัสให้คนอื่นเดือดร้อน..!"
"สมมติว่า นาย ก. ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ เมื่อกลับเข้ามาแล้วได้เดินทางไปหานาย ค. ระหว่างทางได้พบกับนาย ข. ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อาจจะโดยการนั่งร้านอาหารเดียวกัน หรือใช้ขนส่งสาธารณะจนอยู่ใกล้ชิดกัน ทำให้เชื้อแพร่ระบาดไปสู่นาย ข.
เมื่อนาย ก. ป่วย หมอตรวจพบว่าเป็นไวรัส covid-๑๙ ทำการสอบประวัติแล้วว่าไปพบกับนาย ค. ก็นำเอานาย ค. มาทำการกักกันโรค แต่ไม่มีใครรู้ว่านาย ข. เป็นใคร จึงต้องให้พวกเราทุกคนป้องกันด้วยการกักกันตัวเอง จะได้ไม่ต้องดวงซวยไปพบกับนาย ข."
"เมื่อพวกเรากักกันตัวเอง ๑๔ หรือ ๒๑ วัน นาย ข. ซึ่งติดเชื้อไวรัส covid-๑๙ ก็จะแสดงอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อไปพบหมอตรวจพบว่าเป็นไวรัส ก็จะโดนนำตัวไปกักกันโรคและรักษาพยาบาล จนกระทั่งบรรดานาย ข. ปรากฏตัวออกมาหมดแล้ว เราก็จะควบคุมโรคนี้ได้
ดังนั้น...พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องเสียสละ เพื่อให้สถานการณ์ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม แม้ว่าจะสูญเสียความเคยชิน สูญเสียการทำหน้าที่การงาน สูญเสียเวลาดี ๆ ที่จะสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา ให้แก่ตนเอง เราก็ต้องยอมเสียสละ
ถ้าทำอย่างนี้ถึงจะได้ชื่อว่า เราปฏิบัติตามธรรมะของพระพุทธเจ้า คือต้องเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ต้องสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต และต้องสละทั้งทรัพย์และอวัยวะ ตลอดจนชีวิตเพื่อรักษาธรรม"
"การเสียสละของเราไม่ได้เสียชีวิต แต่เป็นการรักษาชีวิตของเราเอาไว้ปฏิบัติธรรม และไม่เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมด้วยการไปแพร่กระจายเชื้อให้กับผู้อื่น
สิ่งที่อาตมายึดถือและปฏิบัติอย่างหนึ่งก็คือว่า เราจงอย่าเป็นทุกข์โทษเวรภัยกับผู้อื่น แม้ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจเลย"
"ระยะนี้พวกเราต้องปฏิบัติตนด้วยความไม่ประมาท เก็บตัวอยู่กับบ้าน ใส่หน้ากาก กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อย ๆ
ถ้าจำเป็นจะต้องเดินทางไปไหน ต้องใส่หน้ากากอนามัย ใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด กลับถึงบ้านแล้ว รีบชำระร่างกาย ซัก - อบเสื้อผ้า ถ้ามีอาการเป็นไข้ ก็รีบไปหาหมอ กินยารักษาตามอาการ
ถ้าขาดการเที่ยวเตร่เฮฮาไม่ได้ ก็ให้ดูหนังฟังเพลงอยู่กับบ้าน หรือเป็นโอกาสดีที่จะได้อ่านหนังสือที่เก็บมานาน ใช้ชีวิตให้ช้าลง ความเครียดจะได้ลดน้อยถอยลงไปด้วย"
"ใครที่ต้องทำงานส่งที่บ้าน เมื่อจัดการกับงานเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้เวลาที่เหลือในการออกกำลังกาย กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า สังคายนาข้าวของที่รกมานาน
ถ้าเวลายังเหลือ เราก็มาภาวนา ทบทวนศีล สมาธิ ปัญญา ของเรา ถือว่าเป็นเวลาทองของการปฏิบัติธรรม"
"ถ้าทำไปแล้วรู้สึกเบื่อ ก็หาพระคาถามาปฏิบัติให้เกิดผล เช่น อาจจะภาวนาปลุกตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชร ก็ต้องใช้คาถา พยัคโฆ พยัคฆา สุญญาสัพพะติ อิติ นะมะพะทะ
กำหนดภาพเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ เดินไปทางไหน สัตว์อื่นก็หลีกเป็นทาง แต่ถ้ากลัวว่าตายตอนนั้นแล้ว จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ให้นึกถึงภาพพระพุทธเจ้า ประทับมาบนหลังเสือโคร่งนั้นด้วย"
"หรือจะใช้พระคาถาเสกข้าวของสมเด็จพระพุทธกัสสป คือ พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาสสันติ เสกข้าวกินป้องกันไสยศาสตร์ คุณผีคุณคนต่าง ๆ
หรือพระคาถาขับโรคของท้าวเวสสุวรรณ คือ พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาสสันติ เสกข้าวกินเพื่อรักษาโรคก็ได้
เราต้องมีวิธีการต่าง ๆ ที่จะทำให้จิตไม่เบื่อหน่ายในการภาวนา ซึ่งแต่ละคนสามารถหาวิธีที่เหมาะสมกับตนเองได้ ก็จะทำให้การปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้ามากขึ้น"
"อาตมาโดนยกเลิกงานไปหลายต่อหลายงาน ทำให้มีเวลาอยู่วัดมากขึ้น ญาติโยมก็ดีใจที่ได้ใส่บาตรพระอาจารย์ทุกวัน อาตมาก็ดีใจที่มีเวลาพักกับเขาบ้าง
สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไรขึ้นก็ตาม คนยังยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง ใส่บาตร สวดมนต์ไหว้พระ เจริญพระกรรมฐานมากกว่าปกติ ด้วยเชื่อว่าบุญกุศลจะช่วยให้เราพ้นภัยได้"
"การเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเกิดจากกรรมเก่าอย่างหนึ่ง เกิดจากคุณผีคุณคนอย่างหนึ่ง เกิดจากดินฟ้าอากาศอย่างหนึ่ง เกิดจากอาหารการกินอย่างหนึ่ง"
"เมื่อมหาเถรสมาคม มีคำสั่งให้สวดรตนสูตรเพื่อสู้กับไวรัส covid-๑๙ ก็มีผู้ออกมาแสดงความเห็นว่า หมดยุคสมัยแล้ว บุคคลที่ออกมาแสดงความเห็นแบบนี้ แสดงว่าเป็นผู้ตั้งอยู่บนความประมาท
ถ้าหากว่าไวรัส covid-๑๙ เกิดจากกรรม อากาศ หรือว่าอาหารก็แล้วไป แต่ถ้าเกิดจากผีกระทำ การสวดรตนสูตรย่อมช่วยได้อย่างใหญ่หลวง"
"บุคคลพึงกระทำอย่างสุดความสามารถในทุกด้านเสียก่อน เมื่อสิ้นกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์แล้ว ค่อยปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของหมอหรือรัฐบาล
ไม่ใช่ว่ายังไม่ทันทำอะไรเลย เมื่อเห็นว่าไม่ตรงกับกิเลสของตัวเอง ก็รีบปฏิเสธเอาไว้ก่อน คนประเภทนี้อาตมาถือว่าโง่..! เมื่อแพทย์ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เวชศาสตร์ ไสยศาสตร์ สู้ไม่ได้แล้ว มีพุทธศาสตร์อยู่แล้วจะไม่ใช้หรือ ?"
"ช่วงก่อนนี้มีพระมหาเปรียญธรรม ๙ ประโยคท่านหนึ่ง ปัจจุบันนี้เป็นท่านเจ้าคุณไปแล้ว ออกมาแสดงความเห็นว่า การสร้างวัตถุมงคลจาก หนัง เขา เขี้ยว งา กระดูก ของสัตว์ต่าง ๆ ทำไปก็ไม่มีผล เพราะว่าบารมีพระพุทธเจ้า ไม่ลงประทับในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
ผู้ที่พูดแบบนี้แปลว่าใช้หลักวิชาการอย่างเดียว ไม่ได้มีความรู้ความสามารถทางด้านจิตภาวนาเลย จึงไม่สามารถเข้าถึงในสิ่งต่าง ๆ ที่โบราณาจารย์ท่านทำเอาไว้ได้ แล้วแสดงความเห็นไปตามทัศนะของตน"
"สิ่งเหล่านี้ถ้าทำแล้วไม่ได้ผล ทำไมคนรุ่นก่อนใช้งานแล้วเกิดผลเป็นปกติ ? ก็เพราะว่าคนรุ่นเก่าประกอบด้วยศรัทธา แต่คนรุ่นใหม่อย่างท่านศึกษาวิชาการมากเกินไป จนขาดศรัทธาในคุณพระรัตนตรัยที่แท้จริง เพราะว่าสงสัยไปทุกเรื่อง
ดังนั้น...การที่ญาติโยมทั้งหลายทำบุญใส่บาตรมากขึ้น สวดมนต์ไหว้พระมากขึ้น เจริญกรรมฐานมากขึ้น นับเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง เพราะว่าอันดับแรก...ตัวคนทำได้บุญกุศลเป็นของตนเองก่อน
อันดับที่สอง...เมื่อจิตใจมีเครื่องยึดเหนี่ยว ก็มั่นคง มีสติ มีปัญญาพิจารณาว่าอะไรควรหรือไม่ควรในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ แล้วเลือกทำในสิ่งที่จะช่วยกู้สถานการณ์ให้ดีที่สุด เป็นการกระทำที่ควรค่าแก่การสรรเสริญเป็นยิ่งนัก"
"สิ่งหนึ่งที่ผู้คนแสวงหากันในช่วงนี้ คือวัตถุมงคล ด้วยเชื่อว่าป้องกันโรคได้ เช่น วัตถุมงคลหัวนอโม วัตถุมงคลที่บรรจุปรอทป่า เหรียญทำน้ำมนต์รักษาโรค ธงกันโรคระบาด เป็นต้น
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่พึ่งทางใจอย่างหนึ่ง ให้เราระลึกถึงคุณของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ต้องมีปัญญาประกอบในการใช้ด้วย
ไม่ใช่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา แทนที่จะหาหมอก็มาทำน้ำมนต์กินเอง ต้องพึ่งวิทยาการสมัยใหม่ พึ่งการแพทย์สมัยใหม่เสียก่อน จนไม่มีทางรักษาแล้ว ค่อยมาพึ่งคุณพระรัตนตรัย
ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะเป็นเหตุให้บุคคลปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว เพราะว่าคนที่รู้ก็จะตำหนิติเตียนเรา และตำหนิติเตียนไปถึงวัตถุมงคลที่เราใช้ ซึ่งก็คือการตำหนิในพระรัตนตรัยนั่นเอง"
"ดังนั้น..ในการพึ่งพาวัตถุมงคล พึ่งพาคุณพระรัตนตรัย ต้องอาศัยควบคู่ไปกับการแพทย์สมัยใหม่ เรียกว่ารักษาทั้งกายรักษาทั้งใจไปพร้อมกัน จึงนับว่าเป็นการใช้หลักธรรมคือปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง"
"ตอนนี้ที่วุ่นวายกันจนเว็บวัดท่าขนุนแทบจะระเบิด คือการจองพระสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิต เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปวดหัวกับกิเลสคนเป็นอย่างมาก
ทุกคนต้องการให้ได้อย่างใจ ตอนนั้น เดี๋ยวนั้น โดยไม่ได้คิดว่าการที่คนเป็นพันประดังเข้าไปพร้อมกัน ทำให้เจ้าหน้าที่คนเดียวปวดหัวขนาดไหน ?
ส่วนใหญ่ก็เพิ่งสมัครเป็นสมาชิกในวันนั้น ซึ่งตามกติกาคือต้องมีการยืนยันตัวตนก่อน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ว่างในการยืนยันตัวตนให้ เพราะมัวแต่ยุ่งกับการรับจอง พวกเราก็โทรหาทุกเบอร์ที่คิดว่าใช่ เพื่อสนองกิเลสตนเอง
คือ กูสมัครแล้ว กูจองแล้ว กูต้องได้ ไม่ศึกษากฎเกณฑ์กติกาอะไรทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่ขับรถอยู่ก็โทรถามเป็นร้อยสาย คิดว่าตัวเองโทรอยู่คนเดียว ต้องตอบปัญหาของตัวเองให้ชัดเจน พอเขาตัดสายเพราะรถจะตกถนนก็โกรธอีก"
"ถ้ารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะเห็นว่าเว็บวัดท่าขนุนนั้น เปิดมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ แล้ว แต่ก็ไม่คิดจะสมัครเป็นสมาชิก พอเกิดเรื่องรีบด่วนขึ้นมาแล้วค่อยสมัคร ประดังกันเข้ามาเป็นร้อยเป็นพัน ต่อให้เกิดเป็นทศกัณฐ์ก็บริการให้ไม่ทัน..!
บางคนคิดอยู่อย่างเดียวว่าตัวเองศรัทธา แต่มาเจอบริการแย่ ๆ โดยไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่เว็บมีเพียงคนเดียว ก็สารพัดจะต่อว่าต่อขาน ไปนั่งร้องไห้บ้าง กังวลจนนอนไม่หลับบ้าง ประสาทรับประทานบ้าง เรียกว่าทำร้ายตัวเองแท้ ๆ เลย..!"
"อาตมาอยากจะให้ทุกคนดูใจตัวเอง ว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร ? เรารักตัวเองจนกระทั่งต้องได้วัตถุมงคลชิ้นนี้ให้ได้ เราโลภเพราะจะเอาไปขายต่อแพง ๆ เราโกรธเพราะอยากได้มากแต่ไม่ได้อย่างใจ เราหลงเพราะคิดว่าวัตถุมงคลสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตหรือเปล่า ?
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าการสร้างวัตถุมงคลนั้น เจตนาแรกก็คือ ต้องการให้ทุกคนยึดมั่นในคุณพระรัตนตรัย ลำดับต่อไป คือ ผลพิเศษตามแต่พระหรือครูบาอาจารย์ท่านจะสงเคราะห์ ไม่ใช่อาตมาสร้างแล้วไปก่อให้เกิดความ รัก โลภ โกรธ หลง ให้เจริญงอกงามในใจของญาติโยม
ท่านที่ตั้งใจทำมาหากินกับวัตถุมงคลของวัดท่าขนุน ก็ให้รู้จักละอายแก่ใจตัวเองบ้าง ซื้อมาราคาหลักร้อย เอาไปขายราคาหลายพัน ซื้อราคาหมื่นเอาไปจำหน่ายเป็นแสน ทำไมถึงได้คิดจะขูดเลือดขูดเนื้อญาติโยมกันขนาดนั้น ?"
"ส่วนบางคนก็ต้องบอกว่าบ้า..! ทางวัดคิดค่าส่งตามน้ำหนักวัตถุมงคล ก็มาบ่นว่าแพง แต่เวลาซื้อต่อจากคนอื่นเป็นหมื่นเป็นแสนกลับไม่บ่นสักคำ..!?
ขอบอกกับทุกท่านว่า ถ้าคิดว่าแพงก็ให้สละสิทธิ์...! ไม่ต้องบูชาของแพงไปให้ลำบากใจตนเอง คนที่ไม่คิดว่าแพงเขามี และต้องการจะบูชาอยู่ ถ้าท่านสละสิทธิ์เขาจะดีใจกันมาก"
"ส่วนท่านที่ไม่สามารถจองบูชาได้ เพราะยังติดขัดด้วยเหตุประการใดก็ตาม ยังมีวัตถุมงคลชุดนี้อยู่อีก ๓ เนื้อ ประมาณ ๙,๐๐๐ องค์ รอให้เจ้าหน้าที่จัดการยืนยันตัวตนในการสมัครของท่านให้เรียบร้อย ทางวัดก็จะนำออกให้บูชาอีก
อย่าไปซื้อต่อจากคนอื่นด้วยราคาแพง จะกลายเป็นการสนับสนุนให้คนโลภเข้ามาแย่งสิทธิ์ของเรา แล้วเอาของมาขายให้เราในราคาที่สูงมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่อาตมารับไม่ได้...!"
"สิ่งหนึ่งที่อยากจะตักเตือนทุกคนก็คือว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หน้าที่ของเราก็คือรักษากำลังใจของตนเองให้ดีที่สุด อย่าให้กิเลสนำหน้าตัณหานำทาง ไม่อย่างนั้นท่านจะหลงทางไปไกล ห่างจากมรรคจากผลไปอีกหลายชาติ..!"
"ทางวัดท่าขนุนยกเลิกงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร งานบรรพชาหมู่สามเณรภาคฤดูร้อน งานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม และงานทำบุญสงกรานต์ เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี
ทางคณะสงฆ์ต้องให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลที่ขอความร่วมมือมา แม้ว่าจะมีช่องทางให้สามารถจัดงานได้ ซึ่งทางราชการได้ระบุว่า วัดที่มีศักยภาพ สามารถระมัดระวังและคัดกรองผู้ติดไวรัส covid-๑๙ ได้ ก็ให้จัดงานได้ตามที่ต้องการ"
"วัดท่าขนุนเป็นวัดที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานคุณธรรมบริษัทมุลเลอร์กรุ๊ป เว็บไซต์คุณธรรมออนไลน์ palungjit.org เว็บไซต์คุณธรรมวัดท่าขนุน ตลอดจนคณะกรรมการบ้านเติมบุญ และคณะรวมใจภักดิ์ของท่านอาจารย์วิชชุ อารมณ์ดีทุกท่าน
ซึ่งได้ลงทุนซื้อเครื่องไม้เครื่องมือเตรียมการคัดกรองผู้ติดไวรัส covid-๑๙ ตลอดจนกระทั่งเครื่องป้องกัน ทั้งหน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ล้างมือ ไปนับแสนบาท
แม้กระทั่งซุ้มพ่นยาฆ่าเชื้อก็จัดหามาด้วย แต่เมื่อทางคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ขอความร่วมมือให้งดการจัดงานซึ่งมีคนมาก ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อาตมาก็ต้องตัดใจยกเลิกการจัดงาน"
"อีกส่วนหนึ่งก็คือทางคณะบายศรี ซึ่งพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม วัดปากน้ำภาษีเจริญ และคณะศิษย์ ได้สั่งให้ทำไปแล้ว ก็ต้องจ่ายเงินฟรีเช่นกัน
ถ้าอาตมาจะรั้นว่าเราเป็นวัดที่มีศักยภาพ แล้วดื้อจัดงานต่อไป ทางคณะสงฆ์ก็คงไม่อาจจะทำอะไรได้ แต่จะเกิดความเสียหายใหญ่ขึ้นมาทันที
เพราะว่าเมื่อมีผู้แหกคอกรายที่ ๑ ก็จะมีรายที่ ๒ รายที่ ๓ ต่อไป โดยอ้างว่าทำไมรายที่ ๑ ถึงทำได้ ? แล้วระเบียบก็ไม่เป็นระเบียบ วินัยก็ไม่เป็นวินัย การแพร่ระบาดของเชื้อโรคก็จะอยู่นอกเหนือการควบคุมทันที..!"
"การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ตามคำสั่ง เป็นการแสดงออกชัดว่าเรามีศีลหรือไม่ ? เพราะว่าเป็นการงดเว้นตามข้อห้ามเช่นเดียวกัน ถ้าท่านสามารถปฏิบัติตามระเบียบที่ยากลำบาก หรือต้องเสียสละมาก ๆ ได้ ก็มั่นใจได้ว่าท่านสามารถรักษาศีลให้สมบูรณ์ได้เช่นกัน
วัดท่าขนุนงดการจัดงานทั้งหลายที่กล่าวไปข้างต้น ตลอดจนงดการรับสังฆทานและสอนกรรมฐานที่บ้านเติมบุญ อย่างเก่งก็สูญเสียรายได้ไม่เกิน ๔ - ๕ ล้านบาท
แต่วัดใหญ่อย่างวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ประกาศงดการจัดงานประจำปี ซึ่งมีรายได้ถึง ๓๐ - ๔๐ ล้านบาท หรือวัดโสธรวราราม ปิดวัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ทำให้สูญเสียรายได้วันหนึ่งนับล้านบาท"
"เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วัดท่าขนุนของเราเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ เท่านั้น วัดใหญ่ที่มีรายได้มากขนาดนั้นยังเสียสละได้ ทำไมเราจะเสียสละบ้างไม่ได้ ?
ถ้าการเสียสละของเราทำให้หยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ลงได้ ทำให้หมอตลอดจนกระทั่งหน่วยราชการทำงานได้ง่ายขึ้น จัดการให้โรคระบาดหมดไปจากประเทศไทยเราได้เร็วขึ้น ก็ถือว่าคุ้มค่าทุกประการ"
"เมื่อเป็นดังนั้น ญาติโยมทั้งหลายที่ทั้งบ่นก็ดี ระบายความในใจทางโซเชียลก็ดี โปรดละ เลิก การกระทำของตนเองเสีย และปฏิบัติตามสิ่งที่ทางราชการขอความร่วมมือมา จึงจะไม่เสียทีที่บอกว่าเป็น ลูกศิษย์วัดท่าขนุน"
"ช่วงนี้เมื่อจะลงฟังพระปาฏิโมกข์ หรือสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ทางวัดท่าขนุนต้องจัดสถานที่ใหม่ การลงฟังพระปาฏิโมกข์ ต้องนั่งห่างกัน ๑ ช่วงแขน เพื่อให้เป็นไปตามพระวินัย ที่การลงสังฆกรรมต้องนั่งให้ได้หัตถบาส คืออยู่ในระยะที่มือเอื้อมถึง
ส่วนการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น วันละ ๓ ครั้ง ทางวัดท่าขนุนปรับลดเหลือแค่ทำวัตรเช้าเย็นวันละ ๒ ครั้ง แต่ละรูปต้องนั่งห่างกัน ๑.๕ เมตร และใส่หน้ากากอนามัยทุกรูป
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือความร่วมมือของคณะสงฆ์ ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม นี่ไม่ใช่คำพูดใหญ่โตเกินเหตุ เพราะว่าถ้าเกิดมีผู้ติดเชื้อขึ้นมาสักคนหนึ่ง ก็จะเดือดร้อนต่อส่วนรวมทั้งหมด..!"
"เราจะเห็นว่าบรรดา "ผีน้อย" ที่กลับจากประเทศเกาหลีใต้ก็ดี บรรดาลูกท่านหลานเธอที่กลับจากการเที่ยวต่างประเทศก็ดี เมื่อมาแล้วก็ไม่ยอมกักตัว หากแต่ไปกินหมูกระทะบ้าง ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์บ้าง
คนทั้งหลายเหล่านี้กลายเป็นต้นเหตุให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ อย่างรุนแรง ก็เพราะการขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อตนเอง ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อครอบครัว จนกลายเป็นการขาดจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อสังคม..!
ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นผู้ขาดจิตสำนึกในการรับผิดชอบ แต่พอเดือดร้อนขึ้นมาก็ไปเรียกร้องเอาจากรัฐบาล เรียกร้องเอาจากหมอ และท้ายที่สุดก็มาเรียกร้องเอาจากสังคม โดยไม่ได้ดูว่าผู้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนนั้นก็คือตนเอง"
"ดังนั้น..ในช่วงระยะเวลานี้ ที่การแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ เป็นไปอย่างรุนแรง ญาติโยมทั้งหลายอย่าเสียเวลาไปด่ารัฐบาล อย่าเสียเวลาไปด่าผู้ที่ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ เพราะว่าด่าไปแล้วก็ไม่อาจทำให้อะไรให้ดีขึ้นมาได้
เก็บพลังงานเอาไว้แก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้นจะดีกว่า การตำหนิติเตียนผู้อื่นนั้น เป็นการแสดงออกซึ่งกำลังใจของเราว่ายังใช้ไม่ได้ ยังไปโทษฟ้าโทษดิน โดยไม่ได้กล่าวโทษโจทย์ตนเอง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้"
"สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ในที่สุดก็ดับไป แต่เรื่องของโรคระบาดครั้งนี้ เราต้องช่วยกันดับให้เร็วที่สุด โดยให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาล อย่าให้ความเห็นแก่ตัวของตน สร้างความเดือดร้อนให้กับคนทั้งสังคม
ภาวะวิกฤตเช่นนี้ การมีภาวะผู้นำเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ทางวัดท่าขนุนจึงต้องทำให้ญาติโยมและวัดอื่น ๆ ได้เห็น เพื่อที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะได้ทำตาม"
"อย่าได้ประมาทคำว่า "ไอดอล" ของฝรั่ง คำนี้มีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่ง ถ้าคนอื่นศรัทธาเชื่อมั่นในตัวของเรา แล้วเราลงมือกระทำสิ่งใด ก็จะมีคนทำตามเป็นจำนวนมาก
"ไอดอล" นี่แหละคือผู้ที่จะแสดงออกถึงภาวะผู้นำ หรือว่าใช้ภาวะผู้นำได้ถูกต้องตามสถานการณ์หรือไม่ ? ถ้าใช้ได้ถูกต้อง ผู้คนจำนวนมากเต็มใจทำตาม ก็จะบรรเทาสถานการณ์วิกฤตให้เบาบางลงได้มาก
อย่ารอให้คนอื่นนำแล้วเราค่อยตาม เราต้องเป็นผู้นำเพื่อให้คนอื่นทำตาม ไม่ว่าท่านจะเป็น "ไอดอล" หรือไม่ ถ้าทำแล้วมีผู้ทำตามเป็นจำนวนมาก ท้ายสุดท่านก็จะเป็นไปเองโดยไม่ต้องมีใครตั้งให้เป็น"
"ขอให้ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ ยอมยากลำบากกับสถานการณ์ในช่วงสั้น ๆ นี้ เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม แล้วโรคนี้ก็จะดับไปตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่สามารถตั้งอยู่ได้นาน เพราะความร่วมมือของเราทั้งหลายเอง
สิ่งที่สำคัญก็คือ อย่าตื่นตระหนกกับไวรัส covid-๑๙ จนลืมไปว่าเรายังมีโรคเอดส์ที่ระบาดรุนแรงไม่แพ้กัน ยังมีภัยแล้งที่พี่น้องชาวไทยต้องเดือดร้อนกันเป็นจำนวนมาก
ต้องช่วยกันระมัดระวัง ใช้ชีวิตโดยไม่ประมาท พยายามช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าช่วยเป็นทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ ก็ช่วยโดยกำลังกาย ช่วยด้วยการให้ปัญญาคือคำแนะนำ ท้ายสุดถ้าช่วยใครไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี"
"ประหยัดน้ำกันคนละลิตร ปิดไฟกันคนละดวง ก็จะช่วยประเทศชาติ ช่วยส่วนรวมได้อย่างมหาศาล ทั้งยังเป็นการสร้างระเบียบวินัยให้เกิดขึ้นกับตัวเอง วิกฤตแต่ละครั้งเกิดขึ้นก็ตั้งอยู่ได้ไม่นาน แต่วินัยนั้นจะติดตัวเราข้ามชาติข้ามภพไป จนกว่าจะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เข้าสู่ฤดูร้อน พระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุนจะออกบิณฑบาตตอนหกโมงเช้า โดยมีเสียงระฆังสัญญาณบอกให้ทุกรูปไปรวมตัวกัน แล้วค่อยแยกสายออกบิณฑบาต
เมื่อเสียงระฆังสัญญาณดังขึ้น หมาทั้งวัดก็จะเห่าหอนพร้อมกัน สมัยยังเป็นเด็กอาตมากลัวมาก ผู้ใหญ่บอกว่าหมาหอนเพราะว่าเห็นผี..! แต่มาสมัยนี้อาตมาแยกออกแล้วว่า เสียงหมาหอนเพราะเห็นผี กับหมาหอนเพื่อกลบเสียงระฆังนั้นต่างกันอย่างไร..!?"
"ที่จะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ เมื่อเวลา ๐๕.๕๕ น. หมาทั้งวัดจะหอนพร้อมกันเหมือนกับได้ยินเสียงระฆัง เมื่อพิจารณาดูแล้วจึงเห็นว่า เป็นความเคยชินที่ฝังติดอยู่ในจิตหรือสมองของหมา ว่าเวลานี้ต้องเห่าหอน แล้วก็ทำหน้าที่นั้นโดยพร้อมเพรียงกัน
ตรงนี้จึงทำให้เห็นว่า สิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงได้สอนอาตมาให้ภาวนาจนชิน เพื่อที่จะถึงเวลาแล้ว ถ้าเราตายตอนนั้น อย่างน้อยก็จะมีสุคติเป็นที่ไป
ขนาดหมายังมีจิตที่มีสภาพจำ แล้วท่านทั้งหลายที่เกิดเป็นคน อยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า มีโอกาสทำความดีได้มากกว่า แล้วจะไม่เพียรพยายามเพื่อตัดชาติตัดภพของตนเองหรือ ?
ถ้าท่านรู้สึกขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ที่จะปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาอยากจะบอกว่า ท่านยังสู้หมาไม่ได้เลย เสียชาติเกิดจริง ๆ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณรในอำเภอทองผาภูมิ โดยเฉพาะในบริเวณตลาดเทศบาลตำบลทองผาภูมินั้น จะมีพระอยู่หลายวัดด้วยกันที่ออกมาบิณฑบาต ได้แก่ วัดท่าขนุน วัดทองผาภูมิ วัดเวฬุวัน วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ วัดจวบจันทร์วนาราม และยังมีพระมอญพระพม่า ที่บิณฑบาตรูปเดียวอีก ๓ ราย ได้แก่ ท่านเอ ท่านอ้วน ท่านอะหั่ง
เนื่องจากคณะสงฆ์มีคำสั่งให้งดการบรรพชาหมู่สามเณรภาคฤดูร้อน แต่ว่าบางวัดอย่างเช่นวัดเวฬุวัน ก็ยังมีญาติโยมนำเอาลูกหลานไปบรรพชาเป็นสามเณร และต้องออกบิณฑบาตทุกรูป
ที่พบก็คือช่วงท้ายของแถวบิณฑบาตวัดเวฬุวัน ห่างออกไปเป็นร้อยเมตร มีสามเณรตัวจิ๋ว น่าจะอายุไม่เกิน ๕ ขวบ เดินรั้งท้ายโดยมีพระพี่เลี้ยง ๑ รูปคอยดูแล สามเณรตัวเล็ก ขาสั้น เดินไม่ทันใคร มืออุ้มบาตรใบโต หน้าตาเหมือนจะร้องไห้อยู่แล้ว พยายามเดินเพื่อตามแถวบิณฑบาตให้ทัน
ที่น่าชื่นชมคือพระพี่เลี้ยงท่านปล่อยวางดีมาก นอกจากกระตุ้นด้วยวาจาให้สามเณรพยายามเดินแล้ว ก็ไม่มีการช่วยเหลืออื่นใดอีก นี่คือการฝึกหัดเยาวชนตัวน้อยของเราที่ถูกต้องที่สุด"
"ปัจจุบันประเทศไทยของเรานั้น บรรดาพ่อแม่มักจะเลี้ยงบุตรหลานแบบโอ๋จนเสียผู้เสียคน จนโตเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวแล้วก็ยังช่วยทำงานทำการอะไรไม่เป็น
เมื่อลูกหลานมาบวชสามเณรภาคฤดูร้อน อย่างของวัดท่าขนุนนั้น ต้องถูศาลา ซักผ้า กวาดวัด บิณฑบาต เรียกง่าย ๆ ว่างานบ้านทำเป็นทุกอย่าง แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งว่าทางบ้านรับช่วงต่อไม่ได้ เมื่อกลับบ้านไปยังคงทำเองอยู่ ๒ - ๓ วัน แล้วแม่ก็แย่งทำจนหมด กลับกลายเป็นเด็กขี้เกียจไปตามเดิม"
"สิ่งใดที่โบราณกล่าวไว้ มักจะเป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกแล้ว โอกาสที่ผิดพลาดไปจากคำกล่าวของโบราณนั้นมีน้อยมาก
ท่านว่า "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ" ถ้าท่านยอมให้ลูกหลานลำบากเสียแต่ต้น ต่อไปก็ไม่มีอะไรลำบากกว่านั้นอีก ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ก็สามารถที่จะต่อสู้ผ่านไปได้อย่างสบาย
แต่นี่ท่านเลี้ยงลูกโดยไม่คิดถึงหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็คือประมาทในชีวิตเป็นอย่างมาก คิดว่าตัวเองไม่มีวันตาย ต้องอยู่ดูแลลูกได้ตลอดไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้"
"ถ้าไม่ยอมให้ลูกลำบาก เด็ก ๆ ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ถ้าไวรัส covid-๑๙ ระบาดมาถึง ท่านติดเชื้อแล้วตายไป ลูกหลานจะอยู่ได้อย่างไร ?
จงอย่าเลี้ยงลูกแบบ "พ่อแม่รังแกฉัน" คือทำอะไรไม่เป็นแม้แต่อย่างเดียว ถึงเวลาพ่อแม่ตาย ทำมาหากินอะไรไม่เป็น ต้องไปขอทานแบบในนิทาน เมื่อมีคนถามก็ตอบว่าโดนพ่อแม่รังแกมา ท่านต้องการให้ลูกของตนเป็นแบบนั้นหรือ ?
จงอย่าประมาทในการดำเนินชีวิต ต้องให้ลูก ๆ ทำอะไรด้วยตนเองให้เป็นโดยเร็วที่สุด เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจะได้เอาตัวรอดได้ในสังคม ไม่เป็นภาระแก่ใคร และยังจะช่วยบรรเทาภาระให้แก่สังคมและประเทศชาติได้อีกด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในวงฉันอาหารวัดท่าขนุน มีต้มขาหมูชามใหญ่ ท่านพัฒน์ (เลขานุการเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน) รายงานว่า วันก่อนหลวงพ่อบอกว่า สมองมีส่วนประกอบของไขมันเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่กินอะไรที่เป็นไขมันเลย บางทีก็เป็นผลร้าย ทำให้สมองเสื่อมได้ เพราะว่าไม่มีส่วนของไขมันที่นำไปสร้างเซลล์สมองใหม่
อาตมาก็คิดว่า สงสัยว่าบรรดาแม่ครัววัดท่าขนุน สมองจะชำรุดหมดแล้ว พอบอกว่าอะไรดีก็ตะบี้ตะบันหามาทุกมื้อ ของทุกอย่างต้องพอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทา จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ น้อยเกินไป หรือมากเกินไป ก็จะก่อให้เกิดโทษได้"
"เหลียวไปดูอีกด้านหนึ่ง เห็นกล้วยหอมเขียว วงละ ๑ จานใหญ่ ท่านพัฒน์บอกว่า หลวงพ่ออ่านงานวิจัยให้ฟัง ว่ากล้วยหอมเขียวมีสารต้านไวรัส covid-๑๙ โยมก็เลยเอากล้วยหอมมาถวายให้เป็นคันรถ..!
นี่คือการที่กำลังใจไม่มีหลักธรรมเป็นเครื่องยึด พอได้ยินว่าอะไรดี ก็ไปกอบโกยหามาจนมากเกินไป มีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นโทษมากกว่า เพราะว่าอาตมาต้องขอให้พระช่วยกันรับผิดชอบ ฉันกล้วยหอมอย่างน้อยรูปละ ๑ ผลต่อมื้อ มีหวังได้เป็นลมตายกันบ้าง..!"
่"ช่วงต้นเดือนมีนาคมซึ่งรับสังฆทานอยู่ที่บ้านเติมบุญ มีโยมนำน้ำมาถวาย ๑ กระบอก แจ้งว่าเป็นน้ำอบเชยผสมผงขมิ้น กินแล้วต้านไวรัส covid-๑๙ ได้ อาตมาเกิดอาการที่วัยรุ่นเรียกว่า "น้ำตาจิไหล"
กลิ่นและรสของอบเชยก็เหลือทนพอแล้ว ยังผสมผงขมิ้นเข้าไปอีก แน่จริงกินเองสิวะ..! อาตมาค่อนข้างมั่นใจว่า คนเอามาถวายก็ไม่กินเองหรอก
สรุปว่าถ้าช่วงนั้นเขาเห่ออะไร อาตมาก็จะกลายเป็นหนูลองยาเมื่อนั้น ถ้าฉันเข้าไปแล้วไม่ตาย โยมก็จะได้ไปกินกันบ้าง..!"
"หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราต้องสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ใช่มาปฏิบัติธรรมแล้ว บางคนหลายสิบปีผ่านไป ก็ยังถือมงคลตื่นข่าวอยู่
อาตมาขอร้องว่า ถ้าคิดว่าอะไรดี จงลองกับตัวเองให้แน่ใจเสียก่อน ถ้าตัวเองไม่ตาย และมีผลดีจริง ๆ ค่อยเอามาถวายพระก็ยังทัน
สรุปว่าอาหารมื้อนั้น พระต้องฉันอย่างอื่นน้อยลง เพื่อให้เหลือที่ในกระเพาะพอที่จะใส่กล้วยหอมลงไปได้ ผู้ถวายคงจะปลื้มใจมาก ที่ได้สร้างความลำบากให้กับพระทั้งวัด ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ปัญหาใหญ่ของทางวัดก็คือโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นของใครในวัดก็ตาม ดังได้ทุกนาที ถามเรื่องเดียวกันหมด ก็คือไม่มีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วจะทำอย่างไร ? ซึ่งอาตมาถือว่าเป็นคำถามที่ค่อนข้างจะปัญญาอ่อน..! ในเมื่อไม่มีการเป่ายันต์เกราะเพชรก็ไม่ต้องทำอะไร แล้วคุณยังจะทำอะไรอีก ?
หลายคนก็พยายามจะล้วงให้ได้ ว่าหลวงพ่อจะแอบเป่ายันต์เป็นการภายในหรือเปล่า ? อาตมาสรุปแทนว่า หลวงพ่อเป็นพระที่เชื่อถือไม่ได้ หน้าไหว้หลังหลอก..! บอกว่าไม่เป่ายันต์ แต่อาจจะไปแอบเป่ากันเอง"
"เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เห็นชัดว่า กำลังใจของบุคคลส่วนใหญ่แล้วต่ำมาก เพราะว่าคนเรากำลังใจมีอยู่แค่ไหน ก็จะคิดแค่นั้น พูดแค่นั้น ทำแค่นั้น และมักจะคิดว่าคนอื่นก็เป็นเหมือนกับตนเอง
เป็นที่น่าเสียดายว่า บุคคลที่มีโอกาสได้เข้าวัด แต่ไม่ใช้โอกาสให้คุ้มกับที่มี ซ้ำยังอาจจะปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว ก่อให้เกิดทุกข์โทษเวรภัยแก่ทั้งตนเองและผู้อื่น
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากกิเลสในใจของตน โดยเฉพาะการขาดความพยายามที่จะสร้างความดีด้วยตนเอง ไปคาดหวังว่าจะได้รับคุณความดีจากผู้อื่น ความคาดหวังนี่แหละ...ที่อาตมาคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ประเทศของเราไม่เจริญมาจนทุกวันนี้..!"
"ทุกวันที่ ๑ และวันที่ ๑๖ เราก็ไปคาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่าจะถูกหวยรวยเบอร์ขึ้นมา เป็นเศรษฐีโดยไม่ต้องทำงานทำการ ซึ่งความหวังเหล่านี้ทำลายชาติของเราให้เสียหายอย่างมาก เพราะว่าประชาชนไม่เป็นอันทำมาหากิน แต่ไปฝากความหวังไว้กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่ลงสู่ทุคติ มีจำนวนมากเท่ากับขนวัว ส่วนบุคคลที่เข้าสู่สุคติ มีจำนวนเท่ากับเขาวัว แค่มองดูก็รู้แล้วว่าจำนวนนั้นต่างกันขนาดไหน
เหตุก็เพราะว่าเราไม่ยอมลงมือทำอะไรจริงจังด้วยตนเอง ฝากความหวังไว้กับสิ่งภายนอก จนลืมสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ไปหวังพึ่งพิงผู้อื่นอยู่เสมอ"
"ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างจริงจังแล้ว ถึงไม่มียันต์เกราะเพชร คุณงามความดีที่ท่านสร้างไว้ ก็จะคุ้มครองรักษาตัวท่านเอง ดังพระบาลีที่ว่า ธมฺมจารี สุขํ เสติ ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข
ดังนั้น...ทุกท่านจึงควรที่จะแสวงหาความดีภายใน ซึ่งมั่นคงและยั่งยืน ดีกว่าการแสวงหาความดีภายนอก ซึ่งไม่ยั่งยืน มีโอกาสชำรุดสูญหาย เสื่อมไปได้ตามเวลา ไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึกอันเกษม
และได้โปรดอย่าเอากำลังใจของตน ไปวัดครูบาอาจารย์ว่าต้องทำอย่างโน้น ควรทำอย่างนี้ ซึ่งโอกาสผิดพลาดมีถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ซ้ำยังอาจจะก่อให้เกิดโทษแก่เราเองอีกด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) มีพระบัญชา ให้ทุกวัดที่มีศักยภาพ ตั้งโรงทานช่วยเหลือประชาชน ซึ่งประสบความยากลำบากจากไวรัส covid-๑๙
โดยการดำเนินการนั้นคือ ให้บุคคลที่เดือดร้อน มารับเอาอาหารกลับไปกินที่บ้านของตน ซึ่งโดยปกติแล้วนั้น อาตมาในฐานะที่ผ่านการฝึกแบบทหารมาก่อน ถือคติที่ว่า "คำสั่งผู้บังคับบัญชาคือเสียงสวรรค์ ทหารต้องทำตามโดยไม่มีข้อแม้"
"แต่ว่าพระบัญชานี้ หากทางวัดท่าขนุนธรรมทำตามเมื่อไร ค่อนข้างแน่ใจว่าจะเป็นการแพร่กระจายเชื้อไวรัสทันที ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้คือ
๑. วัดท่าขนุนเป็นวัดเปิด เนื่องจากว่าถนนเข้าวัดทั้ง ๒ สาย สร้างโดยเทศบาลตำบลทองผาภูมิ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สัญจรเข้าออกบ้านวังท่าขนุน โดยมีข้อตกลงกับทางวัดว่า ห้ามปิดประตู
แล้วยังมีเส้นทางอื่นอีก ได้แก่ ทางด้านสะพานแขวนหลวงปู่สาย ซึ่งช่วยให้ประชาชนจากในตลาดสามารถเข้ามาในวัดได้สะดวกขึ้น และเส้นทางข้ามห้วยทางด้านทิศใต้ของวัด ซึ่งปกติแล้วเป็นเส้นทางออกบิณฑบาตของพระวัดท่าขนุน
เมื่อมีเส้นทางเข้าออกหลายทาง และไม่สามารถที่จะปิดได้ เพราะว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้สัญจร ทำให้ไม่สามารถที่จะควบคุมคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
"๒. ประชาชนในเขตอำเภอทองผาภูมินั้น ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องมอญพม่า เมื่อวัดท่าขนุนมีโรงทานเมื่อไร ก็จะประดังกันมามืดฟ้ามัวดิน ไม่สนใจกฎระเบียบใด ๆ ทั้งสิ้น..!
ในช่วงแรกสมัยที่หลวงปู่สาย ท่านอาจารย์สมเด็จ และ ท่านอาจารย์สมพงษ์ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อวัดท่าขนุนมีโรงทาน แม่ชีชื่น (หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุน) ต้องปากเปียกปากแฉะ บางทีก็ถึงขนาดต้องด่าว่า เพื่อที่จะให้ทุกอย่างมีระเบียบ แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ
ทุกคนมาเพื่อที่จะกอบโกยให้มากที่สุด หอบลูกจูงหลานมากินกันอย่างเต็มที่ แล้วก็ขนเอากลับบ้านไปอย่างชนิดที่ไม่ต้องเกรงใจเจ้าของโรงทาน แม่ชีต้องเครียดทุกครั้ง เพราะว่าบุคคลที่มาจากที่อื่น แทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้บริการจากโรงทานเลย"
"จนมาถึงยุคที่อาตมาเป็นเจ้าอาวาส ให้นโยบายกับแม่ชีว่า ทำอาหารไว้ให้มากที่สุด เราตั้งใจแจกทานอยู่แล้ว เขาช่วยขนไปก็ถือว่าสมกับเจตนาของเรา หมดเมื่อไรก็ปิดโรงทานเมื่อนั้น อาการ "เสียเซลฟ์" ของแม่ชีถึงได้ดีขึ้นมาบ้าง
ในเมื่อสภาพของวัดท่าขนุน และบริบทของประชาชนรอบวัดเป็นแบบนี้ จึงไม่สามารถที่จะกำหนดให้ตั้งแถวโดยยืนห่างกัน ๑.๕ เมตร เพื่อให้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ตามแบบที่หมอและทางราชการกำหนดไว้ให้
ดังนั้น..ถ้าหากว่าทางวัดท่าขนุนตั้งโรงทานเมื่อไร ก็จะกลับกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ไปในทันที กลายเป็นว่าหวังดีแต่ประสงค์ร้าย..!"
"คิดว่าอีกหลายวัด อย่างเช่น วัดไชยชุมพลชนะสงคราม ของพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ก็ไม่สามารถที่จะตั้งโรงทานได้ เพราะว่ามีชุมชนรอบวัดนับ ๑๐ ชุมชน ตั้งโรงทานเมื่อไร โรงพยาบาลคงต้องรับผู้ติดเชื้อกันไม่หวาดไม่ไหว..!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งที่เป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาสูงสุด แต่ทางวัดท่าขนุนก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามได้ เพราะว่าสภาพวัด ตลอดจนกระทั่งประชาชนรอบวัด ไม่เอื้ออำนวยให้ดำเนินการ จึงต้องกราบเท้าขออภัย ต่อพระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชมาเป็นอย่างสูง ณ ที่นี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมามีโรคประจำตัวคือมาลาเรียเรื้อรัง เป็นมาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี จนถึง ๖๑ ปีแล้ว ไม่มีใครรักษาได้ ไม่ว่ายาตำรานั้นจะดีขนาดไหน ยาแผนโบราณ ยาแผนปัจจุบัน ยาพระบอก ยาผีบอก ฉันยาไปแล้วรวมกันน่าจะเกิน ๑๐ ตัน สภาพร่างกายย่ำแย่ เพราะว่ายาบางตัวนั้น บีบจนตัวเราจะตาย แต่เชื้อโรคกลับไม่ตาย..!
ขนาดนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหายได้ มียาอยู่ตัวหนึ่งที่ไปกดภูมิคุ้มกัน ทำให้อาตมาเป็นคนไม่มีภูมิคุ้มกัน เหมือนกับคนเป็นโรคเอดส์ ใครเป็นโรคอะไรติดเชื้อผ่านมาใกล้ อาตมาจะเป็นไปด้วยทันที ทุกครั้งที่ต้องพบปะกับผู้อื่น มักจะได้โรคภัยไข้เจ็บมาเสมอ โดยเฉพาะช่วงรับสังฆทานและสอนกรรมฐานต้นเดือน ต้องนอนซมไปอย่างน้อยก็ ๒ - ๓ วัน"
"เมื่อไวรัส covid-๑๙ ระบาด อาตมาก็คิดว่าแย่แน่ งานนี้คงจะรับมาแล้วเป็น Super spreader ได้แพร่ให้กับผู้อื่นโดยไม่ต้องนับ กลายเป็นคนดังของโลกอย่างแน่นอน
ช่วง ๒ - ๓ วันนี้ มีอาการเจ็บคอ ก็หลงดีใจว่าเราได้รับเชื้อแล้ว จะได้ทำการแพร่กระจายตามประสาคนมีเมตตามาก ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นให้เต็มที่ แต่ที่ไหนได้..ดันมีน้ำมูกตามมาด้วย...!
จากเอกสารการระมัดระวังป้องกันเบื้องต้น ที่ทางราชการแจกให้ ระบุว่าหากติดเชื้อไวรัส covid-๑๙ จะมีอาการไอแห้ง ๆ ไม่มีน้ำมูก จึงทำให้อาตมาต้องผิดหวังมาก คิดจะเป็นคนดังเสียหน่อย ก็ไม่ค่อยจะสมหวัง ยังคง "โนเนม" เหมือนเดิม"
"อาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ส่วนหนึ่งมาจากกรรมปาณาติบาต ซึ่งตัวของอาตมาเองนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านช่วยรับรองให้ว่า เป็นทหารมาทุกชาติ รบราฆ่าฟันสร้างกรรมปาณาติบาตไว้มหาศาล ชาตินี้จะต้องป่วยหัวอาทิตย์ท้ายอาทิตย์
แต่ครูบาอาจารย์ท่านก็ยังเมตตา บอกวิธีแก้ไขให้ว่า ให้ไปปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นว่าปลาในตลาด อย่างน้อยเดือนละตัวสองตัว ทำให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ แล้วจะบรรเทากรรมส่วนนี้ลงไปได้"
"อาตมภาพเป็นคนเชื่อครูบาอาจารย์ เมื่อท่านบอกก็กระทำตาม โดยการปล่อยชีวิตสัตว์เป็นประจำทุกเดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ มาจนถึงปัจจุบัน ปล่อยทั้งสัตว์สี่เท้า สัตว์สองเท้า สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ปีก รวมแล้วหลายล้านชีวิต เนื่องจากเวลาเห็นว่าเขานอนตาปริบ ๆ รอความตาย ก็ทำใจไม่ได้ที่จะซื้อแค่ตัวสองตัว ต้องเหมาหมดทุกครั้ง ช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดไปได้จำนวนมหาศาล
ผ่านไป ๓๐ กว่าปี อาตมาเบื่อหน่ายที่จะกินยาแล้ว จึงทิ้งยาประจำทั้งหมด กลายเป็นว่าสุขภาพดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะกรรมตรงนี้เริ่มบรรเทาลงก็ได้ ทำให้เห็นความน่ากลัวของกรรม ซึ่งคอยตามสนองผู้กระทำอยู่เสมอ
หากว่าท่านทั้งหลายยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อย่างไรเสียก็หนีกรรมตรงนี้ไปไม่พ้น จึงขอให้ทุกท่านตั้งหน้าตั้งตาทำความดีหนีกรรมให้เต็มความสามารถ ถ้าหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ กรรมทั้งหลายก็จะสิ้นสุดลง ได้เป็นอโหสิกรรมไปโดยอัตโนมัติเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปหมด ก่อนนี้แม้มีคนคิดว่าสามารถทำงานอยู่กับบ้านได้ แต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุน ยกเว้นพวกธุรกิจอิสระบางราย แต่ตอนนี้แทบทุกหน่วยงาน ต่างก็สนับสนุนให้คนของตัวเองทำงานอยู่กับบ้าน
การออกไปเที่ยวเตร่เฮฮาเถิดเทิงนอกบ้าน ก็กลายเป็นว่าเลิกไปโดยปริยาย อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน พ่อแม่ลูกเมียได้เห็นหน้ากันมากขึ้น อาจจะช่วยให้สถาบันครอบครัวมั่นคงยิ่งขึ้น
การใช้รถยนต์ที่ผลาญน้ำมัน ซึ่งเป็นรายจ่ายมหาศาลที่สุดของประเทศชาติ ก็ลดน้อยถอยลง ถนนในกรุงเทพฯ เกือบจะเป็นถนนในเมืองร้าง ทำให้ประหยัดงบประมาณของชาติและรายจ่ายของประชาชนไปอย่างมหาศาล"
"การไปนั่งกินอาหารนอกบ้าน ซึ่งทำให้มีรายจ่ายสูงมาก ก็กลายเป็นการทำอาหารกินเองในบ้าน ได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ได้ฝึกซ้อมฝีมือการทำอาหาร ได้รื้อฟื้นบรรยากาศรักใคร่กลมเกลียวกันในบ้านขึ้นมาใหม่
เท่ากับว่าทำให้พวกเราส่วนใหญ่ได้ปฏิบัติธรรมตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ โดยละเว้นจากอบายมุข คือ การดื่มสุรา การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูการละเล่น ฯลฯ กลายเป็นคนดีของครอบครัว เป็นประชาชนที่มีคุณภาพของประเทศชาติ โดยการบังคับของไวรัส covid-๑๙ ซึ่งความจริงแล้วก็คือความกลัวตายของเรานั่นเอง"
"เมื่อการใช้รถใช้ถนนน้อยลง อุบัติเหตุย่อมน้อยลงไปด้วย ประเทศของเราซึ่งการตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์มาเป็นอันดับ ๑ ก็จะลดน้อยถอยลงไปมาก อากาศบริสุทธิ์ขึ้น ฝุ่น PM ๒.๕ ที่เรากลัวกันมาก ก็อาจจะหายไปเลยทีเดียว
ผู้คนส่วนหนึ่งกลับบ้านต่างจังหวัด ซึ่งถ้ามีการห้ามเดินทางข้ามจังหวัด ก็ต้องหาอยู่หากินกับไร่นาของตน ย้อนกลับไปใช้ชีวิตตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเอง เท่ากับดำเนินการตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปโดยปริยาย
ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหนแก้ได้สำเร็จ ตอนนี้ไม่ต้องแก้ไขก็แทบจะไม่มีรถวิ่ง การพึ่งพาตนเองตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงดำเนินเป็นแบบอย่างมานานหลายสิบปี ก็จะปรากฏประโยชน์ชัดในระยะนี้ บุคคลที่ทำตามย่อมสามารถที่จะอยู่ได้โดยไม่ลำบาก ใครที่เริ่มต้นใหม่ก็ต้องทนกับความลำบากในระยะแรกไปก่อน"
"ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสทองของพวกเรา ที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เมื่อเรายืนได้มั่นคงแล้ว ก็ช่วยประคับประคองคนอื่น ถ้าทุกคนทำตามพระราชดำริ อยู่โดยระบบเศรษฐกิจพอเพียง ประเทศชาติของเราก็จะมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีโดยไม่ต้องทำอะไรมากนัก
การได้อยู่กับท้องไร่ท้องนา อยู่กับสายลมแสงแดด ทำการงานซึ่งเป็นการออกกำลังกายไปในตัว กินอาหารที่มาจากไร่นาของตนเอง ปราศจากมลพิษ ย่อมทำให้สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง อายุยืนนาน
เวลาที่เหลือเราก็สวดมนต์ไหว้พระ เข้าวัดทำบุญ แม้ว่าจะยากสักนิดหนึ่ง ที่ต้องปฏิบัติตามหลักการคัดกรองโรค แต่วัดก็ยังเปิดสำหรับสาธุชนอยู่เสมอ อาจจะฟื้นวิถีชีวิตแบบโบราณ ซึ่งทุกคนอยู่ในศีลกินในธรรมให้กลับคืนมา พระพุทธศาสนาย่อมเจริญรุ่งเรือง ทำให้ประเทศชาติมั่นคงไปด้วย"
"เรื่องหนึ่งที่บ้านเราไม่นิยม เพราะว่าไม่มั่นใจในความปลอดภัย ก็คือการทำธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์ ก็คงจะได้เฟื่องฟูขึ้นในระยะนี้ แต่อาจจะทำให้ธนาคารต้องปิดสาขาไปเลย เพราะว่าผู้คนไม่ไปใช้บริการ หรือว่าใช้บริการกันน้อยมาก จนไม่คุ้มค่าที่จะเปิดสาขากันต่อไป
ส่วนที่เริ่มได้รับความนิยม คือการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และการสั่งซื้ออาหารแบบส่งตรงถึงบ้าน อาจจะได้รับคำสั่งซื้อชนิดที่ส่งไม่ทัน แต่ว่าสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งก็คือ บริการที่รวดเร็ว ซื่อสัตย์ ซื่อตรง สินค้ามีคุณภาพตามที่โฆษณาเอาไว้"
"โบราณว่า "ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน" ถ้าหากว่าบริการดี สินค้ามีคุณภาพ ส่งถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว ก็จะมีการบอกต่อกันในโลกออนไลน์ แล้วลูกค้าจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่วนที่ยากลำบากก็คือ การรักษาระดับคุณภาพสินค้า และคุณภาพของการบริการ ให้อยู่ในระดับเดียวกันตลอดเวลา
จะเห็นได้ว่าปัจจัยพื้นฐานของชีวิตเรานั้น ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค นอกเหนือจากนี้แล้วเป็นส่วนที่สามารถขาดได้ คือไม่มีความจำเป็นต่อชีวิตมากนัก เพียงแค่อำนวยความสะดวกให้กับเราเท่านั้น"
"หลักธรรมที่สำคัญในระยะนี้ ซึ่งจำเป็นต้องมีก็คือ หลักสันโดษ หรือ ความพอเพียง ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงแปลไว้นั่นเอง ประกอบด้วย
๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา
๒. ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่ตนหาได้
๓. ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน
ดังนั้น..สันโดษไม่ได้แปลว่าต้องจน หากแต่เป็นการทำตนให้สมกับฐานะ หรือถ้าใครสามารถโลว์โปรไฟล์ ทำตนให้ต่ำกว่าฐานะของตนเองได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ประเสริฐยิ่ง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อบนท้องถนนไม่มีรถยนต์ หรือนาน ๆ จะมีมาสักคันหนึ่ง บางคนถึงกับกลัว เพราะว่าสูญเสียความเคยชิน โดยที่ไม่รู้ว่าความเคยชินนั่นแหละ ที่สร้างความเสียหายให้กับนักปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง
เมื่อเราอยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ จนคุ้นชินกับที่นั่นแล้ว สภาพจิตจะเกิดความรู้สึกว่าปลอดภัย ก็เริ่มขาดการระมัดระวัง เป็นเหตุให้ขาดสติ โดนกิเลสทำลายได้ทุกเวลา"
"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบัญญัติธุดงควัตรขึ้นมา เพื่อให้พระของเราได้ไปในสถานที่ต่าง ๆ อันไม่คุ้นเคย สภาพจิตก็จะตื่นตัว ด้วยความกลัวเกรงว่าเป็นที่ไม่คุ้นชิน อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้
ดังนั้น..หลายท่านเมื่อเปลี่ยนที่นอน ก็มักจะนอนไม่หลับ โดยให้เหตุผลว่าแปลกที่ แต่ความจริงก็คือสภาพจิตไม่คุ้นชิน ทำให้เกิดการหวาดระแวงอันตราย จึงนอนไม่หลับเหมือนกับสถานที่ซึ่งเราคุ้นชิน
โดยที่หารู้ไม่ว่า สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว สภาพจิตที่ตื่นอยู่เสมอ จึงจะรู้เท่าทันกิเลส และสามารถป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดได้ทัน ถ้าสภาพจิตขาดการตื่นรู้ ขาดสติ ก็ย่อมจะโดนกิเลสกินได้ตลอดเวลา"
"เราจึงต้องฝึกตนเองให้มีสภาพจิตที่ตื่นอยู่เสมอ จะหลับหรือว่าจะตื่น สภาพจิตต้องมีการตื่นรู้เท่ากัน จะได้ระมัดระวัง ไม่ไปก่อสาเหตุแห่งกิเลส จนกิเลสนั้นเจริญงอกงามได้
ไม่อย่างนั้นแล้วบุคคลทั่วไป ต่อให้กลางวันระมัดระวังมากแค่ไหน กลางคืนก็มักเสียท่ากิเลสอยู่เสมอ บางท่านกลางวันไม่กล้าเหยียบแม้แต่มดสักตัว กลางคืนฝันว่าฆ่าเขาไปหลายศพ บางคนสำรวมแม้แต่เพศตรงข้ามก็ไม่กล้ามอง กลางคืนฝันว่าปล้ำลูกชาวบ้านเขาไปแล้ว"
"ท่านทั้งหลายจึงต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติ จนสภาพจิตมีการตื่นรู้ กำหนดการภาวนาเองโดยอัตโนมัติ แล้วเราใช้สตินั้นประคับประคองการตื่นรู้เอาไว้ อย่าเผลอให้หลุดไปไหน ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะพ้นมือกิเลสได้ชั่วคราว เพราะว่าสภาพจิตที่อยู่กับปัจจุบันธรรม ไม่สามารถเกิด รัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นมาได้
แต่ถ้าเผลอหลุดไปเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะมาเป็นฟ้าถล่มดินทลาย เพราะว่าโดนเก็บกดเอาไว้ กิเลสกลัวว่าตัวเองจะตาย ถึงเวลาก็ดิ้นรนอย่างเต็มที่ ท่านก็จะประสบกับอาการกรรมฐานแตก จิตตก สมาธิตก ซึ่งสำหรับนักปฏิบัติแล้ว ก็เหมือนกับตกนรกดี ๆ นี่เอง..!
ฉะนั้น.. ต้องพึงระวังเอาไว้เสมอ ถึงการอยู่กับลมหายใจเข้าออก จะเป็นการพ้นกิเลสแค่ชั่วคราว ก็ขอให้ได้พ้นไปก่อน สภาพจิตที่ไม่ส่งส่ายวุ่นวาย ย่อมพาให้ปัญญาเกิด แล้วจะเห็นช่องทางว่า ทำอย่างไรจะรักษาความสงบเย็นของจิต เอาไว้ให้ได้นานเท่าที่เราต้องการ จนกว่ากำลังของสมาธิและปัญญาจะเพียงพอ ในการประหารฆ่ากิเลสลงไปได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาออกคำสั่งเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ปิดวัด ห้ามคนในออก ห้ามคนนอกเข้า นอกจากการบิณฑบาตตามปกติแล้ว ไม่ว่าจะการงานใด ๆ ที่ต้องมีคนนอกเข้าออกเพื่อทำงานให้วัด ต้องยกเลิกไปจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
จะว่าไปแล้วในเรื่องของการเข้าวัดทำบุญ ไม่ควรที่จะมีการห้ามใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ในวาระที่ไม่ปกติ เราจะเอาเหตุผลปกติมาใช้ไม่ได้ ควรที่จะทำตามโดยไม่มีข้อแม้ ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะเป็นผู้แพร่กระจาย หรือได้รับเชื้อไวรัสโดยไม่รู้ตัว"
"แบบเดียวกับต่างประเทศ ที่ทำแชลเลนท์ท้าทายต่าง ๆ เพื่ออวดว่าไวรัส covid-๑๙ ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่จำเป็นต้องป้องกัน ด้วยการเลียโถส้วมแข่งกัน
ในที่สุดก็มีคนติดเชื้อไวรัสจากการเลียโถส้วม ซึ่งไม่มีใครเวทนาเลย นอกจากสมน้ำหน้า เป็นการใช้ชีวิตที่ประมาท ขาดสติ ท้าทายกรรม จนในที่สุดกรรมก็ตามสนอง สมเจตนารมณ์ของตนทุกประการ
ส่วนในประเทศอิตาลี นายกเทศมนตรีเมืองมิลานต้องไลฟ์สด ด่าประชาชนภายใต้การปกครองของตนเอง ที่ใช้ชีวิตโดยประมาท เห็นว่าตัวเองยังไม่ติดเชื้อ ก็ไม่ยอมละทิ้งความเคยชิน ยังออกไปสวนสาธารณะ ออกไปสังสรรค์ในพื้นที่สาธารณะ โดยไม่สนใจคำเตือนหรือข้อห้ามของทางราชการ จนอิตาลีกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อนอกเมืองจีนมากที่สุดในโลก และมียอดการเสียชีวิตสูงสุดในโลก กระนั้นก็ยังมีผู้ไร้จิตสำนึก ทำตนจนกระทั่งนายกเทศมนตรีทนไม่ได้ ต้องออกมาด่าประจานกัน"
"อาตมาแค่ปิดวัดท่าขนุน ทางรัฐบาลแค่ขอความร่วมมือให้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน ถ้าไม่มีความจำเป็นระดับถึงแก่ชีวิต หรือทำให้งานส่วนรวมเสียหายมาก โปรดกรุณาใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน อย่าได้ออกไปสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัวเองและผู้อื่น
ถ้าเรายังยอมรับความลำบาก ความไม่เคยชิน ไม่เกิน ๓ อาทิตย์ ทุกอย่างก็จะอยู่ในความควบคุม เจ้าหน้าที่แพทย์พยาบาล ตลอดจนทางราชการก็ทำงานง่ายขึ้น สามารถเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บได้เร็วขึ้น ช่วยให้ตัวเราและคนที่เรารักปลอดภัยได้เร็วขึ้น
โปรดเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของชาติบ้านเมือง เราจะได้เดินไปด้วยกัน มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับไวรัสด้วยกัน และท้ายที่สุด..ได้รับชัยชนะร่วมกัน"
"แม้ว่าจะห้ามเข้าออกวัด แต่กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น พระภิกษุสามเณรยังต้องออกบิณฑบาต ก็ด้วยเหตุ ๒ ประการ
๑. พระภิกษุสามเณรก็คือคนทั่วไป ยังต้องการอาหารเพื่อดำรงธาตุขันธ์นี้ไว้รักษาพระพุทธศาสนา
๒. ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายต้องการที่พึ่งทางใจ ยิ่งในภาวะวิกฤต การได้เห็นพระภิกษุสามเณร นับเป็นมงคลใหญ่ตามมังคลสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้"
"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การออกบิณฑบาตจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก และทำให้เห็นอัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงบัญญัติวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ แก่พระภิกษุสามเณร ได้เหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัย
เช่น การเดินบิณฑบาตต้องทิ้งช่วงห่างกัน พอให้คนวิ่งรอดได้ เพราะว่าในสมัยพุทธกาล ผู้คนขับไล่โจรมา โจรไม่กล้าวิ่งลอดแถวพระภิกษุสงฆ์ เพราะเกรงว่าจะติดกาลกิณี ยอมให้ชาวบ้านทุบตาย แม้ว่าจะเป็นไปด้วยความเขลา ขาดปัญญาในการปฏิบัติ แต่ก็เพราะพระภิกษุสามเณรเป็นเหตุ
องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ จึงต้องมีพระพุทธบัญญัติ ให้พระภิกษุสามเณรเดินทิ้งช่วงห่างกัน กลายเป็น Social Distancing ที่ถือปฏิบัติมาสองพันกว่าปีแล้ว
การฉันในบาตร การห้ามฉันร่วมภาชนะเดียวกัน ก็เป็นการป้องกันการติดโรคได้ดียิ่ง การปลีกตัวออกจากหมู่ ก็เปรียบได้กับการกักกันตัวเองในปัจจุบันนี้เช่นกัน"
"แม้ว่าสถานการณ์คับขันเพียงไร คนไทยก็ยังมีอารมณ์ขัน นำเอาการเว้นช่วงทางสังคม มาล้อเลียนกันเป็นที่สนุกสนาน เปลี่ยนอารมณ์เครียดมาเป็นอารมณ์ขันได้แบบน่ารักยิ่ง
หลวงวิจิตรวาทการกล่าวไว้ว่า "ฯลฯ เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์ แต่คนที่ควรชมนิยมกัน ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา ฯลฯ" ทำให้เห็นลักษณะนิสัยว่า คนไทยของเรานั้น ถึงแม้มีวิกฤตการณ์เพียงไหนก็ตาม ก็ยังสามารถสนุกสนานเฮฮาได้ในทุกเรื่อง
นิสัยแบบนี้บางคนบอกว่าจับจด ทำอะไรไม่จริงจัง แต่กลับทำให้เรามีความสุขมากกว่า ไม่เครียดจนเป็นโรคประสาท นำเอามัชฌิมาปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาใช้ได้ถูกต้องกับสถานการณ์ทีเดียว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลังจากปิดวัดแล้ว วัดท่าขนุนเปิดศาลาร้อยปีหลวงปู่สาย เฉพาะเวลาทำวัตรเช้า-เย็นเท่านั้น แต่ยังคงเปิดเสียงธรรมะตามสายวันละ ๔ เวลาเท่าเดิม เมื่อไม่มีคนพลุกพล่าน วัดก็ดูสงบขึ้นมาก แต่ว่า..งานทั้งหมดที่ทางคณะสงฆ์ช่วยกันทำมา พังบรรลัยไม่เหลือชิ้นดีเลย..!"
"พระเดชพระคุณพระธรรมโพธิมงคล รักษาการเจ้าคณะภาค ๑๔ เป็นพระเถระเจ้าคณะปกครองที่ทุ่มเทเพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต ท่านให้นโยบายแก่พระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามารับตำแหน่งว่า "พระบวชเข้ามาแล้ว เมื่อสึกไปอย่าให้ไปพูดได้ว่าบวชแล้วสบาย เราต้องเคี่ยวเข็ญอบรม ทั้งทางวิชาการ ทั้งกรรมฐาน การสวดมนต์ทำวัตร การศึกษาพระธรรมวินัยให้หนัก สึกไปแล้วเขาจะได้มีอะไรดี ๆ ติดตัวไปบ้าง"
พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ก็รับสนองนโยบาย มาดำเนินการต่อ โดยเฉพาะอาตมาเอง ร่วมวางโครงการว่า "จะจัดงานวัดอย่างไรให้มีโยมมากกว่าพระ" เพราะว่าเท่าที่สังเกตมา ปัจจุบันนี้เวลาวัดต่าง ๆ มีงาน ส่วนมากแล้วแต่ละวัดจะมีพระไปร่วมงานมากกว่าโยมที่เข้าวัด"
"เมื่อพิจารณาดูสาเหตุแล้ว วัดที่มีโยมเข้ามากกว่าพระ เพราะว่ามี ๒ อย่างด้วยกัน ได้แก่
๑. เจ้าอาวาสขลัง คือ เป็นหมอดู เป็นพระเกจิอาจารย์ เป็นนักเทศน์ เป็นนักพัฒนา เป็นนักสอนกรรมฐาน เป็นต้น
๒. มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัด เช่น พระปฐมเจดีย์ หลวงพ่อวัดไร่ขิง พระแท่นดงรัง แม้กระทั่งไอ้ไข่ เป็นต้น
ทั้งสองสิ่งนี้สามารถดึงคนเข้าวัดได้มาก วัดใดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือว่ามีต้นทุนใหญ่อยู่ในมือ ถ้าวัดไหนไม่มี ก็ต้องสร้างเจ้าอาวาสให้เป็นพระอาจารย์ขลังให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระนักเทศน์ พระนักพัฒนา พระเกจิอาจารย์ พระกรรมฐาน อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าเป็นทุกอย่างได้ก็จะสุดยอดมาก"
"วัดท่าขนุนจึงพยายามที่จะเป็นต้นแบบ ทำสิ่งต่าง ๆ เป็นแนวทางให้เพื่อนพระสังฆาธิการได้เดินตาม ผู้บังคับบัญชาอย่างเช่นเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ได้ช่วยกันมอบนโยบายให้
อย่างเช่น มีเทศน์ทุกวันอาทิตย์ มีการทำบุญทุกวันพระ มีการสวดมนต์เสริมบารมีทุกวัน มีการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ มีการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เป็นต้น วัดใดถนัดที่จะทำโครงการไหน ก็ให้ทำไปตามโครงการนั้น เพื่อดึงญาติโยมรอบวัดให้เข้ามาในวัดก่อน หลังจากนั้นค่อยกล่อมเกลากันด้วยหลักธรรมอีกทีหนึ่ง"
"ปรากฏว่าโครงการทุกอย่างที่กำลังเป็นไปด้วยดี เจอฤทธิ์ไวรัสควายขวิดเข้า..! ก็พังบรรลัยหมด เพราะว่าต้องปิดวัดหนีไวรัส โครงการทุกอย่างที่ทำไว้เพื่อดึงคนเข้าวัด ลงทุนมาหลายปี คนเริ่มเข้าวัดมากขึ้น กลายเป็นคนมาวัดแล้วโดนปิดประตูใส่หน้า ไม่ให้เข้าวัดเสียอย่างนั้น กลายเป็นลงทุนสูญเปล่า เหนื่อยยากมาหลายปี แล้วก็ทำให้พังลงด้วยตัวเอง กลายเป็นเขียนด้วยมือแต่ลบด้วยเท้า..!
ต้องบอกว่า "มาร" เก่งมาก แก้เกมส์ครั้งนี้ได้แสบสุด ๆ แต่ถึงยกนี้จะแพ้เอ็ง ก็อย่าหมายว่าข้าจะท้อ สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร..! เรายังต้องรบกันอีกนาน ถึงไม่มีข้าแล้ว ก็ยังมีบุคคลที่จะสืบทอดปณิธาน เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่เมืองไทยตลอด ๕,๐๐๐ ปี เรามาดูกันต่อไป..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพัสดุไปรษณีย์มาถึงวัด ทิดยิ่งศักดิ์ พนักงานไปรษณีย์ เป็นอดีตพระวัดท่าขนุน นำมาส่งให้ หลังจากอาตมาเซ็นรับพัสดุกล่องใหญ่มากแล้ว ก็สงสัยว่าโยมส่งอะไรมาถึงได้หนักขนาดนี้ ?
เปิดออกมาดูแล้วจะเป็นลม..! มะม่วงสุกเป็นสิบลูก..! ถึงจะเป็นมะม่วงหัวช้างก็เถอะ สุกงอมขนาดนี้ ส่งมาทางไปรษณีย์ก็เหลือแต่ทำน้ำมะม่วงได้เท่านั้น..!
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพระธรรมหมวดใดก็ตาม ก็มักจะแทรกปัญญาเอาไว้เสมอ หลักไตรสิกขา ที่พุทธศาสนิกชนทุกคนจำต้องศึกษา ก็บอกชัดว่าประกอบด้วย ศีล สมาธิและปัญญา
แต่ญาติโยมทำบุญมาแบบนี้ อาตมาก็สงสัยเหลือเกิน ว่าอันดับแรก...สมองของโยมมีขนาดเท่าไร ? ใหญ่กว่าบรรดาแร็ปเตอร์ ใน Jurassic Park บ้างหรือไม่ ?"
"อันดับที่ ๒ โยมได้ใช้สมองคิดบ้างหรือไม่ ? ว่าการส่งมะม่วงสุกมาทางไปรษณีย์ จะต้องพบกับอะไรบ้าง ? เครื่องป้องกันแม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี ใส่มาในกล่องเฉย ๆ เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องยกแบบทะนุถนอมเหมือนกับโยมใช่ไหม ? ถึงได้ตัดสินใจส่งมา
ที่นำเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว ไม่ได้ตั้งใจตำหนิญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา แต่ยกเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้อื่นว่า ไม่ว่าจะกระทำสิ่งหนึ่งประการใด ก็ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรอง คิดทบทวน พิจารณาให้ถ่องแท้รอบด้านก่อน แล้วค่อยกระทำ
ไม่ใช่มีความศรัทธา แล้วก็ทำไปเลยโดยปราศจากการยั้งคิด ลักษณะแบบนี้พระบาลีเรียกว่า อธิโมกขสัทธา เป็นศรัทธาที่เชื่อโดยปราศจากปัญญาประกอบ มีโอกาสโดนผู้อื่นชักจูงหลอกลวงได้ง่าย"
"อาตมานับว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของตนเอง ที่ไม่สามารถจะสั่งสอนบอกกล่าวญาติโยมกระทำการใดให้รอบคอบกว่านี้ได้ ยินดีน้อมรับความผิดพลาดนี้ไปแก้ไข ท่านผู้เป็นเจ้าของมะม่วงก็อย่าได้น้อยใจ ท่านได้เป็น อาทิกัมมิกบุคคล ต้นบัญญัติในการกระทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จะได้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นไปได้อีกนานแสนนาน
ขออนุโมทนาในจิตศรัทธาของญาติโยม ที่อุตส่าห์ส่งมะม่วงสุกมาถวายพระวัดท่าขนุน อาตมาจะให้ทางโรงครัวช่วยจัดการให้สมกับเจตนาของญาติโยม ถ้ามุมไหนไม่สามารถที่จะฉันเป็นเนื้อมะม่วงสุกได้ ก็จะให้แม่ชีทำน้ำปานะไว้ถวายพระเณรหลังทำวัตร ขอทุกท่านได้อนุโมทนาบุญกุศลครั้งนี้โดยทั่วหน้ากัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้พระภิกษุและแม่ชีวัดท่าขนุนหลายรูป กลายเป็นผู้ต้องขัง โดนกักกันตัวเพื่อดูอาการ ๑๔ วัน เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับจากการเรียนที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาฯ (วัดไร่ขิง) บ้าง สหบาลีศึกษา (วัดพระปฐมเจดีย์) บ้าง
เมื่อการเดินทางกลับมาไม่พร้อมกัน ก็ต้องแยกตัวกักกันหลายที่ เพื่อไม่ให้เกิดกระทบกับผู้ที่โดนกักกันอยู่ก่อน ทุกท่านก็ไม่คิดว่าหลวงพ่อจะเอาจริงขนาดนี้ แต่ว่าในวิกฤตการณ์ต่าง ๆ นั้น ถ้าขาดความจริงจังและเด็ดขาดเสียแล้ว ก็จะแก้ไขเหตุการณ์ได้โดยยาก"
"จะว่าไปแล้วพระภิกษุและแม่ชีของวัดท่าขนุนนั้น ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนก็ตาม ก็สร้างชื่อเสียงให้กับวัดเป็นอย่างมาก เพราะว่าผ่านสิ่งที่ยากที่สุดก็คือการปฏิบัติธรรมมาแล้ว เรื่องอื่นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องง่ายทั้งสิ้น
โดยเฉพาะด้านการเรียนภาษาบาลี ซึ่งอาตมาเห็นว่ายากมาก ในฐานะที่เคยเรียนมาบ้าง สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ท่านที่เรียนบาลีจนจบ ป.ธ.๙ นั้น ความสามารถพอที่จะเรียนจบปริญญาเอกได้ ๓ ใบเลย..!
แต่ก็เป็นที่น่าชื่นใจว่า ผลการสอบบาลีปีนี้ ทางพระวัดท่าขนุนซึ่งไปฝากเรียนอยู่ที่สหบาลีศึกษานครปฐม สอบผ่านประโยค ๖ สองรูป สอบผ่านประโยค ๓ สองรูป สอบผ่านประโยค ๑ - ๒ หนึ่งรูป
สอบผ่านรายวิชาหรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าติดซ่อม ไปรอสอบแก้ตัวใหม่รอบหลัง มีติดซ่อมประโยค ๔ สองรูป ติดซ่อมประโยค ๓ หนึ่งรูป จากผู้เข้าสอบทั้งหมด ๘ รูป รวมสอบผ่าน ๕ รูป ติดซ่อม ๓ รูป เป็นตัวเลขที่ออกมาแล้วน่าชื่นใจมาก"
"สาเหตุสำคัญก็คือ พระภิกษุสามเณรตลอดจนกระทั่งแม่ชีของวัดท่าขนุน ผ่านการปฏิบัติธรรมมาแล้ว และมีความเป็นผู้ใหญ่ รู้จักรับผิดชอบ จึงขยันขันแข็ง ตั้งใจเรียน ซ้ำยังไม่ทิ้งวัตรปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต เจริญพระกรรมฐาน เท่ากับมีพื้นฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก ส่งผลให้เรียนดีทุกรูป
จะเห็นได้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางโลกนั้น เมื่อเรามีจิตสงบนิ่ง ความจำก็จะดี สติการยั้งคิดก็จะมีมาก ไม่เผลอไผลไปกับความสนุกสนานทางโลกเหมือนกับคนอื่นเขา ช่วยให้เรียนดีโดยอัตโนมัติ
ในทางธรรมนั้น เราสามารถเอาการท่องหนังสือมาแทนคำภาวนาได้ โดยประกอบกับลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติ ทำให้สามารถทรงสมาธิภาวนาได้ กำลังใจก็จะเข้มแข็ง มั่นคง พบเรื่องยากก็ไม่ท้อถอย เพราะว่าเรื่องที่ยากที่สุด ก็คือการตัดกิเลสเข้าสู่พระนิพพาน
ในเมื่อเรื่องที่ยากที่สุดยังพยายามทำมาแล้ว เรื่องอื่นก็กลายเป็นเรื่องง่ายทั้งหมด ดั่งคำโบราณที่ว่า ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ"
"อาตมามอบรางวัลให้นักเรียนบาลีที่สอบผ่านในปีนี้ เป็นเบี้ยแก้หลวงพ่อทัต วัดคฤหบดี เบี้ยแก้สายเหนียวจากกรุงเทพฯ ซึ่งความจริงก็เป็นสายเดียวกับวัดกลางบางแก้ว
หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่รอด วัดนายโรง เบี้ยแก้ของหลวงปู่รอด วัดนายโรงนั้น ถือว่าเป็นเบี้ยแก้อันดับ ๑ ของประเทศไทย เป็น ๑ ใน ๙ เครื่องรางสะท้านแผ่นดิน
สมัยโน้นหลวงปู่แขกท่านธุดงค์ไปจากนครชัยศรี ชาวบ้านนิมนต์ให้อยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดบางบำหรุ ท่านได้ถ่ายทอดวิชาทำเบี้ยแก้ให้กับหลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่ม่วง วัดคฤหบดี หลวงปู่ทัต วัดคฤหบดี"
"ส่วนเบี้ยแก้สายนครชัยศรีนั้น หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด ท่านเรียนวิชามาจาก หลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา และหลวงปู่ทอง วัดกลางบางแก้ว แล้วถ่ายทอดต่อให้กับ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว
ด้วยความที่เบี้ยแก้สายวัดนายโรง และเบี้ยแก้สายวัดกลางบางแก้ว มีความเหมือนกันก็คือ ต้องใช้หอยเบี้ยที่มีฟัน ๓๒ ซี่ บรรจุปรอทน้ำหนัก ๑ บาท อุดด้วยชันโรงใต้ดินเหมือนกัน และหลวงปู่แขกท่านธุดงค์ไปจากนครชัยศรี ทำให้สรุปได้ว่าเบี้ยแก้ทั้ง ๒ สายนี้ เรียนไปจากตำราเดียวกัน หรือว่าครูบาอาจารย์สายเดียวกัน
เพียงแต่เบี้ยแก้สายวัดคฤหบดีนั้น เน้นเอาความเหนียวเป็นหลัก สมัยก่อนผู้ที่ไปขอเบี้ยแก้จากหลวงปู่ม่วง หรือหลวงปู่ทัต ได้เบี้ยแก้กลับมาเมื่อไร เป็นเจอทดลองด้วยการรุมตีรันฟันแทงเมื่อนั้น แล้วก็เหนียวจริงทุกครั้งเสียด้วย"
"ส่วนเบี้ยแก้สายวัดกลางบางแก้วนั้น เน้นในทางป้องกัน แคล้วคลาดปลอดภัย พระคาถาอาราธนาตามปกติ คือ อิติปิ โส ภะคะวา ยาตรายามดี วัน....ชัยศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ ส่วนที่เว้นไว้ให้ใช้ตามวันนั้น ๆ เช่น วันอาทิตย์ชัยศรี วันพฤหัสบดีชัยศรี เป็นต้น
ถ้าจะใช้ในทางเหนียว มหาอุตม์ คงกระพัน มีคาถาต่างหากดังนี้
๑. สะนิทัสสะนะสัปปะฏิ ปืนยิงไม่ออก
๒. สะนิทัสสะนะสัปปะฏิคา ปืนยิงออก แต่ลูกคาลำกล้อง
๓. อะนิทัสสะนะสัปปะฏิคาตายะ ปืนแตก"
"เบี้ยแก้สายนครชัยศรี ที่เน้นความเหนียวก็มี คือ เบี้ยแก้หลวงตากา วัดแค (นครชัยศรี) คนที่นิยมความเหนียว ไปขอจนท่านถักเชือกให้ไม่ทัน ต้องใช้ผ้ามุ้งหุ้มแทน แล้วใส่ห่วงชุบรัก เรียกว่าถ้ามาสายนักเลงแล้ว จะวิ่งไปหาหลวงตากากันหมด"
"ที่อาตมามอบรางวัลให้นักเรียนบาลีเป็นเบี้ยแก้นั้น มี ๓ สาเหตุด้วยกัน
๑. อาตมาจ่ายเงินเดือนให้พระนักเรียนบาลี ปีละ ๖๐,๐๐๐ บาทต่อรูปอยู่แล้ว จึงไม่คิดที่จะให้เป็นเงินอีก
๒. เบี้ยแก้หลวงปู่ทัต เป็นของเก่าหายากแล้ว สามารถเอาไปอวดคนอื่นได้ ว่าเราก็มีของดีใช้กับเขาเหมือนกัน
๓. เบี้ยแก้หลวงปู่ทัตบรรจุปรอทป่า คือ ปรอทที่ดักเอาจากธรรมชาติ มีอานุภาพในการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ เหมาะกับยุคที่ไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด"
"การให้รางวัลเป็นเงินนั้น เอาไปใช้แล้วก็หมดไป แต่ถ้าให้เป็นวัตถุมงคล ซึ่งเป็นที่ต้องการในท้องตลาด นอกจากไว้ใช้ติดตัวแล้ว ยังเป็นความภูมิใจ ที่เอาไปคุยกับเพื่อน ๆ ได้อีกต่างหาก
โดยเฉพาะวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังบางประเภท ถึงมีเงินก็หาไม่ได้ ต่อให้หาได้ก็ราคาแพง ปล่อยให้ท่านไปแสวงหากันเองก็อาจจะได้ของปลอมมาอีก จึงมอบเป็นรางวัลให้ท่านไปเลยจะดีกว่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ (๒๗ มีนาคม ๒๕๖๓) ออกเดินทางเข้าเมือง เอาเครื่องวัดอุณหภูมิ หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ยาเม็ดฟ้าทะลายโจร ไปถวายตามวัดต่าง ๆ ตั้งแต่วัดปรังกาสีของเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ วัดไชยชุมพลชนะสงครามของเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี วัดวังขนายของเจ้าคณะอำเภอท่าม่วง
"น้องเล็ก" พลขับขาประจำถามว่า จะไปทางตรงหรือทางลัด อาตมาตอบว่าให้ไปทางลัด เชื้อ covid-๑๙ มาจากต่างประเทศ ยังไม่ชำนาญทาง ถ้าเราไปทางลัดรับรองว่าไม่ติดเชื้อ..!
หลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ออกไปงานด่วนข้างนอก อาตมาจึงเอาขนมสำหรับสามเณร และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ วางถวายไว้บนโต๊ะหน้าสำนักงานของท่าน แล้วถ่ายรูปส่งไลน์ให้ท่านดูเป็นหลักฐาน จากนั้นเดินทางต่อไปจนถึงวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดใต้
พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี มารับข้าวของด้วยตนเอง กล่าวขอบคุณที่ทางวัดท่าขนุนให้ความร่วมมือกับคำสั่งของทางราชการและคณะสงฆ์ด้วยดีทุกประการ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับวัดอื่น ๆ ทั้งจังหวัด"
"ขนมที่นำไปมอบให้กับทุกวัดนั้น เป็นของซีพีแรม (CP RAM) ซึ่งมอบให้กับทางวัดท่าขนุนทุกครั้งเมื่อจัดงานปฏิบัติธรรม ในเมื่อครั้งนี้ยกเลิกการปฏิบัติธรรม ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้งานให้สมกับเจตนารมณ์ของผู้บริจาค จึงต้องนำไปถวายให้กับวัดที่มีสามเณรมาก ๆ
ต้องขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านสาธิต เจียมบุรเศรษฐ์ และพนักงานของซีพีแรมทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในงานปฏิบัติธรรมทุกครั้งของวัดท่าขนุน ขอให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการด้วยเทอญ"
"วัดวังขนายทายิการาม ของท่านพระครูกาญจนสุตาคม เจ้าคณะอำเภอท่าม่วงนั้น เป็นวัดที่ทำการรักษาผู้ป่วยด้วยวารีบำบัด คือการแช่น้ำร้อน ต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
มีคนไข้ประจำประมาณ ๑๒๐ คน เจ้าหน้าที่แผนกต่าง ๆ ซึ่งช่วยดูแลคนไข้ประมาณ ๕๐ คน พระภิกษุสามเณรอีกประมาณ ๒๕ รูป แต่ไม่มีเครื่องวัดอุณหภูมิเพื่อตรวจสอบอาการไข้แม้แต่เครื่องเดียว ระยะนี้ก็หาซื้อไม่ได้อีกด้วย
ทางวัดท่าขนุนเตรียมเครื่องมือเอาไว้สำหรับใช้ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร ในเมื่อไม่ได้ใช้งาน ก็เอามาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ พระสังฆาธิการ ซึ่งมีความจำเป็นจะต้องใช้ จะได้คุ้มค่ากับการที่คณะญาติโยมลงทุนซื้อหามา"
เข้าไปถึงวัดวังขนาย จากที่เคยมีรถทัวร์แน่นไปทั้งวัด ก็กลายเป็นป่าช้าเงียบสนิท หลวงพ่อเจ้าอาวาสฉีดแอลกอฮอล์ล้างมือให้ก่อนเลย ด้วยความที่คุ้นเคยกันมานาน ตั้งแต่ท่านยังเป็นพระมหาสมพงษ์อยู่ จึงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ท่านทราบดีว่าพระอาจารย์เล็กพูดจริงทำจริง ถ้าบอกว่าจะหาของมาให้ก็ต้องได้อย่างแน่นอน จึงเตรียมตัวต้อนรับแต่เนิ่น ๆ เลย
ญาติโยมทั้งหลาย พระพุทธศาสนาของเรานั้น อยู่ได้ด้วยการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นการฝึกตนให้ละใน รัก โลภ โกรธ หลง ฝึกการมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ถ้าวัดที่มีศักยภาพมาก ช่วยเหลือวัดที่มีศักยภาพน้อย วัดที่มีศักยภาพน้อย ก็พยายามยืนหยัดให้ได้ด้วยตนเอง ถ้าเป็นแบบนี้ พระพุทธศาสนาก็จะเป็นได้ด้วยดี มีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง
"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา การให้ทานไม่ใช่หน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกาเท่านั้น แต่พระภิกษุ สามเณร หรือแม่ชี ถ้าพอมีที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่นได้ก็ควรที่จะแบ่งปัน
ผู้รู้ท่านกล่าวว่า มือที่คว่ำลงเพราะหยิบยื่นให้ ย่อมอยู่สูงกว่ามือที่หงายเพื่อรอรับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก แต่ก็อย่าลืมว่า อามิสทานแม้เป็นของดี แต่การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นของที่เลิศกว่า เราจึงควรที่จะทำให้ครบทั้งทาน ศีล และภาวนา"
"อานิสงส์ของทาน ถ้าเกิดใหม่ท่านจะร่ำรวย อานิสงส์ของศีล ถ้าเกิดใหม่ท่านจะเป็นผู้มีรูปสวย มีจิตใจดีงาม อานิสงส์ของการภาวนา ถ้าเกิดใหม่ท่านจะเป็นผู้มีปัญญามาก
ถ้าทุกคนรู้จักแบ่งปัน รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประเทศชาติและศาสนาของเราก็จะเจริญมั่นคง โดยเฉพาะถ้าเราตัดความเห็นแก่ตัวออกไป สละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง ก็จะช่วยให้ประเทศของเรามั่นคงถาวรไปชั่วกาลนาน"
"ออกจากวัดวังขนายประมาณสิบโมงครึ่ง ย้อนกลับไปวัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) ทันเวลาฉันเพลพอดี พระครูบ่าว (พระครูกาญจนปริยัติคุณ) เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน คือพระจากวัดท่าขนุน ที่ญาติโยมทางด้านนี้ขอตัวมาเป็นเจ้าอาวาส
ตอนแรกท่านบอกว่ารับภาระไม่ไหว จึงได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์มหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ศิษย์พี่จากวัดท่าขนุน ซึ่งไปเรียนบาลีอยู่ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ บอกว่าให้รับเอาไว้ ท่านจะหาทุนให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดท่ามะขามเอง
ทางวัดท่ามะขามถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปิดวัด แต่ก็เงียบเหงามาก มีญาติโยมมาถวายภัตตาหารเพลอยู่ ๒ ราย ซึ่งอาตมาถามว่า รับมาแล้วต้องล้างแอลกอฮอล์ก่อนถึงจะฉันได้ใช่ไหม ? ญาติโยมตอบว่าควรที่จะฉันลงไปก่อน แล้วค่อยฉันแอลกอฮอล์ตามลงไปทีหลัง..!"
"เมื่ออาตมาออกจากวัดท่าซุง ก็มาสังกัดที่วัดท่ามะขามนี้เป็นแห่งแรก ตอนนั้นอดีตเจ้าอาวาสคือพระเดชพระคุณพระเทพเมธากร อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ยังเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี สมณศักดิ์ที่พระวิสุทธิรังษี
ท่านไปงานที่วัดท่าซุงเป็นประจำทุกปี อาตมามีหน้าที่ต้อนรับพระเถระ จึงสนิทสนมคุ้นเคยกัน เมื่อมาขอพึ่งพิงท่านก็รับเอาไว้โดยไม่ลังเล แล้วยังส่งอาตมาไปเป็นรองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ช่วยท่านอาจารย์สมพงษ์พัฒนาวัดในช่วงแรก
จากนั้นท่านก็แต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ เป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ ตามลำดับ เมื่ออาตมาลาออกจากเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ และเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ คิดว่าจะได้พักผ่อนบ้าง ท่านก็ดึงตัวมาเป็นเลขานุการของท่าน แทนท่านอาจารย์พระมหาทองดี เลขาฯ ตัวจริงที่ป่วยเป็นวัณโรค"
"อาตมาอยู่รับใช้จนท่านเกษียณอายุจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ได้รับการยกขึ้นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี โดยมีพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีรูปปัจจุบัน ซึ่งยังมีสมณศักดิ์ที่พระราชวิสุทธิเมธี รับตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีแทน
พระเดชพระคุณพระราชวิสุทธิเมธี ส่งอาตมภาพไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต่อมาก็ได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ แล้วเสนอต่อพระเดชพระคุณพระธรรมโพธิมงคล รักษาการเจ้าคณะภาค ๑๔ แต่งตั้งให้อาตมาเป็นรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปที่ ๒ อยู่ในปัจจุบันนี้
ดังนั้น...อาตมภาพกับวัดท่ามะขาม จึงไม่ใช่คนอื่นคนไกล หากแต่เป็นลูกหม้อตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง ซึ่งญาติโยมอยากจะให้อาตมาเป็นเจ้าอาวาสเสียด้วยซ้ำไป แต่ติดขัดด้วยตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบัน จึงได้ขอตัวท่านพระครูกาญจนปริยัติคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดธุดงค์สมเด็จ อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธบริษัท อดีตเจ้าอาวาสวัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส มาเป็นเจ้าอาวาสแทน"
"จากเดิมสมัยที่อยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร ท่านมีความสนุกสนานในการให้พระย้ายที่พักบ่อย ๆ เหมือนกับว่าไม่ต้องการให้ติดถิ่นที่อยู่ อาตมาจึงเคยนอนที่ศาลาปฏิบัติธรรม ซึ่งล้อมรอบด้วยป่าต้นจามจุรี บรรยากาศน่ากลัวสุด ๆ สำหรับบุคคลอื่น
มิหนำซ้ำอาตมายังปิดไฟเสียหมดเกลี้ยง เพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดอารมณ์ร่วมเข้าไปอีก ถึงไม่ค่อยมีใครอยากจะไปรบกวนที่นั่น แม้ว่าจะเป็นเวลากลางวันก็ตาม
แล้วย้ายมานอนชั้นบนของอาคารเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งมีแต่นกพิราบทั้งฝูงเป็นเพื่อน ต้องกวาดขี้นกพิราบอยู่ทุกวัน อีกไม่นานก็ย้ายมาอยู่ที่กุฏิด้านในหลังโบสถ์ แล้วย้ายมาอยู่กุฏิหอระฆังด้านนอกหลังโบสถ์ วันดีคืนดีก็ให้ไปนอนที่สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี"
"บางเดือนก็ไปนอนที่กุฏิห้องกระจก ซึ่งภายหลังท่านอาจารย์พระมหาสันติ โชติกโร ป.ธ. ๙ ใช้เป็นที่พัก จนกระทั่งท่านอาจารย์พระมหาสันติสร้างอาคารที่พักใหม่ อาตมาก็เป็นคนประเดิมใช้งาน ซึ่งอาคารหลังนี้ต่อมาโดนสามเณรงัดจนประตูพังหมด เมื่อพระครูบ่าวท่านมาเป็นเจ้าอาวาส จึงให้อาตมาไปพักที่ห้องนอนเก่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร ซึ่งไม่มีใครกล้านอนพัก เพราะว่าเจ้าของเดิมค่อนข้างจะหวงที่..!
จนกระทั่งท่านอาจารย์พระมหาเอ รับเป็นประธานในการจัดหาทุนบูรณะวัดท่ามะขาม อาคารหลังแรกที่ท่านรีบสร้างก็คือกุฏิเจ้าอาวาส จึงตั้งชื่อว่า อาคารปฐมา ซึ่งเป็นทั้งกุฏิเจ้าอาวาส สำนักงานเจ้าอาวาส พร้อมแบ่งห้องให้อาตมาใช้เป็นที่พัก ๑ ห้อง
ภายในห้องพักนอกจากพระพุทธรูปซึ่งขาดไม่ได้แล้ว อาตมายังแอบปล่อยแมลงภู่คำไว้ช่วยเฝ้าห้อง ๓ ตัว จึงเป็นห้องพักที่ดีมาก ไม่มีอะไรกล้ารบกวนเลย"
"คาถาบูชาหรืออาราธนาแมลงภู่คำ ซึ่งปกติถ้าเราค้นหาจากอินเทอร์เน็ต ก็จะเจอบทที่ว่า "โอม..พญาแมลงภู่คำ งามเหลือล้นพอตา ในโลกาโลกใต้ ฯลฯ" เป็นคาถาที่ใช้กันทางล้านนาของเราเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นสำเนียงคำเมือง ที่อาตมภาพไม่ถนัดเอาเสียเลย
จึงต้องใช้วิธีขอจากครูบาอาจารย์เจ้าของตำราแมลงภู่คำ ได้พระคาถาสั้น ๆ มา ๗ คำว่า "ยะมะอะ ปะยะมังยะ" เมื่อลองใช้ดูแล้วได้ผลดี ท่านใดจะนำไปใช้บ้างก็ได้ หรือถ้าถนัดคำเมือง ก็ใช้บทที่เขานิยม แต่ค่อนข้างจะยาวอยู่สักหน่อย"
"แมลงภู่คำจัดเป็น "อารักษ์" ประเภทหนึ่ง สามารถใช้ให้เฝ้าบ้านได้ด้วย การใช้วัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังอะไรก็ตาม เมื่อเราทำบุญแล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศล ถวายครูบาอาจารย์ผู้สร้าง ถวายเทวดาที่รักษาเครื่องรางหรือว่าผู้ที่รักษาเครื่องรางตามสายวิชาการนั้น ๆ และหมั่นปลุกหรืออาราธนาบ่อย ๆ ถ้าทำดังนี้แล้วท่านจะใช้วัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังนั้น ๆ ได้ผลมากกว่าผู้อื่น
จากประสบการณ์ที่ใช้มา ถ้าจะใช้ในการต่อตีป้องกัน แมลงภู่คำแบบบรรจุเข็มทองอัคคียะ จะสำแดงฤทธิ์ได้โหดกว่า เพราะว่าเข็มทองอัคคียะที่บรรจุไว้นั้น เท่ากับเป็นเหล็กไนของแมลงภู่คำ ซ้ำยังกำกับด้วยเตโชกสิณ ทำให้พิษร้ายดุเดือดดีนัก"
"แต่ระยะนี้ที่อาตมานำเอาแมลงภู่คำแบบบรรจุปรอทป่าออกมา แบ่งปันให้ญาติโยมได้บูชากันนั้น เพราะว่าแบบบรรจุปรอทป่าหาง่ายกว่า และตรงกับสถานการณ์ที่ต้องการรัศมีของปรอทป่า ในการป้องกันเชื้อโรคบางประเภท
คาดว่าพ่อปู่พระฤๅษีเจ้าของสายวิชาการแมลงภู่คำฝังเข็มทองอัคคียะ คงจะไม่ชอบให้ใครมารังแกลูกศิษย์ของตน ถ้าใครมารังแกก็ต้องเข็ดไปตลอดชีวิต จึงได้สร้างแมลงภู่คำฝังเข็มทองนี้ขึ้นมา แต่ว่าเรียนยากกว่าแบบบรรจุปรอทป่า เพราะว่าต้องฝึกเตโชกสิณให้ได้เสียก่อน กลายเป็นวิชาภาคบังคับ จึงมีคนเรียนสำเร็จน้อยกว่าแบบบรรจุปรอทป่าหลายเท่า"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมภาพเคยเป็นทหารมาก่อน จึงทราบดีว่า บุคคลที่อยู่หน้าสถานการณ์รบ ต้องพลิกแพลงให้เข้ากับสถานการณ์ ไม่ใช่รับคำสั่งผู้บังคับบัญชา แล้วเอาไปปฏิบัติอย่างเถรตรง ซึ่งมีโอกาสทำให้กองทัพพินาศได้
ดังที่อาตมภาพพิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้าเปิดโรงทานตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชที่วัดท่าขนุน มีโอกาสที่จะกลายเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อไวรัส covid-๑๙ มากกว่า ก็กราบแทบเท้าขออภัยต่อองค์สมเด็จพระสังฆราช กราบเรียนถวายว่าไม่สามารถที่จะกระทำได้ด้วยเหตุผลใด"
"เรื่องของการสวดมนต์ "สู้ไวรัส covid-๑๙" ก็เช่นกัน ถ้าใครจะสู้ก็เชิญตามสบาย แต่ทางวัดท่าขนุนไม่สู้ด้วย อาตมภาพขอปฏิบัติตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้แสดงความเป็นมิตรกับเหล่าอมนุษย์ ไม่ใช่ไปขับไล่ไสส่งกัน
ท่านลองพิจารณาเนื้อหาในรตนสูตร ดังที่อาตมาจะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง แล้วจะทราบว่าเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น
ยานีธ ภูตานิ สมาคตานิ
ภุมฺมานิ วา ยานิว อนฺตลิกฺเข
สพฺเพว ภูตา สุมนา ภวนฺตุ
อโถปิ สกฺกจฺจ สุณนฺตุ ภาสิตํฯ
แปลความว่า
ภูตทั้งหลายเหล่าใด ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นดินหรืออยู่ในอากาศ ขอให้ภูตทั้งหมดจงมีน้ำใจดี ฟังคำกล่าวด้วยดี (รตนสูตร) นี้ ด้วยความเคารพ"
"ตสฺมา หิ ภูตานิ สาเมถ สพฺเพ
เมตฺตํ กโรถ มานุสิยา ปชาย
ทิวา จ รตฺโต จ หรนฺติ เย พลิํ
ตสฺมา หิ เน รกฺขถ อปฺปมตฺตาฯ
แปลความว่า
ฉะนั้น ภูตทั้งหลาย ขอท่านจงฟัง ขอให้ท่านเป็นมิตรกับมนุษย์ผู้ทำพลีกรรม จงปกป้องรักษามนุษย์เหล่านั้น ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่าได้ประมาทเถิด
จะเห็นได้ชัดเจนว่า การสวดรตนสูตรในสมัยพุทธกาลนั้น อันดับแรก...พระอานนทเถระเป็นพระโสดาบัน ย่อมมีความเคารพนอบน้อมในคุณพระรัตนตรัยยิ่งชีวิต สิ่งที่ท่านกล่าวอ้างถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือกล่าวอ้างถึงด้วยความเคารพอย่างสุดจิตสุดใจจริง ๆ
การที่จะน้อมใจผู้อื่นให้เชื่อถือเรานั้น เราเองต้องกระทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นให้เต็มที่ก่อน เมื่อผู้อื่นเห็นว่าเราทำจริง ถึงจะน้อมใจเชื่อตาม"
"ประการที่ ๒ ต้องวางกำลังใจเป็นมิตรกับเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ใช่ตั้งใจเป็นศัตรู ไปขับไล่ไสส่งกัน ถ้าอย่างนั้นท่านไม่มีทางที่จะได้รับความร่วมมือใด ๆ เลย
อย่าลืมว่าการอยู่ร่วมกัน ต้องสมประโยชน์ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างได้รับในส่วนที่ตัวเองต้องการ ดังทฤษฎี win - win ของฝรั่ง สังคมจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ไม่ใช่ว่าประชาธิปไตยคือ ประชาชนต้องฟังคำสั่งและปฏิบัติตามเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะมีอักษรย่อว่า ผนงรจตกม..!"
"ดังนั้น...ในการสวดรตนสูตร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเข้าถึงความเคารพในคุณพระรัตนตรัย และต้องวางกำลังใจเป็นมิตรกับทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่า ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นช่วยเหลือมนุษย์ เป็นการร้องขอในลักษณะที่เด็กร้องขอต่อผู้ใหญ่
ในเมื่อเด็กอ่อนน้อมถ่อมตน ร้องขอแต่โดยดี ย่อมได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ เมื่อผู้ใหญ่เห็นดีเห็นงามในสิ่งที่เด็กทำ ก็เหมือนกับบรรดาท่านรัฐมนตรีทั้งหลาย เห็นดีเห็นงามในสิ่งที่ข้าราชการประจำกระทำ แค่พยักหน้าเห็นด้วย เรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดี
อาตมภาพเคยกล่าวมาหลายครั้งว่า การใช้พระคาถาต่าง ๆ ถ้าเราเข้าถึงหัวใจของพระคาถาจริง ๆ ก็จะสามารถใช้ได้ผลมากกว่าคนอื่นเขา ดังได้พรรณนามาด้วยประการฉะนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ที่ ๒๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีชวด เป็นกระทิงวัน ปกติแล้ววันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ จะเป็นวันบวงสรวงไหว้ครูประจำปี ตามสายวิชาการของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค สืบทอดมาจนถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เมื่องดการจัดพิธีบวงสรวงไหว้ครูประจำปี และเป่ายันต์เกราะเพชร ตามคำสั่งของทางคณะสงฆ์ และตามหนังสือขอความร่วมมือของทางราชการ
อาตมาจึงแจ้งให้บรรดาสหธรรมิก ร่วมกันทำบวงสรวงไหว้ครูเพราะว่าเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ จึงมีการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างวัดท่าขนุน (พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.) วัดสี่แยกเจริญพร (พระครูปฐมสาธุวัฒน์) และ บ้านสุมโน (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม)
โดยหลวงพี่มหาเอ นำเอาบายศรีที่สั่งสำหรับงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชรของวัดท่าขนุนมาใช้งาน พระครูเทพ สั่งชุดบายศรีบวงสรวงต่างหาก ทิดเฟิร์ส ก็สั่งชุดบายศรีและพานไหว้ครูมาด้วย"
"เมื่อเริ่มพิธี อาตมาถวายชุดบายศรีไหว้ครูต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา และครูบาอาจารย์ทุกองค์
จากนั้นกราบทูลอัญเชิญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมเป็นประธาน พระปัจเจกพระพุทธเจ้า...เจ้าของพระคาถาเงินล้าน และครูบาอาจารย์ที่จำเพาะเจาะจงในครั้งนี้ ได้แก่
หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
หลวงปู่สด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
หลวงปู่สาย วัดท่าขนุน
หลวงปู่หลิว วัดไร่แตงทอง
หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
ให้ร่วมกันอนุเคราะห์สงเคราะห์ ปลุกเสกวัตถุมงคล ทั้งในมณฑลพิธี และที่บ้านสุมโน ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ดังที่เคยได้ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์มาทุกครั้ง"
"ทิดเฟิร์สกระซิบว่า "ขอแรง ๆ เห็นคาตาชัด ๆ เหมือนกับครั้งที่แล้วด้วยนะครับ" อาตมาได้แต่หัวเราะในใจ เรื่องของพระ เรื่องของพรหมเทวดา เรื่องของครูบาอาจารย์ กูกดปุ่มไม่ได้..! มีแต่ท่านจะกดกบาลกูเท่านั้น..!
เมื่อเริ่มเข้าที่ภาวนา วางกำลังใจตามที่พระท่านสั่ง แล้วก็เห็นญาติโยมจำนวนหนึ่ง ที่ตั้งใจขอรับบารมีพระอยู่กับบ้าน อีกจำนวนหนึ่งเตรียมของบูชาครูเอาไว้ แต่ไม่ได้เตรียมตัว คิดว่าไม่น่าจะเป็นเวลานี้ นับว่าน่าเสียดายมาก
ครั้นเสร็จพิธี ลืมตาขึ้นมาทำน้ำมนต์ พระท่านให้ใช้บท อิติปิ โสฯ ถอยหลัง สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือ น้ำตาเทียนไหลเป็นสายลงในบาตร โดยมีเปลวไฟไหลตามไปด้วย เสียงระเบิดดังเพียะพะเป็นไฟพะเนียงไปทั่ว เทียนบูชาพระ เทียนสัตตบริภัณฑ์ ก็ระเบิดไล่เป็นลูกระนาดเวียนขวาไปจนครบทุกดวง..!
ทิดเฟิร์ส ทิดดอย น้องเล็ก วิ่งมาช่วยกันถ่ายรูป จนต้องดุว่าให้ถ่ายวิดีโอไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีหลักฐาน อยากได้ของแรงดีนัก พระท่านจึงสงเคราะห์ให้แรงสะใจไปเลย..!"
"เหตุการณ์นี้ทำให้อาตมานึกถึงคำของหลวงพ่อฤๅษีฯ ที่ท่านสอนไว้ว่า "อย่าอวดดีกับผี อย่าลองดีกับพระ" สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง ถ้าอยากรู้ต้องฝึกฝนตนเองอย่างจริงจัง เพื่อให้เรารู้เห็น ไม่ใช่ไปท้าทายแบบหูหนวกตาบอด ถ้าทำแบบนั้นจะเจอดีเข้าสักวัน..!
นับว่าเป็นโชคดีของทางวัดท่าขนุน วัดสี่แยกเจริญพร และบ้านสุมโน ที่พระท่าน ตลอดจนหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ เมตตาสงเคราะห์ให้ขนาดนี้
วัตถุมงคลของวัดท่าขนุนนั้น อาตมานำเหรียญสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตเนื้อชิน ๑๐,๐๐๐ องค์ เนื้อทองเหลือง เนื้อทองแดง และเนื้อทองทิพย์ อย่างละ ๓,๐๐๐ องค์ เหรียญสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเขียวเหล็กไหล ๗,๙๐๐ องค์ มาเข้าพิธี ขนใส่ "น้องแก้ว" รถคันที่ใช้เป็นประจำ วิ่งหน้าเชิดเริ่ดหยิ่งมาด้วยความหนักมาก"
"ของวัดสี่แยกเจริญพร ท่านอาจารย์เทพ นำเอาผ้ายันต์พญาเต่ามังกรพลิกชีวิต มาเข้าพิธีชนิดที่โรงงานแทบจะร้องไห้ เพราะเมื่อได้ยินว่าพระอาจารย์ยอมให้นำเข้าพิธีด้วย ท่านก็สั่งทำอย่างชนิดที่ไม่ต้องยั้ง ไม่ถึงวินาทีสุดท้ายไม่ต้องหยุดผลิต พร้อมทั้งขนบรรดาเหรียญเต่ารุ่นต่าง ๆ ที่มีเหลืออยู่ของวัดมาเข้าพิธีด้วยทั้งหมด
ส่วนท่านอาจารย์มหาเอนั้น ตั้งใจจะเป็นทัพหน้ารบกับไวรัส covid-๑๙ สั่งสร้างเหรียญพระไภษัชยคุรุ หรือที่เรียกว่า เหรียญอโรคยา มาเข้าพิธีด้วย แต่ไม่อยากเสี่ยงฝ่าด่านกักกันโรคมา จึงขออนุญาตตั้งไว้ที่บ้านสุมโน แล้วขอให้พระอาจารย์ส่งไลน์มาถึงด้วย..!"
"ส่วนอาตมานั้น กราบขอบารมีครูบาอาจารย์ตั้งแต่เช้า บอกว่าขอผ่านทุกด่านโดยไม่มีปัญหานะครับ แล้วก็เหมือนกับทุกด่านไม่เห็นรถคันนี้ แม้กระทั่งทางด้านทิดเฟิร์ส ก็บอกว่าผ่านสะดวกเช่นกัน กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านที่เมตตาเป็นอย่างสูง
ผู้ใดใช้วัตถุมงคลรุ่นนี้ ให้ภาวนา อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ วันละ ๓ จบทุกวัน ถ้าหากว่ามีเรื่องร้ายแรง ต้องการจะกลับร้ายกลายเป็นดี ให้ตั้งใจจุดธูปเทียนบูชาพระ แล้วภาวนา อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๑๐๘ จบ จากนั้นอธิษฐานเอาตามอัธยาศัย"
พระอาจารย์เล่าว่า "กลับถึงวัดท่าขนุน ขนข้าวของเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปช่วยงานในเว็บวัดท่าขนุน เพราะว่าเจ้าหน้าที่ของเรามีน้อย ส่วนมากติดภารกิจคืองานประจำ ใครว่างก็เข้ามาช่วยกันดูแล
คนเก่าหลายคนหายไปจากยุทธจักร เช่น ทิดซัน (ชัยรัตน์ ธรรมทัตโต) ทิดรัตน์ (รัตน์ เพื่อนรักษ์) ทิดตู่ (ชาญชัย อาจิระวัฒน์) หรือที่ยังอยู่ก็มีเวลาเข้ามาน้อย อย่างเช่น ทิดหนุ่ม (ปิยะ กุคำอู) ทิดกวาง (กำพร พิเชฐสกุล) เป็นต้น
ไปเจอรายชื่อผู้จองสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตเนื้อชิน คือ น.ท.หญิง อริศรา กิติธีระกุล หรือที่คนรุ่นหลังส่วนใหญ่เรียกกันว่า ป้าติ๋ว ทำให้อยากจะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลัง"
"ป้าติ๋วเป็นเพื่อนของอาตมาตั้งแต่สมัยที่ยังไม่บวช เป็นลูกสาวของคุณแม่ทองดี ม่วงน้อยเจริญ เจ้าของบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ ที่อาตมารับสังฆทานและสอนกรรมฐานอยู่ในระยะแรกถึง ๑๘ ปี คบหากันมาตั้งแต่ยังเป็นสาวน้อยอรชรอ้อนแอ้น จนปัจจุบันนี้รอบเอวเล็กกว่าโอ่งมังกรราชบุรีนิดเดียว..!
ป้าติ๋วเป็นตัวอย่างของบุคคลที่มั่นคงต่อพระรัตนตรัย ปฏิบัติธรรมแล้วนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง จนพวกเราหลายคนที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยฆราวาสพูดกันว่า "ใครทำให้ยายติ๋วโกรธได้ ไอ้นั่นต้องชั่วได้ที่จริง ๆ" ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อย่างไร ป้าติ๋วจะยิ้มสู้เสมอ"
"ป้าติ๋วเป็นบุคคลที่ถูกอาตมาทิ้งบ่อยที่สุด เพราะความใจเย็น ทำอะไรช้า จนถูกเพื่อน ๆ เรียกว่า "ป้า" ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ส่วนอาตมาเองนั้นมีคติว่า "ใครช้าข้าทิ้ง หาทางกลับบ้านเอาเอง" ตามประสาคนที่ไม่มีเวลา เพราะว่าตั้งใจจะไปพระนิพพาน มัวแต่โอ้เอ้อยู่อาจจะไม่ทันรถเที่ยวสุดท้าย
ป้าติ๋วโดนทิ้งที่เชียงใหม่ กลับมาถึงกรุงเทพฯ อีกไม่กี่วันเจอกันก็ยิ้มหน้าแป้นเหมือนเดิม ถูกทิ้งที่ลำพูน กลับมาก็ยังหัวเราะให้กันได้ คราวหน้าก็ยังขอไปด้วยกันอีก มีใครคิดว่าตัวเองโดนทิ้งแบบนี้แล้วทำใจได้บ้าง ?"
"ป้าติ๋วเป็นคนที่ไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์จนเกินไป แต่อาจจะเป็นเพราะบุญรักษา พระหรือว่าเทวดาคุ้มครอง ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยมาได้ทุกครั้ง ถึงจะตักเตือนให้ระมัดระวังตัวอย่างไร คุณเธอก็ทำหูทวนลม ทำแบบที่คนอื่นรู้แล้วจะเป็นลมอยู่เสมอ..!
สมัยก่อนการไปวัดท่าซุงไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยนี้ รถเมล์จะต้องวิ่งไปลงแพขนานยนต์ที่มโนรมย์ แล้วค่อยข้ามแม่น้ำไป วิ่งผ่านหน้าวัดท่าซุง จากนั้นถึงจะเข้าไปที่ท่ารถ บขส.อุทัยธานี จนมีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว รถเมล์ถึงได้เปลี่ยนเส้นทางไปวิ่งเข้าทางด้านอุทัยธานีแทน
ป้าติ๋วออกเวรตอนเย็น นั่งรถเมล์ไปมโนรมย์ ไปถึงก็สี่ทุ่มแล้ว คนลงหมด รถเมล์ก็เลยจอดพักที่มโนรมย์ ไม่วิ่งเข้าอุทัยธานีให้เสียเวลา ป้าติ๋วเรียกเรือเล็กข้ามฝั่ง ไปเจอมอเตอร์ไซค์มีผู้ชายนั่งกันมา ๒ คน ก็ขอให้เขาช่วยไปส่งที่วัดท่าซุง..!"
"พยาบาลสาวสวยนั่งมอเตอร์ไซค์ มีหนุ่มประกบหน้าหลัง วิ่งผ่านทุ่งนาเป็นระยะทาง ๔ กิโลเมตร ไปถึงวัดท่าซุงตอนเกือบห้าทุ่มโดยปลอดภัยได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? ปกติหกโมงเย็นวัดท่าซุงก็ปิดแล้ว ป้าติ๋วไปตะโกนเรียกแถวห้องยาม พอดีลุงสมนึกเข้าเวรอยู่ จึงเปิดประตูเล็กให้เข้าไปพักในวัดได้
วีรกรรมของป้าติ๋วเล่าได้ไม่รู้จักหมด ขนาดตอนที่พระองค์ที่ ๑๐ มาวัดท่าซุง ป้าติ๋วก็ไปนั่งคุยกับเทวดาที่มารักษาท่านหน้าตาเฉย ซ้ำยังบอกกับคนอื่นว่า "เทวดานะหรือ ? ฉันนั่งคุยด้วยเป็นวัน ๆ มาแล้ว..!""
"ที่นำมาเล่าตรงนี้เพื่อที่จะให้ทุกคนได้เห็นว่า ป้าติ๋วนั้นสามารถที่จะนำมาเอาหลักธรรมคือพรหมวิหาร ๔ มาใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ลืมหลักอปมาทธรรม จึงตั้งอยู่ในความประมาทเป็นปกติ มองโลกในแง่ดี เห็นคนทุกคนเป็นคนดีหมด อยู่รอดมาจนถึงอายุ ๖๑ ปีได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?
ทุกวันนี้ป้าติ๋วก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองใกล้ชิดกับอาตมา มาทำบุญตามปกติ เคยบอกบุญเพื่อนฝูงอย่างไรก็ทำอย่างนั้น โดนดุก็ยิ้ม ได้รับคำชมก็ยิ้ม ใครชวนคุยพร้อมที่จะคุยด้วยเสมอ เพียงแต่เปลี่ยนจากสาวน้อยแสนสวย มาเป็นคุณป้าร่างยักษ์แทน ก็ไม่เห็นว่าคุณเธอจะเดือดร้อนอะไร ไปเร็วเหมือนก่อนนี้ไม่ได้ก็ยอมรับสภาพ ค่อย ๆ เดินเอา ใครช่วยประคับประคองก็ยิ้มรับ ใครปล่อยทิ้งป้าก็ไปเอง มีใครทำได้แบบนี้บ้าง ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดท่าขนุนแบ่งการบิณฑบาตออกเป็น ๔ สาย
๑. สายบ้านวังท่าขนุน
๒. สายบ้านวังใหญ่
๓. สายบ้านปอมเป
๔. สายตลาดเทศบาล
ถ้าหากว่าอยู่วัด อาตมาจะเดินนำบิณฑบาตสายตลาดเทศบาล ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๒.๕ กิโลเมตร รวมระยะทางไปกลับ ประมาณ ๕ กิโลเมตร สายบิณฑบาตนี้เมื่อเดินสุดทาง บริเวณหน้ากองร้อย ตชด.ที่ ๑๓๕ แล้ว ก็จะเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านวังรังกา ซึ่งปัจจุบันเขียนเป็น วังลังกา กันหมดแล้ว
วังคือที่อยู่อาศัย พระราชวัง คือที่อยู่อาศัยของพระราชา วังจระเข้ คือที่อยู่อาศัยของจระเข้ เวิน (วัง) ปลาบึก คือที่อยู่อาศัยของปลาบึก วังรังกานั้นมีต้นไม้สูงใหญ่เยอะมาก สมัยก่อนฝูงกาไปอาศัยทำรัง จึงเรียกกันว่าวังรังกา แล้วเพี้ยนเป็นวังลังกาในปัจจุบัน"
"ช่วงท้ายเส้นทางบ้านวังรังกา จะผ่านที่ดินของครูมณฑา พัฒนมาศ คนเก่าคนแก่ของอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งใส่บาตรทุกวัน ความภูมิใจของคุณครูมณฑาก็คือ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน นอกจากหลวงปู่สายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์สมเด็จ หรือท่านอาจารย์สมพงษ์ โดนคุณครูบิดพุงมาแล้วเท่านั้น..! ปัจจุบันนี้คุณครูเสียชีวิตไปแล้ว
พื้นที่ของคุณครูมณฑานั้น ประกอบด้วยต้นไม้ใหญ่สารพัดชนิด ประมาณสวนสมรมแบบทางใต้ แต่หนักไปทางมะพร้าว เมื่อเห็นความสูงของต้นมะพร้าวแล้ว อาตมาประมาณว่าอายุแต่ละต้นน่าจะถึง ๘๐ ปี
นอกนั้นยังมีขนุนและมะม่วงพื้นเมือง ซึ่งแต่ละต้นใหญ่หลายโอบ ไม่ทราบว่าช่วงนี้ลูกหลานจะพัฒนาที่ดินไปทำอะไร จึงจ้างคนมาโค่นต้นไม้ลงทั้งแถบ ต้นมะพร้าวก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ต้นมะม่วงและต้นขนุนนั้น เมื่อโค่นลงมาแล้ว บรรดารุกขเทวดาน้อยใหญ่ยืนกระจองอแง ร้องห่มร้องไห้เพราะว่าบ้านพัง..!"
"รุกขเทวดานั้นเป็นเทวดาชั้นต่ำ ต้องอาศัยเอาวิมานไปแปะกับต้นไม้มีแก่น ที่สูงอย่างน้อย ๑ คืบขึ้นไป จึงจะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ เมื่อต้นไม้โดนโค่น ก็เท่ากับว่าวิมานพังไปด้วย
ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปอาศัยแปะวิมานกับต้นไม้ต้นอื่น ? ก็เพราะว่าต้นไม้ต้นอื่นนั้นล้วนแต่มีเจ้าของแล้ว อาตมาจึงชวนให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นตามไปวัดท่าขนุน อนุญาตให้ท่านทั้งหลายอาศัยต้นเสาของอาคารต่าง ๆ ในวัดท่าขนุน เป็นที่แปะวิมานเพื่อที่จะได้พ้นความเดือดร้อนในเรื่องของที่อยู่อาศัย
บรรดาเสาอาคารในที่ต่าง ๆ นั้น เท่ากับว่าเจ้าของบ้านหรือเจ้าอาวาสวัดนั้น ๆ เป็นเจ้าของ ถ้าไม่อนุญาตท่านก็ไปอาศัยแปะวิมานไม่ได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกปากอนุญาตกันอย่างเป็นทางการ"
"อาตมาชวนรุกขเทวดาทั้งหญิงชายและเด็กหลายพันตน ไปอาศัยเสาอาคารต่าง ๆ ในวัดท่าขนุนเป็นที่อยู่ เนื่องจากว่ามีการขยายเส้นทางสาย ๓๒๓ จากกาญจนบุรี ไปไทรโยค ทองผาภูมิ จนกระทั่งถึงสังขละบุรี ซึ่งจนป่านนี้ก็ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ
การสร้างทางแต่ละครั้งมีการโค่นต้นไม้สองข้างทางจำนวนมาก เมื่อเห็นว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นปราศจากที่อยู่ อาตมาก็อดที่จะสงสารไม่ได้ จึงชวนไปเป็น "เด็กวัด" แทน ซึ่งทุกตนก็ล้วนแล้วแต่ยินดีมาก แม้ว่าจะอาศัยกันอย่างแออัดยัดเยียดสักหน่อย แต่ก็มีโอกาสได้โมทนาบุญกุศลอย่างน้อยวันละ ๒ รอบ เรียกง่าย ๆ ว่าบ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ แค่นอนเบียดกันหน่อยทำไมจะทนไม่ได้"
"เมื่อกลุ่มรุกขเทวดาบ้านวังรังกามาถึงวัดท่าขนุน อาตมาก็อนุญาตให้เลือกที่อยู่ได้ตามสบาย ปรากฏว่าทั้งหมดกรูกันไปยังหน้าวัด "เฮ้ย..จะไปไหนกันวะนั่น ?"
เห็นทั้งหมดพุ่งเข้าหาป้ายโฆษณาแบบถาวรขนาดใหญ่ ๓ X ๘ เมตร อาตมาจึงถึงบางอ้อ ป้ายนี้อาตมาสั่งให้เถ้าแก่ยุง (นายพยุง เพ็งเลา) สร้าง เพื่อใช้ติดตั้งป้ายโฆษณากึ่งถาวรของทางวัดท่าขนุน ตัวโครงสร้างเพิ่งจะเสร็จได้ไม่กี่วัน ยังไม่ทันจะติดป้ายเสียด้วยซ้ำไป
กลายเป็นว่ารุกขเทวดากลุ่มวังรังกาโชคดีมาก มาถึงก็มี "บ้านว่าง" อยู่พอดี ได้อยู่รวมกันอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ไม่ต้องไปเบียดเสียดเยียดยัดกับใคร เรียกว่าถึงจะโดนกรรมบัง แต่ว่าบุญก็ยังพอมี ช่วยให้พ้นจากความลำบากไปได้"
"ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ถึงแม้ว่าการเกิดเป็นรุกขเทวดา บางอย่างจะมีความสุขกว่ามนุษย์ แต่ก็ยังโดนเบียดเบียนด้วยกฎของกรรม ถ้าหมดบุญก็อาจจะลงสู่ทุคติอีกด้วย ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจึงพึงสังวรว่า ถ้าไม่อยากเกิดมาลำบากแบบนี้อีก ก็ขอให้เร่งปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปตลอดกาลนาน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไทยเรามีสำนวนคำพังเพยว่า "จับปูใส่กระด้ง" ซึ่งการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ครั้งนี้ ทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจน ตั้งแต่มีข่าวว่าจะปิดกรุงเทพฯ ผู้คนก็แห่กันออกต่างจังหวัดเป็นหมื่นเป็นแสนคน กลายเป็นเอาเชื้อโรคออกไปแพร่กระจายโดยไม่ตั้งใจ..!
บรรดาท่านที่อยู่ในประเภท "ลูกอีช่างติ" ก็พากันออกมาด่ารัฐบาลเป็นการใหญ่ ว่าไม่มีมาตรการอะไรรองรับ ในเมื่อปิดกรุงเทพฯ ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย คนก็เลยหนีกลับบ้านต่างจังหวัดกัน
พอรัฐบาลทำโครงการรองรับ ประกาศว่าไม่ทิ้งกัน มีการแจกเงินเยียวยาผู้ตกงานรายละ ๕,๐๐๐ บาท ผู้คนก็แห่กันไปลงทะเบียนที่ธนาคารออมสิน เบียดเสียดยัดเยียดกันอย่างชนิดที่ไม่กลัวไวรัส covid-๑๙ แล้ว แต่กลัวว่าจะไม่ได้เงินแทน...!"
"ภาพที่ปรากฏออกมา บรรดาแพทย์พยาบาลที่ต่อสู้อยู่กับไวรัส ก็ออกอาการ "น้ำตาจิไหล" ผลงานที่ทุ่มเทไปทั้งหมด มลายกลายเป็นอากาศธาตุ ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ยังไม่พอ ยังต้องนับแบบติดลบเป็นหมื่นเป็นแสนอีกด้วย..!
นึกว่าจะมีแต่ประเทศไทยอย่างเดียว ปรากฏว่าต่างประเทศก็แย่พอกัน ที่สหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าอย่างไรก็ไม่ปิดเมือง ลักษณะแบบนี้เข้าข่ายคําพังเพยว่า "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" เพราะว่าถ้าเอาไม่อยู่เมื่อไร เศรษฐกิจจะพังบรรลัยมากกว่าปิดเมืองหลายเท่า"
"ประเทศอินเดียพอประกาศปิดเมือง ก็ออกในลักษณะแนวเดียวกับประเทศไทย ขนาดไม่ยอมให้รถโดยสารวิ่ง บรรดาอาบัง อีแมะ ก็พากันเดินเท้าไปต่างจังหวัดกันเป็นแสนเป็นล้านคน เอาไวรัสไปแจกจ่ายให้ประชาชนตลอดเส้นทางผ่าน ชนิดที่ทางราชการทำอะไรกับมวลมหาประชาชนไม่ได้..!
ประเทศอิตาลีที่ตายซับซ้อนจากไวรัส covid-๑๙ จนมียอดติดเชื้อมากที่สุดในโลก มีคนป่วยตายสูงที่สุดในโลก ก็ยังมีพวกที่ยังไม่ติดเชื้อ ออกไปยังที่สาธารณะแบบ "ไม่สนโลก" ทำอะไรตามความเคยชินเดิม ๆ เข้าทำนองภาษิตจีนที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา"
น่าเห็นใจรัฐบาลทุกประเทศ ที่ทำอะไรก็ไม่ถูกใจประชาชน แต่ต้องยึดหลักที่ว่า เราไม่สามารถทําให้ทุกคนพอใจได้ แต่ต้องทำให้คนส่วนใหญ่พอใจได้ อะไรที่ดีต่อส่วนรวม ต้องลงมือทำอย่างเต็มที่ แล้วให้สังคมตัดสินเอาเองว่า สิ่งที่ทำไปนั้นดีจริงหรือไม่ ?"
"วัดท่าขนุนขอเป็นกำลังใจให้กับคุณหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่การงานยังไม่พอ ยังต้องมาเจอกับเหตุการณ์บั่นทอนกำลังใจในรูปแบบต่าง ๆ ซ้ำเข้าไปอีก
ขอให้ทุกท่านระลึกถึงพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ว่า "จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา" สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำในครั้งนี้ ต่อให้ไม่มีใครรู้เห็น ผีหรือเทวดาก็รู้เห็น ขอให้ทุกท่านทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เต็มสติกำลัง เต็มความสามารถ ขออำนวยอวยพรให้ท่านทั้งหลาย สามารถเอาชนะ "สงครามโรค" ในครั้งนี้ ได้ในเร็ววันด้วยเถิด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยมีผู้กล่าวถึงอุปนิสัยของคนไทยว่า "เรื่องกินเรื่องใหญ่ เรื่องตายเรื่องกลาง ติดตารางเรื่องเล็ก" ดังนั้น..พอต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างน้อย ๑๔ วัน ปัญหาเรื่องกินจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปจริง ๆ
อาหารหลักที่ทุกคนต้องมองไว้ก่อน คือบรรดาบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน เพราะว่าช่วงที่อาตมาเริ่มเรียนทหารนั้น ประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มหัดผลิตบะหมี่สำเร็จรูป
เมื่อผลิตขึ้นมาแล้วก็ต้องมีผู้ทดสอบว่าใช้งานได้ดีหรือไม่ ? มีอะไรที่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง วิธีที่ดีที่สุดก็คือส่งไปให้ทหารลองกินดู บางท่านอาจจะคิดว่าโหดร้าย แต่ถ้าใครเคยชินกับอาหารของบรรดาหน่วยทหารแล้ว จะเห็นว่าบะหมี่สำเร็จรูปนั้นเป็นอาหารชั้นเยี่ยม..!"
"ใครที่เรียนจบโรงเรียนนายร้อย จปร.มา ถ้าเพื่อนเลี้ยงผัดกระเพราเนื้อจะโกรธมาก เพราะว่ากินอยู่ทุกวัน แทบจะทุกมื้อ ส่วนโรงเรียนนายสิบทหารบกนั้น เรียนจบมาแล้วถ้าเพื่อนเลี้ยงเกาเหลาเนื้อ ก็จะโกรธหูดับเช่นกัน เพราะว่าเจอเกาเหลาเนื้อหม้อยักษ์บ่อย ๆ ซึ่งส่วนมากจะมีแต่ถั่วงอกที่ใบเขียวแล้วกับไขมันวัว ซึ่งถ้าเป็นหน้าหนาวไขมันก็จะจับขอบหม้อหนาเป็นคืบ..!
เวลาฝึกทหารเขาจะมีเพลงให้ร้องแก้เหนื่อย อย่างเช่น
"ทหารไทยมีใจแข็งแกร่ง กินข้าวแดงทั้งกาก กินผักบุ้งทั้งราก สาว ๆ ไม่อยากแลมอง
ฟักทองเป็นอาหารหลัก ฟักเขียวเป็นอาหารรอง อย่างดีก็หน่อไม้ดอง รอง ๆ ก็มะเขือยาว"
ทหาร ๑ กองร้อย แต่ละมื้อมีไก่ ๖ ตัว แต่ว่ามาไม่ค่อยจะถึง นายทหารสูทกรรม (พ่อครัว) จะเอาไปทำอาหารพิเศษ ให้แก่ผู้บังคับกองร้อย รองผู้บังคับกองร้อย ตลอดจนกระทั่งตนเองและพรรคพวก จึงมักจะเหลือแต่วิญญาณไก่เอาไว้เลี้ยงทหารเกือบทุกมื้อ"
"เมื่อได้บะหมี่สำเร็จรูปมา พวกเราก็หาทางพลิกแพลงทำเป็นอาหาร เพื่อที่จะได้ไม่เบื่อง่าย ๆ เมนูบะหมี่ผัดขี้เมา บะหมี่ต้มปลากระป๋อง ก็เกิดมาจากค่ายทหารนี่เอง
พวกเราเก็บตัวกันแค่ ๑๔ วัน ไม่ใช่ทหารที่โดนกันทั้งปี เมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้ว ต่อให้ต้องกินบะหมี่สำเร็จรูปตลอด ๑๔ วัน คิดว่าท่านทั้งหลายก็คงจะไม่ลำบากไปกว่าชีวิตทหารที่อาตมาเคยผ่านมาแล้ว"
"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนหลักโภชเนมัตตัญญุตา ให้รู้จักประมาณในการกิน เมื่อรู้สึกอิ่มก็ให้หยุด จะได้ไม่กินล้นกินเกิน จนกลายเป็นปัญหาเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างทุกวันนี้
ดังนั้น..ในช่วงนี้หลายท่านอาจจะฉวยโอกาสลดน้ำหนักไปในตัว อย่างเช่นว่ากินอาหารแค่ ๒ มื้อ นอกจากจะไม่สิ้นเปลืองแล้ว สภาพร่างกายยังได้พักฟื้น น้ำหนักลดลง เป็นผลดีแก่ตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อร่างกายไม่หนักไปด้วยสารอาหาร เลือดลมปลอดโปร่ง การภาวนาจับลมหายใจเข้าออกก็สะดวก สมาธิทรงตัวได้ง่าย สติก็มั่นคง ปัญญาก็แหลมคม จะพิจารณาข้อธรรมอะไรก็เห็นแจ้งแทงตลอด
ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส หากเรารู้จักใช้โอกาสในการเก็บตัวอยู่กับบ้านครั้งนี้ ทำสิ่งที่ดี ๆ ให้เกิดกับตัวเอง อย่างเช่นการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก การตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่เพราะว่ามีเวลามาก ก็ย่อมยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ตนเองทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมด้วยประการฉะนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงบุคคล ๔ ประเภท ได้แก่
๑. อุคฆฏิตัญญูบุคคล มีความฉลาดมาก ฟังแค่หัวข้อธรรมก็เข้าใจ สามารถบรรลุธรรมได้ทันที
๒. วิปจิตัญญูบุคคล ต้องอธิบายขยายความก่อน ถึงจะสามารถเข้าใจได้
๓. เนยยบุคคล ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชอยู่ทุกวัน จึงพอที่จะเข้าใจอะไรได้บ้าง
๔. ปทปรมบุคคล เป็นประเภทน้ำล้นแก้ว เติมอะไรลงไปไม่ได้ เพราะคิดว่าตัวเองฉลาดมาก ไม่ยอมรับความคิดของผู้อื่น
ในส่วนของอรรถกถาจารย์นั้น อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้อีกมาก ว่าคนเราแบ่งออกเป็น
๑. มนุสสเนรยิโก เป็นมนุษย์แต่นิสัยเหมือนสัตว์นรก ภาษาวัยรุ่นเขาว่า ชั่วยันเงา
๒. มนุสสเปโต เป็นมนุษย์แต่สภาพความเป็นอยู่เหมือนเปรต อดอยากยากแค้น
๓. มนุสสติรัจฉาโน เป็นมนุษย์แต่นิสัยสันดานเหมือนสัตว์เดรัจฉาน จ้องแต่จะแย่งชิง เข่นฆ่า ทำลายผู้อื่น
๔. มนุสสภูโต เป็นมนุษย์ทั่ว ๆ ไป รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ในกรอบพอที่จะรับกันได้
๕. มนุสสเทโว เป็นมนุษย์แต่ความประพฤติดี อยู่ในศีลกินในธรรม สมควรที่จะเป็นเทวดา"
"ในสภาวะที่ทั้งประเทศต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ รัฐบาลขอความร่วมมือให้ทุกคนเก็บตัวอยู่กับบ้าน แต่ก็ยังมีบุคคลบางประเภท ที่พยายามแหกคอก ออกนอกกรอบ ไม่ยอมทำตามกฎระเบียบใด ๆ ทั้งสิ้น
อีกประเภทหนึ่งก็ฉวยโอกาสหากินบนความเดือดร้อนของผู้อื่น กักตุนสินค้าจำเป็น เช่น หน้ากากอนามัย บุคลากรทางการแพทย์ไม่มีใช้ แต่ตนเองเอาไปขายทำกำไรเป็นล้าน ๆ ชิ้น โดยไม่ละอายใจหรือมีความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เมื่อต่างประเทศอย่างเช่น คุณแจ็ค หม่า ส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นมาให้ ก็เอาไปกักเก็บเอาไว้ อ้างว่าต้องตรวจผ่านเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดเชื้อก่อน แต่ความจริงก็คือรอให้พรรคพวกตัวเองขายของที่ตุนไว้ให้หมดก่อน ค่อยเอาส่วนนี้ออกมา โดยที่ไม่คิดว่าทุกวินาทีที่ผ่านไป หมอและพยาบาลต้องเสี่ยงชีวิตกันขนาดไหน"
"อีกประเภทหนึ่งก็ทำสินค้าปลอมออกขายบ้าง เก็บเอาหน้ากากอนามัยเก่ามาขายใหม่บ้าง แม้กระทั่งไข่ไก่ก็ให้ไม่เต็มแผง มีอยู่เฉพาะแถวรอบ ๆ ข้าง ด้านตรงกลางว่างโบ๋อยู่ แต่ขายเป็นไข่ไก่เต็มแผง
บุคคลประเภทนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ เขาเรียกกันว่า เศรษฐีสงคราม ปั่นราคาขายของที่จำเป็นทุกอย่าง สร้างความร่ำรวยใส่ตนบนความทุกข์ของผู้อื่น สมัยนั้นใช้คำว่า "เซ็งลี้" ซึ่งเป็นภาษาจีนที่แปลว่า "ธุรกิจ" คำว่า "เซ็งลี้ฮ้อ" แปลว่า "ธุรกิจดี"
มาถึงสมัย "สงครามโรค" ครั้งนี้ อาตมาไม่ขอเรียกว่าเป็นเศรษฐีสงคราม แต่อยากจะเรียกว่า อสูรสงคราม หากินบนน้ำตาและความเดือดร้อนของผู้อื่น ถ้าท่านตายลงไปเมื่อไร "ท่านลุง" มีสถานที่พิเศษรองรับเอาไว้แล้ว
ส่วนท่านทั้งหลายพิจารณาแล้ว จะเรียกบุคคลเหล่านี้ว่ามนุษย์ประเภทไหน ก็จงพิจารณาเอาจากข้อความข้างบนโน้นเถิด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อบวชเข้ามาแล้วได้ศึกษานักธรรมชั้นตรี อ่านพุทธประวัติ พบว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงเกิดความขวนขวายน้อย ไม่ปรารถนาที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก จนท้าวสหัมบดีพรหมต้องลงมากราบทูลอาราธนา จึงทรงรับที่จะแสดงธรรม"
มาประกอบกับภาพที่ ๑ ตำรวจปราบจลาจล ต้องใช้ทั้งกระบอง กระสุนยาง และแก๊สน้ำตา ในการสลายฝูงชนอเมริกัน ที่ไปเที่ยวชายหาดไมอามี่กันแบบไม่สนใจว่าไวรัส covid-๑๙ จะระบาดอย่างไร
ภาพที่ ๒ นายกรัฐมนตรีอิตาลี ยืนน้ำตาอาบแก้มแถลงข่าว ว่าไม่สามารถที่จะหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ขอฝากชีวิตของชาวอิตาเลียนไว้กับพระเจ้าเบื้องบนเท่านั้น
ภาพที่ ๓ มะม่วงสุกกล่องที่ ๒ ส่งถึงเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนทางไปรษณีย์
"ทั้ง ๓ ภาพเมื่อประกอบกันเข้ามาแล้ว ทำให้เห็นชัดว่าเหตุใดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงเกิดความขวนขวายน้อย ไม่คิดที่จะแสดงธรรมโปรดสัตว์โลก
ก็ขนาดพูดภาษาเดียวกัน ยังฟังกันไม่รู้เรื่องขนาดนี้ แล้วภาษาคนกับภาษาธรรมจะต่างกันขนาดไหน ?
ในบาลีกล่าวว่า อตฺตาหิ กิร ทุทฺทโม ได้ยินว่าการฝึกตนช่างยากจริงหนอ เมื่อมาประกอบกับทั้ง ๓ ภาพที่เห็น ก็ทำให้ชัดเจนในใจความทุกประการ"
"บารมีนั้นคือกำลังใจ ประกอบด้วย ๓ ระดับ ๙ ขั้นดังนี้
๑. สามัญบารมี หยาบ กลาง ละเอียด
๒. อุปบารมี หยาบ กลาง ละเอียด
๓. ปรมัตถบารมี หยาบ กลาง ละเอียด
บุคคลที่สามารถเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องเป็นระดับปรมัตถบารมีขั้นกลางขึ้นไป นอกนั้นอย่างเก่งก็อยู่ในระดับของการให้ทาน รักษาศีล และภาวนาเบื้องต้นเท่านั้น"
"อาตมภาพได้แต่หวังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี หลวงปู่หลวงพ่อพระเถระตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ดี ยังไม่ได้สั่งสอนเหล่าท่านที่เป็นปรมัตถบารมีขั้นกลางขึ้นไปจนหมด ยังพอมีเหลือเอาไว้ให้ได้ชื่นใจบ้าง
ไม่อย่างนั้นอาตมภาพก็คงต้องฉันน้ำมะม่วงสุกไปบ่อย ๆ จนกว่าจะติดเชื้อไวรัส covid-๑๙ จนถึงแก่ชีวิต หรือว่าชิงกลั้นใจตายไปเสียก่อน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณของเราว่า "สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" แสดงให้เห็นชัดว่าคำพูดและการกระทำของเรา เมื่ออยู่ในสายตาของคนอื่นแล้ว เป็นที่ชื่นชมหรือตำหนิอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการอบรมมา
อาตมามีลูกสาวลูกชายอยู่คู่หนึ่ง คือ ลูกพลอย (Amandine) และ ลูกแม็ก (Maxime) ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส เมื่อไปเยี่ยมปู่ย่าลุงป้าที่ฝรั่งเศส ได้รับการชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ในกิริยามารยาทแบบไทย ๆ จนญาติผู้ใหญ่ทางด้านโน้นออกปากว่า จะส่งลูกพี่ลูกน้องของทั้งสองคน มาฝึกกิริยามารยาทที่เมืองไทยบ้าง"
"ในระยะเวลาที่เชื้อไวรัส covid-๑๙ ระบาดอยู่นี้ เห็นชัดว่ากิริยามารยาทแบบไทยนั้น ได้รับการชื่นชมและนำไปถือปฏิบัติในโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรือว่าอเมริกาก็ตาม
เราจะเห็นการไหว้แบบไทยได้มาแทนที่การจับมือ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เห็นการสวดมนต์ไหว้พระตามแบบในพระพุทธศาสนาเพื่อหาที่พึ่งทางใจ
จนกระทั่งเมื่อวานนี้เอง (๓๐ มีนาคม ๒๕๖๓) เจ้าหน้าที่จีนซึ่งไปช่วยระงับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในประเทศอิตาลี ออกมาแจ้งสาเหตุหนึ่งของการแพร่ระบาดหนักของเชื้อไวรัสว่า เกิดจากพวกฝรั่งมีความเคยชินในการใส่รองเท้าเข้าบ้าน และจำนวนมากด้วยกันที่ถึงขนาดใส่เข้าไปยันที่นอนเลย..!"
"เมื่อออกนอกบ้านไปเหยียบย่ำเชื้อไวรัสมา แทนที่จะถอดรองเท้าไว้หน้าบ้านแบบคนไทยเรา กลับใส่รองเท้านำเชื้อโรคเข้าบ้าน โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดอย่างหนักของเชื้อไวรัสในช่วงนี้
สมัยที่อาตมายังเด็ก ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่แถวบ้านก็ไม่ค่อยจะใส่รองเท้ากัน พวกเราเดินเท้าเปล่าจนเคยชิน บางคนเท้าด้านขนาดสามารถเดินลุยดงหนามโคกกระสุนได้หน้าตาเฉย โดยเฉพาะ "ตาดา" ภารโรงที่โรงเรียน ช่วงโรงเรียนเปิดเทอมใหม่ ๆ แกเดินลุยเข้าไปถอนต้นโคกกระสุนออกจากสนามฟุตบอล จนพวกเราเรียกกันว่า "ต้นพรมตาดา"
"เด็กบ้านนอกรุ่นของอาตมานั้น เมื่อไปโรงเรียนครั้งแรกก็ต้องใส่รองเท้าตามข้อบังคับของทางโรงเรียน แล้วมีปัญหากับรองเท้าเป็นอย่างมาก ทุกคนต้องเคยโดนรองเท้า "กัด" จนผู้ใหญ่หลายคนแนะนำว่า ให้เรากัดรองเท้าเสียก่อน..! บางคนก็ดีเหลือเกิน สอนวิธีให้เอาเทียนมาถูรอบรองเท้า เพื่อที่จะได้ไม่โดนรองเท้า "กัด"
เมื่อถึงเวลาเข้าห้องเรียน ก็ต้องถอดรองเท้าวางเรียงไว้หน้าห้องเรียนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ครั้นกลับไปบ้านก็ต้องถอดรองเท้าวางเรียงไว้ข้างประตูให้เรียบร้อย ใครเผลอใส่เข้าบ้าน ถ้าไม่โดนเคาะตาตุ่ม ก็จะมีเสียงเขียวปรี๊ดตวาดว่า "เดี๋ยวแม่ตีขาหักเลย..!"
"ไม่นึกว่ากฎเกณฑ์กติกามารยาทแบบไทย ๆ สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสวายร้ายได้ขนาดนี้ ฝรั่งจำนวนมากด้วยกันเมื่อมาเมืองไทย จะเห็นป้าย Take your shoes off. ตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ จนเคยชิน โดยเฉพาะตามศาสนสถานต่าง ๆ
ยังดีที่ว่าบรรดาฝรั่งนั้น ได้รับการอบรมมาให้ยอมรับกฎเกณฑ์กติกาของสังคม โดยเฉพาะสังคมของประเทศอื่น จึงยอมถอดรองเท้าแต่โดยดี เพื่อให้ได้เข้าถึงสถานที่ต่าง ๆ อย่างแท้จริง
คาดว่าการค้นพบสาเหตุการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ในประเทศอิตาลีครั้งนี้ อาจจะเปลี่ยนแปลงนิสัยการใส่รองเท้าเข้าบ้านของบรรดาชาวยุโรปและอเมริกัน ให้หันมาใช้กิริยามารยาทแบบไทย ๆ คือการถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านกันมากขึ้น
ภาพของฝรั่งหญิงชาย ที่ยกมือไหว้กล่าวคำว่า "สวัสดีครับ, สวัสดีค่ะ" ทำให้เรารู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดูขนาดไหน หลังจากการระบาดของไวรัสครั้งนี้ไป อาจจะกลายเป็นธรรมดา เพราะว่าทุกคนหันมาไหว้แบบไทยกันหมดแล้วนั่นเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วัดท่าขนุนเมื่อทำวัตรเช้าหรือทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว เป็นธรรมเนียมว่า พระภิกษุ สามเณร แม่ชีและฆราวาส จะเข้าแถวกันเพื่อ "ใส่ย่ามหลวงพ่อ"
การ "ใส่ย่ามหลวงพ่อ" นั้น ก็คือการทำบุญหลังจากการทำวัตรแล้ว ซึ่งเชื่อกันว่า "หลวงพ่อ" ท่านเข้าสมาธิสูงมากในช่วงนั้น จึงเป็นการฉวยโอกาสทำบุญกับพระที่ออกจากสมาบัติ จนกลายเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมา"
"ย่ามหลวงพ่อ" ก็ไม่ได้วิริศมาหราสวยงามสมกับเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังเลย ท่านไปเก็บเอาย่ามเก่า ๆ ที่พระใหม่ใช้งานแล้วทิ้งเอาไว้ นำมาซักแล้วก็ใช้งานต่อ โดยไม่ได้รังเกียจว่าใช้ของเหลือจากคนอื่น
จากประสบการณ์ในวงการผ้าเหลืองที่ผ่านมา มักจะเห็นพระท่านใช้ย่ามอยู่ ๒ ลักษณะ อย่างแรกก็คือสั่งตัดย่ามเป็นพิเศษ อย่างที่สองคืออวดกันว่า ย่ามใครจะ "ใหญ่" กว่ากัน
คำว่า ใหญ่ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงขนาดของย่าม หากแต่เป็นตราซึ่งติดมากับย่าม ว่าเป็นของพระเถระรูปใด ซึ่งมีตั้งแต่ย่ามสมเด็จพระสังฆราช ย่ามสมเด็จพระราชาคณะ ย่ามรองสมเด็จพระราชาคณะ เป็นต้น เหมือนกับจะอวดกันไปในตัวว่าใคร "เส้น" ใหญ่กว่ากัน"
"ปรากฏว่า "หลวงพ่อ" ท่าน เอาบรรดาย่าม "เส้น" ใหญ่ที่รับมาจากงานต่าง ๆ ถวายให้พระลูกวัดไปใช้งานจนหมด ส่วนตัวท่านเองก็ไปเก็บย่ามเก่า ๆ ประเภทไม่มีใครเอาแล้วมาใช้แทน
มาลองดูว่าภายใน "ย่ามหลวงพ่อ" มีอะไรบ้าง ? ท่านมีย่ามอยู่ ๒ ใบ คือใบที่ใช้ออกงานเป็นประจำ กับใบที่ใช้เวลาอยู่วัด ที่กล่าวถึงตรงนี้คือใบที่ใช้อยู่กับวัด"
๑. ปากกา ๒ ด้าม มี ๒ สี คือ ปากกาหมึกแดง และ ปากกาหมึกน้ำเงิน เอาไว้เซ็นชื่อหรือเขียนหนังสือสั่งงาน เนื่องจากว่าทุกเย็น พระในวัดจะนำหนังสือต่าง ๆ มาให้ท่านตรวจ และลงลายมือชื่อรับทราบ จะให้จัดการอย่างไรก็เขียนกำกับเอาไว้
๒. ผ้าขนหนูเล็กเก่า ๆ ๑ ผืน สำหรับเช็ดโน่นเช็ดนี่ ที่เห็นเช็ดมากที่สุดก็คือมีดหมอ หรือวัตถุมงคลต่าง ๆ ที่ต้องใช้ความขยันขัดถูเป็นประจำ
๓. ไฟฉาย ๑ ด้าม ท่านได้มาจากหลวงพ่อนิล สมัยที่ยังอยู่สำนักสงฆ์ศรีชัยผาผึ้ง เวลาเดินตรวจวัดกลางคืน ก็ใช้ไฟฉายด้ามนี้เป็นประจำ นานเกิน ๑๐ ปีแล้ว
๔. พระขรรค์ไม้ดำดง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ มีลายมือหลวงปู่ทิมจารเต็มทั้งเล่ม ท่านบอกว่าหลวงปู่ทิมสร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยขึ้นเกวียนไปขนไม้ดำดงตายพรายจากป่าประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี มาสร้างเป็นพระขรรค์ กริช และไม้เท้า อย่างละไม่กี่ด้าม
๕. มีดพับบ้านจ่าตุ่ม เอาไว้ใช้งานทั่วไป ต้องการตัด งัด คุ้ยแคะ จิ้มพุงใคร ก็อยู่ใกล้มือสามารถล้วงหยิบได้ง่าย ๆ
๖. แมลงภู่คำ แกะจากไม้ประดู่ดุมล้อเกวียน บรรจุเข็มทอง ๑ ตัว
๗. หุ่นพยนต์ ท่านอาจารย์ลอย โพธิ์เงิน ท่านบอกว่าปลุกด้วยคาถา โอม..ปลุก..ปลุก กูจะปลุกพ่อหุ่นพยนต์ ด้วยอะหังทุกัง นะมะพะทะ
๘. เหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณเนื้อเงิน
๙. เหรียญสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเขียวเหล็กไหล
๑๐. น้ำมันชาตรี หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่ท่านเอามาเติมลงในน้ำมันทานาคา เอาไว้สำหรับเจิมรถให้กับญาติโยม ที่นำรถใหม่มาให้ท่านเจิม
ย่ามใบนี้ต้องบอกว่ามีของน้อย แต่ช่วงเช้าและเย็นจะมีเงินอยู่ในย่ามมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็คือเงินที่พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และฆราวาส ช่วยกันใส่ย่ามนั่นเอง ซึ่งท่านถือว่าเป็นเงินสังฆทาน สั่งให้นำลงในบัญชีสังฆทานทุกครั้ง
พระอาจารย์กล่าวว่า "การแพร่กระจายของไวรัส covid-๑๙ ส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาทุกอย่างต้องระงับลงหมด งานประเพณีทุกอย่างที่มีคนมาก ๆ ก็ต้องระงับลงทั้งหมด กิจนิมนต์ต่าง ๆ ถูกยกเลิกทั้งหมด
เพื่อนนักเทศน์ของอาตมา โดนยกเลิกกิจนิมนต์การเทศน์ตลอดไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน บ่นโอดครวญมาว่า "ไม่มีรายได้ มีแต่รายจ่าย ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป จะไปให้วัดท่าขนุนช่วยเลี้ยงแล้ว" แสดงว่าไม่รู้จักวัดท่าขนุนอย่างแท้จริง เพราะถ้ามาให้ช่วยเลี้ยงก็คือต้องบิณฑบาตเอง เนื่องจากว่าระเบียบของวัดท่าขนุนนั้น ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยต้องไปนอนโรงพยาบาล ถ้ายังอยู่วัดได้ต้องบิณฑบาตได้
อาตมาเองก็โดนญาติโยมหลายท่านถามว่า "เป็นใหญ่เป็นโตจนขนาดนี้แล้วทำไมยังต้องบิณฑบาตเอง ? ที่อื่นแค่เป็นเจ้าอาวาสก็ให้เณรบิณฑบาตเลี้ยงแล้ว" อาตมาตอบไปว่า "ครูบาอาจารย์ไม่เคยสอนให้ทำแบบนั้น แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังทรงบิณฑบาตจนวาระสุดท้ายของพระชนมชีพ"
"ในช่วงไวรัสระบาดหนัก มีบางวัดประกาศงดเผาศพผู้ที่ตายด้วยไวรัส covid-๑๙ กลายเป็น "ดราม่า" เพราะว่ามี "เกรียนคีย์บอร์ด" เข้าไปด่าว่า เป็นพระแล้วทำไมถึงขาดเมตตา ? แต่เมื่อพระท่านถามคืนว่า ถ้ามีพระในวัดติดเชื้อแล้วใครจะรับผิดชอบ ? แม้แต่ "เกรียนคีย์บอร์ด" ก็ตอบไม่ได้"
"ที่มีผลกระทบหนักก็คือ การที่เจ้าคณะอำเภอพระนครศรีอยุธยา สั่งพักงานเจ้าคณะตำบลท่าวาสุกรี เขต ๒ เนื่องจากไปจัดงานบวช แล้วมีประชาชนมารวมกันเป็นจำนวนมาก ถือว่าฝ่าฝืนคำสั่งของทางคณะสงฆ์และทางราชการ ผิดจริยาพระสังฆาธิการอย่างร้ายแรง
เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า เจ้าคณะตำบลท่าวาสุกรี เขต ๒ ท่านลำดับความสำคัญของเรื่องราวผิด ก็คือเอาความต้องการของญาติโยมเป็นใหญ่ โดยที่ลืมนึกถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวม ก็คือให้ความสำคัญต่อญาติโยมที่อุปถัมภ์วัด โดยลืมความสำคัญของคำสั่งคณะสงฆ์และทางราชการ
ซึ่งความจริงแล้วการลงโทษพระสังฆาธิการที่ละเมิดจริยานั้น มีทั้งการตำหนิโทษ ภาคทัณฑ์ พักหน้าที่ ให้ออก ปลดออก ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชาว่าจะดำเนินการในระดับใด"
"ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่การแพร่กระจายของไวรัสเป็นไปอย่างรุนแรง ถ้าไม่มีความเด็ดขาดก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า "เอาไม่อยู่" เจ้าคณะตำบลท่าวาสุกรี เขต ๒ จึงกลายเป็นลิงที่ถูกเชือดให้ไก่ดู กลายเป็นตัวอย่างให้พระสังฆาธิการทั้งประเทศได้รู้เห็น
ถ้าเป็นอาตมาโดนลงโทษในลักษณะนี้ ก็จะกราบขอขมาท่ามกลางคณะสงฆ์ แล้วยอมรับการลงโทษโดยดุษณียภาพ ถ้ามีผู้สื่อข่าวมาสัมภาษณ์ ก็จะยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดของตนเอง ผู้บังคับบัญชากระทำได้ถูกต้องแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ภาพพจน์ที่ออกมาก็จะงดงามทั้งสองฝ่าย
แต่ถ้ามีการถือทิฐิ ออกมาในแนวว่า "ผมไม่ผิด ผู้บังคับบัญชาลงโทษเกินกว่าเหตุ" ถ้าอย่างนั้นท่านก็หมดอนาคตอย่างแน่นอน จึงขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเลือกเดินไปทางไหน ส่วนคณะญาติโยมก็อย่าได้โกรธเคืองทางด้านเจ้าคณะอำเภอ เพราะว่าท่านกระทำตามหน้าที่ การพักงานยังไม่ใช่ปลดออก สามารถพิจารณาสั่งให้ทำหน้าที่ต่อไปได้ในอนาคต"
"อีกส่วนหนึ่งก็คือการที่รัฐมนตรีออกคำสั่ง ให้คณะสงฆ์ทางภาคอีสานงดการรับบาตรจากญาติโยมที่จกข้าวเหนียวใส่บาตร ซึ่งเป็นประเพณีที่ยึดถือกันมานานหลายร้อยปีแล้ว
คำสั่งเช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นไปเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส แต่ถ้ามาคิดดูว่า การที่ญาติโยมภาคอื่นใส่บาตร ก็ใช้มือหยิบข้าวของอย่างเช่น ข้าวถุง แกงถุง ใส่ลงในบาตรเช่นกัน จะไม่เป็นการแพร่เชื้อไวรัสเหมือนกันหรือ ?
จะเป็นไปได้ไหมว่าให้ยกเลิกคำสั่งนี้เสีย แล้วให้ปฏิบัติในแนวทางอื่น อย่างเช่นว่าให้ญาติโยมผู้ใส่บาตร ล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดเสียก่อน ซึ่งเชื่อว่าทุกคนยินดีทำตาม เพราะว่าไม่มีใครอยากเอาไวรัสไปถวายพระเณรอย่างแน่นอน..!"
"การครองตัวอยู่ในโลกนั้น ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณร ก็จะมีพระธรรมวินัย กฎหมายบ้านเมือง และจารีตประเพณี เป็นเครื่องในการดำเนินชีวิต ของญาติโยมทุกท่านก็ไม่แตกต่างกัน โดยเฉพาะประเพณีความเชื่อที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันมานับร้อยปี จนกลายเป็นความเคยชินที่แก้ไขได้ยาก
อะไรที่ท่านผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายเห็นว่าไม่ถูกต้อง แล้วไม่ถือทิฐิมานะ ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขโดยไม่กลัวเสียหน้า ถ้าอย่างนั้นท่านจะ "ได้ใจ" ประชาชนอย่างยิ่ง เพราะว่าท่าน "เข้าใจ เข้าถึง" จึงจะสามารถ "พัฒนา" ประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้ สมกับพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งได้ตรัสให้แนวทางในการปฏิบัติไว้นานแล้ว"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓) อาตมาเดินทางไปถวายสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ณ วัดกาญจนบุรีเก่า (ท่าเสา) หมู่ที่ ๒ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
หลวงพ่อที่ปรึกษาฯ ท่านสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก อาตมาพยายามแวะมากราบท่านอยู่เสมอ ก็ด้วยสาเหตุหลายประการ
ประการแรกก็คือท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชา ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีมาก่อน ประการที่สองก็คือท่านเป็นคนแก่ ซึ่งเมื่อเกษียณอายุราชการแล้ว มีผู้คนไปมาหาสู่น้อยลง จึงควรที่จะมาให้ท่านเห็นหน้าบ้าง
ประการสุดท้าย ในฐานะคนแก่และมีปัญหาสุขภาพ ไปไหนมาไหนลำบาก ถ้ามีพระลูกพระหลานมาเยี่ยมเยียน ท่านก็จะดีใจ มีกำลังใจ ว่าถึงจะเกษียณอายุแล้วก็ยังมีคนระลึกถึงท่านอยู่"
"อาตมาเคยคิดจะทำโครงการนำพระเถระที่เกษียณอายุจากตำแหน่งการปกครองแล้ว มาพบปะกันประมาณ ๓ เดือน/ครั้ง ประมาณว่าให้คนแก่ว่างงานได้มาคุยกันบ้าง โดยที่อาตมาขอเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารและค่าเดินทาง
แต่ว่าโดนหลวงปู่ชุ้น (พระธรรมเสนานี, ชุณห์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ล้มโครงการไปด้วยเหตุผลว่า "ให้ข้าไปนั่งกินอย่างเดียวไม่เอาโว้ย อย่างน้อยไปแล้วก็ต้องมีให้สวดมนต์บ้าง" อาตมาที่ทำใจใช้คนแก่ไม่ลง จึงต้องเลิกล้มโครงการไปโดยปริยาย"
"เรื่องของคนแก่นั้น ถ้ามีลูกหลานคอยให้ความสนใจดูแล ก็จะมีสุขภาพจิตสุขภาพกายดี อายุยืน อยู่เป็นมิ่งขวัญแก่ลูกหลานไปได้อีกนาน โดยเฉพาะถ้าเป็นคนจีนจะถือว่า "การมีคนแก่ไว้ในบ้าน คือการมีทรัพย์สินที่สูงค่าที่สุด"
เนื่องจากว่าคนแก่นั้น สั่งสมวัยวุฒิและคุณวุฒิมานาน เป็นรัตตัญญูบุคคล มีประสบการณ์ชีวิตมาก หากลูกหลานมีปัญหาอะไร ก็สามารถที่จะชี้ทางออกให้ได้ โดยที่ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาทางเองให้ลำบาก
ส่วนลูกหลานนั้นก็เป็นโอกาสอันดี ที่ได้แสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีต่อบุคคลที่เคยเลี้ยงดูอุ้มชู หรือว่าให้ความรู้ให้ความเมตตา สงเคราะห์มาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองอยู่"
"อาตมาเองนั้นนับว่าโชคดีมาก มีโอกาสดูแลพ่อของตนเอง ทั้งกลางวันและกลางคืนถึง ๖ ปีเต็ม ดูแลแม่อีก ๓ ปี ถวายการดูแลรับใช้หลวงปู่มหาอำพัน (พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์, อำพัน อาภรโณ, บุญ - หลง วัดเทพศิรินทราวาส) อีก ๔ ปี เรียกว่าแทบจะใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล ถ้าเป็นนักเรียนพยาบาลก็เรียนหลักสูตรที่ยาวนานมาก ดูแลคนไข้และใช้เครื่องมือเครื่องไม้เป็นทุกอย่าง แม้กระทั่งการฉีดยาก็ยังพอเป็นอยู่บ้าง
ช่วงที่โยมแม่ไปอยู่ที่วัดท่าขนุน เวลาบ่ายอาตมาก็จะไปชวนโยมแม่คุย ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเก่า ๆ สมัยที่ตนเองยังเด็ก คนแก่ถ้าได้คุยความหลังแล้วจะมีความสุข ซ้ำยังช่วยให้สมองดีไม่หลงลืมอีกด้วย
แต่ว่าโยมแม่นั้นไม่ยอมอยู่กับลูกคนไหนนาน ๆ จะตระเวนไปอยู่กับลูกคนนั้นเดือนหนึ่ง ลูกคนนี้ครึ่งเดือน โดยให้เหตุผลว่า ลูกคนอื่นจะได้ไม่น้อยใจ แต่เมื่อไปอยู่วัดท่าขนุน บางทีแม่ก็ลืมวันลืมคืน มีครั้งหนึ่งถามว่า "แม่มาอยู่วัดได้สักเดือนหรือยัง ?" อาตมาตอบไปว่า "๘ เดือนแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าเป็นพระ พี่น้องคนอื่นก็คงจะด่าพระเข้าให้แล้ว"
"ต้องถือว่าโยมแม่ของอาตมานั้นสร้างบุญไว้ดี และอบรมลูกทั้ง ๑๓ คนไว้ดี ทุกคนจึงอยากให้แม่ไปอยู่ด้วย แต่โยมแม่ก็มักจะอยู่กับพี่วิเชียร (พี่ชายคนโต ลูกแม่คนนี้) มากที่สุด เพราะว่าพี่วิเชียรอยู่บ้านไร่ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งโยมแม่ชอบบรรยากาศมากกว่าการไปอยู่กับลูกคนอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ
ดังนั้น...เมื่อโยมแม่ปรารภจะแบ่งที่ดินให้กับลูกทุกคน อาตมาจึงเป็นคนแรกที่ปฏิเสธไม่รับ โดยบอกว่าให้แบ่งส่วนของอาตมาให้กับพี่วิเชียรและพี่หงส์ (พี่สะใภ้) เพราะว่าทั้งสองคนดูแลแม่มามากที่สุด พี่น้องคนอื่นต่างก็มีบ้านมีที่ดินของตนเองแล้ว ทุกคนต่างก็มีความเห็นเหมือนกันว่า พี่วิเชียรทำไร่อ้อย ซึ่งถ้ามีที่ดินน้อยก็จะได้ผลผลิตไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวของตนเองและดูแลแม่"
"ปกติโยมแม่ของอาตมาเป็นคนใจแข็งมาก ขนาดโยมพ่อตาย พวกเรายังไม่ได้เห็นน้ำตาของแม่สักหยด แต่วันนั้นโยมแม่น้ำตาคลอ บอกว่า "แม่ดีใจที่ลูกของแม่ไม่แย่งสมบัติกันเหมือนกับบ้านอื่น" จะคิดว่าเป็นจิตสำนึกที่ดีของพวกเรา หรือว่าเป็นเพราะการอบรมมาของพ่อแม่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร เพราะว่าเมตตาสงเคราะห์ต่อลูกโดยไม่มีข้อแม้ และตรัสถึงวิธีการที่ลูกทั้งหลายจะได้ตอบแทนต่อพ่อแม่ที่เลี้ยงดูตนมา ดังนี้
๑. ท่านเลี้ยงเรามา ถึงเวลาเราเลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน
๒. ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของท่าน
๓. ช่วยรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
๔. ทำตนให้สมควรที่จะได้รับมรดก
๕. เมื่อท่านตายช่วยทำบุญอุทิศไปให้"
"อาตมภาพเองนอกจากได้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้ว ยังเหลือเผื่อแผ่ไปถึงผู้ชราอื่น ๆ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ช่วยให้สามารถทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ ส่วนท่านทั้งหลายล่ะ..ได้ทำหน้าที่ของตนโดยเต็มความสามารถแล้วหรือยัง ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รัฐบาลกำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ซึ่งจะได้รับเงินช่วยเหลือ ๕,๐๐๐ บาท หลายคนที่ลงทะเบียนไป แล้วมาวิตกจริตว่าคุณสมบัติไม่เข้าข่าย อาจจะโดนลงโทษแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือ
แต่บุคคลที่คุณสมบัติเข้าข่ายทุกข้ออย่างพระภิกษุ กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือ ไม่เชื่อท่านลองเปรียบเทียบคุณสมบัติดูทีละข้อก็ได้
๑. เป็นผู้ใช้แรงงาน ข้อนี้พระวัดท่าขนุนทุกรูปยืนยันได้ ขนาดบิ๊กตู่ (นายพรศักดิ์ สมศักดิ์) กรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ออกปากว่าจะไม่บวชที่วัดท่าขนุนอย่างเด็ดขาด..! เพราะว่าทำงานหนักอย่างที่เห็นไม่ไหว
๒. เป็นลูกจ้างชั่วคราว พระภิกษุทุกรูปเป็นลูกจ้างชั่วคราวแบบอนาถมาก คือไม่ใช่ลูกจ้างชั่วคราวแบบรายวัน หากแต่เป็นรายชั่วโมง เจริญพระพุทธมนต์เสร็จก็จบงาน ซ้ำยังไม่รู้ว่างานหน้าจะมาถึงเมื่อไร..!?"
"๓. เป็นผู้ทำอาชีพอิสระ แน่นอนว่าอาชีพพระภิกษุจัดอยู่ในประเภทอิสระ รับนิมนต์ได้ทั่วประเทศและต่างประเทศ ไม่มีเจ้านายโดยตรงคอยกำกับให้รับกิจนิมนต์ ทุกอย่างเป็นไปตามศรัทธาของญาติโยม
๔. เป็นผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมตามมาตรา ๓๓ ไม่ว่ามาตราไหนก็ไม่รับพระภิกษุเข้าระบบประกันสังคมทั้งนั้น ต่อให้มีหลักฐานครบ ไปยื่นใบสมัครเขาก็ไม่รับ
๕. เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากไวรัส covid-๑๙ แน่นอนว่าพระภิกษุสามเณรทุกรูปได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง โดนยกเลิกกิจนิมนต์ทั้งเดือนยังไม่พอ งานวัดอะไรที่มีคนมาก ๆ ก็โดนคำสั่งทางราชการและคณะสงฆ์ให้ยกเลิกทั้งหมด เรียกง่าย ๆ ว่าเจ็บนี้อีกนาน..!
๖. เป็นผู้มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป เรื่องนี้ทุกคนทราบดีว่า กว่าจะบวชพระได้ก็ต้องมีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป ซ้ำยังกำหนดคุณสมบัติอื่น ๆ เพื่อคัดกรองไว้อีกนับไม่ถ้วน"
"แต่ว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ทุกข้ออย่างพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากทางราชการ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ต้องดิ้นรนพึ่งตนเองกันต่อไป
ในฐานะรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปที่ ๒ อาตมาเล็งเห็นผลกระทบตรงนี้ และมีกำลังพอที่จะช่วยเหลือเพื่อนพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิได้
จึงได้กราบเรียนปรึกษากับหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ หลวงพ่อพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปที่ ๑ ทำโครงการบรรเทาทุกข์พระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิขึ้นมา และได้รับการเห็นชอบจากหลวงพ่อทั้งสองรูปด้วยดี"
"โดยกราบขออนุญาตให้หลวงพ่อทั้ง ๒ รูป นัดหมายให้บรรดาเจ้าอาวาส เจ้าสำนักสงฆ์ ประธานที่พักสงฆ์ ในเขตอำเภอทองผาภูมิทั้ง ๗๑ รูป ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และนั่งห่างกัน ๒ เมตร ตามเกณฑ์ความปลอดภัยในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙
ไปรับเงินบรรเทาทุกข์ได้ที่ศาลาร้อยปีหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ในวันที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๐๐ น.
งานนี้ไม่ได้ทำเอาดัง ไม่ได้ตั้งใจดิสเครดิตรัฐบาล ไม่ได้คิดทำลายชื่อเสียงองค์กรปกครองคณะสงฆ์ระดับสูงอย่างมหาเถรสมาคม หากแต่ตั้งใจบรรเทาทุกข์ให้กับพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิจริง ๆ"
"และอยากเจริญพรถึงหน่วยราชการที่รับผิดชอบ อย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกราบเรียนถวายพระมหาเถระทุกรูป ที่เป็นคณะกรรมการกองทุนวัดช่วยวัด ที่เก็บเงินนิตยภัตจากพวกเราไปปีละ ๑ เดือนเป็นประจำตลอดมา ว่าเก็บไปเพื่อทำอะไรกันแน่ ?
เหตุการณ์ร้ายแรงขนาดนี้เกิดขึ้น แต่ไม่มีการคิดนำเอาเงินกองทุนออกมาบรรเทาทุกข์ให้กับพระสังฆาธิการทั่วประเทศ หรือจะรอให้ทุกรูปมรณภาพแล้วค่อยทำบุญส่งไปให้ ถ้าเป็นเช่นนั้นเกล้าฯ ก็ไม่ขออนุโมทนา ขอทำบุญเองตั้งแต่บัดนี้ไปจนกว่าจะมรณภาพจะดีกว่า
ถ้าหากว่าคำพูดนี้แรงไป ก็กราบเท้าขออภัยพระมหาเถระทุกรูป และเจริญพรขออภัยเจ้าหน้าที่สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติทุกคนมา ณ ที่นี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันพุธที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ อาตมาทำพิธีบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย ขออนุญาตใช้วิชามหาระงับโรคาพินาศ ถ้าถามว่าวิชานี้มาจากไหน ? ก็มาจากวิชามหาระงับตามสายหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม
สายวิชาแม่กลองนี้ มีการศึกษานำวิชากลับไปกลับมา และพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ตั้งแต่หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ไปศึกษาจากหลวงปู่พ่วง วัดลิงโจน (วัดปากสมุทรสุดคงคา) หลวงปู่ทิม วัดบางลี่น้อย (วัดบางนางลี่กุฎีทอง)
แล้วหลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ มาศึกษานำวิชากลับไปปลายน้ำแม่กลอง จากนั้นหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ก็ไปศึกษาวิชานี้จากหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณี นำเอาวิชากลับคืนมาต้นแม่น้ำแม่กลองอีกครั้ง"
"เมื่อทำบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัยแล้ว เข้าที่ภาวนาก็หลับฝันเห็น แนวธงของบรรดา "เจ้าหน้าที่โรคระบาด" ปักแนวไว้รอบโลก..!
ท่านลองนำแผนที่โลกมาวาง แล้วขีดเส้นหนาระหว่างเส้นรุ้งที่ ๔๐ และเส้นรุ้งที่ ๔๒ จากนั้นลองไล่ดูว่า มีประเทศอะไรอยู่ในแนวนั้นบ้าง ?
ในฝันได้ถาม "เจ้าหน้าที่โรคระบาด" ว่า พื้นที่กว้างขนาดนี้เชียวหรือ ? แล้วหลายประเทศนอกเขตทำไมถึงติดเชื้อด้วย ? ท่านบอกว่าในแนวธงนั้น คือประเทศหลักที่สร้างกรรมไว้ในอดีต จะต้องมีคนตายกันมาก พวกนอกเขตที่ติดเชื้อ เป็นฝ่ายสนับสนุน จึงโดนลูกหลงไปด้วย..!"
"ขออนุญาตท่านว่า จะไม่ล่วงหน้าที่ของท่านทั้งหลาย แต่ช่วยถอนธงแนวประเทศไทยสักครู่หนึ่งได้หรือไม่ ? ท่านถามว่าถอนไปเพื่ออะไร ?
บอกกับท่านทั้งหลายเหล่านั้นว่า ประเทศไทยของเรา ซึ่งอยู่ใต้บารมีองค์สมเด็จพระธรรมิกราช แม้ว่าพสกนิกรจะค่อนข้างไม่เอาไหน แต่ถ้าเปิดเทอมแล้วเด็ก ๆ ไปเรียนไม่ได้ การศึกษาที่รั้งท้ายอาเซียนอยู่ ก็จะยิ่งโดนทิ้งห่างไกลไปอีก อาตมาเห็นแล้วทำใจไม่ได้
ประการที่สอง ประชากรส่วนใหญ่ ซึ่งองค์สมเด็จพระธรรมิกราช พยายามช่วยเหลือเพื่อให้พออยู่พอกิน เมื่อส่วนมากตกงาน ถ้าเงินเก็บหมดเสียก่อนโรคระบาดจะหาย สิ่งที่องค์สมเด็จพระธรรมิกราชได้กระทำไว้ ก็จะสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง"
"เจ้าหน้าที่โรคระบาด" บอกว่า "ถ้ายังไม่หมดวาระ ก็ยังถอนธงไม่ได้ แต่ท่านประกอบพิธีได้ถูกต้อง อ้างบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย พวกเราจะยอมถอนให้ชั่วคราว เพื่อให้ท่านทั้งหลายมีเวลาจัดการภายในเดือนนี้ แต่ถ้าหลังจากนี้แล้ว ต้องปักธงกลับลงไปอีก ถึงเวลานั้นพวกท่านจัดการไปได้เท่าไร กลับมากำเริบอีกเท่าไร ต้องปล่อยไปตามกรรม ห้ามมาขอร้องกันอีก"
ยังไม่ทันจะคุยอะไรต่อ อาตมาก็สะดุ้งตื่นเสียก่อน จึงมาทำน้ำมนต์ พรมวัตถุมงคลในพิธี และโปรยดอกไม้เป็นพุทธบูชา ช่วงที่ทำน้ำมนต์นั้น ก็มีปรากฏการณ์คล้ายกับพิธีพลิกชีวิต แต่ไม่ดุเดือดรุนแรงเท่า"
"ส่วนที่ขำก็คือ พระลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง พยายามลองทำน้ำมนต์ตามแบบที่เห็น โดยเอียงเทียนน้ำมนต์ให้ได้องศาเดียวกัน เพื่อที่จะลองดูว่ามีเปลวไฟไหลลงไปแล้วระเบิดกลับขึ้นมาหรือไม่ ? ปรากฏว่าดับเงียบเรียบร้อยทุกราย..!
มีเพียงบางท่านซึ่งมีความฉลาด นำเอาสมเด็จองค์ปฐมพลิกชีวิตใส่ไว้ในน้ำมนต์ อาราธนาแล้วแต่พระท่านจะสงเคราะห์ ก็มีปรากฏการณ์ขึ้นให้เห็นได้เช่นกัน
สรุปว่าพิธีการตามวิชามหาระงับ ซึ่งพระท่านอนุญาตให้ต่อด้วยคำว่า โรคาพินาศ ถ้าเป็นไปตามความฝัน ภายในสิ้นเดือนนี้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในประเทศไทยเราก็คงจะเบาบางลง ส่วนจะกลับแพร่ระบาดใหม่เมื่อไรไม่สามารถที่จะบอกได้ ด้วยความต่างกันของระยะเวลาก็คือ ๑ วันของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีของเรา ได้แต่หวังว่าท่านจะไม่ปักธงเอาไว้นานนัก"
"ในฐานะพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหนี้บุญคุณที่ญาติโยมทั้งหลายได้ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูมา อาตมาได้พยายามทำเต็มความสามารถแล้ว ผลที่เกิดขึ้นจะได้มากน้อยเท่าไร ก็ขึ้นกับผลกรรมที่ท่านทั้งหลายได้กระทำเอาไว้ สมกับพระบาลีที่ว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ ด้วยประการฉะนี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ที่ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติด้วยชีวิต จนมาถึงอายุ ๖๑ ปี ในวันนี้ ตัวเลขพอดีพ้องกันในด้านกลับ ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน สิ่งหนึ่งที่อาตมาเห็นว่าน่ากลัวที่สุด คือ จิตสังขาร การปรุงแต่งของใจ ที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิด รัก โลภ โกรธ หลง พาให้ต้องทุกข์อยู่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
สิ่งหนึ่งที่นักปฏิบัติธรรมมักจะต้องพบเจอ ก็คือการที่ จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ตามแต่จะเรียกกันไป สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะว่าสภาพจิตของเราไปปรุงแต่ง แล้วหลุดจากอารมณ์ปัจจุบัน ไปเสวย รัก โลภ โกรธ หลง เท่ากับยื่นหัวไปให้กิเลสฟันเอง แล้วก็มาโอดครวญว่า ทุกข์อย่างนั้น ลำบากอย่างนี้
แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เข็ด เพราะว่ากิเลสชักนำไป ให้รู้สึกว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วจะดี ทำแบบนี้แล้วจะเด่น แทนที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลส ก็กลายเป็นปฏิบัติธรรมเพื่อสั่งสมกิเลส กอบโกยหาทุกข์ใส่ตัวอยู่ทุกวัน แต่ก็โง่เขลาเบาปัญญาพอ คิดว่ากำลังโกยเอาของดีใส่ตัว ซึ่งความจริงแล้วมีแต่ขี้ทั้งนั้น..!"
"อาตมาขอยืนยันว่า เท่าที่มีประสบการณ์มา สิ่งที่ครูบาอาจารย์พูดมานั้น พอดี พอเหมาะ พอควรกับสถานการณ์นั้น ๆ แล้ว แต่ว่าพวกเรามักจะไปปรุงแต่งเพิ่มเติม อวดความโง่โดยที่คิดว่าตัวเองฉลาดอย่างยิ่ง พยายามไปตีความ ขยายความ ทำให้สิ่งที่พอเหมาะ พอดี พอควร กลายเป็นเละเทะไม่เป็นท่า..!
อย่างเช่นพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่าเรื่องราวในอดีตต่าง ๆ เอาไว้พอดีพอควรแล้ว แต่ก็มีคนไปขยายความต่อ ว่าท่านเคยเกิดเป็นพระราชาพระองค์นั้น เคยเกิดเป็นกษัตริย์พระองค์นี้ ก่อให้เกิดโทษหลายประการ อันดับแรก บุคคลที่ไม่เชื่อย่อมปรามาสในพระสุปฏิปันโน กลายเป็นสร้างทุกข์โทษเวรภัยอย่างใหญ่หลวงให้กับผู้อื่น
อันดับที่ ๒ เป็นการล่วงเกินสถาบันเบื้องสูง อย่างที่ภาษาทหารเรียกว่า "ดึงฟ้าต่ำ" ซึ่งอาจจะทำให้โดนลงโทษด้วยกฎหมายมาตรา ๑๑๒ เมื่อไรก็ได้ แต่ผู้พูดก็ไม่ได้สนใจ คิดอยู่อย่างเดียวว่าเมื่อพูดไปแล้ว จะทำให้คนอื่นมองว่าตนเองนั้นเก่ง เท่ เก๋ ฉลาด ทั้งที่กำลังขยายความโง่..!"
"แม้แต่เรื่องที่อาตมานำมาบอกกล่าว โดยหลักใหญ่แล้วคือ ปรารถนาให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นกติกาเบื้องต้นของการเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน บอกกล่าวเพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่า สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผี เทวดา พรหม หรือพระนิพพาน เป็นของจริง ของแท้ สามารถเข้าถึงได้ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
แต่แทนที่ท่านทั้งหลายจะมองเห็นวัตถุประสงค์ตรงนี้ กลับโดนกิเลสบังหน้า ตัณหานำทาง เอาเรื่องพวกนี้ไปใส่สีตีไข่ ฟุ้งซ่านกันอย่างสนุกสนาน โดยที่ลืมไปว่ากำลังกอบโกยหาความทุกข์ใส่ตัวแท้ ๆ ทั้งที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ กลับกลายเป็นว่าเดินสวนทางกับสิ่งที่ตนเองตั้งใจ แล้วเมื่อไรจะไปถึงเป้าหมายที่ต้องการเสียที ?"
"ตื่นเถิดท่านทั้งหลาย...ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ รักษาผู้ปฏิบัติตนให้พ้นจากที่ชั่ว นำพาเราทั้งหลายให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ที่แผดเผาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไปสู่สถานที่อันสงบสงัด ดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงคือพระนิพพาน
ชีวิตนี้เป็นของน้อยยิ่งนัก ไม่มีเวลามากพอให้เราหยุดแวะชมดอกไม้ริมทาง ต้องเร่งรัดเดินไปด้านหน้า เพื่อตัดชาติตัดภพของเราให้เหลือน้อยที่สุด หลีกหนีจากความทุกข์ให้เหลือระยะทางน้อยที่สุด ถ้าสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ได้ ก็เป็นเป้าหมายสูงสุดที่พึงหวัง"
หนทางแม้สุดไกล.......ขอมุ่งไปกว่าจะถึง
ยากเข็ญมิคำนึง.............ถึงทุกข์ทนสักเพียงใด
เดินตามรอยเท้าพ่อ.......มั่นคงต่อธรรมวินัย
พ่อชี้หนทางไป............จักมุ่งไปไม่ลังเล
จิตมั่นด้วยศรัทธา........ทุกเวลามิหันเห
ผู้ใดจะซวนเซ............มิรวนเรตามเขาไป
พ่อนำทางให้ลูก............มีแต่ถูกลูกมั่นใจ
ขอให้เดินตามพ่อไป.......ตราบจนถึงซึ่งนิพพาน.
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ (๒ เมษายน ๒๕๖๓) ได้เดินทางไปร่วมงานปล่อยคาราวานขนถุงยังชีพ เพื่อนำไปมอบให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ได้รับฟังปัญหาต่าง ๆ จากบรรดานายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตําบล กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน แล้วปวดหัวกับกิเลสมนุษย์
ถุงยังชีพที่ส่งมาแม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่ดูอย่างไรก็ไม่พอเพียง เนื่องจากความไม่ชัดเจนที่ว่า ให้แจกจ่ายแก่บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ซึ่งทางผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี หมายถึง ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสอย่างหนึ่ง ผู้ที่ตกงานอย่างหนึ่ง และผู้ที่ต้องกักกันตนเองเพื่อเฝ้าระวังอีกอย่างหนึ่ง
ในอำเภอทองผาภูมิยังโชคดีที่ไม่มีผู้ติดเชื้อไวรัส covid-๑๙ โดยตรง มีแต่ผู้ที่โดนกักกันตัวเพื่อเฝ้าระวังประมาณ ๗๐๐ ราย ซึ่งรวมทั้งพระภิกษุและแม่ชีของวัดท่าขนุน ๗ รูปด้วย"
"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลที่จิตใจประกอบด้วยความโลภ จึงสรุปเอาง่าย ๆ ว่าตนเองก็ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสด้วย เพราะว่าทางราชการขอร้องให้เก็บตัวอยู่กับบ้าน จึงพากันเดินทางมายังจุดที่ทางกำนันผู้ใหญ่บ้านนัดเพื่อแจกจ่ายถุงยังชีพ
ต่อให้ขนถุงยังชีพมาเท่าไรก็ไม่พอ อย่างเช่นบริเวณท่าแพ มีผู้ที่ตกงานต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา และโดนกักกันตัวเพื่อเฝ้าระวัง จำนวน ๑๐ ราย แต่ชาวบ้านที่เดินทางมารอรับถุงยังชีพมีเกือบร้อยคน..!"
"นายจิรชัย ถนอมวงษ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลท่าขนุน มากราบเรียนว่า "คงต้องพึ่งบารมีหลวงพ่ออีกแล้วครับ" สรุปว่าทางราชการจะทำโครงการที่ดีเพียงใดก็ตาม เมื่อเจอบุคคลที่เต็มไปด้วยกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง โครงการเหล่านั้นก็มีโอกาสพังไม่เป็นท่า อาจจะสร้างปัญหาใหญ่ให้เกิดขึ้นกับรัฐบาลได้อย่างง่าย ๆ
และท้ายที่สุดวัดก็เป็นที่พึ่งสุดท้ายของทุกคน โดยเฉพาะวัดท่าขนุน ส่วนที่เหลือไม่ค่อยจะมีมาให้ แต่ถ้าขาดเมื่อไรต่างก็มาเอาจากที่นี่..! อาตมาไม่ได้รังเกียจ เต็มใจที่จะช่วยเหลือทุกฝ่ายอยู่เสมอ จึงสั่งให้ทางแม่ชีเตรียมข้าวสารอาหารแห้งรอไว้ โดยให้นโยบายว่า มอบให้เขามากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าหมดเมื่อไรก็แล้วกันไป"
"สมัยที่เรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ ในบทนำได้กล่าวเอาไว้ว่า ทรัพยากรของโลกนี้มีจำกัด แต่ความต้องการของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงจำเป็นต้องศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ เพื่อจะได้ช่วยแบ่งปันให้ทุกคนมีส่วนในทรัพยากรเหล่านั้น นับว่าผู้เขียนตำรามีความรู้แจ้งถึงกิเลสในใจมนุษย์เป็นอย่างดียิ่ง จึงเขียนตำราออกมาได้ชัดเจนขนาดนั้น
อีกท่านหนึ่งก็เขียนเอาไว้ว่า ทรัพยากรในโลกนี้มีเพียงพอสำหรับทุกคน แต่มีไม่เพียงพอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว ซึ่งก็ออกอาการหนักไม่แพ้กัน ว่าความโลภในใจของมนุษย์นั้น ทำให้โลกเรามีปัญหามาจนทุกวันนี้"
"องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนให้พวกเราละความโลภในจิตในใจด้วยการให้ทาน และการให้ทานเหล่านี้ ลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงได้กระทำจนเป็นปกติ สามารถให้ได้ทุกรูปแบบ ทุกที่ ทุกเวลา
เป็นที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งว่าท่านทั้งหลายมีความโลภในใจน้อย สามารถละมัจฉริยะ ความตระหนี่ในใจของตนเองออกได้ ไม่ถูกถ่วงหนักด้วยความโลภ มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้ง่ายกว่าผู้อื่น จึงขอแสดงความยินดีและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านมา ณ ที่นี้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงนามใน พรก.ฉุกเฉินฉบับที่ ๒ ห้ามออกจากเคหสถานในยามค่ำคืนทั่วประเทศ ตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีสี่ มีผลบังคับใช้วันที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ เพื่อระงับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙
บุคคลในยุคปัจจุบันนี้ ไม่เคยชินกับสถานการณ์ห้ามออกจากบ้านยามค่ำคืน หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า เคอร์ฟิวส์ แต่รุ่นของอาตมาที่ผ่านทั้งเหตุการณ์ยุค ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ตลอดจนพฤษภาคม ๒๕๓๕ เคยชินกับเรื่องเหล่านี้ดี
การห้ามบุคคลออกจากเคหสถานยามค่ำคืนในยุคนั้น เพื่อป้องกันการชุมนุมทางการเมือง แต่การห้ามในยุคนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ซึ่งบรรดา "ลูกอีช่างติ" ก็ยังค่อนแคะกระแนะกระแหนรัฐบาลว่า ประกาศช้าจนเกินไป"
"โบราณกล่าวไว้ว่า "ช่างกลึงพึ่งช่างชัก ช่างสลักพึ่งช่างเขียน ช่างรู้พึ่งช่างเรียน ช่างติเตียนไม่ต้องพึ่งใครเลย" การตำหนิติเตียนนั้นจัดอยู่ในคำพูดประเภทนินทาว่าร้าย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การตำหนิติเตียนนั้นมักจะไม่ได้อยู่ในลักษณะสร้างสรรค์
การตำหนิติเตียนแบบสร้างสรรค์นั้น ต้องบอกวิธีแก้ไขเอาไว้ด้วย ไม่ใช่ติแบบ "ตีหัวเข้าบ้าน" คือสักแต่ว่าคนอื่น บุคคลที่ทำงานอยู่ย่อมมีโอกาสผิดพลาด ไม่รอบคอบ ถ้าเราเห็นว่าตรงไหนไม่ดี ก็ช่วยชี้ทางออก บอกทางถูก เพื่อที่ผู้อื่นจะได้รับไปแก้ไข
ดังนั้น..ผู้ที่ติเตือนผู้อื่น จึงต้องมีจิตใจที่ประกอบไปด้วยเมตตากรุณา ที่สำคัญคือต้องมีอุเบกขาพรหมวิหาร มองเหตุการณ์แบบคนอยู่วงนอก ไม่ได้กระโดดขึ้นไปเล่นบนเวที บอกกล่าวด้วยความหวังดีปรารถนาดีจริง ๆ หวังให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากกว่านี้"
"โบราณยังกล่าวไว้อีกว่า "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ" ผืนหนังใหญ่เท่าไรก็แค่หุ้มรอบตัวเรา ส่วนผืนเสื่อนั้นสามารถหุ้มเราทั้งตัวอีกชั้นหนึ่ง แปลว่าใหญ่กว่ากันมาก ดังนั้นบุคคลที่หวังดีปรารถนาดีต่อเราด้วยใจจริง จึงมีน้อยกว่าเสมอ จัดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ทรงให้วรธรรมคติไว้ว่า "ถ้าช่วยใครไม่ได้ก็ให้นิ่งไว้" ไม่ใช่ไปติเตียนจนกลายเป็นการบั่นทอนกำลังใจของผู้ทำงาน จนกลายเป็น "มือไม่พายเอาตีนราน้ำ" ดังที่สุภาษิตคําพังเพยของเรากล่าวไว้"
"สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ สามัคคีธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด กำลังใจ กำลังกาย กำลังทรัพย์ ถ้าเป็นแบบนี้เราก็จะนำพาประเทศชาติรอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤตไปได้
หลวงปู่บุดดา ถาวโร ครูบาอาจารย์สำคัญรูปหนึ่งของอาตมา กล่าวเอาไว้ว่า "อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่น ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด" ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การไปยุ่งเรื่องของคนอื่นนั้น ถ้าเราไม่มีความรู้ความชำนาญ ก็กลายเป็นการยุ่งแล้วทำให้เขาทำงานยากขึ้น"
"ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าท่านใช้ปัญญาพิจารณา แล้วเห็นว่าตนเองควรที่จะทำอะไร เพื่อเป็นการช่วยเพื่อนมนุษย์ ช่วยประเทศชาติในสภาวะที่ยากลำบากตามกำลังของเรา ถ้าทำแล้วช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ต่อให้เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ขอให้ทุกคนตั้งใจทำให้เต็มที่ "เราจะผ่านความยากลำบากเหล่านี้ไปด้วยกัน"
"ความอดทนเป็นคุณสมบัติของนักปราชญ์" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ ทรงขึ้นต้นด้วยคำว่า "ขันติ" คือ "ความอดทน" เราแค่ทนกับการสูญเสียความเคยชิน ทนอยู่กับบ้านเพื่อให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น "ทนเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์สุขส่วนใหญ่ของบ้านเมือง" ดังพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ ๙"
"เราต้องอดทนแค่ไหน ก็ไม่ได้ยากลำบากไปกว่าความอดทนของบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งต้องเหนื่อยยาก และเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสอยู่ทุกเวลา จนกระทั่งมีผู้กล่าวว่า ท่านจะทนอยู่บ้าน หรือว่าท่านจะอยู่โรงพยาบาล หรือว่าท่านจะไปอยู่เชิงตะกอน ก็ให้เลือกเอาตามอัธยาศัย
หลวงปู่ทอง (พระพรหมมังคลาจารย์ วิ.) วัดพระธาตุศรีจอมทอง มีคำสอนติดปากว่า "อดได้ ทนได้ ช้าได้ รอได้ ดีได้" ดังนั้น..แค่ระยะเวลาประมาณเดือนเดียว ถ้าท่านอดได้ ทนได้ รอได้ สถานการณ์ทุกอย่างก็ย่อมดีได้ไปเอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันศุกร์ที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ ออกบิณฑบาตตามปกติ อากาศเช้านี้อยู่ที่ ๒๒.๓ องศาเซลเซียส เมื่อฉันเช้าแล้วต้องรีบมาดูแลสถานที่ เตรียมต้อนรับบรรดาเจ้าอาวาส เจ้าสำนักสงฆ์ ประธานที่พักสงฆ์ ซึ่งจะเดินทางมารับการช่วยเหลือตามโครงการบรรเทาความเดือดร้อนของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙
แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ แม้ว่าจะได้รับโทรศัพท์ด่วนจากอาตมาตอน ๐๘.๑๐ น. ก็ยังส่งเจ้าหน้าที่ ๓ คน มาทำการคัดกรองผู้เข้าร่วมโครงการ ด้วยการแจกแอลกอฮอล์ล้างมือ วัดอุณหภูมิ และติดสติ๊กเกอร์รับรองว่าผ่านการคัดกรองแล้ว ให้กับบรรดา "หัววัด" ทั้งหลายได้ทันเวลาพอดี"
"พระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ พระครูกาญจนปัญญาวุฒิ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๑) ในฐานะประธานและรองประธานโครงการ มาถึงก่อนที่บรรดาเจ้าอาวาสจำนวนมากจะมาถึง
อาตมาขอโอกาสจาก "เจ้านาย" กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการนี้ ที่ตั้งใจทำขึ้นมาแม้ว่าจะมีบางเสียงไม่เห็นด้วย เนื่องจากคิดไปในลักษณะที่ว่าอาตมาอวดร่ำอวดรวย แต่การทำงานใหญ่เพื่อส่วนรวมนั้น ถ้ามัวแต่ฟังเสียงนกเสียงกาก็ไม่ต้องทำกันพอดี ดังนั้น..สิ่งที่อาตมายึดเป็นหลักของการทำงานอยู่เสมอก็คือว่า ถ้าพิจารณาแล้วว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์มากกว่าโทษ ก็จะทำทันทีโดยไม่ใส่ใจต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ถือคติว่า ถ้าเหนื่อยเดี๋ยวเขาก็หยุดไปเอง
จากนั้นท่านเจ้าคณะอำเภอและรองเจ้าคณะอำเภอรูปที่ ๑ ได้เกริ่นถึงความเดือดร้อนของทางคณะสงฆ์ ว่าบางแห่งเหลือชาวบ้านยอมใส่บาตรแค่ ๒ บ้าน เพราะว่ากลัวติดเชื้อถ้าเข้าใกล้พระ จนกลายเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า พระก็กลัวโยม ส่วนโยมก็กลัวพระ..!"
"จากนั้นท่านเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอรูปที่ ๑ และอาตมา ก็ถวายปัจจัยให้วัดละ ๕,๐๐๐ บาท พร้อมแอลกอฮอล์ล้างมือแบบสเปรย์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานคุณธรรมบริษัทมุลเลอร์กรุ๊ป เว็บไซต์คุณธรรมออนไลน์ palungjit.org และคณะกรรมการบ้านเติมบุญ รูปละ ๖ ขวด หน้ากากอนามัยแบบผ้าที่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชนคุณธรรมวังท่าขนุน ชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย และชุมชนคุณธรรมพัฒนาทองผาภูมิ ท่านละ ๑๐ ชิ้น
ท่านเจ้าคณะอำเภอนำคณะสงฆ์ให้พรเป็นภาษาบาลี จากนั้นอาตมานำไหว้พระ แล้วให้แยกย้ายกันกลับวัดได้ ก่อนที่จะกลับก็ต้องแบกแตงกวาไปวัดละถุงใหญ่ ถุงละประมาณ ๕ กิโลกรัม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชุมชนคุณธรรมวัดธุดงค์สมเด็จ (บ้านทุ่งนางครวญ)
ส่วนท่านพระครูอโณทัย (พระครูสถิตกาญจนวงศ์) เจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ นำเอาอะโวคาโดถุงใหญ่มาถวายอาตมาเป็นการส่วนตัว บอกว่า "ถ้าไม่พอ ต้องการเพิ่มเท่าไรให้บอกมา เพราะว่าไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปด้านในเลย ผลไม้เมืองหนาวที่กำลังออกผลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอะโวคาโด สตรอเบอรี่ หรือพืชผักจำพวกแครอต ขายให้ใครไม่ได้ ชาวบ้านจึงตั้งใจเอามาถวายพระแทน"
"ปกติแล้วการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ จะมากจะน้อยก็ต้องมีขาดประชุมบ้าง แต่งานนี้มากันครบถ้วน แม้กระทั่งผู้ที่ติดงานสำคัญก็ส่งตัวแทนมาขอรับการช่วยเหลือ แสดงให้เห็นว่าเดือดร้อนกันหนักจริง ๆ ซึ่งไม่ว่าพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้ามีแต่รายจ่ายโดยไม่มีรายรับ ก็คงจะไม่เดือดร้อนไม่ได้"
"ช่วงบ่ายอาตมาเข้าไปเยี่ยมชุมชนคุณธรรมวังท่าขนุน เพื่อดูการทำหน้ากากอนามัยสำหรับถวายพระ เพราะว่าที่ส่งไปให้จำนวน ๕๒๐ ชิ้น อาตมาถวายให้ทั้ง ๕๒ วัดหมดเกลี้ยงไปแล้ว
พร้อมกันนี้ก็ยังนำเอาเจลแอลกอฮอล์ล้างมือไปมอบให้กับชุมชนด้วย แต่ปรากฏว่าไม่มีใครอยากได้เจลแอลกอฮอล์ ทุกคนบอกว่าอยากได้ขวดแอลกอฮอล์แบบสเปรย์ที่ถวายพระ เพราะว่าทางคุณต๋อง (นายณัฐพล สุขวัฒนศิริ) ประธานชุมชนคุณธรรมบริษัทมุลเลอร์กรุ๊ป สั่งให้ทางโรงงานพิมพ์ภาพยันต์เกราะเพชรติดเข้าไปด้วย ดังนั้น..สิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันก็คือ "ขอขวดแอลกอฮอล์แบบสเปรย์ เอาเฉพาะแบบมียันต์..!"
สรุปว่าขวดรูปยันต์เกราะเพชร ขลังทั้งที่ยังไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก เป็นที่ต้องการของชาวบ้านทั่วไป แสดงว่านอกจากใช้ล้างมือเพื่อป้องกันเชื้อโรคแล้ว ยังพกพาไว้เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจอีกด้วย"
พระอาจารย์เล่าว่า "ตื่นตีหนึ่ง เก็บที่นอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินมายังสำนักงานเจ้าอาวาส ผ่านต้นมะม่วงและมะปราง ปรากฏว่ามีลูกสุกตกลงเกลื่อนพื้นไปหมด บางส่วนเกิดจากความสุกงอมจนได้ที่ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากฝีมือของ "นกมีหูหนูมีปีก"
การที่ "ตื่นแต่มืดแต่ดึก" แบบที่บางคนบอก เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คืออายุมากแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าโดยธรรมชาติคนแก่ย่อมนอนน้อยลง สาเหตุที่ ๒ เกิดจากการฝึกหนักตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ทุ่มเทกับการปฏิบัติกรรมฐาน โดยยึดหลัก "กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก"
เมื่อต้องมาเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ คำถามหนึ่งที่เจอก็คือ "ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนั้นด้วย ?" อาตมาตอบไปว่า "ต้องตื่นก่อนกิเลส ถ้ากิเลสตื่นก่อนเราจะฟุ้งซ่านไปทั้งวัน" เรื่องนี้หลายคนมีประสบการณ์ โดยเฉพาะบรรดาผู้ชายทั้งหลาย ถ้าไม่ได้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ย่อมเข้าใจดีว่าถ้ากิเลสตื่นก่อนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ?!!"
"สภาพจิตของเราทำงานตลอดเวลาแม้ว่าเราจะหลับ การที่เราจะหลับได้นั้นจะต้องมีสมาธิในระดับปฐมฌานหยาบ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะนอนไม่หลับและฟุ้งซ่านมาก แต่สภาพจิตที่ทรงปฐมฌานหยาบในระหว่างที่เราหลับนั้น ไม่มีอานิสงส์ของการทรงฌาน เนื่องจากเป็นกัมมวิปากชาฤทธิ์ คือ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม เมื่อเกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ต้องมีความสามารถตรงจุดนี้ ไม่อย่างนั้นถ้าสภาพร่างกายไม่ได้พักผ่อนนาน ๆ ก็อาจจะถึงตายได้
ปริศนาธรรมโบราณกล่าวว่า "กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว" คือสภาพจิตของเราแม้ว่าตอนกลางคืนจะหลับ แต่ก็ยังมีสภาพการทำงานกรุ่นอยู่ เหมือนไฟป่าดอยสุเทพที่รอเวลาปะทุ เมื่อถึงกลางวันก็เร่งทำหน้าที่ของตนตามที่ได้คิดฟุ้งซ่านเอาไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน
ในเมื่อสภาพจิตของเราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีโอกาสได้พักได้ผ่อน หลายท่านจึงสงสัยตนเองว่า เราก็ได้นอน ๖ - ๘ ชั่วโมงแล้ว ทำไมถึงยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา ? เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านได้พักแต่ร่างกาย สภาพจิตใจไม่ได้พักเลย"
"สภาพจิตที่จะได้พักอย่างแท้จริง ต้องทรงอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยิ่งถ้าได้ถึงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ยิ่งดี คือ สมาธิยิ่งสูงเท่าไร เราก็ได้พักอย่างแท้จริงมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเข้านิโรธสมาบัติ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ นั่นคือการได้พักผ่อนอย่างแน่นอนที่สุด
เนื่องจากว่าการเข้านิโรธสมาบัตินั้น สภาพร่างกายจะหยุดทำงานเกือบหมด ถ้าหากว่าใช้เครื่องมือแพทย์มาตรวจวัด ก็จะบอกว่าตายไปแล้ว เพราะว่าเหลือเพียง "ปราณละเอียด" ที่เครื่องมือแพทย์สมัยใหม่ยังจับไม่ได้ จึงรายงานว่าเจ้าของร่างนี้ตายไปแล้ว..!
ดังนั้น..ท่านที่ทรงฌาน ๔ ก็ดี สมาบัติ ๘ ก็ดี หรือว่านิโรธสมาบัติก็ดี ต้องระมัดระวังไว้ด้วยว่า บุคคลที่ไม่รู้จะเหมาว่าท่านตายไปแล้ว และอาจจะดำเนินการตามแบบคนตาย อย่างเช่นว่า เอาใส่โลง เอาไปฝัง เอาไปเผา เป็นต้น"
"พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เมื่อท่านพักผ่อนจะล็อกประตูห้องเสมอ ด้วยเกรงว่าถ้าลูกศิษย์ที่ไม่รู้ไปพบเข้า ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา โดยเฉพาะบรรดาบุคคลที่ "โง่แล้วขยัน" เนื่องจากว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง หมอขออนุญาตติดเครื่องมือบางอย่างเพื่อวัดคลื่นหัวใจ เมื่อเอาไปตรวจสอบแล้วปรากฏว่า ตลอด ๑ คืนหัวใจของหลวงพ่อท่านหยุดเต้นถึง ๓๐๐ กว่าครั้ง..! แปลว่าพอสมาธิสูงขึ้น ร่างกายหยุดทำงาน เครื่องมือก็รายงานว่าหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว..!
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ, บุญ - หลง) ที่ตึกพิเศษ ๕ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ลูกศิษย์สำคัญท่านหนึ่งของหลวงปู่ก็คือ พลเรือโทนายแพทย์บรรยงก์ ถาวรามร อดีตเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ มารักษาตัวอยู่ที่ห้องข้างเคียง
หลวงปู่อยากจะไปเยี่ยมลูกศิษย์ แต่สภาพร่างกายก็ไม่อำนวย ช่วงนั้นอาตมาต้องอุ้มท่านเข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น ท่านจึงใช้วิธีไปโดยมโนมยิทธิเต็มกำลัง ก็คือถอดจิตไปเยี่ยมลูกศิษย์แทนตัวท่านที่นอนอยู่"
"พอดีเป็นช่วงเวลาที่หมอออกตรวจไข้ในช่วงเช้า ซึ่งภาษาแพทย์เรียกว่า "ออกราวด์" เมื่อจับชีพจรของหลวงปู่ นาวาตรีนายแพทย์สุรเสน ตวงวรนันท์ ก็ตกใจสุดขีด เพราะว่าชีพจรไม่เต้นเลย คุณหมอสุรเสนวิ่งไปรายงานเจ้านาย คือ พลเรือโทพนิต ศรียาภัย ท่านเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือคนใหม่ ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มหาอำพันเช่นกัน
อาตมาเห็นท่าไม่ดีจึง "สะกิด" หลวงปู่ ท่านจึงดึงจิตกลับ ลืมตามาบอกกับท่านเจ้ากรมฯ พนิตว่า "ฝันว่าไปเยี่ยมลูกศิษย์มา" แล้วไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น เพราะท่านเกรงว่าจะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรม จึงได้แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้คุณหมอทั้งสองงงกันต่อไป"
"อาตมาเองถึงจะล็อกประตูแล้วก็ตาม ก็ยังคงโดนบรรดาลูกศิษย์แสนดี ที่ให้ช่างทำกุญแจสำรองแจกกันอย่างสนุกสนาน เข้าไป "ยำใหญ่" มาแล้ว จึงขอยกเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายสังวรไว้ว่า ถ้าปฏิบัติธรรมจนถึงระดับอัปปนาสมาธิเมื่อไร ต้องระวังให้จงหนัก ถ้าท่านสร้างกรรมเอาไว้มากอย่าง "หลี่เถี่ยไกว่" หนึ่งในแปดเซียนของจีน ก็อาจจะโดนหามไปเผาแบบนั้นเช่นกัน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในช่วงเวลาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ทุกคนก็พยายามที่จะช่วยกันทำสิ่งต่าง ๆ ที่คิดว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น อย่างหนึ่งที่เห็นออกมาหลากหลายมากก็คือการแต่งเพลง มีทั้งบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีทั้งให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานโดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ มีทั้งให้กำลังใจบุคคลที่ต้องกักกันตัวเอง
แต่ว่าเพลงส่วนใหญ่ที่ออกมาแล้วมักจะ "แป้ก" จากหลายสาเหตุด้วยกันดังนี้
๑. ขาดความงามของฉันทลักษณ์ เพลงสมัยนี้คนรุ่นเก่าอย่างอาตมามีความรู้สึกว่า แย่กว่าเด็กท่องอาขยานเสียอีก ลองเปรียบเทียบ "โคหวิด โควิด โคหวิด" กับ "ป่าเหนือเมื่อหน้าดอกไม้บาน ลมฝนบนฟ้าผ่าน ฟ้ามองดังม่านน้ำตา" เท่านี้ก็ "น้ำตาจิไหล" แล้ว..!
๒. ฟังแล้วไม่เห็นภาพ ลองเปรียบเทียบกับ "เหลืองเหลืองเรืองรองลิบลิ่ว สงฆ์เดินเป็นทิวยาวเหยียดดูน่ามอง" และ "ตาลเดี่ยวยืนต้นเหมือนคนตรอมใจ หมองไหม้ระทม ท่ามกลางสายลมขอบฟ้ากว้างใหญ่" หรือ "ลั่นทมเอนก้านกิ่งไหว หลบสายลมไล่จูบพัลวัน" ซึ่งเห็นภาพพจน์ทุกอย่างชัดเจนมาก"
"๓. ไม่มีบรรยากาศ ลองเปรียบเทียบกับ "แดดบ่ายปลายคุ้งท้องทุ่งรวงทอง" และ "เมื่อถึงเดือนเมษา หนุ่มบ้านนานั่งหมอง" หรือสุดยอดระดับ "ขลุ่ยเป่าแผ่วพริ้วผ่านทิวแถวต้นตาล" แค่นี้ก็รู้ว่าระดับอนุบาลกับปริญญาเอกนั้นต่างกันขนาดไหน ?
๔. ไม่มีนางเอกพระเอก ลองเปรียบเทียบกับ "สิบห้าหยก ๆ เปรียบดั่งนกน้อยเริ่มหัดบิน ระวังลมเล่ห์ลิ้น ชายให้กินจะบินตกคู" และ "นกเอี้ยงจ๋าก่อนเอี้ยงเคยเลี้ยงทุยอยู่" หรือ "พี่เป็น อส. เฝ้ารอรัก น้องจึงไม่อยากเห็นใจ" จะเห็นภาพพจน์หญิงชายชัดมาก
๕. เอาดนตรีนำเสียง ขอให้จังหวะดนตรีสนุกเอาไว้เต้นมัน ๆ อย่างเดียว เสียงร้องจะแหบจะห่วยแค่ไหนก็ได้ อยากให้คนรุ่นนี้ไปลองฟังเสียง สมยศ ทัศนพันธ์, ทูล ทองใจ, ไพรวัลย์ ลูกเพชร, พนม นพพร นักร้องหญิงอย่าง วงจันทร์ ไพโรจน์, ผ่องศรี วรนุช, ลัดดาวัลย์ ประวัติวงศ์ หรือรุ่นใหม่ ๆ อย่าง สุนทรี เวชานนท์ ก็ได้ จะได้รู้ว่าเสียงที่นำดนตรีได้นั้นเป็นอย่างไร ต่อให้ไม่มีดนตรีก็สามารถร้องได้ไพเราะอย่างเป็นธรรมชาติ"
"อาตมาไม่ได้มาตำหนิผลงานที่ท่านเหนื่อยยากสร้างสรรค์มา แต่มาบอกให้ได้รู้ว่าจุดบกพร่องอยู่ตรงไหน เผื่อว่าจะนำไปแก้ไขได้ ก็จะมีเพลงดังติดหูชาวบ้านเขาบ้าง ไม่ต้องระดับศิลปินแห่งชาติ ประเภท "ตะวันส่องใสสาดสายลงมาทาบทาทิวทุ่ง แผ่วลมผ่านโปรยเหมือนโชยกลิ่นปรุงดอกฟางหอมลอย" หรอก เอาแค่ระดับ "ขอนไม้กับเรือ" หรือ "ได้หมดถ้าสดชื่น" แล้วเอามาเปรียบกับสิ่งที่อาตมาพูดถึงข้างต้น ซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะเห็นว่าท่านที่ประสบความสำเร็จนั้นเพราะว่าเขามีอะไรบ้าง แล้วถ้าเราพยายามทำตามนั้นก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า วิริเยน ทุกฺข มจฺเจติ บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ภาษิตไทยกล่าวไว้ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ขอให้ทุกคนพยายามกันต่อไป "ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน เดินตามความฝัน ไม่ท้อไม่หวั่นสุดแรงที่มี" แล้วท่านจะประสบความสำเร็จเช่นกัน"
"การหัวเราะเยาะคนอื่นจัดอยู่ในผรุสวาทา พร่องในกรรมบถ ๑๐ อย่างร้ายแรง"
"เฮ้ย..มีอย่างนี้ด้วย ? เพิ่งเคยได้ยิน"
"ผรุสวาทา แปลว่าอะไร ?"
"วาจาเหมือนขวานถาก"
"พูดไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ?"
"คนฟังย่อมเจ็บใจ"
"นั่นแหละ..การหัวเราะเยาะย่อมทำให้ผู้อื่นเจ็บใจ"
เหวอสิครับท่าน..! แต่ที่เจ็บกว่านั้นก็คือโดนแมลงภู่สอน..!
"ไม่ใช่แมลงภู่ครับ ตอนนี้ผมโมทนาบุญที่ท่านทำ มีศักดานุภาพเหมือนพรหม..!"
หนักเข้าไปอีก..! อนุสนธิ์สืบเนื่องมาจากการไปทำ "พิธีมหาระงับโรคาพินาศ" กว่าจะไปถึงบริเวณมณฑลพิธี มีด่านคอยตรวจผู้เดินทางเป็นร้อยแห่ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ อาตมาไม่อยากเสียเวลา จึงบอกพญาแมลงภู่คำทั้งคู่ ซึ่งติดรถอยู่เป็นประจำว่า "ผ่านฉลุยทุกด่านทั้งขาไปและขากลับ แล้วจะเลี้ยงของดี..!"
ภาพที่เห็นก็คือพญาแมลงภู่คำเทียบปีกเคียงคู่ พา "น้องแก้ว" วิ่งผ่านทุกด่านเหมือนไม่มีตัวตนทั้งขาไปและขากลับ แม้แต่จะโบกให้หยุดเพื่อสอบถามก็ไม่มี นายแน่มาก..!
เมื่อเป็นดังนั้นก็ต้องทำตามคำสัญญา กลับมาแล้วชีวิตยังยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก เมื่อมีเวลาก็รีบปรุง "ของดี" เพื่อตอบแทนพญาแมลงภู่คำทั้งสอง ซึ่งมีสูตรดังนี้
น้ำมันงาดิบ (คั้นมือ) ๑ ส่วน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ๑ ส่วน น้ำมันทานาคา ๑ ส่วน น้ำมันชาตรี ๓ หยด
คนให้เข้ากันเทใส่โหลแก้ว แล้วเชิญพญาแมลงภู่คำทั้งสองลงไปดำผุดดำว่าย ไหน ๆ ก็ยังมีที่ว่างเหลืออยู่มาก จึงฉวยโอกาสนำแมลงภู่คำทุกตัว ไม่ว่าจะแกะจากไม้ดุมล้อเกวียน แกะจากงาช้างกำจัด แกะจากเขี้ยวหมูตัน ออกจากรังใส่ลงในขวดโหลไปทั้งหมด
ปิดฝาแล้วไปนึกถึงการเรียนชีววิทยาสมัยชั้นมัธยม ที่คุณครูผู้สอนนำเอาสารพัดสัตว์มาดองไว้ในขวดโหลด้วยฟอร์มาลีน เพื่อใช้ประกอบการสอนในชั่วโมง เมื่อแมลงภู่คำทั้งฝูงลงไปสถิตอยู่ในขวดโหล ภาพที่เห็นก็คือแมลงดองชัด ๆ..! ก็หัวเราะสิครับ
นั่นแหละครับพระคุณท่าน..เกิดมาแก่จนป่านนี้ ก็เพิ่งจะโดนแมลงสอนธรรมะเข้าให้ ซ้ำยังลึกซึ้งแบบที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่อื่นมาก่อนด้วย ยังไม่รู้ว่าถ้าผิดสัญญาแล้วจะโดนอะไรบ้าง ? ยังดีที่สัจจบารมีไม่บกพร่อง ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากจะนึกว่า เวลาโดนแมลงด่าแล้วต้องทำหน้าแบบไหน ? ฮ่า..ฮ่า..!
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายท่านถามว่า การเขียนหนังสือก็ดี การพูดถึงเรื่องราวให้มาลงใน "เก็บตกฯ" ก็ดี มีการวาง "พล็อต" ไว้ก่อนหรือเปล่า ? ขอยืนยันไว้ตรงนี้ว่าไม่มี หนังสือที่เขียนส่วนใหญ่หนักไปทางบันทึกการเดินทาง จึงเป็นไปตามสภาพที่พบเห็นในช่วงนั้น ๆ ส่วนหนังสือ "กรรมฐาน ๔๐" นั้น เป็นการบรรยายธรรมแล้วมีผู้ถอดเสียงมา
การที่ทำเช่นนั้นได้สำหรับอาตมาแล้ว เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน
๑. ภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์จน "ขึ้น" แล้ว ถึงขนาดท่านให้คาถาเพิ่มเติมมาว่า อิกะวิติ พุทธะสังมิ โลกะวิทู ซึ่งลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงหลายท่านคัดค้านว่า ตามที่หลวงพ่อท่านบอกมานั้น ไม่มีคาถาตรงนี้
ภาษาวัยรุ่นสมัยอาตมาบอกว่า "พูดอีกก็ถูกอิฐ" คนประเภทนี้แหละที่ทำให้วิชาการต่าง ๆ ไม่มีการพัฒนาเลย เป็นพวกอนุรักษ์นิยมขนานแท้ ไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งอื่นที่แตกต่างไปจากความเคยชินของตน จัดอยู่ในประเภทไดโนเสาร์เต่าล้านปี รอเวลาสูญพันธุ์เท่านั้น..!"
"๒. ผ่านการฝึกมโนมยิทธิมาแล้ว เมื่อมีความคล่องตัวก็สามารถปรับใช้กับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ใช่ว่ามโนมยิทธิใช้สำหรับดูนรกดูสวรรค์เท่านั้น ประเภทนั้นก็ "จ๊าดง่าว" ตามที่ผู้ใหญ่ "จาวเหนีย" ด่าเด็ก ๆ ประเภทเข็นไม่ไป
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถึงเวลา จะเขียน จะพูด อะไรก็ตาม อาตมาก็มอบความไว้วางใจให้กับพระ พรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ ตามแต่ท่านจะเมตตาสงเคราะห์ให้
ก็ยังมีผู้สงสัยอีกว่า ถ้าทำแบบนั้นแล้วจะไม่ "เฝือ" หรือ ? บังเอิญว่าอาตมาฉลาดว่ะ..! เชื่ออารมณ์แรกตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเมตตาสอนไว้ เมื่อซักซ้อมจนมั่นใจว่าอารมณ์แรกนั้นเป็นอย่างไร ก็กำหนดจดจำเอาไว้และใช้ตามนั้นด้วยความระมัดระวัง โอกาสที่จะ "เฝือ" จึงมีน้อยมาก"
"มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน จะตกถิ่นฐานใดคงไม่แคลน ถึงคับแค้นก็พอยังประทังตน" ในเมื่อวิชาความรู้ครูบาอาจารย์ท่านก็ถ่ายทอดให้หมดแล้ว ก็เหลืออยู่แต่เราเท่านั้น ว่าจะศึกษาและนำเอาไปใช้ได้เท่าไร ต้องกล้าได้กล้าเสีย กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าสู้ครู แล้วจะวิวัฒนาการได้เร็วกว่าคนอื่นเขา
ในชีวิตนี้ตั้งแต่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงมา มีครั้งเดียวที่รู้สึกว่าเสียใจ ก็คือท่านบอกว่า "เล็ก..ตั้งแต่นี้ไปเทศน์แทนพ่อนะ" กราบเรียนตอบไปแบบไม่ต้องคิดว่า "ขออนุญาตผ่านครับ ผมกลัวโดนถีบตกธรรมาสน์..!"
หลวงพ่อท่านยังเมตตาทักท้วงว่า "ตำแหน่งใบฎีกาเท่ากับเป็นตัวแทนของหลวงพ่อ ถ้าแกไม่เอาแล้วใครจะทำ ?" อาตมาก็ได้แต่เงียบ เพราะว่าตอนนั้นยังรักตัวเองมากจนเกินไป"
"ภายหลังมานึกว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านนั้น นอกจากงานท่วมหัวแล้วยังป่วยหนักเป็นปกติ การที่ต้องลงเทศน์ทุกวันพระจัดเป็นภาระหนักมาก อุตส่าห์ขอให้ช่วยแบ่งเบาภาระแล้ว อาตมากลับไปกลัวคนอื่นเขาจะว่า จึงไม่สมกับที่ปฏิญาณตนว่ามอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย..!
แต่ถ้าใครเคยอยู่วัดท่าซุงมาจะรู้ว่า "จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน" แล้วช่วงนั้นความทนต่อการเสียดสีของอาตมายังไม่เพียงพอ จึงต้องปฏิเสธไปทั้งที่เป็นคำสั่ง และหลวงพ่อท่านต้องเล็งเห็นแล้วว่าอาตมาทำได้
ถ้าเป็นสมัยนี้ไม่มีทางที่จะปฏิเสธหลวงพ่อท่านแน่ เพราะว่าฝึกมาจนกระทั่งหนังหนาหน้าทนแล้ว ต้องกราบเท้าขอขมาพระเดชพระคุณหลวงพ่อไว้ ณ ที่นี้ หลังจากที่ปฎิเสธงานเล็กน้อยที่ท่านมอบให้ มาในปัจจุบันเจองานสอนทั้งทางโลกและทางธรรม ถึงแม้ว่าหนักจนเกือบจะพูดไม่ออกก็ต้องทนเอา รู้ชัดเจนแล้วว่าตอนนั้นหลวงพ่อท่านเป็นอย่างไร ?"
"มาตอนนี้เหมือนกับอยู่ในช่วงกรรมตามสนอง ไม่ว่าจะบอกจะสั่งพระหรือฆราวาสอย่างไร มีแต่คนปฏิเสธไม่กล้าทำ น่าจะอยู่ในอารมณ์เดียวกับอาตมาสมัยโน้น ก็ได้แต่หวังว่ากรรมส่วนนี้คงจะคลายตัวลงในเร็ววัน ไม่เช่นนั้นก็คงต้องแบกงานจนมรณภาพ แบบเดียวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน แต่การตายในหน้าที่ ปกติแล้วต้องปูนบำเหน็จ ๘ ขั้นนะครับ ฮ่า..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การบิณฑบาตเป็นกิจวัตร (สิ่งที่ทำเป็นงานประจำ) สำหรับพระภิกษุสามเณร ถ้าเป็นประเทศพม่าแม่ชีก็ออกบิณฑบาตด้วย แต่พม่าบิณฑบาตได้ทั้งวัน ออกบิณฑบาตตอนตี ๔ เพื่อฉันเช้า ออกบิณฑบาตหลัง ๘ โมงเพื่อฉันเพล และออกบิณฑบาตช่วงบ่ายเพื่อข้าวสารอาหารแห้งและเงินบริจาค
การบิณฑบาตแต่ละวันก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ กันไป ช่วงเช้าเมื่อเดินไปเกือบสุดสะพานใหญ่แล้ว มีรถจอดกลางเลนเพื่อรอใส่บาตร เนื่องจากว่าพระเดินอยู่ข้างทาง โยมเกรงว่าถ้าจอดข้างทางแล้วจะเป็นการขวางหน้าพระ ยังดีว่าช่วงนี้ไวรัส covid-๑๙ อาละวาด โยมจึงใส่บาตรได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ถูก ๑๘ ล้อขย้ำไปเสียก่อน..!"
"เมื่อเดินสวนกับพระวัดทองผาภูมิ ซึ่งมักจะนำโดยหลวงตาสุ่ย หรือว่าเดินสวนกับท่านเอ (พระมอญ) ท่านก็จะยกมือไหว้ ทำเอาอาตมารับไหว้แทบไม่ทัน ทั้งที่มีระบุชัดเจนในอภิสมาจาร (ศีลพระที่มานอกปาฏิโมกข์) ว่าเวลาใดไม่ควรที่จะไหว้กัน แต่ด้วยความเกรงใจที่ท่านพรรษาน้อยกว่า และอาตมาก็เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของอำเภอ ท่านจึงไหว้ทุกครั้ง และอาตมาก็ต้องรับทุกครั้งเหมือนกัน
เวลาพ่อออกซาน ซึ่งอายุเก้าสิบปีเศษใส่บาตร หรือว่ามีญาติโยมที่นำเด็กตัวเล็ก ๆ มาใส่บาตร อาตมาจะน้อมตัวลงต่ำเพื่อความสะดวกของคนแก่หรือเด็ก แต่สังเกตว่าพระบางรูปท่านไม่ยอมน้อมตัวลง ถ้าเป็นภาษาเฉพาะตัวของอาตมาก็เรียกว่า "ยืนแข็งเป็นสากกะเบือ" เนื่องจากท่านยังไม่มีประสบการณ์
คนแก่มีเรี่ยวแรงน้อย ยิ่งอำนวยความสะดวกให้มากเท่าไร เราก็จะไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น บางท่านถ้ายกทัพพีห่างตัวก็มือไม้สั่น เพราะว่ากำลังไม่พอ บางทีถึงกับข้าวหกตกพื้นไปเลย
ส่วนเด็กนั้นเมื่อใส่บาตรไม่ถึงก็ต้องเขย่ง เด็กก็มีกำลังน้อยเช่นกัน เมื่อเขย่งหลาย ๆ รอบเข้าก็หมดแรง เคยมีอยู่ที่เด็กดึงทัพพีกลับไม่ทัน เมื่อหมดแรงเขย่งทิ้งส้นเท้าลง มือยังจับทัพพีคาบาตรอยู่ ก็งัดบาตรกระเด็นหลุดจากมือพระไปเลย..!"
"บางบ้านเวลาแม่ใส่บาตร ลูกสาวก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จมาแต่งตัวอยู่หน้ากระจก ปกติพระรับบาตรก็สำรวมสายตามองเฉพาะในบาตร แต่วันนั้นพอได้ยินเสียง "ว้าย..!" ทุกรูปเหลือบตาขึ้นไป แล้วก็เบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะว่าแม่เจ้าประคุณนุ่งกระโจมอกอยู่หน้ากระจก ปากคาบยางรัดผม สองมือก็รวบผมเพื่อที่จะมัด กระโจมอกหลุดพอดี..! คาดว่าคืนนั้นพระหลายรูปคงเห็นภาพหลอนติดตาไปนาน..!
แทบทุกครั้งของการบิณฑบาต จะต้องมีหมาเดินตามแถวพระ โดยไม่ทราบแน่ว่าวัตถุประสงค์ของหมาคืออะไร ? โดยเฉพาะเจ้าโก้ เป็นหมาพันธุ์อลาสกันมาลามิวท์ น้ำหนักตัวน่าจะถึง ๕๐ กิโลกรัม เรียกว่าหมายักษ์ดี ๆ นี่เอง คอยเดินตามแถวพระตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เหมือนกับไปเดินออกกำลังลดความอ้วน พอพระเลี้ยวลงสะพานแขวนหลวงปู่สาย เจ้าโก้ก็เลี้ยวกลับบ้านเหมือนกัน"
"หมาวัดหลายตัวก็มักจะฉวยโอกาสตามพระออกบิณฑบาต เหมือนกับออกไปเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อคลายเครียด คราวนี้โดยกฎเกณฑ์กติกามารยาทของหมา ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้าถิ่นจะยอมให้ผ่านทางหรือไม่ ? จึงมีการกัดกระจายกันทุกครั้ง
หมาหลายตัวเมื่อโดนกัดก็เข็ด ไม่ตามพระออกบิณฑบาตอีก แต่ "เจ้าไข่เค็ม" โดนเท่าไรก็ไม่เคยเข็ด อาตมาก็ยังสงสัยว่ามันจะลงทุนขนาดนี้ไปทำอะไร ? จนกระทั่งวันหนึ่งถึงได้รู้ว่า ทำไมเจ้าไข่เค็มจึงออกไปได้ทุกวัน เพราะโยมที่ใส่บาตรบอกกับหมาว่า "รอเดี๋ยวนะไข่เค็ม แม่เตรียมไก่ย่างไว้ให้แล้ว" สรุปว่าแม่ค้าทุกคนรู้จักเจ้าไข่เค็ม และคอยเลี้ยงอยู่เสมอเมื่อมันไปตลาด เจ้าไข่เค็มถึงได้ยอมลงทุนเจ็บตัวทุกวัน เพื่อไปรอกินไก่ย่างนี่เอง"
"ภาษิตจีนบอกว่า "คนตายเพราะสมบัติ สัตว์ตายเพราะอาหาร" บอกให้รู้ชัดว่า ถ้าเราทำตามตัณหา (ความอยาก) อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะมีจุดอ่อนถึงตายถ้าศัตรูล่วงรู้ แล้วท่านทั้งหลายได้พิจารณาดูหรือไม่ว่า จุดอ่อนของตนเองอยู่ตรงไหน ? ถึงได้โดนกิเลสโจมตีอยู่ทุกวัน
"คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว" ถ้าท่านพิจารณาเห็นจุดอ่อนของตนเองแล้ว ก็ใช้ปัญญาแก้ไขตามแนว ทาน ศีล ภาวนา ก็จะช่วยกำจัดจุดอ่อนของตนเองให้น้อยลงไปได้เรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดก็ไม่มีจุดอ่อนให้กิเลสโจมตีได้อีก เราก็สามารถที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ลำบากอยู่ในวัฏสงสารไปอีกนานแสนนาน"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=30049&stc=1&d=1586067901
"ภาพที่เห็นข้างบนเป็นภาพยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารกำลังแบกลาเดินผ่านทุ่งที่เต็มไปด้วยกับระเบิด ทหารที่แบกลาอยู่ไม่ได้รักลาตัวนั้นเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะว่ากลัวลาจะวิ่งเพ่นพ่านไปทำให้กับระเบิดทำงาน แล้วทุกคนจะเดือดร้อนถึงตาย
เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า ในยามวิกฤตเราต้องระมัดระวังคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วยังทำอวดฉลาด ทำอะไรตามอำเภอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยใหญ่หลวงตามมาในคนหมู่มาก
แต่น่าเสียดาย ความเป็นจริงก็คือเรามีจำนวนลามากกว่าจำนวนทหาร การแก้ปัญหาเรื่อง covid-๑๙ จึงอาจต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น
เราทุกคนต้องพยายามเปลี่ยนลาเหล่านั้นให้เป็นทหาร และไม่ทำตัวเองเป็นลา ต้องพยายามให้การศึกษาแก่คนที่ไม่รู้ เปลี่ยนทัศนคติพวกเขา วิกฤตจะผ่านไปได้ ถ้าเราทุกคนร่วมมือกันแก้ปัญหา"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สิ้นเดือนมีนาคมก็ต้องจัดการทำสารพัดบัญชีให้เรียบร้อย แล้วก็เริ่มลงบัญชีของเดือนเมษายน ๒๕๖๓ พอเห็นตัวเลขเงินสังฆทาน ๑,๖๐๐ บาท ก็หัวเราะอยู่ในใจ..! จากระดับหลายแสนลงมาเหลือแค่ระดับเงินพัน ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างไรหนอ ?
แต่สำหรับอาตมานั้นเงินน้อยย่อมดีกว่าเงินมาก เพราะว่าเงินน้อยก็ไม่ต้องลงมือทำอะไร ถ้าเห็นเงินมาก ๆ เมื่อไรรู้ชะตากรรมเลยว่างานกำลังจะมา จะว่าไปแล้วอาตมาค่อนข้างจะเป็นคนกลัวเงินเสียด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ก็มีสาเหตุและที่มาที่ไปเช่นกัน"
"ประการแรก...ตั้งแต่สมัยดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ที่วัดท่าซุง ช่วงนั้นมีลูกมืออยู่ ๒ ท่าน คือ พระสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตโต และ พระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล เมื่อเลิกงานทั้ง ๓ รูปก็ช่วยกันโกยเงินเหรียญออกจากตู้ทำบุญ แล้วแยกออกเป็นถัง ๆ ว่าแต่ละตู้ทำบุญรายการอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มลงมือนับกัน เพื่อที่จะได้นำส่งให้คุณครูนนทา อนันตวงษ์ โดยเร็วที่สุด
ท่านสมปองและท่านชาติชาย นับได้ ๒ ถุง ถุงละร้อยเหรียญก็วางมือ บอกว่ามีธุระ แล้วขอตัวหายไปเลย ส่วนอาตมามีนิสัยดังในพระบาลีที่ว่า อนากุลา จ กมฺมนฺตา การทำงานต้องไม่คั่งค้างถึงจะเป็นมงคล จึงต้องนั่งนับเหรียญไปคนเดียว
สรุปว่าวันนั้นนับเหรียญไปจนถึงตีสองกว่าถึงจะเสร็จเรียบร้อย บรรจุลงกระสอบใส่เงินของธนาคาร กระสอบละ ๔,๐๐๐ เหรียญ เป็นจำนวนถึง ๓๗๐ กว่ากระสอบ รู้สึกปวดเหมือนหลังแทบจะขาด..!
ตั้งแต่นั้นมาก็เข็ดกับเงิน ใจหมดอยากในตัวเงินโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมากจะน้อยเท่าไรก็ไม่เอาอีกแล้ว เห็นทุกข์เห็นโทษของการมีเงินจริง ๆ ต้องบอกว่าบรรลุนิพพิทาญาณพร้อมด้วยสังขารุเปกขาญาณระดับสูงสุด จากการนับเงินครั้งนั้นนั่นเอง..! "
"ประการที่ ๒ หลังจากออกจากวัดท่าซุงมาแล้ว เริ่มมาก่อสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี แล้วตามมาด้วยวัดอื่นอีกมากมายหลายวัด เมื่อสังเกตดูจะรู้ว่า ถ้าช่วงไหนเงินมามาก แปลว่างานใหญ่กำลังรออยู่ เตรียมตัวเหนื่อยได้เลย
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้กลายเป็นคนไม่สนใจเงิน เพราะว่ารับมาก็ไม่ใช่ของตัวเอง ซ้ำยังต้องเหนื่อยยากในการก่อสร้างอีกด้วย เมื่อมาเห็นบัญชีเงินหลักพัน ก็ได้แต่ยิ้มอยู่ในใจว่า หลังจากเหนื่อยมา ๒๘ ปีเต็ม เพิ่งจะได้ "หยุดเทอม" กับเขาบ้าง ได้แต่หวังว่าอย่า "เปิดเทอม" เร็วนักก็แล้วกัน..!"
บันทึกไว้เป็นประสบการณ์ : ตำราการใช้แมลงภู่คำกล่าวไว้ว่า เมื่อท่านพกแมลงภู่คำติดตัว จะพบกับแมลงภู่ตัวเป็น ๆ มาบินวนอยู่ใกล้ ๆ บ่อย ๆ หรือพบซากแมลงภู่ตายอยู่ในบริเวณที่อยู่ของท่าน ซึ่งจากที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
แต่ที่ขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ก็เพราะว่ามีความต่างอย่างมากเกิดขึ้น คือ วันแรกที่นำแมลงภู่คำลงแช่น้ำมันผสมน้ำมันชาตรี ฝูงผึ้งจำนวนมหาศาลไม่ทราบว่าแห่มาจากที่ไหน มาบินตอมไฟจนหมดแรงตกลงเกลื่อนพื้น เรื่องนี้อาจจะถือว่าบังเอิญก็ได้
แต่ว่าที่กุฏิเรือนไทยซึ่งเป็นสำนักงานเจ้าอาวาส มีแมลงวันตัวลายขนาดใหญ่ บินเข้ามาหลายตัว โดยไม่ทราบว่าเข้ามาช่องทางไหน เพราะว่ามีมุ้งลวดครบถ้วนและสมบูรณ์ดี
ทันทีที่จับไปปล่อยด้านนอกกุฏิ ไม่ถึง ๑๐ วินาทีก็มาปรากฏตัวใหม่อยู่ข้างใน เหมือนกับว่าสามารถบินทะลุกระจกหรือว่าบินทะลุมุ้งลวดเข้ามาในทันทีทันใด ทำเอาวันแรกหมดไปด้วยการไล่จับแมลงวัน และสำรวจดูว่ามีช่องทางใดที่แมลงวันเข้ามาได้บ้าง
วันที่ ๒ ยังคงไล่จับแมลงวันกันเป็นปกติ ทันทีที่เอาไปปล่อยออกข้างนอก ก็จะเข้ามาปรากฏตัวใหม่อยู่ในกุฏิเสมอ และเป็นแมลงวันตัวลายขนาดใหญ่เท่านั้น
จนกระทั่งอาตมาปรารภว่า "สงสัยว่าพญาแมลงภู่คำจะต้องมีบริวารคอยรับใช้ ก็เลยทำให้แมลงวันพวกนี้โดนดึงเข้ามาในกุฏิ" โดยเฉพาะว่ามาตอมหัวตอมหูอาตมาอยู่คนเดียว น้องเล็กที่นั่งทำงานอยู่ไม่ไกลไม่โดนตอมเลย
เรื่องมาชัดเจนตอนที่น้องเล็กไล่จับแมลงวันจนฉิว แล้วเอ่ยเสียงดุขึ้นมาว่า "พี่ภู่..ไล่จับแมลงวันไม่สนุกเลย ถ้ายังขืนเป็นแบบนี้อีกจะไม่ให้อนุโมทนาบุญแล้วนะ..!" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะจับเอาไปปล่อยกี่ตัวก็หายวับไปกับตา ไม่มีมาปรากฏด้านในกุฏิอีกเลย..!
ที่แน่ ๆ คือเจ้า ๒ ตัว ท่านทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งถามว่าทำไมแมลงวันถึงตอมอาตมาอยู่คนเดียว ? ตูก็อาบน้ำแล้วนี่หว่า..! ถึงมีเสียงตอบกลับมาว่า "ก็ท่านพกอะไรติดตัวอยู่ล่ะ ?"
อาตมาจึงนึกได้ว่าในกระเป๋าอังสะ มี "เจ้าเผือกน้อย" ติดอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่ไปต่างประเทศก็ติดไปด้วย เพราะว่าสามารถผ่านเครื่องเอ๊กซเรย์ได้ทุกแห่ง จึงขอบันทึกเหตุการณ์นี้เอาไว้เป็นประสบการณ์ เผื่อว่าใครพบเหตุการณ์อย่างเดียวกันแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาสงสัย สามารถฟันธงได้เลยว่า เป็นฝีมือของพญาแมลงภู่คำอย่างแน่นอนที่สุด
ปกติแล้วจากข้อแนะนำก็คือ นาน ๆ ครั้งให้เอาพญาแมลงภู่คำลงแช่ในน้ำผึ้ง หรือหาดอกไม้สดใส่ขันใส่ถาด แล้วเอาพญาแมลงภู่คำวางลงไป เป็นการให้รางวัลที่ช่วยดูแลรักษาบ้านเรือนและผู้คนมานาน ส่วนที่ต้องระวังก็คือ ถ้า "เลี้ยง" อิ่มจนเกินไปแบบที่อาตมาทำ ก็อาจจะออกอาการ Hyper Active แบบที่อาตมาและน้องเล็กเจอมาด้วยตนเองใน ๒ วันที่ผ่านมา
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=30052&stc=1&d=1586133516
แมลงวันลายหน้าตาแบบนี้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=30053&stc=1&d=1586133516
พญาแมลงภู่คํากับ "เจ้าเผือกน้อย"
พระอาจารย์เล่าว่า "ทางจุดตรวจเพื่อเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ บ้านทุ่งเสือโทน หมู่ที่ ๔ ตำบลชะแล ขอสนับสนุนหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ และอาหารแห้งสำหรับชุดเฝ้าระวัง โดยบอกว่าจะออกมารับด้วยตนเอง แต่ผ่านไป ๒ วันแล้วไม่มีใครออกมารับที่วัดท่าขนุน
มีความเป็นไปได้ว่า "ท้อทางไกล" ถ้าใครไม่เคยไปบ้านทุ่งเสือโทน หรือที่ตามภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า บ้านคลีตี้ จะไม่รู้หรอกว่าไกลแค่ไหน คนที่จะเข้าไปต้องทำใจบุกป่าฝ่าดงไป เป็นระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ถ้าเป็นหน้าฝนต่อให้เป็นรถขับเคลื่อน ๔ ล้อก็ต้องทั้งขุดทั้งเข็น..!
จนมีเรื่องตลกเล่ากันว่า นักผจญภัยชาวเมืองนำรถขับเคลื่อน ๔ ล้อบุกเข้าไป เจอพี่น้องกะเหรี่ยงกำลังเดินกลับบ้าน ก็ชวนให้ขึ้นรถไปด้วยกัน พี่น้องกะเหรี่ยงตอบกลับมาว่า "ไม่ละ..เรากำลังรีบ" แปลว่าถ้าไปกับคุณต้องทั้งขุดทั้งเข็นรถ เดินเอาเองไปได้เร็วกว่า..!"
"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาเกรงว่า ถ้าช้าแล้วชุดเฝ้าระวังจะต้องเดือดร้อน จึงได้นำเอาสิ่งของทั้งหลายขึ้น "น้องแก้ว" แล้วให้น้องเล็กขับกระเด็นกระดอนไปตามถนน เขย่าจนตับไตไส้พุงเคลื่อนไปคนละทิศคนละทาง ประมาณว่าถ้าติดไวรัส covid-๑๙ ก็คงเขย่าจนไวรัสกระเด็นตกรถไปหมดแล้ว..!
ระยะทางแค่ ๘๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเขย่าไปเกือบ ๒ ชั่วโมงจนถึงจุดหมาย ตอนแรกคิดว่าชุดเฝ้าระวังจะตั้งอยู่ตรงสามแยกเขาพระอินทร์ ปรากฏว่าไปตั้งอยู่ตรงหน่วยพิทักษ์ป่าลำคลองงู (๒) ซึ่งอยู่ที่หน้าหมู่บ้านทุ่งเสือโทนเลย
เมื่อให้เขาตรวจวัดอุณหภูมิและกระทำตามวิธีการเฝ้าระวังแล้ว อาตมาก็นำสิ่งของที่เขาร้องขอมามอบให้แก่ชุดเฝ้าระวัง ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จากนั้นก็นั่งให้รถเขย่าจนตับไตไส้พุงคลอนกลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง"
"การที่จะเดินทางเข้าไปยังบ้านทุ่งเสือโทนนั้น เมื่อวิ่งจากทองผาภูมิตรงขึ้นไปตามเส้นทางหมายเลข ๓๒๓ ซึ่งมุ่งไปสู่อำเภอสังขละบุรี ไปได้ประมาณ ๓๔ กิโลเมตร ก็เลี้ยวขวาเข้าตรงที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "สามแยกพุทโธ" วิ่งผ่านวัดพุทโธภาวนาตรงเข้าไป จนถึงบ้านกะเหรี่ยงทิพุเย (หมู่ที่ ๓) ก็เลี้ยวขวามุ่งตรงไปยังบ้านทุ่งนางครวญ (หมู่ที่ ๖) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวไทยอีสาน ต่อมามีชาวม้งมาอาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้าน จนปัจจุบันมีพี่น้องม้งถึง ๒๙ ครอบครัวแล้ว
จากนั้นก็วิ่งยาวไปจนถึงหมู่บ้านห้วยเสือ (หมู่ที่ ๑) เลี้ยวขวาวิ่งไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ก็เลี้ยวซ้ายมุ่งตรงเข้าป่าเข้าดงไป จนถึงสามแยกเขาพระอินทร์ ถ้าเลี้ยวขวาก็จะเป็นหมู่บ้านภูเตย (หมู่ที่ ๕) แต่ให้เราเลี้ยวซ้าย บุกป่าฝ่าเหวตรงไปยังบ้านทุ่งเสือโทน (หมู่ที่ ๔) ซึ่งกว่าจะไปถึงถ้าเป็นคนท้องแก่ก็อาจจะคลอดพอดี..!
หนทางทั้งไกลและหฤโหด ถ้ามัวแต่รอเขาออกมารับของเองก็อาจจะอีกนาน อาตมาจึงตัดสินใจนำของเข้าไปส่งเอง สมัยธุดงค์แถวนี้อาตมาเดินจนพรุนไปหมดแล้ว เมื่อมาด้วยรถยนต์ก็แค่เหนื่อยกว่าเพราะว่าโดนรถเขย่าเอาเท่านั้น"
"ตำบลชะแลนั้นมีขนาดใหญ่มาก ต้องนับจากทองผาภูมิก่อน ว่าอำเภอทองผาภูมินั้นมีพื้นที่ใหญ่เท่ากับสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ ๓ จังหวัดรวมกัน แล้วตำบลชะแลนั้นใหญ่ประมาณครึ่งอำเภอ..!
สมัยที่อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ วิ่งเข้าไปเพื่อตรวจการคณะสงฆ์ เจอหลวงปู่ไกโพ่เป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งเสือโทน หรือชื่อเรียกเป็นทางการว่า วัดคลีตี้ผลธรรมาราม หลวงปู่บอกว่าเป็นเจ้าอาวาสมา ๒๗ ปีแล้ว เพิ่งจะได้เห็นหน้าเจ้าคณะตำบลก็วันนี้เอง..!
พื้นที่ตำบลชะแล เขต ๒ เกือบทั้งหมด เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ และอุทยานแห่งชาติลำคลองงู บรรดาหมู่บ้านต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดนล้อมเป็นไข่แดงอยู่ท่ามกลางอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพราะว่าชาวบ้านอยู่กันมาก่อน แล้วทางราชการค่อยมาประกาศเขตทีหลัง"
"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่สามารถที่จะนำไฟฟ้าเข้า ไม่สามารถที่จะมีเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ การติดต่อกับทางคณะสงฆ์ต้องส่งเอกสารอย่างเดียว เมื่ออาตมาวิ่งส่งเอกสารตั้งแต่วัดแรกจนถึงวัดสุดท้าย เคยวัดระยะทางได้ ๑๔๒ กิโลเมตร..! ซึ่งอาตมาวิ่งเข้าไปทุกอาทิตย์ แปลว่าภายใน ๗ วันเจ้าอาวาสต้องได้เห็นหน้าเจ้าคณะตำบลครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายมาเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ เหตุการณ์ก็กลับไปเหมือนเดิมก็คือ นานทีปีหนถึงจะได้เจอหน้าเจ้าคณะตำบลสักครั้งหนึ่ง
ญาติโยมทั้งหลาย การทำงานทุกอย่างนั้นถ้าประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ ผลงานก็จะออกมาดีและประสบความสำเร็จ เพราะว่าเราเต็มอกเต็มใจที่จะทำงานนั้น มีความพากเพียรพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงานโดยไม่ท้อถอย และทบทวนอยู่เสมอว่างานออกมาดีหรือไม่ดีอย่างที่ใจเราคิดไว้ แล้วพยายามแก้ไขให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป"
"สมัยอาตมาเริ่มเป็นหนุ่ม มีเพลงเขาร้องว่า "ภูเขาจะกั้นขวางหน้า แดดกล้าจะร้อนเพียงใด พี่จะไปหาเธอจนได้ เป็นตายก็จะไปหานาง" แสดงว่าพ่อหนุ่มในเนื้อเพลงนั้น ประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ อย่างเปี่ยมล้น ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจะได้ไปหาสาวอันเป็นที่รัก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็เชื่อได้ว่าต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ถ้าท่านทั้งหลายต้องการกระทำงานสิ่งหนึ่งประการใดให้ประสบความสำเร็จ ต้องทุ่มเทด้วยตนเอง อย่าหวังพึ่งพิงคนอื่น เพราะว่าคนอื่นไม่มีสำนึกในความเป็นเจ้าของ สักแต่ว่าทำงานให้ได้วัน ไม่ได้คิดจะทำงานให้ได้งาน ถ้าเราไว้วางใจคนอื่น กิจการงานของเราอาจจะถึงกับล้มละลายได้ การทำงานทุกอย่างจึงต้องเป็นไปตามหลักอิทธิบาท ๔ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จได้ดั่งใจหวังทุกประการ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกเลยก็คือนึกถึงพระและลมหายใจเข้าออก เมื่อภาพพระและสมาธิทรงตัวแล้ว ก็เริ่มภาวนาคาถาต่าง ๆ ตามความเคยชินที่ฝึกฝนมา เช่น อิติปิโสฯ ๓ ห้อง พระคาถาชินบัญชร เป็นต้น
สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ศึกษาตัวบทพระคาถาต่าง ๆ จากครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เอาไว้มาก สิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนและจดจำขึ้นใจก็คือ เมื่อจะเปลี่ยนคาถาใหม่ ต้องทบทวนคาถาเก่าให้คล่องตัวเสียก่อน คำว่า คล่องตัว ในที่นี้ก็คือ เมื่อกำหนดใจภาวนาแล้ว ต้องเกิดผลตามคาถานั้น ๆ
จึงต้องมีการภาวนาทบทวนพระคาถาแต่ละบท เมื่อมีมาก ๆ เข้า ก็ต้องจัดเป็นชุดการภาวนาเฉพาะของตนเอง เช่น การเริ่มต้นด้วย อิติปิโสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ พระคาถาชินบัญชร ๗ จบ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ๑๐ จบ เป็นต้น
ทำให้กำหนดเวลาได้คร่าว ๆ ว่า ในช่วงนี้ของวันเราภาวนาไปถึงพระคาถาไหนแล้ว ถ้าหากว่าหลงลืมก็สามารถนึกได้ว่า ในระยะเวลานี้เราจะภาวนาถึงพระคาถาบทนี้ ถ้าภาวนาไปแล้วกี่จบ เกิดหลงลืมจำไม่ได้ ก็จะขึ้นต้นใหม่ที่จบแรกเสมอ เมื่อโดนบ่อย ๆ เข้าก็เข็ด ต้องเอาสติเข้าไปกำหนดจดจำ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าต้องเริ่มต้นใหม่อยู่เรื่อย ก็จะเหนื่อยมาก"
"เหตุที่ต้องหมั่นภาวนาทบทวนอยู่ทุกวัน ก็เพื่อความคล่องตัวในการใช้งานในพระคาถาต่าง ๆ เหมือนกับเราลับมีดบ่อย ๆ ถึงเวลาจะใช้งานก็มีความคล่องตัว เพราะว่ามีดไม่ขึ้นสนิม ถ้าไม่หมั่นภาวนาเอาไว้ ถึงเวลาอาจจะหลงลืมได้ว่า พระคาถาแต่ละบทสำหรับใช้งานใดบ้าง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อสชฺฌาย มลา มนฺตา อนุฏฺฐาย มลา ฆรา มนต์ไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน ผู้ครองเรือนไม่ขยันเป็นมลทิน ดังที่โบราณาจารย์แต่งไว้เป็นโคลงว่า
เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม.......ดนตรี
ห้าวันอักขระหนี...........เนิ่นช้า
สามวันจากนารี............เป็นอื่น
หนึ่งวันเว้นล้างหน้า.......หม่นไหม้ หมองศรี
เมื่อเราหมั่นภาวนาเอาไว้เสมอ เป็นการสะสมกำลังและความคล่องตัว ถึงเวลาก็สามารถใช้งานได้ทันที สมาธิที่ทรงตัวอยู่เสมอจะทำให้มีกำลังมาก ทำให้ใช้พระคาถาต่าง ๆ ได้ผลมากกว่าคนอื่น
สภาพจิตที่ยึดเกาะการภาวนาจนเคยชิน ยังให้เกิดอัปปนาสมาธิหรือที่เรียกว่า ทรงฌาน เป็นหลักประกันได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราตายลงไปตอนนั้นก็จะไปสู่สุคติ ถ้าทรงฌานได้มั่นคงก็ไปเกิดเป็นพรหม ถ้าพลัดจากฌานอย่างน้อยก็ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา"
"การภาวนาจึงมีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน เมื่อทำเองจนชินก็ไม่ต้องรอให้ผู้อื่นช่วยบอกทางเวลาใกล้ตาย ถ้าสามารถทรงสมาธิได้คล่องตัว ยังช่วยระงับทุกขเวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ เมื่อจิตใจไม่ไปกังวลกับความทุกข์ทางร่างกาย ก็ช่วยให้คติของเราในเบื้องหน้ามั่นคงยิ่งขึ้น
ยิ่งถ้าท่านสามารถพิจารณาเห็นว่า การเกิดมามีร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีแต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว สภาพจิตก็จะปล่อยวางจากการยึดเกาะในร่างกายนี้ ถ้าปล่อยวางได้ถึงที่สุดจริง ๆ ท่านก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพาน
ทุกท่านจึงควรที่จะภาวนาไว้ทุกวันจนคล่องตัว ซึ่งจะบังเกิดคุณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ต่อท่านทั้งในโลกนี้และโลกหน้าด้วยประการฉะนี้"
"อยู่ที่ไหน ?"
หลังจากหาจนหมดความอดทน ก็ทุ่นแรงด้วยการถาม "ท่านอารักษ์" ทั้งสอง
"โน่นเลยครับ"
ชี้ไปยังที่นอนของน้องเล็ก ที่สำคัญคือเจ้าตัวยังนอนอยู่..!
"Are you sure ?"
"Of course."
สืบเนื่องมาจาก "ไอ้ตัวเล็ก" แจ้งไปว่า อาตมายังไม่ได้ส่งปั้นเหน่งกะโหลกเสือ หลวงพ่อไฉน วัดสังโฆปรีดี ไปให้ ทั้งที่อาตมาจำได้แน่นอนว่าส่งไปแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ก็ปรากฏขึ้นบ่อย ๆ คือวัตถุมงคลบางชิ้นไม่อยากไปอยู่กับเจ้าของใหม่ มีการหนีกลับมาเสมอ
วันก่อนอาตมาจึงต้องไปค้นหาในกล่องวัตถุมงคล ซึ่งกองพะเนินอยู่ในห้อง กว่าจะหาเจอก็แทบหมดอารมณ์ เมื่อได้มาแล้วก็จัดการห่ออย่างดี แต่ยังส่งไปรษณีย์ไม่ได้ เพราะว่าปิดเนื่องในวันจักรี
มาวันนี้เมื่อบิณฑบาตและฉันเช้าเสร็จแล้ว ก็ชวนน้องเล็กออกไปไปรษณีย์ แต่..ไอ้ตัวดีหายหัวไปแล้ว..!"
อาตมาต้องไปเริ่มต้นค้นใหม่ ส่วนน้องเล็กที่ว่างงานก็นอนให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ
ค้นดูในกล่องบรรจุวัตถุมงคลทีละกล่อง พบแต่ปั้นเหน่งชิ้นอื่น ส่วนชิ้นที่ต้องการหาไม่เจอ เมื่อครบทุกกล่องก็เริ่มต้นค้นใหม่ ครบ ๒ รอบแล้วก็ยังไม่เจอ จึงต้องถามแมลงภู่คำแทน
บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมไม่ถามตั้งแต่แรก ? จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรื่องของการถามพระ ถามพรหมเทวดา หรือว่าถามผีเจ้าที่ เราต้องใช้ความพยายามจนหมดความสามารถเสียก่อน ไม่เช่นนั้นอย่าหวังเลยว่าท่านจะตอบให้
ดังนั้น..ถ้าใครคิดว่าตัวเองได้มโนมยิทธิ ได้ทิพจักขุญาณแล้ว จะถามอะไรใครก็ได้ อาตมาขอบอกว่าคิดผิด ต้องระดับสิ้นทั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ แล้วนั่นแหละ ถึงพอที่จะสงเคราะห์ให้บ้าง..!
"แล้วแบบนี้จะฝึกทิพจักขุญาณไปทำอะไรวะ ?" อ๋อ..ปัญหานี้อาตมาสงสัยมาก่อนท่านเสียอีก ตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นก็ฝึกเรื่องของกสิณเรื่องของอภิญญา เพราะว่าอยากมีฤทธิ์มีเดช จะได้ใช้งานให้สะใจสบายตัว ที่ไหนได้...จะใช้อะไรแต่ละอย่างต้องขอแล้วขออีก อ้อนแล้วอ้อนอีก กว่าจะได้โควต้ามาสักครั้งก็แสนยาก ใครที่กำลังฝึกเรื่องแบบนี้อยู่ ถ้าคิดว่าฝึกแล้วจะใช้ได้ทุกเรื่อง ท่านกำลังคิดผิดแล้วครับ..!"
"ลุกขึ้นหน่อย" เมื่อได้ยินแบบนี้น้องเล็กก็ทำหน้างง ๆ "ทำไมคะ ?"
"กำลังหาของอยู่" พออีกฝ่ายพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ก็เห็น "ไอ้แสบ" ซุกอยู่ใต้ที่นอนจริง ๆ
หลบได้สุดยอดมาก ไม่มีใครคิดหรอกว่าจะอยู่ตรงนี้ ต้องจัดการใส่ซองจ่าหน้าถึง "ไอ้ตัวเล็ก" พร้อมกับข่มขู่ไปว่า ถ้าไม่อยากเจอสองรุมหนึ่งก็อย่าได้คิดหนีอีก..!
น่าสงสารน้องเล็กที่นั่งปากอ้าตาค้างด้วยความงงจัด ยังดีที่พอมีประสบการณ์เรื่องอย่างนี้มาบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วคงได้ช็อกไปอีกนาน
ปั้นเหน่งกะโหลกเสือชิ้นนี้ เป็นแบบไม่มีเชือกล่าม ถึงได้ออกฤทธิ์ออกเดชมากกว่าชิ้นอื่นเขา ผู้ที่จองบูชาไปโปรดระมัดระวังด้วย ถ้าเผ่นหนีไปอีกก็ตัวใครตัวมัน ตามกันเอาเองนะครับ..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "กิจกรรมอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องกักกันตัวเองในช่วงไวรัส covid-๑๙ ระบาด คือการออกกำลังกาย สำหรับบุคคลที่มีวินัยและรู้จักดูแลตัวเองแล้ว นี่เป็นโอกาสทองที่เรามีเวลาในการออกกำลังกายต่อเนื่องกันอย่างยาวนาน
การออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง จะได้มีภูมิคุ้มกันโรค แต่การออกกำลังกายด้วยจุดมุ่งหมายอื่นก็ยังมีอยู่ เช่น เพื่อให้รูปร่าง "ฟิตแอนด์เฟิร์ม" หรือว่าเพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรง จะได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่"
"ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของพวกเรานั้น ทรงออกกำลังพระวรกายเป็นปกติ
บรรดานายทหารและนายตำรวจติดตาม ในฐานะราชองครักษ์ ก็ต้องออกกำลังกายไปด้วย เพราะว่าต้องคอยตามอารักขา ไม่ว่าพระองค์ทรงวิ่งเป็นระยะทางไกลเท่าไร ก็ต้องวิ่งด้วยระยะทางที่ไกลเท่านั้น
ผลปรากฏว่าบรรดาราชองครักษ์เป็นลมไปตาม ๆ กัน ขณะที่องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังทรงวิ่งตามสำนวนวัยรุ่นสมัยนี้ที่ว่า "ชิลด์มาก" อาตมามั่นใจว่าสาเหตุเป็นเพราะองค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ วิ่งพร้อมกับทรงอานาปานสติ คือจับลมหายใจเข้าออกไปด้วย"
"สมัยที่อยู่กองโรงเรียน อาตมาก็ซ้อมวิ่งพร้อมกับจับลมหายใจเข้าออกไปด้วย ผลก็คือเหนื่อยช้ามาก ไม่ว่าจะ ๗ กิโลเมตร หรือว่า ๑๒ กิโลเมตร ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ขนาดที่เพื่อนฝูงบางคนทำท่าเหมือนปลาติดบก อ้าปากพะงาบ ๆ ทำท่าจะตายเสียให้ได้..!
การฝึกซ้อมในลักษณะนั้น ทำให้สามารถทรงสมาธิระดับสูงได้ในขณะที่วิ่ง หรือตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเรียกว่า ทรงฌานใช้งาน เมื่อได้ซักซ้อมต่อเนื่องกันเป็นปี ๆ จึงทำให้มีความคล่องตัวมากเป็นพิเศษ และยังมีผลพลอยได้อื่น ๆ ตามมาอีกด้วย"
"การลงโทษทางทหารบางอย่างไม่ได้หนักหนาสาหัส แต่ทุกคนกลัวกันมาก อย่างเช่นการ "ปั่นจิ้งหรีด" หรือบางคนเรียกว่า "กินเหล้า ทบ." โดยผู้ถูกลงโทษต้องก้มเอานิ้วชี้มือขวาจิ้มพื้น ไขว้มือซ้ายข้ามแขนขวาจับหูขวาตัวเองไว้ เสร็จแล้วก็หมุนรอบตัวเองไปตามแต่ครูฝึกจะสั่งว่ากี่รอบ ปกติที่เคยโดนมาก็อยู่ที่ ๑๐๐ รอบขึ้นไป..!
ผลก็คือบางคนก็ทำได้ครบ บางคนก็ทำได้ไม่ครบ แต่ส่วนที่เหมือนกันไม่ว่าจะทำได้ครบหรือทำได้ไม่ครบก็คือ ผู้ทำเมาจนอ้วกแตก..! เข็ดหลาบไปตาม ๆ กัน แต่ไม่ใช่อาตมา..!"
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.