View Full Version : เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓
"อาตมาเองไม่เคยโดนลงโทษด้วยความผิดเฉพาะตัว ส่วนมากก็โดนลงโทษร่วมกับเพื่อนฝูงที่ทำผิด ตามระเบียบของร้อยฝึกที่ว่า "มีอะไรรับผิดชอบร่วมกัน" ส่วนนี้เป็นการดีคือว่า ทุกคนจะพยายามตักเตือนกันไม่ให้ทำผิด เมื่อผิดไปแล้วต้องรับผิดชอบร่วมกัน ก็ทำให้ "ได้ใจ" กันมาก ดังนั้น..ทหารในแต่ละรุ่นจึงรักกันมาก ขนาดให้เพื่อนยืมนาฬิการาคาแพง ๆ ทีหนึ่งยี่สิบกว่าเรือนก็ยังได้..!
เมื่อจะมาโดนลงโทษด้วยการปั่นจิ้งหรีดพร้อมกับเพื่อนฝูง อาตมาก็จะกำหนดจิตนิ่งเอาไว้ในกึ่งกลางศีรษะ แล้วหมุนไปเถอะ ๑๐๐ รอบก็แล้ว ๒๐๐ รอบก็แล้ว ไม่รู้สึกเมาเสียที จนเพื่อนฝูงบางคนทนไม่ได้ ถ้าไม่ใช่นักเรียนนายสิบสุรินทร์ จันทร์ท่าจีน ก็เป็นนักเรียนนายสิบศุภชัย บานเย็น ซึ่งอยู่ใกล้เคียงที่สุด เพราะว่าความสูงไล่เลี่ยกัน ต้องจับขากระชากให้ล้ม พร้อมกับคำรามใส่หูว่า "แม่งงเอ๊ยย.. ล้มสักทีสิวะ เพื่อนฝูงจะตายห่ากันหมดแล้ว..!"
จะเห็นได้ว่าการที่เราฝึกภาวนามาก่อน ช่วยให้การกระทำอะไรก็ตามเหนื่อยน้อยลง สามารถแสดงสมรรถภาพทางร่างกายออกมาได้มาก สมัยยังอยู่ที่วัดท่าซุง อาตมาออกกำลังกายด้วยการถูศาลา ถ้ามีเวลาเหลือก็เดินจงกรมทั้งวัน เมื่อไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ระยะแรกต้องอยู่คนเดียว ก็ใช้เวลาช่วงเช้ากวาดใบไม้ครึ่งเกาะ ช่วงบ่ายกวาดใบไม้ที่เหลืออีกครึ่งเกาะ"
"พอมาเป็นเจ้าอาวาสวัดทองผาภูมิ และวัดท่าขนุน จะเก็บจะกวาดอะไรก็มีแต่พระและเณรแย่งทำ จึงเหลือแค่การเดินบิณฑบาตช่วงเช้าเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นป้าติ๋ม (สุภาวดี ขันธิกุล) จึงถวายจักรยานออกกำลังกายมา ๑ เครื่อง ซึ่งได้ใช้งานอย่างคุ้มค่ามาก เพราะว่าถ้าอยู่วัดอาตมาก็ปั่นจักรยานทุกวัน ผ่านไปหลายปีปั่นจนสายพานขาด พระที่วัดท่านต้องไปหาซื้อของใหม่มาใส่ให้แทนของเก่าที่ขาดไป
เมื่ออาการมาลาเรียเรื้อรังกำเริบมากขึ้น การออกกำลังกายทำให้ไม่มีกำลังไปต่อต้านอาการป่วยของโรค ก็พอดีมีโยมถวาย "กระดานมหัศจรรย์" มา ซึ่งเหมาะกับพระภิกษุสามเณรมาก เพราะว่าขึ้นไปยืนเฉย ๆ ก็สามารถยืดเส้นยืดสายได้แล้ว
ทุกวันนี้ช่วงเย็น ถ้าอยู่วัดหรืออยู่ที่บ้านเติมบุญ อาตมาก็จะยืนบนกระดานมหัศจรรย์นี้ โดยตั้งให้สูงชันที่สุด แล้วพยายามก้มลงเพื่อแตะพื้นให้ได้ ใหม่ ๆ แค่ขึ้นไปยืนก็แย่แล้ว กว่าจะแตะพื้นได้ก็ต้องพยายามยืดเส้นอยู่หลายเดือน"
"มาถึงปัจจุบันอายุได้ ๖๑ ปีแล้ว ที่ต้องพยายามยืดเส้นยืดสายออกกำลังอยู่ ก็เพื่อให้สภาพร่างกายสามารถใช้งานได้เต็มที่ เท่าที่คนแก่คนหนึ่งจะทำได้ แต่ความแก่ก็ไม่ปรานีใคร ทำให้แตะไม่ค่อยจะถึงพื้นเสียแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ทิ้งการออกกำลังกาย โดยทำใจว่าได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เป็นการวางอุเบกขาตามหลักในการปฏิบัติธรรม ยอมรับสภาพความแก่แต่โดยดี จิตใจจึงไม่ไปกังวลกับร่างกายจนต้องทุกข์เหมือนกับคนอื่นอีกหลายคน"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=30054&stc=1&d=1586248537
หมดสมรรถภาพ เหลืออยู่แค่ที่เห็น (๕ เมษายน ๒๕๖๓)
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภาระหนักเป็นอย่างยิ่งในช่วงนี้ของเจ้าหน้าที่เว็บวัดท่าขนุน ซึ่งเกิดจากความไม่รู้ภาษา ไม่เข้าใจ ไม่อ่านกฎเกณฑ์กติกา ทำตาม "กฎกู" เท่านั้น จึงทำให้งานยืนยันตัวตนของสมาชิกใหม่ช้าลงไปมาก พอที่จะรวบรวมสาเหตุได้ดังนี้
๑. ตั้งชื่อผิดกฎ แล้วโดนลบทิ้ง โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่ชื่นชมในนามสกุลตัวเองอย่างสุด ๆ จนเจ้าหน้าที่รับผิดชอบอยากถามว่า "มึงจะใส่นามสกุลมาให้ผิดทำไมวะ ?"
๒. ไม่ได้สมัคร แต่ส่งเอกสารและตั้งชื่อมาพร้อม บางคนถึงกับแจ้งโอนเงินมาเลย ซึ่งการกระทำแบบนี้ทางเว็บประกาศไว้ชัดแล้วว่า จะบันทึกไปเป็นการทำบุญตามศรัทธาให้ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง
๓. ใส่ชื่อยูสเซอร์มาผิดมั่วไปหมด ต้องเอาอีเมล์ไปค้นหาถึงจะพบ โดยไม่ได้คิดว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ต้องช้าลงไปอีกเท่าไร"
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=30056&d=1586307877
"๔. หลายท่านยกชื่อคนในครอบครัวทั้งบ้านมาลงสมัครเพื่อจะเอาสิทธิ์ เช่น พ่อ แม่ ลูก พี่สาว น้องสาว พี่ชาย น้องชาย กระทั่งแม่ที่แก่มากจนไม่น่าจะเล่นอีเมล์เป็นก็มา ดังรูปข้างบน แม่นอนหลับอยู่ยังอุตส่าห์ถ่ายรูปมายืนยัน เหมือนกับว่าศพนี้ใช่แน่..!
๕. แจ้งข้อมูลเท็จโดยไม่กลัวผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ เช่น ชื่อยูสเซอร์เก่า รูปเด็กหญิงคอซอง แต่ใช้คำนำหน้าว่า "นาย" เป็นต้น
๖. คนไม่รู้จักรอ ส่งอีเมล์ซ้ำมาเรื่อย ๆ คนละอย่างน้อย ๔ - ๕ อีเมล์ บางคนส่งมาในวันเดียวกันหลายครั้งด้วยเอกสารชุดเดิม ทำให้กล่องข้อความเต็ม พอเจ้าหน้าที่เห็นอีเมล์เยอะ ๆ ก็เกิดนิพพิทาญาณอย่างแรงกล้า แล้วบรรลุสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางทุกอย่าง..! คือ ขอไปทำอย่างอื่นที่น่าเบื่อน้อยกว่านี้ก่อน ทำให้เพื่อนเสียโอกาส และยิ่งช้าเข้าไปอีก"
"๗. บางคนส่งอีเมล์มาทวงแล้วทวงอีก ว่าเกิน ๗ วันแล้ว ทำไมไม่อนุมัติหรือยืนยันตัวตนเสียที ? โดยไม่ตามอ่านประกาศใด ๆ เลย ก็ยิ่งทำให้อีเมล์ประดังเข้ามาจนล้นกล่อง จนเจ้าหน้าที่บังเกิดนิพพิทาญาณที่มั่นคงขึ้นไปทุกขณะ...!
๘. มีพวกที่สมัครทิ้งเอาไว้ ไม่ได้เข้าเว็บนานหลายชาติ แจ้งมาว่าลืมยูสเซอร์เนมบ้าง ลืมพาสเวิร์ดบ้าง ต้องเสียเวลาไปค้นหา แล้วเอามาสนองกิเลสของท่าน ก็ยิ่งทำให้งานอื่นล่าช้าลงไปอีก
๙. มีพวกสมัครหลายรอบเพื่อใช้สิทธิ์โดยใช้ชื่อต่าง ๆ กันไป เช่น nufu noofu fufu @.... แต่ดันใช้ชื่อ display name เหมือนกัน เลยจับได้ว่าเป็นคนเดียวกัน แต่บัตรประชาชนที่ส่งมาคนละชื่อกัน น่าจะขอเพื่อนที่สำนักงานมาลง แสดงให้เห็นว่าเพื่อนน่ารักมาก ยอมให้ใช้บัตรประชาชนโดยไม่ได้หวาดระแวงว่าจะเอาไปทำความผิด แต่ตัวคนสมัครทำได้ทุเรศมาก..!"
๑๐. รายชื่อที่สมัครจัดเข้ามาเป็น "นอมินี" มาเยอะมาก บางบ้านก็มาทั้งครอบครัว ลูกสาวลูกชายแต่ละคนช่างเป็นอัจฉริยะเหลือเกิน ๓ ขวบ ๕ ขวบ ก็ใช้คอมพิวเตอร์เป็นแล้ว ทำเอาเจ้าหน้าที่แก่ ๆ รู้สึกอับอายขายหน้ามาก..!
๑๑. ที่ไม่รู้ว่าควรจะประทับใจหรือว่ารู้สึกทุเรศดีก็คือ สมาชิกเลขไอดีหลักร้อย เพิ่งจะส่งเอกสารมาขอยืนยันตัวตน ทั้งที่เราประกาศแจ้งไปหลายครั้งและหลายปีแล้ว ขณะนี้เรามีสมาชิกอยู่ที่ ๑๓,๕๑๗ รายนะพ่อคุณแม่คุณทั้งหลาย เพิ่งจะออกมาจากเมืองลับแลใช่ไหม ?
๑๒. มีพวกที่สติไม่ดีกว่านั้น ส่งอีเมล์ยืนยันตัวตนไปที่อีเมล์แจ้งโอนเงิน จึงละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าส่งผิด เจ้าหน้าที่ไม่ทำรายการช่องทางนั้นให้ จนกว่าท่านจะส่งไปถูกที่
๑๓. พวกที่ไม่อ่านประกาศ กฎเกณฑ์ กติกามีเยอะมาก สมแล้วที่หลวงพ่อท่านว่า คนสมัยนี้มักง่าย แค่คนรอบข้างที่เข้าไปช่วยตอบคำถามแทนยังเกิดนิพพิทาญาณ จนท้อแทนเจ้าหน้าที่ ถึงกับออกอาการ "น้ำตาจิไหล"
"เจ้าหน้าที่ของเราประกาศว่า ในเมื่อตั้งใจแล้วว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ก็ขอตายเพื่อชาติ..! อีเมล์ที่ยังเหลืออยู่ ๒,๕๙๖ ฉบับ จะพยายามอ่านและจัดการให้ตรงความประสงค์ของท่านโดยเร็วที่สุด
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาทุกท่านที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่สนใจกฎเกณฑ์กติกาใด ๆ ทั้งสิ้น จนทำให้เจ้าหน้าที่บรรลุซึ่งนิพพิทาญาณและสังขารุเปกขาญาณ จนมั่นใจว่าสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้อย่างแน่นอน สาธุ..อนุโมทามิ..!"
"คำขอร้องครั้งสุดท้ายจากเจ้าหน้าที่ก่อนจะไปพระนิพพานว่า ถึงท่านจะเรียนสูงขนาดไหนก็ตาม เก่งภาษาอังกฤษระดับสอบโทเฟลได้คะแนนเต็มก็ตาม กรุณาอย่าตั้งยูสเซอร์เนมเป็นภาษาอังกฤษ ต่อให้ตั้งเป็นภาษาไทยทับศัพท์อังกฤษก็ใช้ไม่ได้
ส่วนชื่อภาษาไทยกรุณาเอาที่เจ้าหน้าที่อ่านออกและแปลได้ นึกเสียว่ากราบเท้าขอร้องท่านก็แล้วกัน..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเก็บตัวอยู่กับบ้านเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ หลังจากจมอยู่ในโลกโซเชียลจนกระทั่งเบื่อแล้ว ก็จะมีส่วนหนึ่งหันกลับมาหาเพื่อนเก่า คือ หนังสือ ซึ่งโดนหลงลืมไปนานแล้ว
จากผลงานวิจัยระบุไว้ว่า คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยแล้วคนละ ๘ บรรทัดต่อวัน แสดงว่าเอาของอาตมาไปเฉลี่ยให้กับคนที่ไม่อ่านหนังสือเยอะมาก เนื่องจากว่าอาตมาเฉลี่ยแล้วอ่านหนังสือที่มีความหนา ๓๐๐ หน้าประมาณวันละ ๑ เล่ม
ช่วงสมัครเข้าเรียนปริญญาเอก ท่านอาจารย์ผู้สอนให้คำแนะนำว่า ถ้ายังอ่านหนังสือมาไม่ถึง ๓,๐๐๐ เล่ม ยังไม่ควรที่จะมาเรียนปริญญาเอก เพราะว่าแนวความคิดยังไม่กว้างขวางครอบคลุมพอ
อาตมาเรียนถามท่านอาจารย์ว่า "ถ้าอ่านเกิน ๓,๐๐๐ เล่มไปหลายเท่าตัว สามารถรับปริญญาเอกโดยไม่ต้องเรียนได้ไหมครับ ?" ท่านอาจารย์ก็ยังคิดว่าอาตมาพูดเล่น โดยไม่รู้ว่าอาตมาอ่านหนังสือหมดห้องสมุดตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.๒..!"
"แม้ว่าจะเป็นห้องสมุดโรงเรียนประถมต่างจังหวัด ก็ต้องมีหนังสือนับพันเล่มอยู่แล้ว พอมาเรียนชั้นมัธยมก็อ่านหนังสือหมดไปอีก ๑ ห้องสมุด ถ้านับแค่ช่วงจบมัธยมก็น่าจะอ่านไปเกิน ๓,๐๐๐ เล่มแล้ว
ช่วงที่เรียนหนังสืออยู่ชั้น ป.๒ อาตมาอ่านหนังสือทุกเล่มที่พบ เพราะต้องการที่จะ "อ่านหนังสือให้แตก" คำโบราณนี้มาจากคำว่า "อ่านหนังสือให้แตกฉาน" ก็คือสามารถอ่านหนังสือได้ทุกเรื่อง ทุกเล่ม ทุกประเภท โดยเฉพาะคืออ่านออกทุกคำ..!
เมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาจึงอ่านหนังสือที่คนเห็นว่ายากมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะเรื่องแปลจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ชู้รักเลดี้แชตเตอร์เลย์ วัทเธอริ่งไฮม์ เดอะเรดโพนี่ ดิโอลด์แมน แอนด์ เดอะซี เป็นต้น"
"ที่ครูทุกท่านเห็นแล้วขำกลิ้งก็คือ อ่านตำราเพศศึกษาของด็อกเตอร์คินซีย์ ซึ่งมีคำแปลทับศัพท์ภาษาอังกฤษมากที่สุด ต้องไปถามครูมากที่สุดว่าแต่ละคำอ่านว่าอะไร ?
เด็กชั้นประถมปีที่ ๒ ถือหนังสือตำราเพศศึกษา ไปเที่ยวไล่ถามครูทุกท่านที่พบว่า "คำนี้อ่านว่าอย่างไรครับ ?" จนครูหลายท่านถามกลับมาว่า "เธอจะอ่านหนังสือแบบนี้ไปทำอะไร ?"
เมื่อได้รับคำตอบว่า "ผมต้องการอ่านหนังสือให้แตกครับ" คุณครูก็เปลี่ยนจากท่าทีขบขัน กลายเป็นเอาจริงเอาจัง พยายามสอนให้ว่า คำนี้อ่านว่า ซิ - ฟิ - ลิด คำนี้อ่านว่า ออ - แก๊ด - ซ่ำ เป็นต้น
ส่วนหนังสือหลายเล่มที่หนามาก ไม่มีใครยืมอ่านเลย อย่างเช่น พระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน รามเกียรติ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน หรือที่อ่านยาก เช่น ลิลิตตะเลงพ่าย สามัคคีเภทคำฉันท์ ก็จะมีชื่อของ "เด็กชายเล็ก" ลงในช่องยืมและส่งคืนอยู่คนเดียว"
"เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ (ม.ศ.๓) อาตมาไม่สามารถที่จะเรียนต่อได้ เพราะว่าสู้ค่าเทอมประมาณ ๓๐๐ บาทไม่ไหว อ่านมาถึงตรงนี้แล้วโปรดอย่าได้หัวเราะ ตอนช่วงเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ค่าเทอม ๒๒๐ บาท ยังต้องรอจนเกือบจะถึงวันสุดท้ายของเทอมสุดท้ายทุกครั้ง จึงจะสามารถหามาจ่ายได้
เพราะว่าโยมแม่มีลูก ๑๓ คน และมีนโยบายส่งลูกทุกคนให้เรียนหนังสือ โดยมีแนวคิดที่ว่า "แม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา เพราะฉะนั้น..ลูกต้องเรียน"
เมื่อเป็นเช่นนั้น พอเรียนไปได้ถึงระดับหนึ่ง ที่พออ่านออกเขียนได้ พี่ ๆ ก็ต้องออกจากโรงเรียน เพื่อให้น้องได้มีโอกาสเรียนบ้าง ส่วนมากก็เรียนจบแค่ชั้น ป.๔ บ้าง ป.๗ บ้าง
มีอาตมาซึ่งอยากเรียนหนังสือมาก ทำงานรับจ้างหลังเลิกเรียน และวันเสาร์-วันอาทิตย์ เก็บเงินเพื่อเรียนหนังสือ ซึ่งทั้งงานและรายได้ก็ไม่ได้มีมากพอ จึงต้องเลิกเรียนเมื่อจบแค่ชั้น ม.ศ. ๓ เท่านั้น"
"เมื่อออกมาทำงานเป็นลูกจ้างฝึกหัด อาศัยอยู่กินกับเถ้าแก่ กว่าจะเรียนรู้จนมีฝีมือพอที่จะเป็นช่างได้ ก็ต้องทำงานให้เขาฟรีอยู่ถึง ๓ ปี
เมื่อทำงานเป็นช่างรับค่าแรงครั้งแรก เงินเดือนออกเป็นรายอาทิตย์ ที่เรียกกันว่า "เงินวีค" แต่มักจะออกเสียงเป็น "เงินวิก" กันหมด
ค่าแรงที่ได้รับเป็นรายวัน วันละ ๒๕ บาท ทำงาน ๖ วันหยุด ๑ วัน เซ็นรับเงิน ๑๕๐ บาทครั้งแรก มือไม้สั่นเพราะความดีใจ เอาเงินไปให้แม่ ๑๐๐ บาท เก็บไว้ใช้เอง ๕๐ บาท"
"อาศัยว่ามื้อเช้าและมื้อเย็นกินอยู่กับที่บ้าน ที่ทำงานห่างไปแค่ ๕ - ๖ กิโลเมตร ก็ใช้วิธีเดินไปทำงาน จึงมีรายจ่ายเฉพาะค่าอาหารกลางวัน ถ้าจะกินหรูอยู่สบายหน่อยก็ข้าวผัดไข่เจียว จานละ ๕ บาท
ถ้าช่วงประหยัด ก็ซื้อซาลาเปา ๒ ลูก ราคาลูกละ ๖ สลึง แต่ละลูกใหญ่ประมาณฝ่ามือกาง ๆ เจอเข้าไป ๒ ลูกก็จุกแล้ว..!
หรือถ้าช่วงไหนประหยัดมากขึ้นไปอีก ก็ซื้อกล้วยหอม ๒ ลูก กินแทนอาหารกลางวัน ราคาลูกละ ๕๐ สตางค์เท่านั้น ถ้าซื้อยกทั้งหวีก็ ๖ บาท แต่เก็บไว้ไม่ได้นาน มักจะดำเสียก่อนที่จะกินหมด
ถ้าท่านถามว่าจะประหยัดไปถึงไหน ? ก็แค่ประหยัดเพื่อให้มีเงินไปซื้อหนังสืออ่าน ช่วงนั้นเรื่องเพชรพระอุมา ออกเป็นหนังสือปกแข็ง ๑๘ เล่ม ราคาปกเล่มละ ๓๕ บาท ลดครึ่งราคาเหลือเล่มละ ๑๗ บาท ๕๐ สตางค์
ไปเจอเจ้าของร้านใจดี เห็นว่าอาตมาต้องการหนังสือจริง ๆ จึงจัดแยกออกมาให้ชุดหนึ่ง ๑๘ เล่ม โดยมีสัญญาสุภาพบุรุษว่า ชุดนี้จะไม่ขายให้ใคร เมื่อหาเงินได้ครบ ๑๗ บาท ๕๐ สตางค์ ก็ไปรับมาเป็นของตนได้ ๑ เล่ม"
"ส่วนนิยายยุทธจักรกำลังภายใน ช่วงนั้นมีนักแปลหลายท่าน เช่น เทียร จันทรา แปลเรื่อง นางพญางูขาว สุรพล นิติวัฒนา แปลเรื่อง ฝ่ามือพิชิต ว. ณ เมืองลุง แปลเรื่อง กระบี่ล้างแค้น จำลอง พิศนาคะ แปลเรื่อง มังกรหยก
ที่อ่านแล้วอยากได้เป็นเจ้าของก็คือ มังกรหยก จึงต้องเก็บเงินซื้อทีละเล่มต่อไป จากนั้นก็เก็บเงินซื้อชุด บ้านเล็กในป่าใหญ่ ของ ลอรา อิงกัลลส์ ไวเดอร์ แปลโดย สุคนธรส กว่าจะเก็บหนังสือได้แต่ละชุดก็เสียเวลาไปเป็นปี
เรื่องหนังสือนี้เล่าเท่าไรก็ไม่รู้จักหมด ก่อนที่จะบวชอาตมาบริจาคหนังสือทั้งหมด ให้กับห้องสมุดโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ส่วนสำคัญที่ได้รับจากหนังสือเหล่านี้ก็คือ ประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เขียน
หนังสือแต่ละเล่มผู้เขียนใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตเขียนขึ้นมา ถ้าเขาอายุ ๕๐ ปี ก็คือเราจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ทั้ง ๕๐ ปีนั้นไปด้วย เป็นการเรียนรู้โดยวิธีลัด ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง"
"ส่วนหนึ่งก็คือการชอบอ่านหนังสือ ทำให้ไม่มีเวลาไปหัวหกก้นขวิดแบบวัยรุ่นคนอื่น และที่สำคัญเมื่อโยมพ่อตายในปี ๒๕๑๘ พี่ก้องเกียรติส่งหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ ชื่อ คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน เขียนโดย ฤๅษีลิงดำ
เมื่ออ่านดูแล้วรู้สึกเหมือนกับได้เปิดโลกทรรศน์ใหม่ ทำให้รู้จักวิธีการฝึกสมาธิ รู้วิธีการฝึกกสิณอภิญญา จึงหันมาทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมแบบที่คนอื่นว่า "บ้า"
นี่เป็นผลพลอยได้จากการชอบอ่านหนังสือที่ชัดเจนที่สุด ก็คือนำอาตมาเข้ามาสู่สายการปฏิบัติธรรม จนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ที่อาตมาเป็นอาตมาได้ในทุกวันนี้ สาเหตุหลักก็เพราะการอ่านหนังสือนั่นเอง
ดังนั้น..ในช่วงที่ต้องเก็บตัว เพื่อช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ หลายท่านก็คงมีโอกาสขุดกรุหนังสือขึ้นมาอ่าน ได้แต่หวังว่าจะช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจในการปฏิบัติธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าทำดีทำถูกจนกลายเป็นพระอริยเจ้าไป ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ประเสริฐอย่างที่สุดแล้ว"
"เมื่อมาบวชแล้ว ในช่วงแรกอ่านหนังสือน้อยลง เพราะว่าต้องทุ่มเทเวลาให้กับการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถฝึกให้อ่านหนังสือไปพร้อมกับภาวนาไปด้วยกันได้ จึงกลับมาอ่านหนังสือใหม่อย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง
ตอนแรกก็พยายามใช้งบประมาณในการซื้อหนังสือแต่ละเดือน จำกัดอยู่ในวงเงิน ๓,๐๐๐ บาท แต่ก็ไม่ค่อยจะพอ ยิ่งถ้าช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ บางทีก็จ่ายค่าหนังสือเกินงบประมาณไปเป็นเท่าตัว"
"ญาติโยมหลายท่านเห็นอาตมาชอบอ่านหนังสือมาก พยายามซื้อหนังสือมาถวาย ซื้อมาทีไรก็เป็นหนังสือที่อาตมาอ่านแล้วทุกที ไม่ว่าจะเป็นเล่มไหนแนวไหน ก็อ่านแล้วไปแทบทั้งนั้น จนหลายคนออกปากว่า "หลวงพ่ออ่านหนังสือแนวไหนกันแน่ ?"
อาตมาอ่านหนังสือทุกเล่มที่มี ไม่ต้องเสียเวลาหาแนวในการอ่าน ถ้าขืนเลือกอ่านก็จะมีหนังสือไม่พอให้อ่าน
ปัจจุบันนี้มอบความไว้วางใจให้ "ไอ้ตัวเล็ก" ซื้อหนังสือส่วนหนึ่งให้ เพราะว่าอ่านหนังสือประเภทนั้นในแนวเดียวกัน
ได้แต่หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะอ่านหนังสือเกิน ๘ บรรทัดต่อปี จะได้มาช่วยกันเฉลี่ยจำนวนการอ่านหนังสือของคนไทยให้มากขึ้นไปอีกสักหน่อย
ภาษิตจีนกล่าวว่า "เดินทางหมื่นลี้ดีกว่าอ่านหนังสือหมื่นเล่ม" แต่ถ้าท่านไม่อ่านหนังสือสักเล่ม ขาดประสบการณ์ในการดำเนินชีวิต อาจจะตายตั้งแต่กิโลเมตรแรกของการเดินทางก็เป็นได้..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันพฤหัสบดีที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นวันเริ่มโครงการแห่งทานบารมี ของชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน ซึ่งประกอบด้วย ๓ ชุมชนคุณธรรมย่อย ได้แก่ ชุมชนคุณธรรมวังท่าขนุน ชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย และ ชุมชนคุณธรรมพัฒนาทองผาภูมิ
แล้วยังมีหน่วยงานคุณธรรมสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ สภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ และกลุ่มรักษ์ทองผาภูมิ ซึ่งมีความเห็นร่วมกันว่า หลังจากที่ทำหน้ากากอนามัยพอเพียงแก่บุคคลในชุมชนใช้งานแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ยังไม่บรรเทาลง ก็ควรที่จะทำโครงการอื่นเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมต่อไป"
"เมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว ในเบื้องต้นอาตมาให้ทุนสำหรับดำเนินการ ๓๐,๐๐๐ บาท ท่านผู้กำกับจิรายุส (พ.ต.อ.จิรายุส วาณิชกูล ผกก.สภ.ทองผาภูมิ) พร้อมกำลังพลรวบรวมมาให้ ๑๔,๓๐๐ บาท พร้อมทั้งให้ใช้สถานที่ศูนย์ลดอุบัติเหตุทางการจราจร สภ.ทองผาภูมิ เป็นที่ดำเนินโครงการ
รองฯ ปาล์ม (นายศราวุธ ศรีทันดร รองนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ) ในนามชุมชนคุณธรรมวังท่าขนุน มอบเนื้อไก่สด ๑๐๐ กิโลกรัม และพร้อมที่จะให้เพิ่มอีกถ้าทางโครงการต้องการ
สภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ และชุมชนคุณธรรมในสังกัดวัดท่าขนุนทั้ง ๓ แห่ง จัดหาแม่ครัวมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนในการประกอบอาหาร หน่วยงานคุณธรรมสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ จัดหากำลังพลมาช่วยจัดระเบียบในการเข้าซื้ออาหาร"
"หลายท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมไม่แจกฟรี ? ขอบอกว่าที่ไม่แจกฟรีเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน
๑. ถ้าแจกฟรีแล้วควบคุมได้ยาก ทำมาเท่าไรก็ไม่พอ ทุนหายกำไรหด เหนื่อยฟรีโดยที่ไม่มีอะไรกลับคืนมาเลย ถ้าเป็นโครงการระยะยาวจะทำกันไม่ไหว
๒. คนเรามีศักดิ์ศรี ที่ไม่ชอบของฟรีนั้นมีมาก หลายท่านถ้าหากให้ฟรีจะไม่มารับเลย จึงทำเป็นโครงการจำหน่ายอาหารกล่องราคาถูก ราคากล่องละ ๑๐ บาท โดยพยายามให้มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน คนที่เดือดร้อนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัส covid - ๑๙ สามารถซื้อกินได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
๓. เมื่อมีเงินทุนหมุนเวียน ก็สามารถทำโครงการระยะยาวได้ ในเบื้องต้นตั้งเป้าไว้ที่ ๑ เดือน คือตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ถึงวันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดผลกระทบมากนักกับผู้ที่มีอาชีพขายอาหารประจำ
ข้อกังวลที่เกรงว่าจะเกิดผลกระทบต่อผู้ที่มีอาชีพขายอาหารประจำนั้น เมื่อคณะกรรมการที่มาช่วยประกอบอาหารแสดงตัวขึ้น ทุกหน่วยงานก็โล่งใจ เพราะว่าเป็นบุคคลที่ประกอบอาชีพในการขายอาหารเป็นประจำแทบทั้งนั้น ในเมื่อมีคนเข้าร้านน้อย ทำไปก็ขายไม่หมดหรือขายไม่ได้ อาจจะทำให้ขาดทุนอีกด้วย จึงสละแรงกายแรงใจมาช่วยเหลือส่วนรวมดีกว่า"
"อาตมาในฐานะเจ้าภาพหลัก และเป็นหลักใจของทุกชุมชน จึงเดินทางไปร่วมงานตั้งแต่สิบโมงเช้า ท่านผู้กำกับจิรายุส ในฐานะเจ้าของสถานที่ ต้องโดดประชุมเป็นระยะเพื่อมาต้อนรับพระอาจารย์ จนบรรดาแม่ครัวหัวป่าก์เตรียมอาหารเสร็จ ก็เป็นพิธีมอบเงินช่วยเหลือโครงการ
เมื่ออาตมาและท่านผู้กำกับจิรายุส มอบเงินช่วยเหลือเสร็จแล้ว ทางคณะกรรมการก็ถวายอาหารที่ทำขายมา ๒ กล่อง จนมีเสียงแซวจากท่านรองผู้กำกับ (พ.ต.ท.เกียรติศักดิ์ วิเศษสิงห์ รอง ผกก.สภ.ทองผาภูมิ) ว่า "ไหนว่ากล่องละ ๑๐ บาท นี่เล่นหลวงพ่อซะกล่องละ ๑๕,๐๐๐ บาท..!" ทำเอาได้หัวเราะกันอย่างครื้นเครง"
"ประมาณบ่ายสามโมง รองฯ พนอ รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ประธานชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย เดินทางมารับข้าวสาร ๑๕๐ กิโลกรัม และบะหมี่สำเร็จรูป ๕๐๐ ซอง เพื่อนำไปเข้าโครงการในวันต่อไป
รองฯ พนอ แจ้งว่า วันนี้มีบุคคลมาใช้บริการข้าวกล่องราคาถูก ๑๗๐ คน มีรายรับเข้าโครงการ ๒,๐๑๐ บาท ทำให้อาตมาโล่งใจ เนื่องจากว่าการดำเนินการวันแรก ยังมีคนรู้น้อย ก็มีผู้มาใช้บริการขนาดนี้แล้ว วันต่อ ๆ ไปมีแต่จะมากขึ้นไปเรื่อยอย่างแน่นอน
ผอ.โม้ย (นางสาวสุภาภรณ์ เจริญศิริโสภาคย์) ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อเห็นรายงานประจำวันที่อาตมาส่งไปให้ บอกว่า
"อายมากเจ้าค่ะหลวงพ่อ ทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้เงินชุมชนละ ๓๐๐ บาท แล้วจะเอางานโน่นนี่นั่นจากชุมชนทุกวัน แต่หลวงพ่อและพี่ ๆ บริจาคเงินกันทีเป็นหมื่น ๆ ออกทั้งเงินออกทั้งแรง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ เลย"
"อาตมาบอกไปว่า ทางราชการติดด้วยระเบียบและขั้นตอนการใช้เงิน ส่วนทางชุมชนเราไม่มีระเบียบตรงนี้ ของสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมินั้น เราก็ทำเอกสารใช้เงินย้อนหลังได้ และทุกคนก็พร้อมใจกันช่วยงานส่วนรวม เป็นการปฏิบัติตามแนวทาง "บวร" ซึ่งอยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีของรัฐบาล ที่กำหนดให้ บ้าน วัด โรงเรียน และหน่วยราชการ เป็นหลักในการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
สิ่งที่พวกเราทำจากใจนั้น พอดีสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ถึงจะมีหรือไม่มียุทธศาสตร์นี้ เราก็ยังคงทำต่อไป เพราะว่าเป็นการทำดีด้วยความอยากทำ ไม่ได้ทำดีเพราะอยากได้ดี พวกเราจึงทำได้ทน ทำได้นาน แต่ถ้าทำเพราะอยากได้ดี เมื่อไม่มีความดีตอบแทน ก็จะท้อถอยและหมดกำลังใจไปเอง
ได้แต่หวังว่าโครงการนี้คงไม่ต้องเริ่มโครงการระยะที่ ๒ รัฐบาลสามารถจำกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ และยกเลิกประกาศห้ามออกนอกเคหสถานในยามค่ำคืน ให้ทุกภาคส่วนสามารถประกอบอาชีพต่อได้ตามปกติโดยเร็ว"
"การได้เป็นผู้ให้นั้น ก่อให้เกิดความปีติขึ้นในจิตใจ สามารถสละออกเป็นการตัดความโลภ ที่เป็น ๑ ใน ๔ กิเลสใหญ่ ซึ่งร้อยรัดเราให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร เหมือนกับโต๊ะที่มี ๔ ขา เมื่อเราสามารถตัดขาโต๊ะทิ้งไปได้ข้างหนึ่ง ที่เหลือก็ไม่ใช่ของยากแล้ว เพราะว่าใช้กำลังในการตัดเท่ากัน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการเล็กน้อยเท่านั้นเอง
หวังว่าโครงการแบ่งปันในฐานะผู้ให้ครั้งนี้ จะก่อเกิดแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้ร่วมมือกันกระทำตามมากยิ่งขึ้น สร้างความรักใคร่สามัคคีขึ้นในท้องถิ่น ซึ่งเป็นกำลังหลักในการพัฒนาชาติของเรา ทั้งยังทำให้กิเลสในจิตในใจของเรานั้นเบาบางลง หนทางแห่งการก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานก็สั้นลงไปด้วย
ขออนุโมทนากับทุกหน่วยงานที่มาร่วมมือกันทำความดีครั้งนี้ และขออนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมกันมาใช้บริการจากโครงการนี้ เงินจำนวน ๑๐ บาทที่ท่านนำมาร่วมโครงการ จะช่วยให้สามารถดำเนินงานได้ต่อไปในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น ขอให้ทุกท่านมีส่วนในบุญกุศลครั้งนี้โดยทั่วหน้ากันเทอญ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าครอบครัวเข้มแข็ง สังคมก็แข็งแกร่งไปด้วย ถ้าช่วยเหลือบุคคลอื่น ก็ต้องช่วยเหลือคนในครอบครัวด้วย ถึงจะเรียกว่าทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์"
"ปกติแล้ววัดท่าขนุนมีกิจนิมนต์ค่อนข้างมาก เกิดจากสาเหตุที่ว่าวัดมีพระภิกษุสงฆ์มากประการหนึ่ง เกิดจากศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสอีกประการหนึ่ง แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ กิจนิมนต์ทั้งหมดก็โดนยกเลิกทั้งหมด
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พระภิกษุสามเณรจึงไม่มีรายได้เลย มีหลายท่านที่ค่อนข้างเคร่งครัดต่อพระวินัย อาจจะมีคำถามว่า "พระเณรจำเป็นต้องมีรายได้ด้วยหรือ ?" เรื่องนี้ต้องคุยกันยาวครับท่านสารวัตร..!"
"ถ้าเป็นสมัยที่อาตมายังเด็กอยู่ พระภิกษุสามเณรไม่จำเป็นต้องมีรายได้ก็อยู่ได้ เพราะว่าเดินทางด้วยยานพาหนะอะไรก็ฟรี แวะฉันอาหารที่ร้านไหนเจ้าของก็ถวายฟรี ยกเว้นว่าซื้อข้าวของจำเป็นบางอย่าง ซึ่งส่วนมากเจ้าของร้านก็คิดแค่ราคาทุน ไม่เอากำไรกับพระภิกษุสามเณร
แต่ยุคสมัยปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าพระภิกษุสามเณรจะกระทำสิ่งหนึ่งประการใดก็ตาม ต้องอาศัยเงินทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ปัจจุบันนี้ถ้าพระภิกษุสามเณรไม่มีรายได้ ก็ไม่สามารถที่อยู่ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาตมาจึงต้องเยียวยาพระภิกษุสามเณรภายในวัด ตลอดถึงแม่ชีทั้งหมด ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ด้วย
ไม่ใช่ว่าเจ้าอาวาสอยู่ได้แล้ว พระภิกษุ สามเณร แม่ชี จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ? ถ้าอย่างนั้นท่านมีสิทธิ์ที่จะได้อยู่คนเดียว เพราะว่าเมื่อคนอื่นทนความเห็นแก่ตัวของท่านไม่ไหว เขาก็จะจากไปอยู่ที่อื่น ซึ่งเหมาะสมกว่าที่จะอยู่กับท่าน"
"สมัยที่อาตมายังเป็นรองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เห็นความลำบากของสามเณรและแม่ชี ซึ่งไม่มีเงินจะใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น ก็คิดเอาไว้แล้วว่า ถ้าต้องเป็นเจ้าอาวาสเมื่อไร สิ่งหนึ่งที่จะทำก็คือ ตั้งเงินเดือนให้กับสามเณรและแม่ชี เพราะว่าสามเณรและแม่ชีไม่มีกิจนิมนต์เหมือนกับพระ
เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสแล้วก็ได้ทำตามความตั้งใจของตน แล้วยังเพิ่มเติมเข้าไปอีกหลายอย่าง เช่น กิจนิมนต์ทุกครั้งแต่เดิมเจ้าอาวาสต้องเป็นหัวแถว ในการเจริญพระพุทธมนต์หรือสวดพระพุทธมนต์ ตามแต่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืออวมงคล
เมื่ออาตมาเป็นเจ้าอาวาส ก็บอกกับพระภัตตุเทศก์ผู้จัดกิจนิมนต์ว่า ให้เห็นเจ้าอาวาสเป็นพระธรรมดารูปหนึ่ง จัดกิจนิมนต์ไปตามคิว ถ้าไม่ถึงคิวก็ไม่ต้องไป เป็นการฝึกฝนพระภายในวัด ให้รู้จักรับผิดชอบในฐานะหัวแถวด้วย"
"ส่วนการรับสังฆทานซึ่งมีผู้มาถวายทุกวันนั้น อาตมาแต่งตั้งพระภิกษุ ๕ รูป ให้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันรับสังฆทาน ปัจจัยที่ได้มาจะเก็บขึ้นเป็นส่วนตัวก็ไม่ว่า ขอเพียงข้าวของที่เหลือให้ส่งเข้าคลังเอาไว้เป็นกองกลางก็แล้วกัน
ปรากฏว่าพระเวรสังฆทานท่านทำได้ดีกว่าที่อาตมาคิด เมื่ออนุญาตให้มีเงินเป็นส่วนตัว ท่านก็ไม่ได้เอาไปใช้เป็นการส่วนตัว เอามาถวายให้เจ้าอาวาสได้ใช้ในทำงานส่วนรวมบ้าง รวมกันในหมู่ของท่านทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้วัด ที่เมื่อเอาเงินสังฆทานมารวมกันแล้วมีเงินพอที่จะทำได้บ้าง"
"อาตมาจึงเพิ่มเติมงบประมาณบางส่วน ให้พระภิกษุหลายรูปถือเงินเอาไว้ เมื่อเห็นว่าส่วนใดส่วนหนึ่งในวัดที่สมควรจะจัดการ ถ้าอยู่ในวงเงินงบประมาณที่ตนเองถือไว้ ก็ให้จัดการไปได้เลย
หรือถ้าหากว่าเป็นงานใหญ่เกินงบประมาณในมือ ก็ให้ปรึกษาหารือกันในหมู่พระภิกษุที่ถือเงินงบประมาณ เมื่อเอามารวมกันแล้วถ้าทำงานอย่างนั้นไหว ก็ให้ทำไปโดยไม่ต้องปรึกษาหารือเจ้าอาวาส ยกเว้นว่ารวมกันแล้วยังเกินกำลัง ค่อยมาแจ้งกับเจ้าอาวาสอีกที"
"เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้วัดท่าขนุนไม่มีเจ้าอาวาส ก็สามารถที่จะอยู่กันได้โดยที่ไม่เกิดอาการ "วัดโทรม" เพราะการเปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่ เนื่องจากว่าเป็นการบริหารวัดอย่างเป็นระบบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
ไม่เช่นนั้นแล้วในเรื่องของเจ้าอาวาสนั้น อาตมาอยากจะเรียกว่า "วงจรอุบาทว์" ก็คือ เมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่เมื่อไร ถ้าท่านเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ วัดก็จะโทรมลงไปทันตา ต่อให้เจ้าอาวาสใหม่ท่านเก่งสู้เจ้าอาวาสเก่าได้ ญาติโยมรอบวัดก็ยังคิดถึงเจ้าอาวาสเก่าอยู่ดี กว่าที่เจ้าอาวาสใหม่จะสร้างบารมีให้เป็นที่ยอมรับของคนรอบวัดได้ ก็มักจะเป็นช่วงท้าย ๆ ของชีวิตท่านแล้ว เมื่อสิ้นท่านไปมีเจ้าอาวาสใหม่ขึ้นมา ก็จะตกสู่วงจรอุบาทว์เช่นนี้ไปไม่รู้จบ
เมื่อเล็งเห็นจุดบอดในส่วนนี้ของแต่ละวัด อาตมาจึงพยายามที่จะบริหารวัดด้วยระบบ ไม่ใช่บริหารด้วยตัวบุคคล ถ้าระบบเข้มแข็งและวัดอยู่ได้แล้ว แค่หางบประมาณมาสำรองเอาไว้ เพื่อไม่ต้องให้เจ้าอาวาสใหม่ลำบากในการหาเงินอีก วัดนั้นก็จะเป็นไปด้วยดี ไม่มีการทรุดโทรมในช่วงเปลี่ยนผ่านเจ้าอาวาสอีกต่อไป"
"สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และบุคคลในวัด จะต้องรู้หน้าที่ รู้งานในความรับผิดชอบ ไม่เกี่ยงงาน ไม่เห็นแก่ตัว จึงจะบริหารวัดให้เป็นไปด้วยดี
ในส่วนนี้อาตมาตั้งเงินเดือนให้แล้ว ใครขยันมากก็จะได้มากกว่า เมื่อถึงเวลาจ่ายเงินเดือน คนที่ได้น้อยกว่าก็จะรู้เองว่าเป็นเพราะเหตุใด แล้วแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ถ้ายังไม่แก้ไข ก็มีการหักเงินเดือน หรือว่าประกาศงดจ่ายเงินให้ เป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้เดือน เพื่อที่บุคคลนั้นจะได้หลาบจำ และเป็นการ "เชือดไก่ให้ลิงดู" อีกด้วย"
"เมื่อช่วยเหลือบุคคลภายนอกแล้ว วันนี้ (๙ เมษายน ๒๕๖๓) อาตมาจึงจ่ายเงินรายละ ๒,๐๐๐ บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพระภิกษุ ๓๓ รูป สามเณร ๑ รูป แม่ชี ๘ รูป โดยไม่ได้รวมถึงพระภิกษุที่ไปช่วยงานในวัดสาขาอื่น เพราะถือว่าเมื่อท่านเอาเขาไปทำงาน ก็จงรับผิดชอบชีวิตของเขาด้วย..!
ภาษิตไทยโบราณว่า "ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ"
อาตมาขอให้ดูตรง "น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ" เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันถึงจะอยู่ได้ด้วยดี แม้ว่าจะบวชเข้ามาเป็นพระภิกษุสามเณรหรือแม่ชีก็ตาม ก็ยังถือว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนเหมือนกัน
เรามีความต้องการอย่างไร คนอื่นก็มีความต้องการเช่นนั้น เรารักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์อย่างนั้น ถ้าทำเช่นนั้นได้ ถึงจะเรียกว่านำเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้งานได้ในชีวิตจริง"
"หลักธรรมที่ว่าคือ สังคหวัตถุ ๔ ได้แก่
๑. ทาน รู้จักเสียสละแบ่งปันซึ่งกันและกัน
๒. ปิยวาจา พูดดี พูดเพราะต่อกัน
๓. อัตถจริยา ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้อื่น
๔. สมานัตตา ซึ่งปัจจุบันนี้แปลกันว่า ทำตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งความจริงแล้วอาตมาเห็นว่าแปลผิด เพราะว่าการทำตัวชั่วเสมอต้นเสมอปลายผูกใจคนไม่ได้แน่..!
คำนี้ควรที่จะมาจาก "สมาน = เสมอกัน, อัตตา = ตัวตน" แปลความว่าเสมอด้วยตัวตน คือต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราต้องการอย่างไรก็ทำให้ผู้อื่นอย่างนั้น เราไม่ชอบใจอะไรก็อย่าทำแบบนั้นกับผู้อื่น"
"ถ้าทุกคนสามารถนำเอาหลักสังคหวัตถุ ๔ มาใช้ ไม่ว่าจะในภาวะปกติ หรือว่าในภาวะที่เชื้อไวรัส covid - ๑๙ กำลังแพร่ระบาดอย่างนี้ ท่านก็สามารถที่จะผูกใจคน ให้สามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ซึ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ความสามัคคีพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นสิ่งที่ประเทศชาติและสังคมของเราต้องการเป็นอย่างยิ่ง
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็น "อกาลิโก" ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาหรือยุคสมัย ผู้ใดนำมาใช้งานเมื่อไร ก็ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองและคนรอบข้างเป็นอย่างดียิ่งเมื่อนั้น
เราต้องสามารถนำเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาใช้ให้ ถูกที่ ทุกคน ถูกงาน ถูกเวลา จึงจะสมกับคำว่า พุทธมามกะ ผู้นั่งใกล้พระพุทธศาสนา ด้วยประการฉะนี้"
ถาม : เงิน ๒,๐๐๐ บาทที่หลวงพ่อให้ ผมเอาไปให้พ่อแม่ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ตามสมควร คำว่า ตามสมควร คือให้มีปัจจัย ๔ พอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ไม่ใช่ไปสร้างบ้านให้หลังละ ๒๐ ล้านบาท ซื้อรถให้คนละคัน..!
ถาม : แม่ผมกินอาหารไม่ได้ พอกลืนลงไปก็อาเจียนออกมาหมด หมอตรวจแล้วไม่พบสาเหตุอะไรเลย หลวงพ่อพอจะบอกได้ไหมครับว่าเกิดจากอะไร ?
ตอบ : ลมตีขึ้น แสดงว่าธาตุลมกำเริบเพราะอายุมาก ให้ไปหายาแก้ลม ๑๐๘ มาให้แม่กิน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นไปเอง
คนสมัยนี้ไม่เห็นความสำคัญของยาลม พออายุ ๓๕ ปีขึ้นไปธาตุทุกอย่างในร่างกายจะเริ่มพร่องมากขึ้น ต้องหาพวกยาหอมยาลมติดตัวเอาไว้บ้าง ฉุกเฉินขึ้นมาจะได้อาศัยได้
ถาม : วิชามวยไท้เก๊กเหมือนกรรมฐานไหมครับ ? ฝึกอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือน...แต่มีส่วนคล้าย เหตุที่ไม่เหมือนเพราะว่ากรรมฐานเน้นฝึกทางใจ แต่มวยไท้เก๊กเน้นฝึกทางกาย ถึงแม้จะมีใจผสานเข้าไปด้วย ก็ออกไปในแนว "ฌานใช้งาน" อยากจะฝึกก็ไปหาครูที่ท่านสอนได้
ถาม : หลวงพ่อตั๊กม้อนั่งสมาธิอะไรนานถึง ๙ ปีครับ ?
ตอบ : ผู้ที่ทรงฌาน ๔ คล่องตัว ถ้าสามารถทรงฌานตั้งเวลาได้ ทำแบบนี้ได้ทุกคน แต่ของพระอาจารย์ตั๊กม้อนั้นเป็นการเข้านิโรธสมาบัติ มีคุณสมบัติสูงกว่านั้นมาก
ถาม : รับยันต์เกราะเพชรแล้วทานข้าวหมากได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทาน (ให้) ก็ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้ากิน ต้องดูว่ากลายเป็นแอลกอฮอล์หรือยัง ? ถ้าเริ่มเป็นแอลกอฮอล์ กินแล้วเมา ก็กินไม่ได้ ถ้ายังไม่เป็น ก็กินเข้าไปเถอะ
ถาม : พรหมวิหาร ๔ ควรทำไปตามลำดับ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ใช่ไหมครับ ? อุเบกขาตัวนี้ต่างจากวิปัสสนาญาณอย่างไรครับ ?
ตอบ : พรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานที่แตกต่างกัน ๔ กอง จะเริ่มปฏิบัติจากกองไหนก่อนก็ได้ อุเบกขาในพรหมวิหาร ๔ เป็นการวางเฉยเพราะว่ามีกำลังฌานกดไว้ ส่วนวิปัสสนาญาณวางเฉยได้เพราะว่ามีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงแล้วปล่อยวางลงได้
ถาม : ถ้าผีตายแล้วไปไหนครับ ?
ตอบ : ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าผีก่อน สิ่งที่เรามองไม่เห็น ถ้ามีอะไรก็อกแก็กขึ้นมาเรานับเป็นผีหมด คำว่า ตาย ในที่นี้ บาลีใช้คำว่า จุติ แปลว่า เคลื่อนไปจากภพภูมินั้น จึงต้องแยกกันออกไปดังนี้
๑. สัตว์นรก จุติจากนรกภูมิ ส่วนมากก็ไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ตามลำดับไป แล้วค่อยมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็มีที่หลุดจากนรกแล้วไปเป็นเทวดานางฟ้าเลย ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของตน
๒. เปรต เคลื่อนจากเปติวิสัยภูมิแล้ว ส่วนมากไปเป็นอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน แล้วค่อยเป็นมนุษย์ แต่ก็มีที่ไปเป็นเทวดานางฟ้าทันทีเช่นกัน
๓. อสุรกาย เคลื่อนจากอสุรกายภูมิแล้ว ส่วนมากไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วค่อยเกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ไปเป็นเทวดานางฟ้าได้เลยเหมือนกัน
๔. สัตว์เดรัจฉาน เคลื่อนไปแล้วถ้าใจเกาะมนุษย์ ก็เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าใจเกาะพระ หรือเกาะคุณความดีส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็ไปเป็นเทวดาหรือนางฟ้า แต่ก็มีที่ตกต่ำลง ไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย แต่ส่วนมากแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนเดิม จนกว่าจะครบตามกรรมเก่าที่ตนเองได้สร้างเอาไว้
๕. มนุษย์ ตายแล้วไปได้ทุกภพทุกภูมิ ตามกำลังบุญกรรมที่ตนเองได้สร้างไว้ ตั้งแต่พระนิพพานยันโลกันตนรก..!
๖. เทวดานางฟ้า เมื่อจุติแล้วมีบางส่วนไปพระนิพพาน บางส่วนเป็นรูปพรหม บางส่วนเป็นเทวดานางฟ้าเหมือนเดิม อีกส่วนหนึ่งตกสู่ภพภูมิที่ต่ำกว่า ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือว่ามนุษย์ ตามแต่บุญกรรมที่ได้กระทำไว้
๗. รูปพรหม จุติแล้วไปเช่นเดียวกับเทวดาหรือนางฟ้า คือตั้งแต่พระนิพพานยันอเวจีมหานรก ยกเว้นสุทธาวาสพรหมทั้ง ๕ ชั้น ที่จุติแล้วหลุดพ้นเข้าพระนิพพาน
๘. อรูปพรหม จุติแล้วส่วนใหญ่ลงสู่ทุคติ คือ อบายภูมิทั้ง ๔ อย่างดีก็แค่ค้างอยู่ที่มนุษย์
๙. พระบนพระนิพพาน ไม่เกิดไม่ตายแล้ว เข้าถึงความบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง ไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว
ถาม : ตั้งสัจจะต่อพระรัตนตรัยว่าจะไม่เพ่งโทษผู้อื่น แต่แล้วก็เผลอสติจนได้ ต้องแก้ไขอย่างไรคะ ?
ตอบ : เมื่อได้สติก็ให้กราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วตั้งใจระมัดระวังใหม่ ต้องหกล้มหกลุกเช่นนี้ไประยะหนึ่ง สติถึงจะมั่นคง แล้วทำได้ตามที่ตั้งสัจจะเอาไว้
ถาม : ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีฯ ต้องการจะเป็นพระอรหันต์ แต่ยังไม่ตายเสียที แสดงว่าผมยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ผมต้องการไปพระนิพพานทันที ไม่รอให้แก่ตาย ต้องทำอย่างไรถึงจะไปได้ครับ ?
ตอบ : ละทิ้งความอยากทั้งหมดได้เมื่อไรก็ไปได้เมื่อนั้น โดยเฉพาะความอยากเกิด ความอยากมีในร่างกายนี้
ถาม : เวลาสวดมนต์ไหว้พระ ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าไปด้วย ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : นั่งมองพระพุทธรูปขณะที่สวดมนต์ หรือหลับตานึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราชอบในขณะที่สวดมนต์ แล้วพยายามรักษาภาพพระนั้นเอาไว้จนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จ
ถาม : จะบวชพระที่วัดท่าขนุนต้องเตรียมตัวอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไปวัดท่าขนุน แจ้งให้พระเจ้าหน้าที่ท่านทราบว่ามาขอบวช ท่านจะบอกให้เองว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ถ้าจะให้ดีควรท่องคำขานนาคให้ได้เสียก่อน ทางวัดท่าขนุนบวชโดยใช้คำขานนาคแบบอุกาสะฯ
ถาม : ถ้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณพ่อซึ่งได้เสียชีวิตก่อนหมดอายุขัย ท่านจะสามารถรับบุญกุศลนั้นหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจว่าคุณพ่อตายก่อนหมดอายุขัย ท่านก็ได้รับผลบุญนั้นอย่างแน่นอน ควรประกันความเสี่ยงด้วยการถวายสังฆทานไปให้ เพื่อที่ท่านจะได้รับผลบุญอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
ถาม : เซ็นชื่อรับเงินเดือนโดยหยิบปากกาของใครก็ไม่รู้มาเซ็น เข้าใจว่าผิดศีลข้อที่ ๒ เรื่องปากกา ถ้าผมเอาเงินเดือนไปทำบุญจะถือเป็นวัตถุทานบริสุทธิ์ไหมครับ ?
ตอบ : ฟุ้งซ่านหานรกได้ดีมาก...! ขนาดพระยังมีการถือวิสาสะ ในเมื่อแค่หยิบปากกามาเซ็นชื่อ ไม่มีอะไรเสียหายมาก คิดว่าทุกคนที่รับเงินเดือนก็คงทำแบบนั้นเช่นกัน จึงยังถือได้ว่าเงินเดือนนั้นเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์
ถาม : ดิฉันโดนคุณไสยเขมรมา ๖ ปีแล้ว เหมือนมีอะไรตามทิ่มแทงร่างกายให้เกิดความเจ็บปวดตลอดเวลา ขนาดรับยันต์เกราะเพชรผ่านการถ่ายทอดสดมาแล้ว ก็ยังมีอาการอยู่ คุณพ่อส่งไปต่างประเทศหวังให้พ้นจากไสยศาสตร์ ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ทำอย่างไรถึงจะหายเป็นปกติได้คะ ?
ตอบ : เรื่องของไสยศาสตร์นั้น ไม่จำกัดด้วยสถานที่ ย้ายไปประเทศไหนเขาก็ทำได้ ส่วนที่รับยันต์เกราะเพชรแล้วยังมีอาการอยู่ ให้พิจารณาแยกเป็น ๒ สาเหตุด้วยกัน
๑. เป็นอาการที่เกิดจากความแปรปรวนของธาตุในร่างกาย ซึ่งภาษาหมอสมัยใหม่เรียกว่า ฮอร์โมนพร่อง ถ้าอายุเกิน ๓๕ ปีขึ้นไป ให้ไปหาหมอแผนปัจจุบัน ขอให้ช่วยสั่งฮอร์โมนให้ รับประทานลงไปแล้วถึงไม่รับยันต์เกราะเพชรก็จะหายดีไปเอง
๒. รักษายันต์เกราะเพชรเอาไว้ไม่ได้ หรือว่าถึงรักษาได้ ยันต์เกราะเพชรก็ช่วยให้ไม่ตายด้วยอำนาจไสยศาสตร์ ไม่ใช่ช่วยให้ไม่เจ็บ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกไว้ชัดว่า ยันต์เกราะเพชรเหมือนกับกำแพงกั้น ไสยศาสตร์เหมือนกับกองไฟ ถ้าไฟกองใหญ่มาก ความร้อนก็ยังแผ่มาถึงได้
วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ภาวนาจับภาพพระครอบตัวเราไว้เป็นปกติ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัว ไสยศาสตร์อะไรก็ทำอันตรายไม่ได้ ถึงไม่รับยันต์เกราะเพชรก็สามารถป้องกันได้เหมือนกับรับยันต์เกราะเพชรนั่นเอง
ถาม : ฝันว่าฟันกรามล่างด้านซ้ายหลุด ๑ ซี่ แล้วฟันกรามขวาด้านบนก็หลุดอีก ๑ ซี่ กลัวว่าพ่อหรือแม่จะเสียชีวิต ควรจะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ให้บอกพ่อกับแม่ไปปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่นว่าปลาหรือไก่ในตลาด หรือวัวควายในโรงฆ่าสัตว์ เมื่อปล่อยแล้วให้ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของทั้ง ๒ ท่าน ก็จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
ถาม : ไปสักยันต์ ๕ แถวมาครับ ตั้งแต่สักมาชีวิตไม่มีความสุขเลยครับ อยากจะถอนยันต์ออก ขอคำแนะนำด้วยครับ ?
ตอบ : ถ้าวัดท่าขนุนมีการเป่ายันต์เกราะเพชร ให้ไปเข้าพิธีแล้วอธิษฐานขอบารมีพระ ช่วยทำลายอำนาจยันต์ ๕ แถวไปจากเรา แค่นี้ก็จบแล้ว แต่ถ้าต้องการเอาลายยันต์ออก ต้องไปหาหมอสมัยใหม่ให้ยิงลบด้วยแสงเลเซอร์
ถาม : อยากทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วบวชชีพราหมณ์ปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ ควรจะไปบวชที่วัดไหนดีคะ ?
ตอบ : หาวัดป่าธรรมยุตสายหลวงปู่มั่น แล้วไปขอบวชกับท่านได้เลย
ถาม : เปิดเสียงสวดพระคาถาเงินล้านแล้วน้อมจิตตามโดยไม่ได้สวดออกเสียงเอง จะมีผลเหมือนกับสวดออกเสียงเองไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีจิตใจแน่วแน่ส่งจิตตามไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ผลน่าจะดีกว่าสวดออกเสียงเอง แต่ถ้าสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง การสวดออกเสียงเองจะได้ผลมากกว่า
ถาม : อยากทราบวิธีเจริญอิทธิบาท ๔ โปรดเมตตาช่วยบอกด้วยครับ ?
ตอบ : ยึดศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักในการปฏิบัติ แล้ว..ทำ..ทำ..ทำ..และ..ทำ แบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ถึงตายก็ขอมอบกายถวายชีวิตต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ถาม : โรคซึมเศร้าต่างกับนิพพิทาญาณอย่างไรคะ ?
ตอบ : โรคซึมเศร้าเป็นการจมอยู่กับความสงสารตนเอง ตำหนิตนเอง ดูถูกตนเอง จนหาทางออกในชีวิตไม่เจอ ส่วนนิพพิทาญาณนั้น เป็นปัญญาที่มองเห็นความเป็นจริงในร่างกายนี้ ในโลกนี้ แล้วเกิดความเบื่อหน่าย อยากจะไปเสียให้พ้น
ถาม : คาถาอภิญญาสามารถขึ้นเป็นอรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีพื้นฐานกสิณมาก่อน ไม่สามารถที่จะขึ้นเป็นอรูปฌานได้
ถาม : ดิฉันได้บวชชีที่วัดหนึ่งเพื่อแก้กรรม เนื่องจากไปเล่นผีถ้วยแก้ว แล้ววิญญาณซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามมา ที่วัดนั้นบอกให้ทำวัตรเช้าเย็นและนั่งสมาธิ พร้อมกับใส่บาตรทุกวันจันทร์อุทิศให้เขา ดิฉันได้รับคำสอนให้เชื่อพระพุทธเจ้า ดิฉันรู้สึกว่าเหมือนกับถูกหลอกให้ปฏิบัติผิดทาง จึงรบกวนขอให้ท่านชี้ทางปฏิบัติที่ถูกต้องด้วยค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วยังคิดว่าปฏิบัติผิดทาง ก็สมควรตายเป็นอย่างยิ่ง..! พระพุทธเจ้าสอนในไตรสิกขา คือศีล สมาธิ และปัญญา ให้ปฏิบัติในสมาธิเป็นหลักโดยอยู่กับลมหายใจเข้าออก เมื่อสมาธิทรงตัวเราจะระมัดระวังศีลสิกขาบทได้สมบูรณ์บริบูรณ์ และมีปัญญาเห็นช่องทางว่าทำอย่างไรจึงจะรักษาสมาธิให้ยาวนาน ถ้ามีปัญญามากกว่านั้นก็จะมองเห็นสามัญลักษณะ คือทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ยิ่งผีถ้วยแก้วยิ่งไม่ใช่เป็นของเรา ถ้าเห็นชัดเจนแบบนี้ผีก็อยู่ไม่ได้เดี๋ยวก็ไปเอง
ถาม : พี่ผมเจองูเขียวตัวใหญ่อยู่บนชั้นสอง กำลังเลื้อยลงมาข้างล่าง แล้วอยู่ ๆ ก็หายไปเลย หาอย่างไรก็ไม่เจอ ใช่พญานาคไหมครับ ?
ตอบ : บอกเองว่างูเขียว แต่ดันถามว่าใช่พญานาคไหมครับ !? เหตุที่หาไม่เจอมีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน คือ งูซ่อนตัวได้เก่งกว่า กับไม่ใช่งูที่แท้จริง
ถาม : ท่านปู่พระอินทร์ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ พูดถึง คือพระอินทร์หรือท้าวสักกะเทวราช และพระศิวะคือท่านปู่พระอินทร์ ดังนั้นพระศิวะคือท้าวสักกะเทวราช ?
ตอบ : ขอบคุณมากที่ช่วยบอกให้ทราบ..!
ถาม : ผมตั้งใจทำบุญกับหลวงพ่อทุกเดือน แต่ไม่สะดวกที่จะเดินทางไปบ้านเติมบุญ จึงใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีวัดท่าขนุน อยากทราบว่าบัญชีนั้นหลวงพ่อเอาไปทำบุญอะไรบ้างครับ ?
ตอบ : ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า..!
ถาม : ผมได้ร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกว่า ใครสร้างสมเด็จองค์ปฐมกับท่าน จะได้ลงบัญชีสีทองทั้งหมด การร่วมบุญสร้างพระองค์ปฐมทองคำครั้งนี้ ได้ลงบัญชีสีทองเหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมาลงบัญชีด้วย Word Microsoft ๒๐๑๓ เป็นหน้า Word สีขาวตัวอักษรสีดำ ไม่ได้แทรกสีใด ๆ ลงไปเลย..!
ถาม : ปลวกขึ้นบ้านสร้างความเสียหายให้เยอะมาก จะแก้ไขอย่างไรโดยไม่บาปครับ ?
ตอบ : ถ้าจะแก้ไขด้วยวิธีที่ไม่บาปเลย ก็นั่งแผ่เมตตาให้ปลวกทุกวัน ถ้ากำลังความเมตตาสูงพอ ปลวกก็จะยอมย้ายไปอยู่ที่อื่นเอง
ถาม : การสวดมนต์หรือภาวนาคาถาต่าง ๆ ในใจ ในทุกขณะที่ทำได้ เป็นการปรามาสพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นการปรามาสหนักมาก ถ้าหากว่าปรามาสแบบนี้ได้หนักจริง ๆ แล้ว จะส่งผลให้เข้าถึงพระนิพพานได้เลย..!
ถาม : บทสวดมนต์ที่เราพิมพ์ลงแผ่นกระดาษเพื่อเอาไว้ใช้งาน เมื่อเก่าแล้วสามารถเผาทิ้งได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..กราบขอขมาพระรัตนตรัยแล้วก็เผาไปเลย
ถาม : ทำธุรกิจขายเครื่องดนตรีครับ เป็นบาปไหมครับ ? เพราะรู้สึกว่าเครื่องดนตรีทำให้คนลุ่มหลงครับ
ตอบ : นี่ก็เป็นคนที่ชอบคิดให้ตัวเองลงนรก..! มิจฉาวณิชชา คือ อาชีพที่พุทธมามกะไม่ควรทำ ได้แก่ การขายสุรา ขายยาพิษ ขายมนุษย์ ขายอาวุธ และขายสัตว์ที่ยังมีชีวิต ไม่ได้บอกว่าขายเครื่องดนตรีไม่ได้
ถาม : ได้ดูหนังเรื่องพันท้ายนรสิงห์ แล้วซาบซึ้งกับความซื่อสัตย์จงรักภักดีของท่านมาก ถ้าประเทศไทยมีคนแบบท่านเยอะ ๆ ต้องเจริญกว่านี้แน่ จึงอยากทราบว่าปัจจุบันนี้ท่านอยู่ภพไหนภูมิไหนครับ ?
ตอบ : ท่านจะอยู่ภพไหนภูมิไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวคุณเอง..ถ้าพลาดก็อบายภูมิ..!
ถาม : เคยบวชแล้วต้องอาบัติสังฆาทิเสส สึกออกมาจะห้ามมรรคผลนิพพานหรือเปล่าครับ ? ควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : บุคคลที่บกพร่องในศีล จะเอามรรคผลนิพพานนั้นเป็นไปไม่ได้ วิธีแก้ไขคือบวชเข้าไปใหม่ แล้วไปอยู่กรรมตามระยะเวลาที่เราปกปิดไว้ บวกอีก ๖ วัน ๖ คืน แล้วให้พระสงฆ์ ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นสงฆ์อีกครั้ง
ถาม : ปฏิบัติธรรมในแนวเจริญสติ เมื่อทำมาก ๆ เข้าก็เห็นว่า กุศล อกุศล และการเข้าถึงความสงบระงับของการเจริญสมถะ ทั้ง ๓ ประการนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็พยายามไม่เผลอเข้าไปยึด เริ่มเข้าใจคำว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" แต่ยังทำความดีอยู่ รักษาศีลห้าโดยอัตโนมัติ เจริญสมาธิและพรหมวิหาร ๔ อยู่เนือง ๆ ทำแบบนี้สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีสิทธิ์เป็นได้แต่ช้าไปหน่อย ถ้าต้องการเร็วกว่านั้นให้พิจารณาวิปัสสนาญาณไปด้วย จะพิจารณาในอริยสัจ ๔ ก็ได้ สามัญลักษณะก็ได้ หรือวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ถาม : การบรรลุแบบสุกขวิปัสสโก ไม่จำเป็นต้องมีนิมิตใด ๆ เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องมี ถ้าถึงเวลาบรรลุจริง พระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง
ถาม : เมื่อเจริญสติมาก ๆ จะเข้าถึงผู้รู้ หรือธาตุรู้ จะรู้สังโยชน์หรืออวิชชาที่แฝงตัวอยู่ในผู้รู้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..แต่ถ้ารู้อย่างเดียวโดยไม่ละ ก็ยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
ถาม : ศึกษาแนวทางของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาบ้าง นอกจากสติปัฏฐานแล้วก็เพิ่มเติมอุปสมานุสสติ อธิษฐานขอพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ทำแบบนี้ไม่ผิดใช่ไหมครับ ?
ตอบ : กองกรรมฐานใดก็ตามถ้ายังทำไม่ถึงที่สุด ไม่สามารถพูดได้ว่าถูกหรือผิดทาง จนกว่าจะเข้าถึงมรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะมั่นใจได้ว่ามาถูกทางแล้ว
ถาม : การภาวนาพระคาถาเงินล้าน ส่วนใหญ่ได้รับคำแนะนำว่าให้ภาวนาช้า ๆ แต่เมื่อทำแบบนั้นแล้วรู้สึกว่าล่องลอยและเบาเกินไป เหมือนกับจะหลับ จึงท่องรัว ๆ เร็ว ๆ ตามแบบการท่องพุทโธทางสายพระอาจารย์มั่น จะได้ผลเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาผลของพระคาถา ก็เอาช้า ๆ ตามคำแนะนำที่ได้รับมา แต่ถ้าต้องการที่จะสร้างสติจากการภาวนา ก็ให้ภาวนารัว ๆ เร็ว ๆ อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้
ถาม : หลวงพ่อจะสร้างท้าวมหาราชทั้ง ๔ ให้บูชาอีกไหมครับ ?
ตอบ : ยังไม่มีคำสั่งให้สร้าง
ถาม : ถ้าผมบูชาท้าวมหาราชทั้ง ๔ จากร้านสังฆภัณฑ์ ตอนกราบไหว้บูชาท่านจะรับรู้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำด้วยความเคารพจริง ๆ ท่านรับรู้อย่างแน่นอน
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะนี้มีบางเรื่องที่ต้องหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน เรื่องแรกคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ซึ่งน่าจะลดจำนวนลงแล้ว แต่กลับกลายเป็นมากขึ้น เพราะว่ามีพี่น้องบางศาสนา ที่กลับจากการทำศาสนกิจ แล้วนำเอาเชื้อมาแพร่กระจายเพิ่มขึ้นในบ้านเรา
ที่กล่าวตรงนี้ไม่ได้ตำหนิพี่น้องทั้งหลายที่นำเชื้อกลับมาแพร่กระจาย แต่อยากให้พุทธศาสนิกชนของเรานั้น ได้ดูศรัทธาของพี่น้องทั้งหลายเหล่านี้ ว่ามีความมั่นคงต่อพระเจ้าของเขาขนาดไหน
ถึงแม้รู้ว่าไปแล้วอาจจะติดเชื้อโรคร้ายกลับมา อาจจะทำให้ต้องเสียชีวิตจากการปฏิบัติศาสนกิจครั้งนี้ แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงมุ่งไปด้วยศรัทธาที่มั่นคง ไม่หวั่นแม้จะต้องถึงแก่ชีวิตก็ตาม"
"ตรงจุดนี้เราทั้งหลายต้องพิจารณาตัวเองว่า หลายท่านปฏิญาณว่ามอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย แล้วเรามีความเข้มแข็ง มีความกล้าหาญ ที่จะเผชิญหน้ากับความตายเหมือนพี่น้องทั้งหลายเหล่านี้หรือไม่ ?
ถ้าท่านทั้งหลายมีศรัทธาที่มั่นคง มีความแกล้วกล้าที่จะทุ่มเทต่อการปฏิบัติธรรม ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อให้เข้าถึงธรรมแล้วไซร้ เชื่อได้ว่าท่านทั้งหลายมีความหวังที่จะได้เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน นี่เป็นจุดหนึ่งที่ขอให้ทุกท่านพิจารณาตัวเองให้ดี"
"อีกจุดหนึ่ง ขอกล่าวถึงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึง คือ อธิโมกขสัทธา ได้แก่ ศรัทธาที่เชื่อโดยปราศจากปัญญาประกอบ ใครจะชักจูงไปทางไหนก็ตามไปโดยไม่ได้มีสติที่จะยั้งคิด เหมือนภาษิตจีนที่กล่าวว่า "คนตาบอดขี่ม้าตาบอด" มีแต่จะพากันตกเหวตายไปด้วยกัน..!
เมื่อพี่น้องทั้งหลายเหล่านี้กลับมา จึงพาเอาโรคร้ายมาติดคนใกล้ชิด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคนสำคัญในครอบครัว เป็นคนที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้รักใคร่ จนทำให้เชื้อโรคร้ายแพร่กระจายไปในวงกว้าง กลายเป็นภาระที่แพทย์พยาบาลทั้งหลายต้องมารับ ทำให้งานของท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่หนักมากอยู่แล้ว ก็ยิ่งซ้ำหนักขึ้นไปอีก
จะเห็นได้ว่าศรัทธานั้นต้องมีปัญญาประกอบจริง ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะพาความเสียหายเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงมาให้แก่ตนเองและผู้อื่น ทำให้ทางราชการต้องเกิดความยากลำบากในการต่อสู้เพื่อเอาชนะไวรัส covid-๑๙ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ที่หาได้ยาก ต้องมาดูแลพี่น้องทั้งหลายเหล่านี้แทน ทำให้ตัดโอกาสในการอยู่รอดของคนอื่นลงไปอีกมาก"
"อีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องยกขึ้นมากล่าวก็คือ ข่าวคราวที่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะตัดเงินนิตยภัตของพระสังฆาธิการรูปละ ๒ เดือน เพื่อนำเข้ากองทุนวัดช่วยวัด แล้วเอาเงินจากกองทุนนี้ไปบรรเทาความเดือดร้อนของวัดต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส covid-๑๙
กองทุนวัดช่วยวัดนั้นเกิดจากมติมหาเถรสมาคมปี ๒๕๔๕ หักนิตยภัตหรือเงินเดือนพระสังฆาธิการ เข้ากองทุนปีละ ๑ เดือน มาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งในช่วงนั้นนิตยภัตของเจ้าอาวาสทั่วไป คือเดือนละ ๕๐๐ บาท จนกระทั่งมาเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ ๑,๘๐๐ บาท
นิตยภัตนั้นคือเงินที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเพื่อเป็นค่าภัตตาหารของพระสงฆ์ที่รับภารธุระในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่โบราณ เมื่อมาถึงยุคหลังเห็นว่าเจ้าอาวาสทุกรูป เป็นผู้รับภารธุระในพระพุทธศาสนา ทางราชการจึงได้จัดนิตยภัตถวาย แต่อย่างไรก็ไม่พอ "ยาขี้ฟัน"
"ขนาดนั้นแล้วก็ยังมีการมาเบียดบังเงินที่ไม่พอ "ยาขี้ฟัน" อีก ด้วยการหักเข้ากองทุนวัดช่วยวัดปีละ ๑ เดือน แล้วยังมีซ้ำเติมด้วยการหักเข้ากองทุนช่วยชาวพุทธอีกปีละ ๑ เดือน ตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ ไม่ทราบว่ามีเงินในกองทุนจำนวนเท่าไร และไม่เคยเห็นว่าเอาไปช่วยใครบ้าง ?
จนมาถึงปี ๒๕๖๒ ทางมหาเถรสมาคมมีมติใหม่ เนื่องจากว่าการหักเงินนิตยภัตไปตั้งแต่ต้นทางนั้นผิดระเบียบราชการ จึงให้ทางจังหวัดเก็บนิตยภัตจากเจ้าอาวาสแล้วนำไปส่งเข้ากองทุนแทน ปฏิบัติมาดังนี้ได้ประมาณ ๒ ปี พอเกิดความเดือดร้อนขึ้นมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ แทนที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะหางบประมาณอื่นมาถวาย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน กลับตั้งใจที่จะล้วงย่ามพระเพื่อเอาเศษเงินเหล่านี้ไปช่วยพระ เป็น "อัฐยายซื้อขนมยาย" ที่ทุเรศสุด ๆ..!"
"ดังนั้น...จึงเกิดเหตุการณ์ "กฐินลง" ที่เว็บไซต์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ บรรดาพระสังฆาธิการที่ทนต่อ ผนงรจตกม ไม่ได้ ก็เข้าไปชยันโตสรรเสริญเจริญพร จนกระทั่งบรรพบุรุษของผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติคนปัจจุบันนอนสะดุ้งอยู่ในหลุม..!
ทำให้ท่านต้องออกมาแก้ข่าวว่า เป็นความเข้าใจผิดของนักข่าว ที่เอาข่าวไปลงเองในลักษณะอย่างนั้น ท่านไม่ได้คิดที่จะหักนิตยภัตของพระสังฆาธิการดังที่ออกข่าวไป จึงทำให้ทั้งพระสงฆ์และญาติโยมมองไป ๒ แนวทาง"
"ประการแรก พระภิกษุสงฆ์ท่านฉันข้าวเป็นภัตตาหาร แม้ว่าจะเป็นข้าวสวยบ้าง ข้าวเหนียวบ้าง ข้าวนึ่งบ้างก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ฉันหญ้าเป็นภัตตาหารอย่างแน่นอน ท่านโง่พอที่จะเห็นว่าพระสงฆ์ฉันหญ้าเป็นภัตตาหารหรืออย่างไร ?
ประการที่สอง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรียกได้ว่าเป็นข้าราชการแทบจะตำแหน่งสูงสุดที่ดูแลงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ควรที่จะเป็นผู้มีคุณธรรมศีลธรรมประจำใจ แต่กลับไม่ละอายที่จะบิดเบือนข่าว กล่าวคำโกหกซึ่ง ๆ หน้า เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ฉิบหายวายวอดที่ท่านสร้างขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ได้ละอายชั่วกลัวบาปให้สมกับตำแหน่งของตนเลย
แล้วอย่างนี้พระพุทธศาสนาของเราจะไปตั้งความหวังไว้กับใครได้ ? ในเมื่อทั้งนักการเมืองและข้าราชการประจำ ต่างก็ดีแต่เอาตัวรอด เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ในเมื่อทุกอย่าง "เน่าใน" ขนาดนี้ พระภิกษุสามเณรของเราก็คงได้แต่ตะเกียกตะกายพึ่งตนเองต่อไป สมดังพุทธภาษิตที่ว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ด้วยประการฉะนี้"
"วิธีการช่วยเหลือพระภิกษุของสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น เป็นขั้นเป็นตอนที่ดูน่าเลื่อมใสแต่น่าเบื่อหน่ายที่สุด คือให้ทุกจังหวัดสำรวจหาวัดที่เดือดร้อนจากผลกระทบของไวรัส covid-๑๙ แจ้งว่าเดือดร้อนเรื่องอะไรบ้าง แต่จะช่วยเฉพาะค่าภัตตาหารเป็นเวลาไม่เกิน ๑๕ วัน ฟังแล้วด็อกเตอร์อย่างอาตมายังมึน..!
ในสถานการณ์เช่นนี้เดือดร้อนกันทุกวัด ทำไมถึงต้องเสียเวลาสำรวจหาด้วย ? ถ้าจะถวายแต่ค่าภัตตาหารแล้วถามทำไมว่าเดือดร้อนเรื่องอะไรบ้าง ? เอกสารที่ต้องกรอกมากมาย ในสถานการณ์เช่นนี้คิดว่ามีใครจะมีอารมณ์ไปกรอกบ้าง ?
เข้าใจอยู่ว่าขั้นตอนของทางราชการเป็นแบบนั้น แต่ในสถานการณ์พิเศษสามารถใช้วิธีการพิเศษได้หรือไม่ ? ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลามาช่วย นอกจากทำให้หงุดหงิดรำคาญแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย บางวัดกว่าจะกรอกเอกสารเสร็จอาจจะถึงแก่มรณภาพกันไปก่อนก็ได้..!
ตอนเก็บเงินเก็บไปง่าย ๆ ไม่มีขั้นไม่มีตอนอะไรเลย แต่ตอนจ่ายเงินทำไมขั้นตอนถึงได้มากนัก ? เหมือนกับตั้งใจกลั่นแกล้งที่จะดึงเรื่องให้ช้าลง ถ้าพระทนรำคาญไม่ได้ก็จะได้ไม่มีใครมาขอความช่วยเหลือ ซึ่งอาจจะเกิดจากการตั้งธงว่าไม่คิดที่จะช่วยอยู่แล้วก็เป็นได้"
"ส่วนเอกสารทางราชการก็มากันแบบรัว ๆ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่งมาห้ามจัดงานวัดทุกประเภท แต่ให้ตั้งโรงทานตามคำสั่งของสมเด็จพระสังฆราช..!?? สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดก็ส่งเอกสารมาย้ำ ตามมาด้วยสำนักงานเจ้าคณะจังหวัด สำนักงานเจ้าคณะอำเภอ สำนักงานเจ้าคณะตำบล ซึ่งส่งเอกสารต่อกันมาตามขั้นตอน
งานไม่ให้จัด กิจนิมนต์ก็โดนงด บิณฑบาตก็แทบจะไม่พอฉัน การช่วยเหลือก็มาช้าสุด ๆ แต่ให้ตั้งโรงทานเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน โดยไม่ได้คิดว่าพระสงฆ์เองนั่นแหละเดือดร้อนที่สุด ช่างเป็นยุค ผนงรจตกม ที่น่าอเนจอนาถจริง ๆ..!"
ถาม : ฝันว่ามีพระสงฆ์รูปร่างสูงใหญ่มาให้คาถาว่า "สมติงสบารมี" เมื่อเอามาภาวนาแล้วอารมณ์นิ่งดีมาก คำถามคือ
๑. ผมควรใช้คำภาวนานี้ต่อไปไหมครับ ?
ตอบ : การภาวนาก็เพื่อระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ให้กำเริบ ถ้าภาวนาพระคาถานี้แล้วช่วยให้สงบนิ่งได้ ก็ควรที่จะใช้ต่อไป
๒. คำภาวนานี้เมื่อถึงที่สุดจะให้ผลทางไหน ?
ตอบ : โดยทั่วไปแล้วสมถภาวนาให้ผลเต็มที่ก็ไม่เกินฌาน ๔
๓. ถ้าคำภาวนานี้ไม่เหมาะ กระผมควรจะใช้อะไรดีครับ ?
ตอบ : กรรมฐาน ๔๐ กอง ไปเลือกเอาตามใจชอบได้เลย..!
ถาม : วิชาพลังแสงทิพย์อริยธรรม มีผลจริงอย่างที่เขาว่าไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าอาบแสงทิพย์อริยธรรมแล้วสามารถเข้าถึงมรรคผล หรือเลื่อนมรรคเลื่อนผลได้ พระพุทธเจ้าก็คงพาพวกเราไปพระนิพพานหมดแล้ว ไม่เหลือให้ต้องมาลำบากอยู่ทุกวันนี้หรอก..!
ถาม : น้ำมนต์มีน้ำธรรมดากระเด็นตกลงไปแบบไม่เจตนา จะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : น้ำมนต์ไม่เสื่อมหรอก แต่ศรัทธาของคนรู้มากอย่างคุณน่าจะเสื่อม..!
ถาม : น้ำมนต์ที่ทำโดยผู้ที่ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เอามาเททับน้ำพระพุทธมนต์ที่พระพุทธเจ้าสงเคราะห์ไว้ดีแล้วจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรทำให้พุทธานุภาพเสื่อมได้ ยกเว้นว่าคุณจะเสื่อมศรัทธาเสียเอง บุคคลที่ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า ถ้าอ้างคุณพระรัตนตรัยในการทำน้ำมนต์ พระพุทธเจ้าท่านย่อมสงเคราะห์อยู่แล้ว
ถาม : บวชเป็นพระแล้วต้องอาบัติ ที่ไม่ใช่ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส ยังไม่ได้แสดงอาบัติ จะขัดขวางผลการปฏิบัติตนหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผู้ที่ศีลไม่บริสุทธิ์ ย่อมเกิดวิปฏิสาร คือความเดือดเนื้อร้อนใจเอง จิตใจเมื่อไม่สงบ การปฏิบัติธรรมย่อมได้ผลน้อย
ถาม : ในการอุปสมบท ถ้ามีภิกษุต้องปาราชิกอยู่ในพิธี แต่มีภิกษุปกติเกิน ๕ รูป จะถือว่าบวชพระได้สมบูรณ์ไหมครับ ?
ตอบ : ผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิก หรืออาบัติสังฆาทิเสส เท่ากับขาดจากความเป็นพระภิกษุ ทั้งขาดแบบถาวร หรือขาดแบบชั่วคราว ก็เท่ากับเป็นอนุปสัมบันไปอยู่ในพิธี ย่อมไม่สามารถยกเราขึ้นเป็นพระได้ ต่อให้บวชเต็มพิธีขนาดไหนก็เป็นได้ไม่เกินสามเณรเท่านั้น
ถาม : เนื้อคู่จะสังเกตได้อย่างไรคะ ? บางคนบอกว่าหน้าตาจะคล้ายกัน
ตอบ : ไม่ต้องสังเกต ชอบใครก็แต่งไปเลย สำคัญที่ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ต้องมีสมชีวิธรรม คือ มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีทานเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่ง
ถาม : หนูบูชาพระคำข้าวมาแขวน แต่เคลือบแคลงสงสัยในคุณวิเศษของหลวงพ่อฤๅษีฯ จึงอธิษฐานขอพิสูจน์ ตอนนั่งสมาธิได้เห็นนิมิตสีแดงสีเหลืองสว่างจ้าเต็มไปหมด เมื่ออาราธนาคล้องคอแล้ว อาการป่วยที่เป็นอยู่ก็คลายตัวลงเกือบหมด หนูควรจะขอขมาท่านอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : จุดธูป ๕ ดอกหน้าหิ้งพระ ตั้งนะโมฯ ๓ จบ ว่าเป็นภาษาไทยก็ได้
"กรรมอันใดซึ่งลูกได้ล่วงเกินไปแล้วต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีองค์หลวงพ่อฤๅษีฯ เป็นที่สุด จะด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ดี ลูกกราบขอขมากรรมนั้นต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอได้โปรดเมตตาอดโทษให้กับลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
ถาม : เวลานั่งสมาธิ จะเกิดอาการแปลก ๆ อย่างเช่น เห็นแสงสีต่าง ๆ ตัวเบาเหมือนจะลอยได้ จิตดิ่งลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้รู้สึกกลัว เพราะมีคนบอกว่านั่งกรรมฐานแล้วจะบ้า หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ถ้ากลัวก็ไปขึ้นครูที่สำนักกรรมฐานแห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วให้ครูท่านช่วยคุมตอนปฏิบัติธรรม ถ้าตัดใจไม่กลัวได้ก็ทำเองไปเลย กำลังจะเริ่มดีแล้ว
ถาม : นั่งกรรมฐานแล้ว บางทีรู้สึกขึ้นมาเองว่า ตัวเราเป็นแค่สสาร ไม่มีตัวตนจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเป็นแค่จิตเราไปรับรู้ ว่าเราคือใครเขาคือใคร จิตคอยดูทุกอย่างที่ดำเนินไป โดยไม่ได้เป็นส่วนเดียวกับกาย รู้สึกเศร้าว่าทำไมไม่มีอะไรให้ยึดเลย ? อาการแบบนี้สมควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : เป็นอาการของปัญญาล้ำหน้าสมาธิ ทำให้ไม่หนักแน่นมั่นคงพอ ถึงรู้เห็นชัดเจนแต่ก็ยังเกิดความกลัว ต้องเร่งสมาธิให้มากขึ้น ศึกษาเกี่ยวกับวิปัสสนาญาณ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตนเองรู้ ถ้าตรงกันก็ยอมรับว่าเป็นจริงตามนั้นไปเลย
ถาม : กรรมอะไรทำให้สามีไม่ยอมรับลูกในท้องว่าเป็นลูกตัวเองคะ ?
ตอบ : ทำตัวง่ายกับเขามากจนเกินไป จนเขาระแวงว่าเคยง่ายกับคนอื่นมาแล้ว จึงไม่มั่นใจว่าเป็นลูกของเขาหรือเปล่า ถ้าเขายินยอมก็ไปตรวจ DNA พิสูจน์กัน
ถาม : วิชา ๑๘ ฝ่ามือพิชิตมังกร ดัชนีสุริยัน กระบี่หกชีพจร ฝึกแล้วจะเก่งอย่างในนิยายเขาว่าจริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แค่ไปฝึกกสิณ ๑๐ ก็เก่งกว่าทุกวิชาที่ว่ามาแล้ว..!
ถาม : การเล่นหมากรุก หมากฮอส หมากล้อม หมากกระดานต่าง ๆ เหมาะสมกับผู้ถือบวชหรือไม่ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติทุกครั้งที่จับ แปลว่าจับตัวหมากกี่ครั้ง ก็เกิดโทษผิดศีลเท่านั้นครั้ง..!
ถาม : หากได้บริเวณบ้านไม่มีทิศที่เหมาะสมจะตั้งศาลพระภูมิแบบเสาเดียว จะตั้งเป็นหิ้งตามทิศนั้นภายในบ้านได้ไหมครับ ? ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามที่พระอาจารย์เคยแนะนำให้ติดที่ศาลพระภูมิ ควรติดที่ตำแหน่งไหนครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้าไปห้องสมุดวัดท่าขนุน จะเห็นหิ้งที่มีพระวิสุทธิเทพตั้งอยู่ นั่นคือศาลพระภูมิ..!
ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามถ้าติดในศาลเสาเดียว ก็ติดด้านในศาลแทนเจว็ดไปเลย ถ้าเป็นหิ้ง เมื่อตั้งหิ้งแล้วก็ติดไว้ตรงกลางเหนือหิ้ง
ถาม : อาหารประเทศตะวันตกหลายอย่าง ผสมไวน์หรือบรั่นดี ผิดศีล ๕ หรือไม่ครับ ?
ตอบ : การปรุงรส แปลว่ายังปรากฏรส ปรากฏกลิ่นของไวน์หรือบรั่นดีอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ผิดแน่ ศีลพระอนุญาตให้ถ้าไม่ปรากฏรส ไม่ปรากฏกลิ่น แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะปรุงไปทำอะไร ?
ถาม : หลวงพ่อรักษาสุขภาพอย่างไรครับ ? ดูไม่แก่เท่าอายุจริง
ตอบ : กินน้อย นอนน้อย ทำงานให้มาก พอลืมโลกลืมเวลา ก็จะลืมแก่ไปด้วย..!
ถาม : สมองหนูมีปัญหาไม่แยกผิดแยกถูก เหมือนพวกสมองกลวง ถ้ามีคนชี้ว่าสิ่งนี้บาป สิ่งนี้ผิด แค่นี้ก็รวนไปหมดแล้ว มักจะถามตัวเองว่าอะไรคือผิด ? อะไรคือบาป ? พอรับฟังมาก ๆ เข้าก็เหมือนกับโดนบีบบังคับจากคนรอบด้าน จนตั้งสติเกือบไม่อยู่ อยากจะหนีไปอยู่ป่าคนเดียว หนูควรจะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : เกิดจากสติปัญญาน้อย แก้ด้วยการนั่งภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น เมื่อทำให้มากขึ้น สติมั่นคง ปัญญาก็จะเกิด ทำให้เห็นผิดเห็นถูกได้ง่ายขึ้น
ถาม : ข้าราชการที่ได้ตำแหน่งใหญ่โตจากการประจบสอพลอ ชอบสร้างภาพ เอาเงินหลวงไปใช้เพื่อความสบายของตนเอง จะได้รับกรรมอย่างไรครับ ?
ตอบ : ลงไปดูในยมโลกียนรก ขุมที่ชื่อว่า ปิสสกปัพพตนรก ก็จะรู้ได้ชัดเจนเอง..!
ถาม : มีความเป็นไปได้แค่ไหนคะ ที่ปีนี้จะมีการเป่ายันต์เกราะเพชร ?
ตอบ : ศูนย์เปอร์เซ็นต์..!
ถาม : ถ้าพระสงฆ์มีสบงและอังสะอีกชุดหนึ่ง นอกเหนือจากไตรจีวร สามารถอธิษฐานเป็นบริขารโจลได้ไหมครับ ?
ตอบ : อังสะสามารถอธิษฐานเป็นบริขารโจลได้ แต่สบงเป็นส่วนหนึ่งของผ้าไตรจีวร ต้องทำวิกัปเป็นสองเจ้าของเท่านั้น
ถาม : ให้เงินพ่อแม่แล้ว ต่อมาทราบว่าท่านเอาไปทำบาป เช่น ซื้อเหล้ากิน เล่นการพนัน ให้คนไปทำแท้ง เราเป็นเจ้าของเงิน จะได้รับผลกรรมเหล่านั้นไหมครับ ?
ตอบ : ให้พ่อแม่ไปแล้วเรายังจะเป็นเจ้าของเงินได้อย่างไร ? ก็ต้องเป็นเงินของพ่อแม่ ท่านจะใช้อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ยกเว้นอยากคิดหานรกใส่ตัวเอง..!
ถาม : ตอนเรียนชั้นอนุบาล โรงเรียนฝึกให้นั่งสมาธิ เห็นลูกแก้วสีขาวสว่างจ้ามาก เคลื่อนเข้ามาหาอย่างช้า ๆ แต่คุณครูเรียกให้ออกจากสมาธิเสียก่อน หลังจากนั้นก็ไม่เคยทำได้อีกเลย นั่นคืออะไรคะ ?
ตอบ : เป็นไปได้ ๒ ประการ
๑. ในอดีตชาติเคยทำกสิณได้มาก่อน ถึงเวลาจิตสงบได้ที่ นิมิตกสิณเดิมก็ปรากฏขึ้น
๒. ดวงจิตจากภพภูมิอื่นอยากจะติดต่อด้วย แต่หลุดจากสมาธิเสียก่อน จึงต่อไม่ติด
ถาม : ตั้งใจรักษาศีลทั้งวัน แต่ตอนเที่ยงมีเหตุให้จำเป็นต้องโกหก เมื่อโกหกแล้วก็ตั้งใจสมาทานศีลใหม่ทันที ผลจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ผลคือมีศีลบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง..!
ถาม : นอนเตียงผ้าใบแบบทหารผิดศีล ๘ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี ในศีล ๘ นั้นต้องหนา ๑ คืบขึ้นไป เตียงผ้าใบอย่างเก่งก็หนาแค่ ๕ มิลลิเมตร เอามาซ้อนกัน ๒๐ เตียงยังไม่ผิดเลย..!
ถาม : พ่อตายไปหลายปีแล้ว ถ้าหนูได้เป็นพระโสดาบัน ท่านจะได้อานิสงส์นี้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าอยู่ในอบายภูมิ อรูปพรหม หรือในพระนิพพาน ก็ไม่ได้รับอานิสงส์นี้
อบายภูมิบางส่วน เช่น เปรต อสุรกาย หรือสุคติภูมิ เช่น มนุสสภูมิ เทวดา นางฟ้า รูปพรหม ต้องอนุโมทนาถึงจะได้อานิสงส์นั้น
ถาม : ในพระวินัยที่ว่า "ภิกษุผู้ถือเอาด้วยคิดอย่างนี้ว่า เราจักคืน ไม่เป็นอาบัติ เพราะการถือเอาแม้เป็นของยืม" ถ้าเราหยิบไปโดยเจ้าของไม่รู้ เมื่อใช้เสร็จแล้วเอาไปคืนที่เดิม ไม่ถือว่าเป็นการขโมยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคุณ ถ้าคุณตั้งใจก่อนว่าจะขโมย หยิบของนั้นให้เคลื่อนจากฐาน ก็ต้องอาบัติปาราชิกไปแล้ว ภายหลังมาคิดว่าจะคืน ก็ไม่สามารถแก้ไขอาบัตินั้นได้
การที่เราหยิบของนั้นมาโดยคิดว่าจะคืน นำไปใช้สอยแล้ววางคืนที่เดิม ถ้ามีสภาพชำรุด บกพร่อง บางส่วนหมดไป ไม่พ้นจากอาบัติ ต้องคืนเต็มสภาพเดิมเท่านั้น
ถาม : การทำอาหารใส่บาตรโดยตั้งใจทำให้อร่อย จัดอาหารให้สวยงาม ไม่ให้อาหารนั้นซ้ำกัน เป็นการสร้างกิเลสให้พระหรือไม่คะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับพระรูปนั้น ว่าเกิดกิเลสหรือไม่ ? เราถวายสิ่งที่ประณีต ถึงเวลาก็ย่อมได้สิ่งที่ดีที่สุดคืนมา ส่วนพระจะเกิดกิเลสหรือไม่ เป็นปัญหาของพระท่านเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา
ถาม : ต้มน้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำขิง น้ำดอกคำฝอย ใส่ขวดถวายพระ จัดเป็นปานะหรือไม่คะ ?
ตอบ : เป็นทุกอย่าง
ถาม : น้ำปานะห้ามทำให้สุกด้วยไฟ แล้วจะใช้วิธีไหนทำคะ ?
ตอบ : คั้นสดแล้วกรองเอาแต่น้ำ
ถาม : น้าคนหนึ่งตอนเป็นวัยรุ่นเคยทำแท้ง และเขาเป็นคนไม่เชื่อเรื่องกรรม จึงโกหกไปว่าลูกของเขาคนปัจจุบันกำลังดวงตก มีแต่แม่เท่านั้นที่จะช่วยได้ ต้องสวดมนต์ รักษาศีล นั่งสมาธิวันละประมาณครึ่งชั่วโมง แผ่กุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งของเขาและของลูก เขาถึงได้ยอมทำตาม แบบนี้ศีลของหนูจะบริสุทธิ์พอเป็นพระโสดาบันได้ไหมคะ ?
ตอบ : การโกหกนั้น จะเกิดโทษเต็มที่ก็ต่อเมื่อผู้รับผลประโยชน์จากการโกหกนั้นคือเราเอง
การกระทำของเราเป็นการหวังดี ผลของการโกหกก็เกิดขึ้นกับน้าเอง และเป็นผลทางด้านดีอีกด้วย ไม่ถือว่าศีลขาด แต่ก็ต้องเรียกว่าศีลด่าง ศีลพร้อย ไม่บริบูรณ์เต็มที่
ให้ลืมเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไปเสีย แล้วตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลให้บริสุทธิ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อศีลสมบูรณ์ก็จะมีคุณสมบัติพอเป็นพระโสดาบันได้
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันจันทร์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ แรม ๖ ค่ำเดือน ๕ ปีชวด เป็นวันสงกรานต์ที่ไม่เหมือนปีไหน ๆ ที่ผ่านมา เพราะว่าทั้งรัฐบาลและคณะสงฆ์มีคำสั่งให้งดจัดงานสงกรานต์ทุกรูปแบบ โดยให้แนวทาง ๔ งด ๓ ทำ ดังนี้
- งดจัดงาน - งดเดินทาง - งดรวมตัว - งดสรงน้ำ
- สรงน้ำพระที่บ้าน - ขอพรออนไลน์ - ไหว้ผู้ใหญ่เว้นระยะ
นับเป็นประเพณีสงกรานต์ที่แปลกที่สุดเท่าที่อาตมาเคยพบมาในรอบ ๖๑ ปี โดยเฉพาะการขอพรออนไลน์ ถึงแม้ว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีออนไลน์ต่าง ๆ จะมีมากแค่ไหนก็ตาม แต่น้อยคนนักที่จะใช้ในการอวยพรหรือรับพร มีปีนี้แหละที่จะได้ใช้กันอย่างเป็นทางการ เชื้อไวรัส covid-๑๙ ทำให้โลกเราเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ
นางโคราคเทวี นางสงกรานต์ประจำปีนี้ เสด็จมาบนหลังเสือแบบหงอยเหงา เพราะว่าโดน "นางโคโรนาเทวี" นางสงกรานต์เชื้อสายจีนชื่อฝรั่ง ขี่ค้างคาวคาดหน้ากากอนามัยปาดหน้ามาแย่งซีนไปซึ่ง ๆ หน้า โอหนอ..ใหม่ ๆ หน้าตาจุ๋มจิ๋ม เก่า ๆ มักเป็นสนิมจริง ๆ..!"
"ปกติแล้วในช่วงสงกรานต์ ทางวัดท่าขนุนอย่างน้อยก็หยุดบิณฑบาต ๓ วัน
วันที่ ๑๓ ทำบุญสงกรานต์ตามปกติ
วันที่ ๑๔ หลังทำบุญสงกรานต์แล้วมีการบังสุกุลอัฐิ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว และการแข่งขันก่อพระเจดีย์ทราย
วันที่ ๑๕ มีงานทำบุญสงกรานต์ ถวายผ้าป่าสงกรานต์ สรงน้ำพระพุทธ สรงน้ำรูปหล่อหลวงปู่พุก - หลวงปู่สายอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน และประเพณีอุ้มพระสรงน้ำ ซึ่งทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยกให้เป็นหนึ่งใน unseen thailand
โดยเฉพาะปีที่แล้วมีงานแห่พระพุทธรูปทองคำเพิ่มขึ้นมา ซึ่งจะต้องมีไปเป็นประจำทุกปี แต่งานที่เหมือนกับเพิ่ง "ตั้งไข่" ก็ต้องมาโดนงด ด้วยการอาละวาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ จะเรียกว่า "ตายโคม" ก็ได้ ซึ่งคำว่า "ตายโคม" นั้น มาจากการที่ลูกไก่ยังฟักเป็นตัวไม่เต็มที่ ก็ตายคาไข่ไปเสียก่อน ต้องบอกว่าน่าสงสารมาก
แต่ปีนี้จะเป็นปีที่ดีมากในการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะว่าไม่ต้องมี ๗ วันอันตราย ไม่ต้องลดประชากรไทยด้วยการตายสองร้อยเจ็บสามพัน สามารถกินเหล้าไปขับรถไป เอาถังน้ำขึ้นท้ายกระบะไล่สาดใครก็ได้ เพียงแต่ห้ามออกจากบ้านเท่านั้น..!"
"พระภิกษุสามเณรของวัดท่าขนุน ต้องออกบิณฑบาตตามปกติ เพราะว่าปิดวัด ญาติโยมไปทำบุญไม่ได้ จึงต้องเป็นฝ่ายออกไปหาญาติโยมถึงบ้านเสียเอง พระเณรก็ไม่ต้องเป็นไข้ เพราะว่าเจอญาติโยมที่ไม่รู้ภาษาสรงด้วยน้ำแช่น้ำแข็ง..!
พี่น้องชาวอีสานก็ไม่ต้องรถติดบนถนนมิตรภาพ ๘ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง แม้กระทั่งบรรดาอากงอาม่า ก็ต้องนอนเหงาอยู่ในหลุม..! เพราะว่าปีนี้ลูกหลานน้อยคนที่จะไปงานเช็งเม้ง จังหวัดชลบุรีและจังหวัดสระบุรีก็ไม่ต้องรถติดฉิบหายวายป่วงเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา
เป็นงานสงกรานต์ที่ไม่มีใครคุ้นเคยเลย เพราะว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าอะไรที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ก็มักจะเกิดขึ้นอีกเสมอ ขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น"
"ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ไทย ประจำปี ๒๕๖๓ นี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ เป็นประธาน ขอได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ เชื้อไวรัส covid-๑๙ อย่าได้มาแผ้วพาน ขอให้การห้ามออกจากเคหสถานบ้านเรือนจงผ่านพ้นไปโดยเร็ว
จงช่วยกันอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันอังคารที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ แรม ๗ ค่ำเดือน ๕ ปีชวด เมื่อวานนี้มี "ฝนสงกรานต์" ถล่มกรุงเทพฯ จนมี "น้ำรอระบาย" จำนวนมาก ต้องบอกว่าเป็นอัจฉริยภาพในการแก้ปัญหาด้วยคำพูดแทนการกระทำ ก็คือทำให้ "น้ำท่วม" หมดไปทันที เหลือเพียง "น้ำรอระบาย" แต่ผลความเดือดร้อนของคนไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ทำให้นึกถึงสำนวนโบราณที่ว่า "คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว คนชั่วชอบทำลาย คนมักง่ายชอบทิ้ง คนจริงชอบทำ คนระยําชอบติ" ขึ้นมาในทันทีทันใด
อานิสงส์จากพายุฝนฤดูร้อน ทำให้ทองผาภูมิมีแค่ฟ้าที่มืดมัวสลัวตา แต่ว่าไม่ได้มีฝนเลยแม้แต่เม็ดเดียว เพียงแต่ลมที่โยกมาแรงกว่าปกติ ทำให้มะม่วงสุกตกลงมาเป็นห่าฝนแทน แต่ดันไปกระหน่ำใส่หลังคาอาคารต่าง ๆ จนบังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ววัด ยังดีที่เกิดขึ้นในช่วงพระกำลังสวดมนต์ทำวัตรกันอยู่ ถ้าเป็นช่วงที่กำลังนอนหลับ ก็คงได้อกสั่นขวัญหายกันบ้างเป็นแน่แท้"
"สำหรับปีนี้มะม่วงในวัดท่าขนุนออกลูกดกเป็นพิเศษทุกต้น แต่ว่ากลับได้ใช้ประโยชน์น้อยที่สุด มะม่วงเหล่านี้เป็นมะม่วงป่า ที่สมัยอาตมายังเด็กอยู่เรียกกันว่า "มะม่วงกะล่อน" กลิ่นหอม รสอร่อย แต่เมล็ดใหญ่มาก มีเนื้อติดเปลือกอยู่นิดเดียว จึงเปรียบเหมือนกับคนที่คบไม่ได้ เพราะว่าเมื่อจะกินให้หนำใจ ก็ให้เนื้อแค่นิดเดียวเท่านั้น
ทุกปีแม่ชีชื่น หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุน จะต้องนำมาทำเป็นมะม่วงกวน ซึ่งคำว่า "มะม่วงกวน" นั้นเพิ่งจะมาใช้ในระยะหลังนี้ สมัยที่อาตมายังเด็กอยู่เขาเรียกกันว่า "ส้มลิ้ม" เหมือนกับ "ทอดมัน" ในสมัยนี้ ที่สมัยก่อนเรียกกันว่า "ปลาเห็ด" นั้นเอง
แต่ปีนี้อาตมาสั่งห้ามไม่ให้แม่ชีชื่นนำมะม่วงเหล่านี้มาทำเป็นมะม่วงกวน เพราะว่าดินฟ้าอากาศที่ผิดปกติ นอกจากจะทำให้มะม่วงดกเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เกิดแมลงวันขึ้นเป็นจำนวนมาก ถ้าขืนทำเป็นมะม่วงกวน แมลงวันทั้งหมดในขอบเขต ๓ - ๔ กิโลเมตรนี้ ก็คงจะแห่กันมาที่วัดท่าขนุนทั้งหมด"
"นอกจากนั้นแล้วยังกำชับในเรื่องของโรงครัว ว่าถ้าหากปอกมะม่วงสุกก็ดี ผลไม้สุกอื่น ๆ ก็ตาม ให้รีบนำเศษที่เหลือใส่ลงในถุงดำ แล้วรีบนำไปเผาทิ้งที่เตาเผาขยะปลอดมลพิษของทางวัด เพื่อป้องกันการ "เรียกแขก" คือแมลงวันที่ไม่ได้รับเชิญ ซึ่งเมื่อมาถึงแล้วก็ไม่ฟังใคร บอกให้กักตัว ๑๔ วัน ใส่หน้ากากอนามัย ล้างขา ๖ ข้างด้วยแอลกอฮอล์ บินห่างกันตัวละเมตรครึ่ง ก็ไม่ยอมทำตามสักอย่างเดียว..!"
"อีกเรื่องหนึ่งก็คือ อยู่ดี ๆ ก็มีเรื่องที่อาตมาทำพิธีมหาระงับโรคาพินาศ ปรากฏใน YouTube หลายเวอร์ชั่น ซึ่งอาตมาเห็นว่าเป็นการ "เรียกแขก" ชัด ๆ อาจจะทำให้เกิด "กฐินสามัคคีลง" ก็เป็นได้
ดังที่ได้เคยด่าไปแล้วว่า สิ่งที่อาตมาทำนั้น พอดี พอเหมาะ พอควร กับสถานการณ์ตอนนั้นแล้ว แต่ก็มักจะมีบุคคลประเภท "โง่แล้วขยัน" กลัวว่าครูบาอาจารย์จะอยู่สบายจนเกินไป รีบนำไปกระจายต่อด้วยความภูมิใจ ประมาณว่า "กูรู้ก่อน กูต้องรีบบอก" เห็นแล้วก็ได้แต่อ่อนใจ"
"บางท่านก็ถามมาว่า วันที่ ๑๔ เมษายน มีการสะเดาะเคราะห์เหมือนกับทุกปีหรือไม่ ? พอได้รับคำตอบไปว่า "ปิดวัดห้ามคนเข้าออก แล้วจะทำพิธีได้อย่างไร ?" ก็ยังบอกมาอีกว่า หมายถึงพิธีที่ทำเฉพาะ "คนใน" เท่านั้น
อาตมาเกิดในวันที่กลางวันและกลางคืนเท่ากันพอดี ลัคนาสถิต ๒๓ องศาราศีตุลย์ เป็นบุคคลที่นอกจากจะยุติธรรมด้วยตนเองแล้ว ยังยุติธรรมตามชะตาชีวิตบังคับอีกด้วย ดังที่ "โกเฮง" หมอดูชาวจีนไต้หวัน พยายามสื่อจนถอดใจความออกมาได้ว่า "อาจารย์รับทุกคนเหมือนกัน" ก็คือจะใครมาก็ไม่มีคนพิเศษ ได้รับการต้อนรับเหมือน ๆ กันทุกคน
สมัยที่ยังไม่ได้บวช ถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ เวลามีงานวันเกิดของท่านที่บ้านสายลม ถ้าอาตมาเฝ้าประตูอยู่ อย่าหวังเลยว่าใครจะฝืนกฎเกณฑ์เข้าไปได้ จะยิ่งใหญ่ขนาดไหนมา อาตมาไม่ฟังทั้งนั้น เพราะว่าแม่ตัวเองยังไม่ให้เข้าเลย..!"
"เมื่อเป็นแบบนี้แสดงว่าคนถามไม่รู้จักอาตมาเลย จึงคิดว่ายังมีคนนอกคนใน ยังมีคนใกล้ชิด ยังมีคนที่รักเป็นพิเศษ เรื่องนี้ต้องไปถามเด็กวัดท่าขนุน ไม่ว่าจะเป็น มิติ น้ำหวาน วาวา หรือว่าไข่หวานก็ตาม เด็กพวกนี้สงสัยมานานแล้วว่า อาตมารักพวกเขาแบบไหนกันแน่ ? เพราะว่าผิดเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น ไม่มีการผ่อนผันว่าเป็นบุคคลที่หลวงพ่อสงเคราะห์เป็นพิเศษ มีแต่จะโดนหนักกว่าคนทั่วไป
ในระเบียบวัดซึ่งอาตมาตั้งเอาไว้เป็นสิบปีแล้ว ระบุเอาไว้ชัดว่า "บุคคลใดอ้างว่าเป็นเพื่อนพ้องหรือญาติพี่น้องของพระภิกษุสามเณรในวัด แล้วมาทำผิดระเบียบวัด ให้ไล่ออกไปแล้วห้ามเข้าวัดอีกตลอดชีวิต" อ่านระเบียบข้อนี้ข้อเดียวก็คงจะเห็นแล้วว่า วัดท่าขนุนมีคนนอกคนในหรือไม่ ?"
"หรือถ้ายังไม่เชื่อถือ ก็ลองไปถาม "ทิดเฟิร์ส" ดู ว่าสำหรับหลวงพ่อแล้วปฏิบัติต่อคนในใกล้ชิดอย่างไร ? โดยเฉพาะเวลาขอบูชาวัตถุมงคล คนในใกล้ชิดเหล่านี้จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ คือของทุกชิ้นจะราคาแพงเป็นพิเศษ แพงกว่าคนนอกหลายเท่าก็มี เพราะอาตมาถือคติที่ว่า "สำหรับคนกันเองเราเรียกเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นคนนอกแล้วต้องเกรงใจเขาบ้าง"
เมื่อทราบดังนี้แล้วใครที่ต้องการเป็นคนในหรือว่าคนพิเศษ ทางวัดท่าขนุนยินดีต้อนรับทุกเวลา..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันพุธที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ แรม ๘ ค่ำเดือน ๕ ปีชวด เรียกตามภาษาคนโบราณว่า "วันสังขารล่อง" ซึ่งคำว่า "สังขาร" ในที่นี้ก็คือ "สงกรานต์" นั่นเอง แต่เป็นคำเรียกตามแบบของพี่น้องชาวล้านนาและล้านช้าง
ดังนั้น..ทางล้านนาและล้านช้างจะไม่มีการประกวดนางสงกรานต์ มีแต่การประกวด "นางสังขาร" ฟังแล้วทำไมนึกถึงอสุภกรรมฐานได้ก็ไม่รู้ ?
วันสังขารล่องคือวันที่นางสงกรานต์จะเสด็จกลับ ซึ่งน่าจะเป็นนิมิตหมายอันดี เพราะว่านางโคราคเทวี นางสงกรานต์ปีนี้ไม่ได้มีโอกาสได้ทำหน้าที่ของตน เนื่องจากโดนนางโคโรนาเทวี ใส่หน้ากากปลอมตัวขี่ค้างคาวปาดหน้ามาชิงทำหน้าที่แทนเสียก่อน"
"ในเมื่อเป็นนางโคโรนาเทวีเสด็จกลับแทน ก็คงจะพาบริวารทั้งหลายทั้งปวงตามกลับไปเป็นขบวนเกียรติยศ เชื้อไวรัสก่อโรค covid-๑๙ ก็ต้องตามขบวนกลับไปด้วย สถานการณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดในประเทศไทย สมควรที่จะดีขึ้นจนอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
แต่เราทั้งหลายต้องไม่ประมาท อย่า "การ์ดตก" ตามที่คุณหมอทั้งหลายได้ตักเตือนและแนะนำไว้ อย่างน้อยก็ต้องปฏิบัติตนด้วยการระมัดระวังอย่างเข้มข้นต่อไป เพื่อที่เชื้อไวรัสทั้งหลายจะได้ไม่แอบกลับมาอาละวาดใหม่อีกครั้ง
ส่วนที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือว่า เราไม่ได้มีแต่โรคร้ายไวรัส covid-๑๙ เท่านั้น บรรดาโรคเอดส์ โรคซาร์ โรคเมอร์ โรคอีโบล่า และไข้หวัดนกก็ยังอาละวาดและรออาละวาดอยู่ อย่าได้ใช้ชีวิตอย่างประมาท ไม่เช่นนั้นถ้าโรคร้ายมาถึงตัว จะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว"
"ส่วนสถานการณ์ของประเทศชาตินั้น ต้องบอกว่าน่าสงสารรัฐบาลมาก ที่มีคนเก่งช่วยกันทำงานมากจนเกินไป จนทำอะไรง่าย ๆ ไม่เป็น ลืมนึกถึงคนที่ไม่ชอบเทคโนโลยีอย่างอาตมา ลืมคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน คนที่ไม่เคยเปิดบัญชีธนาคารเพราะไม่มีเงินเหลือพอที่จะฝาก คนที่เรียนหนังสือมาน้อย จนลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นไม่เป็น
ก็เลยทำให้งานช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ชวนให้ผมร่วงหน้าเหี่ยวเป็นยิ่งนัก..! อยากจะสมน้ำหน้าคนเก่งก็สงสารเกินกว่าที่จะทำ ได้แต่คอยดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ เอาใจช่วยให้ทุกคนรู้จักทำอะไรโง่ ๆ บ้าง อย่างเช่นกำหนดให้ความช่วยเหลือแก่ทุกคนที่มีสิทธิเลือกตั้ง โอนเงินไปให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการให้ แล้วตามตรวจสอบเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจอใครทุจริตก็อย่าให้ได้ผุดได้เกิด เท่านี้ทุกอย่างก็จบลงได้แบบสวยงามแล้ว"
"ปัญหาใหญ่ไม่ใช่แค่การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเท่านั้น ปัญหาที่หนักกว่านั้นก็คือหลังจากผ่านพ้นไปได้แล้ว ทำอย่างไรที่จะให้คนส่วนใหญ่มีอาชีพ มีการงาน จะได้มีเงินใช้ ไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐบาลที่แสนจะวุ่นวายแบบนี้อีก
ทุกคนคงจะได้เห็นแล้วว่า การเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นที่พึ่งในวาระวิกฤตแบบนี้ได้อย่างแท้จริง ใครที่เริ่มต้นไปแล้วก็จงทำต่อไปด้วยความมั่นใจ ใครที่ยังไม่ได้เริ่มต้นก็ควรที่จะคิดริเริ่มได้แล้ว มัวแต่รอให้ถึงเวลาวิกฤตอีกครั้งก็ไม่ทันการ เข้าทำนอง "ขี้แตกแล้วค่อยมาขุดส้วม" ถ้าเป็นแบบนี้อีกก็จะน่าสงสารมาก
ในเรื่องของดินฟ้าอากาศนั้น เนื่องจากสมดุลธรรมชาติโดนทำลายไปมาก นอกจากภัยแล้งที่ต้องแก้ไขอย่างหนักแล้ว ยังต้องระมัดระวังในเรื่องของพายุฝน พายุลูกเห็บ ตลอดจนไฟป่าที่เกิดจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ แต่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเดือดร้อนกันทั่วหน้า"
"เท่านี้ยังไม่พอ เมื่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสผ่านพ้นไปแล้ว ก็จะมีผู้ปลุกระดมชาวบ้านซึ่งไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือการช่วยเหลือเข้าถึงได้ยาก ออกมาประท้วงจนกลายเป็นเรื่องทางการเมือง
คนเราเวลาท้องหิวอย่างหนึ่ง เวลาพบกับความอยุติธรรมอย่างหนึ่ง จะ "จุดติด" ได้ง่าย รัฐบาลควรที่จะระมัดระวังป้องกันเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ล่วงหน้า หัดปฏิบัติการจิตวิทยาเชิงรุกบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตั้งรับคอยแก้ไขเหตุการณ์อย่างเดียว
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ การปฎิบัติการทางจิตวิทยาที่จะได้ผลนั้น ต้องมีผลงานในเชิงประจักษ์ แต่ว่าผลงานทั้งหลายทั้งปวงที่ผ่านมาของรัฐบาล ถูกสรุปลงแค่อักษร ๘ ตัวว่า ผนงรจตกม ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เตรียม "เหนื่อย" ได้เลย..!"
"สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอจงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "สงกรานต์ปี ๒๕๖๓ ผ่านไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประหนึ่งวันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น แต่ด้วยคนไปสมมติขึ้นมา จึงทำให้มีวันสงกรานต์ มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมในการปฏิบัติที่แตกต่างจากวันอื่น ๆ จนทำให้เกิดการยึดติดในสมมตินั้นว่า ถ้าวันสงกรานต์แล้ว ต้องมีการปฏิบัติดังต่อไปนี้
๑. ทำบุญใส่บาตร
๒. สมาทานศีล
๓. ฟังเทศน์ฟังธรรม
๔. ก่อพระเจดีย์ทราย
๕. สรงน้ำพระ
๖. รดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่
๗. เล่นสาดน้ำกัน
ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขาดหายไป ก็ทำให้บุคคลเป็นจำนวนมากรู้สึกไม่คุ้นชิน เนื่องจากว่าต้องงดการเดินทาง ห้ามชุมนุมร่วมกัน ควรที่จะกักตัวอยู่ในบ้าน ตามที่ทางราชการขอความร่วมมือมา เพื่อให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส covid-๑๙ ทั้งตนเองและคนที่เรารัก"
"ประเทศของเราซึ่งปกติแล้วมีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับ ๑ ของรายได้ทุกประเภทรวมกัน เมื่อต้องปิดประเทศทำให้สูญเสียรายได้ในระดับหมื่นล้านจากประเพณีสงกรานต์ ซ้ำยังต้องหาเงินมาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทำให้รัฐบาลอยู่ในสภาพ "ถังแตก" บรรดาผู้บริหารต้องหาทางกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะมีใครให้กู้บ้าง เพราะว่าทุกประเทศได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด"
"ในส่วนตัวของพวกเรานั้น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ ทำให้ทุกคนได้เห็นความเป็นจริงหลายอย่างด้วยกัน คือ
๑. ต่อให้ระบบ iBanking ดีขนาดไหนก็ตาม เราก็ต้องมีเงินสดติดตัวไว้บ้าง และในขณะเดียวกันทรัพย์สินบางอย่าง เช่น ทองคำแท่งหรือทองคํารูปพรรณ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้โดยเร็ว ก็ควรที่จะมีเก็บออมไว้บ้าง
๒. หน้าที่การงานของเรา ซึ่งหลายคนไม่เห็นความสำคัญ เปลี่ยนงานเป็นว่าเล่น โดยอ้างว่าเพื่อหาประสบการณ์ ทั้งที่จริงแล้วก็คือขาดความอดทน เมื่อถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมา บุคคลที่ยอมทุ่มเทให้กับที่ทำงาน ก็จะได้รับการคัดเลือกให้คงอยู่ ขณะที่บุคคลประเภทที่จับจด ก็จะโดนระบบคัดออกไปเองเพื่อตัดรายจ่าย หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในครั้งนี้ คงจะทำให้หลายท่านได้คิดว่า เราควรที่จะปฏิบัติตนอย่างไรในการทำงาน
๓. "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" คำกล่าวของหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร บิดาแห่งระบบสหกรณ์ของประเทศไทย ยังเป็นความจริงเสมอ มีเงินแต่ซื้ออาหารไม่ได้ มีเงินแต่ไม่สามารถที่จะหาหมอมารักษาตนเองได้ จนกระทั่งบางประเทศ ต้องเอาเงินมาโปรยทิ้ง เพราะไม่เห็นประโยชน์ว่าจะเก็บเงินไว้ทำอะไร ในเมื่อตนเองต้องตายอยู่แล้ว เป็นบทเรียนอย่างชัดเจนที่สุดว่า ความมั่นคงทางอาหาร เป็นความมั่นคงของตนเองและครอบครัวอย่างแท้จริง"
"๔. ระบบเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งแบ่งพื้นที่สมมติว่า ๑๐ ไร่ ออกเป็น ๑ : ๓ : ๓ : ๓ นั้นสามารถช่วยให้เราอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์
๑ ส่วน สำหรับสร้างบ้านเรือนและปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ๓ ส่วน ขุดบ่อน้ำซึ่งสามารถเลี้ยงปลาได้ ใช้น้ำในการเกษตรได้ เลี้ยงไก่บนบ่อปลาได้
๓ ส่วนต่อมา ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของเรา บนคันนาก็สามารถแซมไม้ใช้สอย เอาไว้สำหรับสร้างบ้านหรือสำหรับใช้ทำเป็นเชื้อเพลิง
๓ ส่วนสุดท้าย ปลูกพืชผลไม้แบบสวนสมรม คือมีหลายอย่าง สามารถหมุนเวียนเปลี่ยนกันออกสู่ตลาดได้ เป็นการประกันความเสี่ยงว่า ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งราคาตก อย่างอื่นก็จะขายได้ราคา
รอบบ้านและพื้นที่ปลูกผักสวนครัวนั้น ก็ให้ปลูกพวกมะละกอ กล้วย ซึ่งมีระยะการให้ผลยาวนานกว่าพืชผักสวนครัวอื่น ๆ ทำให้ใช้สับเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นพืชอาหาร หรือว่าสามารถนำออกสู่ตลาดได้โดยที่ทุกอย่างไม่ต้องไปประดังกันทีเดียวทำให้ราคาตก"
"๕. สุขภาพอนามัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเราสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง โอกาสที่จะติดเชื้อก็น้อยลง หลายท่านทุ่มเทกับการงานทั้งชีวิต โดยไม่ใส่ใจกับสุขภาพของตน แล้วก็ต้องเอาเงินเก็บทั้งหมด ไปใช้ในการรักษาร่างกายที่ชำรุดทรุดโทรมทีหลัง ซึ่งถ้าไม่มีการประกันสุขภาพไว้ ก็อาจจะใช้จ่ายเกินเงินที่เก็บไว้อีกต่างหาก เราจึงควรที่จะบริหารร่างกาย ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เป็นเครื่องประกันว่า เราจะไม่ต้องใช้เงินเก็บของเราไปในการซ่อมสุขภาพจนหมด
๖. สุขภาพจิตที่ดีช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และช่วยให้คนรอบข้างมีความมั่นคงทางจิตใจไปด้วย คนที่มีสุขภาพจิตดีจากการฝึกฝนตนเอง ตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีสติในทุกเมื่อ มีความมั่นคงทางจิตใจที่ผู้อื่นต้องอาศัยเป็นที่พึ่งพา มีปัญญาหาช่องทางให้พ้นจากวิกฤตการณ์ได้เร็วกว่าคนอื่นเขา
ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมที่คนจำนวนมากในยุคก่อนไวรัส covid - ๑๙ ระบาด เห็นเป็นเรื่องงมงายเหลวไหล เป็นเรื่องของคนแก่ เป็นเรื่องของพวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี มาในสถานการณ์เช่นนี้จะเห็นได้ชัดว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ถ้ารู้จักนำมาประยุกต์ใช้ สามารถช่วยเราและคนรอบข้างได้ในทุกสถานการณ์"
"เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นข้อคิดบางส่วนที่ได้จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ ในครั้งนี้ ทำให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสใช้บทเรียนเหล่านี้ เตรียมตัวในการรับสถานการณ์ที่ย่ำแย่แบบนี้ในคราวหน้า โดยเฉพาะความมีระเบียบวินัย เชื่อฟังผู้นำ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จะช่วยให้ท่านทั้งหลายมีโอกาสหลุดพ้นจากสถานการณ์วิกฤตได้เร็วกว่าผู้อื่นเขา"
"เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า "กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำ กาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้"
ขอคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองป้องกัน ให้ทุกท่านผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว และนำเอาประสบการณ์ชีวิตในช่วงนี้ ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตของตน เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ได้แก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจของเรา ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน เป็นที่ไปในเบื้องหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทองผาภูมิเป็นเมืองเก่าแก่ ชื่อเดิมคือเมืองท่าขนุน เป็นเมืองหน้าด่านที่มีความสําคัญปรากฏชัดในประวัติศาสตร์ไทย แม้ในปัจจุบันก็เป็นเมืองสำคัญทางการท่องเที่ยว โดยมีคำขวัญประจำอำเภอว่า
"พุน้ำร้อนหินดาด ตลาดอีต่อง โบอ่องเจดีย์ ราชินีปูไทย เพลินใจแควน้อย เกินร้อยภูผา งามสุดตาเขื่อนวชิราลงกรณ"
"พุน้ำร้อนหินดาด ถูกค้นพบโดยทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในพื้นที่บริเวณตำบลหินดาด เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมออนเซ็น คือ การแช่น้ำร้อนเป็นปกติ เมื่อได้พบแหล่งพุน้ำร้อนแบบนี้เข้า ก็เป็นสวรรค์ของทหารญี่ปุ่นในยุคนั้นดี ๆ นี่เอง ถ้าใครโดนโยกย้ายไปที่อื่น ก็แทบจะนั่งร้องไห้หรือไม่ก็ทำพิธีเซ็ปปุกุ คว้านท้องตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย..!
เมื่อผ่านพ้นยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้มีการพัฒนาพุน้ำร้อนหินดาดเป็นแหล่งท่องเที่ยว เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้วซึ่งอาตมาไปทองผาภูมิครั้งแรกนั้น พุน้ำร้อนหินดาดยังมีอยู่แค่ ๒ บ่อ แบ่งแยกเป็นบ่อผู้หญิงและบ่อผู้ชายเท่านั้น
จนเมื่อมีการตั้งองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นขึ้นมา องค์การบริหารส่วนตำบลหินดาด จึงได้ยื่นมือเข้ามาพัฒนาเป็นการใหญ่ และสนับสนุนจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของทองผาภูมิ นักท่องเที่ยวที่มายังอำเภอทองผาภูมินั้น โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวรัสเซีย จะไม่พลาดในการไปแช่พุน้ำร้อนหินดาดอย่างเด็ดขาด"
"ตลาดอีต่องนั้น ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านอีต่อง เขตตำบลปิล็อก ติดชายแดนพม่าแถบเมืองกาเลอ่อง ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของทองผาภูมิขึ้นมาได้ ก็เนื่องจากมีเหมืองแร่อีต่อง ซึ่งเป็นเหมืองแร่วุลแฟรม ในยุครุ่งเรืองนั้น กุลีในเหมืองแร่อีต่อง จิบเบียร์คลอสเตอร์หรือไฮเนเก้นกันเป็นว่าเล่น..!
เมื่อเหมืองแร่อีต่องต้องปิดตัวลง เพราะว่าราคาแร่ตกมากจนไม่คุ้มที่จะทำต่อไป ก็มีการปรับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแทน โดยมีเนินช้างศึกซึ่งเป็นฐานทหารไทยที่ตั้งประจัญอยู่กับกองทัพพม่า น้ำตกจ๊อกกระดิ่ง และยอดเขาช้างเผือก เป็นองค์ประกอบที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมายไปยังสถานที่นั้น
มีอยู่ช่วงหนึ่งยังมีปิล็อกฮิลล์ เป็นสถานที่ปลูกดอกไม้เมืองหนาว ที่จัดพื้นที่ได้สวยงามมาก นอกจากตัดดอกไม้เมืองหนาวขายแล้ว ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมสถานที่อันงดงามอีกด้วย แต่แล้วก็สู้เศรษฐกิจตกช่วงปี ๒๕๔๐ ไม่ไหว จนต้องปิดตัวลงไปอย่างน่าเสียดาย"
"โบอ่องเจดีย์ เป็นพระเจดีย์กลางน้ำเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ก่อนที่จะมีเขื่อนวชิราลงกรณ เป็นศูนย์รวมใจของพี่น้องมอญ พม่า กะเหรี่ยง ในชีวิตอย่างน้อยต้องไปไหว้พระเจดีย์โบอ่องให้ได้สักครั้งหนึ่ง
เมื่อมีการปิดเขื่อนวชิราลงกรณเพื่อเก็บกักน้ำในปี ๒๕๒๖ ทำให้น้ำท่วมทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง การจะไปยังพระเจดีย์โบอ่องนั้น จึงกลายเป็นต้องนั่งเรือไปแทน จะไปขึ้นที่บริเวณวัดพระธาตุโบอ่องเลย หรือว่าจะไปขึ้นที่ตัวหมู่บ้านแล้วค่อยเดินไปยังพระเจดีย์ก็ได้
วัดพระธาตุโบอ่องนั้นน่าสงสารมาก มีมาเก่าแก่โบร่ำโบราณใกล้เคียงกับการตั้งองค์พระเจดีย์ แต่ว่ากลับตกสำรวจ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัดในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง แม้แต่สำนักสงฆ์ที่ถูกต้องตามระเบียบราชการก็ไม่ได้เป็นเช่นกัน
ปัจจุบันนี้วัดพระธาตุโบอ่องยังเป็นเพียงที่พักสงฆ์อยู่ ทั้งที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมากทุกปี และชาวบ้านรอบบริเวณวัดก็ให้การอุปถัมภ์ค้ำชูที่ดีมาก เป็นภาระให้ทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ต้องดิ้นรนผลักดันกันต่อไป จนกว่าจะได้เป็นสำนักสงฆ์หรือว่าเป็นวัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยเสียที"
"ราชินีปูไทย เป็นปู ๕ สี ปรากฏมีแห่งเดียวในโลก ที่บริเวณพุปูราชินี ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ปูชนิดนี้มีสีสันต่าง ๆ คือ ขาว แดง ม่วง ส้ม และดำ สลับสีกันอย่างสวยงาม เป็นปูที่ได้รับการค้นพบใหม่ และได้รับพระราชทานนามจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ว่า "ปูราชินี"
ในบริเวณพุปูราชินีนั้น อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ นอกจากปูราชินีซึ่งจะปรากฏตัวให้เห็นได้ง่ายในช่วงฤดูฝนแล้ว บริเวณใกล้เคียงยังมีค้างคาวกิตติ ซึ่งเป็นค้างคาวชนิดที่เล็กที่สุดในโลก ค้นพบโดยนายกิตติ ทองลงยา เป็นค้างคาวที่ตัวโตประมาณหัวแม่มือเท่านั้น"
การจะไปดูปูราชินีควรที่จะไปในช่วงฤดูฝน และควรจะมีรถยนต์ขับเคลื่อน ๔ ล้อส่วนตัวมาด้วย โดยทำหนังสือขออนุญาตเข้าเขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิมาจากกรุงเทพฯ ก็จะได้รับการอำนวยความสะดวกในการเข้าชมปูราชินีจากเจ้าพนักงานป่าไม้ในพื้นที่ตามสมควร"
"เพลินใจแควน้อย หมายถึงแม่น้ำสำคัญของอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งไหลผ่านอำเภอไทรโยค ลงไปจนถึงอำเภอเมืองกาญจนบุรี แล้วไหลรวมกับแม่น้ำแควใหญ่ บริเวณที่เรียกว่าแพรก จนกลายเป็นแม่น้ำแม่กลอง ไหลผ่านราชบุรีไปออกปากอ่าวที่สมุทรสงคราม
ตลอดสายของแม่น้ำแม่กลองนั้น นักท่องเที่ยวสามารถตกปลา ขี่ช้าง ล่องแพ ไม่ว่าจะเป็นแพไม้ไผ่ หรือว่า "แพเธค" ตั้งแต่บริเวณท่าน้ำเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ผ่านวัดท่าขนุนยาวลงไปตลอดอำเภอไทรโยค จนถึงหน้าเมืองกาญจนบุรี
แม่น้ำแควน้อยและแม่น้ำแควใหญ่ เป็นสายเลือดสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อรวมตัวกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง ก็ยังคงความสำคัญยาวไปจนถึงราชบุรีและสมุทรสงคราม สายน้ำนี้ใช้ทั้งในการปั่นไฟฟ้าเพื่อเศรษฐกิจ เป็นแหล่งประปาสำคัญของอำเภอทองผาภูมิและไทรโยคในการผลิตน้ำดื่ม ตลอดถึงเป็นแหล่งน้ำทางการเกษตรตลอดสายไปจนถึงปากอ่าวแม่กลอง
ในช่วงที่ไหลผ่านอำเภอไทรโยค ยังมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญได้แก่น้ำตกไทรโยคใหญ่ ซึ่งเป็นที่มาของบทเพลงอมตะ "เขมรไทรโยค" จนท่วงทำนองการไหลของสายน้ำ "จ็อก..จ็อก..โครม..จ็อก..จ็อก..จ็อก..โครม" กลายเป็นจังหวะอมตะไปเสียแล้ว"
"เกินร้อยภูผา หมายถึงบรรดาขุนเขาต่าง ๆ ที่ลดหลั่นกันอย่างงดงามตา โดยเฉพาะในส่วนที่โอบล้อมตัวอำเภอทองผาภูมิ ได้รับการขนานนามว่า "ขุนเขาพระศิวะ" ซึ่งมาจากนิยายของ "พนมเทียน" เรื่อง "เพชรพระอุมา" อมตะนิยายที่ได้รับการยอมรับว่ามีเนื้อหายาวที่สุดในโลก..!
คำว่า ทองผาภูมิ หมายถึง ถิ่นแห่งขุนเขาที่มีแหล่งแร่ทองคำ จึงไม่น่าแปลกใจว่าอำเภอทองผาภูมินั้นมีที่ราบน้อย ส่วนใหญ่แล้วเป็นภูเขาสลับซับซ้อน มีจุดสูงสุดอยู่ที่ยอดเขาช้างเผือกในเขตบ้านอีต่อง ตำบลปิล็อก ซึ่งมีความสูงประมาณ ๑,๒๐๐ เมตร มีอากาศเย็นสบายทั้งปี
ส่วนภูเขาอื่น ๆ นั้นก็สูงต่ำลดหลั่นกันไป ไม่ว่าจะเป็นเขาแหลม ซึ่งเคยเป็นชื่อของเขื่อนเขาแหลมมาก่อน ภายหลังจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นเขื่อนวชิราลงกรณ ตลอดจนเขาเย็น เขาเขียว เขาใหญ่ เขาโทน เขาก่องก๊อง เขาไถ่ผะ ฯลฯ และอีกมากมายนับไม่ถ้วน จนต้องสรุปรวมง่าย ๆ ว่าเกินร้อยภูผานั่นเอง"
"งามสุดตาเขื่อนวชิราลงกรณ หมายถึงเขื่อนเขาแหลมในชื่อเดิม ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้พล็อตจุด กำหนดสถานที่สร้างเขื่อนขึ้นในอำเภอทองผาภูมิตามแผนที่ทางทหาร ซึ่งระบุว่า บริเวณที่สร้างเขื่อนนั้นคือเขาแหลม ครั้นขออนุญาตสร้างไปและได้ผ่านการอนุมัติลงมาแล้ว เมื่อไปสำรวจสถานที่จริงปรากฏว่า พื้นที่บริเวณนั้นคือเขาเย็น ห่างจากเขาแหลมที่ชาวบ้านรู้จักกันเกือบ ๖ กิโลเมตร แต่ในเมื่องบประมาณอนุมัติลงมาให้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม จึงต้องใช้ชื่อเขื่อนเขาแหลมไปโดยไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยที่ยังดำรงพระอิสริยยศที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเจริญพระชนมายุ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งยังครองราชย์อยู่ ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเขื่อนเขาแหลม เป็นเขื่อนวชิราลงกรณ เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวาระอันเป็นมหามงคลนั้น
ส่วนเขื่อนวชิราลงกรณเดิมในเขตอำเภอท่าม่วง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็นเขื่อนแม่กลอง เขื่อนเขาแหลมจึงได้หายไปจากโลกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เขื่อนวชิราลงกรณมีพื้นที่บรรจุน้ำ ๘,๖๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้า ๓ เครื่อง ให้กำลังการผลิต ๓๐๐,๐๐๐ กิโลวัตต์ น้ำจากเขื่อนสามารถช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ประมาณ ๒,๕๐๐,๐๐๐ ไร่"
"ในช่วงไวรัส covid-๑๙ ระบาด คนทองผาภูมิมีผลกระทบน้อยมาก จนป่านนี้ก็ยังเป็นอำเภอที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไวรัสวายร้ายไม่สามารถที่จะเจาะไข่แดงได้ มีเพียงบุคคลเสี่ยงที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเนื่องจากตกงาน ได้รับการกักตัว ๑๔ วันเพื่อดูอาการประมาณ ๗๐๐ คน และพ้นจากช่วงอันตรายได้กลับสู่บ้านช่องของตนเองกันหมดแล้ว
ส่วนผลกระทบในเรื่องการทำมาหากินนั้นมีน้อยมาก เพราะว่าคนทองผาภูมิทั้งที่เป็นคนพื้นที่เดิม และคนจากที่อื่นโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งมาซื้อที่สร้างบ้านนั้น ก็มักจะมาด้วยแนวคิดว่า จะมาทำการเกษตรกันทั้งนั้น น้อยรายที่จะมาทำมาหากินในตัวเมือง
คนพื้นที่ซึ่งอยู่ในตัวเมืองที่เรียกว่าตลาดนั้น แทบทุกบ้านจะมีไร่เป็นของตัวเองหลายสิบถึงหลายร้อยไร่ ส่วนมากก็ทำสวนผลไม้บ้าง สวนยางบ้าง ปาล์มน้ำมันบ้าง ถึงแม้ว่ากิจการงานในตลาดโดนปิดลง ก็ยังอาศัยอยู่ในไร่ในสวนของตนเองได้"
"ส่วนที่น่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะว่าการท่องเที่ยวทุกอย่างหยุดชะงักหมด ก็คือบรรดาร้านอาหารและที่พักต่าง ๆ แต่ก็ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ส่วนใหญ่ทุกคนมีที่ดินเป็นของตนเอง ทำการเกษตรมากบ้างน้อยบ้างอยู่แล้ว กิจการงานอื่นเป็นเพียงงานเสริมเท่านั้น จึงได้รับผลกระทบน้อยมาก
ส่วนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ก็คือพี่น้องต่างด้าว ซึ่งความจริงแล้วก็คือคนไทยนั่นเอง เพราะว่าแทบทุกคนเกิดในเมืองไทย หลายครอบครัวเกิดในเมืองไทยถึง ๓ - ๔ ชั่วคนแล้ว แต่ที่ไม่ได้บัตรประชาชนไทยก็เพราะว่า ถ้าขืนให้บัตรประชาชนตามระเบียบคนต่างด้าว เพื่อนบ้านเราคงจะอพยพมาอยู่เมืองไทยจนเกือบหมดประเทศ..!"
"พี่น้องต่างด้าวทั้งหลายเหล่านี้ส่วนมากทำงานรับจ้าง ในเมื่อกิจการงานทุกอย่างปิดตัวลงหมด จึงกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ว่ากลับเป็นผู้เดือดร้อนน้อยที่สุด เนื่องเพราะนิสัยที่สั่งสมกันมานานหลายชั่วคน
พี่น้องมอญพม่าเหล่านี้เมื่อทำงานแล้วได้เงิน พอซื้อทองได้ ๑ สลึงก็ซื้อทอง ๑ สลึง พอซื้อทองได้ ๑ บาทก็ซื้อทอง ๑ บาท ทุกคนเก็บทรัพย์สินเป็นทองเสียส่วนมาก แทบจะไม่มีใครถือเงินสดไว้เลย พูดง่าย ๆ ว่าทุกคนมีเงินออมเป็นกอบเป็นกำ ในรูปของทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณ
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าทุกคนมีญาติพี่น้องอยู่ในประเทศพม่า เมื่อกลับบ้านไปเยี่ยมญาติของตน ถ้าถือเป็นเงินสดไป ความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนย่อมทำให้ขาดทุนได้ง่าย ทุกคนจึงซื้อทองคำไว้เป็นหลัก โดยเฉพาะน้ำหนักทองคำไทยและทองคำพม่านั้นต่างกัน ทองคำไทย ๑๐ บาทคิดเป็นทองคำพม่าได้ ๑๑ บาท เรียกว่าซื้อทองคำเอาไว้มีแต่กำไรไม่มีขาดทุน"
"ในเมื่อเป็นเช่นนี้คนทองผาภูมิ ไม่ว่าจะเป็นคนในพื้นที่ หรือว่าพี่น้องต่างด้าวก็ตาม จึงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-๑๙ น้อยมาก โดยเฉพาะพี่น้องต่างด้าวซึ่งรู้จักประกันความเสี่ยง ประหยัดกินประหยัดใช้ เก็บไว้แต่ทองคำ อยู่กันอย่างไม่ประมาท ตามหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนไทยเสียอีก สมควรที่จะได้รับการยกย่องชื่นชมจริง ๆ"
ถาม : ไหนท่านว่ามีวิชาปราบไวรัส แล้วทำไมยังใส่หน้ากากอนามัยอีก ? แบบนี้แสดงว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม สมควรที่จะโดนปรับอาบัติปาราชิก..!
ตอบ : Take it easy. ท่านพระครูด็อกเตอร์ ในเมื่อจบปริญญาเอกด้วยกัน ผมก็ขอตอบไปในแนววิชาการดังนี้ Listen up, please.
๑. ผมไม่เคยบอกว่าตัวเองมีวิชาปราบไวรัส ถ้าท่านมีหลักฐานที่ไหน โปรดยกมาอ้างอิงให้ชัดเจน ถ้าจะให้ดีเข้าไปดูใน www.watthakhanun.com (http://www.watthakhanun.com) ห้องเก็บตกจากบ้านเติมบุญ กระทู้เก็บตกจากบ้านเติมบุญเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ก็จะได้ข้อมูลอ้างอิงปฐมภูมิ ซึ่งเชื่อถือได้มากที่สุด
๒. การอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติปาราชิก แต่ถ้ามีในตนแล้วอวด ทรงปรับแค่อาบัติปาจิตตีย์ ซึ่งสามารถแสดงคืนอาบัติได้ ดูได้จากอาทิกัมมิกวรรค พระวินัยปิฎก อย่าว่าแต่ผมไม่เคยพูดโอ้อวดว่ามีวิชาปราบไวรัสดังที่ท่านกล่าวมาเลย เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ ?
๓. การใส่หน้ากากอนามัยนั้น เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมข้อไม่ประมาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูได้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก ถ้าท่านพระครูด็อกเตอร์บอกว่าไม่เคยรู้เรื่องตรงนี้ ก็ควรที่จะเอาปริญญาบัตรไปคืนให้กับทางบัณฑิตวิทยาลัยนะครับ..!
๔. ข้อนี้เป็นการถวายคำแนะนำครับ ผมมีอายุมากกว่า พรรษามากกว่า สมณศักดิ์สูงกว่า จบด็อกเตอร์ก่อนท่านหลายรุ่น ถ้าจะกราบขอขมาผมก็ยินดีรับไว้และให้อภัย แต่ถ้าไม่มีเวลาที่จะทำเช่นนั้น กรุณาแสดงอาบัติกับเพื่อนพระภิกษุ ที่ได้ล่วงเกินผู้เป็นภันเต เพื่อที่จะได้ไม่มีโทษติดตัวไปนะครับ
ถ้ามีอะไรสงสัยข้องใจ สามารถสอบถามเป็นธัมมัสสากัจฉากันได้อีก ผมยินดีที่ได้สนทนากับผู้ที่เป็นบัณฑิตระดับสูงสุดเช่นท่านเป็นอย่างยิ่งครับ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีหลายคนพยายามเรียกร้อง ให้ทางรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองตาม พรก.ฉุกเฉิน โดยยกเหตุขึ้นมาอ้างว่า ถ้าไม่มีงาน ไม่มีเงิน ก็อดตาย โดยไม่ได้ใส่ใจว่าถ้าติดเชื้อโรคร้ายก็ตายได้เช่นกัน
คนทั้งหลายเหล่านี้โดยส่วนตัวคือมีความอดทนน้อย โดยส่วนรวมแล้วหลายคนอยู่ในลักษณะอยากดัง บางคนก็อยู่ในลักษณะหาเสียงบนความเดือดร้อนของคนอื่น แทนที่จะช่วยกันแบ่งเบาความเดือดร้อนของประชาชน ให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลด้วยดี กลับกลัวว่าสถานการณ์จะไม่วุ่นวายพอ พยายามเรียกร้องโน่นนี่นั่นอยู่เสมอ
การที่จะผ่อนคลายมาตรการฉุกเฉินนั้น อย่างน้อยต้องควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่เช่นนั้นถึงเวลาเกิดการระบาดขึ้นมาใหม่ ก็จะเสียทั้งเวลา เสียทั้งทรัพย์สินเงินทอง ตลอดจนกระทั่งเสียชีวิต ในการไปกระทำสิ่งที่วัยรุ่นสมัยนี้เรียกว่า "วนลูป" ซึ่งถ้ายอมทนอีกหน่อยหนึ่ง ก็ไม่ต้องมาเจอกับอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างนี้"
"สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) มีดำรัสว่า "ถ้ามีเงินให้ช่วยด้วยเงิน ถ้ามีแรงให้ช่วยด้วยแรง ถ้าไม่มีเงินไม่มีแรงให้ช่วยด้วยกำลังใจ ถ้าทำอะไรไม่ได้เลยก็ให้นิ่งไว้" แต่คนเหล่านี้กลับนิ่งไม่เป็น ซ้ำยังคอยขัดมือขวางเท้า เป็นเหตุให้คนอื่นต้องทำงานลำบากขึ้นไปอีก
ทำให้นึกถึงภาพหนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ทหารต้องแบกลาเดินฝ่าทุ่งไป ซึ่งทหารก็ไม่ได้รักอะไรลาตัวนั้นเป็นพิเศษ แต่ว่าในทุ่งนั้นเต็มไปด้วยกับระเบิด ทหารจึงต้องแบกลาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้วิ่งส่งเดชจนไปเหยียบกับระเบิด แล้วจะพาให้ตัวเองพร้อมทั้งคนอื่นตายไปด้วย..!
น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้บ้านเรามี "ลา" มาก รัฐบาลจึงทำงานด้วยความยากลำบาก อย่างวันก่อนก็มี "ลา" ไปแจกเงินที่หน้าวัดแห่งหนึ่ง ทำให้คนแห่กันไปรับเป็นจำนวนพัน โดยไม่ได้ติดต่อทางราชการให้ช่วยจัดระเบียบ ไม่ได้สนใจว่าจะทำให้ใครติดเชื้อโรคหรือไม่ ? ถ้าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันกระโดดจากหลักไม่เกิน ๓๐ กลายเป็นตัวเลขที่เกินจำนวน ๑๐๐ ต่อวัน ก็จะรู้ชัดว่าเป็นฝีมือของ "ลา" ทั้งหลายเหล่านี้เอง"
"คนโง่ที่ว่าตัวเองฉลาดนั้นน่ากลัวมาก เพราะว่าอาจจะทำให้ส่วนรวมเสียหายหรือพาไปตายกันหมด โดยที่ตัวบุคคลผู้นั้นก็ยังภาคภูมิใจว่าตัวเองทำดีทำถูก ดังเช่นที่อาตมาได้พบมาด้วยตนเอง
ปกติแล้วเวลาบิณฑบาต ก็จะมีญาติโยมส่วนหนึ่งที่ซื้อหาอาหารมาใส่บาตรไม่ทัน นำเงินสดมาใส่บาตรมาแทน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นการผิดพระวินัย แต่เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่า พระวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นข้อนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้พระภิกษุสงฆ์เกิดความโลภ แล้วไปสะสมเงินทองเพื่อความร่ำรวย
ประกอบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีญาติโยมคอยตามสงเคราะห์พระเหมือนกับสมัยพุทธกาล ซึ่งช่วงนั้นยังมีพระภิกษุสงฆ์น้อย มีญาติโยมผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก จึงทำให้ติดตามสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ได้ครบถ้วน
สมัยนี้นอกจากพระเณรมากแล้ว ญาติโยมยังตกอยู่ในกระแสสังคมที่ต้องแข่งขันกันสูง ไม่มีเวลาที่จะไปสงเคราะห์ในลักษณะแบบนั้น จึงมอบเงินทองแทนปัจจัย ๔ ให้พระภิกษุสามเณรไปดำเนินการกันเอง"
"แต่ก็มีบางสำนักที่ถือเคร่งครัดแบบ "ลา" เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น รับใบปวารณาแต่ไม่รับเงินสด ทั้งที่ในศีลพระระบุไว้ว่า "พระภิกษุรับเองก็ดี หรือใช้ให้ผู้อื่นรับแทนก็ดี ซึ่งเงินทองหรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์"
แล้วก็เอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตน ไปทำลายศรัทธาของคนอื่น ด้วยการไปประณามบุคคลที่นำเงินทองถวายพระ ว่าเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้พระเกิดกิเลส ทั้งที่กิเลสของทุกคนติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว เป็นการอ้างพระพุทธวจนะ ยกตนว่าสูงส่งบริสุทธิ์ ถ้าไม่ทำแบบตนก็คือผิดทั้งนั้น..!
บรรดา "ลา" ที่หน้ามืดตามัวเหล่านี้สามสี่ตัว มายกป้ายและตะโกนห้ามญาติโยมที่กำลังใส่บาตรอาตมาอยู่ กล่าวหาว่าการนำเงินใส่บาตรเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้ท่านที่ได้รับรู้รับฟังเกิดอาการ "ของขึ้น"
ยังดีที่อาตมาพอที่จะมีสติอยู่บ้าง จึงได้ห้ามปรามญาติโยมทั้งหลายเอาไว้ ปล่อยให้บรรดา "ลา" จากไปด้วยความปลอดภัย เดินแบกสักกายทิฐิและอติมานะติดตัวไปด้วยความภาคภูมิใจ..!
"ทั้งรัฐบาล ทั้งหมอและพยาบาล ทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะเอาชนะเชื้อโรคร้าย covid-๑๙ ขอให้พวกเราอดทน อดกลั้น อดออม ยอมทนลำบากไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อควบคุมโรคอยู่ในวงแคบได้แล้ว มาตรการต่าง ๆ ย่อมผ่อนคลายลงไปเอง
ขอให้ทุกคนจงเป็นทหารกล้าที่ยอมทนลำบาก แบก "ลา" ทั้งหลายเหล่านี้ไปด้วย อย่าให้ไปเดินเกะกะเพ่นพ่านจนเหยียบกับระเบิดเข้า จงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยขันติและเมตตา อย่าเสพรับสื่อทั้งหลายมากนัก แล้วเราจะผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ไปด้วยกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในระยะที่มีการ "ล็อกดาวน์" ตาม พรก.ฉุกเฉิน ทางวัดท่าขนุนก็ปิดวัดตามไปด้วย คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า ยกเว้นการบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณร และญาติโยมบางท่านซึ่งมีหน้าที่นำเอาอาหารสดเข้ามาในวัด แต่ก็ต้องผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวดเช่นกัน
ตรงจุดนี้แปลงผักสวนครัวของวัดท่าขนุน ซึ่งทางวัดตั้งใจทำเป็นตัวอย่างให้กับชาวบ้านในชุมชน ในการนำเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ดำรงชีวิต ได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ บรรดา พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว ใบโหระพา ใบแมงลัก ใบกระเพรา ใบยี่หร่า ฯลฯ แทบจะไม่ต้องพึ่งพาจากตลาดสดเลย
กล้วย ฟักทอง ข้าวโพด กระเจี๊ยบ ก็ยังพึ่งพาอาศัยได้ โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ออกลูกเป็นคันรถ เมื่อรวมกับมะม่วงอื่น ๆ แล้ว บุคลากรในวัดไม่สามารถที่จะกินได้ทัน ต้องนำไปเข้าร่วมโครงการข้าวกล่อง ๑๐ บาท ด้วยการแจกฟรีให้กับผู้ที่มาซื้อข้าวกล่องในโครงการ เป็นของหวานหรือของแถมชั้นดีที่หาได้ยาก"
"ส่วนข้าวของอื่น ๆ นั้น มีบริการของไปรษณีย์ไทย และบริการส่งของด่วนหลายบริษัท ซึ่งส่งให้จนแทบจะถึงที่นอน เสียอย่างเดียวว่ารับข้าวของทีไรก็ต้องตั้งสติว่า เมื่อแกะกล่องแล้วต้องรีบล้างมือโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นอาจจะติดเชื้อไวรัส covid-๑๙ ที่แอบโดยสารฟรีเข้ามาในวัดก็เป็นได้
ของหลักซึ่งส่งเข้ามาในระยะนี้ ก็คือหน้ากากอนามัยสารพัดยี่ห้อ มีทั้งสีพระราชนิยมสำหรับพระ สีขาวสำหรับแม่ชี และสารพัดสีตามแฟชั่นสำหรับเด็กวัด ตามมาด้วยเจลแอลกอฮอล์ ทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ตั้งแต่ถังละ ๒๐ ลิตร ลงมาจนถึง ๒๕๐ มิลลิลิตร แอลกอฮอล์ล้างมือ ๗๕ % ส่วนมากมาเป็นแกลลอน ๑ ลิตร แถมขวดเปล่าบรรจุสำหรับใช้ฉีดล้างมือมาให้ด้วย
สเปรย์ปรับอากาศชนิดฆ่าเชื้อ ยาเม็ดฟ้าทะลายโจร วิตามินซี ๕๐๐ มิลลิกรัม ฯลฯ สารพัดที่จะหลั่งไหลเข้ามา ด้วยความห่วงใยของญาติโยมที่มีต่อพระภิกษุสามเณร ตลอดจนแม่ชีและเด็กวัดท่าขนุน
ส่วนข้าวของอย่างอื่นนอกจากเอกสารทางราชการ ก็ยังมีของกินของใช้ที่บางอย่างก็คิดไม่ถึง เช่น มะม่วงสุก มะม่วงดิบ มะม่วงกวน ขนมต่าง ๆ กุนเชียง หมูหยอง หมูแผ่น วัตถุมงคลซึ่งญาติโยมส่งมาร่วมงานบุญต่าง ๆ แทนเงินสด"
"ส่วนที่ถูกใจอาตมาที่สุดก็คือหนังสือออกใหม่ ซึ่งไม่มีโอกาสไปเดินดูด้วยตัวเอง แต่ได้ยินว่าผู้ส่งใช้วิธี "พรีออเดอร์" สั่งจองและจ่ายเงินทางออนไลน์ จะได้รับก่อนร้านหนังสือประมาณ ๓ วัน แต่ว่ามาถึงแล้วก็ไม่พอ "ยาขี้ฟัน" เพราะว่าอาตมาอ่านหนังสือประมาณวันละ ๑ เล่ม โดยเฉพาะอ่านตอนเดินทาง ถ้าลงไปเมืองกาญจน์ ใช้เวลาเดินทางไปชั่วโมงครึ่ง เดินทางกลับชั่วโมงครึ่ง ก็แทบจบเล่มไปแล้ว..!
จึงต้องหางานอื่นทำแทน เช่น กวาดวัด ถูกุฏิ ซักผ้า ตรวจการณ์ในเว็บพลังจิตและเว็บวัดท่าขนุน ว่ามีอะไรเคลื่อนไหวผิดปกติบ้าง โดยเฉพาะการช่วยแจกใบแดงให้กับบุคคลที่ใช้ภาษาไทยผิดในเว็บวัดท่าขนุน ถ้าสามารถส่งใครเข้า "ศาลาพักใจ" ได้ จะรู้สึกปีติมากที่ได้ช่วยรักษาภาษาไทยของเราเอาไว้ ฮ่า..!"
"ไปเจอกระทู้ร่วมปล่อยชีวิตสัตว์เพื่อถวายกุศลให้กับหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านไป "แหย่รังแตน" มา ด้วยการประกอบ "พิธีมหาระงับโรคาพินาศ" จนผลที่ได้รับก็คือ ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ไม่มีตรงไหนที่ไม่เจ็บเลย..!
แม้ว่าจะใช้ขันติ อานาปานสติ และสังขารุเปกขาญาณ ระงับเอาไว้ แต่ด้วยความห่วงใย ก็ทำให้บรรดาลูกศิษย์ นำโดยคุณวีระชัย แก่นภักดี (WEBSNOW) ประธานคณะกรรมการเว็บไซต์คุณธรรมออนไลน์ palungjit.org ได้เปิดโครงการนี้ขึ้นมา ให้คณะศิษย์ทั้งหลายได้ร่วมบุญกัน"
"เห็นทุกคนตั้งใจทำบุญเพื่อหลวงพ่อเล็กกันอย่างน่าชื่นใจ แต่พอไปดูคำอธิษฐานแล้วก็เกิดอาการ "น้ำตาจิไหล" เหมือนกับภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ เพราะว่าแต่ละคนอธิษฐานโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงเลยก็มี ฟุ้งซ่านเกินตายไปหลายชาติเลยก็มี อย่างเช่น
"ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวได้เกิดในสมัยพระศรีอาริย์และบรรลุมรรคผลด้วยกันในยุคนั้นเถิด" ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาหลายประการ คือ
ในเมื่อผลบุญนี้เพียงพอที่จะบรรลุมรรคผลในสมัยพระศรีอาริย์ ก็แปลว่าเหลือเฟือเกินพอที่จะบรรลุในยุคสมัยนี้ แล้วทำไมถึงต้องลำบากไปเกิดใหม่ให้ทุกข์อีกรอบ ?
ท่านรู้หรือไม่ว่าบุคคลที่จะเกิดในสมัยพระศรีอาริย์นั้นมีคุณสมบัติอย่างไร ? ท่านสามารถรักษากรรมบถ ๑๐ ได้โดยสมบูรณ์แล้วหรือไม่ ? ทำไมท่านต้องลากครอบครัวซึ่งเป็น "คนอื่น" ไปร่วมทุกข์ยากกับท่านด้วย ?
"ขอให้ไม่เจ็บไม่จน ไม่ทุกข์ไม่ยาก ไปทุกชาติทุกภพ จนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน" ฟังแล้วเหมือนกับดูดีมีอนาคต แต่จะเป็นไปได้หรือ ?
มีใครเกิดมาแล้วไม่มีความทุกข์ได้บ้าง ? แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่อาจหลีกหนีความทุกข์ไปได้ เพียงแต่ความทุกข์นั้นไม่มีผลกระทบถึงจิตใจของพระองค์ท่านเท่านั้นเอง แล้วท่านเป็นใครถึงจะไม่ทุกข์ได้ ?"
"ขอให้ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าประเภทอธิษฐานธิกะ ในอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ" อ่านเจอแล้วก็ออกอาการ "มึนตึ๊บ" มีพระพุทธเจ้าประเภทนี้ด้วยหรือวะ ? สงสัยว่าอาตมาจะศึกษามาน้อยจนเกินไป..!
ในพระบาลีกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๓ ประเภท คือ ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป สัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป
ขนาดบุคคลที่อธิษฐานขอบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภท "วิริยาธิกะพิเศษ" อาตมายังเห็นว่านอกคอกจนเกินไป แต่ก็ยังพอรับได้ ส่วนที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าประเภทอธิษฐานธิกะ เกิดมายังไม่เคยพบไม่เคยเห็น หวังว่าท่านจะสามารถบรรลุได้เป็นพระองค์แรกตามที่ได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้"
"ขอบรรลุมรรคผลในชาติปัจจุบันนี้ อย่างน้อยให้เป็นพระโสดาบันที่ประกอบด้วย สุกขวิปัสสโก วิชา ๓ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ" สรุปว่าท่านเข้าใจไหมว่าคุณสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ ที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ?
ผู้ที่บรรลุมรรคผลประเภทปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ย่อมมีความสามารถครอบคลุมอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และสุกขวิปัสสโกอยู่แล้ว คำอธิษฐานของท่านออกไปในแนวภาษิตจีนที่ว่า "ถอดกางเกงผายลม" คือ เกินความจําเป็นไปมาก
ผู้ที่บรรลุมรรคผลแบบสุกขวิปัสสโก ไม่มีวิสัยที่จะได้วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ตามวาสนาบารมีที่สั่งสมมา ถ้าท่านต้องการรู้ครบทุกอย่าง ได้ครบทุกอย่าง ก็อธิษฐานขอบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณไปเลยจะดีกว่าไหม ? เพราะว่ามีทางที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องรู้ครบทุกอย่าง เพื่อใช้ในการสั่งสอนและขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร
การเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใดทั้งสิ้น เพราะว่าปฏิสัมภิทาญาณ ๔ นั้น เป็นคุณสมบัติสำหรับอนาคามีบุคคลขึ้นไป ไม่ใช่วิสัยของพระโสดาบัน
การจะเข้านิโรธสมาบัติก็เช่นกัน เป็นคุณสมบัติสำหรับบุคคลที่เข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เท่านั้น แปลว่า พระโสดาบันบุคคล พระสกทาคามีบุคคล สุกขวิปัสสโกบุคคล วิชชาสามบุคคล ไม่สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้"
"เห็นการทำความดีของท่านทั้งหลายแล้วก็ขออนุโมทนา แต่พอมาอ่านคำอธิษฐานของท่านทั้งหลายแล้วก็เกิดอาการปวดหัว กลายเป็นเพิ่มอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาโดยใช่เหตุ ทำให้เห็นชัดว่าคนเรานั้นมี ๕๐๐ จำพวกจริง ๆ..!
ยังดีว่าอาตมาได้ลาพุทธภูมิเสียแล้ว ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่ ถ้าเจอแบบนี้เข้าบ่อย ๆ เชื่อว่าไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องลาพุทธภูมิจนได้..!
ขออนุโมทนาในความดีของทุกท่าน แต่ไม่ขอร่วมเดินทางไปกับท่านทั้งหลายอีกแล้ว หมดจากภาระชาตินี้ ขออนุญาตใส่รองเท้ายี่ห้อหนึ่งซึ่งมีสโลแกนว่า "ทางใครทางมัน"..!"
"หลวงพ่อทำได้อย่างไรครับ ?"
"พระอาจารย์ทำได้อย่างไรครับ ?"
คำถามเหล่านี้จะมาถึงเสมอ เมื่อได้เห็นว่าแต่ละวันอาตมาทำอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำปรากฏออกสื่อนั้นน้อย ส่วนที่ทำแล้วไม่ได้รายงานออกสื่อมีมากกว่า
ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากกำลังกายกำลังใจที่สั่งสมมาข้ามชาติข้ามภพมาอย่างหนึ่ง สิ่งที่ครูบาอาจารย์เคี่ยวเข็ญสั่งสอนเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษอีกอย่างหนึ่ง
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หล่อหลอมจนเป็นตัวอาตมาอย่างที่เห็นทุกวันนี้ นิสัยเดิมที่ปรารถนาพระโพธิญาณมา สร้างบารมีไว้มาก กำลังใจจึงเข้มแข็ง จนออกไปในแนวดื้อด้าน จะทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ไม่เสร็จไม่เลิก..!"
"พ่อแม่และครูบาอาจารย์สั่งสอนให้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จนทำอะไรต่อมิอะไรได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พอรู้ภาษาก็ต้องรับผิดชอบ ช่วยแม่เลี้ยงน้อง ช่วยพี่ดูแลหมูหมากาไก่ ซึ่งต้องคอยให้อาหารอยู่ทุกวัน ช่วยทำงานในสวนในไร่ หล่อหลอมกายใจมาจนกล้าแกร่ง
ไปโรงเรียนก็ต้องทำเวร ดูแลแปลงดอกไม้ ดูแลแปลงผัก เป็นหัวหน้าชั้น เป็นประธานนักเรียน โดยเฉพาะหน้าที่เด็กนักเรียนบ้านนอก ต้องผลัดกันเดินทางเป็นกิโลเมตร เพื่อไปตักน้ำดื่มมาให้เพื่อนได้ใช้ดื่มในโรงเรียน
จบชั้นมัธยมแล้วไปฝึกอาชีพ ต้องนอนตีสองตื่นตีห้า ทำงานทุกอย่างที่รับมอบหมายจากเถ้าแก่ให้ดี และต้องรู้จักช่างสังเกต ศึกษาเรียนรู้งานไปในตัว จนได้รับคำชมว่า "เป็นงาน" มากกว่าคนที่อยู่มาแล้วตั้ง ๓ ปี เมื่อได้ความรู้ออกมาทำงาน แค่ครึ่งปีก็เลื่อนจากคนงานธรรมดาขึ้นไปเป็นหัวหน้าแผนก..!"
"เมื่อไปศึกษาวิชาทหาร สิ่งหนึ่งที่ต้องทำอยู่ทุกเช้าก็คือ การปฏิญาณตนหน้าเสาธงว่า "ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ไหว ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ทัน" ตอกย้ำอยู่ทุกวันเหมือนกับเป็นการสะกดจิตตัวเองว่า ทุกอย่างต้องได้ ทุกอย่างต้องไหว ทุกอย่างต้องทัน
เมื่อมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านครูบาอาจารย์ผู้เป็นพระสุปฏิปันโนหลายท่าน ทุกท่านล้วนแล้วแต่ทุ่มเทกายใจให้กับงานของพระพุทธศาสนา ทำแบบเอาชีวิตเข้าแลก ทำแบบคนที่มีวันนี้วันเดียว ทำสมกับที่ได้ปฏิญาณว่า "ขอมอบกายถวายชีวิตนี้ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่อาตมาเคารพรักที่สุดอย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง องค์ท่านก็ทำเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การรักงานพระศาสนายิ่งกว่าชีวิตนั้นเป็นอย่างไร
แม้ในวันสุดท้ายที่พระทั้งวัดไปกราบท่าน เพราะทราบดีว่าถ้าไม่มากราบในวันนี้ ก็จะไม่มีโอกาสได้กราบองค์ท่านในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่อีกแล้ว แม้ว่าท่านจะมองเห็นไม่ชัดเจนว่าใครเป็นใคร ก็ยังเอ่ยปากว่า "เมื่อกราบแล้วก็ไปทำงานต่อ ใครมีหน้าที่อะไรจงรับผิดชอบให้ดี"
"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า "อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ" การทำงานต้องไม่คั่งค้าง ถึงจะเป็นอุดมมงคล
เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หล่อหลอมรวมกันเข้ามา จึงกลายเป็นอาตมาอย่างทุกวันนี้ ที่ทำงานแบบมีวันนี้วันเดียว ก่อนตายขอทำประโยชน์แก่โลกให้มากที่สุด สิ่งที่ทำไปแล้วไม่เคยเสียใจ มีแต่เสียดายถ้าไม่ได้ทำในสิ่งนั้น
ถ้าใครมองเห็น รู้จักเก็บเอาไปใช้ ไม่ต้องเสียเวลามาสมัครเป็นลูกศิษย์ อาตมาก็ถือว่าท่านเป็นลูกศิษย์อยู่แล้ว แต่ท่านที่ดูไม่ออก บอกไม่ถูก เก็บไม่เป็น เลือกไม่เป็น ต่อให้นอนเฝ้าอยู่หน้ากุฏิ ก็ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของอาตมา..!"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๓ มีด็อกเตอร์ท่านหนึ่ง เป็นนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ด้วย ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับบทบาทของมหาเถรสมาคมในยามวิกฤติโควิด-๑๙ ว่า
"ในฐานะองค์กรบริหารสูงสุดของคณะสงฆ์ ที่มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ควรได้พิจารณาออกข้อบัญญัติดังต่อไปนี้"
ความเห็นส่วนตัว : ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะจบปริญญาเอก เป็นครูบาอาจารย์ เป็นนักจัดรายการ แต่กลับไม่เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า "สอนหนังสือพระสังฆราช" "สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ" หรือสุภาษิตจีนที่ว่า "ควงขวานต่อหน้าหลู่ปัน"
"๑. ให้แต่ละวัดสามารถนำรายได้ (เงินออมที่ประชาชนอดออมบริจาคไว้ที่วัดและพระ) ที่สะสมไว้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ใช้ดำเนินกิจการเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน
กิจการดังกล่าวอาจจะดำเนินการเอง ร่วมกับกรรมการวัด อุบาสก อุบาสิกา และคนในชุมชน กำหนดกิจกรรมตามความต้องการและจำเป็นของท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งนี้จะต้องโปร่งใสตรวจสอบได้"
ความเห็นส่วนตัว : ฟังดูดีสมกับภูมิปริญญาเอก แต่เหมือน "กบในกะลาครอบ" ชัด ๆ ไม่ได้ลืมตาดูว่าโลกภายนอกกะลาเขาไปถึงไหนกันแล้ว
วัดหรือพระภิกษุสามเณรช่วยเหลือประชาชนในวิกฤตการณ์นี้ ออกสื่อจนนับไม่ถ้วน นอกจากคนหูหนวกตาบอดแล้ว คนหูดีตาดีทั่วไปน่าจะได้เห็นบ้างไม่มากก็น้อย
เรื่องของเงินวัด เงินสงฆ์ หรือว่าเงินที่ประชาชนบริจาคเป็นการกุศลนั้น มีกฎหมายในการบริหารจัดการศาสนสมบัติ ระบุวิธีการใช้เอาไว้แล้ว ว่าต้องเป็นไปตามเจตนาของผู้บริจาคเท่านั้น
ท่านอุตส่าห์เรียนจนจบด็อกเตอร์มา แต่เรื่องแค่นี้กลับไม่ได้ศึกษา หลับหูหลับตาพูดเหมือนเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่พระ ซ้ำยังให้กระทำอย่างโปร่งใส เพื่อให้ดูว่าท่านเป็นคนดีอีกด้วย"
"ทั้งทางคณะสงฆ์ โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และทางราชการ ทั้งโดยประกาศของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ จนมาถึงจังหวัด ต่างก็มีคำสั่งให้ทั้งพระภิกษุสามเณรและชุมชน ร่วมกันดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อต่อสู้ไวรัส covid-๑๙ เช่น
ให้วัดที่มีศักยภาพเปิดโรงทานเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยขอความร่วมมือจากส่วนราชการต่าง ๆ มาร่วมดำเนินการ เพื่อให้มีความปลอดภัยตามคำแนะนำของแพทย์ เรียกว่าตั้งแต่เหนือสุดจรดใต้สุด ตะวันออกจรดตะวันตก พระภิกษุสามเณรทำงานกันจนท่วมสื่อ แต่ท่านกลับมองไม่เห็น
ทางราชการก็สั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ตลอดจนชุมชนคุณธรรมทุกแห่ง ร่วมกันทำหน้ากากอนามัย เพื่อแจกให้บุคคลในชุมชนได้มีใช้โดยทั่วถึงกัน กิจกรรมเหล่านี้ก็มีท่วมในสื่อโซเชียลต่าง ๆ กรุณาออกจากกะลาไปดูไว้ประดับสมองของท่านบ้าง..!"
"๒. แนะนำส่งเสริมให้พระภิกษุนำบัญชีเงินออมในนามของตน ที่ได้รับบริจาคจากประชาชนมาดำเนินการร่วมกับเงินของวัดตามข้อ ๑"
ความเห็นส่วนตัว : เงินออมในนามของตนเองสำหรับพระภิกษุสามเณรแล้ว ก็มีแค่บรรดาพระสังฆาธิการคือผู้ปกครองคณะสงฆ์ ตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป ที่จะเปิดบัญชีในนามของตนเพื่อรับนิตยภัต ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า เงินเดือนพระ ซึ่งเคยกล่าวไปแล้วว่ามากเหลือเกิน อยู่ที่ ๑,๘๐๐ บาทต่อเดือน..! แค่ขยับตัวสักทีสองทีก็หมดแล้ว
หรือว่าท่านด็อกเตอร์จะมีกุศลจิต ถวายเงินส่วนตัวให้พระประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ รูปที่เหลือ เอาแค่รูปละ ๓๐๐ บาทต่อวันตามแรงงานขั้นต่ำ จะได้พยายามเก็บเอาไว้ช่วยเหลือประชาชนในยามเดือดร้อน แต่ก็ไม่เห็นท่านแสดงเจตนารมณ์ว่าจะทำบุญทำกุศลอะไรแบบนี้เลย
ไม่ทราบว่าท่านมีปมในใจอะไรกับพระ ที่เก็บกดจนกลายเป็นจิตใต้สำนึก ออกความเห็นทีไรก็จะเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่พระอยู่เสมอ อาตมาจะพยายามอภัยให้ เนื่องจากคนที่แบกปมเหล่านี้เอาไว้ ย่อมเดือดร้อนจากการ "ตกนรกในใจ" อยู่แล้ว..!"
"๓. ให้วัดขนาดใหญ่ที่มีเงินสะสมจำนวนมาก เช่น วัดพระธรรมกายและวัดอื่น ๆ สามารถกระจายเงิน โอนเงินให้วัดที่ต้องการใช้เงิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนในชนบทที่ห่างไกลได้"
ความเห็นส่วนตัว : ท่านด็อกเตอร์ต้องไม่ลืมว่าการใช้เงินสงฆ์นั้น เพิ่งจะมีพระมหาเถระโดนข้อหาฟอกเงิน ใช้เงินผิดประเภท จนต้องคดีอาญาติดคุกติดตะราง ทั้งที่ไม่ได้มีความผิดตามข้อกล่าวหานั้นเลย
การที่วัดใดวัดหนึ่งโอนเงินของวัด แม้ว่าจะเป็นไปโดยเจตนาที่เป็นกุศล ก็คือช่วยเหลือประชาชนในยามเดือดร้อน ท่านด็อกเตอร์จะรับรองได้ไหมว่า พระท่านจะไม่โดนข้อหาฟอกเงิน หรือว่าใช้เงินผิดประเภทจากที่กฎหมายกำหนดเอาไว้อีก
อย่างของวัดท่าขนุนที่ให้ความช่วยเหลือทั้งพระภิกษุสามเณรและประชาชนในช่วงนี้นั้น ก็พยายามช่วยเหลือในพื้นที่ตนเองก่อน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ตาม ก็จะมีวัดที่มีศักยภาพสูงอยู่ทุกแห่ง สามารถช่วยเหลือในพื้นที่ของตนเองได้ ต่างคนต่างดูแลในพื้นที่ของตนเองให้ดี ไม่เห็นจำเป็นต้องไปทำอะไรโง่ ๆ ด้วยการไปช่วยเหลือนอกพื้นที่เลย"
"๔. เสริมสร้างความรู้ให้พระภิกษุสามารถเป็นภูมิปัญญาของชุมชนและประชาชนได้ โดยจะต้องให้พระภิกษุรู้จักธรรมชาติของโควิด-๑๙ เพื่อให้ประชาชนป้องกันได้อย่างถูกวิธี ไม่กลัวเกินเหตุ พระภิกษุจะได้เป็นผู้มีปัญญาและความรู้ สามารถเตือนสติพุทธศาสนิกชนให้รู้จักธรรมชาติ ซึ่งก็คือรู้จักธรรม รู้จักการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติซึ่งถือเป็นเด็ดขาด และทุกคนต้องรับผลของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คนไทยจะได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยไม่หลงตัว ทำลายและเอาชนะกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ โควิด-๑๙ เชื้อโรคร้ายที่อุบัติขึ้น น่าจะเป็นปริศนาธรรมของพระคุณเจ้าในการพิจารณาเข้าถึงธรรมได้เป็นอย่างดี"
ความเห็นส่วนตัว : นี่ก็เป็นการ "สอนหนังสือพระสังฆราช" หรือถ้าเป็นภาษิตจีนก็ว่า "ถอดกางเกงผายลม" ไม่น่าจะเป็นความคิดของผู้ที่จบระดับปริญญาเอก
การเข้าใจธรรมชาติของเชื้อไวรัส covid-๑๙ แม้แต่แพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัส ยังต้องศึกษากันอย่างคร่ำเคร่ง และให้คำแนะนำซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความเข้าใจจากการศึกษาออกมาเป็นระยะ เพื่อให้ประชาชนตลอดจนพระภิกษุสามเณรได้ปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง"
"เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของหมอและทางราชการจะให้คำแนะนำ หน้าที่ของพระก็คือขอให้ประชาชนทำตามคำแนะนํานั้นโดยไม่ประมาท ไม่ใช่ไปทำหน้าที่แทนบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญชำนาญแบบนั้น
คำแนะนำของท่านด็อกเตอร์ในเรื่องนี้ ขออภัยที่พระภิกษุสามเณรพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถทำตามได้ เพราะว่าไม่อยากเป็นบุคคลประเภทที่ "โง่แล้วขยัน" จนไปทำให้การทำงานของบรรดาแพทย์พยาบาลวุ่นวายหนักขึ้น ความคิดของท่านข้อนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เสียภูมิปริญญาเอกจริง ๆ..!"
"๕. ส่งเสริมให้พระเป็นที่พึ่งทางใจแก่ประชาชนในยามนี้ เพราะขณะที่ประชาชนเกิดความกลัว ความเครียด จากการกักตนเองอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน ย่อมเกิดปัญหาทางจิตใจแพร่กระจายไปทั่วประเทศในอนาคต พระจะต้องทำหน้าที่ผู้นำทางจิตใจ ให้คำปรึกษาแก่ผู้ทุกข์ร้อน โดยเป็นผู้รับฟังปัญหาที่ดี ให้ผู้มีทุกข์ได้ระบาย เสริมสร้างให้กำลังใจ ให้ความรู้ใหม่และข้อมูลใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกในการดำรงชีวิต เสมือนจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาบำบัด อนาคตอันใกล้ คนตกงาน คนว่างงาน คนสูญเสียคนรักในครอบครัว คนอดอยาก คนเคียดแค้น ชิงชังผู้บริหารประเทศ จะต้องมีมากขึ้นอย่างแน่นอน"
ความเห็นส่วนตัว : นี่ก็เป็นการ "ถอดกางเกงผายลม" อีกแล้ว พระภิกษุสามเณรทำตนเป็นที่พึ่งทางใจ ให้คำปรึกษาให้คำแนะนำแก่ญาติโยมทั้งหลาย มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบันนี้
บริบทในสังคมชาวพุทธง่าย ๆ แค่นี้ท่านก็ไม่ทราบ ซ้ำยังอุตส่าห์มาให้คำแนะนำแบบ "สอนหนังสือพระสังฆราช" "สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ" "เอามะพร้าวไปขายที่เกาะสมุย" เป็นการขยายความโง่เพื่อให้ตนเองดูดีแท้ ๆ..!"
"ในฐานะพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา อาตมาให้อภัยในความมืดบอด หลงผิด สภาพจิตเต็มไปด้วยอวิชชา มีอคติต่อพระภิกษุสามเณรของท่านมา ณ ที่นี้ หวังว่าท่านจะสามารถมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า..!
ส่วนความอคติ ความเคียดแค้นชิงชังของประชาชน ที่จะมีต่อรัฐบาลนั้น ถ้าไม่มีบุคคลประเภท "ผีเจาะปากให้มาพูด" "หมาเห่าใบตองแห้ง" ที่ไม่หวังดีปรารถนาดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง คอยออกมายุแหย่เสี้ยมสอนแล้ว มั่นใจว่าต่อให้ไม่มีพระภิกษุสามเณรคอยช่วยเหลือ รัฐบาลก็ "เอาอยู่" อย่างแน่นอน"
"๖. ในสถานการณ์ที่คนต้องกักตัวอยู่ในบ้านเช่นนี้ หากจะได้มีการฝึกสอนการทำวิปัสสนาสมาธิ ในรูปแบบอานาปานสติหรือวิธีอื่นทางไกล โดยมีการกำหนดเวลาดำเนินการที่ชัดเจนทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อนำการปฏิบัติ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะในยามนี้คนไทยมีเวลามากขึ้น"
ความเห็นส่วนตัว : คนตาบอดทั่วไปว่าน่าสงสารแล้ว คนที่ "ใจบอด" ยิ่งน่าสงสารไปกว่านั้นอีก แสดงว่าท่านเองไม่ได้สนใจสิ่งที่พระภิกษุสามเณรได้กระทำออกสื่อเลยแม้แต่น้อย
เรื่องที่ท่านด็อกเตอร์แสดงความเห็นมานั้น ทุกวัดที่มีสื่อโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ Facebook Instagram Twitter แม้กระทั่ง Line ได้ให้คำแนะนำสั่งสอนญาติโยมผ่านสื่อทั้งหลายเหล่านี้ ทั้งทางด้านสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเป็นปกติอยู่แล้ว
ได้โปรดออกจากกะลามาดูโลกภายนอกบ้าง จะได้เลิกทำตัวเป็น "กบน้อยในรอยตีนโค" "ตาบอดสอดตาเห็น" แล้วไปถวายคำแนะนำแก่พระภิกษุสามเณรในลักษณะ "สอนหนังสือพระสังฆราช" แบบนี้อีก"
"แม้แต่ที่อาตมากำลังทำอยู่ คือแสดงความเห็นเป็นวิวาทะกับท่านด็อกเตอร์อยู่นี้ ก็ส่งมาจากทางไกลติดชายแดนพม่า ถึงแม้ว่าจะอยู่หลังเขา แต่ก็ไม่ได้ "หูหนวกตาบอด" พอที่จะได้เห็นโลกภายนอกผ่านสื่อโซเชียลต่าง ๆ จนมาสะดุดตากับความคิดเห็นของท่านอยู่ในขณะนี้
ขอให้คำแนะนำในฐานะพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีหน้าที่ชักจูงคนให้พ้นจากความมืดบอด กลับมาสู่ความเป็นสัมมาทิฏฐิว่า กรุณาศึกษาบริบทของพระพุทธศาสนา ความเป็นพระภิกษุสามเณร ตลอดจนการปกครองคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้าน แล้วค่อยออกมาแสดงความเห็น จะได้ไม่เป็นที่สมเพชเวทนาทั้งของพระภิกษุสามเณรและประชาชนอยู่ในขณะนี้ ขอเจริญพร"
"พ่อจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือครับ ?"
"พูดไปแล้วมีประโยชน์อะไรวะ ? คนที่เชื่อข้าแบบแก ถึงไม่พูดก็เชื่อ ส่วนคนที่ไม่เชื่อข้า พูดไปมันก็ว่าข้าแก้ตัวอยู่ดี เอาเวลาไปทำงานดีกว่าว่ะ..!"
ที่ว่ามาข้างบนนั้น "พ่อ" กับ "ลูก" คุยกัน เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว คือ ปี ๒๕๓๒ เนื่องจากมีข่าวอื้อฉาวว่า "พ่อ" มีปัญหาชู้สาว ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ทำไมเชื่อแบบนั้น ? ประการแรก "พ่อ" อายุ ๗๓ ปีเข้าไปแล้ว ประการที่ ๒ ท่านป่วยหนักชนิดแทบจะไม่มีแรงหายใจ โดยเฉพาะเป็นมาลาเรียเช่นเดียวกับ "ลูก" ซึ่งเป็นมาแค่ ๘ ปี ก็หมดสภาพแล้วด้วยฤทธิ์ไข้ป่า
คนอายุ ๓๐ ปียังหมดสภาพ แล้วคนอายุ ๗๓ ปี มาลาเรียกำเริบ ทุกเย็นต้องอาเจียนจนตับไตไส้พุงแทบจะหลุดออกมาด้วยเกิน ๒๐ ปี ยังจะเหลืออะไรให้ไปคึกได้ ?
ประการสุดท้าย หลักการปฏิบัติที่ "พ่อ" สอนมา แค่โลกียสมาธิ ถ้าไม่เผลอขาดสติ ก็ยังกดกามราคะอยู่ อย่าว่าแต่ท่านที่เข้าถึงมรรคผลเลย
เมื่อ "พ่อ" ออกมาพักผ่อนก่อนฉันเพล อาตมาที่กังวลอยู่ด้วยข่าวอื้อฉาว จึงเข้าไปกราบเรียนถามดังว่ามาแล้วข้างต้น เมื่อได้รับคำตอบและออกจากที่พักของ "พ่อ" มา ครูนนทา อนันตวงษ์ ที่จัดสำรับถวายเพล "พ่อ" อยู่ อุตส่าห์เมตตาบอกว่า "ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้หลวงพ่อโดนมานานแล้ว โดนหนักกว่านี้หลายเท่า เรื่องตอนนี้เล็กมากถ้าเทียบกับเรื่องที่ท่านผ่านมา"
ย้อนกลับมาดูตัวเอง ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เรื่องผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิต ครั้งแรกเลยก็คือผู้ที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มาขอให้สึกอยู่บ่อย ๆ จนเป็นที่ขบขันของพี่น้องหลายท่านที่รู้เห็น ซ้ำยังช่วย "กัน" ให้อีกต่างหาก
ต่อมาก็เป็นลูกสาวทั้งคู่ของ "แม่เบ็ญ" ที่อาตมาเรียกแม่ด้วยความเกี่ยวเนื่องมาในอดีต แต่มีคนจำนวนหนึ่งเห็นว่า อาตมาเรียกเพราะหวังในตัวลูกสาวทั้งสองคนของแม่ จน "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" จากบัดนั้นมาจนบัดนี้ ลูกสาวแม่ทั้งสองมีครอบครัว มีลูกโตเป็นสาวเหมือนกับแม่ตอนโน้นแล้ว ก็ยังไม่มีอะไรอย่างที่เขาร่ำลือกัน
ลำดับต่อมาคือ ๖ ลูกสาวนักเที่ยว ได้แก่ กล้วยไม้ ฟ้ามุ่ย ฟองฝน ลูกบอมบ์ ลูกแบด ลูกกวาด ที่เพิ่งจะโตก็เป็นนักเที่ยวตัวยง เพราะว่าพ่อแม่ให้อิสระเสรีในการดำเนินชีวิต
บางคนยังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๖ บางคนเพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๑ แต่เที่ยวผับเที่ยวบาร์ดึก ๆ ดื่น ๆ ทุกคืน
อาตมาที่สงสารเด็ก ประกอบกับต้องการทดสอบทิพจักขุญาณ จึงใช้วิทยุสื่อสารคุยกัน จนอีกฝ่ายสงสัยว่าอาตมาเป็นนักเที่ยวเหมือนกัน เพราะไม่ว่าพวกเขาจะไปเที่ยวที่ไหนก็รู้ไปหมด
ทั้งหมดจึงขอ "ว. ๑๕" แล้วก็เพิ่งรู้ว่าอาตมาเป็นพระ แต่ก็ยิ่งทำให้สงสัยหนักเข้าไปอีก ว่ารู้เรื่องของพวกเขาได้อย่างไร ?
อาตมาจึงสอนทุกคนให้ลดการเที่ยวเตร่ลง ใช้เวลาไปปฏิบัติกรรมฐาน ซักซ้อมการภาวนาไว้ทุกวัน ถ้าเห็นว่าสมควรเมื่อไร จะถ่ายทอดวิธีการใช้ทิพจักขุญาณให้
ผ่านไปเทอมเดียวเด็กทั้ง ๖ คน ผลการเรียนดีขึ้นอย่างมหาศาล เป็นที่ดีอกดีใจอย่างยิ่งของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย แต่อาตมาโดนคณะกรรมการสงฆ์สอบสวน ข้อหาใช้วิทยุคุยกับผู้หญิงทุกวัน..!
ออกจากวัดมาผจญภัยในโลกกว้าง มีผู้คอยตามช่วยเหลืองานอยู่หลายคน และเป็นผู้หญิงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้องเก๋ น้องอุ๋ย น้องเล็ก
แล้วก็ยังมีรุ่นเด็ก อย่างลูกอ้อย ลูกแพร ลูกพลับ ลูกแพรว ลูกพีซ ลูกบัว ที่ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย เนื่องจากว่าในแต่ละวัน คนเหล่านี้จะวนเวียนอยู่รอบตัว
โดยเฉพาะน้องชายคือพระครูแสง ซึ่งค่อนข้างจะมีทิพจักขุญาณคล่องตัวเป็นพิเศษ มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่นอนอยู่ด้วยกันที่บ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ พระครูแสงก็ลุกพรวดพราดจะไปเปิดประตูห้องกระจก เมื่อเดินผ่านอาตมาก็อุทานว่า "อะไรวะ !? แล้วไอ้นั่นเป็นใคร ?"
เมื่ออาตมาลุกขึ้นมาถามจึงได้ความว่า พระครูแสงระแวงเรื่องชู้สาวระหว่างอาตมากับผู้หญิงทั้งหลายที่ว่ามานี้ จึงมาพักอยู่ด้วยเพื่อคอยจับผิด..!
กลางดึกเห็นอาตมาเปิดประตูเดินขึ้นชั้นบนของบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็มั่นใจว่าอาตมาย่องไปหาน้องเล็กที่พักอยู่ชั้นบนอย่างแน่นอน
จึงเปิดประตูตามไปเพื่อที่จะจับให้ "คาหนังคาเขา" แต่แล้วกลับเห็นอาตมายังนอนอยู่ที่เดิม แล้วใครกันแน่ที่เป็นคนเปิดประตูเดินขึ้นชั้นบนไป ?
เรื่องการปรุงแต่งโดยฝีมือมารแบบนี้ ถ้าคนไม่เจอด้วยตนเองจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เรื่องนี้ต้องไปถามเอากับพระครูแสง เพราะว่าเป็นคนที่เห็นด้วยตาตัวเอง
เปลี่ยนจากบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ มาบ้านวิริยบารมี เรื่องแบบนี้ก็ยังอุตส่าห์ตามมาจนได้ แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม เพราะว่าต้นเหตุข่าวลือก็คือพี่มุกดา พี่สาวของอาตมาเอง..!
เนื่องจากน้องเล็กทำงานได้คล่องตัว อาตมาจึงเรียกใช้ใกล้ชิด ทำให้งานหลายอย่างของพี่มุกดาโดนตัดไปให้น้องเล็กทำแทน
เมื่อเห็นว่าความสำคัญของตัวเองลดลง พี่มุกดาก็ "เอาไฟเผาบ้านเพื่อไล่หนู" ด้วยการปล่อยข่าวลือเสียเองทั้งที่บ้านวิริยบารมีและที่วัดท่าขนุน ว่าอาตมากับน้องเล็กมีเรื่องชู้สาวกัน..!
ทำให้เกิดความวุ่นวายทั้งที่บ้านวิริยบารมีและที่วัดท่าขนุนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั้น สร้างความเสียหายให้กับอาตมาเท่าไร นอกจากคิดว่าถ้ามีข่าวแบบนี้แล้วน้องเล็กจะอยู่ไม่ได้
สรุปว่าที่อยู่ไม่ได้กลายเป็นอาตมาเอง เพราะว่าแม่ป๋อมที่ทนความวุ่นวายจากเรื่องพวกนี้ไม่ไหว เรียกคืนบ้านวิริยบารมีไป จนต้องมาอยู่ที่บ้านเติมบุญอย่างทุกวันนี้
อาตมาลงโทษพี่สาวตัวเองอย่างหนักเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น จนทุกวันนี้ค่อยสงบปากสงบคำลงได้บ้าง แต่หลายคนก็ยังสงสัยและติดใจเรื่องนี้อยู่
สามสิบปีให้หลัง "พ่อ" กับ "ลูก" ต้องมาคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง
"แกจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือ ?"
"แล้วจะมีประโยชน์อะไรละครับ ? คนที่เชื่อมั่นในตัวผมเขาก็ยังคงเชื่อมั่น ส่วนคนที่ไม่เชื่อในตัวผมเขาก็หาว่าผมแก้ตัวอยู่ดี"
"ไอ้นี่..เดี๋ยวพ่อฟาดกบาลแยก..! ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเปลี่ยนไป คนรุ่นนี้กำลังศรัทธาไม่แน่นแฟ้นเหมือนกับรุ่นของแก พูดอะไรให้เขารู้เสียหน่อยว่าแกรู้จริง คนที่สงสัยอยู่จะได้คลายใจลงบ้าง ทั้งพระทั้งโยมฟุ้งซ่านใหญ่โตไปยันบนสวรรค์นิพพานแล้ว..!"
ทฤษฎีสมคบคิดบวกกับฝีมือของมาร ช่วยพิสูจน์ศรัทธาให้กับบุคคลเป็นจำนวนมาก ว่าสามารถแยกแยะตัวบุคคลออกจากพระรัตนตรัยได้หรือไม่ ? มีความศรัทธาเลื่อมใสที่แน่นแฟ้นจริงจังหรือไม่ ? เป็น "หินลองทอง" ที่แหลมคมที่สุด จะเป็นทองแท้หรือว่าเป็นทองชุบก็จะปรากฏขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว
จึงกลายมาเป็นเก็บตกจากบ้านเติมบุญเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ด้วยประการฉะนี้
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีหลายข่าวที่ควรจะกล่าวถึง
ข่าวแรกคือรัฐบาลจะคลายการปิดเมือง (ล็อกดาวน์) ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งมีการกำหนดเป็นขั้นเป็นตอน ว่าจังหวัดไหนจะได้รับการปลดล็อกเป็นชุดแรก จังหวัดไหนจะได้รับการปลดล็อกเป็นชุดที่ ๒ และจังหวัดไหนจะได้รับการปลดล็อกเป็นชุดสุดท้าย
เรื่องนี้มองได้หลายแง่ด้วยกัน ประการแรกก็คือเพื่อให้เศรษฐกิจไปได้สำหรับจังหวัดที่มีการบริหารจัดการทางสาธารณสุขดีมาก หรือการจัดการอาจจะไม่ดีเท่ากับจังหวัดอื่น แต่บังเอิญพกดวงมาด้วย ไม่มีผู้ป่วยที่ตรวจพบว่าติดเชื้อเลย ในเมื่อคุณมากับดวง ก็ต้องยอมรับว่าดวงของคุณดีกว่าจริง ๆ"
"ประการที่ ๒ เป็นการให้ความหวังบุคคลที่ไม่สามารถจะไปไหนได้ เริ่มเกิดความเครียด จะได้มีความหวังและรอคอยด้วยใจที่จดจ่อ แต่ก็ยังมีแง่มุมที่เป็นลบอยู่ด้วย
คือถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของทางรัฐบาลก็นับว่าดีมาก แต่ถ้าปลดล็อกหลายจังหวัดในชุดแรกแล้วพบผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานขึ้นมา อาจจะต้องมีการประกาศปิดเมืองรอบใหม่ คราวนี้ความบรรลัยก็จะเกิดขึ้น..!
เพราะว่าคุณไปให้ความหวังกับมวลชนเสียแล้ว ว่าวันนั้นวันนี้จะมีโอกาสพ้นจากการติดคุกเสียที แต่แล้วอยู่ ๆ นอกจากไม่ได้รับการปลดล็อกแล้ว ยังโดนล็อกยาวต่อไปอีก ความไม่พอใจของมวลมหาประชาชนที่ประทุขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นได้อย่างเด็ดขาด
ตัวอย่างของประเทศที่ปลดล็อกการปิดเมืองแล้ว ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานติดจรวด อย่างประเทศสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น ย่อมเป็นบทเรียนที่เราจะลืมไม่ได้เป็นอันขาด
เป็นความจริงที่ว่าทุกคนเดือดร้อน ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีกิน แต่ถ้ายอมทนลำบากอีกหน่อยหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น ก็ดีกว่ารีบปลดล็อกแล้วเกิดการแพร่ระบาดใหม่ คราวนี้ไม่ใช่แค่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีกินเท่านั้น อาจจะถึงกับไม่มีชีวิตอีกด้วย..!"
"ข่าวต่อไปที่จะกล่าวถึงก็คือ การที่รัฐบาลจะขอความช่วยเหลือจากบรรดาคนรวย จนโดนบรรดาสื่อต่าง ๆ รุมกระหน่ำว่า "รัฐบาลขอทาน" จนต้องเสียเวลาออกมาแก้ตัว แทนที่จะนำเวลานั้นไปช่วยเหลือผู้คน ให้พ้นความลำบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดจากเชื้อโรคร้าย covid - ๑๙
ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลให้เราคิดเร็ว พูดเร็ว โดยไม่ทันมีแผนการรองรับแนวคิดของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม คล้ายกับยุครัฐบาลของท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่คิดเร็ว พูดเร็ว จนกลายเป็นข้อตำหนิออกสื่อหลายครั้ง
จนผู้คนต้องไปนึกถึงคำพูดของ "น้าชาติ" ที่ว่า "ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด พูดแล้วคำพูดเป็นนายของเรา" และไปนึกถึง "ป๋าเปรม" เจ้าของฉายา "เตมีย์ใบ้" ที่นักข่าวสัมภาษณ์เท่าไรก็มักจะได้รับคำตอบแค่ว่า "กลับบ้านเถอะลูก"
คนเรายิ่งมีตำแหน่งใหญ่โตเท่าไร คำพูดและการกระทำก็มีผลกระทบต่อผู้อื่นมากเท่านั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีสติอยู่ในทุกเวลา ไม่ต้องถึงขนาด "ป๋าเปรม" ก็ได้ แค่คิดให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ก็จะน้อยลง ทุกอย่างก็จะดีขึ้นไปเอง"
"อีกข่าวหนึ่งค่อนข้างจะ "ดราม่า" ขนาดหนัก คือการที่เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองนครปฐม ไปจับผู้ใจบุญซึ่งไปแจกโจ๊กให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ซึ่งเมื่อฟังข่าวอย่างรอบด้านแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการ "มองต่างมุม"
ก็คือท่านผู้ใจบุญเห็นว่า ตนเองมาทำความดีแท้ ๆ ทำไมถึงมาทำกับตนเหมือนอย่างกับเป็นโจร ? ยิ่งได้รับแรงเชียร์จากสื่อโซเชียลแล้ว ก็ยิ่งใส่อารมณ์มากขึ้นไปตามลำดับ จากภาพพจน์ของนางฟ้าใจอารี ก็เลยออกไปในแนวของนางมารร้ายแทน..!
ส่วนเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองนครปฐม ก็มองไปในแง่ที่ว่า การที่ทำให้คนมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสหนักยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการทำผิดกฎหมายอีกด้วย จึงต้องเข้ามาจัดการอย่างเด็ดขาด
วิธีการจัดการนี้เองที่เป็นข้อผิดพลาดของทั้งสองฝ่าย ท่านผู้ใจบุญแจกอาหารมาแล้ว ๖ วัน โดยไม่ได้ขอความร่วมมือจากทางเทศบาลให้มาช่วยจัดระเบียบ พอวันที่ ๗ คนที่เพิ่งรู้ข่าวแห่กันมาเป็นจำนวนมาก เกินกำลังที่ตนจะจัดการได้ ทางเทศบาลจึงต้องเข้ามาแทรกแซง
แต่การเข้ามาแทรกแซงของทางเทศบาลเมืองนครปฐมนั้น ก็เข้ามาแบบผิดฝาผิดตัวมาก เขาแจกอาหารมาแล้ว ๖ วัน คุณไปนอนหลับอยู่ที่ไหนมา ? ถ้าไม่ต้องการให้เขาแจกต่อไป ก็ควรที่จะบอกกับประชาชนให้แยกย้ายกันกลับบ้านไปเลย ไม่ใช่ไปช่วยจัดระเบียบ ทำให้เขามีความหวังว่าจะได้รับแจกอาหาร แล้ว "เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า" ยกเลิกการแจกเอาดื้อ ๆ แบบนั้น..!"
"หนทางที่เหมาะสมที่สุดก็คือ ทางเทศบาลเข้ามาช่วยจัดระเบียบ แล้วให้ท่านผู้ใจบุญแจกต่อไปจนของหมด จากนั้นค่อยแจ้งว่าอย่าทำเช่นนี้อีก เพราะว่าผิดกฎหมาย อาจจะทำให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อร้ายรุนแรงยิ่งขึ้น
ส่วนบรรดาท่านทั้งหลายที่เสพสื่อโซเชียล ก็ควรที่จะตั้งสติฟังทุกด้านเสียก่อน ไม่ใช่ว่าพอไม่ถูกกิเลสกู กูก็ต้องด่าให้ยับกันไปข้างหนึ่ง..! แทนที่จะปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตา ให้คำแนะนำที่ดีในการทำงานเพื่อส่วนรวมต่อไป ทุกฝ่ายจะได้มีกำลังใจและทำหน้าที่ของตนได้ดียิ่งขึ้น
งานนี้ "ดราม่า" เกิดจากแรงเชียร์ของบรรดากองเชียร์ทั้งหลาย เมื่อได้รับแรงเชียร์ทั้งที่ตนเองทำผิด ก็กลายเป็นคิดว่าตนเองทำถูก ท่านผู้ใจบุญจึงเปลี่ยนจากนางฟ้าไปเป็นนางมารร้าย ส่วนเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองนครปฐมรับบทผู้ร้ายตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งถ้าเห็นว่า "ผิดเป็นครู" ต่อไปทุกคนก็คงจะทำอะไรได้ดีและเหมาะสมยิ่งขึ้น"
"ส่วนข่าวที่น่าตกใจมากก็คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมติของรัฐสภาสหรัฐฯ ให้ยกเลิกมาตรการปิดเมืองปิดประเทศ เริ่มต้นทำมาค้าขายต่อไปได้ โดยให้เหตุผลว่า ปล่อยให้คนตายดีกว่าปล่อยให้เศรษฐกิจพัง..!
นี่เป็นแนวคิดของบรรดานายทุนที่ "ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา" เห็นชีวิตประชาชนเป็นของไร้ค่า เห็นตัวเลขในบัญชีธนาคารสำคัญกว่าความเป็นมนุษย์ ที่บอกว่าน่าตกใจก็คือ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ ที่ทุกอย่างเจริญในระดับสูงสุด แต่ทำไมจิตใจผู้คนถึงตกต่ำได้จนถึงขนาดนี้ ?
ถ้าบอกว่ากลัวเศรษฐกิจพัง ช่วงนี้เศรษฐกิจของทุกประเทศก็พังหมดแล้ว แต่คุณกำลังจะทำให้พังหนักยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดประเทศทั้งที่มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสสูงสุด พร้อมที่จะก่อการแพร่ระบาดให้ชาวโลกเขาบรรลัยวายวอดกันหมด..!
อยากถามคำถามเดียวเท่านั้นว่า "มิสเตอร์ไพร์มินิสเตอร์ คุณคิดอะไรของคุณอยู่วะ ?"
"อเมริกันชนทั้งหลาย กรรมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอินเดียนแดง ตลอดถึงการใช้แรงงานทาสอย่างทารุณจนเสียชีวิตไปนับไม่ถ้วน และสงครามกลางเมืองระหว่างชาวเหนือกับชาวใต้ในอดีต ที่กำลังตามสนองพวกคุณอยู่นี้ ไม่ใช่ยอดผู้ป่วยตายในระดับหมื่นจะทดแทนได้..!
การล่าอาณานิคมของชาวอังกฤษ ชาวฝรั่งเศส ชาวสเปน ชาวเนเธอร์แลนด์ ชาวโปรตุเกส การปฏิบัติของพวกท่านทั้งหลายที่มีต่อชนชาวพื้นเมือง ตั้งแต่อาณาจักรโบราณระดับแอชแท็ก - อินคา หรือว่าในยุคหลังที่มุ่งหน้ามาทางตะวันออกไกล ความโหดร้ายหรือมีเมตตามากน้อยของบรรพบุรุษเหล่าท่านทั้งหลาย กำลังตอบสนองพวกท่านมากน้อยต่างกันไป
สงครามของอาณาจักรออตโตมัน อาณาจักรคอร์เรซ (เปอร์เซีย) การรุกรานของเผ่าอินโดอารยันที่มีต่อมิลักขะ การแผ่ขยายอาณาจักรไปครึ่งโลกของเจ็งกิสข่าน - กุบไลข่าน การก่อสงครามกับอาณาจักรโชซอน ตลอดถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังแสดงผลแห่งการกระทำของท่านทั้งหลาย หนักเบามากน้อยแตกต่างกันไป"
"พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ สัตว์โลกย่อมเป็นไป (จำแนกได้) ตามกรรม (การกระทำ)
สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงพากันรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทองผาภูมิเป็นเมืองที่เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่มาก เป็นอำเภอแต่มีความใหญ่โตเท่ากับจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ๓ จังหวัดรวมกัน
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าทองผาภูมิเป็นเมืองท่องเที่ยว ส่วนสำคัญที่ช่วยให้การท่องเที่ยวเฟื่องฟูก็คือที่พัก บรรดารีสอร์ท เกสเฮ้าส์ บังกะโล โรงแรม แพท่องเที่ยว แม้ว่าจะผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ก็กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่รอบนอก แทบจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในตัวเมือง (ตลาด) เลย
บ้านไหนเมืองไหนก็ตาม ถ้าหากว่าบ้านคนมาก่อนถนน ก็จะมีสภาพเช่นเดียวกับทองผาภูมิ คือขยายถนนไม่ออก สมัย ๓๐ ปีที่แล้วที่อาตมาได้มาถึงทองผาภูมิใหม่ ๆ ส่วนที่น่ารำคาญที่สุดก็คือถนนที่แคบมาก แล้วชาวบ้านก็ยังมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างดีเลิศ คือจอดรถคนละฝั่งถนนแล้วยื่นหน้ามาคุยกัน รถคันอื่นไม่สามารถที่จะไปต่อได้ ต้องรอจนพ่อเจ้าประคุณแม่เจ้าประคุณคุยจนหมดธุระแล้ว ทุกคนถึงจะสามารถเดินทางต่อไปได้..!"
"ทางเทศบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะปรับเปลี่ยนแก้ไข โดยการลดขนาดทางเท้าลงเพื่อเพิ่มพื้นที่ถนน การจัดให้วิ่งรถทางเดียวในบางส่วนของตัวเมือง (ตลาด) ก็ช่วยให้มีความสะดวกคล่องตัวขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว บางทีรถก็ติดตั้งแต่สี่แยกหน้าถนนใหญ่ไปยันตลาดสดด้านใน..!
สารวัตรจราจรของสถานีตำรวจภูธรทองผาภูมิ ไม่สามารถที่จะไปคุยงานอวดกับใครที่ไหนได้เลย เพราะว่าเพิ่งจะมีไฟแดงแห่งเดียวตรงสามแยกทองผาภูมิ - สังขละบุรี เมื่อประมาณ ๒๐ ปีมานี้เอง"
"มาถึงวันนี้ (๒๔ เมษายน ๒๕๖๓) กำลังเริ่มก่อสร้างวงเวียน บริเวณสี่แยกหน้าถนนใหญ่ ที่ชาวบ้านเรียกกันง่าย ๆ ว่าสี่แยกปอมเป ซึ่งอาตมาได้ทักท้วงท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิไปว่า "การสร้างวงเวียนถ้าจะช่วยลดการติดขัดของจราจร คนขับรถต้องใช้วงเวียนเป็น คือถ้าเรามาถึงก่อนก็เข้าวงเวียนไปก่อน คนที่มาช้ากว่าก็แตะเบรกลดความเร็วลงนิดหนึ่ง แล้วไหลเข้าวงเวียนตามไป ทุกอย่างก็จะคล่องตัวดีมาก"
"แต่เท่าที่พบเห็นมาก็คือ คนที่มาช้ากว่ามักจะเบรกรถหยุดเลย ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย" นายประเทศ บุญยงค์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิตอบว่า "ผมขอไฟเขียวไฟแดงไปครับ แต่กลับได้วงเวียนมาแทน เขาออกแบบมาให้เสร็จสรรพ มีบริษัทก่อสร้างมาจัดการเองเลยครับ"
เมื่อยกเอาเรื่องนี้เข้ามาคุยกันที่วัดท่าขนุน พระวัดท่าขนุนสรุปว่า "สร้างวงเวียนได้งบประมาณมากกว่าไฟเขียวไฟแดงหลายเท่า ได้ "เงินทอน" แบ่งกันเยอะดีครับ..!" พวกท่านจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปไหม ?"
"ส่วนที่น่าเวทนาสงสารมากก็คือ เหล่ารุกขเทวดาที่ยืนตาปริบ ๆ มองวิมานตัวเองถูกริดถูกตัด และรอเวลาที่รถขุดจะมาล้มต้นไม้ใหญ่ลงทั้งต้น อาตมาประกาศเสียงดังฟังชัด ได้ยินตลอดแถวพระบิณฑบาต ๒๒ รูปว่า
"ถ้าบ้านพังก็เชิญทุกท่านที่วัดท่าขนุนนะจ๊ะ แม้ว่าจะเบียดเสียดกันหน่อยก็ดีกว่าไม่มีบ้านจะอยู่ ยินดีต้อนรับทุกท่านจ้ะ"
บรรดาพระทั้งหลายมองหน้ากัน ประมาณว่า "หลวงพ่อเอาอีกแล้ว" ส่วนน้องเล็กที่ขับรถพาอาตมาไปดูโครงการข้าวกล่อง ๑๐ บาทเกือบทุกวันบอกว่า "เชิญพ่อปู่แม่ย่าทุกท่านที่วัดท่าขนุนนะคะ ไปตอนนี้เลยก็ได้ค่ะ"
แต่น้องเล็กประเมินการยึดมั่นถือมั่นของสรรพสัตว์ทั้งหลายน้อยเกินไป บรรดารุกขเทวดาหญิงชายตลอดจนเด็กเล็ก ยืนหน้าตาเศร้าหมองมองเขารื้อวิมานของตน ตราบใดที่ต้นไม้ยังยืนอยู่ ไม่ถูกขุดรากถอนโคน ก็ยังมีความหวัง จึงไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ไปไหน ดูแล้วน่าสงสารมาก..!"
"ส่วนความเจริญอื่น ๆ นั้น จากก่อนหน้านี้ที่บ้านเรือนทุกหลังแทบจะเป็นบ้านไม้ทั้งหมด หลังไฟไหม้ใหญ่เมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว ก็มีอาคารเป็นตึกขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แต่สูงเต็มที่ก็แค่ ๔ ชั้น ธนาคารซึ่งแต่เดิมมีอยู่แค่ ๓ แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารนครหลวงไทย ก็ได้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพิ่มขึ้นมาอีก ๑ แห่ง ส่วนธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย ที่ได้ยินข่าวลือว่าจะมาตั้งสำนักงานสาขาทองผาภูมิตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ก็ยังคงเป็นแค่ข่าวลือมาจนถึงทุกวันนี้"
"หลังไฟไหม้ใหญ่ก็มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยเฉพาะบรรดาร้านค้าต่าง ๆ ในตอนแรกก็มีแต่คนทองผาภูมิ เปิดร้านค้าสะดวกซื้อแบบชาวบ้าน หรือเรียกว่า "ร้านโชห่วย" ก็ได้ มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน ที่เป็นหลักก็คือร้านสิริภัทร ร้านลัดดาวัลย์ ร้านเงินสมบูรณ์ เป็นต้น
แล้ววันดีคืนดีบริเวณข้างป้ายรถเมล์กลางตลาด ก็มีร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ขึ้นมาร่วมแย่งชิงลูกค้าอีก ๑ แห่ง ซึ่งตอนนั้นที่ขายดีที่สุดคือ "สเลอปี้" ที่เด็ก ๆ แข่งกันว่าใครจะกดได้สูงกว่ากัน
ต่อมาก็มีผู้กล้าหาญ เปิดร้านเซเว่น อีเลฟเว่น แห่งที่ ๒ บริเวณใกล้สี่แยกปอมเป เยื้องกับธนาคารออมสิน แล้วก็มีร้านขายส่ง CJ Express เปิดขึ้นด้านข้างธนาคารนครหลวงไทย ซึ่งโดนควบรวมกลายเป็นธนาคารธนชาตไปในเวลาที่ใกล้เคียงกัน"
"เมื่อกิจการร้านขายส่งดีขึ้น เนื่องจากว่าลดราคาได้มากกว่า สามารถดึงลูกค้าที่เป็นพ่อค้าเร่ ซึ่งขนของไปขายตามหมู่บ้านต่าง ๆ ได้มากกว่า ก็มีการเปิดร้าน CJ Express แห่งที่ ๒ ข้างปากทางเข้ากองร้อย ตชด. ที่ ๑๓๕ เรียกว่าดักทั้งหัวทั้งท้ายถนน ลูกค้าจะเข้ามาทางไหนก็ต้องเจอร้านของฉันก่อน ส่วนเซเว่น อีเลฟเว่นก็ไปเปิดเพิ่มในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. (ใน) อีก ๑ แห่ง
ตอนนี้ก็มีนักเลงดี กำลังเปิดร้านสะดวกซื้อย่อส่วนอีก ๑ แห่ง อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งน่าจะเป็นร้าน Mini Big C สาขาทองผาภูมิ
"เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกย่อมแหลกกระจาย" บรรดาร้านโชห่วย ค่อย ๆ หายไปทีละร้านสองร้าน ที่เกิดขึ้นมาแทนก็คือ กิจการประเภท "เงินสดทันใจ" ถ้ามีบ้านมีรถสามารถจำนองได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ซึ่งตอนนี้เป็นของศรีสวัสดิ์เงินสดทันใจ ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและโยกย้ายไปอาคารหลังใหม่ ให้ดูยิ่งใหญ่กว่าเดิม"
"ในส่วนของการศาสนานั้น ที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนที่สุดก็คือวัดท่าขนุน ที่สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอก ฉลอง ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา
พร้อมด้วยการสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ๓๖ องค์ เรียงรายตลอดแนวถนนสาย ๓๒๓ บริเวณหน้าวัด แล้วยังเทพื้นที่ด้วยคอนกรีต ๘,๐๐๐ ตารางเมตร เพื่อเปิดเป็นตลาดชุมชน
การสร้างศาลาร้อยปีหลวงปู่สาย การหล่อหลวงพ่อเงิน หลวงพ่อนาก หลวงพ่อทองคำ การสร้างบันไดขึ้นสักการะรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน การปรับปรุงบันไดขึ้นสักการะพระพุทธเจติยคีรี ทำให้วัดท่าขนุนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขาดไม่ได้ของทองผาภูมิ"
"ศาสนาคริสต์นั้นมีการเปิด "คริสตจักรแห่งพระผู้ไถ่" ที่ตอนแรกตั้งอยู่ข้างถนนสายหลักซึ่งจะวิ่งไปหน้าที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ ในปัจจุบันนี้คือบริเวณหลังร้านเซเว่น อีเลฟเว่น แห่งที่ ๒ ไปเป็นตึกแถวบริเวณหน้าน้ำตกพุปูราชินี เยื้องกับปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าปั๊ม ปตท.ใน
ช่วงปีที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมชุมชนคุณธรรมของชาวคริสต์ ซึ่งน่าจะได้รับงบประมาณจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี แต่พอหมดงบประมาณก็หมดงานไปด้วย กลับไปเงียบเหงาเหมือนเดิม"
"ที่ขยับขยายจนกระทั่งสร้างสุเหร่าใหม่เด่นเป็นสง่าก็คือพี่น้องอิสลาม ซึ่งสร้างสุเหร่าแห่งที่ ๓ ของอำเภอทองผาภูมิอยู่ข้างปั๊ม ปตท.นอก ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง
โต๊ะอิหม่ามประจำสุเหร่าคือ "บังนิด" (นายนรินทร์ อายุบเคน) ซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับอาตมาเป็นอย่างดี ตอนช่วงเปิดงานยังมายืม โต๊ะ เก้าอี้ และข้าวของต่าง ๆ จากวัดท่าขนุนไปใช้ พอดีกับทางวัดท่าขนุนมีงานเช่นกัน จึงต้อง "แบ่งกัน" คนละครึ่ง
เมื่อมีสุเหร่าครบ ๓ แห่ง ทำให้อำเภอทองผาภูมิมีคณะกรรมการกลางอิสลามประจำอำเภอ และจังหวัดกาญจนบุรีมีคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดตามกฎหมาย ถือว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่งของพี่น้องอิสลาม ซึ่งสร้างความภูมิใจให้แก่เหล่าอิสลามิกชนเป็นอย่างยิ่ง"
"สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นปกติ ทั้งเปลี่ยนไปในทางที่เจริญขึ้นและเสื่อมลง
อำเภอทองผาภูมิก็เช่นกัน เปลี่ยนจากเมืองท่าขนุน มาเป็นอำเภอทองผาภูมิ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะค่อนข้างช้า เพราะว่าเฉลี่ยออกไปรอบด้าน ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในตัวเมือง (ตลาด) อย่างเดียว แต่ก็ยังเห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
ใครที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรือยอมรับได้ยาก ก็ย่อมเกิดความทุกข์ใจ เครียด บางคนกลายเป็นโรคที่ฝรั่งเรียกว่า Future Shock กลัวความทันสมัย
ไม่ว่าจะคนที่กลัวความเปลี่ยนแปลงมาก กลัวความเปลี่ยนแปลงน้อย หรือไม่กลัวความเปลี่ยนแปลงเลยก็ตาม ล้วนแต่ต้องศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไว้เป็น "ยารักษาใจ" ไม่ไหลตามความเจริญอย่างขาดสติ และไม่ปฏิเสธความเจริญที่มาถึง มีธรรมะคุ้มครองรักษาจิตอยู่ตลอดเวลา จึงจะสมกับการเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันศุกร์ที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๓ ทางวัดท่าขนุนเปิดศาลาร้อยปีหลวงปู่สายตั้งแต่บ่ายสามโมง เพื่อรอรับคณะของ ผอ.โม้ย (นางสาวสุภาภรณ์ เจริญศิริโสภาคย์) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ที่จะมาถ่ายทำรายการ "บวร" ออนทัวร์
ไอ้ตัวเล็กมาเอาห้าโมงเย็น เพราะไม่คุ้นเคยกับสภาพงาน จึงแวะถ่ายทำรายการที่ไทรโยคก่อน อาตมาบอกไปว่า "มาไม่ตรงเวลาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ปิดวัดอยู่ หลวงพ่อก็ทิ้งไปทำงานอื่นแล้ว..!"
ฝ่ายถ่ายทำก็เกรงว่าหลวงตาบ้านนอกจะไม่เคยชินกับกล้อง นัดแนะขั้นตอนสารพัดสารเพ ก่อนที่จะตั้งกล้องนับเวลาถอยหลัง แล้วลงมือสัมภาษณ์ประโยคแรก
ต่อจากนั้นหลวงตาบ้านนอกก็ฉายเดี่ยว คำถามเดียวแต่ตอบทุกปัญหาที่ต้องการทราบ ที่เหลือคุณเอาไปตัดต่อเอาเองก็แล้วกัน..!
กลายเป็นว่าวัดใหญ่ที่สุด แต่ใช้เวลาในการถ่ายทำน้อยที่สุด เวลาออนทัวร์ที่บอกว่าให้ ๓ - ๔ นาที หลวงตาบรรเลงไปเกิน ๕ นาทีแล้ว แต่ก็มีเว้นระยะเพื่อให้ตัดต่อ ทางทีมงานจะได้แสดงฝีมือบ้าง"
"หลังจากนั้นก็มานั่งรอเวลา ด้วยการสนทนาธรรมกับพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งฆราวาสในวัด เนื่องจากได้ปรับเวลาการทำวัตรเย็นเหลือรอบเดียว ครั้นทำวัตรเสร็จแล้วฝนที่รอมานานก็ตกลงมาพอดี
ปกติฝนตกทีไรอาตมาจะเป็นไข้ทุกครั้ง แต่คราวนี้ที่ไม่เป็นไข้เพราะว่า อากาศที่ร้อนเหลือรับ ช่วงเช้า ๒๕ องศาเซลเซียส ช่วงบ่าย ๓๙ ถึง ๔๐ องศาเซลเซียส ทำเอาผดร้อนขึ้นเต็มตัว
ลำพังแค่ผดร้อนก็ไม่มีปัญหา แต่นี่มีเคราะห์ซ้ำกรรมกระทืบ..! เนื่องจากว่าสมัยที่ยังเด็กอยู่ ได้เอาน้ำร้อนลวกตัวตุ่น ซึ่งความจริงก็คืออ้นเล็ก (แต่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกตัวตุ่นกันทั้งนั้น) เพื่อทำเป็นอาหาร เป็นการลวกทั้งเป็น โดยใช้กรรมหนักไปแล้วตอนที่โดนยำด้วยฝีมือของพระเณรและแม่ชีในวัด ที่เอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ชุบน้ำร้อนแล้วถูทั้งตัว จนหนังถลอกปอกเปิก เพื่อจะให้อาตมาฟื้น ทั้งที่เข้าสมาธิอยู่แท้ ๆ..!
แต่เนื่องจากเคยทำกรรมแบบนี้มาหลายครั้งหลายหน จึงต้องโดนเศษกรรมตามทวง จังหวะไหนทวงได้เป็นต้องเอา มาจังหวะนี้จึงต้องใช้กรรมให้เขา ด้วยการเป็นผดมีอาการปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว"
"ในเรื่องของยถากัมมุตาญาณนั้น ความดีสูงสุดที่เห็นก็คือ เรารู้ว่าเคยทำอะไรมา จึงต้องมารับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ในปัจจุบัน ทำให้เห็นได้ชัดว่า เราทำกรรมหนักระดับล้าน แต่อาจจะชดใช้เขาแค่บาทแค่สลึงเท่านั้น จิตใจจึงยอมรับได้ง่าย เห็นว่าเป็นธรรมดา เพราะว่าเราทำ เราจึงต้องมารับกรรมนั้น"
"อาตมาจึงต้องนั่งอ่านหนังสือจนสี่ทุ่ม รอให้อากาศที่เย็นด้วยฝนตก เย็นให้ทั่วถึงก่อนจึงเข้านอน เพื่อลดอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดขึ้น
ขณะที่ส่งใจไปกราบพระ พุทธภาษิตที่ว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก โลกนี้ย่อมหมุนไปตามกรรม หรือแปลเอาใจความว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกฎของกรรม ได้ปรากฏขึ้นชัดในใจ
"ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ขอมีอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ ไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ตายเมื่อไรเราขอไปที่เดียวคือพระนิพพานเท่านั้น"
กำลังใจสุดท้ายเกาะภาพสมเด็จองค์ปฐม องค์ใหญ่มหึมาสีขาวสว่างเจิดจ้า ครอบคลุมทั่วเขตวัดท่าขนุน อาทิสมานกายเป็นจุดเล็ก ๆ อยู่กึ่งกลางพระวรกายของพระองค์ท่าน
เมื่อทุกอย่างชัดเจนแจ่มใส ก็ตัดกำลังใจทิ้งร่างกาย ไปอยู่ ณ จุดหมายที่ได้ตั้งใจไว้ ถ้าไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็จบกันแค่นี้ คนที่รักไม่มี ของที่รักไม่มี ทรัพย์สมบัติไม่มี แม้แต่กายนี้ก็ไม่มี มีเหมือนกับไม่มี ไม่มีเหมือนกับมี มีแต่ไม่ยึดเกาะ ยึดเกาะก็รู้สึกว่าไม่มี ทุกอย่างจบสิ้นกันลงเพียงเท่านี้....สาธุ"
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนเมษายน ๒๕๖๓ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.