PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๓


หน้า : [1] 2

เถรี
04-01-2020, 09:53
น้อมกล่าวขอขมาในวาระขึ้นปีใหม่ ณ บ้านเติมบุญ พระอาจารย์ให้พรว่า

"ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ อาตมภาพขออ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ และสังฆรัตนะเป็นประธาน มีบารมีของครูบาอาจารย์ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านทั้งหลายเคารพนับถือ ได้โปรดดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย อยู่รอดปลอดภัยในทุกที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ จะกระทำการสิ่งหนึ่งประการใดหรือปรารถนาสิ่งใด ถ้าเป็นไปโดยชอบประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ก็ขอให้ความปรารถนาของท่านทั้งหลายจงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ สมดังมโนรถปรารถนา ทุกประการด้วยเทอญ"

เถรี
06-01-2020, 07:57
พูดถึงการทำบังสุกุล "มีคนถือผ้าขาวมา แล้วถามว่าต้องทำอย่างไร อาตมาบอกว่าถ้าอย่างนั้นกลับไปนอนที่บ้านเลย ไม่รู้แล้วเอามาทำไมวะ ? เอามาแปลว่ารู้ว่าต้องทำอย่างไร จึงปล่อยให้วางกำลังใจเอาเอง

บางคนเขาว่าอาตมาโหดเกิน ไม่ใช่หรอก...เวลามีน้อย จำเป็นต้องใช้สอยอย่างประหยัด"

เถรี
06-01-2020, 08:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฏิบัติธรรมได้ก็ให้รักษาผลเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องเอามาบอกกล่าวให้หลวงพ่อฟัง ประเภทเสียเวลามาเล่า พาให้ฟุ้งซ่านอีกต่างหาก ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเหมือนเดิม ก็จะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ"

เถรี
06-01-2020, 08:02
ถาม : หลังจากที่หลวงพ่อกวยท่านมรณภาพ วัตถุมงคลที่หลวงพ่อกวยมาร่วมเสก ท่านจะสงเคราะห์ เหมือนเป็นวัตถุมงคลที่ท่านเสกเองหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ท่านบอกว่า “ถ้านึกถึงกู กูก็จะไปช่วย” ถ้าแค่นี้ยังไม่ชัดเจนพอก็เรื่องของคุณเถอะ..!

เถรี
06-01-2020, 08:06
ถาม : การไปพูดเสนอให้คนที่ถือศีลแปด ลดไปถือศีลห้า จะเป็นบาปไหม ?
ตอบ : น่าจะบาปมากด้วย ไม่ใช่บาปเฉย ๆ กำลังใจของเขารักษาศีลแปดที่เป็นศีลพรหมจรรย์ เป็นกำลังในระดับพระอนาคามี เราไปให้เขาลดลงมาถือศีล ๕ ซึ่งเป็นศีลของปุถุชนทั่วไป ซึ่งระดับสูงสุดไม่เกินพระโสดาบัน ต้องบอกว่าไปเพิ่มหนทางในการเวียนว่ายตายเกิดของเขาให้ยาวยิ่งขึ้น แทนที่จะไปช่วยตัดหนทางให้สั้นลง

ถ้าเข้าใจผิดก็ถือว่าบาปไม่มากหรอก เพราะว่าบาปอยู่แค่คนเดียว...!

เถรี
06-01-2020, 08:11
ถาม : เมื่อก่อนฟังหลวงพ่อพูด กิเลสกินเราตลอดเวลา ก็แค่รับรู้แบบสมองรู้ เวลาพูดว่าตัวเองเลว ไม่ดี ก็พูดไปอย่างนั้น อาจทั้งเพื่ออวดว่าตนรู้หรือดีเท่านั้น มาขณะนี้จึงรู้สึกสงสัยว่า ทำไมคนเราถึงเห็นกิเลสของตัวเองยากกว่าเห็นกิเลสคนอื่นหลายเท่านัก จะมีวิธีจัดการกับกิเลสอย่างไร ? ในแต่ละวันรวมถึงตอนนอนหลับ รู้สึกว่ามีกิเลสเยอะมาก
ตอบ : "โทษคนอื่นมองเห็นเป็นภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเหลือจะทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร" เป็นเรื่องธรรมชาติ

“มองออก” เห็นง่ายกว่า “มองเข้า” เห็นยาก การมองเข้ามาในกายต้องประกอบไปด้วย สติ สมาธิ โดยเฉพาะปัญญาอย่างสูงจึงจะมองเห็นได้ เพราะฉะนั้น..พยายามเร่งในเรื่องของการปฏิบัติสมาธิภาวนาให้มากขึ้น ถ้าเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริงจนปัญญาเกิดขึ้น ก็จะแก้ไขตรงนี้ไปได้

เถรี
06-01-2020, 08:14
ถาม : เวลาอ่านพระไตรปิฎกจะมีอาการความรู้งอกออกมา จนตอนหลังตัดสินใจไม่เปิดอ่านอีก ยกเว้นว่าจำเป็นจริง ๆ จะมีหลักตรวจสอบอย่างไรว่า ที่เรารู้งอกออกมาเชื่อถือได้หรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่หลุดไปจากกรอบของ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เชื่อถือได้ แต่ถ้าจะให้แน่ ๆ ให้ตรวจสอบกับวิสุทธิมรรค ถ้าวิสุทธิมรรคยังเล่มหนาไป ก็ตรวจสอบกับกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ได้ ถ้าไม่หลุดไปจากกรอบนั้นก็ยังเชื่อถือได้อยู่

เถรี
06-01-2020, 08:21
ถาม : การถอดแปลปริศนาธรรมกับปริศนางานที่มาแสดงในฝัน ต้องทำอย่างไรถึงถอดแปลออกมาได้ถูกต้อง ? บางปริศนานำมาคิดแปล รู้สึกเป็นไปได้หลายทางมาก จนงงตัดสินใจไม่ถูก กลัวว่าจะเลือกทำในทางที่ไม่ใช่
ตอบ : เป็นอาตมาก็โยนทิ้งไปเลย มาให้ทั้งทีก็มาให้ชัด ๆ สิวะ..! บอกไปเลยว่าถ้าจะมาให้แปล ก็ไม่ต้องมา เสียเวลาคิด ปัญญาข้าพเจ้าไม่ถึง..!

เถรี
06-01-2020, 08:24
ถาม : ผู้ปฏิบัติธรรมบางคนคล้ายจะหมดราคะ ไม่ว่าจะดูสื่อยั่วราคะอย่างไร กามราคะก็ไม่ขึ้น จึงคิดว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าแล้ว แต่วันหนึ่งมองหญิงชราอายุแปดสิบ เพียงขณะเดียวกัน กามราคะที่คิดว่าหมดแล้วก็มาทันที กรณีแบบนี้คือกำลังของฌานมีมากจนกดกามราคะไว้ได้สนิทใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ประมาณนั้น จะได้รู้ว่าว่าการปฏิบัติธรรมไม่พึงประมาทด้วยประการทั้งปวง อย่างที่พระสารีบุตรบอกกับพระท่านที่ถามว่า ถ้าผมเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ต้องทำอะไรแล้วใช่ไหม ? ท่านบอกว่ายิ่งเป็นพระอรหันต์แล้วยิ่งต้องพิจารณาให้มากขึ้น เพื่อความไม่ประมาท

เถรี
06-01-2020, 08:45
ถาม : ผู้ที่สามารถระลึกอดีตชาติตอนเป็นสัตว์เดรัจฉานและตอนอยู่อบายภูมิได้ คือผู้ที่กำลังวิปัสสนาและอภิญญาสูงมากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ไม่แน่นะ ถ้าความเป็นเดรัจฉานเพิ่งจะมาคั่นเมื่อชาติที่แล้วเอง...ประมาณนี้ โฆษกเทพบุตรเป็นคนอยู่ดี ๆ ไม่ชอบ อิจฉาหมาหน่อยเดียวก็ไปเกิดเป็นลูกหมา นั่นก็คือความเป็นเดรัจฉานที่มาคั่นเพราะอาสันนกรรมพาไป ฉะนั้น..เราระลึกชาติก่อนนี้ได้ว่าเป็นหมา ไม่ใช่ว่าชาติที่เป็นเดรัจฉานนั้นห่างไกล

บุคคลที่ระลึกชาติได้แท้จริงโดยไม่จำกัดต้องได้มหาอภิญญา ซึ่งมีพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระมหากัสสปะ พระนางภัททากัจจานา อย่างนี้เป็นต้น เพราะท่านทั้งหลายเหล่านี้สร้างบารมีมามาก เกิดมามาก ในเมื่อกำลังสูงถึงเวลาก็ระลึกได้ยาว ระลึกได้ไกล

เถรี
06-01-2020, 08:52
ถาม : เมตตาบารมีของพระอรหันต์ ท่านมีเท่ากันทุกองค์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีเท่ากัน แต่ว่าท่านจะใช้แค่ไหน ? ฟังดูแปลก ๆ ไหม ? บางสถานการณ์จำเป็นก็ต้องดุด่าว่ากล่าว เพราะว่าตนเองทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ เป็นต้น ถึงเวลาเห็นลูกศิษย์เลี้ยวผิดทาง ก็จำเป็นต้องตำหนิติเตียนเพื่อปราบปราม บางคนก็ว่าท่านขาดเมตตา อาตมาว่าคนนั้นสู้หมายังไม่ได้เลย อาตมาตวาดไปหมาวัดท่าขนุนเลียแผล็บ สรุปก็คือเขารู้ว่าอาตมาด่าแต่ปาก

เถรี
06-01-2020, 08:56
ถาม : เมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์กับพระสาวก แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : พระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่เมตตาไม่มีประมาณ เพื่อผู้อื่นแม้ตนเองจะต้องตกนรกก็ยอม ส่วนพระสาวกนั้นถ้าไม่เกินกฎของกรรมก็ช่วย แต่ถ้าเกินกฎของกรรมก็จะวางเฉยด้วยอุเบกขา

เถรี
06-01-2020, 08:59
ถาม : การแผ่เมตตากับการแผ่บุญกุศล ต้องมีสมาธิอย่างน้อยอุปจารสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วครับ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่อเนื่อง ถ้าทรงฌานได้สูงเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะว่าสามารถแผ่ได้นานและได้ไกล

เถรี
06-01-2020, 09:06
ถาม : กระผมมีเรื่องไม่เข้าใจเรื่องการรักษาอุโบสถศีล ระยะเวลาในการรักษา ๑ วัน ๑ คืน คือเริ่มเช้าวันพระ (เห็นลายมือใหญ่) ถึงรุ่งเช้าอีกวัน (เห็นลายมือใหญ่) ใช่หรือไม่ครับ หรือเริ่มสมาทานตอนเจ็ดหรือแปดโมงเช้าจึงเริ่มนับครับ ?
ตอบ : ถ้าจะนับจริง ๆ ควรจะเริ่มตั้งแต่ได้อรุณ ถึงเวลาอรุณก็ตั้งใจสมาทาน คำว่า สมาทาน คือศึกษาทบทวนเฉย ๆ ไม่ต้องไปถามพระก็ได้ ถึงเวลาเราไปขอศีล เพราะเราไม่รู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง พระท่านก็บอกให้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ข้อ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ - ๖ - ๗ - ๘ เราก็มาตั้งใจปฏิบัติงดเว้นให้ได้ตามนั้น

ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าศีล ๕ ศีล ๘ เป็นอย่างไร ตั้งใจจะศึกษาอันไหน ปฏิบัติอันไหนก็ได้เลย ถ้าจะเอาเต็มจริง ๆ ก็เริ่มตั้งแต่ได้อรุณของวันพระ แล้วก็ไปได้อรุณของวันถัดไป ถึงจะตรงกับบาลีที่ว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง ก็คือได้ระยะเวลาหนึ่งวันและหนึ่งคืน

เถรี
06-01-2020, 09:08
ถาม : ศีลข้อสาม แตะตัวเพศตรงข้ามไม่ได้ใช่ไหมครับ แล้วถ้าลูกสาวตัวเล็กเข้ามากอด ผิดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระท่านบอกว่า มาตุคามที่จะทำให้ศีลขาด นับตั้งแต่เด็กหญิงแรกเกิดในวันนั้น แต่ถ้าเป็นฆราวาสรักษาศีลแปด เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้เด็กเล็กขนาดนั้นก็แล้วไป ระวังแค่อย่าให้มีอารมณ์กำหนัดก็พอ

เถรี
06-01-2020, 09:11
ถาม : หน่วยงานหนึ่งจัดเวรเอาไว้แล้ว ได้ตกลงกับผู้มีหน้าที่เข้าเวรให้มาเข้าเวรตอน ๐๘.๓๐ น. แล้วเจ้าของเวรไม่ไป โดยไม่ได้ทำการแลกเวรหรือแจ้งว่าเกิดเหตุสุดวิสัยใด ๆ ทางเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรอจน ๑๐ โมงกว่า จึงได้ตามท่านอื่นที่สะดวกมาแทน ผู้ที่มาแทนเวลาลงชื่อทำงานมักจะลงว่ามาปฏิบัติหน้าที่ ๐๘.๓๐ น. เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้มาเข้าเวรมาทำใบมอบเวรทีหลัง โดยที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานก็ทราบดีว่ามีการปฏิบัติกันแบบนี้ การแทนเวรย้อนหลังกับการลงเวลาไม่ตรง จะเป็นการมุสาวาทที่หักรานประโยชน์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : การลงเวลาไม่ตรงถือเป็นมุสาวาท ทำผิดโดยที่รู้ แล้วทำไมไม่ลงไปว่าได้รับการตามตัวมาเข้าเวรแทนตอน ๑๐ โมง ก็จบแล้ว

เถรี
06-01-2020, 09:13
ถาม : ช่วงนี้เขารณรงค์ให้ใช้ถุงผ้า ลูกมีถุงย่ามพระ ๑ ใบ ซึ่งเคยซื้อมาจากร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อใช้ใส่ของตอนจะไปทำบุญ ถ้าลูกเอามาใช้ซื้อสินค้าตามร้านสะดวกซื้อจะมีโทษหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มี..ทำให้คนเลียนแบบเยอะ ...(หัวเราะ)... ก็ใช้ไปสิ ไม่มีใครเขาว่า ยกเว้นว่าย่ามนั้นมี ๑.รูปพระพุทธหรือพระสงฆ์ ๒.พุทธภาษิต ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรวางในที่ต่ำ

เถรี
06-01-2020, 09:22
ถาม : อาชีพเสริมที่บ้านต่างจังหวัดทำเกษตร และมีการเลี้ยงไก่เพื่อเก็บไข่ขาย การเก็บไข่ขายนี้จะเกิดเป็นกรรมไม่ดีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วย...ถ้าเป็นโรงเลี้ยงปิด เก็บขายไปเถอะ เพราะว่าเป็นไข่ไม่มีเชื้อ แต่ถ้าปล่อยทั่วไป ไข่มีเชื้อแน่ ๆ แบบนั้นแปลว่ามีโอกาสที่จะผิดศีลข้อปาณาติบาต

เถรี
06-01-2020, 09:31
ถาม : หนูอยากรู้ว่า ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะสัญญาของจิต คือจิตมีสัญญา แล้วก็มีขันธ์ ๕ ถ้าดับสัญญานั้นได้ ขันธ์ ๕ จะทำอะไรเราไม่ได้ หรือว่าขันธ์ ๕ นั่นแหละคือสัญญาของจิต เป็นเหมือนโฮโลแกรมที่จิตแสดงออกไปเท่านั้น ถ้าดับสัญญาของจิตก็เท่ากับดับขันธ์ ๕ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเรียนรู้มากและฟุ้งซ่านมาก ขันธ์ ๕ เกิดเพราะอวิชชา ไม่ใช่เกิดเพราะสัญญา อวิชชาก็คือความรู้ไม่หมด เมื่อถึงเวลาตากระทบ หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ไปยินดียินร้าย ก็เป็นสาเหตุต่าง ๆ ไล่ไปเรื่อย ๆ จนถึงการเกิด ส่วนเรื่องของสัญญายังไม่อันตรายมาก อันตรายมากคือสังขาร ตัวปรุงแต่งของใจ

ถ้าตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจไม่ครุ่นคิด สามารถหยุดแค่สักแค่ว่าได้เห็น สักแค่ว่าได้ยิน สักแค่ว่าได้กลิ่น สักแค่ว่าได้รส สักแค่ว่าสัมผัส สักแค่ว่าได้รู้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้

ญาติโยมทั่วไปไม่ต้องไปศึกษาตำรามาก แค่รู้ว่าหยุดคิดก็หมดทุกข์ ทุกวันนี้ญาติโยมส่วนใหญ่คิดก็เลยเป็นทุกข์ ถ้าเราหยุดคิด ความทุกข์จากการปรุงแต่งต่าง ๆ ไม่มีเหลือ เหลืออยู่อย่างเดียวคือทุกข์ตามสภาวะร่างกายเท่านั้น

เถรี
06-01-2020, 09:35
ถาม : ทำไมหนูฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้วอยากนอนฟังไปเรื่อย ๆ ไม่อยากทำอะไรเลย แม้กระทั่งไม่อยากไปทำงานด้วยเลยคะ ?
ตอบ : ก็เพราะว่าหนูอยากตกงานค่ะ..! เวลาใจเป็นสมาธิก็ไม่อยากจะคลายออกมา แต่ว่าเราก็ต้องมีสติรู้ด้วยว่าตอนนี้เราอยู่กับโลก หน้าที่ของเรามีอย่างไร ต้องทำหน้าที่เหล่านั้นให้ดีที่สุด พ้นจากหน้าที่แล้วค่อยกลับมาอยู่กับสมาธิจิตของเราใหม่ โดยมีสติรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตาย ตายอย่างแน่นอน ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว

เถรี
06-01-2020, 20:37
ที่บอกว่าไม่ต้องเรียนมาก เพราะว่าส่วนใหญ่พวกเราเรียนมากหรือถามมาก จะชวนให้ฟุ้งซ่านมากกว่า ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาทำ เกิดปัญหาติดขัดตรงไหนแล้วค่อยมาถาม จะเกิดประโยชน์มาก เพราะว่าแก้ไขจุดที่ติดขัดไปได้ แต่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาถามโดยไม่ทำ ถึงเวลาไปลงมือทำจะเกิดความฟุ้งซ่าน อยากมี อยากได้ อยากเป็น แบบที่ถามมา โอกาสที่ใจจะนิ่งสงบ เข้าถึงสมาธิระดับที่ตัวเองต้องการจะมีน้อยมาก

อาตมายกตัวเองอยู่เสมอว่า อยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ๑๘ ปี เคยถามท่านจริง ๆ แค่ ๔ คำถาม การปฏิบัติถ้าเราทุ่มเทจริง ๆ จะได้คำตอบเองในตัวอยู่แล้ว ยกเว้นช่วงสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ เป็นจุดที่ละเอียด ขาดความมั่นใจก็ต้องสอบถาม เพราะว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะมั่นใจได้ด้วยตนเอง เกิดขึ้นแล้ว..ใช่ไหม ? ก็ต้องหาผู้รู้มายืนยัน

เถรี
06-01-2020, 20:57
บางเรื่องที่อาตมาทำมา อย่างเช่นปฏิบัติธรรมอยากจะทรงปฐมฌานได้ ศึกษาองค์ฌานว่ามี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ หลวงพ่อวัดท่าซุงก็อธิบายเป็นขั้น ๆ ว่าวิตก คือการคิดนึกตรึกอยู่ว่าเราจะภาวนา วิจาร ตอนนี้ลมหายใจเข้าออก แรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาอย่างไรรู้อยู่ ปีติ มีอาการ ๕ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ความสุข รู้สึกสุขเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เอกัคตารมณ์ อารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว

ทำไปเถอะ...จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปีไม่ได้สักที เพราะว่าไปตามจับอาการ อันนี้วิตกนะ อันนี้วิจารนะ อันนี้ปีตินะ ติดอยู่แค่ปีติทุกครั้ง เพราะว่าไปตามจ้องตามจับอาการ ทำให้ฟุ้งซ่าน แทนที่จิตจะสงบก็พาลไม่สงบ เพราะว่าอยากได้จนเกินไป

กระทั่ง ๑ ปี ผ่านไป ๒ ปีผ่านไป ๓ ปีก็แล้ว ทำเท่าไรก็ไม่ได้สักที ทำไมยากเย็นขนาดนี้วะ ? ได้ไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ กูภาวนาก็แล้วกัน โป๊ะเดียวได้เดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าก่อนหน้านี้อยากจนเกินไป ตอนนี้หมดอารมณ์ ช่างหัวมันแล้ว อารมณ์อยากหมดไป กำลังใจลดลงมาได้ระดับพอดี

เถรี
07-01-2020, 21:47
สิ่งที่อาตมาทำคือทิ้งการงานทั้งหมด โดดขึ้นรถเมล์ ไปวัดท่าซุง สมัยนั้นวัดท่าซุงไม่ได้ไปง่าย ๆ นะ รถเมล์ต้องวิ่งไปลงแพขนานยนต์ที่มโนรมย์ แล้วข้ามไปฝั่งท่าซุงแล้วค่อยวิ่งเข้าเมือง เพราะตอนนั้นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยายังไม่มี

ออกจากบ้านแต่เช้า ไปถึงวัดท่าซุงได้เวลาหลวงพ่อท่านรับสังฆทานพอดี อาตมาไปถึงช้า เพราะว่าไปถึงเกือบบ่ายสองโมง บอกแล้วว่าสมัยก่อนการเดินทางนั้นยาก ถนนหนทางบางช่วงยังเป็นลูกรังอยู่เลย

เถรี
07-01-2020, 21:48
ไปถึงก็ขึ้นไปศาลานวราช หลวงพ่อท่านรับสังฆทานอยู่ อาตมากราบตั้งแต่ประตูเลย ท่านก็นั่งอยู่คล้าย ๆ อาตมานั่งอยู่แบบนี้แหละ ถามว่า “เป็นอย่างไรไอ้หนู มีอะไรจะคุยบ้าง ?” กราบเรียนว่า “หลวงพ่อเขียนตำราผิดนี่ครับ” ท่านบอกว่า “เดี๋ยว ๆ ไอ้หนูใจเย็น ๆ ผิดตรงไหน ? ว่ามาซิ”

“หลวงพ่อบอกว่า ปฐมฌานมี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ ไปเป็นขั้น ๆ ที่ผมทำได้มาทีเดียวครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่าง ผมไม่เห็นเป็นขั้นเลยครับ”

เถรี
07-01-2020, 21:54
ท่านก็หัวเราะ บอกว่า “เดี๋ยว..ไอ้หนู รู้จักที่โบราณบอกว่า "ลัดนิ้วมือเดียว" ไหม ?” ท่านงอนิ้วดีดให้ดู แล้วบอกว่า “คนที่กำลังใจละเอียดจะเห็นนิ้วค่อย ๆ ตรงขึ้นอย่างนี้ ส่วนคนกำลังใจหยาบ ก็ไปเห็นนิ้วตอนตั้งขึ้นไปแล้ว ที่หลวงพ่อเขียนอธิบายคือตอนที่นิ้วค่อย ๆ ขึ้นอย่างนี้ ส่วนเอ็งไปเห็นตอนตั้งขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว”

นั่นคือการทำ ทำไปแล้วจะได้คำตอบ ถ้าสงสัยค่อยไปถาม ถ้าอย่างนั้นจะได้ประโยชน์ แก้ข้อสงสัยได้ ไม่ใช่อย่างพวกเราปัจจุบันนี้ ร้อยละ ๘๐ อ่านนั่นอ่านนี่ ศึกษามามาก คุยกันมามาก แล้วก็มาฟุ้งซ่านถาม

เถรี
07-01-2020, 22:06
พวกเราส่วนใหญ่อดไม่ได้ พระท่านถึงได้บอกว่า กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การสนทนาธรรมตามเวลาอันควร จึงเป็นอุดมมงคล เท่าที่เจอมาส่วนใหญ่พวกเราคุยกันฟุ้งซ่านทั้งวัน โดยเฉพาะภาวนามากำลังใจทรงตัวอยู่ดี ๆ แทนที่จะรักษาเอาไว้ไม่ให้กิเลสกินใจ เราก็เอาไปคุยกัน

คราวนี้การปฏิบัติธรรมของเราต้องการกำลังเพื่อไปใช้ตัดกิเลส แล้วเราก็ไปปล่อยกำลังให้รั่วหมด รั่วออกทางตา รั่วออกทางหู รั่วออกทางจมูก รั่วออกทางลิ้น รั่วออกทางกาย รั่วออกทางใจ รั่วออกทุกรู ทำให้ตายกำลังก็ไม่พอ กลายเป็นแม่กระเฌอก้นรั่ว รู้จักกระเฌอไหม ? ภาชนะสานสำหรับใส่ของ ถ้าก้นรั่ว ใส่ของลงไปแล้วมีอะไรเหลือติดไหม ?

พอถึงเวลาก็รั่วหมด เราก็ทำใหม่ แล้วก็ไปปล่อยรั่วหมดอีก เป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่มี ท้ายสุดก็ท้อ..หมดกำลังใจ

เถรี
07-01-2020, 22:09
พระหลายรูปก็เป็นเช่นนี้ ถึงเวลาก็รั่วหมด แล้วก็ท้อ สึกหาลาเพศไป บาลีท่านว่าเจ็บ บาลีแปลไทยว่า “หวนกลับไปเป็นคนเลว”

เรื่องนี้ต้องถามทิดเบสท์ สึกเย็นนั้นคืนนั้นปฏิบัติธรรม โหย...ต่างกันฟ้ากับเหวเลย ตอนเป็นพระอยู่ ต่อให้ดีบ้างชั่วบ้าง กำลังสมาธิยังทรงตัว เพราะว่าอย่างน้อย ๆ อานุภาพของศีลพระเหนือกว่าศีล ๕ เยอะมาก คราวนี้พอลดลงไปเหลือแค่ศีล ๕ โหนเท่าไรก็โหนไม่ขึ้น

เถรี
07-01-2020, 22:20
คนอยู่ในวัดในวา คิดอะไรก็ไปไม่เกินวัด นี่หมายถึงว่า รัก โลภ โกรธ หลง ค่อนข้างจะสงบนะ เห็นกล่องก็คิดเอากล่องไปบรรจุพระ ไม่เช่นนั้นก็คิดว่าเดี๋ยวเอาไปขาย ได้เงินมาไปลงทุน ซื้อเมล็ดพันธุ์ผักมา ๒๐-๓๐ ซอง ปลูกผัก ๗-๘ แปลง ได้แล้วไปขายต่อ ได้เงินมาก็ลงทุนขยายงานเพิ่มขึ้น เลี้ยงหมูเลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ท้ายสุดก็ร่ำรวย ซื้อบ้านซื้อรถ แต่งเมีย ไปยันโน่นเลย

อาตมาบอกอย่างไม่อายเลยว่า สมัยพรรษาแรกพรรษาสอง อยากสึกวันเป็นร้อย ๆ หน และคนอยากสึกนี่คิดอะไรก็เห็นช่องทางไปหมด แค่ปลูกผักบุ้งขายก็เป็นเศรษฐีได้ ถึงเวลาสึกไป ทำงานอย่างนี้ ๆ เก็บเงินไว้ ซื้อบ้านสักหลัง ซื้อรถสักคัน แต่งงาน มีเมีย มีลูกสักสองคน แล้วค่อยมาบวช กิเลสรู้ว่าถ้าชวนเราไปไกลวัด เราจะไม่ไปด้วย ก็ยังให้โอกาสกลับมาบวช

เถรี
07-01-2020, 22:21
บังเอิญอาตมาเป็นคนค่อนข้างจะสติดี เลยด่าตัวเองว่า “ไอ้ห่..แล้วตอนนี้มึงไม่ได้บวชอยู่หรือ ? ต้องตะเกียกตะกายไปลำบากอยู่หลายปีแล้วค่อยมาบวชใหม่” เห็นฝีมือหรือยัง ? เวลาเขาชวนเราไป คิดทำอะไรก็ง่ายไปหมด เห็นช่องทางร่ำรวยไปหมด ลองไปเถอะ...แล้วจะรู้ว่าเบ้าตากระเด็นเป็นอย่างไร ไม่ใช่เลือดกระเด็นนะ..!

เถรี
07-01-2020, 22:25
ส่วนใหญ่พระท่านไม่ฟัง อาตมาบอกแล้วว่าระยะนี้อย่าเพิ่งสึก สึกไปก็หางานทำไม่ได้ ให้ทนบวชไปก่อน ศึกษาทางนี้ไปก่อน ถ้าอยู่ได้ก็เป็นกำลังของพระศาสนา ถ้าอยู่ไม่ได้ รอจังหวะดีกว่านี้แล้วค่อยออกไป

ไม่เอา..กลัวไม่เก่ง ต้องออกไปตอนนี้ ถ้าสู้ได้ถือว่าเจ๋ง..! จำไว้ว่า ถ้าพระบวชหลาย ๆ พรรษา โอกาสที่จะไปสู้โลกนั้นยาก ยากตรงไหน ? ยากตรงที่ประสบการณ์ทางโลกของตัวเองขาดด้วนไปตั้งแต่ตอนบวช ทำให้ตามโลกไม่ทัน นี่หมายถึงพวกที่ทิ้งหมดเลยแบบอาตมา ถ้าไม่ทิ้งก็ยังพอไปได้ แต่ก็ลำบากมาก ไม่ทันใคร

เถรี
10-01-2020, 08:51
ถ้าอย่างอาตมา วิทยุโทรทัศน์ตัดทิ้งไปตั้งแต่ก่อนบวชสองปี มาถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ดูมาประมาณเกือบสี่สิบปี ดารามาไม่รู้เรื่องกับเขาหรอก ประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา เจมส์จิมา..ใครวะ ? ไปถ่ายหนังที่วัดท่าขนุน ปล่อยเขาเห่อไปกันเถอะ อาตมาไม่สนใจ ไม่รู้จัก ดาราคู่สุดท้ายที่รู้จักก่อนบวช พระเอกชื่อทูน นางเอกชื่อจารุณี ใครยังจำได้บ้าง ? หลังจากนั้นมาไม่รู้จัก

เขาวิ่งมาบอก “หลวงพ่อ..บี้มา” เออ...ปล่อยไปเถอะ กูไม่รู้จัก “หลวงพ่อ..รถเมล์มา” ถ้ามึงอยากขึ้นก็ขึ้นไปสิ เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะ บางทีโยมเขามาขอถ่ายรูปด้วย ก็เห็นว่าเขาหน้าตาดี รู้อยู่แค่นั้น ไม่รู้ว่าเขาเป็นดารา ฉะนั้น...อาตมาเป็นเจ้าอาวาสที่ไม่มีรูปคู่กับดารา เพราะว่าเจ้าอาวาสไม่รู้จักดารา น่าอนาถใจมาก..!

เถรี
10-01-2020, 08:52
อยู่ที่วัดท่าขนุนมีอย่างเดียวคือ ยากดีมีจน ร่ำรวยยิ่งใหญ่ขนาดไหนมา ก็นั่งกับพื้นเหมือนกันหมด ถ้านั่งเก้าอี้ก็ต้องนั่งเหมือนกันหมด หลายท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทางโลก ไม่ค่อยอยากไปวัดท่าขนุน เพราะว่าไม่ได้รับการยกย่อง

มาวัด เขามา “วัด” กันว่ากิเลสมีมากน้อยเท่าไร ถ้ายังกิเลสมาก อยากเป็นที่ปรากฏอยู่ ก็เลี้ยวไปทางอื่นที่เขายกย่องท่านเถอะ..!

เถรี
10-01-2020, 09:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีญาติโยมเอาอาหารแห้งมาถวาย ๗-๘ ถุง แล้วข้างในก็ซุกกับข้าวไว้ชุดหนึ่ง ไปเจออีกทีก็ราขึ้นเขียวปี๋เลย เอามาแล้วช่วยแยกให้ด้วย ว่าอะไรเป็นอาหารสดเก็บไม่ได้ อะไรเป็นอาหารแห้งที่เก็บไว้ได้ บางทีคนมามาก ๆ รีบ ๆ ไม่ทันพิจารณา เขาเอาไปกองรวมกันไว้ กว่าจะได้ดูอีกทีก็ปีหน้า..ประมาณนั้น

ปัจจุบันนี้ต้องปรับระบบการจัดการ เปิดร้านสะดวกซื้อวัดท่าขนุนเดือนละสองรอบ ก็คือกลับไปแยกของออกมา อะไรที่เป็นของใช้จำเป็น ถึงเวลาวันรุ่งขึ้นไปเรียงเป็นตับไว้ พระฉันเสร็จก็ไปเดินเลือกเอาว่าตัวเองต้องการอะไร เลือกเอาไปใช้ ส่วนที่เหลือจะได้ไปแบ่งให้กับแม่ชีและเด็กที่วัดได้ ถึงได้บอกว่าเปิดร้านให้ช้อปปิ้งเดือนละ ๒ รอบ

ส่วนที่เหลือก็แจกวัดอื่น ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่าง ๆ น้ำท่วม ไฟไหม้ ถือว่าเหลือจากพระแล้ว พอระบบการจัดการดีขึ้น สิ่งของที่ตกเรี่ยเสียราดก็น้อยลง"

เถรี
10-01-2020, 09:40
"เมื่อวันที่ ๒ คณะนิสิตจากวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาฯ ไปทำโครงการสานสัมพันธ์ต่างประเทศ จะไปแจกของที่ฝั่งพม่า สรุปว่าทำโครงการมักง่ายมาก ส่งหนังสือมา ๑ ฉบับถึงเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ขอของแจกทั้งหมด เขาถามว่าจะได้เท่าไร ? บอกว่าอย่างน้อยคุณต้องเอารถหกล้อมาขน คนถามมึนไปเลย ของมีให้แจกเป็นคันรถหกล้อ เพราะอะไร ? เพราะว่าคุณแจกไปของก็เข้ามาทันที เนื่องจากต้องรับบิณฑบาตปีใหม่

เดี๋ยวนี้หน่วยราชการต่าง ๆ เช่น ตชด. ทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะหน่วยป่าไม้ ถึงเวลาก็มาขอสนับสนุน บางที ตชด.ส่งรายการมา ข้าวสาร ๑๐๐ กิโลกรัม น้ำปลากี่ลิตร น้ำตาลกี่กิโลกรัม แหม...สั่งอย่างกับร้านค้า สั่งได้...ถ้ามีก็ให้ แต่ระบุจำนวนมาแบบนั้นก็ดี จัดการง่าย"

เถรี
10-01-2020, 21:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ใครโดนปีชงบ้าง เรื่องของปีชงจะว่าไปแล้วก็ขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราเชื่อจะมีผลมาก เพราะว่ากำลังใจของเราไปย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ดี ๆ ๆ กลายเป็นแช่งตัวเอง ก็คือเป็นส่วนของมโนมยา สำเร็จด้วยใจ เท่ากับเราแช่งตัวเองว่าไม่ดี ก็เลยทำให้ไม่ดีจริง ๆ เพราะฉะนั้น...ถ้าเรารู้สึกว่าทุกอย่างดีหมด เรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหา"

เถรี
10-01-2020, 21:35
พระอาจารย์กล่าวว่า "เริ่มปีใหม่ด้วยภัยแล้ง ไม่ได้แล้งเฉพาะบ้านเรา แต่แล้งทั่วโลก คราวนี้การที่จะต่อสู้กับภัยแล้งนั้นมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือ ต้องทำให้ฝนตกลงมาให้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ในบ้านเรา ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงคิดวิธีทำฝนเทียมได้สำเร็จ จนเป็นประโยชน์แก่ทั่วโลก ส่วนต่างประเทศอย่างอิสราเอล อย่างประเทศจีน ก็มีโครงการพลิกทะเลทรายเป็นผืนป่า ทำได้สำเร็จอย่างน่าชื่นใจ

วิธีที่ ๒ ก็คือเมื่อทำให้ฝนตกแล้ว ทำอย่างไรจะเก็บกักน้ำฝนเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ? เพราะว่าทุกวันนี้ปริมาณน้ำฝนที่ได้ใช้นั้นไม่ถึง ๓๐% ที่เหลือ ๗๐% ไหลลงทะเลหมด

ประเทศที่ขยับตัวแรงที่สุดคือประเทศจีน นอกจากสร้างมหาเขื่อนซานเสียต้าป้า ที่เก็บกักน้ำทะเลแทบจะครึ่งโลกแล้ว ยังสร้างเขื่อนต่าง ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะเขื่อนแม่น้ำโขง คราวนี้พอมหาอำนาจอย่างจีนขยับตัวแรง พวกเราที่ตั้งหลักไม่ทันก็ประสบภัยแล้งหนักเข้าไปอีก เพราะว่าที่น้ำลงมาตามแม่น้ำโขงมีน้อยถึงน้อยมาก"

เถรี
10-01-2020, 21:43
"แต่ว่าจริง ๆ แล้วในวิกฤตก็มีโอกาส คือการสร้างเขื่อนแต่ละครั้งนั้นต้องมีการเบี่ยงทางน้ำ ต้องมีอะไรให้วุ่นวายไปหมด คราวนี้พอแม่น้ำโขงแห้ง เป็นโอกาสสร้างเขื่อนที่ดีที่สุด เราจะทำโครงการอะไรก็ต้องเตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ พอน้ำเหลือน้อยหรือไม่เหลือ ก็ต้องรีบขยับทำให้ทันก่อนฤดูน้ำใหม่จะมา เราก็จะมีเขื่อนเก็บกักน้ำเอาไว้เช่นกัน

แล้วถ้ามีการทำเขื่อนเก็บกักน้ำเป็นระยะ ๆ ตลอด ๕ ประเทศในลุ่มน้ำโขงของเรา ก็จะได้มีน้ำใช้โดยทั่วหน้ากัน แต่ว่าทำลายธรรมชาติอย่างรุนแรงมาก โดยเฉพาะประเทศท้ายน้ำอย่างกัมพูชาหรือเวียดนาม สมัยก่อนโตนเลสาบของกัมพูชาคือแหล่งปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ที่ใช้คำว่าใหญ่ที่สุดในโลก เพราะว่าป่าอเมซอนคนเข้าถึงได้ยาก บรรดาอาหารที่เป็นผลิตผลของปลาน้ำจืด ซึ่งออกสู่ชาวบ้านได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือโตนเลสาบ หรือทะเลสาบกัมพูชาของเพื่อนบ้านเรานี่เอง นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่บรรดารัฐบาลทั้งหลายต้องคิดต้องทำ และขณะเดียวกันก็อย่าไปเกรงใจเพื่อนบ้าน เพราะว่าเขาก็ไม่เกรงใจเรา"

เถรี
10-01-2020, 21:46
"การสร้างเขื่อนไซยะบุรีของลาว คนไทยไปประท้วง ลาวบอก “กลับไปซะ..ไม่กลับจะยิง” จบเลย ดูซิว่าจะมีปัญญาประท้วงอีกไหม ? บ้านเราจะทำโครงการโขงชีมูล ผันน้ำจากแม่น้ำโขงมาก็มัวแต่เกรงใจ ของเราแค่ผันน้ำ ไม่ใช่เก็บกักน้ำ ก็คือเปิดช่องทางให้แม่น้ำโขงไหลเพิ่มเข้ามาสู่แม่น้ำชีแม่น้ำมูล แต่ปรากฏว่าถ้าไม่ใช่นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามคอยคัดค้าน เพราะว่ากลัวอีกฝ่ายจะได้คะแนนเสียง ก็กลายเป็นว่าเกรงใจเพื่อนบ้าน

อาตมาได้ยินโครงการโขงชีมูลมาตั้งแต่เด็ก จนป่านนี้ก็ยังเป็นแค่โครงการ ในขณะที่จีนสร้างเขื่อนเสร็จไป ๗-๘ เขื่อนแล้วตลอดลำน้ำ ของลาวก็สร้างแล้วสร้างอีก แต่คนไทยเรายังไม่ได้ขยับสักที

ถ้าจะทำในลักษณะอย่างนั้นต้องดูอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ กระทบชาวบ้านแค่พื้นที่ประมาณ ๗๐๐ ไร่เท่านั้น และกระทบเฉพาะหน้าฝน เพราะว่าน้ำในเขื่อนจะเอ่อไปถึง พอหน้าแล้งก็กลายเป็นที่อุดมสมบูรณ์อยู่หลายเดือน สามารถกลับไปทำกินในที่เดิมได้ เงินค่าเวนคืนก็ได้ สิทธิทำกินก็ยังคงอยู่ แม้ว่าจะไม่เต็มทั้งปี ซึ่งปกติก็ทำเต็มทั้งปีไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ามีหน้าแล้ง

ปัจจุบันนี้หน้าแล้งทำกินได้ หน้าฝนทำกินไม่ได้ ก็แค่ตรงกันข้ามเท่านั้น ไม่ใช่ประเภทถึงเวลาก็ทำโครงการใหญ่โตมหึมา ต้องล้างผลาญป่าทีหนึ่งหลาย ๆ แสนไร่ โดยเฉพาะไปทำแถวแก่งเสือเต้นซึ่งเป็นดงไม้สักใหญ่ เป็นป่าสมบูรณ์ ถ้าลักษณะอย่างนั้นไม่มีใครยอมคุณหรอก เพราะเขาถือว่าคุณ "มีงาน" ตั้งใจทำอะไรที่มากกว่าเขื่อนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน"

เถรี
10-01-2020, 21:52
"เพราะฉะนั้น..ถ้าสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มากจริง ๆ ก็สมควรทำ แต่ต้องศึกษาว่าทำอย่างไรให้มีผลกระทบน้อยที่สุด แล้วผลการศึกษาต้องตรงไปตรงมา ไม่ใช่แบบที่รัฐบาลใช้ออกไปให้ไปหาข้อมูลว่า ชาวบ้านสนับสนุนการบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมากน้อยแค่ไหน ? เขาก็ไปรับเงินคนอื่น ไปประชุมแล้วก็แจ้งผลมา ทั้งห้องประชุมหลายพันคนยกมือสนับสนุน เขาไปลงตัวเลขเป็นว่ายกมือคัดค้าน ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็สมควรตาย...!

ก็คือไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเลขกลับหน้าเป็นหลัง กลับหลังเป็นหน้า คนคัดค้านไม่กี่คนบอกว่าเป็นคนสนับสนุน คนสนับสนุนมากมายก็ไปบอกว่าเป็นคนคัดค้าน คราวนี้การรายงานนั้น ตัวเองเป็นคนรายงาน จะปิดฟ้าด้วยฝ่ามือก็ทำได้อยู่แล้ว กว่าที่ชาวบ้านทั่วไปจะรู้เรื่องราว ก็เป็นอันว่าคนส่วนมากคัดค้านไม่ให้บัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เรื่องอุบาทว์ ๆ แบบนี้บ้านเราถนัด..!"

เถรี
10-01-2020, 21:55
"ปัจจุบันนี้มีการปล่อยข่าวออกมาและกระทำจริง ๆ แต่พอถึงเวลาโดนคัดค้านก็บอกว่าเป็นข่าวปลอม บ้านเราต้องบอกว่าเจริญก้าวหน้ายาก เพราะว่าคนยังเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ทำอย่างไรที่ปีใหม่แล้วควรจะเปลี่ยนแนวคิดใหม่ เปลี่ยนการกระทำใหม่ ? ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมให้มากกว่าส่วนตน ถ้าสามารถทำได้บ้านเราจะเจริญกว่านี้อีกมาก

ถามว่านานาอารยประเทศที่เจริญแล้วเขามีคนโกงกินไหม ? มี..แต่ถ้าจับได้เมื่อไรคุณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ไม่ใช่อย่างบ้านเราพอถึงเวลาคืนที่ดินให้ก็จบ แต่ถ้าเป็นชาวบ้านแค่เข้าไปเก็บเห็ดกลับติดคุกหัวโต..! เรื่อง ๒ มาตรฐานนี้บ้านเราถนัด น่าเสียดายที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงทุ่มเทมาตลอด ๗๐ ปีที่ครองราชย์ แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนแม้แต่วันเดียว แต่ว่าทำแล้วก็ออกมาได้แค่นี้ เพราะความเห็นแก่ตัวของนักการเมืองและผู้มีอำนาจไม่กี่คนแท้ ๆ"

เถรี
10-01-2020, 21:58
"ต้องบอกว่าคนไทยเราดีชั่วรู้หมด แต่มักจะอดไม่ได้ แม้กระทั่งช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ตายกันไปมาก ๆ ๓๐๐-๔๐๐ ศพ บาดเจ็บอีก ๓,๐๐๐ กว่าคน ทุกคนก็รู้ว่าถ้าไปด้วยการเคารพกฎจราจรก็จะปลอดภัย ถ้าไม่เมาแล้วขับก็จะปลอดภัย ถ้าไม่ขับรถเร็วจะปลอดภัย แต่ทุกคนทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองรู้ ก็ดีไปอย่างหนึ่ง...เพื่อให้พวกด้อยคุณภาพแบบนี้หมด ๆ ไป ถึงเวลาเผื่อพวกที่เหลืออยู่มีคุณภาพดีกว่า อะไร ๆ ก็จะได้ดีขึ้นมาบ้าง"

เถรี
10-01-2020, 22:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่งท้ายปีเก่า ๒๕๖๒ ต้อนรับปีใหม่ ๒๕๖๓ หยุดต่อเนื่องกันหลายวัน ญาติโยมส่วนใหญ่ถ้าไม่กลับไปฉลองกับครอบครัว ก็เข้าวัดเข้าวาสร้างบุญสร้างกุศล

ทางวัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรม ญาติโยมไปกันมากเกินคาด โดยเฉพาะการสวดมนต์ข้ามปี ปีนี้อุ่นหนาฝาคั่งดีมาก แต่ขณะเดียวกัน..บางส่วนอาตมาเห็นแล้วก็เซ็ง มีคณะญาติโยมไปเจอเรือโบราณจมอยู่ก้นแม่น้ำแควน้อยหลังวัด ก็ไปช่วยกันกู้ซากเรือมาวางไว้ด้านข้างโบสถ์ ติดกับพระเจดีย์ ๘๔ พรรษาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆมหาปรินณายก แล้วมีคนเอาดอกไม้เอาพวงมาลัยไปไหว้ เอาแป้งไปโรยเพื่อขูดหาตัวเลข

เมื่อวานนี้อาตมาบอกกับทางชาวบ้านในหมู่บ้านว่า “ถ้าต้องการ..จะยกไปไว้ไหนก็เอาไป แต่ต้องไปให้พ้นวัด ถ้าไม่ต้องการอาตมาจะเอาไว้ทำฟืนหลอมผางประทีป..!” ญาติโยมหลายคนก็งง วัดอื่น ๆ เขาต้องการของพวกนี้เพื่อเรียกคนเข้าวัด

อาตมาบอกว่า ประการแรก...ไม่ได้ต้องการให้คนเข้าวัดแบบนี้ เพราะว่าคนประเภทนี้มามากเท่าไรก็ยุ่งเท่านั้น ประการที่สอง...โบสถ์ก็อยู่ตรงนั้น พระเจดีย์ก็อยู่ตรงนั้น แทนที่จะไปไหว้พระประธานในโบสถ์ แทนที่จะไปไหว้สักการะพระเจดีย์ ดันไปไหว้เรือ...! อาตมาเห็นแล้วรู้สึกทุเรศมาก ก็เลยบอกให้รีบเอาออกไป ไม่อย่างนั้นจะเอาไปทำฟืน..!

ต่อไปถ้าเกิดใครถูกหวยเข้าสักงวดสองงวด สุดท้ายก็ไม่ไหว้พระแล้ว แต่จะไปไหว้เรือกันหมด..! สังขารหลวงปู่สายอยู่มา ๒๗-๒๘ ปี ปกติคนก็เคารพกราบไหว้กันดี แต่ถ้ามีคนดวงเฮงไปถูกหวยเพราะไอ้เรือนี่เข้า คนก็จะไปไหว้เรือกันหมด..!"

เถรี
10-01-2020, 22:14
พูดถึง "ไอ้ไข่" "ช่วงปีใหม่มีอยู่ที่หนึ่งที่ซึ่งคนไปจนรถติดบรรลัยวายวอดเลย ก็คือไปไหว้ไอ้ไข่ "ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์" พระเขาเลิกไหว้แล้ว ไปไหว้มหิทธิกาเปรต..! เพราะว่าคนเรามักง่าย อะไรที่ลำบากจะไม่ทำ

ถ้าสมมติว่าเรานั่งภาวนาพระคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ยอมลำบากสัก ๓ เดือนต่อเนื่องกัน เรื่องของลาภผลเงินทองจะเจริญยั่งยืนและมาเรื่อย ๆ ชนิดที่ไม่รู้จักหมด แต่เราไม่ทำกันเพราะว่ายาก สู้ไปไหว้ขอไอ้ไข่ไม่ได้ ขอแล้วจะได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ เห็นคนอื่นขอได้เราก็ไปขอบ้าง

ในเรื่องของความมักง่ายเกิดขึ้นในสังคมไทย จนแทบจะฝังรากอยู่ในดีเอ็นเอแล้ว ประมาณว่าชีวิตไม่เจริญก้าวหน้า มีอุปสรรคก็เปลี่ยนชื่อ กูจะบ้า..! ชีวิตแย่เพราะว่า กาย วาจา ใจ ของตนเองไม่ดี ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่เปลี่ยนชื่อ บางคนเขียนชื่อมาอ่านไม่ออกเลย ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อาตมาสอบภาษาไทยได้ที่ ๑ มาตลอดตั้งแต่ชั้นประถม แต่อ่านชื่อเขาไม่ออก แถมยังแปลไม่ได้อีกด้วย

ก็เลยมีหลักการง่าย ๆ ว่าดูเอาก็แล้วกัน ถ้าชื่อยังยากแล้วชีวิตจะง่ายได้อย่างไร ? คนเขาจะว่าอาตมาต่อต้านการเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ? เพียงแต่อยากจะบอกว่าสาระที่แท้จริงนั้น ถ้าคุณต้องการจะเปลี่ยนชีวิตก็ต้องเปลี่ยนความประพฤติ ปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของตัวเองให้อยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา ให้มั่นคง แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง เพียงแต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นของยาก สู้เปลี่ยนชื่อไม่ได้ บางคนเปลี่ยนชื่อปุ๊บ พอดีกุศลเก่ามาหนุน อะไร ๆ ก็เจริญไปหมด ก็ยิ่งเชื่อฝังหัวเข้าไปใหญ่

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อแม่ลูก ๕ คนในบ้าน แต่ละชื่ออาตมาอ่านไม่ออกเลย ลองเขียนเป็นภาษาอังกฤษดูสิว่าฝรั่งจะอ่านกันออกไหม ?"

เถรี
10-01-2020, 22:16
"คิดไม่เหมือนชาวบ้านเขาก็อย่างนี้แหละ ถึงได้บอกว่าคนปฏิบัติธรรมนั้นสวนทางกับชาวบ้าน ชาวบ้านเขาเฮกันไปข้างหน้า พวกเราดันเดินย้อนหลัง ชาวบ้านเขาแห่ลงตีนเขา..เดินง่ายดี ไอ้เราดันตะกายขึ้นยอดเขา ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับตบะ ใครทำมามาก ทนปากชาวบ้านได้ ก็ประสบความสำเร็จ ทำมาน้อย ทนปากชาวบ้านไม่ได้ ก็ไหลตามเขาไป"

เถรี
10-01-2020, 22:26
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่ช่วงหนึ่งฟังเพื่อนพระท่านพูดภาษาอังกฤษ ท่านกล้ามาก พูดถูกหรือผิดอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ท่านก็กล้าพูด ถึงเวลาอาตมาก็ต้องคอยแก้ให้เขาว่า ภาษาอังกฤษคำนี้ต้องเป็นอย่างนี้ คุณไปใช้สามเณรว่า Samanara ฝรั่งเขาฟังไม่รู้เรื่อง รู้จักแต่ Novice

เพื่อนกล้าพูดเราก็ต้องสนับสนุน อะไรที่พูดผิดพูดถูกก็ปล่อยเขา ให้เขานำเสนอได้ก็แล้วกัน ก็บอกให้ฝรั่งภาวนาพองยุบ เขาบอกว่า See in your stomach. อาตมาบอกให้เปลี่ยนใหม่ See in center of your body. ฝรั่งจะเข้าใจมากกว่า"

เถรี
12-01-2020, 00:37
ถาม : หนูไม่รู้ทำอะไรผิดมา ขณิกสมาธิยังไม่ได้เลยค่ะ กำหนดภาพพระดูลมแล้วเหมือนนิวรณ์ ๕ มาครบค่ะ แม้กระทั่งจัดเทียนหอมถวายพระก็หงุดหงิด กำหนดภาพพระก็โดนความคิดเบียดค่ะ ?
ตอบ : ไปวิ่งสัก ๓-๔ กิโลเมตร พอเหนื่อยใจก็จะกลับมาอยู่กับพระเอง คือคนเราถ้าไม่ใกล้ความตาย ใจจะไม่เกาะความดี กิเลสจะพาเราเตลิดเปิดเปิง คราวนี้เราไปกดเอาไว้นาน พอกดเอาไว้นานมีช่องแม้แต่นิดเดียว กิเลสก็จะดิ้นสุดชีวิต เพราะเขารู้ว่าเขาจะตาย เมื่อกิเลสใกล้ตายก็จะอาละวาดอย่างนั้น

คราวนี้ทำอย่างไรที่เราจะสู้ได้ ? ในเมื่อเราสู้ตรงนี้ไม่ได้...ก็พากิเลสวิ่ง พอเหนื่อยหายใจไม่ทัน รู้ว่าตัวเองใกล้ตายจนกระทั่งหายใจไม่ทัน ใจจะวิ่งกลับมาอยู่กับการภาวนาเอง วิ่งไป ๘-๑๐ กิโลเมตร หรือสมัครวิ่งมาราธอนไปเลยก็ได้

ถาม : เป็นเรื่องปกติใช่ไหมคะ เพราะเราไปกดไว้ ?
ตอบ : ถูก...เรากดกิเลสไว้แล้วเราก็เผลอไปปล่อย มีช่องแม้แต่นิดเดียวกิเลสก็แทรกมาแล้ว อย่างเช่น เราปล่อยให้มีช่องเพราะไปจุดเทียนหอม กิเลสก็ฉวยโอกาสอาละวาดเลย

ถาม : ธรรมดาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ธรรมดา ถ้าไม่เป็นสิประหลาด ไปสู้ใหม่ อย่าเพิ่งท้อ

เถรี
12-01-2020, 00:45
ถาม : ตอนไปธุดงค์ ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง หนูก็ไม่รู้ว่าหนูเป็นหรือไม่เป็น ระหว่างไปตอนแรกก็เหมือนเป็น เรารู้ตัวแต่รู้ตัวเหมือนลอย ๆ ขึ้นไปข้างบนไปถามว่าหลวงปู่ปานจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามีพระนามว่าอะไร หนูไปถามท่านก็ได้คำตอบมา แต่หนูไปถามคนอื่นไม่มีใครรู้เลยค่ะ ?
ตอบ : สมเด็จพระธัมมราชาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถาม : แสดงว่าที่หนูเห็นไม่เฝือใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ของอย่างนี้อย่าไปถามเพราะว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร ที่ควรจะเกิดประโยชน์ก็คือทำอย่างไรที่ให้เราหมดกิเลสต่างหาก แล้วการใช้มโนมยิทธิต้องรู้เทคนิค ถ้าอยากเห็นชัดเจนสม่ำเสมอ พอรู้ตัวว่าจิตเฝือ การรับรู้เริ่มจางลง ให้วิ่งกลับมาหาลมหายใจใหม่ แสดงว่าตอนนั้นกำลังสมาธิไม่พอใช้งานแล้ว มาอยู่กับลมหายใจเข้าออกสักพักใหญ่ ๆ พอสมาธิทรงตัวแล้วค่อยไปใหม่ ทำสลับไปสลับมาอย่างนี้ความชัดเจนจะสม่ำเสมอ แต่ถ้าหากเราประเภทไปตียาวเป็นชั่วโมง...แบบนั้นเจ๊งแน่ ท้าย ๆ จะมั่ว อย่าไปว่าใครเลย อาตมาลองผิดลองถูกอยู่ตั้ง ๓ ปี

เถรี
12-01-2020, 00:52
ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากดกรรมฐานนานเกินไป ?
ตอบ : พอสมาธิทรงตัวก็มาพิจารณา พอพิจารณาไปเรื่อย ๆ จิตเหนื่อยก็จะไปภาวนาเอง พอภาวนาเสร็จแล้วเรามาพิจารณา ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเราภาวนาแล้วไม่พิจารณา เผลอเมื่อไรกิเลสจะเอากำลังตรงนั้นไปฟุ้ง แล้วจะฟุ้งชนิดเอาไม่อยู่อย่างที่เราเจอมา เพราะว่ากิเลสใช้กำลังของเรามาตีเราเอง สร้างอาวุธได้ต้องเอาไปกำจัดศัตรู สร้างแล้วปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ ศัตรูไปฉวยได้ก็จะเอามาฟันหัวเราเอง

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เราอ่อนวิปัสสนา ไม่ใช่อ่อนสมถะ ส่วนใหญ่จะถนัดสมถะแล้วก็ลืมพิจารณา พอลืมพิจารณา รัก โลภ โกรธ หลง จะเอากำลังไปใช้ ในเมื่อคุณไม่ใช้ ผมจะใช้แทนอะไรอย่างนั้น เราก็ลำบากแล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ยังอีกเยอะ หลักการปฏิบัติถ้าหากว่าเราน้ำตาไม่ร่วงแล้วไม่ร่วงอีก ก็จะไม่เข็ด พอเข็ดแล้ว คราวนี้จะเริ่มรู้จักแล้วว่าทำอย่างไรจะให้ทรงความดีได้นาน ๆ

ถาม : ทุกวันนี้หนูร้องไห้จนตาบวม
ตอบ : เรื่องปกติ ‘น้ำตาที่ไหลรวมกันทุกชาติ มากกว่ามหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นไหน ๆ’ ไปกังวลอะไรกับร้องไห้อีกสักงาน ๒ งาน

เถรี
13-01-2020, 22:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำทานคือการสละออก โดยเฉพาะการสละออกซึ่งความยึดมั่นถือมั่น ทานที่สูงสุดคือทานที่ประกอบไปด้วยอุเบกขา ไม่ใช่ว่ากูไม่ได้ถวายกับมือก็ไม่ใช่ทาน ถ้าอย่างนั้นก็รอไปเถอะ..!"

เถรี
13-01-2020, 22:48
ถาม : ตะกรุดดอกนี้ตีเป็นของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ตะกรุดคู่ชีวิตหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ถ้าเป็นสามกษัตริย์จะใหญ่กว่านี้ ถ้าเป็นแค่สองกษัตริย์หรือว่าเนื้อเดียวก็จะยาวกว่านี้ ต้องเห็นของมาเยอะ ๆ ถ้าไม่เห็นของมาเยอะ ๆ โดยเฉพาะของจริงนี่เราจะแยกไม่ออก ของบางอย่างถ้าที่มาไม่ชัดเจน เราต้องประมวลให้ใกล้เคียงที่สุด

เพราะฉะนั้น..ดอกนี้อาตมาตีเป็นของหลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม ประมวลเอาตามลักษณะลายถักและน้ำหนัก โดยเฉพาะเลี่ยมจนไม่สามารถเห็นหัวท้ายได้แบบนี้ ถ้าตีว่าเป็นของวัดบางกะพ้อม บางคนบอกว่าหาเรื่องตีเป็นของแพง เพราะว่าของวัดบางกะพ้อม หน้าตาอย่างนี้คือตะกรุดมหาระงับ ถ้าเป็นของหลวงปู่ศุขก็เป็นตะกรุดจันทร์เพ็ญ ถ้าเป็นของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จะเป็นตะกรุดคู่ชีวิต

เถรี
13-01-2020, 22:52
ตะกรุดที่ลงรักหรือลงยางมะพลับจะเป็นลักษณะแบบนี้ ก็คือตัวยางรักหรือยางมะพลับจะรัดเป็นเนื้อเดียวกับเชือกที่ถักไปเลย ถ้าไปเจอตะกรุดที่ไหนแตก ๆ ร้าว ๆ ล่อนเป็นแผ่น ๆ ให้ถอยไปห่าง ๆ ไว้ก่อน เพราะว่าสมัยนี้เขาทำปลอมได้เก่งมาก

เขาจะไปเอาแผ่นเสียงครั่งแบบเก่า ๆ โดยเฉพาะที่หมดสภาพแล้วมาหลอมแล้วเอาตะกรุดลงไปชุบ ลักษณะอย่างนั้นจะทำให้ออกเป็นสีแดงเพราะเนื้อครั่ง ซึ่งในยุคแรก ๆ ของการลงรักมักจะเป็นรักจีน ซึ่งจะออกสีแดง ไม่ใช่ดำสนิทแบบรักไทย แต่คราวนี้พอชุบครั่ง ซึ่งไม่นานพอที่จะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเชือกถัก ก็จะมีรอยแตกจะร้าวเป็นปกติ โดยเฉพาะถ้าเป็นการลงรัก รักยิ่งเก่าจะยิ่งมันเงาใส ยกเว้นอยู่สำนักเดียวก็คือวัดโตนดหลวง ที่ท่านใช้วิธีพอกครั่ง ซึ่งครั่งไม่ได้เงาแบบรัก ครั่งของหลวงพ่อทองศุขท่านพอกตะกรุด จะหนามาก ถ้าไม่มีรอยแตก ไม่มีจุดแดง จะเป็นของปลอม ถ้าเป็นรักสีแดงแต่หนา แตก ล่อน ให้ระแวงไว้ก่อนว่านั่นเป็นของปลอม..!

เถรี
13-01-2020, 22:55
ครั่งก็จะมีรอยแตกเป็นปกติ เพราะว่าเนื้อไม่ได้จับกันแน่นถึงขนาด แต่ส่วนที่สังเกตง่ายก็คือ เนื้อครั่งจะมีจุดสีแดง ๆ แทรกอยู่มากบ้างน้อยบ้าง จุดสีแดง ๆ ก็คือตัวครั่งซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ เหมือนกับพวกไร พอถึงเวลาโดนบี้ตายพร้อมกับรังก็จะมีเลือดติดอยู่เป็นจุด ๆ แดง ๆ

เรื่องพวกนี้ต้องค่อย ๆ ศึกษา ค่อย ๆ ดูไป โดยเฉพาะต้องเจอคนไม่หวงวิชา มีเจตนาที่จะศึกษาเพื่อเผยแพร่ต่อจริง ๆ แล้วที่สำคัญก็คือต้องมีของแท้ให้ดูเป็นตัวอย่าง พอถึงเวลาเปรียบกับของเทียมแล้วก็จะเห็นได้ชัดเลย

วันก่อนอาตมาไปเจอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเล่มหนึ่ง ฝักแท้แต่ใบมีดปลอม น่าตายมาก...! ถ้าตัวมีดแท้ฝักปลอมยังว่าจะเอาไว้ใช้ คราวนี้ฝักแท้แต่มีดปลอมแล้วตูจะไปใช้อะไรได้ ? คือของเขามีส่วนแท้อยู่ด้วย คนที่ตาไม่ถึง สังเกตไม่ดี เวลาเห็นกลัวคนอื่นตัดหน้าก็คว้าเลย ถ้าอย่างนั้นก็เสร็จโจรแล้วครับ..!

เถรี
13-01-2020, 22:57
การเล่นวัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง...อย่าโลภ คำว่า โลภ ในที่นี้ อันดับแรกก็คือ เห็นแล้วอยากได้ ตั้งราคาไว้ในใจของเรา กำหนดความสวยของวัตถุมงคลไว้ในใจของเรา ถ้าไม่ได้งามขนาดนี้ไม่เอา

ประการที่ ๒ อย่าศึกษาหลายอย่างพร้อม ๆ กัน...แบบนั้นเก่งยาก เอาทีละอย่าง พอเก่งแล้วค่อยขยับไปอย่างอื่น มั่นใจว่าดูด้วยตัวเองขาดแน่นอน ไม่ต้องไปอาศัยตาใคร แล้วค่อยขยับไปศึกษาอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นแล้วมีโอกาสโดนสอยเยอะมาก เพราะว่าเทคโนโลยีสมัยนี้ไปไกล ปาดคอเซียนมาเยอะแล้ว

เถรี
13-01-2020, 23:03
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยม "ถ้าจะดื้อก็ต้องดื้อในเรื่องที่สมควร ดื้อในเรื่องที่ไม่สมควรอย่าไปดื้อ คำว่า ดื้อ ในที่นี้ก็คือการยืนกราน อย่างเรื่องของหลักธรรม ถ้าถูกต้องก็ต้องยืนกราน ต้องดื้อให้เป็น ไม่ใช่ดื้อไปทุกเรื่อง ถ้าดื้อไปทุกเรื่องบางครั้งก็ทำให้เสียประโยชน์"

เถรี
13-01-2020, 23:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลที่เอาลงตู้วันนี้ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ มีของหายากก็คือ ตะกรุดมงกุฎพระพุทธเจ้าทองคำ หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง มีเพื่อนบางท่านบอกว่าพระโบราณเคร่งครัดมาก ไม่ใช้เงินหรือทองคำทำตะกรุด อาตมาก็ทราบว่าพระโบราณเคร่งครัดมาก แต่นั่นหมายถึงการจับเงินจับทองที่รับเป็นของตนเอง ถ้ารับเป็นของตนเองนั้นโดนปรับอาบัติ เพราะว่าทำให้ศีลขาด

แต่คราวนี้บรรดาพ่อค้าคหบดีหรือเจ้าใหญ่นายโต ตลอดจนท่านที่อยู่ในรั้วในวังมาให้ทำวัตถุมงคล วัสดุของท่านเป็นเงินเป็นทอง หลวงปู่หลวงพ่อท่านก็ทำให้ โดยเฉพาะหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ในรั้วในวังท่านขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา

จะว่าไปแล้วอาตมาเองก็ไม่ได้เจอง่าย ๆ เหมือนกัน ถ้าตะกรุดทองคำของท่านนี่ในชีวิตก็เจอแค่ ๒ ดอก เขาเรียกว่าตะกรุดมงกุฎพระพุทธเจ้า เป็นพระคาถาที่หลวงปู่เอี่ยมท่านถวายในหลวงรัชกาลที่ ๕ ตอนเสด็จไปยุโรป แล้วก็ปลอดภัยกลับมา สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณขจรขจายไปทั่วโลก"

เถรี
13-01-2020, 23:09
"หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง นั่นท่านมีชื่อเสียงโด่งดังก็เพราะว่าคนเขาไปยกเอาหมากทุยของท่านเข้าทำเนียบ ๙ เครื่องรางสะท้านแผ่นดิน อันดับแรกเลยก็คือ "หมากดีที่วัดหนัง" คนรุ่นหลังก็เลยไปคิดว่าท่านเก่งเฉพาะหมากทุย ความจริงพระระดับนั้นทำอะไรก็ขลังไปหมด

ถ้าจะเอาไว้บูชาเองก็เอา ถ้าจะเอาไปจำหน่ายต่อให้ระวังไว้ เซียนสมัยนี้ไม่ค่อยมีจรรยาบรรณหรอก เขาเรียกว่าช่วยกันแห่ ไปโต๊ะที่ ๑ บอกว่าปลอม โต๊ะที่ ๒ บอกว่าปลอม โต๊ะที่ ๓ บอกว่าปลอม ทั้งสนามบอกว่าปลอม แล้วเขาจะไปแอบดักซื้อราคาถูก ๆ ทีหลัง พอไปอยู่ในมือของเขาเมื่อไรก็จะแท้ทันที..!

วันก่อนที่เพิ่งจะยิงกันตายไป ก็คือขายที่ดินแต่โดนนายธนาคารกดราคาเหลือแค่ ๘ ล้านบาท แล้วตัวเองเอาไปขายต่อในราคา ๓๐ ล้านบาท เจ้าของเดิมทนไม่ไหว ตามไปยิงตายคางานฉลองปีใหม่เลย

เล่นวัตถุมงคลให้เล่นเพราะรักชอบเป็นการส่วนตัว อย่าไปเล่นเพราะหวังเอากำไร ไม่อย่างนั้นจะเสียอารมณ์เวลาเจอ "เสี้ยน" หลอกฟันเราหลายชั้น"

เถรี
13-01-2020, 23:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีใหม่ให้ปฏิวัติตัวเอง ถ้าเคยเดินห้างครึ่งวันเราก็เดินห้างแค่ ๒ ชั่วโมงแล้วไปเดินวัด ๒ ชั่วโมง แบ่งกันคนละครึ่ง ความเจริญจะได้ปรากฏแก่เราเสียที

การที่เราทำสิ่งดีหรือชั่วก็ตาม จะเกิดพลังที่ส่งผลให้เรียกว่า วิบาก ภาษาบาลีเรียกว่า วิปากะ พลังทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลให้เฉย ๆ ยังดึงเอาพลังประเภทเดียวกันเข้ามาหาด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าเราทำแต่สิ่งที่ดี ๆ พอถึงเวลาพลังความดีมีมาก ก็จะดึงดูดเอาสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิต นั่นก็คือเป็นกุศลวิบาก การส่งผลในด้านดีด้านเจริญ

แต่ถ้าเราทำในส่วนที่ชั่วมากกว่า ถึงเวลาการส่งผลก็จะทำให้เกิดพลังดึงดูดสิ่งที่ไม่ดีเข้ามามาก ชีวิตเราก็จะเดือดร้อน เขาเรียกว่า อกุศลวิบาก คือการส่งผลของสิ่งที่ไม่ดีหรือกรรมที่ไม่ดีของเรา เพราะฉะนั้น..วิธีแก้ไขก็คือต้องเพิ่มบุญเพิ่มกุศล

อย่างช่วงปีใหม่ไปตระเวนไหว้พระ ไปสวดมนต์ข้ามปี ไปเจริญจิตภาวนา นั่นเป็นการเพิ่มกุศลวิบาก ดังนั้น..ต้องบอกว่าโบราณท่านมีความฉลาดมาก ให้เรานำสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิต พอถึงเวลาถ้าสามารถนำเข้ามาได้มาก กำลังที่ส่งผลก็จะดึงดูดเอาสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตของเรา ก็จะเป็นผู้ที่เจริญรุ่งเรือง เพราะฉะนั้น..เราก็ควรจะรู้ว่าปีใหม่ควรที่จะทำอะไร และอย่าทำเฉพาะปีใหม่ ทำได้ทั้งปี และทำได้ตลอดไปจะดีที่สุด ประเสริฐที่สุด"

เถรี
13-01-2020, 23:18
"การทำความดีแรก ๆ ก็เหนื่อย เหมือนพายเรือทวนน้ำ แต่หลังจากที่เราทำบ่อย ๆ ก็จะมีความแข็งแรงมากขึ้น ๆ การพายเรือทวนน้ำกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ปัญหาแล้ว สามารถทวนได้แบบสง่าผ่าเผยและไม่หนักแรง เพราะว่ามีกำลังมาก แต่ถ้ากำลังไม่พอก็เหนื่อยเกือบตาย ท้อบ้าง ถอยบ้าง เลิกทำไปบ้าง

น่าเสียดายบางท่าน อุตส่าห์ฝ่าฟันมาอยู่ในจุดที่กำลังความดีกำลังจะสนองอยู่แล้ว แต่ไปรามือเสียก่อน ขาดต้นทุนอีกนิดเดียวเท่านั้น ทำเพิ่มอีกนิดเดียวก็มีแต่สิ่งที่ดี ๆ เข้ามาแล้ว แต่ไปถอดใจเสียก่อน

ต้องดูตัวอย่างนักกีฬาจากแอฟริกา แข่งมาราธอนโอลิมปิกได้รับบาดเจ็บ อุตส่าห์โขยกเขยกจนกระทั่งเข้าสู่เส้นชัย ต้องบอกว่าเขาวิ่งไม่ใช่วิ่งเพราะต้องการจะชิงเหรียญ แต่เขาวิ่งเพราะว่าประเทศชาติส่งเขามาทำหน้าที่นี้ ต่อให้บาดเจ็บแค่ไหนเขาก็ต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ เมื่อได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่แล้ว ก็สามารถตอบต่อตัวเองได้ สามารถตอบต่อประชาชนในประเทศได้ โดยเฉพาะสามารถตอบต่อรัฐบาลที่ส่งตัวเองมาแข่งขันได้

นี่คือกำลังใจพระโพธิสัตว์ กำลังใจของพระมหาชนก ว่ายน้ำอยู่ในทะเลที่มองไม่เห็นฝั่ง ๗ วัน ๗ คืน นางมณีเมขลาผ่านมาเห็นเข้า บอกว่าไกลจนไม่เห็นฝั่งอย่างนี้ เกินกำลังที่ท่านจะทำได้แล้ว ทำไมยังเพียรพยายามว่ายน้ำอยู่ ? พระมหาชนกตอบว่า ถ้าระยะทางอยู่ในความเพียรของตนเอง สามารถว่ายถึงได้แต่ไม่ทำ ก็ถือว่าขาดความเพียร ขาดปัญญาอย่างมาก แต่ถึงระยะทางจะไกลเกินกำลัง ว่ายไปจนท้ายสุดต้องจมน้ำตาย ก็ตอบตนเองได้ว่าใช้ความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว

นางมณีเมขลาฟังแล้วชอบใจจึงอุ้มไปส่ง ต้องบอกว่ารอดตายเพราะความเพียร ไม่ท้อถอย ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยกพระมหาชนกให้พวกเราดูว่า พระองค์ท่านเพียรมาตลอด ๗๐ ปีเพื่อที่จะช่วยชาวบ้านของเราให้พอมี พอกิน พออยู่ แต่ปรากฏว่าส่วนน้อยที่รับเอาสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ท่านบำเพ็ญเป็นตัวอย่างเอาไปใช้งาน ส่วนมากก็ยังไหลตามกระแสบริโภคนิยม ที่อาตมาใช้คำว่า คนไทยเราดีชั่วรู้หมด แต่มักจะอดไม่ได้"

เถรี
15-01-2020, 20:56
โยมถวายน้ำส้ม "เห็นหลวงพ่อตัวแค่นี้ ถวายให้ฉันทีเป็นลังเลย..! ทำบุญต้องใช้ปัญญาด้วย หลวงพ่ออยู่คนเดียว ฉันอะไรทีหนึ่งเป็นลัง ส่วนใหญ่พวกเราเอามากเข้าว่า เน้นปริมาณ ไม่เอาคุณภาพ

ญาติโยมที่อยู่ข้างล่างโปรดทราบ น้ำส้มเหลือจากหลวงพ่อแล้ว ลุยได้เลย น่าจะอร่อยมาก เพราะว่าเจ้าของขนมาถวายด้วยความมั่นใจ แต่มาเจอหลวงพ่อลิ้นจระเข้ ฉันอะไรก็ไม่เคยอร่อย ทำให้โยมหมดอารมณ์มาเยอะแล้ว ถวายมากยังโดนดุอีกต่างหาก

โดยเฉพาะพวกถวายเงินมาก ๆ เคยไล่กลับไปให้นอนคิด ๑ อาทิตย์ ว่าถ้าไม่เดือดร้อน ไม่ต้องใช้อย่างอื่นแล้วค่อยเอามาใหม่ ถามว่าหลวงพ่อต้องใช้เงินไหม ? ต้องใช้..แล้วช่วงนั้นใช้มากด้วย แต่ไม่ใช่ว่ารับถวายแบบสิ้นสติ เอามาทีเป็นล้าน ๆ ต้องดูให้รอบคอบก่อนว่าตัวเอง ลูกเมีย ครอบครัว ปู่ย่าตาทวด มีใครต้องใช้ไหม ถ้ามีเอาไปให้เขาก่อน

รายนั้นหายไป ๗ วันก็มาใหม่ "คิดรอบคอบแล้วครับ ไม่มีใครจะเดือดร้อนเพราะเงินก้อนนี้ของผม และผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อย่างอื่น" ถ้าอย่างนั้นก็จะรับไว้ ฉะนั้น...โยมทำบุญตรงนี้ อาจจะเจอประเภทบ่นบ้าง ถ้าสนิทกันมากก็อาจจะด่าเลย เพราะว่าไม่อยากให้พวกเราทำบุญแบบสิ้นสติ"

เถรี
15-01-2020, 20:57
"อาตมามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ตอนนี้ก็คงจะลำบากในชีวิต เพราะว่าตอนนั้นที่ไทรโยค มีฤๅษีอาศัยอยู่ในถ้ำ ถ้าใครติดตามข่าว เขาเรียกว่า ฤๅษีเพ่งอึ ก็คือไปถ่ายกองเอาไว้ แล้วก็ไปนั่งพิจารณา ไม่รู้ว่าพิจารณาอสุภกรรมฐาน หรือว่าพิจารณาเอาขลังก็ไม่รู้

โยมเกิดศรัทธา เบิกเงินสดไปถวาย ๑๐ ล้านบาท ลืมไปว่าตัวเองจะต้องใช้ คราวนี้เล่นเอาเงินสำรองทีเดียวหมด ก็ทะเลาะกันบ้านแตก เมียหนีเลย อาตมาไม่อยากให้เจอปรากฎการณ์แบบนั้น ทำบุญก็ทำอย่างมีสติ ทำบ่อย ๆ ทำน้อย ๆ ใจจะสละออกได้เรื่อย ๆ ความโลภในใจเราจะได้ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย"

เถรี
15-01-2020, 21:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน ให้หันหัวลง คุณห้อยไม่เหมือนชาวบ้านเขา รู้ไหมอาตมาพูดเรื่องอะไร ? คนอื่นเขาไม่รู้หรอก แต่เจ้าตัวจะรู้

สมัยก่อนแถวบ้านอาตมา คนอิสลามแห่ไปหาหลวงปู่เมฆ วัดลำกระดานกันหมด ช่วงนั้นแถวประเวศ หนองจอก มี "แชแดง" เป็นหมอไสยศาสตร์อิสลามโด่งดังมาก เสกผ้ายันต์แดง ลองได้เลย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า ไปลองของกับหลวงปู่เมฆ หงายหลังตึงกลับมา ตั้งแต่นั้นมาอิสลามแถวนั้นแห่ไปวัดหลวงปู่เมฆกันหมด

เหตุที่เขาไปได้ เพราะว่าหลวงปู่เมฆส่วนใหญ่ท่านทำปลัดขิก ไม่มีรูปพระ พวกนี้ก็อ้างว่าไม่มีรูปพระ ความจริงก็คืออยากได้นั่นแหละ ปกติเขาไม่เอาของพวกนี้หรอก"

เถรี
15-01-2020, 21:11
"เพื่อนอิสลามลากอาตมาไป “ไป ๆ ๆ พี่ หลวงปู่เก่งจริง ๆ เลย แชแดงยังหงายหลังกลับมา” ปรากฏว่าไปพอดีเหลือเกิน เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใคร โผล่เข้าไป หลวงปู่เมฆท่านก็นั่งอยู่บนเตียง ควาน ๆ ใต้เตียง ดึงเอาห่อผ้าอาบเก่า ๆ ออกมา โห...ปลัดขิก ๒๐ - ๓๐ ตัว เอามาเสกใหม่ให้เลย ต่อหน้าต่อตา ความจริงท่านบอกว่าของกูเสกไว้ดีแล้ว แต่พวกมึงไม่ค่อยเชื่อกัน ต้องเสกให้เห็น เสร็จแล้วท่านให้มาคนละตัว

อาตมามีเพื่อนเป็นอิสลามเยอะมาก อย่างปัจจุบันนี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็บังนิด โต๊ะอิหม่าม มัสยิดทองผาภูมิ ชื่อนรินทร์ อายุบเคน บังนิดบอก “อาจารย์..ถ้าผ่านไทรโยค แวะฉันน้ำชาที่บ้านผมก่อนนะ” พวกเราส่วนใหญ่พอเห็นผู้ชายไว้หนวดไว้เคราเฟิ้มเลยก็มักจะกลัว ความจริงแล้วท่านใจดีจะตาย"

เถรี
15-01-2020, 21:45
"อาตมาไปปากีสถาน เจอแต่แบบนี้ทั้งนั้น ผู้ชายอิสลาม โดยเฉพาะปากีสถาน ไว้หนวดไว้เครากันทุกคน อาตมาผ่านสนามบินอิสลามาบัด เจ้าหน้าที่ผู้หญิงต้อนไปห้องผู้หญิงเลย ไปค้นตัว เพราะว่าอาตมาใส่ชุดแบบนี้ก็เหมือนกระโปรง แล้วไม่มีหนวด ไม่มีเครา เขาต้อนเข้าห้องผู้หญิงไปเลย เป็นผู้หญิงซะหน่อยก็ดี..ใช่ไหม ?"

เถรี
15-01-2020, 21:47
"แต่ว่าจริง ๆ แล้ว เขาเองก็เหมือนกับพวกเรานั่นแหละ ถามเขาแล้วว่าเป็นความเชื่อทางศาสนาที่ผู้ชายจำเป็นต้องไว้หนวดไว้เคราใช่ไหม ? เขาบอกไม่ใช่ ไม่มีคำสั่งเรื่องนี้ในพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน แต่เนื่องจากว่าท่านนบีมูฮัมหมัดต้องต่อสู้เพื่อพี่น้องอิสลาม จนกระทั่งไม่มีเวลาจะโกนหนวดโกนเครา ก็เลยเห็นดูเท่ ทำให้ไว้ตามกัน

ต้องบอกว่าท่านนบีเป็นสุดยอดต้นแบบ เพราะว่าผู้ชายอิสลามกี่ร้อยล้านก็ทำตามท่านหมดเลย คราวนี้พอเราเห็นผู้ชายไว้หนวดไว้เคราก็ไปตีว่าโหดร้าย ทารุณ ความจริงเขาก็เหมือนกับเรานี่แหละ แต่ละคนนิสัยแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ค่อนข้างจะอ่อนโยนและเป็นมิตรเสียด้วยซ้ำ

อาตมาไปปากีสถานเขากุลีกุจอช่วย บางคนดุแรงหน่อย...เหี่ยวเลย แม้แต่ในบ้านเราก็เหมือนกัน เจ้าโสขับรถตู้ พอเสียงพระอาจารย์เล็ก "ไอ้โส...!" หน้าเหลืออยู่ ๒ นิ้ว ทั้ง ๆ ไว้หนวดยาวเกือบศอก หน้าตามึงโหดมากเลยนะ..!"

เถรี
15-01-2020, 21:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้เอาเบญจภาคีพระปิดตามาลงตู้ โดยเฉพาะปรมาจารย์ใหญ่ คือ หลวงปู่จีน วัดท่าลาด มีมา ๒ องค์เลย ก็คือพิมพ์แข้งหมอนกับไม้ค้ำเกวียน

หลวงปู่จีน วัดท่าลาด เป็นอาจารย์ใหญ่สายพระปิดตา แม้แต่หลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ที่ดังระเบิดเถิดเทิงก็เป็นลูกศิษย์ท่าน

หลวงปู่เจียม วัดกำแพง หลวงปู่ภู่ วัดนอก หลวงปู่ครีพ วัดสมถะ หลวงปู่โต วัดเนิน ลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น

ส่วนอาตมาว่าหลวงปู่ไข่ วัดเชิงเลนน่าจะใช่ด้วย เพราะว่าพระหลวงปู่ไข่ ถ้าเอายันต์ข้างหลังออกนี่เหมือนกันแม้กระทั่งพิมพ์ เนื้อเหมือน พิมพ์เหมือนอย่างเดียวไม่ว่า ทั้งแม่พิมพ์น่าจะเป็นตัวเดียวกันอีกด้วย"

เถรี
15-01-2020, 21:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลังเพลจะเอาพระวัดปากน้ำรุ่น ๑ เคลือบแชลแล็คมาลงตู้ให้ ใครอยากได้เตรียมไว้ ๕๐,๐๐๐ บาท

สมัยก่อนยายแจวเรือไปวัดปากน้ำ ถึงเวลาทำบุญทีหนึ่งได้องค์หนึ่ง ยายมีลูก ๗ คน จะทำบุญเผื่อ หลวงปู่ไล่กลับ ถามว่า "ทำไม ?" "เก็บเงินไว้เลี้ยงลูกบ้าง" สมัยก่อนค่าเงินแพง

ใช้วิธีผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ถึงเวลาวันพระ หิ้วปิ่นโต ลงเรือ ไปวัด ถวายเพล จากตรงสามแยกไฟฉาย จำไม่ได้ว่าไปลงเรือด้านไหน เพราะเดี๋ยวนี้ถนนหนทางมาแทนคลองหมดแล้ว จำได้แต่ว่าบ้านยายเป็นสวน มีลำประโดงชักน้ำเข้า ก็พายเรือออกไป ไปดักเรือเมล์ เรือก็ผูกไว้แถว ๆ ปากลำประโดง ลงคลองภาษีเจริญ ขึ้นเรือเมล์ไป

อยากได้หลายองค์ หลวงปู่ไม่ให้ ต้องผลัดกันไป บางคนได้มา ด้วยความเคารพศรัทธามาก แขวนติดตัวไว้ อาบน้ำแล้วเหลือครึ่งองค์ พระละลายหมด ต้องไปขอท่านใหม่ หลวงปู่วัดปากน้ำก็เลยต้องแก้ไขใหม่ พระของท่านสร้างด้วยผงวิเศษ ไม่ได้ผสมตังอิ๊วด้วย ก็เลยต้องเอาแชลแล็คมาเคลือบ"

เถรี
15-01-2020, 22:02
พูดถึงโครงการวิ่งไล่ลุง "วิ่งไล่ลุงเขาไปกันถึงไหนแล้ว ? อาตมาแค่ได้ยินว่ามีกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ไม่ได้ติดตามข่าวก็เลยไม่รู้ว่าเขาจัดกันตอนไหน อยากจะบอกว่าไม่ต้องเสียเวลาไปวิ่งไล่หรอก อะไรที่ทำแล้วไม่ถูกใจชาวบ้าน เดี๋ยวเขาก็ออกมากันเองแหละ ไปวิ่งไล่ให้เหนื่อยทำไม ? แต่ถ้าจะวิ่งเพื่อสุขภาพก็วิ่งไป

สถานการณ์บ้านเมืองเราไม่ค่อยจะดี หลวงปู่หลวงพ่อทิ้งสังขารไปหลายต่อหลายองค์

หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง พระวิปัสสนาจารย์ใหญ่ของภาคเหนือเลย

หลวงปู่ชุ้น วัดวังตะกู ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม องค์นั้นก็สุดยอดพระตงฉิน จบนักธรรมเอก อาศัยผลงานเข้าสู้ กลายเป็นเจ้าคุณชั้นธรรมได้ ยุคสมัยที่ท่านอยู่นี่ บรรดาพระอีเหละเขละขละไม่มีใครกล้าเข้านครปฐม เพราะว่ามีเสือร้ายอยู่ที่วัดวังตะกู..!

หลวงปู่พระครูสุนทรกาญจนคุณ (หลวงปู่มหาพล) ที่พวกเราเรียก หลวงปู่แก่น วัดเขื่อนท่าทุ่งนา มรณภาพอายุ ๙๓ ปี เอาพระเถระระดับวัตถุโบราณไปทั้งนั้นเลย"

เถรี
15-01-2020, 22:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนติดตามเพจชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน บ่นว่าทำไมอาตมางานเยอะมาก ต้องบอกว่า อยู่ที่การที่ไม่เกี่ยงงาน ตั้งแต่เด็กมา อาตมาไม่เคยเลือกงาน งานหนักงานเบาอะไรทำหมด โดยเฉพาะงานที่ยากจะชอบมาก คือถ้าทำสำเร็จเท่ากับเราได้แสดงฝีมือ ดังนั้น...บางคนบอกว่าตกงาน อาตมาไม่ค่อยเข้าใจ คือไม่เข้าใจว่ามึงตกงานได้อย่างไร ? งานจะท่วมหัวตาย ยกเว้นว่าเราจะเลือกงาน

คราวนี้ในส่วนที่บอกพวกเราอย่างนี้ ก็เพราะว่าการงานในปัจจุบันนี้จะหายากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ และปริมณฑล สาเหตุเพราะว่าการจราจรจะทำให้เรื่องของการทำงานนั้นไปยาก ต่อให้เหลื่อมเวลากันขนาดไหน รถก็ยังติดสาหัส

พอมายุคหลัง ๆ ระบบการสื่อสารไร้สายดีขึ้นเรื่อย ๆ งานการต่าง ๆ สามารถทำที่บ้านแล้วส่งไปได้ งานที่ต้องอาศัยคนอยู่ประจำสำนักงาน อยู่ประจำตำแหน่งก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ ก็แปลว่า ถ้าหน้าที่การงานของเรามีอะไร ก็ต้องใช้ความพยายามทำให้เต็มที่ เพื่อให้พวกเราเป็นบุคคลที่มีคุณค่า เป็นที่ต้องการของหน่วยงานต่าง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้ว ถึงเวลาเขาก็จะเขี่ยเราออก"

เถรี
15-01-2020, 22:07
"หลายคนบอกว่าตกงานสมัยนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว ขายของทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ อาตมาอยากจะถามแค่ว่า ถ้าทุกคนเป็นคนขาย แล้วใครจะเป็นคนผลิตสินค้า ? โดยเฉพาะถ้าการผลิตสินค้าไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศ แต่เป็นสินค้าของต่างประเทศ ก็ยิ่งจะมาทำลายงานในบ้านของเราลงไปอีก

ปัจจุบันนี้ปัญญาประดิษฐ์ คือ AI แทบจะมาทำงานแทนคนหมดแล้ว สมัยนี้ขับรถไม่จำเป็นต้องรู้จักว่าถนนอยู่ที่ไหน ถึงเวลากดถาม กูเกิ้ลแมพบอกได้ แต่บางทีก็อ่านแบบบ้า ๆ บอ ๆ ก็คือเขาพยายามอ่านแล้ว แต่ด้วยความที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ก็เลยอ่านชื่อถนนพิลึกพิลั่นออกมา

อาตมาออกไปทางรามอินทรา รามคำแหง มีถนนสุคนธสวัสดิ์ อ่านแบบถูกต้องคือ สุ-คน-ทะ-สะ-หวัด คราวนี้ คนธะ ที่แปลว่ากลิ่นหอม ค-น-ธ เครื่องเลยอ่านว่า คะ-นด

ภาษาอังกฤษเขาอ่านว่า ถนนเลียบคลองประปา เครื่องอ่านว่า ไล-แอ๊บ-คลอง-ปรา-ป้า อาตมาก็...ไลแอ๊บก็ไลแอ๊บวะ กูก็บ้าไปกับมึงด้วย...!"

เถรี
15-01-2020, 22:08
"เทคโนโลยีมากขึ้นเท่าไร สมรรถภาพของคนจะน้อยลงเท่านั้น ที่น้อยลงเพราะว่าเครื่องทำหน้าที่แทนหมด เราไม่ต้องจำถนนแล้ว ก็เลยทำให้คนที่ไม่มีถนนหนทางอยู่ในความจำ ขับรถตกคลองบ้าง เข้าไปในซอยตันบ้าง

อาตมาก็เคยโดนพาไปที่เขาปิดถนน แต่คราวนี้ตรงที่เขากั้น ดาวเทียมมองไม่เห็น เห็นว่าถนนไปได้ เขาก็ชี้ทางให้ไป ปรากฏว่าต้องถอยกลับยาวเลยกว่าที่จะหาที่กลับรถได้"

เถรี
17-01-2020, 00:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "เตรียมภาชนะสำรองน้ำไว้ด้วย ถ้าน้ำประปาขาด จะได้มีใช้มากขึ้นอีกสักหลายวัน หาถังพลาสติก ๓๐ ลิตร หรือ ๕๐ ลิตรก็ได้ อย่างน้อย ๆ สัก ๔ -๕ ใบ บรรจุน้ำให้เต็ม ปิดฝา ตากแดดทิ้งไว้สักอาทิตย์หนึ่ง แล้วก็เอาน้ำไปรดต้นไม้ เพราะว่าน้ำจะละลายกลิ่นพลาสติกออกมา หลังจากนั้นก็เปิดฝา ตากแห้งแล้วค่อยใส่น้ำใหม่ ไม่อย่างนั้้นน้ำแรกบรรจุไปนี่มีแต่กลิ่นพลาสติก ถ้าเป็นอาตมานี่ใช้การไม่ได้เลย เพราะว่าทนกลิ่นไม่ได้

รุ่นของอาตมานี่มีประสบการณ์ ก็เลยไม่กลัวขาดน้ำ เพราะว่าสมัยนั้นรองน้ำตั้งแต่ตี ๓ พอไปหุงข้าวตอนตี ๕ ยิ่งถ้าบ้านอยู่ปลายถนนและอยู่ปลายซอยของถนนอีกก็สาหัสเลย เพราะว่าสมัยนั้นท่อประปาเล็ก แรงส่งน้ำน้อย เมื่อทุกบ้านเปิดพร้อมกัน กว่าจะมาถึงเราท้ายซอยนี่ บางคนเขาบอกว่าเยี่ยวแมวยังแรงกว่า..!"

เถรี
17-01-2020, 00:24
"อาตมาเตรียมการเสร็จมา ๓ ปีแล้ว วัดท่าขนุนตอนนี้ทั่วทั้งวัด ใครเปิดก๊อกน้ำกรุณาปิดช้า ๆ ถ้าท่านเปิดแล้วปิดเร็ว แรงดันน้ำจะกระแทกหัวก๊อกปลิวไปเลย เพราะว่าอาตมาสร้างถังประปาใบใหญ่เท่ากับที่เขาใช้กันทั้งอำเภอ แต่ของเราใช้แค่ที่วัดเท่านั้่น เวลา ๔ ทุ่มถึงตี ๒ เครื่องอัตโนมัติจะดูดน้ำขึ้นถัง จะได้ไม่รบกวนชาวบ้านที่เขาใช้อยู่ ถึงเวลาหลังตี ๒ ชาวบ้านเริ่มตื่นแล้ว ก็ได้ใช้น้ำตามปกติ บางทีทางด้านเทศบาลก็มาขอร้อง "หลวงพ่อ..เปิดวาล์วเผื่อในหมู่บ้านหน่อยครับ" ถามว่าทำไม ? "น้ำน้อย..แรงดันไม่ค่อยพอ ต้องอาศัยหอประปาของวัดช่วยครับ"

เถรี
17-01-2020, 00:27
"ปีนี้ที่หนักใจที่สุดก็น่าจะเป็นผู้อำนวยการเขื่อนวชิราลงกรณ คุณไววิทย์ แสงพาณิชย์ เพราะว่ากรุงเทพฯ อาศัยน้ำจากกาญจนบุรี เนื่องจากว่าทางด้านเหนือ เขื่อนภูมิพลน้ำน้อย ไม่สามารถจะส่งเข้าโรงกรองน้ำสามเสนได้

พวกเราคงไม่รู้ว่าเป็น ๑๐ ปีมาแล้วที่กาญจนบุรีเป็นแหล่งน้ำของกรุงเทพฯ จากเขื่อนวชิราลงกรณของทองผาภูมิและเขื่อนศรีนครินทร์ของอำเภอศรีสวัสดิ์ น้ำจาก ๒ เขื่อนเทลงมาที่เขื่อนแม่กลองที่ท่าม่วง จากเขื่อนแม่กลองมีคลองส่งน้ำกว้าง ๒๐ เมตรยิงตรงเข้าโรงกรองน้ำธนบุรี ที่อาตมาไปวิ่งรถ "ไลแอ๊บ คลอง ปราป้า" มานั่นแหละ เขาเขียนว่าเลียบคลองประปา "สิริ" พยายามอ่านจากกูเกิ้ล แต่ไม่รู้ว่าคำนี้ภาษาไทยอ่านว่าเลียบ เลยอ่านว่า ไล-แอ๊บ"

เถรี
17-01-2020, 00:28
"ยังโชคดีว่าสองเขื่อนปีนี้กักน้ำได้มาก แต่เขาก็ประหยัดกันสุดชีวิต นอกจากปริมาณที่ใช้ในการปั่นไฟตามปกติแล้ว ก็ยังพยายามประหยัดด้วยการไม่เปิดน้ำเลย

คราวนี้จะมีการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณตอนล่าง พอถึงเวลาปล่อยน้ำปั่นไฟ แล้วมีการสูบคืน ก็ปรากฏว่าชาวบ้านไม่ได้เห็นใจ ไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวม เอาแต่เห็นแก่ส่วนตัว โก่งราคาค่าที่ดินจนกระทั่งการไฟฟ้าไม่สามารถจ่ายค่าเวนคืนให้ได้ เพราะว่าที่ดินแถวนั้นไร่หนึ่งสามสี่หมื่น โก่งราคาสุด ๆ ไม่น่าจะเกินสองแสน แต่เขาจะเอาไร่ละสามล้าน..! อาตมาเองด่าเจ้าหน้าที่เขื่อนยับเยินไปไม่รู้เท่าไรแล้วว่า "พวกมึงทำงานกันแบบโง่ ๆ ถ้าเป็นกูจะซื้อที่ให้ครบก่อน แล้วค่อยประกาศโครงการ" นี่ดันไปประกาศโครงการก่อนแล้วค่อยไปซื้อที่ ทุกคนรู้ว่าต้องใช้พื้นที่ตรงนี้ ก็ช่วยกันโก่งราคา"

เถรี
17-01-2020, 00:30
"ส่วนหลังวัดท่าขนุน มีสะพานแขวนหลวงปู่สายที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำอำเภอ เขามาขออนุญาตว่า ถ้าทำเขื่อนช่วงล่างแล้วน้ำจะท่วมสะพาน อาตมาบอกว่ายินดีให้รื้อทิ้งไปเลย พระเราเดินอ้อมได้ เขาบอกว่าไม่รื้อทิ้ง จะทำสะพานใหม่ ยกให้สูง พ้นระดับน้ำขึ้นมา อาตมาบอกว่าเต็มที่ได้เลย เพราะว่าถ้าเพื่อส่วนรวมแล้ว ทางวัดสละให้ได้

แต่คนอื่นไม่ใช่ สำหรับคนอื่นเป็นเวลาที่เขาจะฉวยโอกาสทำเงิน เราจะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วจะมีคนเห็นแก่ตัวมากกว่าที่จะเห็นแก่ส่วนรวม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขอย่างมาก พอถามว่าจะให้อาตมาแก้ไขใช่ไหม ? ก็คงไม่ใช่ เพราะว่าเรื่องอย่างนี้ต้องบ่มเพาะตั้งแต่เด็ก ก็แปลว่าต้องครอบครัวก่อน ต่ำสุด ๓ ปีถึงจะส่งไปเข้าศูนย์เด็กเล็ก เข้าโรงเรียนอนุบาล เรียนประถม เรียนมัธยม กว่าจะมาถึงมือพระเพื่อบวชก็อายุ ๒๐ ไปแล้ว ฉะนั้น...พระบ่มเพาะไม่ไหวแล้ว"

เถรี
17-01-2020, 00:31
"ในเรื่องของการบ่มเพาะคุณธรรมจริยธรรม น่าจะต้องเป็นวาระแห่งชาติ ให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้นแล้วคนของเราก็จะเห็นแก่ตัวมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เสียสละเพื่อส่วนรวมกันน้อยลง

ญี่ปุ่นเขาทำกันจนประสบความสำเร็จ เพราะเขาทำมา ๔๐ กว่าปี บ่มเพาะเด็กตั้งแต่รุ่นนั้นมาจนถึงรุ่นปัจจุบัน ใครทำข้าวของอะไรสูญหายตกหล่น เด็กเจอจะเก็บส่งตำรวจ เขาทดสอบเท่าไรก็ไม่สามารถที่จะทำให้เด็กเกิดความโลภแล้วเก็บเป็นของตัวเองได้ บ้านเราก็มี..แต่น้อย เกิดจากจิตสำนึกของตัวเขาเองหรือการอบรมจากครอบครัว อาตมาก็ไม่แน่ใจ"

เถรี
17-01-2020, 00:33
วันก่อนเด็กเก็บเงินได้เกือบแสน เอาไปส่งคืนตำรวจให้หาเจ้าของ เวลาเห็นทุกคนก็ชื่นชม ข่าวออกโซเชียลก็กดไลค์ กดแชร์กันกระจาย แต่ไม่คิดที่จะทำเอง..!

เพราะฉะนั้น..ก็เหลือแต่พวกเรา พอที่จะรู้อะไรดีอะไรชั่วบ้าง ให้พยายามบ่มเพาะลูกหลานของเราเอง อย่างน้อยไม่ได้มากก็เอาเฉพาะในครอบครัวของเรา ลดความเห็นแก่ตัว ลดความเอาแต่ใจตนเองลงบ้าง"

เถรี
17-01-2020, 00:35
"ปัจจุบันนี้เวลาไปกิจนิมนต์ตามวัดต่าง ๆ บางทีก็เจอคนจอดรถชนิดที่เห็นแก่ตัวสุด ๆ ก็คือแม้แต่ทางที่จะให้รถวิ่ง ก็จอดเต็มแล้วก็ขวางเขา ช่วงเดือนปีที่แล้วมีข่าวในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่มีรถไปจอดขวางเขา เจ้าของบ้านติดต่อเจ้าของรถตั้งแต่ทุ่มกว่าจนถึงสามทุ่มกว่า ไม่มาขยับให้เสียที ทนไม่ได้..ขับรถพุ่งชนเลย ถ้าเป็นอาตมาก็ลงไปเผาซ้ำด้วย..! นั่นก็คือความเห็นแก่ตัว จอดรถหน้าบ้านคนอื่น เขาติดต่อตั้งแต่ทุ่มกว่าจนสามทุ่มยังไม่มาขยับ คุณยังอยู่ต่างประเทศหรืออย่างไร ? ถ้าจะจอดรถลักษณะอย่างนั้น อย่าไปเข้าเบรกมือ อย่าเข้าเกียร์ ต้องให้เขาเข็นขยับได้ ต้องบอกว่าไร้มารยาทสุด ๆ

แล้วก็มาอีกรายหนึ่ง ยืนจองที่ ก็คือจองที่ให้รถของตัวเองมาจอด รถที่มาถึงก่อนก็พุ่งเข้ามาจอดไม่สนใจคนยืนจอง ต้องโดดหลบแทบไม่ทัน จะไปด่าเขาก็ไม่ได้ ก็คุณไม่มีรถอยู่ แล้วคุณจะมายืนทำอะไรเกะกะตรงนี้ ?"

เถรี
17-01-2020, 00:36
"คนเราใจร้อนใจเร็วขึ้นทุกวัน สิ่งสำคัญก็คือทำอย่างไรที่จะรักษากำลังใจของเราให้มั่นคง ให้ถึงจุดเดือดช้าหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็รู้จักนับ ๑ ถึง ๑๐ นับ ๑ ถึง ๑๐๐ เด็กก็บอกพ่อแม่ว่า "ไม่ทันแล้วครับ ผมนับไม่ทันถึง ๑๐ เลย เพื่อนก็ชกแล้ว..!"

เอ้า...เลิกบ่น บ่นแล้วสำนึกผิดกันหมด บรรยากาศชักจะซึมเศร้า..!"

เถรี
18-01-2020, 20:21
ถาม : สวดมนต์แล้วได้ยินเสียงในห้อง ผีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ทำบุญอุทิศให้เขาไปก็จบแล้ว จะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน บอกว่าช่วยเฝ้าบ้านให้ด้วย ถ้าจะให้ดีก็ช่วยบอกหวยด้วย

ถาม : บางทีก็มาเคาะ ?
ตอบ : ถ้าเคาะมาก ๆ จะด่า อย่าไปกลัวอะไรง่าย ๆ กับของทั้งหลายเหล่านี้

เถรี
18-01-2020, 20:44
ถาม : (ยารักษาโรคมะเร็งสูตรหลวงพ่อวัดท่าซุง)
ตอบ : ยาสูตรนี้ไม่ได้จำกัด ใช้ได้ผลทุกคน แต่ถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ ต้องไม่เกินระยะที่ ๒ ขณะเดียวกันต้องไม่ผ่าตัดมาก่อน เพราะว่าโบราณกับปัจจุบันนั้นต่างกัน

อย่างโบราณเขารู้เรื่องธาตุของเรา อย่างเช่นว่าผู้หญิง ถ้าช่วงมีประจำเดือน ไม่ให้กินของเย็น แต่หมอสมัยใหม่เขาบอกว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะว่าถ้าของเย็นทำให้เลือดแข็งตัวจริง คนที่อยู่ในพื้นที่ที่อากาศหนาวหิมะตกก็ตายหมดแล้ว เขาว่าอย่างนั้น ก็ในเมื่อของเขาเองไม่มีความรู้ เขาก็จะแนะนำแบบสมัยใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะให้ผ่า

แต่โบราณเขารู้ว่ามะเร็งเป็นกลุ่มก้อนเชื้อโรค ลักษณะเหมือนมดหรือผึ้ง ถ้าเราไปแหย่รังเขาเมื่อไร ก็จะอาละวาดกระจายไปทั่วตัวทันทีเลย แล้วก็มักจะตายในเวลาอันรวดเร็ว ฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครเป็นจะมากจะน้อยอย่างไร ยาตัวนี้ไม่ได้มีอันตราย ลองกินดูได้ ถ้าบุญของเขายังดีอยู่ ก็น่าจะช่วยได้ เขาไม่ได้ห้าม กินไปเถอะ น่าเสียดายว่าคุณพ่ออยู่ไม่ได้นานขนาดนั้น ไปเจอหมอสมัยใหม่ กระทุ้งทีเดียวไปเลย

กินยาสูตรหลวงพ่อวัดท่าซุง อยู่มาได้ ๑๐ ปี เจอหมอสมัยใหม่จิ้มทีเดียว ๑๐ วันตาย เมิ้ดคำสิเว่า...! (ไม่มีคำพูดเลย)

เถรี
18-01-2020, 21:03
โยมถวายพระเข้าพิพิธภัณฑ์ "พิพิธภัณฑ์ไม่ได้เก็บของพวกนี้ บอกเขาว่าถ้าตั้งใจเข้าพิพิธภัณฑ์ให้เอาคืนไปก่อน พิพิธภัณฑ์ใช้เป็นที่แสดงเครื่องรางของขลัง อย่างพวกตะกรุด ผ้ายันต์ พิสมร ลูกอมอะไรประมาณนั้น ไม่ใช่พระ เดี๋ยวจะแปลเจตนาเขาผิด เกิดโทษกับพระอีก"

เถรี
18-01-2020, 21:05
ดุโยมที่กำลังโทรศัพท์บอกเพื่อน "บอกเขาว่า "เก็บแต่เครื่องราง ไม่ได้เก็บพระ" ไม่ใช่ว่า "ไม่เก็บพระแบบนี้" พูดอย่างหนึ่ง ความหมายเปลี่ยนไปเลย ถ้าไปบอกว่าไม่เก็บพระแบบนี้ ก็เหมือนกับไปดูถูกคนให้

สรุปว่าก็คือเรื่องดี ๆ พอไปพูดต่อก็เละเป็นโจ๊ก แต่ละอย่างพูดไม่ได้คิด คนเขาอุตส่าห์สละของรักของหวงมาให้ ดันไปบอกว่าไม่เก็บพระแบบนี้ คือพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนไม่ได้ตั้งแสดงพระเครื่อง แต่ตั้งแสดงเครื่องรางของขลัง คนละเรื่องกัน คนละวัตถุประสงค์กัน คนละแบบกัน"

เถรี
18-01-2020, 21:06
ถาม : ถ้าเราทำบุญให้คนที่ฆ่าตัวตาย เขาจะได้รับไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่ในที่ที่โมทนาได้ไหม ? ถ้าอยู่ในที่ที่โมทนาได้ ก็ได้รับ ถ้าอยู่ในที่ที่โมทนาไม่ได้ ก็ตัวใครตัวมัน

ถาม : อันนี้เขาโมทนาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไปถามเขาเองสิวะ..!

เถรี
18-01-2020, 21:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการใช้คำพูด ต่างกันนิดเดียว มีผลต่างมหาศาล แบบเดียวกัน ถ้าไปวัดเจอสามเณร “เณร...หลวงพ่ออยู่ไหม ? ผมมาขอกราบหลวงพ่อหน่อย” เณรก็ “หลวงพ่อนอนพักอยู่ครับ” เป็นอันว่าจบกัน

ไปเจออีกรูปหนึ่ง “เณร..หลวงพ่ออยู่ไหม ? ผมขอมากราบหลวงพ่อหน่อย” “อ๋อ...หลวงพ่อท่านทำงานอยู่ครับ เดี๋ยวผมไปดูให้ก่อน ถ้าหลวงพ่อท่านสะดวก จะได้นิมนต์ให้ท่านออกมารับ” จริง ๆ แล้วหลวงพ่อก็นอนเหมือนกันนั่นแหละ แต่ทำไมเณร ๒ รูปพูดแล้วกลายเป็นคนละเรื่องกันเลย ?

ที่รูปแรกว่ามาภาพพจน์ก็คือ หลวงพ่อฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด อีกรูปหนึ่งพูดเรื่องเดียวกัน ภาพพจน์กลายเป็นหลวงพ่อขยันเป็นบ้าเป็นหลัง ทำแต่งาน ต้องไปดูก่อนว่าหลวงพ่อว่างไหม ? ถ้าเป็นพวกเรา สามเณร ๒ รูปนี้ ควรจะให้รางวัลใคร ? เพราะฉะนั้น..การใช้คำพูดต่างกันนิดเดียว ผลต่างกันมหาศาลจะเกิดขึ้น ในเมื่อผลต่างเกิดขึ้นขนาดนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวัง"

เถรี
18-01-2020, 21:39
"โยมเอาหมามาปล่อยวัดมาก หลวงพ่อเจ้าอาวาสสั่งให้พระท่านไปติดป้าย อย่าให้คนมาปล่อยหมา พระรูปแรกไปถึงก็สั่งป้ายไวนิลขนาด ๓ คูณ ๘ เมตร ติดยาวยืด "ผู้ใดนำหมามาปล่อยวัด จะต้องพลัดพรากจากครอบครัวตลอด ๕๐๐ ชาติ..!" โห...น่ากลัว หลวงพ่อไปเห็นสั่งให้รีบเปลี่ยนเลย ๆ ให้อีกรูปหนึ่งไปจัดการ

ท่านนั้นไปถึง ป้ายไม่ใหญ่หรอก ประมาณ ๑.๕๐ คูณ ๑.๕๐ เมตร มีรูปการ์ตูนด้วย เขียนกลอนไป ๑ บท "วัดนี้มีมากแล้วทั้งแมวหมา โยมไม่ต้องจัดหามาถวาย ที่ต้องการคืออิฐหินและดินทราย ปูนก็ได้ไม้ก็ดีสีก็เอา" นอกจากเขาไม่ปล่อยหมาแล้ว ยังได้ของมาก่อสร้างอีก เรื่องเดียวกัน คนจัดการไม่เหมือนกัน ผลจะต่างกันมาก"

เถรี
18-01-2020, 21:45
ถาม : เพื่อนนั่งกรรมฐานแล้วตัวลอยออกมา ก็ถามว่าจะพาไปที่ไหนต่อ แกย้อนกลับเข้ามาในตัวสองรอบ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอะไร ออกไปแล้วอยากไปไหน กราบขอให้พระท่านช่วยพาไปที แล้วไม่ต้องห่วงว่าจะกลับไม่ได้ เพราะว่าอย่างไรก็กลับ การที่เราหลุดออกไปได้ จะทำให้เรารู้จริง ๆ ว่า เรารักเราห่วงร่างกายนี้แค่ไหน มีอะไรก็อกแก็กนิดหน่อย เป็นกลับทันที บางทีกำลังคุยกับพระ คุยกับเทวดาเพลิน ๆ พรวดลงมาเลย

เพราะฉะนั้น...ใครกลัวไปแล้วกลับไม่ได้ ให้เลิกกลัวได้แล้ว ไม่มีทางหรอกที่จะกลับไม่ได้ มีแต่จะกลับท่าเดียว หลุดออกไปได้แล้ว ตั้งใจกราบขอบารมีพระ อยากจะไปไหนให้ท่านช่วยสงเคราะห์พาไปที่นั่น

เถรี
18-01-2020, 21:48
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจะจองวัตถุมงคลในเว็บให้ลงไปรับที่ชั้นล่างของบ้านนี้ ใครจะจองตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชรเพิ่มก็ลงไปจ่ายเงินที่ชั้นล่าง จองตรงนี้ปลอดภัย ไม่โดนใบแดง ใครที่จองแบบที่ ๑ เอาไว้แล้วพิมพ์ผิด ไปพิมพ์จองทีหลังไม่ทัน นั่งน้ำตาเล็ดเลย ต้องบอกว่าขาดความรอบคอบ หรือไม่ก็ตกภาษาไทย..!

สมัยนี้นอกจากตกภาษาไทยแล้ว ยังเผยแพร่ภาษาไทยผิด ๆ อีกด้วย ระยะหลังหนังสือที่ขายดี ๆ ก็คือพวกวรรณกรรมต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน คนเขาแปลมาไม่น่าจะตกภาษาไทย แต่ใช้ภาษาไทยผิด เพราะว่าความเข้าใจผิด อย่างเช่นเขาแปลว่า "หามิได้เป็นเช่นนั้น" จะหามิได้ไปทำอะไรวะ ? ที่ถูกคือ "มิได้เป็นเช่นนั้น" หามิได้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้เป็นนะสิ..!"

เถรี
18-01-2020, 21:50
"หรือไม่ก็ "ไฉนเลยจะเป็นเช่นนั้น" ทำไมต้องไฉนด้วย ? "ไหนเลย" ไม่ได้ใช่ไหม ? "ใบไม้หนาชุก" เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยิน ใบไม้หนาชุก เจอแต่ฝนตกชุก หรือไม่ก็แทนพระเจ้าแผ่นดินว่า "ฝ่าบาท" ฝ่าบาทเสด็จไปโน่น ฝ่าบาทเสด็จไปนี่ ฝ่าบาทเป็นคำเรียก ก็คือเป็นสรรพนามที่ผู้อื่นเรียก ไม่ใช่เอามาเป็นประธาน จะเป็นฮ่องเต้ก็ฮ่องเต้ องค์จักรพรรดิก็องค์จักรพรรดิ นี่ใช้ฝ่าบาทไปหมด ถ้าอยู่ใกล้อาตมาก็จะช่วยแจก "ฝ่าบาท" ให้..!

หลายอย่างพอแปลออกมา ถ้าพูดกันถูก ๆ ก็คือไม่เป็นสับปะรด ทำให้รสชาติของวรรณกรรมเสียหายไปเยอะ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเผยแพร่ในสื่อโซเชียล ทำให้ไปเร็ว แล้วก็ทำให้คนจำผิด ๆ แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีการใช้ภาษาอุบาทว์ ๆ ในการ "แชต" อยู่เหมือนเดิม จะว่าไปแล้วพวกนี้เก่งมาก สามารถคิดภาษาที่สื่อได้ใกล้เคียงความจริงมาก แต่ต่างคนต่างแสดงออกว่าใครจะพิมพ์ออกมาได้ทุเรศกว่ากัน..!"

เถรี
18-01-2020, 21:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้โยมมาเยอะ แต่ไม่มีพระมาช่วยฉันเพล เมื่อวานยังมีพระมาช่วยเกือบ ๑๐ รูป กลางวันนี้อาตมารับเละคนเดียว

ช่วงที่ไปภูเก็ตกับสตูลมา เป็นอะไรที่สาหัสมา อย่างที่สตูล..ญาติโยมหิ้วปิ่นโตมา ๑๗ - ๑๘ เถา เถาหนึ่งใส่มา ๕ ชั้น อาตมาตักชั้นละช้อน ลองคิดดู...ชั้นละช้อนเถาหนึ่งก็ ๕ ช้อน ๑๘ เถาก็ ๙๐ ช้อน..! คนเรากินเต็มที่ได้ไม่เกิน ๓๐ ช้อน แล้วนั่นคือเฉพาะในปิ่นโต ส่วนที่ใส่ถ้วยใส่จานอยู่ข้างหน้าอีกเป็นร้อย ไปอยู่แถวนั้น ๓ วัน เกือบตาย..อาหารเยอะจัด"

เถรี
18-01-2020, 21:53
"ไปนึกถึงตอนไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ ปีแรก ปี ๒๕๓๖ ก็มีบ้านมอญ อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ๒๐ กว่าหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ๑๙ หลัง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ศรัทธามาทำบุญ มากันทั้งหมู่บ้าน บ้านหลังหนึ่งก็ปิ่นโตเถาหนึ่ง สรุปว่าปิ่นโตเกือบ ๔๐ เถา อาตมาตักอย่างละช้อน บาตรเบอร์ ๘ ครึ่งเกือบเต็มบาตร

ปรากฏว่าทำบุญอยู่ประมาณ ๔ - ๕ วันพระ แล้วก็หายไปหมด เจอหน้าถามว่าทำไมไม่ไปทำบุญ ? เขาบอกว่าอาจารย์ฉันของเขาไม่ได้ เขาเลยไม่อยากไปทำบุญ ปิ่นโตเกือบ ๕๐ เถา ใจคอจะให้กินให้หมด..!

บางเรื่องเขาไม่ได้ดู มีแต่ศรัทธาแต่ปัญญาไม่พอ เห็นแล้วก็สงสาร เพราะว่ายังต้องเกิดอีกนาน บุคคลที่จะพ้นตายพ้นเกิดได้ ต้องถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา"

เถรี
18-01-2020, 21:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ใครโดนปีชงบ้าง ? เรื่องของปีชง จะว่าไปแล้วขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราเชื่อก็จะมีผลมาก เพราะว่ากำลังใจของเราไปย้ำแล้วย้ำอีกว่า "ไม่ดี ๆ ๆ" กลายเป็นแช่งตัวเอง ก็คือส่วนของมโนมยา สำเร็จด้วยใจ เท่ากับเราแช่งตัวเองว่าไม่ดี ก็เลยทำให้ไม่ดีจริง ๆ เพราะฉะนั้น...ถ้าเรารู้สึกว่าอะไร ๆ ก็ดีหมด เรื่องอื่นก็จะไม่มีปัญหา"

เถรี
19-01-2020, 22:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในการหล่อพระทองคำวัดท่าขนุนต้องรอท่านอาจารย์สุชาติปั้นแบบ เนื่องจากว่าท่านไปปั้นแบบสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพานขนาดใหญ่มหึมา ให้กับทางวัดพุทธพรหมยานของท่านอาจารย์เอกลักษณ์ ก็เลยทำให้งานของวัดท่าขนุนช้าลงไปหน่อยหนึ่ง แต่ว่าดี...ดีตรงที่ว่ายิ่งช้าเท่าไร ญาติโยมที่ถวายเงินทองมา ก็ยิ่งมีเวลาทำบุญมากขึ้น ขณะเดียวกันอาตมาก็จะได้ซื้อทองคำน้อยลง เพราะว่าโยมได้ทำบุญมากขึ้น"

เถรี
19-01-2020, 22:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนแปลกใจว่าอาตมาเคร่งครัดกับเวลามากไปไหม เพราะว่าคนมาก ๆ ถ้าเราไม่ตรงเวลา งานจะเสียหมด ส่วนคนบางประเภท อาตมาเองตั้งใจลุกหนีเอง

เมื่อช่วงปีใหม่ มีโยมคนหนึ่งบอกว่าขออนุญาตกราบขอขมาพระรัตนตรัย อาตมาลุกหนีไปเลย เพราะว่ามามือเปล่า ตั้งใจจะขอขมาพระรัตนตรัย แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนก็ไม่มี ส่วนเขาจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ อาตมาไม่ได้ใส่ใจ คนเราถ้ากำลังใจหยาบขนาดนั้น ก็ไม่ควรที่จะไปสนใจมากนัก"

เถรี
19-01-2020, 22:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "เขาว่ามงคลจากภาพ ๑๕ พระสงฆ์ จง เพิ่ม พูน คูณ รวย เฟื่อง ฟู ลาภ ผล เงิน ทอง ห้อม ล้อม โถม ทวี

เท่าที่อาตมารู้ยังอยู่ ๑ รูปแน่ ๆ ที่เหลือไม่ทราบเหมือนกันว่ามรณภาพกันหมดหรือยัง ? อ้อ...หลวงพ่อล้อมยังอยู่ เพิ่งไปพุทธาภิเษกมาด้วยกันที่วัดสี่แยกเจริญพร"

เถรี
19-01-2020, 22:20
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่เด็ก "เอาเจ้าหนูไปสะกิดไฝออก ที่อื่นดีหมด ตรงนั้นไม่ดีที่เดียว เดี๋ยวนี้หมอเขาจัดการง่าย ใช้เลเซอร์นิดเดียว ไฝอยู่ตรงร่องน้ำตาพอดี แล้วที่ใบหน้าแก้ง่ายด้วย เพราะว่าทั้งตัวของเรา มีเซลล์มหัศจรรย์อยู่ ๒ ที่ ที่หนึ่งคือตับ ตัดทิ้งไปครึ่งหนึ่ง ที่เหลือยังงอกใหม่ได้ อีกส่วนหนึ่งคือใบหน้า เซลล์จะซ่อมแซมตัวเองได้เร็วมาก ต่อให้ขยันแคะสิวขนาดไหน หน้าเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดไหนก็ซ่อมตัวเองได้ แล้วบางทีก็ซ่อมจนเกินด้วย

โดยปกติเรื่องนี้อาตมาไม่ค่อยบอกใคร พอดีว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิง เพราะฉะนั้น..เอาเสียหน่อย สะกิดออกสักนิด"

เถรี
19-01-2020, 22:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมท่านใดไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร ก็ตระเวนไปตามวัด ไปเหมาย่ามพระที่มีท่วมทุกวัด แล้วก็ไปวางขายข้างร้านสะดวกซื้อ ไม่ต้องขายแพงหรอก พวกซื้อของไม่มีถุงพลาสติก เดี๋ยวเขาก็มาซื้อย่ามเอง อาตมาเองออกงานแต่ละปี ได้ย่าม ๒๐๐ - ๓๐๐ ใบ เพราะไม่ว่าจัดงานที่ไหนก็ตาม ส่วนใหญ่เขาจะปักย่ามชื่อเจ้าของงาน มีวัดท่าขนุนที่ไม่ทำ รับย่ามจนเบื่อแล้ว ไม่อยากเอาไปซ้ำเติมท่านอื่นเขา

แต่ถ้าหากไปศรีลังกา ไปอินเดีย เอาย่ามไปเยอะ ๆ สีแดงยิ่งดี ไม่ใช่เฉพาะพระ นักบวชศาสนาอื่นมาตามตื๊อขอเลย ไม่ให้ก็ขอซื้อ เขาบอกว่าย่ามไทยทำได้ประณีต ปักได้สวย โดยเฉพาะเขาชอบสีแดงกันมาก

ฝีมือการทอผ้าต่างกันมาก ของอินเดียนี่เทียบกับเรา ผ้าเขาหยาบ พอเจอผ้าดี ๆ จากไทยไป แทบจะกระโดดกอดเลย อาตมาไปนี่ถ้ารู้ว่าต้องเข้าวัดเข้าวาของเขา หรือว่าเทวสถาน พกย่ามไปดีที่สุด ให้แทนค่าเข้าชมไปเลย"

เถรี
19-01-2020, 22:24
"ส่วนอาตมาถ้าไปแถวนั้น จะพกปากกาลูกลื่นไปเยอะ ๆ ถึงเวลาก็ให้เป็นรางวัล ใครทำอะไรให้ก็เอาไปหนึ่งอัน เขาอยากได้มาก คุณภาพดี หรือไม่ก็โน่นเลย...บะหมี่สำเร็จรูป เวลาพักตามโรงแรม พอพวกเขามาบริการแล้วให้ไปคนละซองสองซอง เขาดีใจกันแทบตาย ที่บ้านเขาเป็นของแพง ส่วนบ้านเรากินกันจนเบื่อ กินอาทิตย์ละ ๕ - ๖ วัน ถ้าใครเล่นหวยก็กินเกือบทั้งเดือน..!"

เถรี
19-01-2020, 22:26
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่เด็ก "ให้หมอเขาตรวจดูว่ามีภาวะธาลัสซีเมียหรือเปล่า เพราะว่าเด็กเขาซีด บางคนพ่อไม่เป็น แม่ไม่เป็น แต่ปู่ย่าตาทวดมีเชื้อแฝงอยู่ ก็มาเกิดกับรุ่นหลัง ๆ

ทางด้านทองผาภูมิเป็นกันมาก โดยเฉพาะต่างด้าว อย่างพี่น้องมอญพม่า พอถึงเวลาซีดมาก ๆ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำงาน ต้องไปถ่ายเลือด ทางวัดท่าขนุนถึงเวลาก็จะได้รับเรียกตัวด่วน ขอเลือดกรุ๊ปบี เสนอกรุ๊ปบีมาเมื่อไรรู้เลย บรรดาพี่น้องต่างด้าวกำลังจะถ่ายเลือด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาส่วนใหญ่มีเลือดกรุ๊ปบีกันหมด

ส่วนอาตมาแหกคอก ในบ้านมีเอ บี เอบี อาตมาหลุดไปโอ โด่เด่อยู่คนเดียว เกิดมาใจดี ใครขอก็ให้เขาได้หมด"

เถรี
21-01-2020, 08:31
ถาม : หนูพยายามรักษาศีล ๕ ให้ได้ แต่บางทีหน้าที่การงานทำให้ไม่สามารถรักษาได้ตลอด ?
ตอบ :ให้รักษาเป็นเวลา ตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านจนไปถึงที่ทำงาน รักษาให้เคร่งครัดไว้ ในที่ทำงานเลี่ยงได้ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้แล้วค่อยยอมผิดศีล หลังจากนั้นตั้งแต่กลับจากที่ทำงานจนกระทั่งก่อนนอนต้องรักษาให้เคร่งครัดไว้ อย่างน้อยเราก็มีความดีอยู่ในตัวบ้าง ไม่ใช่ว่าผิดไปตลอด ๒๔ ชั่วโมง ให้ใช้วิธีนี้

เถรี
21-01-2020, 08:33
ถาม : กลางคืนหนูไปดื่มเหล้ามา แล้วหนูไปสวดมนต์ต่อ ทำได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ทำได้ เพราะว่าตอนที่เราดื่มกับตอนที่เราสวดมนต์เป็นคนละวาระคนละเวลากัน เป็นต่างกรรมต่างวาระ ส่วนที่เราทำดีคือความดี ส่วนที่เราทำชั่วคือความชั่ว อย่าเอามาปนกัน เพราะฉะนั้น..ดื่มมากำลังกรึ่ม ๆ บางทีได้สวดมนต์แล้วรู้สึกดีมากเลย ไป..ไม่ได้มีอะไรน่าหนักใจเสียหน่อย

เถรี
21-01-2020, 08:35
คนใช้ของอนาถปิณฑิกเศรษฐีรักษาศีลได้แค่ครึ่งวัน ไปเกิดเป็นรุกขเทวดามีศักดานุภาพมาก นั่นตั้งใจรักษาชนิดตัวตายเลย เราอาจจะรักษาได้สักเช้า ๒ ชั่วโมง เย็น ๒ ชั่วโมง รวม ๆ กันเข้าเดี๋ยวก็ได้หลายวัน

ขอให้ตั้งใจทำจริง ๆ เท่านั้น ความดีจะสะสมตัวไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอถึงวาระ ก็รักษาได้ตลอดรอดฝั่งเอง คนเราถ้ากำลังความดีมีมากกว่า ก็จะไม่เกรงใจสังคมแล้ว เพียงแต่ว่าต้องดูอย่าให้โลกช้ำธรรมเสีย ถึงเวลาเราไม่กินแต่เพื่อนกิน ก็บอกว่า “ไม่ไหว..แพ้แอลกอฮอล์ หมอบอกว่ากินต่อตายแน่” "ไม่ไหว..เริ่มตับแข็งแล้ว หมอบอกว่ากินต่อตายแน่" สารพัดวิธีที่จะพูด ไม่ใช่ “ฉันรักษาศีล ไม่กินแล้ว” เขาก็มองหัวถึงตีน ตีนถึงหัว ๓ รอบเลย กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป

เวลารักษาศีล ๘ เพื่อนชวนกินอาหารหลังเที่ยง ก็บอก “ตอนนี้อ้วนแล้ว ขอลดน้ำหนักหน่อย ไปกินเองเถอะ จะให้ไปเป็นเพื่อนด้วยก็ได้ แต่ไม่กินด้วยนะ” พอเราไม่ไปนั่งกินด้วย เพื่อนเกรงใจก็เลิกชวนเราเอง

เถรี
21-01-2020, 08:37
พระพุทธเจ้าท่านสอนเราขึ้นด้วยปัญญา มรรค ๘ มีปัญญานำมาก่อน สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก อะไรดีอะไรชั่วรู้อยู่ ต้องเป็นปัญญาถึงรู้ได้ สัมมาสังกัปปะ คิดถูก คิดจะออกจากกาม คิดจะละเว้นการทำชั่ว คิดจะรักษาศีล คิดจะไปพระนิพพาน

ในเมื่อขึ้นด้วยปัญญาก็ต้องใช้ปัญญา ใช้ให้เต็มที่ตามปัญญาที่เราพอมี พลิกแพลงอย่างไรจะให้ไปจนกระทั่งถึงระดับสูงสุด ก็คืออยู่ในโลกแต่ไม่เกาะยึดโลก ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัวบนใบบอน แต่ไม่ได้ติดอยู่กับใบบัวใบบอนเลย แรก ๆ เราก็ใช้ศีลเป็นกรอบ ตั้งใจทำความดี พอถึงเวลาต้องละเมิดศีลเราก็ไม่ไปด้วย ส่วนอื่นก็บ้าตามเขาได้

เถรี
22-01-2020, 08:51
พูดถึงการใช้ตะกร้าแทนถุงพลาสติก “เดี๋ยวก็ปรับตัวกันได้เอง เป็นคุณแม่บ้านห้อยตะกร้าไป กลายเป็นนางลำหับ

เมื่อนั้น.....................................นวลนางลำหับพิสมัย
ครั้นรุ่งรางส่างแสงอโณทัย................ทรามวัยแต่งตัวไม่มัวมอม
สวมมะกล่ำกำไลสายสร้อย................ตุ้มหูพวงห้อยดอกไม้หอม
หวีไม้ไผ่บรรจงเป็นวงค้อม.................ล้วนรายล้อมเหน็บประดับรับมวย
แล้วจับจองคล้องไหล่ไว้เบื้องหลัง........ไม่รุงรังเข้าทีดูดีสวย
ชวนไม้ไผ่ลีลาศนาดนวย...................รื่นรวยเข้าในดงพงพี ฯลฯ

“จอง” คือตะกร้า เป็นภาษาซาไก สมัยนี้พวกเราก็เป็นนางลำหับสะพายตะกร้ากัน เด็กรุ่นหลังไม่ได้เรียนพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า เลยไม่รู้จักนางลำหับกันแล้ว”

เถรี
22-01-2020, 08:52
ถาม : เวลาเราทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย แล้วมีคนมาค้านเรา บอกว่าทำอย่างนี้เดี๋ยวบุญเราก็หมดหรอก ไม่รู้จะทำอย่างไร ?
ตอบ : คนนั้นเขาไม่เข้าใจ จริง ๆ แล้วก็ไม่ต้องไปอธิบายหรอก แต่ถ้ารู้จริงก็เมตตาบอกเขาหน่อยว่า เรื่องของการอุทิศส่วนกุศลเหมือนกับเราก่อไฟขึ้นมา คือเราทำบุญ พอถึงเวลาอุทิศให้ผู้ตาย ก็เหมือนกับอนุญาตให้คนอื่นเขาต่อไฟไปใช้ ไฟของเราไม่ได้หายไปไหน แถมมีความสว่างเพิ่มขึ้นจากกองไฟคนอื่น เพราะว่าเราไปได้ตัวปัตติทานมัย คือกำลังใจในการแบ่งปันให้แก่คนอื่น

ของเรานี่ได้สองต่อ คนอื่นเขามาต่อไปไฟเราก็ยังอยู่ แถมยังสว่างเพิ่มขึ้น เพราะของคนอื่นก็สว่างขึ้นมา สิ่งที่เราทำโดยยากแล้วยังอนุญาตให้คนอื่นเขา แบ่งปันให้คนอื่นเขา ก็ต้องประกอบไปด้วยจิตเมตตาอย่างสูง ก็เลยทำให้ผลบุญเพิ่มขึ้นมา เขาเรียกว่า ปัตติทานมัย การอุทิศส่วนกุศลให้แก่คนอื่น

เถรี
22-01-2020, 08:54
ถาม : การท่องคาถาเงินล้าน ระหว่างสวดในใจกับสวดออกเสียง อานิสงส์ต่างกันไหมคะ ?
ตอบ : ต่างกันมากเลย ถ้าสวดออกเสียงจะเหนื่อย..! จะมากจะน้อยอยู่ที่กำลังใจของเราว่าทรงตัวแค่ไหน บางคนสวดออกเสียงสมาธิทรงตัวน้อยก็ได้น้อย บางคนสวดออกเสียงสมาธิทรงตัวมากก็ได้มาก บางคนสวดในใจสมาธิทรงตัวมากก็ได้มากกว่า ตกลงว่าขึ้นอยู่กับเราเอง ไม่ได้อยู่กับใครเขาหรอก

ถาม : ดิฉันควรจะปฏิบัติกรรมฐานกองไหนถึงจะเจริญก้าวหน้า ?
ตอบ : อะไรที่ชอบก็อันนั้นแหละ

ถาม : ชอบหลายอย่างเลยค่ะ ?
ตอบ : ชอบหลายอย่างก็จับสลากเอา..! สิ่งที่เราชอบแปลว่าในอดีตมีพื้นฐานมาก่อน มาชาตินี้ก็มีวิสัยรักชอบของเดิมของตัวเอง เพราะเห็นว่าง่าย เห็นว่าสะดวก เห็นว่าดี ตัวเห็นว่าดีนั่นแหละที่บอกว่าเราทำตั้งแต่อดีตมาแล้ว ก็เลยทำให้เมื่อเราทำสิ่งนี้ เราก็จะได้ง่ายกว่าอันอื่น ดังนั้น..ชอบอันไหนทำอันนั้น

เถรี
22-01-2020, 08:56
คราวนี้ถ้าชอบหลายอย่างก็โน่นเลย..หลับหูหลับตาจิ้มเอาเลย แต่ว่าที่แน่ ๆ คืออย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ถ้าทิ้งเมื่อไรกรรมฐานกองไหนก็ไปไม่รอดทั้งนั้น

อาตมาเองสมัยก่อนก็..ทำไมกูชอบไปหมดเลยวะ ? สรุปว่าทำมาเยอะแล้ว จึงต้องตัดใจค่อย ๆ เริ่มไปทีละบททีละหมวด ..(หัวเราะ).. ด้วยความอยากมีฤทธิ์มีเดชก็เริ่มจากกสิณก่อน กสิณที่สามารถทำได้ง่ายที่สุด หาวัสดุง่ายที่สุดของเด็กต่างจังหวัดก็คือกสิณไฟ ต่อไปก็น้ำ ต่อไปก็ดิน ไล่ไปเรื่อย สนุกเป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว..!

พอทำเสร็จก็มาเล่นอนุสติ ๑๐ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็คอยเป็นกำลังใจให้ พอถึงเวลาทำอนุสติครบ ๑๐ ทวนไปทวนมาจนมั่นใจ คือส่วนใหญ่อาตมาทำจะทำทั้งหมวด พอครบหมวดก็วิ่งไปรายงานท่าน “หลวงพ่อครับ ตอนนี้ผมสามารถทรงอนุสติ ๑๐ ได้อารมณ์เต็มสมบูรณ์ทุกกองภายใน ๓๐ นาทีครับ” ท่านบอกว่า “ใช้ไม่ได้ลูก สมัยหลวงพ่อทำ ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาทีถือว่าแย่มากแล้ว” ...(หัวเราะ)...

เถรี
22-01-2020, 08:56
ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าหลวงพ่อหลอกหรือเปล่า ? อาตมาเองปล้ำแทบตายกว่าจะได้ ๑๐ กองภายใน ๓๐ นาทีนี่นานมากเลยนะ มาตอนหลังถึงได้เข้าใจว่า จริง ๆ แล้วที่อาตมาทำนั่นเกิดจากว่า เราไปไล่ ๑ ถึง ๑๐ แล้วก็ ๑ ถึง ๑๐ ใหม่ แต่หลวงพ่อท่านไม่มาขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างนี้ ท่านประเภท ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ จบเลย เร็วกว่ากันเยอะ ...(หัวเราะ)... คือทรงอารมณ์ตอนท้ายแล้วเปลี่ยนกองกรรมฐานแค่นั้นเอง

ตอนนั้นไม่มีความเข้าใจเลยยังทำไม่เป็น แต่ก็มั่นใจว่าครูบาอาจารย์ท่านทำมาแล้ว ท่านไม่หลอกเราแน่ แต่ว่าต้องมีเคล็ดลับอะไรที่เราไม่เข้าใจ แล้วอาตมาเป็นคนดื้อ ไม่ค่อยถาม คิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าเราทำต้องได้คำตอบ แล้วก็ได้จริง ๆ เพียงแต่ว่าบางอย่างก็ต้องใช้เวลาถึง ๓-๔ ปี

เถรี
22-01-2020, 08:57
ถาม : สมมติว่าเราต้องการเจาะจงทำบุญอุทิศให้เทวดา ๒ องค์ จำเป็นต้องแยกการทำบุญ ๒ ครั้งไหมครับ หรือว่าสามารถรวมกันได้เลย ?
ตอบ : จะกี่องค์ก็ไม่ต้องแยก ยกเว้นว่าท่านขอมาเป็นการเฉพาะ อย่างเช่นว่าท่านหนึ่งขอสังฆทาน อีกท่านหนึ่งขอให้บวชพระ แต่ว่าหลังจากที่เราให้บุญสังฆทานท่านนี้ไปแล้ว หรือว่าให้บุญบวชพระกับท่านนี้ไปแล้ว ที่เหลือเราจะให้ใครก็ได้

คือถ้าท่านไม่เจาะจงทำแค่อย่างเดียวก็ได้ กี่ท่านเราก็ให้ไป ท่านที่เจาะจงมาถ้าไม่เกินวิสัยก็จัดการให้ท่านหน่อย ถ้าลำบากก็บอกท่านก่อนว่า “เดี๋ยวขออีก ๑๐ ล้านแล้วค่อยทำให้ อยากได้เร็ว ๆ ก็มาช่วยผมหาเงินหน่อย..!” ...(หัวเราะ)...

เถรี
22-01-2020, 08:59
ถาม : เดือนที่แล้วพระอาจารย์บอกว่าป่วยตอนสมัยสามก๊ก ไม่ทราบว่าอยู่ก๊กไหนครับ ?
ตอบ : ตอนนั้นยังไม่ได้อยู่ก๊กไหน ตอนนั้นยังเป็นนายบ้านอยู่ เสร็จแล้วทหารเขามาเกณฑ์ อาตมาไม่อยากให้ลูกบ้านไปลำบาก ก็บอกเขาว่า “จ่ายส่วยไปแล้ว เป็นข้าวเท่านั้นเท่านี้เกวียน แล้วทำไมถึงจะมาเกณฑ์กันอีก” ไอ้โน่นก็ไม่ฟัง บอกว่าเจ้านายสั่งมา..กูจะเอา ก็เลยฟัดกันหน่อย ...(หัวเราะ)...

ตอนนั้นอายุไม่มาก ร่อนเร่ไปหาประสบการณ์ คราวนี้มีฝีมือ เขาก็เลยจ้างให้ดูแลหมู่บ้าน ลักษณะเหมือนกับเป็นนายบ้านหรือคนที่ทำหน้าที่คุ้มครองเขา ในเมื่อรับเงินเขามาก็ต้องแก้ปัญหาให้เขา ก็ตรงไปตรงมา

เถรี
22-01-2020, 08:59
จะว่าไปแล้วสมัยก่อนคอรัปชั่นเยอะมากเลย พอถึงเวลาไม่ยอมให้เขา เขาก็กลั่นแกล้งเอา บางทีเล่นเอาทหารทั้งกองมาฆ่าล้างหมู่บ้านไปเลย อ้างว่าเป็นกลุ่มที่ช่วยเหลือกบฎอย่างนี้ ก็เลยต้องหาคนที่มีฝีมือมาคอยคุ้มครอง ชาวบ้านเขาก็ประเภทมีข้าวแบ่งข้าว มีอาหารแบ่งอาหาร มีเงินทองพยายามรวบรวมมาแบ่งปันให้ เขาก็ไม่ได้หวังอะไรมากหรอก ก็แค่ขออยู่กินอย่างสงบหน่อยเท่านั้น

คราวนี้พอโดนบีบคั้นมาก ๆ ส่วนหนึ่งก็หนีเข้าป่าขึ้นเขา ในเมื่อเป็นคนดีไม่ได้ก็ตั้งกลุ่มเป็นโจรไปเลยหมดเรื่องหมดราว ...(หัวเราะ)... ดูแล้วสลดใจว่าทุกชาติมีแต่ความทุกข์ แล้วเราไม่ได้ทุกข์คนเดียว คนอื่นเขาก็ทุกข์ แล้วเราก็ต้องไปแบกความทุกข์แทนคนอื่นเขา

เถรี
22-01-2020, 09:01
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของยศเรื่องของตำแหน่ง ในบาลีบอกชัดเจนว่า ยะโส ลัทธา นะ มัชเชยยะ บุคคลได้ยศแล้วไม่พึงเมา แต่ก็หาคนที่ทำจริง ๆ ได้น้อย หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน ศิษย์พี่ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านเองมีน้าเป็นเจ้าคุณใหญ่ ๆ โต ๆ อยู่วัดโพธิ์ท่าเตียน ท่านเองท่านอยากปฏิบัติกรรมฐาน อุตส่าห์เดินทางมาหาน้า สมัยก่อนมายาก ต้องนั่งเรือเมล์มา กว่าจะผ่านประตูน้ำโพธิ์พระยา กว่าจะมาเข้าคลองงิ้วราย คลองมหาสวัสดิ์ กว่าจะมาถึงท่าช้าง

ไปหาหลวงน้าบอกว่า “อยากจะเจริญกรรมฐานหวังความพ้นทุกข์ หลวงน้าสอนผมได้ไหม ?” เป้าหมายท่านชัดเจนมาก หลวงน้าบอกว่า “โหน่งเอ๊ย...มาดูอะไรนี่” เปิดประตูกุฏิให้ดู หลวงพ่อโหน่งชะโงกหน้าเข้าไปดูเสร็จกราบ ๓ ครั้ง “ถ้าอย่างนั้นผมลากลับละครับ” หลวงน้าบอกว่า “เออ..ไปเถอะ ไปหาครูบาอาจารย์ที่เหมาะสม สิ่งที่เธอหวังฉันไม่สามารถที่จะช่วยได้” หลวงพ่อโหน่งก็กลับ"

เถรี
22-01-2020, 09:03
"ตอนหลังไปหาหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ถึงได้ศึกษากรรมฐานจนกระทั่งกลายเป็นครูบาอาจารย์ใหญ่ดังคับบ้านคับเมือง ท่านบอกว่า ชะโงกหน้าเข้าไปในกุฏิ ถ้วยโถโอชาม โต๊ะหมู่มุก สารพัดสารเพเต็มกุฏิไปหมด คือหลวงน้าท่านบอกใบ้ให้รู้ว่า ท่านเองยังสะสมของขนาดนี้ ท่านไม่มีคุณความดีอะไรที่จะสอนหลวงพ่อโหน่งได้หรอก พูดง่าย ๆ ก็คือ ท่านยังแบกกิเลสอยู่เต็มตัว ทั้งยศตำแหน่ง ทั้งข้าวของเงินทอง

ต้องบอกว่าหลวงน้าเจ้าคุณของหลวงพ่อโหน่งท่านสุดยอดเลย ตัวเองทำไม่ได้ก็บอกชัดว่าทำไม่ได้ ไม่พยายามปั้นหน้าเป็นครูบาอาจารย์เขา แล้วท่านก็ไม่ได้พูดมาก เปิดกุฏิให้ดูเลย ...(หัวเราะ)... ถ้าเป็นอาตมาเปิดกุฏิให้ดู โยมก็คงหงายหลัง มีแต่กองขยะ..! ใครถวายข้าวของอะไรก็กองไว้อยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าแม่ชียังไม่มาเก็บไป บางอย่างก็เน่าเสียไปเลย

อาตมามีนิสัยแปลกมาก อะไรที่ไม่หามาเองจะไม่จำ ไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองมี บางทีญาติโยมหรือแม่ชีเข้าไป ทนดูไม่ได้ก็จัดการเก็บล้างกวาดสักที บางทีเขาก็เกรงใจบอกว่า “หลวงพ่อ...เก็บกุฏิสักหน่อย” อาตมาก็เก็บ ๆ ๆ เออ...เก็บแล้วดีใจได้เงินเยอะเลยเว้ย..! คือเขาถวายก็กองเอาไว้ ซุกไว้ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ไม่ได้ไปดู ถึงเวลาไปเก็บรวบรวมมาทีเออ...ได้หลายหมื่นเลยว่ะ..! แบบนี้ต้องเก็บกุฏิบ่อย ๆ เก็บทีไรก็ได้เงินทุกครั้ง..!”

เถรี
22-01-2020, 09:03
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่กำลังจะถวายสังฆทาน “ยกมาเลย อย่าอธิษฐานนาน อธิษฐานนานเดี๋ยวรวยช้า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง ทำอะไรให้เร็ว ๆ ไว ๆ ถึงเวลาได้ก็จะได้ไว ๆ ไม่ใช่ได้บะหมี่สำเร็จรูปนะ..! ได้สิ่งที่ดีไว ๆ”

เถรี
22-01-2020, 09:04
พระอาจารย์กล่าวกับผู้มาขอสะเดาะเคราะห์ว่า “เดี๋ยวเอาไว้มีเวลาจะทำวัตถุมงคลพลิกดวงชะตาให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาสะเดาะเคราะห์กันทุกเดือน ๆ โบราณเขาให้ทำเป็นรูปผาลไถ รู้จักไหม ? ที่เขาใช้ไถนาไถไร่ เขาถือว่าผาลพลิกดินได้ ขนาดแม่ธรณียิ่งใหญ่ขนาดนั้นยังพลิกได้ เพราะฉะนั้น..ทุกอย่างพลิกได้หมด แม้แต่ดวงชะตาของเรา นี่เป็นเคล็ดลับ”

เถรี
22-01-2020, 09:05
พระอาจารย์แกะซองทำบุญที่โยมถวายมา “อธิษฐานนานเกินไป คำอธิษฐานติดคาซองอยู่ ...(หัวเราะ)... ของบางอย่างไม่ได้อยากรู้ แต่พอจับหรือมองแล้วดันรู้ แต่อย่างเมื่อวานนี้เสียท่ามาก ไม่รู้ทำไมคนเต็มบ้านไปหมด ก็คิดว่าวันนี้วันเสาร์ปีใหม่คงจะมาทำบุญกัน ใครจะไปรู้ว่าเขานัดกันมา คือบางอย่างพอไม่ได้กำหนดใจก็ไม่รู้อะไรเลย โง่สนิทเหมือนกัน แล้วอาตมาเป็นคนไม่ค่อยสงสัยอะไรเสียด้วย ไอ้เรื่องที่ควรสงสัยก็สงสัยไปหมดแล้ว ...(หัวเราะ)...”

เถรี
22-01-2020, 09:07
พระอาจารย์กล่าวว่า “สินธุเป็นภาษาไทย มาจากคำว่าสินธุที่แปลว่าน้ำ แต่ถ้าในภาษาสันสกฤต บาลี และอังกฤษ แม่น้ำสายนี้อนาถมาก Hindu Hindhu Indhu Endhu ก็คือแม่น้ำสินธุนั่นแหละ ...(หัวเราะ)... ส่วนแม่น้ำอิรวดีนั่น ทางพม่าเขาออกเสียงคนละอย่างกับเรา เขาออกเสียง “เอยะวะดี” แม่น้ำสาละวินออกเสียง “ตาละวิน” เพราะว่าเสียง ส พม่าจะเป็น ต ถ้าเสียง ต พม่าจะเป็น ส ตรงข้ามกันเลย

ส่วนฝรั่งเขาเขียนสินธุกลายเป็นอินดุส (Indus) คนอ่านไม่ถูกเป็นอินดัสก็มี อันเดียวกันนั่นแหละ”

เถรี
22-01-2020, 09:09
โยมสวมหน้ากากมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “คาดหน้ากากแบบนี้ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่าเชื้อโรคมาจากลมหายใจ ปิดปากแล้วเปิดจมูกก็แย่พอกันนั่นแหละ

อย่าไปกลัวมาก PM 2.5 นี่อาตมาเรียกว่าฝุ่นบ่ายสองครึ่ง..! PM คือเวลาบ่ายของฝรั่งเขา PM 2.5 ก็เลยเป็นฝุ่นบ่ายสองครึ่ง ถ้ากลัวอะไรจะตายหลายครั้ง ก็คือเวลากลัวจะทุกข์ทรมานเหมือนกับตาย ถ้าไม่กลัวก็ตายครั้งเดียว จบแล้วจบเลย ดังนั้น..ทุกวันนี้เราจะลำบากเพราะความคิดตัวเอง เป็นทุกข์เพราะความคิดตัวเอง พยายามคิดให้น้อย ๆ หน่อย จะได้ไม่แก่เร็ว

ความจริงพวกเราก็ไม่ได้คิดมากนะ ส่วนใหญ่คิดคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยเราคิดหรอก คิดคนเดียวเขาไม่เรียกว่าคิดมาก เขาเรียกว่าคิดน้อย ถ้าช่วยกันคิดเป็นหมู่เป็นคณะถึงจะคิดมาก”

เถรี
22-01-2020, 09:10
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวนี้สายตาอาตมาเริ่มแย่ ถุงใส่ทองแท้ ๆ เห็นเป็นสมุดไดอารี่..! แบบเดียวกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานสัญญาบัตรพัดยศให้ เป็นพระครูวิหารกิจจานุการ หลวงปู่ท่านรับแล้วก็แห่กลับวัด ประกาศบอกชาวบ้านว่า “เดี๋ยวนี้ข้าเป็นพระครูแล้วนะ ต่อไปนี้ข้าเดินไม่หลีกใครแล้วละวะ จะร่องเริ่งหนามเหนิมพ่อเหยียบแหลกละ เพราะว่ามองไม่เห็น..!” คือแก่แล้วมองไม่ค่อยเห็น ...(หัวเราะ)... คนอื่นฟังไม่จบคิดว่าหลวงปู่จะเบ่ง

น่าเสียดายหลวงปู่ทำงานหนักมาก อายุยังน้อยอยู่ก็มรณภาพแล้ว จะเรียกว่าอายุน้อยก็ไม่ได้ อาตมาอายุ ๖๐ ปี หลวงปู่ท่านมรณภาพตอน ๖๒ เต็มขึ้น ๖๓ ปี”

เถรี
22-01-2020, 09:10
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าไม่ทิ้งภาวนาเรียนเก่งทุกคน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยภาวนากัน พอสมาธิไม่ทรงตัวก็จำอะไรไม่ค่อยได้”

เถรี
22-01-2020, 09:13
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อคืนนักเลงดีโฉบเอาพระของขวัญวัดปากน้ำ รุ่น ๑ ไปแล้ว เลิกกรรมฐานก็ตามตื๊อเลย ...(หัวเราะ)... หลวงพ่อสดท่านเรียกว่าพระของขวัญ ก็คือเอาไว้ตอบแทนญาติโยมที่ทำบุญ ตอนหลังพวกเราไปเรียกสมเด็จวัดปากน้ำ เรียกไปเรียกมาปัจจุบันวัดปากน้ำก็เลยมีหลวงพ่อสมเด็จอยู่จริง ๆ ก็คือ หลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ปัจจุบันท่านเป็นที่ปรึกษากรรมการมหาเถรสมาคม”

เถรี
22-01-2020, 09:15
พระอาจารย์กล่าวว่า “วิธีทำความสะอาดพระงาช้างอย่างหนึ่งที่เรานึกไม่ถึง ก็คือแปรงด้วยยาสีฟัน อย่าลืมว่างาก็คือฟันของช้าง ...(หัวเราะ)... บีบยาสีฟันลง แปรงให้ฟองฟอดไปเลย..!

ญาติโยมส่วนมากพอได้ไปก็ทิ้งไว้บนหิ้งก็ฝุ่นจับ ของอาตมาเองใส่ถุงใส่ย่าม ในย่ามจะมีถุงอยู่ใบหนึ่ง มีพระพุทธรูปองค์เล็กองค์ใหญ่ หินแกะบ้าง แก้วบ้าง งาบ้าง ยุ่งไปหมด ถึงได้ทำให้ย่ามหนักแท้”

เถรี
22-01-2020, 09:16
“ของหลวงปู่มหาอำพันท่านเป็นพระแก้วมรกต ท่านจะรักพระแก้วเป็นพิเศษ เพราะว่าท่านเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงรุ่นแรก ทุน King’s Scholarship ของในหลวงรัชกาลที่ ๖ ไปเรียนต่างประเทศ ตอนสอบชิงทุนท่านไปกราบขอพรพระแก้วมรกต เสร็จแล้วได้ยินเสียงพระแก้วบอกชัด ๆ เข้าหูมาเลยว่า “Aviation” ก็คือเรื่องของการบิน

ท่านก็ไปศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับการบิน พยายามเขียนเป็นบทความภาษาอังกฤษ เอาไปให้ครูที่โรงเรียนดูแล้วช่วยกันแก้ไขขัดเกลา จนกระทั่งมั่นใจแล้วท่านก็ท่องจำไว้ ถึงเวลาเขาออกเป๊ะเลย น่าเสียดายที่หลวงปู่ท่านสอบได้ที่ ๑ แต่ว่าไปเรียนแล้วเรียนไม่จบ ป่วยกลับมา เพราะว่าสู้อากาศหนาวไม่ไหว กลายเป็นโรคปอด ป่วยกลับมา หามกลับมารักษาตัวที่เมืองไทย เพื่อนฝูงจบต่างประเทศกลับมา ได้เป็นคุณหลวงได้เป็นคุณพระ ท่านบอกว่าต้องมาเป็นหลวงตาต๊อกต๋อยอยู่คนเดียว”

เถรี
22-01-2020, 09:17
“ถึงเวลาโยมแม่เห็นว่าไปแล้วป่วยก็ไม่อยากให้ไปอีก ท่านกตัญญูท่านก็ไม่ไป คือถ้าไปเรียนต่อก็จบเพราะว่าท่านเรียนเก่ง ท่านก็เลยบวชให้แม่แทน บวชแล้วก็อยู่ยาวมาเลย จนกระทั่งได้เป็นเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ คราวนี้เจ้าคุณถ้าทางโลกก็คือพระยา ถ้าเจ้าพระยาเขาเรียกว่าเจ้าคุณใหญ่ ถึงเวลาเพื่อนเป็นคุณหลวงคุณพระท่านก็น้อยใจว่าท่านเป็นนักเรียนทุนเหมือนกัน ไม่ได้เป็นกับเขา พอมาบวชกลายเป็นเจ้าคุณ ใหญ่กว่าเพื่อนอีก ...(หัวเราะ)...

เพื่อนหลวงปู่ที่อาตมาเจอบ่อยที่สุดก็คือ พลตำรวจโทหลวงแผ้วพาลชน เกษียณอายุแล้วก็มาสนทนาธรรมกับเพื่อนพระอยู่ตลอด แสดงว่าหลวงแผ้วฯ ท่านก็เป็นคนธัมมะธัมโมอยู่เหมือนกัน”

เถรี
22-01-2020, 09:19
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้ทะเบียนวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลัง ที่จะใช้เป็นฐานข้อมูลของพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนจะเสร็จแล้ว แต่ว่ายังไม่สมบูรณ์เพราะว่าอาตมากำลังตรวจแก้ไขอยู่ ที่ไม่สมบูรณ์สาเหตุเกิดจากบางทีโยมที่ทำงานเขาไม่เข้าใจ อย่างตะกรุดหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน บรรจุอยู่ในหลอดเงินแกะลาย คราวนี้เพื่อไม่ให้ตะกรุดชำรุดก็ห่อผ้าไว้อีกชั้นหนึ่ง โยมก็ไม่เข้าใจว่าต้องถ่ายตัวตะกรุด โยมก็ถ่ายหลอดมาอย่างสวยทุกมุมเลย ...(หัวเราะ)... เขาถือว่าตะกรุดอยู่ในหลอด แบบนี้ก็ต้องไปถ่ายซ่อมแก้ไขกันไป

ตอนแรกว่าจะเอาตะกรุดขนาดยาว ๕ นิ้วให้ก็เกรงใจ เอาขนาด ๒ นิ้วให้เขาถ่ายรูป ปรากฏว่า ๒ นิ้วบรรจุอยู่ในหลอดเงินแกะลาย ก็เลยถ่ายหลอดมาทุกซอกทุกมุม เน้นลายอย่างชัดเจน ฝีมือดีมาก..!”

เถรี
23-01-2020, 19:01
พระอาจารย์แจกขนมให้เด็ก ๆ “อยากจะกลับเป็นเด็กกันเลยใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)... โน่น..ใช้อตีตังสญาณย้อนกลับไป ก่อนมาที่นี่ ลงจากรถ ขึ้นรถ ไปเรียกรถ ออกจากบ้าน ปิดบ้าน สำรวจความเรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน แต่งตัว กินข้าว... ย้อนหลังไปเรื่อย เดี๋ยวก็ย้อนไปก่อนนอน ตอนเย็นเมื่อวาน ตอนบ่ายเมื่อวาน ย้อนไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ได้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ถ้ามีความคล่องตัวมีมาก ๆ ก็จะระลึกชาติได้”

เถรี
23-01-2020, 19:02
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางคนเขาไม่นึกหรอกว่า คนเป็นร้อยเป็นพันอาตมาจะจำได้หมด ตอนที่อยู่วัดเวลาแจกวัตถุมงคล ต้องบอกว่าคนนี้รอบที่ ๓ คนนี้รอบที่ ๔ เขาไม่นึกว่าอาตมาจะจำได้

ถ้ากำลังใจมั่นคง ความจำจะเหมือนภาพถ่าย สามารถย้อนหลังกลับไปดูได้อีกด้วย คราวนี้ถ้าเป็นเรื่องของสมาธิจิต จะย้อนได้เร็วมาก สมมติว่าเราถ่ายวิดีโอเอาไว้ครึ่งวัน ต้องเสียเวลาย้อนไป ๖ ชั่วโมง แต่ถ้าเรื่องของสมาธิจิต จิตมีสภาพจำ ย้อนไปถึงตรงนั้นจะรู้ได้ทันทีเลย เพราะฉะนั้น..จะกี่ชาติก็ย้อนไปตามกำลังของตัว บำเพ็ญบารมีมาน้อยก็ระลึกได้น้อย บำเพ็ญบารมีมามากก็ระลึกได้มาก”

เถรี
23-01-2020, 19:03
“มีพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ไม่จำกัด พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอนุรุทธ พระมหากัสสปะ นางภัททากัจจานาเถรีหรือพระนางพิมพา ท่านเหล่านี้ระลึกชาติได้ไม่จำกัด ท่านอื่น ๆ ก็ระลึกชาติได้จำกัด แต่ว่าเป็นเรื่องที่คนเขาทำกันได้มาก สมัยพุทธกาลบรรดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ ระลึกชาติกันเป็นว่าเล่น เขาบอกว่าได้ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง ๑ กัป ๒ กัป ๓ กัป ๕ กัป ๑๐ กัป ๑๐๐ กัป ได้กันขนาดนั้นเลย”

เถรี
23-01-2020, 19:04
พระอาจารย์กล่าวว่า “ใครเครียดเพราะเป็นฝ้า ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อครีมทาหน้า ไปฝึกหายใจยาว ๆ แบบโยคะ หายใจเป็นชุด ๆ ให้ได้ชุดละ ๓ นาที แล้วก็พัก ๓ นาทีแล้วก็พัก ไม่กี่วันก็หายแล้ว การเป็นฝ้าโบราณเขาว่าเลือดลมไม่ดี ในเมื่อเลือดลมไม่ดีเราก็ทำให้ดี ด้วยการหัดหายใจยาว ๆ เข้าไว้ จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้อีกด้วย”

เถรี
23-01-2020, 19:04
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดือนนี้ปล่อยควายไป ๑ ตัว วัว ๓ ตัว ใช้หนี้ไปเรื่อย ๆ สมัยก่อนกินควายไว้เยอะ..! จะเรียกว่ากินเยอะก็ไม่ใช่ เพราะว่าถึงเวลาไปรบทัพจับศึกก็ต้องต้อนสัตว์อาหารไปด้วย คือพวกวัวพวกควาย คราวนี้จะว่ากินเยอะก็ไม่ใช่ แต่ว่าบุคคลที่เป็นหัวหน้าต้องสั่งเขาทำ พูดง่าย ๆ ว่าฆ่าไปกี่ตัวก็รับผิดชอบด้วยทั้งหมด”

เถรี
23-01-2020, 19:06
ถาม : ในความฝันได้ยินว่าแบบนี้ พอตื่นมาว่าจะจด แต่ก็ลืมไปหมด ?
ตอบ : เป็นกติกา กติกาว่าต้องรีบ รู้จักตะกร้าไหม ? ตะกร้าตักน้ำได้ไหมเล่า ? ความหยาบของโลกมนุษย์ก็เหมือนกับตะกร้า คือรองรับของละเอียดไม่ค่อยได้ พอถึงเวลาต้องรีบจดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นก็รั่วหมด เพราะว่าเรารับมาจากส่วนที่ละเอียดกว่าเยอะ

อาตมาโดนมาด้วยตัวเองแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาสั่งงาน ๓ ข้อ โอ๊ย...สามสิบข้อผมก็จำได้ ประมาทไปหน่อย รุ่งเช้าเหลืออยู่แค่ข้อเดียว อีกสองข้อไม่ต้องไปหา งมเท่าไรก็คิดไม่ออก แล้วอย่าไปถามใหม่นะ โดนไม้เท้าแน่นอน..!

เถรี
23-01-2020, 19:06
พระอาจารย์กล่าวว่า “บ้านเราไม่ต้องไปพกร่มหรอก เดินตากแดดนิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้น อย่ากลัวดำ ประเทศไทยแต่เดิมชื่อสยาม สยามแปลว่าดำ..! ...(หัวเราะ)... ขอบอกว่าคนดำ ฝรั่งเขาชอบสุด ๆ เพราะดำอย่างพวกเรานี่ไม่ใช่ black แต่เป็น brown skin ผิวสีน้ำตาลหรือสีแทน ถ้าดำเกินก็สีแทนทาลัม..! เขาถือว่าเป็นผู้มีอันจะกิน เพราะว่ามีโอกาสไปอาบแดด”

เถรี
23-01-2020, 19:08
พระอาจารย์กล่าวว่า “โยมทำบุญบาทหนึ่งหรือว่าสตางค์หนึ่ง อาตมาก็ต้องลงบัญชีเหมือนกัน ปัจจุบันที่มีปัญหาที่สุดก็คือการโอนเงินออนไลน์ คือทางสรรพากรเขาจะต้องตรวจสอบ พระก็ต้องต้องลงทุกบาททุกสตางค์ โยมหลายคนมีความสุขเหลือเกินที่ได้ทำบุญวันละบาท แต่อาตมาลงบัญชีหน้ามืดเลย..!

เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เฉพาะบัญชีเงินออนไลน์โอนมา ๕๗ หน้า..! แล้ว ๕๗ หน้านี่มีตัวเลขพิลึกพิลั่นอยู่ อย่างประเภท ๑๐.๙๙ บาท ๑๐๘ บาท ๑ บาท ๒ บาท ๖ บาทก็มี...ไม่ว่ากัน อาตมาก็แปลกใจว่า ๙๙ บาท อีกบาทเดียวก็ครบร้อยแล้ว ทำไมไม่โอนให้ครบไปเลย ?

เวลาตัวเลขไม่ลงตัวก็ลำบาก เพราะว่าต้องลงทุกบาททุกสตางค์ เนื่องจากว่าการโอนเงินออนไลน์นี่สรรพากรเขาตรวจสอบอยู่ตลอด แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันดีคืนดีจะเล่นงานพระเรื่องไม่จ่ายภาษีหรือเปล่า ? จึงต้องระวังตัวและจัดการให้เรียบร้อย โยมโอนเงินวันละบาท อาตมาก็ลงบัญชีมือหงิกเลย..! ถ้าเป็นไปได้ก็ลงไป ๕ บาท ๑๐ บาทไปเลย เอาเป็นตัวเลขเต็ม ๆ หน่อย”

เถรี
23-01-2020, 19:09
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันก่อนเอาถ้วยเบญจรงค์ลายน้ำทองออกมาใช้วันแรกก็ฝาแตกเลย แขนหนีบกระบอกน้ำ มือถือถ้วยน้ำ อีกมือหนึ่งก็ไขกุญแจ ทีนี้ถ้วยเอียง ฝาเบญจรงค์ก็ร่วง ส่วนกระบอกน้ำก็จะร่วง เลยไม่รู้ว่าจะหยิบอะไรก่อน เป็นอันว่าของใหม่เอี่ยมออกมาก็แตกเลย สัพเพ ธัมมา อนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่สามารถยึดมั่นเป็นตัวตนได้ แพงแค่ไหนก็แตก ...(หัวเราะ)...”

เถรี
23-01-2020, 19:10
“นางมัลลิกาเทวีจัดเลี้ยงพระ คนใช้วิ่งมาส่งรายงาน นางมัลลิกาอ่านเสร็จก็พับเก็บใส่ชายพก...เลี้ยงพระต่อ ปรากฏว่าสาวใช้ทำจานแตก พระท่านก็เตือน “อุบาสิกา...สรรพสิ่งมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา อย่าได้เสียดายกับของที่แตกไปเลย รักษาใจไว้ให้ดี เรากำลังทำบุญอยู่” นางมัลลิกาก็เลยหยิบจดหมายจากชายพกส่งให้พระเถระดู เขาเขียนมาบอกว่า สามีและบุตร ๓๓ คนไปออกศึกที่ชายแดนตายเรียบ ...(หัวเราะ)... อาตมาสงสัยอยู่อย่างเดียวว่า ลูก ๓๓ คนนี่คลอดมาอย่างไร ? น่าจะแฝดสี่แฝดห้าสัก ๒-๓ ชุดกระมัง..!

สรุปว่านางทำใจได้ตั้งแต่แรกแล้ว ขนาดผัวตายลูกตายเกลี้ยงก็ยังทำบุญหน้าตาเฉย กับแค่ถ้วยจานแตกไปใบเดียวจะไปเสียดายอะไร”

เถรี
23-01-2020, 19:11
ถาม : ขอพรปีใหม่ค่ะ ?
ตอบ : ก็ที่ให้ไปเมื่อครู่นั่นแหละ แปลออกหรือเปล่า ?

สิทธิกิจจัง งานการทุกอย่างจงสำเร็จ สิทธิกัมมัง ทำอะไรก็ให้สำเร็จ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง ให้มีลาภไม่รู้จักหมดจักสิ้น สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง ให้มีเดชมีอำนาจเสมอ ๆ สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ขอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้สำเร็จแก่เธอ ...(หัวเราะ)... แปลไม่ออกแล้วจะมาขอพรใหม่ เดี๋ยวตีเลย..!

เถรี
23-01-2020, 19:12
พระอาจารย์กล่าวว่า “เรียนเราต้องเรียนให้รู้ รู้แล้วต้องรู้ให้จริง รู้จริงคือต้องบอกต่อได้ สอนต่อได้ อย่าไปเรียนเอาจบ การเรียนเพื่อให้จบเป็นอะไรที่น่าเกลียดมาก เขาเรียกว่าเรียนแบบขอไปที ในเมื่อเรียนแบบขอไปที ถึงเวลาทำอะไรก็ต้องทำแบบขอไปที..เอาดีไม่ได้ จะมีใครเขายอมเปิดทางให้เราไปบ่อย ๆ เล่า ก็ต้องอาศัยความสามารถที่แท้จริงเข้าว่า”

เถรี
23-01-2020, 21:54
โยมทำพระพุทธรูปตก พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “โยมจะเห็นว่าตัวเองตกใจ ทำไมพระไม่ตกใจเลย ? แสดงว่าใจพวกเราอยู่นอกตัว ถ้าใจอยู่กับตัว อะไรเกิดขึ้นจะไม่ตกใจ เพราะอาการตกใจก็คือ การที่จิตส่งออกนอกแล้ววิ่งกลับมาเร็วเกินไป กว่าอาตมาจะตายด้านขนาดนี้ได้ก็ฝึกอยู่หลายปีนะ

จะมีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ ๆ เพียงแต่ว่าเราต้องสังเกตให้เป็น อย่างเช่นว่า รถหมุนเป็นลูกข่างบนเขาค้อห่างจากเหวไม่ถึงศอก ปรากฏว่ามีแต่เสียงบอกว่า “เอาอีก ๆ” แล้วคนขับก็บอกว่า “ทำได้ครั้งเดียวโว้ย..!” จะให้หมุนอีก..สนุกดี..!”

เถรี
23-01-2020, 21:55
“ก่อนหน้านั้นก็ยังมีสะดุ้งนิด ๆ มาตายด้านจริง ๆ ก็ตอนปีที่ไปธุดงค์ที่บึงลับแล มีพระร่วมคณะไปรวมแล้ว ๕ รูป ต่างคนก็ต่างหาที่ปักกลดกันเอง อาตมาเห็นว่าอยู่นานและพอจะมีฝีมืออยู่บ้างก็ทำแคร่นอน ซึ่งก็ไม่ยากหรอก ถึงเวลาก็ต่างคนต่างภาวนา เวลาผ่านไป ๆ น่าจะสักประมาณ ๕ ทุ่ม อะไรที่เกิดกับอาตมามักจะเกิดใกล้เคียงเวลานี้แหละ น่าจะเป็นเวลาทองของตัวเอง

กำลังภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวดี แคร่ก็พัง ทางด้านหัวหักโครมลงไป แคร่ก็เอียงทิ่มพื้น อาตมาเองก็ค่อย ๆ ไหลหัวค้ำพื้น ช่างหัวมัน..กำลังภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวดี ๆ ขี้เกียจขยับ ไม่อยากให้หลุด ก็ภาวนาไปเรื่อย คราวนี้น้ำหนักกดลงมาเรื่อยก็เริ่มเจ็บหัว เอาวะ..ลุกก็ได้”

เถรี
23-01-2020, 21:56
“คราวนี้ตอนลุกขึ้นมีเหตุการณ์ ๒ อย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน อย่างแรกคือ พระท่านเห็นว่าเสียงแคร่พังโครมลงมาตั้งนานแล้ว ทำไมพระอาจารย์ไม่กระดิกเลย แคร่ทับตายไปหรือยัง ? ท่านก็ส่องไฟมา

ตอนที่ท่านส่องไฟ อาตมาเห็นพระธุดงค์ห่มผ้าสีกรัก ไม่ทันได้สังเกตว่าในความมืดทำไมเห็นท่านชัดอย่างนั้น ? เห็นพระธุดงค์รูปหนึ่งยืนอยู่ตรงหัวนอน ก็สงสัยว่าพระท่านมาจากไหน ? คือเห็นชัด ๆ เลย เห็นหน้าตา กระทั่งสีจีวร เห็นเหมือนกลางวันสว่าง ๆ ท่านอาจจะมาตอนดึกก็เลยไม่อยากจะเรียกพวกเรา เดี๋ยวจะถามท่านหน่อยว่าเป็นใครมาจากไหน ?”

เถรี
23-01-2020, 22:00
“ปรากฏว่าพระของเราเห็นพระอาจารย์เงียบไปนาน ท่านจึงส่องไฟฉายมา คราวนี้ท่านส่องแล้วเขย่า ๆ ไฟฉายเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเรียกหา อาตมาก็เห็นพระธุดงค์ท่านเต้นระบำได้ มองไปมองมา..นี่เงาเราเองนี่หว่า ? พอท่านเขย่าไฟฉาย เงาก็วูบไปวูบมา แล้วทำไมเมื่อครู่นี้ถึงเห็นได้ชัดขนาดนั้น ? ก็แปลว่าผีหลอก คราวนี้แคร่พัง สติอยู่กับตัวไม่ไปไหน นิ่งตลอด อยู่กับการนอนหัวทิ่มจนทนไม่ไหวค่อยขยับเปลี่ยนท่า เห็นผีต่อหน้าต่อตา รู้ว่าผีหลอกก็ยังเฉยด้วย เออ..ดีเหมือนกัน..!

ตั้งแต่นั้นมา ฟ้าถล่มดินทลายอย่างไรก็เฉย ๆ เพราะว่ารู้วิธีรักษาใจอยู่ภายในไม่ให้ส่งออกไปข้างนอก การที่เราตกใจเพราะว่าเราส่งใจออกนอกโดยไม่รู้ตัว พอถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นก็ดึงเอาใจกลับมาเพื่อรับรู้ คราวนี้ดึงกลับมาเร็วเกินไป ร่างกายรับไม่ทันก็สะดุ้งตกใจ ดังนั้น..ถ้าเราภาวนาไป ฝึกซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ตายด้านไปหมดเองแหละ”

เถรี
23-01-2020, 22:02
“ไม่ได้เจตนาทำให้โยมเห็นหรอก บังเอิญตายด้านก็เลยให้พรไปเรื่อย จบแล้วค่อยว่ากัน เพราะว่าไม่มีอันตรายอะไรนี่ แต่ถ้าอย่างรถชนอย่างอะไรที่มีอันตราย อาตมาจะลงไปดูก่อน อันดับแรกที่ไปก็คือ ถามคู่กรณีว่ามีใครเจ็บบ้างไหม ? มีอันตรายอะไรหรือเปล่า ? รถมีประกันอะไรไหม ? หลายครั้งแล้วที่เขาชนเราแล้วรถเขาพังยับเยิน ส่วนรถของเราไม่มีร่องรอยอะไรเลย สงสัยว่าเทวดาจะรักษาดีเกินไป..!

พอถามเขาเสร็จสรรพเรียบร้อย ไม่มีใครเจ็บ ถ้าอย่างนั้นอาตมาไปละนะ โยมโทรหาประกันเอาเองก็แล้วกัน ลาก่อน..! ก็เขาชนเรานี่ เราไม่เอาเรื่อง ...(หัวเราะ)... อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นทุกครั้ง เกิดจากการที่คนอื่นขับรถแบบไม่สนใจโลก ครั้งนั้นสิบล้อเขาตีไฟขอทางเพราะว่าเขาจะเลี้ยวขวา เขาขอทางมาเป็นนาที แต่รถเก๋งไม่ยอมหลบ ขับคู่กันไปตลอด จะเร่งเร็วขึ้นหรือจะลดความเร็วลงก็ไม่ทำ จนกระทั่งสิบล้อเขาใกล้จะถึงที่เลี้ยวเขาก็หักขวับไปเลย รถเก๋งต้องเบรกกะทันหัน รถของเราก็ต้องเบรกตาม แล้วคันหลังเบรกตามไม่ทันก็ทิ่มรถของอาตมาเข้าเต็ม ๆ ซึ่งถ้าอาตมาเป็นสิบล้อคันนั้น ไอ้รถเก๋งไม่ได้เบรกหรอก เพราะว่าอาตมาก็คงตบตกถนนไปแล้ว..!”

เถรี
23-01-2020, 22:02
“ส่วนอีกครั้งไม่ใช่สิบล้อแต่เป็นหกล้อ รถของเรามาด้วยความเร็วปกติประมาณ ๘๐-๙๐ กม./ชม. ของเขาเองอยู่อีกฝั่ง เขากลับรถพรวดเดียวออกมาเลยโดยไม่สนใจว่ารถเรามาหรือเปล่า ก็เบรกสิครับแบบนี้..!”

เถรี
23-01-2020, 22:03
“ส่วนอุบัติเหตุครั้งที่หนักที่สุดคือหนักที่รถ รถพังหมดเลย เหตุเกิดที่แยกตึกชัย ช่วงไฟเขียว ต่างคนต่างก็เร่งเพื่อให้พ้นไฟเขียว รถคันหน้าของอาตมาวิ่งไปถึงกลางสี่แยก พอไฟเหลืองก็เบรกหยุดทันที คันของอาตมาก็เลยส่งเขาข้ามแยกไปเลย..! ตำรวจจราจรเดินมาดู ถามว่า “หลวงพ่อเป็นอะไรไหมครับ ?” หลวงพ่อไม่เป็นอะไรหรอก แต่รถพังแน่ ๆ เพราะว่าหลวงพ่อออกไม่ได้ โดนหนีบติดอยู่อย่างนี้ ตำรวจก็ต้องไปวิทยุเรียกกู้ภัยมาช่วยกันตัดช่วยกันถ่าง แคะเอาหลวงพ่อออกมา”

เถรี
23-01-2020, 22:08
“ไปดูคันหน้าปรากฏว่าของเขาเป็นรถกระบะ ด้านท้ายไม่เหลือดีเลย ก็เลยถามเขาว่ามีประกันหรือเปล่า ? เขาตอบว่าไม่มี บรรลัยแล้วกู..! คุณไม่มีประกันแล้วจะทำอย่างไร ? ท้ายสุดก็เลยบอกเขาว่า “คุณไปโทรเรียกอู่มาแล้วกัน ถ้าเขาตีราคาเท่าไรเดี๋ยวอาตมาจ่ายให้ แล้วคราวหน้าอย่าขับรถแบบนี้อีก ขณะที่ต่างคนต่างเร่งความเร็ว ต่อให้ไฟแดงเขายังต้องไป แต่นี่พอเหลืองแล้วคุณเบรกทันทีเลย”

เขาบอกว่า “เมียบอกให้หยุดครับ” คุณสามีดีเด่นแห่งชาติเลยแบบนี้..! ก็เลยบอกว่า “คุณทำแบบนี้บ่อย ๆ คุณได้เปลี่ยนเมียใหม่แน่นอน..!” คือการชนลักษณะนี้ถ้าสะบัดผิดจังหวะจะคอหักเลย เพราะว่าชนจากข้างหลัง กฏจราจรนั้นใช่ ก็คือเขียวไปได้ เหลืองหยุด แดงห้ามขยับเด็ดขาด แต่สิ่งที่บ้านเราปฏิบัติก็คือ เขียวไปได้ เหลืองให้รีบไป แดงถ้ามีความสามารถยังไปได้อีก..! ฝรั่งเขามาตายเมืองไทยไป ๒-๓ ศพก็เพราะอย่างนี้แหละ คือพอเหลืองแล้วเขาเบรกหยุดเลย ส่วนของเราข้างหลังมาพอเห็นเหลืองก็เร่งเต็มที่เลย คันหน้าหยุดเราก็เบรกไม่ทันแล้ว”

เถรี
23-01-2020, 22:10
“ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุอาตมาไม่เคยเป็นอะไรเลย บางทีกระจกถล่มลงมาทั้งบาน เต็มตัวไปหมด อาตมาก็เฉย ๆ พอถึงเวลาเปรี้ยง..ยกแขนจีวรบังหน้า กันเศษกระจกเข้าตา พอเหตุการณ์สงบเรียบร้อยลดมือลงมา อื้อหือ..พราวไปทั้งตัวอย่างกับลิเกติดเพชร มีแต่กระจกเป็นเม็ด ๆ เต็มไปหมด

ของบางอย่างวาระกรรมมาถึง แต่ว่ากุศลของทาน ศีล ภาวนา ช่วยได้ โดยเฉพาะวัตถุมงคล ถ้าผ่านพิธีพุทธาภิเษกที่ถูกต้อง จะมีเทวดารักษา ถึงเวลาไปไหนอย่าลืมอาราธนา จะได้ปลอดภัยตลอดทาง หลายครั้งก็ปลอดภัยแบบไม่น่าเป็นไปได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งอาตมาลุ้นจนหมดแรงเลย ก็คือเจอสิบแปดล้อตัดหน้า ตอนนั้นคนขับยังหนุ่มอยู่ ห้าวมาก ขับ ๑๔๐ กม./ชม. เวลาตี ๔ กว่า ๆ รถพ่วงสิบแปดล้อพรวดจากข้างทางออกมาเต็มถนน อาตมาก็ต้องช่วยเบรกสุดตัวเลย คนขับรถนี่ถอดใจแล้วว่าชนแหลกแน่นอน ปรากฏว่าห่างสักไม่ถึงครึ่งคืบก็หยุดได้ ส่วนเจ้าสิบแปดล้อนั่นไม่แลเราหรอก ก็ไปของเขาต่อ คราวนี้การที่ใช้กำลังใจมากเกินไป ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองหมดแรงไปเลย”

เถรี
23-01-2020, 22:11
“คนบ้านเราส่วนใหญ่ที่เกิดอุบัติเหตุเพราะลักษณะอย่างนี้ เมื่อล่าสุดรถกระบะชนสามล้อพ่วงข้าง สามล้อพ่วงข้างวิ่งอยู่ข้างถนนด้านซ้าย ถึงเวลานึกจะเปลี่ยนเลนก็เปลี่ยนเลย หักขวาขวับมา แล้วรถเลนขวาก็รู้อยู่ว่าวิ่งเร็วทั้งนั้น ตูมเดียวบินว่อนทั้งรถทั้งคนเลย อาตมายังไม่ได้ตามข่าวว่าตายหรือเปล่า เพราะว่าชนกันเมื่อวานนี้เอง

ที่เล่ามาเพื่อให้รู้ว่า ชีวิตของเราอยู่ใกล้ความตายมาก อยู่ใกล้ชนิดที่ว่า ถึงเราจะไม่ประมาทอย่างไร คนอื่นเขาก็ช่วยประมาท ดังนั้น..สิ่งที่สมควรทำที่สุดก็คือ ใจเราต้องเกาะพระ เกาะเทวดา เกาะการภาวนา เกาะพระนิพพาน เกาะอะไรให้ได้สักอย่างหนึ่ง เกาะต่ำไปต่ำ เกาะสูงไปสูง ปล่อยวางหมดไม่เกาะอะไรเลยก็ไปพระนิพพาน”

เถรี
23-01-2020, 22:12
“พวกเราบางทีภาวนาไป ทำวันละนิดวันละหน่อย ฟุ้งซ่านบ้าง ดีบ้าง ภาวนาบ้าง ด่าชาวบ้านบ้าง เห็นว่าตัวเองไม่มีอะไรดี แต่ว่าต้องลอง เพราะว่าถ้าหากว่าเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เราจะรู้ทันทีเลยว่าต้นทุนของเราพอไหม ? ถ้าอย่างเมื่อครู่นี้ต้นทุนไม่พอแน่ ประเภทตกใจแหกปากลั่นขนาดนั้น

เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาทุกอย่างจะรู้สึกเหมือนกับช้ามาก เพราะว่าสภาพจิตของเราเร็วกว่า เหตุที่สภาพจิตเร็วกว่าเพราะว่าการสั่งสมมา ความเร็วจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วความแหลมคมว่องไวไม่พอ ก็จะทำให้ตามกิเลสไม่ทัน ป้องกันกิเลสไม่ได้”

เถรี
23-01-2020, 22:13
“ดังนั้น..ยิ่งทำต้องยิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะใช่ บางสำนักบอกว่า การปฏิบัติต้องยิ่งช้ายิ่งดี อันนั้นไม่จริง ถ้ายิ่งช้ายิ่งดีนี่ผิดทางแน่นอน การปฏิบัติธรรมนั้น สภาพสติ สมาธิ ปัญญา จะแหลมคมว่องไวขึ้นไปเรื่อย ๆ การทำอะไรจะเร็วขึ้น แต่เป็นการเร็วโดยไม่ผิดพลาด คราวนี้พอเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา อย่างเช่นว่าอุบัติเหตุกะทันหัน เราตกใจไหม ? ท่านที่ปฏิบัติมาส่วนใหญ่ไม่ตกใจหรอก มีสติอยู่พร้อม ตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหา ผ่อนหนักเป็นเบาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

หรือไม่ก็อีกทีหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ จะตาย หรือว่าหมอนัดผ่าตัด ใจสั่นริก ๆ เลย งานนี้จะรอดไหมหนอ ? คนปฏิบัติมาเขาไม่เสียเวลาคิด ส่งใจไปเกาะพระ เกาะพระนิพพานไปเลย ถ้าตายเมื่อไรขออยู่ตรงนี้แหละ จบกันแค่นี้ จะเห็นว่าสภาพร่างกายมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ พยาธิธัมโมมหิ พยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เห็นธรรมดา ปล่อยวาง พยายามรักษาทุกอย่างแล้วแก้ไม่หายต้องถึงมือหมอ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของหมอ หมอก็ทำหน้าที่ของหมอไป เราก็ภาวนาของเราไป”

เถรี
23-01-2020, 22:14
“แต่ได้โปรด..บางคนภาวนาดีเกินไป หมอแทง ๓-๔ เข็ม..ไม่เข้า ...(หัวเราะ)... ต้องขอร้องให้เลิกภาวนาหรือไม่ก็เอาวัตถุมงคลออกก่อน ไม่อย่างนั้นหมอฉีดยาไม่ได้ คือปกติก็ภาวนาไม่ดีขนาดนั้นนะ คราวนี้ไปคิดว่าหมอจะผ่าตัด เราอาจจะตาย กำลังใจเกาะภาวนาสุดชีวิต สมาธิดี เข็มก็เลยแทงไม่เข้า..!”

เถรี
24-01-2020, 21:43
พระอาจารย์กำลังเช็ดปั้นเหน่งอยู่ "บอกให้รู้ไม่ได้ว่าอะไร เดี๋ยวจะกลัวกัน กะโหลกผีตายโหง ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร แต่อันนี้ยังไม่ทันจะเผา พอวันอังคารจะเผาก็ไปเจาะเอามาเสียก่อน เขาเอามาทำปั้นเหน่ง เป็นวิชาของทางล้านนา

ความจริงไม่ต้องกลัว อาตมาอุทิศส่วนกุศลให้กลายเป็นเทวดาไปหมดแล้ว ชิ้นกะโหลกพอเก็บนาน ๆ ไปจะมีความชื้น จะขึ้นรา ก็ต้องเช็ดให้สะอาด

มีอยู่ไม่มาก มีอยู่สามชิ้น ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้เลี้ยงผี มีแต่จะให้ผีเลี้ยง อุทิศส่วนกุศลให้ คุณไปสบายแล้วถึงเวลาก็ช่วยหาเงินให้ด้วย อาตมาเก็บไว้ในฐานะที่เป็นศิลปะของแผ่นดิน อย่างอันนี้เขาแกะเป็นรูปหน้ากาลหรือราหู"

เถรี
24-01-2020, 21:58
พระอาจารย์กล่าวถึงโยมที่มาทำบุญว่า “คุณธวัชชัยเป็นเพื่อนเก่า รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงมาด้วยกัน แล้วไม่ต้องถามนะ อาตมาเป็นคนเดียวที่หน้าตาไม่เปลี่ยน ไม่ยอมแก่เลย เพื่อนฝูงเขาชิงแก่กันหมด

หลายท่านอาจจะเคยเห็นรูปอาตมา ที่เขาเรียกว่ามนุษย์ทองคำ ที่ถ่ายมาแล้วสีผิวเหมือนกับเคลือบทอง นี่แหละ..ฝีมือคุณธวัชชัยคนนี้ถ่าย เพราะว่าตอนนั้นกำลังภาวนานึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านนั่งรับสังฆทานอยู่ ดูว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนมาคุม เห็นพระพุทธกัสสปท่านคุมอยู่ ปรากฏว่าพอนึกถึงท่าน รัศมีท่านคลุมลงมาด้วย คุณธวัชชัยถ่ายรูปพอดี ออกมาเป็นทองคำเลย เพราะว่าพระท่านสงเคราะห์”

เถรี
24-01-2020, 22:19
สนทนากับคุณธวัชชัย "ถ้าสติอยู่กับตัวจะไม่เป็นไร แต่ที่ตื่นเต้นเพราะส่งใจออกนอก ถ้าส่งใจออกนอก โอกาสที่จะปรุงแต่งไปรักโลภโกรธหลงมีเยอะมาก

โยมบางคนเขาสงสัย พระไม่ตื่นเต้นเลยหรือ ? ถ้ารักษาใจเป็นก็ไม่ตื่นเต้นกับใครหรอก ค่อย ๆ สั่งสมไป พอถึงเวลาก็เหมือนกับน้ำเต็ม ก็จะพอเหมาะพอดีพอควร แต่คราวนี้วาระของแต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนถ้าหากขยันมาก ทำถูกทางก็ไปเร็ว ถ้าขยันน้อย มีภาระมาก บางทีภาระครอบครัวแย่งเวลาปฏิบัติไปหมด เราจะทำบ้าง เมียกวนบ้าง ลูกกวนบ้าง ยุ่งไปหมด"

เถรี
24-01-2020, 22:20
“ของบางอย่างพยายามปิดก็ปิดไม่อยู่ เพราะว่ากาย วาจา ใจ ที่แสดงออกนั้นแตกต่างแล้วเขาเห็นชัด เดี๋ยวนี้เพื่อนพระเขารู้กันหมดแล้ว ...(หัวเราะ)... ก่อนหน้านี้ยังพอปิดได้ ระยะหลังปิดไม่อยู่แล้ว กลายเป็นพระนี่แหละที่เลื่อมใสมากกว่าโยมอีก ถึงเวลาพระทั้งจังหวัดจะขอพึ่งแต่พระอาจารย์เล็ก คือพระอยู่ด้วยกันมากกว่า ถึงได้รู้มากกว่า พอรู้มากกว่าถึงเวลาก็บอกต่อ ๆ กัน โอ้โฮ..เหนื่อยอย่าบอกใครเลย งานโน้นก็จะนิมนต์ งานนี้ก็จะนิมนต์ เอาพระอาจารย์เล็กนี่แหละ ไม่เอาท่านอื่นหรอก..ตาย ...(หัวเราะ)...

ถึงเห็นชัดจริง ๆ ว่าสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนเรา ถ้าตั้งใจเอานะ ต้องได้ดีแน่นอน นับเวลาที่พวกเรารับใช้หลวงพ่อมาก็เกือบ ๔๐ ปีแล้ว คือระยะเวลาอย่างนี้ถ้าคนที่มีเวลาแล้วตั้งใจทุ่มทำจริง ๆ เห็นหน้าเห็นหลังได้เลย แต่ว่าส่วนใหญ่ภาระงานพาไปเสียจนกระทั่งแทบจะไม่มีเวลา”

เถรี
24-01-2020, 22:25
ถาม : ผมมีกรรม ไม่ได้บวช ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ถ้าวาระเหมาะสมเดี๋ยวก็มาได้เอง อีกอย่างหนึ่งคือฆราวาสไปง่ายกว่า เหตุเพราะว่ากติกาน้อยกว่า ถนนมีรูแค่ ๕ รู หลบซ้ายหลบขวาก็ไปได้แล้ว ของพระตั้ง ๒๒๗ รู จะตกหลุมตกร่องตรงไหนก็ไม่รู้

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ฆราวาสเราคลุกอยู่กับทุกข์ตลอดเวลา ถ้ารู้จักพิจารณาจะเห็นทุกข์ง่ายกว่าพระเยอะเลย เพียงแต่ว่าเราฉวยโอกาสตรงนี้ขึ้นมาได้ไหม ? บางทีเราก็รู้สึกว่าเบื่อมากโดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะถ้าเราไม่เบื่อ เราก็จะอยากเกิด อยากมี อยากได้อีก

เถรี
24-01-2020, 22:27
คราวนี้เราไม่สามารถรักษาความเบื่อให้อยู่กับเราได้ เพราะว่าถ้าอยู่กับเราไประยะหนึ่ง ใช้ปัญญาพิจารณาก็จะเห็นว่า เกิดมากี่ชาติก็น่าเบื่อแบบนี้ แต่ถ้าเราสามารถตัดชาติตัดภพได้ลงในชาตินี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาพบความน่าเบื่อเช่นนี้จะไม่มีอีก เพราะฉะนั้น..การที่เบื่อแค่ชาติเดียวเปรียบกับการเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน เหมือนหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นก็ผ่านไปแล้ว ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้ ? ใจเราจะยกระดับขึ้นมา จะกลายเป็นสังขารุเปกขาญาณ ไม่เป็นนิพพิทาญาณแล้ว

เพราะฉะนั้น..บางทีก็ต้องรอวาระเหมือนกัน เพราะว่าคนที่เล่นอยู่บนเวที บางทีก็มองไม่เห็นช่องทาง เหมือนกับนักมวยต่อยกัน คนข้างล่างก็ “เตะซ้ายสิ ต่อยขวาสิ” คนข้างบนไม่เห็นหรอก เพราะมั่วอยู่ เราเองชีวิตฆราวาสก็เหมือนกับนักมวยบนเวที ไม่ค่อยเห็นช่อง แต่คนข้างล่างเขาเห็น ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครเห็นช่อง ชีวิตฆราวาสจะไปง่ายกว่า กติกาน้อยกว่า อยู่กับทุกข์มากกว่า เห็นชัดเจนกว่า ฟังแล้วมีกำลังใจอยากเป็นฆราวาสต่อนะ ...(หัวเราะ)...

เถรี
24-01-2020, 22:28
อาตมาออกจากวัดมาก็ ๒๗ ปี ขึ้นปีที่ ๒๘ แล้ว ที่ออกก็ออกมาตามวาระ ออกมาก็ดีเพราะว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงออกมากี่คนอาตมาช่วยท่านได้หมด ไม่อย่างนั้นแล้วท่านก็ไม่มีที่ไป ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะหลวงพี่วิรัชหรือว่าใครก็แวะมาที่นี่ทั้งนั้นแหละ ให้ช่วยหาที่หาทางให้ ชวนไปอยู่ด้วยกันทางด้านโน้น หลวงพี่วิรัชท่านบอกว่า “ผมไม่เอาหรอก ผมกลัวมาลาเรีย” ...(หัวเราะ)...

ส่วนหลวงพี่อาจินต์อาตมาหาวัดประจำอำเภอให้ พร้อมกับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ ท่านหนีเลย ท่านไม่เอา ท่านบอกว่าท่านไม่อยากรับภาระ

เถรี
24-01-2020, 22:30
พอนาน ๆ ไปแล้วก็เหมือนกับการร่อนเพชรร่อนพลอย คัดเลือกว่า ใครเป็นกรวด ใครเป็นทราย ใครเป็นก้อนหิน ใครเป็นพลอย ใครเป็นเพชร ก็จะเด่นขึ้นมาเอง พอเด่นขึ้นมาก็หนีคนไม่พ้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า “ถ้าดอกไม้บานละก็ เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก แมลงจะมาเอง” หลบอย่างไรแมลงก็หาเจอ

แมลงในที่นี้ก็คือคนที่เคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา คนที่เคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา เขาฟังคนอื่นก็ไม่อยากไป แต่ถ้าหากว่าฟังคนที่เขาเคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา เขารู้สึกว่าถูกใจ อยากจะไปด้วย ก็เลยจับกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมา

เถรี
24-01-2020, 22:32
คราวนี้ก็มีปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ทางคณะสงฆ์ของเราก็ดี ทางสายบุญของเราก็ตาม ใจยังไม่กว้างพอ คณะสงฆ์ของเรานี่ขนาดว่าผมเป็นที่ยอมรับของท่านแล้ว บางทีท่านก็ยังอิจฉา บอกว่าพระอาจารย์เล็กจัดงานวัดแต่ละทีคนล้นวัดเลย ของท่านเองมา ๓๐๐ คนก็ดีใจแย่แล้ว อิจฉาออกนอกหน้าเลย

แต่ก็อย่างว่า..คือทำอะไรไม่ได้ ส่วนทางสายบุญของเรานี่บางทีก็เหมือนกับเห็นว่าไปแข่งกับสำนักใหญ่ ก็เลยทำให้มีปัญหากระทบกระทั่งกับคนที่กำลังใจยังต่ำอยู่ ผมสรุปได้ตั้งแต่ ๒๐ กว่าปีที่แล้วว่า “ใครวางก่อน สบายก่อน”

เถรี
24-01-2020, 22:33
คราวนี้พอท่านเห็นในลักษณะอย่างนี้ ท่านลืมดูพระพุทธเจ้า สมัยก่อนพอถึงเวลาพระอุรุเวลกัสสปะพาบริวารมา ๕๐๐ ท่านก็ชื่นชมว่าเป็นอาจารย์ใหญ่ มีคนเคารพนับถือมาก สามารถสั่งสอนลูกศิษย์ได้มาก มีผู้เลื่อมใสมาก พระมหากัจจายนะพาบริวารมา ๒๐๐ ท่านก็ชื่นชม นี่เป็นอดีตปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต กรุงอุชเชนี สร้างความเลื่อมใสทางด้านโน้นได้มาก บุคคลตามบวชกันมาก พระองค์ท่านกล่าวยกย่องทุกเรื่อง ถ้าพระพุทธเจ้าขี้อิจฉานี่ ศาสนาพุทธอยู่ไม่ได้หรอก ...(หัวเราะ)...

คราวนี้ตัวอย่างพ่อใหญ่ก็ทำให้ดูแล้ว หรือแม้แต่หลวงพ่อวัดท่าซุง พอถึงเวลาสำนักโน้น สำนักนี้ สำนักนั้น ตรงไหนดีท่านให้ไป หลวงปู่มหาอำพันดี..ไปนะ หลวงปู่ธรรมชัยดี..ไปนะ หลวงพ่อดาบสดี..ไปหานะ ท่านไม่ได้หวงลูกศิษย์ ไม่ได้หวงสายบุญ แต่ท่านอยากให้รู้ว่าทุกท่านถ้าหากว่าปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว ผลจะออกมาเหมือนกัน สามารถที่จะยืนยันได้ แต่ถ้าหากว่ากำลังใจไม่เปิดกว้างพอ แทนที่จะไปคิดลักษณะนี้ก็ไปคิดว่าไปแข่งกัน บางอย่างก็เลยต้องปล่อยท่านไป เพราะว่าท่านคิดได้แค่นั้น ...(หัวเราะ)...

เถรี
24-01-2020, 22:42
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวานนั่งอยู่ก็สงสัยว่าโยมมาทำอะไรกันเยอะแยะ ? เพิ่งจะรู้ว่าเขานัดกันมาขอขมาปีใหม่ เจอหน้าคุณวีระชัย เจ้าของเว็บพลังจิต ถามว่ามาทำอะไร ท่านเองก็ตาปริบ ๆ ประมาณว่าตกลงพระอาจารย์ไม่รู้จริง ๆ หรือ ? ...(หัวเราะ)... คือของบางอย่างถ้าเราไม่ได้ตั้งกำลังใจที่จะรู้ก็ไม่รู้จริง ๆ นะ เหมือนกับไม่ได้เปิดเครื่องรับเอาไว้”

เถรี
24-01-2020, 22:44
ถาม : ปกติจะเห็นแสงของหลวงพ่ออยู่รอบ ๆ .. ตอนที่หลวงพ่อขยับตัว ก็จะขยับตาม.. เราก็นึกว่าแสงที่อยู่รอบ ๆ จะขยับตามร่างกาย แต่วันนี้เพิ่งสังเกตว่าแสงนั้นอยู่นิ่ง ๆ แม้ว่าตัวหลวงพ่อขยับไปขยับมา แสงก็ยังอยู่นิ่ง ๆ ?
ตอบ : ใช่...ก็ไฟอยู่นิ่ง ๆ ข้างบน..! ...(หัวเราะ)...

ถาม : ไม่ใช่ค่ะ คือเห็นเป็นรูปร่างค่ะ อาจจะมีรายละเอียดเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย คือเปลี่ยนในลักษณะหนาหรือบาง แต่ไม่ใช่การเคลื่อนที่น่ะค่ะ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก สภาพจิตของคน ต่อให้น้ำปากบ่อกระเพื่อมขนาดไหน ก้นบ่อก็นิ่ง ถ้าหากว่าทำอย่างนั้นได้ก็คลุกอยู่กับโลกได้ ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปกับโลกไม่ได้ เพราะว่าเรายังไม่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พอกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโลก ถึงน้ำปากบ่อกระเพื่อมตาม แต่ว่าก้นบ่อจะนิ่ง

เถรี
24-01-2020, 22:49
พระอาจารย์แจกขนมให้เด็ก “กุศโลบายพระสารีบุตร พระสารีบุตรไปไหนก็เล่นกับเด็ก เวลาท่านไปไหนเด็กก็ประเภทวิ่งกอดแข้งกอดขา ดึงมือดึงจีวร "หลวงตามาแล้ว...หลวงตามาแล้ว" คนอื่นจะไปคิดว่าอัครสาวกเบื้องขวาจะต้องยืดนั้นไม่ใช่หรอก ท่านเล่นกับเด็กเลย ...(หัวเราะ)... ส่วนอาตมาซื้อขนมแจกเด็ก”

เถรี
24-01-2020, 22:51
พระอาจารย์กล่าวกับพระว่า “ถ้าเราเอาหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน เราจะทำอะไรได้ดีกว่าเยอะ พระพุทธเจ้าบอกว่า อะนากุลา จะ กัมมันตา เอตัมมังคะละมุตตะมัง การทำงานไม่ให้ค้างจัดเป็นมงคลอย่างยิ่ง

งานของอาตมาแต่ละวันบางที ๔-๕ งาน คนอื่นเขาถามว่าทำได้อย่างไร ? จริง ๆ แล้วก็คือเรื่องของหลักธัมมวิจยะในโพชฌงค์ แยกความก่อนหลังเร็วช้าของงาน อันไหนสำคัญกว่า มาก่อนทำก่อน อันไหนรอได้ แม้จะช้าไปสักนาทีสองนาทีก็ถือว่าช้ากว่า...เอาไว้ทีหลัง เรื่องตรงข้างหน้าจะมีแค่เรื่องเดียวและหนักไม่เกินกำลังของเรา แต่คนทั่ว ๆ ไปมักจะเอาหลาย ๆ เรื่องมาปนกัน ทำให้หนักเกินกำลังจึงแก้ไขไม่ได้”

เถรี
24-01-2020, 22:53
ถาม : เรียกว่าได้เห็นทุกข์ไม่แพ้ฆราวาสเลยนะครับ ?
ตอบ : ก็เหมือนกันนั่นแหละ..ชีวิตของพระกับฆราวาส

ถาม : ต่างจากฆราวาสตรงที่ว่าเรามีเวลาและเราต้องทำอยู่ตลอดเวลา ?
ตอบ : บางอย่างถ้ากำลังใจดีแล้ว ก็จะเฉย ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนไว้ว่า ตอนเป็นพระใหม่ต้องทุ่มเทกับการปฏิบัติให้มาก ถึงเวลาถ้างานเข้ามาเราจะได้มีกำลังสู้งานได้ ถ้าท่านไม่เตือนไว้อาตมาก็ตาย ...(หัวเราะ)... พอท่านเตือนไว้ก่อน อาตมาจึงทุ่มเททำเอาไว้เสียเยอะแล้ว ต้นทุนมีพอก็เลยสู้งานได้

เถรี
24-01-2020, 22:53
พระอาจารย์กล่าวว่า “ไม่ไหว..พออายุ ๖๐ ปีแล้วเรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี ส่วนที่คิดไม่ถึงก็คืออยู่มาจนถึง ๖๐ ปีได้ ปกติก่อน ๆ นี้ กี่ชาติ ๆ ไม่เท่าไร ๔๐ กว่าตายแล้ว ๒๐ กว่าตายแล้ว ...(หัวเราะ)... หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้มาก กรรมปาณาติบาตเยอะ ทำให้อายุสั้นพลันตาย”

เถรี
24-01-2020, 22:54
พระอาจารย์กล่าวว่า “บางทีพ่อแม่เขารู้เรื่องพระมาก กลัวว่าเกิดโทษกับลูก แล้วไปดุลูกแรง ๆ จนลูกกลัวพระไปเลย จริง ๆ ต้องค่อย ๆ บอก ค่อย ๆ พูด ให้เขารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”

เถรี
24-01-2020, 22:59
ถาม : กราบลาเข้าไปอยู่ป่าครับ จำเป็นที่จะต้องอธิษฐานหรือวางกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ ไปแล้วเต็มใจที่จะตาย ถ้าไม่เต็มใจที่จะตาย ถึงไปก็ไร้ประโยชน์

เถรี
24-01-2020, 23:00
คำว่า ธุดงค์ โดยรากศัพท์แปลว่า องค์คุณเครื่องเผากิเลส มาจาก ธุตะ + อังคะ คราวนี้การไปธุดงค์ก็ต้องตั้งใจไปเพื่อละกิเลส การธุดงค์ที่ถูกต้อง ทำแล้วจะเกิดความมักน้อย สันโดษ รักความสงบ ปลีกตัวออกจากหมู่ ขัดเกลากาย วาจา ใจ ของตนให้ดีขึ้นไปเรื่อย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การธุดงค์ชั้นหนึ่งคือไปคนเดียว ธุดงค์ชั้นสองไปสองคน ธุดงค์ชั้นสามไปสามคน มากกว่าสามไม่ได้เรื่องแล้ว เพราะว่าเอาแต่ไปคุยกัน..!

วันก่อนมีพระเดินธุดงค์ผ่านทองผาภูมิ ๖๐๐ รูป ลักษณะอย่างนั้นยังเรียกว่าธุดงค์ได้ไหม ? คราวนี้รูปแบบคนก็ยังเรียกว่าธุดงค์อยู่ดี เพียงแต่ว่าจุดมุ่งหมายผิดเพี้ยนไปแล้ว แทนที่จะไปเดินธุดงค์เพื่อขัดเกลากิเลส ก็ไปมีจุดมุ่งหมายว่าเพื่อทำอย่างนั้น เพื่อทำอย่างนี้ ไปที่นั่นที่นี่

เถรี
24-01-2020, 23:01
เพราะฉะนั้น..ธุดงค์ในลักษณะปัจจุบันนี้ไม่ใช่ โดยเฉพาะประเภทเดินเหยียบดาวรวยอะไรอย่างนั้น..! ไม่ใช่ธุดงค์ แต่ในเมื่อเขาใช้คำว่าธุดงค์ คนที่รู้ก็ควรที่จะออกมาบอกให้เขารู้ว่าธุดงค์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร อาตมาเคยไปธุดงค์แล้วเจอคณะของ....จากวัด.... ที่ตอนหลังโดนจับสึกเพราะว่าไปแต่งตัวเป็นทหารนั่นแหละ

ปรากฏว่าพวกท่านพาอาตมาหลงทางไปเลย คือปกติอาตมาจะรู้จักทางลัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงโน้นตรงนี้ตรงนั้น ถึงเวลาเดินเส้นนั้นจะไปถึงที่นั่น ปรากฏว่าพวกท่านมา ๓๐๐ รูป ป่าราบเป็นหน้ากลอง หาทางลัดไม่เจอเลย..! ก็ตัดสินใจว่า..คงอยู่แถว ๆ นี้แหละวะ..เดี๋ยวเดินเข้าไปก็น่าจะเจอเอง ปรากฏว่าหลงเตลิดเปิดเปิงไปเลย

เถรี
24-01-2020, 23:02
แล้วที่แน่ ๆ คือขยะเพียบ..! อาตมาเก็บได้เป็นย่าม ๆ เลย เก็บไปเผาไป เผาเสร็จก็ต้องรอดับไฟให้เรียบร้อย ไม่ให้มีสะเก็ดไฟที่จะก่อให้เกิดไฟป่าได้ค่อยเดินทางต่อ เดินไปก็เผาไป เพราะว่าสารพัดของกินของใช้เกลื่อนกลาดไปทั้งป่า เห็นท่านไปกันแล้วก็สงสารว่า "นี่ตกลงท่านไปธุดงค์กันหรือ ?" เพราะว่าเดินไป ๓-๕ ก้าวก็จะมีเศษผ้าอาบผูกไว้บอกว่าให้มาทางนี้ เดินไปอีก ๓-๕ ก้าวผูกชิ้นหนึ่ง อาตมาก็ขำ ๆ ว่าตกลงจะมีผ้าอาบมากพอที่จะผูกไหม ? สรุปว่าไปตอนท้าย ๆ มีกระทั่งประคดเอว แสดงว่าไม่มีผ้าเหลือแล้ว..!

ถ้าเป็นพวกอาตมาเดินไปที ๒๐๐-๓๐๐ เมตรก็จะสับต้นไม้เป็นเครื่องหมายไว้สักแผลสองแผล อันนี้ไม่ใช่..ประเภทเดินห่างไป ๓ ก้าวก็ผูกไว้เส้นหนึ่ง ห่าง ๓ ก้าวผูกอีกเส้นหนึ่ง ลักษณะอย่างนั้นคือคนเดินป่าไม่เป็น คนเดินป่าเป็นเขาเหลียวหลังแลหน้า มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง หาเครื่องหมายเจอก็ไปต่อ

เถรี
24-01-2020, 23:04
คณะนี้ถ้าตรงไหนที่เขามั่นใจว่าเดินแล้วจะทะลุถึงหมู่บ้าน ตำบล หรืออำเภอ ก็จะนัดคณะศิษย์ไปรอรับที่โน่นที่นี่ คณะศิษย์ก็ไปถวายอาหาร ส่วนในช่วงที่เป็นป่าเต็ม ๆ ก็จะมีกองเสบียงแบกข้าวปลาอาหารไปด้วย ต้องบอกว่าท่านเตรียมพร้อม แต่ว่าไม่ใช่การธุดงค์ ไม่มีความลำบาก นอกจากเหนื่อยเฉพาะตอนเดินเท่านั้น

เถรี
24-01-2020, 23:06
ถาม : การธุดงค์ที่แท้จริงคือ ?
ตอบ : ไปหาที่ที่เหมาะสมแล้วก็ภาวนา

ถาม : อยู่ด้วยธรรมปีติหรือว่าต้องฉันครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับตัวเองทำได้ ถ้าอยู่ด้วยธรรมปีติได้ก็เข้าป่าลึก ไม่ต้องเจอผู้คนไปเลย ถ้าต้องอาศัยบิณฑบาต เขาไม่ให้ห่างบ้านคนเกิน ๕-๑๐ กิโลเมตร โบราณว่าอย่างน้อย ๕๐๐ ชั่วธนู คันธนูนี่ยาวเป็นวา เพราะว่าคนโบราณตัวใหญ่ก็ตีเสียว่าวาหนึ่งก็คือ ๒ เมตร ๕๐๐ วาก็ ๑ กิโลเมตร ห่างหมู่บ้านอย่างน้อย ๑ กิโลเมตร เสียงจากบ้านจะได้ไม่มารบกวน แต่ปัจจุบันนี้มติของพระป่าบ้านเราบอกว่า ๒ กิโลเมตรขึ้นไป เดินไปกลับกำลังดี แต่สมัยนี้จะเอาที่ไหนมา บ้านคนมีทั่วไปหมด ในป่าก็บุกรุกกันทั่วไป..!

เถรี
24-01-2020, 23:31
ถาม : ธรรมปีติจริง ๆ แล้วคือทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : เคยปฏิบัติธรรมภาวนาของเราไปจนถึงระดับหนึ่ง รู้สึกเหมือนไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่หิว ไม่กระหาย สว่างโพลงอยู่ตลอดเวลาไหม ? นั่นแหละคืออารมณ์นั้น รักษาเอาไว้อย่าให้ตก ตกเมื่อไรก็หิวใหม่ อาตมาเคยพารุ่นน้องเข้าป่าไป ๓ วันเท่านั้นแหละ..หมดสภาพเลย “กลับเถอะหลวงพี่..ไม่ไหวแล้ว” ตอนแรกก็ถามแล้วว่า “คุณจะฉันไหม ? ถ้าคุณจะฉัน ผมจะได้แบกไปให้” ท่านดันบอกว่า “แล้วแต่หลวงพี่ครับ” ถ้าแล้วแต่อาตมาก็ไม่ต้องฉันหรอก..!

ถาม : อารมณ์ธรรมปีติอยู่ได้นานไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าหากว่าคุณทรงฌานตั้งเวลาได้ คุณจะกำหนดไว้กี่ปีก็ได้

ถาม : นั่นหมายความว่าธรรมปีติต้องทรงได้ทั้ง ๔ อิริยาบถใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง ถ้าหากว่าเราทรงฌานตั้งเวลาได้จะไม่คลายหรอก

เถรี
24-01-2020, 23:35
ถาม : แล้วฆราวาสนี่หมดสิทธิ์ขอข้าวเทวดากินใช่ไหมคะ ?
ตอบ : มีสิทธิ์ ทำให้จริงเท่านั้นแหละ เขาขอกันมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว

ถาม : ต้องขอใช่ไหมคะ หรือว่าท่านจะมาติดต่อเรา ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้มีเวรมีกรรมเนื่องกันมา ขอบางทีท่านยังไม่ให้เลย

ถาม : ที่ทำได้ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมน่ะสิคะ แต่ว่าทำอย่างอื่น ซึ่งก็อดข้าวได้เหมือนกัน ?
ตอบ : อย่างที่บอกว่าสมัยเด็ก ๆ เพื่อนรุ่นพี่เล่นไพ่ ๒ วัน ๒ คืน กินก็ไม่กิน เข้าส้วมก็ไม่เข้า ทำได้ขนาดนั้นเลย

เถรี
24-01-2020, 23:37
ถาม : คอมพิวเตอร์นี่เป็นเหตุให้เข้าใจอารมณ์ตรงนั้นเลยค่ะ เพราะว่า ๓ วัน ๓ คืน ไม่ต้องนอน ไม่ต้องกิน ไม่ต้องเข้าห้องน้ำ นั่งคิดนั่งทำอย่างเดียวเลยค่ะ ?
ตอบ : ถ้าหยุด..สะดุดแล้วบางทีต้องมาเริ่มต้นใหม่ ก็เลยต้องยอมทนทำไป แบบที่อาตมาทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก ๑๑ วัน ๑๑ คืนนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าไม่อยากนอน...อยากนอน แต่พอนอนลงไปแล้วดันนึกได้ว่าจะเขียนต่ออย่างไร ก็ต้องลุกขึ้นมาเขียนใหม่ ...(หัวเราะ)... ล่อไป ๑๑ วัน ๑๑ คืน พอเสร็จสรรพเรียบร้อย ทบทวนดูว่าใช้ได้ก็เซฟเก็บไว้ ๓-๔ ที่ กันหาย คราวนี้ก็สลบไปเป็นวันเลย นอนกันข้ามวันข้ามคืน..!

เถรี
24-01-2020, 23:38
พระอาจารย์กล่าวว่า “การดื่มน้ำค่อนข้างร้อน จะสร้างสภาวะเหมือนกับร่างกายกำลังผลาญแคลอรี่ ก็เลยทำให้ร่างกายต้องเร่งระบบเมตาบอลิซึ่มเพื่อผลาญแคลอรี่ ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เหมือนกัน คุณชนินทรทำดู บอกว่าหายไป ๒๐ กว่ากิโลกรัม แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องมีให้หายด้วยนะ ส่วนอย่างอาตมา น้ำร้อนทั้งชาติก็ไม่เห็นจะหายไปไหน เพราะว่าไม่มีให้หาย ...(หัวเราะ)...”

เถรี
24-01-2020, 23:38
ถาม : ทำอย่างไรลูกถึงจะว่านอนสอนง่ายคะ ?
ตอบ : ก็ว่าตอนเขานอนสิ..! คุณแม่ต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ถ้าแม่เป็นตัวอย่างเดี๋ยวลูกก็ตามเอง ไม่อย่างนั้นถ้าอยากให้ว่านอนสอนง่ายก็ต้องว่าตอนที่เขานอนแล้ว ...(หัวเราะ)...

มีอยู่วิธีหนึ่งก็คือ พ่อแม่ฝึกสมาธิให้สูงเข้าไว้ ถ้าสมาธิสูงเราจะข่มผู้ที่สมาธิที่ต่ำกว่าได้ พอถึงเวลาเราก็เข้าสมาธิเต็มที่แล้วก็ว่าไปเลย จะทำให้เด็กเถียงไม่ได้พูดไม่ออก ก็ต้องยอมทำตามแต่โดยดี เพราะรู้สึกว่าเรามีอำนาจมากกว่า

เถรี
24-01-2020, 23:39
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อวันที่ ๒ มกราคม บิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งที่โรงพยาบาลทองผาภูมิ ปรากฏว่าแพทย์พยาบาล ๔-๕ คนแรก ใส่น้ำตาลคนละถุง ก็เลยถามว่า “ไหนบอกว่าพระเป็นเบาหวานกันมาก แล้วโยมก็ใส่เสียเอง” คือบางทีโรงพยาบาลก็ออกแคมเปญงดอาหารหวาน เค็ม หรือมัน เพื่อสุขภาพที่ดีของพระสงฆ์ เสร็จแล้วถึงเวลาบิณฑบาตข้าวสารอาหารแห้งก็ใส่น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ช่างไปกันได้กับโครงการเหลือเกิน..!

ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่พูดหรอก บังเอิญอาตมาเป็นคนประเภทมีอะไรต้องว่ากันต่อหน้า จะไม่ไปนินทาลับหลัง พอว่าต่อหน้าแต่ละคนก็แหะ ๆ ประมาณว่าผิดไปแล้ว เขาว่าอาหารโซเดียมสูงทำให้พระเป็นความดันกันมาก ถึงเวลาก็ถวายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกันคนละลัง ดีจริง ๆ เลย อะไรทุกอย่างที่ทำโครงการมา..หมอละเมิดเองหมด ...(หัวเราะ)...”

เถรี
24-01-2020, 23:48
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตอนนี้ท่านพระอาจารย์บ๊ะรู้ ญาติโยมก็ยิ่งรู้ ถึงเวลาเห็น "ตัวเล็ก" ไป โยมจะขอร้อง “อย่าเพิ่งเอาพระให้หลวงพ่อส่อง เดี๋ยวหลวงพ่อจะได้รักษาก่อน” ไม่อย่างนั้นถ้าท่านส่องนี่ไม่รักษาหรอก ปล่อยให้นั่งรอไปเถอะ..!

บางทีรักษาไปรักษามาก็ “เหนื่อยโว้ย..รอไปก่อน เอาพระมาส่องก่อน” รักษาไปรักษามาหมอโดนเสียเอง เดี้ยงไปสักพักใหญ่ เพราะเป็นเรื่องวาระกรรมของคนส่วนรวม ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ขำได้ แต่หัวเราะไม่ออก ”

เถรี
24-01-2020, 23:51
ถาม : ท่านว่าท่านรักษาแบบเอาเข้าตัว ? ?
ตอบ : การไปยุ่งกับกรรมคนอื่น อย่างไรเราก็ต้องรับ จะมากจะน้อยก็ต้องรับ เราจะสังเกตว่าหมอนวดบางคนที่เขาขึ้นครูมาถูกต้อง บางทีพอนวดให้เราเสร็จ เขาต้องให้เราเทน้ำล้างมือให้ เป็นการล้างทิ้งไปโดยตัวของเราเอง เขาจะได้ไม่ต้องรับ

ถาม : คนที่ไม่ใช่ญาติกัน มาถามแทนให้รักษาให้กัน ท่านจะไม่รับรักษา ต้องเป็นญาติกันเท่านั้น ?
ตอบ : ถ้าเห็นหน้าก็แปลว่าญาติกัน ...(หัวเราะ)... พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดแล้ว บุคคลที่เกิดมาเจอกันในชาตินี้ ในอดีตไม่เคยมีความสัมพันธ์มานั้นไม่มี อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเคยเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ หรือว่าเป็นผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาอะไรกันมาก่อน

เถรี
24-01-2020, 23:53
ถาม : พูดถึงญาณ เราสามารถนำมาใช้ช่วยในการลดกิเลสหรือกำจัดกิเลสได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...แต่ต้องบวกปัญญาไปด้วย เพราะว่าญาณคือรู้อย่างเดียว ถ้าไม่มีปัญญากำกับ บางทีก็เตลิดเปิดเปิง อย่างเช่นเรารู้ว่าเราเกิดเป็นโน่น เป็นนี่เป็นนั่น กี่ชาติ ๆ รู้ไปเรื่อย นี่คือปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญาก็สักแต่ว่ารู้ ๆ ๆ โดยที่ไม่ได้เห็นว่าเราเกิดมากี่ชาติก็ทุกข์ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของญาณถ้าจะใช้เป็นประโยชน์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปัญญากำกับ

เถรี
24-01-2020, 23:54
ถาม : การที่เราเห็นตัวเราน้ำเหลืองเน่าเฟะ หรือตัวคนอื่นเป็นของเน่าเฟะ เป็นญาณไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าอสุภกรรมฐาน หรือว่ากายคตานุสติกรรมฐานบางส่วน แต่ว่าเรามีพื้นฐานกสิณเก่ามา ก็เลยมองเห็นในลักษณะอย่างนั้น ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็ต้องคิดเลยว่าตัวเขาก็เป็นอย่างนี้ ตัวเราก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่น่าอยากได้ใคร่ดี เพราะว่าสภาพที่แท้จริงเขาแสดงให้เห็นชัดแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายแบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก นี่คือการใช้ปัญญากำกับเข้าไป

ถาม : แล้วแบบนี้ไม่เรียกว่าญาณใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทิพจักขุญาณ..เป็นญาณเหมือนกัน

เถรี
24-01-2020, 23:55
ถาม : ญาณต้องใช้กำลังสมาธิขั้นต่ำคืออุปจารสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ญาณเครื่องรู้จะเกิดขึ้นใน ๒ ลักษณะ ลักษณะแรกคืออุปจารสมาธิ แต่ว่าไม่มั่นคง ลักษณะที่สองคือฌานสี่เต็มระดับ อันนี้จะมั่นคงกว่า แต่ถึงจะมั่นคงแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าไม่มีการมาย้อนทวนใหม่ ใช้ไปนาน ๆ ก็เฝือ เหมือนกับว่ากำลังตก ต้องย้อนมาหาการภาวนาใหม่ แล้วค่อยเริ่มต้นรู้อีกทีหนึ่ง

เถรี
24-01-2020, 23:56
ถาม : การที่เราสาธุ ถ้าเราคิดในลักษณะว่า สิ่งที่เขาทำดีแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่า เราไม่มีโอกาสทำแต่เขาได้ทำ แบบนี้เราก็สามารถได้บุญใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าถ้าวางกำลังใจไม่ถูกก็ได้น้อย ต้องเป็นความยินดีในลักษณะที่ประกอบไปด้วยมุทิตาจริง ๆ เห็นเขาทำความดีขณะที่เราไม่มีโอกาสทำ เราก็พลอยยินดีกับความดีของเขา

ถ้าหากว่าเราวางกำลังใจผิด ซึ่งปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ผิดกัน ก็คือสาธุปัจจุบันของเรานี้ก็คือ "กูจะเอาบุญของมึง" วางกำลังใจผิดจะได้น้อย และขณะเดียวกันเราเองไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ไม่สนใจหรือสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำนี้มี ๒ อย่าง อย่างแรกคือกำลังใจเกินจนกลายเป็นอุเบกขาไปแล้ว ถ้าลักษณะอย่างนั้นจะได้ เพราะว่าเราเองรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วก็พลอยยินดีไปด้วย เพียงแต่สภาพจิตประกอบด้วยอุเบกขา ไม่มีตัวมุทิตาที่ประกอบไปด้วยความปีติอย่างแท้จริง

แต่ขณะเดียวกันอีกอันหนึ่งก็คือ ไม่ได้ใส่ใจ สักแต่ว่าสาธุไป อันนั้นก็เท่ากับวางกำลังใจผิด อานิสงส์ที่ควรได้ก็จะน้อยลง

เถรี
24-01-2020, 23:57
ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้าน ๑ นาที ได้ ๖-๗ จบ ถือว่าใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ ๑๐๘ จบยิ่งดี..! สมัยก่อนที่เขาเร่งความเร็วภายในชั่วอึดใจ ที่เขาเรียกว่าคาบหนึ่ง คาบลมหายใจหนึ่งต้องได้ ๓ จบ ๕ จบ ๗ จบ อันนั้นจริง ๆ แล้วเป็นลักษณะของสมาธิ ยิ่งคุณสมาธิสูงเท่าไร คุณจะใช้ลมหายใจน้อยเท่านั้น จะภาวนาได้มากจบกว่า อย่างที่อาตมาถึงเวลาให้พรโยม บทมงคลจักรวาลน้อยจะหยุดหายใจทีเดียว แต่พระอื่นอย่างน้อยต้อง ๓ ครั้ง ก็เพราะว่าระดับสมาธิที่ต่างกัน

เถรี
24-01-2020, 23:57
พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นหน้าที่ก็ต้องทำ แม้ว่าบางอย่างจะเหนื่อยจะยากก็ต้องทนทำไป ...(หัวเราะ)... โยมเขาข้องใจว่าให้พรแล้วให้พรอีก ไม่เบื่อหรืออย่างไร ?”

เถรี
24-01-2020, 23:58
ถาม : เนื่องจากเราเป็นมนุษย์มีลมหายใจ ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีลมหายใจ ถ้าเราฝึกสมาธิอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม แต่กลัวว่าตายไปเป็นเทวดาแล้วไม่มีลมหายใจ จะไปใช้วิธีไหน ?
ตอบ : เทวดาเขาก็ทำของเขาเป็นปกติอยู่แล้ว คุณจะไปกังวลอะไร ?

ถาม : คือตัวเราเองใช้ลมหายใจเป็นปกติอยู่แล้ว เลยกลัวว่าพอเป็นเทวดาแล้วไม่มีลมหายใจ เราจะไม่ชินหรือเปล่า ?
ตอบ : เขาเรียกว่าถอดกางเกงผายลม แปลว่าไม่มีความจำเป็นต้องไปเสียเวลาคิด ...(หัวเราะ)...

เถรี
25-01-2020, 00:00
พระอาจารย์แจกลูกอมให้เด็ก “กิน ๒ เม็ดจะได้ไม่เป็นเบาหวานนะ ถ้าเยอะกว่านี้เดี๋ยวจะเป็น

ที่ขำที่สุดก็คือท่านอาจารย์จันทร์ วัดซายากง จริง ๆ แล้วท่านชื่อวิลเลียม ถึงเวลาออกธุดงค์ด้วยกัน เย็น ๆ พวกเราก็นั่งล้อมวงต้มน้ำร้อน ชงน้ำตาลแจกกัน พอส่งไปถึงท่าน ท่านก็ “ไม่เอา..ผมไม่กินหวาน” พอไปได้สัก ๓ วัน ท่านก็ไปยงโย่ยงหยกอยู่แถวย่ามของพวกเรา อ๋อ...ไปค้นหาน้ำตาล..หมดสภาพ ที่บอกว่าไม่กินหวานก็ตะกายไปหาเองเลย เพราะว่าพวกเราเดินวันหนึ่งอย่างน้อย ๆ ก็ ๔๐ กิโลเมตร แดดร้อน ๆ นี่เหงื่อท่วมตัวเลย ร่างกายสูญเสียพลังงานเกลือแร่ไปเยอะ ถึงเวลาท่านก็เลยต้องไปค้นหาเอาเอง

แต่ตลกตรงที่ว่าพระพม่านิสัยเหมือนกันหมด ก็คือข้าวของจะเป็นของใครก็ตาม ถ้าท่านค้นได้ก็คือของท่าน ...(หัวเราะ)... ถ้าเป็นพวกเราก็ต้องบอกเจ้าของก่อน ไม่กล้าค้นใช่ไหม ? แต่ท่านเป็นแบบนั้นกันทุกคน ข้าวของอะไรวางอยู่ ถ้าไปรถคันเดียวกัน บางทีท่านก็ค้นไปเรื่อย เจออะไรฉันได้ก็ฟาดโลด..!”

เถรี
25-01-2020, 09:13
มีโยมถวายน้ำขวด "น้ำยิ่งสะอาดมากเท่าไร สารอาหารก็จะมีน้อยเท่านั้น ฟังแล้วงง ๆ ไหม ? ประมาณว่าอย่างน้ำกลั่น เป็นต้น"

เถรี
25-01-2020, 09:13
พูดถึงตะกรุดของหลวงพ่อสุด "หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ท่านเป็นอาจารย์ของจอมโจรตี๋ใหญ่ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ท้ายสุดตี๋ใหญ่ก็ตายจนได้ เพราะว่าเหนียวแค่ไหนแต่ก็ลืม ไม่ได้พกตะกรุดไปด้วย"

เถรี
25-01-2020, 09:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่องานสวดมนต์ข้ามปี มีบางวัดสวดตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ไม่กลัวเหนื่อยกันเลยนะ ตอนนี้มีกระแสเรียกร้องว่าให้สวดมหาสมัยสูตรด้วย มหาสมัยสูตรนี้ยาวกว่าธรรมจักรฯ ตั้ง ๓ เท่า อาตมาไม่ได้หนักใจหรอก คนอื่นจะหนักใจ พอถึงเวลาเหนื่อยขึ้นมาอาตมาก็หยุด

แต่หลายวัดก็ตั้งใจทำเป็นพิธีใหญ่ แล้วก็ตั้งโอ่งน้ำมนต์ เพราะว่าคนมามากจะได้พอแบ่งกัน วัดท่าขนุนตั้งโอ่งน้ำมนต์ไม่ได้หรอก...โอ่งแตกแน่..! สังเกตไหมว่าระยะหลัง ๆ นี่งานบวงสรวงอาตมาไม่ตั้งขันน้ำมนต์แล้ว เพราะว่าคนมัวแต่ไปแย่งน้ำมนต์กัน จะเหยียบกันตาย เปลี่ยนเป็นสั่งน้ำดื่มบรรจุขวดมาทำน้ำมนต์ อยากได้ก็ไปซื้อเอา"

เถรี
25-01-2020, 09:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติพอขึ้นปีใหม่อาตมาจะหลง เขียน พ.ศ. ผิด พิมพ์ พ.ศ. ผิด แต่ปีนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ อะไร ๆ ก็เป็น พ.ศ. ๒๕๖๓ อย่างกับอาตมาใช้มาเป็นปี ๆ แล้ว ยังไม่ผิดเลย โดยเฉพาะตอนลงกองทุนรักษาพยาบาล ซึ่งปกติแล้วถ้ามีบริจาคตอน ๒๕๖๒ บ้าง ๒๕๖๓ บ้างนี่จะพลาด ยังแปลกใจว่าปี ๒๕๖๓ นี่อย่างกับอาตมาอยู่มานาน พร้อมที่จะรับมาใช้งาน

ส่วนปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ที่ทางด้านคณะสะพานบุญทำออกมา ถ้าใครจะใช้ฤกษ์ให้ใช้ตามนั้น เพราะว่าปฏิทินส่วนหนึ่งที่ออกมาของปีนี้เขาผิด แต่ในเมื่อเขาออกเป็นสาธารณะก็เลยกลายเป็นว่าของเขาถูก เพราะว่าปีนี้จะว่าไปแล้วแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๗ ไม่มี เนื่องจากเป็นปกติวาร

อธิกมาส ปกติวาร ก็คือเดือนเกินแต่วันปกติ เพียงแต่ว่าคนคำนวณเห็นว่าเป็นเดือนเกิน ก็ใส่เป็นวันเกินไปด้วย กลายเป็นอธิกวาร เพราะฉะนั้น..ของเขาจะเกินมา ๑ วัน ตั้งแต่ ๒๐ มิถุนายนเป็นต้นไปจะไม่ตรงกับของเรา แต่เดี๋ยวพอปีหน้าไปชนกันก็จะตรงกันไปเอง

เพราะฉะนั้น..ถ้าเอาแน่ ๆ ก็ครึ่งปีแรกทำเสียให้พอ ครึ่งปีหลังฤกษ์เคลื่อนแล้วก็หยุดทำ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปวดหัวของทางโหราศาสตร์ ท่านที่ไม่รอบคอบก็จะมีผิดเป็นประจำ โดยเฉพาะปฏิทินโหราศาสตร์"

เถรี
25-01-2020, 09:30
"ปฏิทินหลวงเป็นอธิกวาร...วันเกิน ไม่ใช่ปกติวาร แล้วปฏิทินหลวงเขาคิดตามแบบในหลวงรัชกาลที่ ๔ ถ้าไปเจอวันพระธรรมยุตก็จะไม่ตรงกับของเราเลย หลายท่านก็คงจะยึดตามนี้ถึงได้มีวันเกิน

อันนี้เป็นอธิกวาร อธิกสุรทิน เกินทั้งคู่ เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลที่ ๑๐ รัตนโกสินทร์ศก ๒๓๘ ตอนนี้จนถึง ๑๕ เมษายนยังเป็นปีชวด เอกศก จุลศักราช ๑๓๘๑ ตั้งแต่ ๑๖ เมษายนไปถึง ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เป็นปีชวด โทศก จุลศักราช ๑๓๘๒"

เถรี
25-01-2020, 09:33
"ปีที่ผ่านมามีสุริยุปราคาส่งท้าย อาตมาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะว่ามัวแต่ทำงานอยู่ จนกระทั่งเลยเวลาแล้วเขาบอกว่าวันนี้มีราหูอมพระอาทิตย์ อาตมาก็ เออ...ทำงานจนไม่รู้เหนือรู้ใต้จริง ๆ สรุปแล้วราหูอมพระอาทิตย์ปีนี้ ไม่มีผลกระทบต่อเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน เพราะว่าไม่รู้เรื่องเลย คนอื่นที่รู้ก็ได้รับผลกระทบเยอะหน่อย..!"

เถรี
25-01-2020, 09:45
มีโยมเอาวัตถุมงคลมาให้ดู "ถ้าหากว่าเอามานี่ให้ถอดกรอบมา จะได้ดูได้ ถ้ามาพร้อมกับเลี่ยมแบบนี้ไม่มีใครเขาดูหรอก จะไปดูอีท่าไหนก็เพี้ยนหมด เพราะว่าดูขอบดูข้างอะไรไม่ได้ ส่วนใหญ่สมัยนี้ถ้าเลี่ยมทองมาให้ตีปลอมเอาไว้ก่อนเลย เพราะว่าตั้งใจทำมาให้เราดูทองแทน"

เถรี
25-01-2020, 09:51
ถาม : ประเทศที่นับถือศาสนาพุทธเหมือนกับเรา เขามีแรมค่ำเหมือนเราไหมครับ ?
ตอบ : เอาแค่พม่าก็ยังไม่ตรงกับเราเลย

ถาม : จีนนิกายเขาก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนเรา ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่ของเขาเป็น พ.ศ. ๒๕๖๔ คือทันทีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานก็นับเป็น พ.ศ. ๑ ส่วนเราปรินิพพานครบปีถึงนับเป็น พ.ศ. ๑ เราจะสังเกตว่าทำไมพุทธชยันตีของทางด้านโน้นถึงเป็น พ.ศ. ๒๔๙๙ เพราะว่าเป็น พ.ศ. ๒๕๐๐ ของเขา

เถรี
25-01-2020, 09:53
กล่าวกับพระนักเรียนบาลี "สาธุ..ขอให้เจริญรุ่งเรืองมาก ๆ ถึงเวลาก็ช่วยกันแบกภาระหน่อย"

ถาม : อ่วมอรทัยเลยครับ ?
ตอบ : ธรรมดา สถานการณ์ประเทศชาติตอนนี้ไม่อ่วมไม่ได้หรอก มีแต่ประเภทพาลงต่ำเยอะแยะไปหมด เราจะไปงัดเขาไหวไหม ? ไม่โดนทับแบนก็บุญแล้ว คราวนี้เราใช้คำว่ามอบกายถวายชีวิต ก็แค่ตาย..ไม่เกินนั้นหรอก

เถรี
25-01-2020, 09:55
พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีเพื่อนพระธุดงค์ต้มถั่วเขียว ๗ ชั่วโมงแล้วไม่ได้กิน เพราะว่าท่านใส่น้ำตาลลงไปก่อน อาตมาจัดการไปเทล้างน้ำใหม่แล้วค่อยเอามาต้ม ๑๕ นาทีก็ได้กิน ใส่น้ำตาลลงไปก่อน ภาษาเก่าเขาใช้คำว่า น้ำตาลรัดทำให้ถั่วไม่สุก แต่จริง ๆ คือไปลดจุดเดือด ทำให้ความร้อนเข้าไม่ถึง ประมาณหุงข้าวไม่สุก ยังเป็นแกนแข็งอยู่"

เถรี
25-01-2020, 09:57
พระอาจารย์กล่าวกับพระนักเรียนบาลีว่า "คนเราความประพฤติเปลี่ยนกันได้ เขาเรียกว่าสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อชีวิต คุณไม่เร่งตัวเอง คนข้าง ๆ ก็แซงหมด ผมถึงได้พยายามบอกรุ่นหลัง ๆ ว่า ถ้าจะเรียนบาลีต้องท่องหนีครูไว้เยอะ ๆ ถ้าปล่อยให้ครูนำได้นี่คุณตายอย่างเดียวเลย

เวลาจะท่องจำก็ต้องท่อง เวลาทำการบ้านก็ต้องทำ แล้วจะเอาเวลาที่ไหน ? เวลาเรียนอยู่ในห้องท่านเจ้าคุณอาจารย์โสภา “เฮ้ย...เล็กก้มหน้าก้มตาทำอะไรวะ? เงยหน้าบ้างสิ กูสอนอยู่” บอกว่าทำการบ้านที่เจ้าคุณอาจารย์ให้แหละครับ เดี๋ยวเพื่อนเขาจะลอก “เออ...ถ้าอย่างนั้นก็ทำไป” แค่หูฟังก็เข้าใจ แต่เพื่อนทำหลายอย่างพร้อมกันไม่ได้"

เถรี
25-01-2020, 19:48
"ตอนที่หน้าที่การงานยังไม่รัดตัวมาก รีบเรียนให้มากเข้าไว้ พอการงานมาถึง คราวนี้จะไม่มีเวลาเรียน คนเก่าพอรู้งานจะใช้งานได้ก็กลายเป็นเจ้าอาวาสหมด ส่วนครึ่ง ๆ กลาง ๆ พอทำงานเป็นก็ไปเรียนกันหมด สรุปก็คือผมต้องหัดพระใหม่อยู่ทุกปี เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเกรงใจผม เชิญไปให้หมดได้เลย ไหน ๆ ก็ต้องหัดใหม่อยู่บ่อย ๆ แล้ว จะหัดคนสองคนหรือหัดทั้งหมดก็เท่ากัน"

เถรี
25-01-2020, 19:57
ถาม : มีคนบอกให้หนูไปลาพุทธภูมิ หนูต้องไปลาที่ห้องพระไหม หรือที่วัดท่าซุง ?
ตอบ : ลาที่ไหนก็ได้ต่อหน้าพระพุทธรูป เอาบัวขาว ๕ ดอก เทียน ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอกไปด้วย ถึงเวลาจุดบูชาแล้วถวายดอกบัว ตั้งใจว่า ‘ข้าพเจ้าเคยปรารถนาพระโพธิญาณมาในชาติหนึ่งชาติใดก็ตาม บัดนี้ขอถอนซึ่งความปรารถนาอันนั้น จะขอปฏิบัติตามพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อบรรลุพระนิพพานในชาตินี้’

ธูปเทียนก็จุดบูชาไป เลิกงานแล้วดับด้วยนะ เผาบ้านมาเยอะแล้ว..! อาตมาไปงานข้างนอกโดยเฉพาะสวดศพกลางคืน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเทศน์เป็นคนสวด พอเลิกงานก็ดับเทียนทันที บางทีเจ้าภาพก็งง ๆ ต้องบอกเขาว่าอาตมาเข็ด เพราะว่าเคยโดนเผาโบสถ์มาแล้ว ยังดีที่ดับได้ทัน ไหม้แค่พรมเท่านั้น

เถรี
25-01-2020, 20:13
ถาม : ผมจะเปิดโรงเรียน ขอเมตตาให้ช่วยตั้งชื่อโรงเรียนครับ ?
ตอบ : ตั้งเองตามใจชอบนั่นแหละ ถ้าอาตมาตั้งจะยุ่ง แบบเดียวกับที่ไปให้พระตั้งชื่อร้านเสริมสวย พระท่านตั้งชื่อร้าน ‘นะโม’ โยมก็ตะขิดตะขวงใจ บอกชื่อนะโมจะไม่ดีเกินไปหรือ ? ท่านบอกว่าไม่ใช่หรอกเพราะ ‘นะโม’ ต่อด้วย ‘ตัสสะ’ ประมาณว่าจะ ‘ตัดสระซอยเซ็ต’ ไปเลยดีไหม ?

เถรี
25-01-2020, 20:22
สนทนากับโยม "อายุ ๗๔ เท่าทุนแล้ว อยู่ต่อที่เหลือเป็นกำไรล้วน ๆ อรรถกถาจารย์บอกว่าสมัยพระพุทธเจ้า อายุขัยของคน ๑๐๐ ปี พอผ่านไป ๑๐๐ ปีอายุจะลดลง ๑ ปี ตอนนี้ผ่านไป ๒,๖๐๐ ปี ก็เหลือ ๗๔ ปี ของโยมแปลว่าเท่าทุนแล้ว ที่เหลือก็คือกำไร

ส่วนอาตมาเองกำไรเยอะมาก ทำปาณาติบาตไว้ทุกชาติ เกิดมาอายุสั้นพลันตาย ชาตินี้หมดอายุตั้งแต่ ๒๗ อาตมาเลยไม่ค่อยได้กังวลกับชีวิต เพราะว่าเท่ากับตายไปแล้ว ที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เท่ากับต่อวีซ่า อยู่ได้วันหนึ่งก็กำไรวันหนึ่ง จึงต้องทุ่มเททำหน้าที่การงานให้เต็มที่ ทำให้คุ้มกับที่ท่านให้อยู่"

เถรี
25-01-2020, 20:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่เด็ก ๆ ชอบอยู่กับคนแก่ เพราะว่าปู่ย่าตายายมักจะเอาใจ พ่อแม่มักจะขัดใจลูกอยู่เรื่อย วันก่อนเจ้านัทธมนไปเขียนใบสมัครบวช พอถึงเวลาบุคคลที่ติดต่อได้ เขาลงชื่อ ระบุเป็น ‘ป้าสาว’ ก็เลยบอกว่า..จำไว้นะลูก ป้าชายไม่มี คำว่าป้า คำว่าลุง บอกเพศสภาพชัดเจนแล้ว ไม่ต้องไปลุงหนุ่มป้าสาวอะไรหรอก ถ้าเป็นน้า เป็นอา ยังมีน้าสาว น้าชาย อาหญิง อาชาย ถ้าเป็นลุงเป็นป้านี่ไม่ต้อง

เป็นปู่เป็นย่าก็ชัดเจน เป็นตาเป็นยายก็ชัดเจน ที่ไม่ชัดเจนก็คือน้า...น้องแม่ คราวนี้น้องแม่มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ก็ต้องระบุว่าน้าชายน้าสาว พอถึงเวลาก็อา...น้องพ่อ น้องพ่อก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย

สมัยอาตมาเด็ก ๆ คำว่า อา ไม่มี คำว่าอาตรง ๆ เพิ่งใช้ไม่นานเอง สมัยก่อนเขาใช้ ‘อาว์’ กัน ออกเสียงเหมือนมี ว.แหวนสะกด เด็กรุ่นหลังออกเสียงไม่ได้"

เถรี
25-01-2020, 20:48
"ภาษาเก่า ๆ ทำเอาเด็กรุ่นใหม่อ่านไม่ค่อยจะถูก

อันใดย้ำแก้มแม่............หมองหมาย
ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย........ลอบกล้ำ
ผิวชนแต่จักกราย............ยังยาก
ใครจักอาจให้ช้ำ.............ชอกเนื้อ เรียมสงวน

ผิ-วะ / ผิ-ว่า ก็แปลประมาณว่า ถ้าหาก แต่คราวนี้เขาเขียนแล้วเป็น ผิว เด็กรุ่นหลังอ่านเป็นผิว ผิ-วะ ในที่นี้แปลว่า แม้แต่ ถ้าหาก ต้องดูบริบทก็คือรูปประโยคว่าใช้อะไรจะได้แปลถูก"

เถรี
25-01-2020, 20:56
ถาม : บางทีแปลหนังสือบาลีไป ปีติจะขึ้นตาม เหมือนจะร้องไห้ออกมา ?
ตอบ : ธรรมดา หลวงปู่อ่ำ(พระราชกวี วัดโสมนัสวรวิหาร) แปลตอนช้างปาลิไลยกะตามพระพุทธเจ้าออกจากป่ามา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปาลิไลยกะ...ตรงนี้เป็นเขตแดนมนุษย์ ไม่สมควรแก่เธอ เธอจงกลับไปเถิด ช้างปาลิไลยกะยืนร้องไห้น้ำตาไหล หลวงปู่ท่านก็น้ำตาไหลไปด้วย

บางอย่างเป็นภาษาใจ ขนาดบาลียังเอาชัดไม่ได้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมมาก่อนแล้วเราจะแปลได้ลึกกว่า แต่ถ้าลึกเกินไปอาจารย์เขาก็ไม่เอาด้วย เพราะฉะนั้น..เอาแค่ประมาณที่อาจารย์เขาต้องการ

ถาม : อย่างบางเรื่องน่าโมโห เราก็โมโหตามละครับ ?
ตอบ : ต้องทำตัวเป็นคนดู นั่นเราโดดไปเป็นคนเล่น เสียท่าเขาไปแล้ว

เถรี
25-01-2020, 20:59
เรื่องของความชั่วร้ายในการแย่งชิงอำนาจมีทุกยุคทุกสมัย คนดี ๆ ตายมานับไม่ถ้วนแล้ว เอาแค่งักฮุย ภาษาจีนกลางเรียกว่าเย่เฟย พวกกิมยอมกลัวงักฮุยอยู่คนเดียว คราวนี้พวกมหาเสนาบดีรับสินบนไว้เยอะ ก็เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้บอกว่างักฮุยอยู่แนวหน้า คนเคารพนับถือมาก มีชื่อเสียงมาก มีกำลังทหารมาก อาจจะกบฏชิงราชสมบัติได้ เพราะฉะนั้น..ให้เรียกกลับมา ถ้าเรียกกลับมาก็เอาทหารมาไม่ได้ มาได้แต่ตัว

ส่งป้ายทองไปเร่งรัด ๑๒ ครั้ง ท่านเองตอนแรกก็ถือว่าเป็นแม่ทัพอยู่แนวหน้า ไม่จำเป็นที่จะต้องรับคำสั่งจากเบื้องหลัง คราวนี้พอโดนหลาย ๆ ครั้งเข้าก็รู้ว่าเขาเอาเราแน่ จะช้าก็ตาย จะเร็วก็ตาย ท้ายสุดก็ต้องยอมกลับมา แล้วก็ตายจริง ๆ แต่กลายเป็นฝากชื่อไว้ในแผ่นดิน

ส่วนฉิ่งไกว่ก็ฝากชื่อไว้ในแผ่นดินเหมือนกัน คนเกลียดทั้งประเทศ ถึงเวลาก็เอาแป้งทอดเป็นฉิ่งไกว่กับเมียกอดกัน โยนลงกระทะ ทอดเสร็จก็กินให้หายแค้น ดันกลายเป็นอาหารนิยม ‘ปาท่องโก๋’ แต้จิ๋วเขาเรียก ‘อิ่วจาก้วย’ ก็คือฉิ่งไกว่ทอดน้ำมัน

เถรี
25-01-2020, 21:01
จีนกลางก็เป็นโหยวฉิ่งไกว่ ตอนหลังเขาก็เลิกโกรธเลิกแค้น เปลี่ยนมาเป็นโหยวเถียว ถึงเวลาให้รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร คนเกลียดถึงขนาดปั้นหุ่นทอดน้ำมันเลย กินให้หายแค้น คนดี ๆ ปกป้องประเทศชาติได้ดันเอาฆ่าทิ้ง..!

ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเกรง ก็บุกเข้ามาถล่มเสียเละเทะไปทั้งประเทศ คนที่ไม่สมควรตายก็ตายไปเป็นแสนเป็นล้าน เพราะความเห็นแก่ตัวของคนแค่นิดเดียว ไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวม ไปปลุกม็อบลงถนน เอ้ย...ไม่ใช่ ขอโทษ...พูดผิด ท่านประธานที่เคารพ ผมขออนุญาตแก้ไข เผลอสติไปหน่อย..! ฟังแล้วเครียด ขึ้นด้วยท่านประธานที่เคารพทุกครั้ง แต่ทุกอย่างที่แสดงออกไม่ได้เคารพท่านประธานเลย..!

เถรี
26-01-2020, 19:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อาตมาลงไปภูเก็ต แล้วก็รับปากกับญาติโยมไว้ว่า ถ้าลงไปงวดนี้ก็จะไปสงเคราะห์ญาติโยมทางสตูลด้วย รับปากไปโดยที่ไม่รู้ว่าสตูลใกล้ไกลภูเก็ตแค่ไหน ด้วยความคิดว่าสตูลไม่ไกล เพราะว่าทุกครั้งที่ไปญาติโยมจากสตูลก็วิ่งมาหา

ปรากฏว่าเขาพาอาตมานั่งรถไป ๖ ชั่วโมงเต็ม ๆ ผ่านพังงา กระบี่ ตรัง แล้วถึงเข้าสตูล สรุปว่าวิ่งไปประมาณ ๔ จังหวัด ถามไปถามมาได้ความว่า จากทางด้านสตูลไปหาดใหญ่แค่ ๘๐ กว่ากิโลเมตร เลยบอกว่าคราวนี้รู้แล้ว ถึงเวลาไปหาดใหญ่แล้วให้แวะสตูล ไม่ใช่ไปภูเก็ตแล้วมาสตูล

ด้วยความที่ญาติโยมมีศรัทธา ถึงเวลาอาตมาไปภูเก็ตพวกเขาก็วิ่งมา เห็นมาได้ทุกครั้ง อาตมาก็คิดว่าอยู่ใกล้ ใกล้มากเลย..นั่งรถแค่ ๖ ชั่วโมง..! แล้วเป็น ๖ ชั่วโมงที่เขาค่อนข้างจะทำความเร็วด้วย ไม่ได้คลานไป อาตมาได้รู้อีกว่าคนแถวนั้นเขาทำอะไรแปลก ๆ เขากินหมูย่างกับกาแฟ..! เคยได้ยินหมูย่างเมืองตรังไหม ? มีชื่อเสียงมากเลย แต่เขากินกับกาแฟ ในความคิดของอาตมาคือ หมูย่างต้องกินกับข้าว หรือไม่ก็ข้าวเหนียว อะไรที่ไม่เคยชินก็รู้สึกว่าแปลก แต่สำหรับพวกเขาแล้ว เขาทำจนเคยชินก็เลยไม่รู้สึกว่าแปลก"

เถรี
26-01-2020, 19:43
"ส่วนหลวงปู่เจ้าคุณอำนวยส่งฎีกามานิมนต์ให้ไปฉลองอายุ ๙๔ ปี แล้วก็ฉลองพัดยศเจ้าคุณวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าติดอยู่ ๓-๔ งานแล้ว เกรงใจท่านมาก เพราะว่างานของอาตมาท่านมาทุกครั้ง แต่พอถึงเวลางานของท่านอาตมากลับไปไม่ได้

ระยะหลังงานทางคณะสงฆ์มีมากขึ้น ๆ เพราะว่าผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ ท่านก็มอบหมายงานให้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ คงเห็นว่าอาตมาไม่บ่น ในเมื่อไม่บ่นก็แปลว่ายังไม่หนัก พอ ๆ กับที่ไม่ร้องก็คือไม่เจ็บ..! งานมากขึ้นจึงปลีกตัวไปไหนยาก กำหนดการบางอย่างก็ตายตัวอยู่ แบบเดียวกับการมารับสังฆทานที่นี่ ทางด้านโน้นก็มีงานผูกพัทธสีมาวัดหินดาดผาสุการาม อาตมาในฐานะรองเจ้าคณะอำเภอ เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงที่จะต้องไป ก็ต้องทิ้งงานท่านมาที่นี่แทน"

เถรี
26-01-2020, 19:48
"ไปภูเก็ตมีเรื่องที่น่าดีใจ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่น่าตี เรื่องที่น่าตีก็คือ ญาติโยมบอกว่าพอเห็นหน้าพระอาจารย์แล้วค่อยมีกำลังใจในการปฏิบัติขึ้นมาหน่อยหนึ่ง น่าปล่อยให้ตาย..! สรุปว่าถ้าไม่เห็นหน้าก็ไม่คิดที่จะปฏิบัติกัน

ส่วนที่น่าดีใจก็คือเด็กนักเรียนมัธยมชั้น ม. ๔ ม. ๕ มากันเยอะมาก เพราะว่าไปภาวนาโดยเฉพาะคาถาท่านปู่พระอินทร์ ช่วยในการเรียนได้ดีมาก ก็เลยเกิดความเลื่อมใส คนที่ไม่เคยมาก็ขอให้เพื่อนพามา แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีคำถามเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติ ดูท่าว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่หวังความก้าวหน้า แต่คราวนี้ในช่วงชีวิตวัยรุ่น ถ้าเลี้ยวเข้าวัดก็ถือว่ามีภูมิคุ้มกันมากขึ้น โอกาสที่จะอยู่รอดปลอดภัยในสังคมก็มีมากขึ้น แต่ก็ไม่แน่..เพราะว่าบางท่านถึงเลี้ยวเข้ามาแล้ว ถึงเวลาก็ยังเลี้ยวออกไปอยู่ดี"

เถรี
26-01-2020, 19:58
"แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือฝรั่ง ฝรั่งเข้ามาปฏิบัติธรรมในเมืองไทยกันเยอะมาก แล้วบางทีพอเกิดปัญหาขึ้น สอบถามแล้วพระวิปัสสนาจารย์ไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ถึงเวลาก็ต้องรอว่าเมื่อไรพระอาจารย์จะโผล่ไป บางคนก็วีซ่าหมดกลับบ้านไปก่อน แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวได้คำตอบแล้วส่งให้เพื่อนทาง Facebook ได้

คราวนี้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมสำหรับฝรั่ง หรือแม้แต่คนไทยก็เถอะ ถ้าหากว่าแรกเริ่มปฏิบัติจะสายไหนก็ได้ เดี๋ยวพอนาน ๆ ไปก็จะรู้เองว่าอะไรที่เหมาะสมกับตน"

เถรี
26-01-2020, 20:43
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคล "อาตมาไม่ได้สร้างของพวกนี้ เพราะว่าบางอย่างทำให้เกิดส่วนของสัทธรรมปฏิรูปขึ้นมา ก็คือมีของที่แทรกเข้ามาในระหว่างธรรมะของพระพุทธเจ้า

อย่างที่เขาทำเป็นรูปพีระมิดบ้าง ทำเป็นอักษรรูน เคยได้ยินไหม ? ตัวคาถาอาคมสมัยดึกดำบรรพ์ของทางด้านโลกตะวันตก เรื่องพวกนี้เป็นของอิงศาสนา อิงความเชื่อ ถ้าเราไปทำ คนรุ่นหลังที่ไม่รู้ก็ไปคิดว่าเป็นของศาสนาพุทธ แล้วก็จะทำให้เกิดความสับสนปนเปกันขึ้นมา

ศาสนาที่เรียกว่าแท้จริงของเรา ก็จะโดนหลักเกณฑ์หลักการอื่นแทรกเข้ามา แล้วก็จะทำให้สูญเสียความเป็นพุทธไปทีละน้อย จนกระทั่งท้ายสุดก็จะเหลือแต่เปลือก แต่ว่าส่วนเปลือกกลับเป็นส่วนที่บุคคลต้องการมากที่สุด เพราะว่าเข้าถึงง่ายที่สุด

เพราะฉะนั้น..สิ่งที่เราทำก็อย่าให้ไปไกลศาสนามากจนต่อไม่ติด อย่างเช่นว่าถ้าเราสร้างพีระมิด ก็ควรที่จะเป็นในส่วนของพระรัตนตรัย พีระมิดเป็นสามเหลี่ยม อธิบายเข้าในส่วนของคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างสูง ถึงจะพูดให้ชัดเจนได้"

เถรี
26-01-2020, 20:46
"แม้กระทั่งอาตมาสร้างตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชร ก็พยายามเอายันต์เกราะเพชรที่เป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า คืออิติปิ โสฯ ใส่ลงไป จะได้ไม่ไปไกลเกิน คนที่มีจริตนิสัยชอบทางเครื่องรางของขลัง ก็จะได้มีของที่ตนเองชอบเอาไว้บูชา เอาไว้ติดตัวป้องกันอันตราย ในส่วนของพระพุทธศาสนา เราก็จะได้มีคุณพระรัตนตรัยแทรกเข้าไปด้วย"

เถรี
26-01-2020, 20:55
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงส่งท้ายปีเก่า ทางคณะผู้บริหารหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมานิมนต์ บอกว่าคุณสราวุธ วัชรพลสร้างอาคารใหม่ น่าจะเป็นสำนักงานใหม่ จะนิมนต์อาตมาไปทำพิธีเปิดให้ ถามเขาว่ามีเวลาที่แน่นอนไหม ? เขาบอกว่าประมาณเดือนพฤษภาคม

ก็เลยแจ้งไปว่า ถ้าคุณประมาณนี่ไม่สามารถที่จะรับปากได้ว่าไปได้หรือเปล่า เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วอาตมารับงานข้ามปี ขนาดคนนิมนต์ข้ามปียังไม่ค่อยจะได้ตัวเลย ท้ายสุดทางคณะก็ตัดสินใจว่า เอาวันที่หลวงพ่อสะดวก เออ...ถ้าอย่างนี้มีโอกาสได้ แต่ว่าให้รีบแจ้งกำหนดการพร้อมสถานที่จะจัดงานมา แล้วอาตมาจะหาวันให้"

เถรี
26-01-2020, 20:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ทางรัฐบาลเน้นยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี โดยอาศัยทฤษฎีพลังบวรของในหลวงรัชกาลที่ ๙ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้กับชุมชน ซึ่งถ้าทุกชุมชนประสบความสำเร็จ ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองมาก

คำว่า บวร บ. มาจากบ้าน ก็คือทุกบ้านในชุมชน ว. คือวัด ร. คือโรงเรียนและหน่วยราชการทั้งหมด ต้องดำเนินงานร่วมกัน

คราวนี้คณะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งลงไปถึงระดับจังหวัด ให้ดำเนินงานตามโครงการบวรนี้ อาตมาเองก็เพิ่งกลับจากทำหน้าที่วิทยากร ไปบรรยายว่าทำอย่างไรถึงจะใช้พลังบวรในการสร้างชุมชนของเราให้ประสบความสำเร็จ โดยยกเอาชุมชนวัดท่าขนุนเป็นตัวอย่าง

การที่ไปบรรยายครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งที่ผู้ฟังหลากหลายที่สุด เพราะว่ามีศาสนาอื่นด้วย เนื่องจากว่าคำว่า วัด ไม่ได้หมายถึงวัดอย่างเดียว ถ้าเป็นชุมชนอิสลามก็คือมัสยิด ถ้าเป็นชุมชนคริสต์คือโบสถ์คริสต์ ถ้าเป็นชุมชนชาวซิกซ์คือโบสถ์ซิกซ์ ถ้าเป็นชุมชนฮินดูก็คือเทวาลัย โดยใช้คำว่า วัด รวมความหมายทั้งหมดไว้ด้วยกัน"

เถรี
26-01-2020, 21:03
"คราวนี้ส่วนที่เห็น ส่วนราชการและโรงเรียน ก็คือพวกอำนวยการโรงเรียนและหัวหน้าส่วนราชการ ๕๐๐ คนไปกันเต็ม เพราะว่าเจ้านายสั่ง ถ้าผู้ว่าฯ สั่งไม่ไปนี่ตาย..! ชุมชนชาวคริสต์ ๕๐๐ ชุมชนอิสลาม ๕๐๐ มีแต่เกิน นั่งกันแน่นไม่มีที่จะหายใจ ส่วนพระเรานิมนต์เจ้าอาวาส ๕๐๐ รูป ทั้ง ๆ ที่จังหวัดกาญจนบุรีมีวัดเกือบ ๖๐๐ วัดสำนักสงฆ์อีก ๙๐ กว่าแห่ง แต่ไปไม่ถึง ๓๐๐ รูป เห็นชัดที่สุดว่าจุดบกพร่องของทฤษฎีบวรอยู่ที่วัด..!

เพราะว่าพระสงฆ์ไม่ได้เต็มใจที่จะทำหน้าที่เพื่อชุมชน เหตุที่กล้าฟันธงเช่นนั้นเพราะว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้ยังไม่มา เอากิจนิมนต์เป็นใหญ่ รับนิมนต์แล้วได้เงิน ไปฟังวิธีบริหารโครงการบวรแล้วไม่ได้เงิน..! นี่อาตมาพูดได้เต็มปากเต็มคำเลย เพราะว่ารู้ซึ้งถึงสันดานพวกเดียวกันเอง

เป็นโอกาสทองที่ดีที่สุดเพราะว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ ให้วัดเราเป็นศูนย์กลางในการบริหารชุมชน แต่แทนที่จะรีบไปฟัง รีบไปรับนโยบาย รีบไปศึกษารูปแบบการบริหารจัดการ กลับไปกิจนิมนต์ ไปสวดมนต์ ไปฉันเพล ไปทำบุญบ้านโยม ไปงานเพื่อนพระนิมนต์ “เห็นแล้วน้ำตาจิไหล”

เถรี
26-01-2020, 21:06
"ส่วนพี่น้องคริสต์อิสลามไม่ต้องพูดถึง...ไปเกิน เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมสูงมาก ไปแล้วแย่งกันนั่งข้างหน้า ส่วนพระเราไปก่อนนั่งข้างหลังสุด ต้องเคี่ยวเข็ญ ทั้งนิมนต์ ทั้งฉุด ทั้งกระชาก ถึงจะยอมไปนั่งข้างหน้า แปลว่าเราสู้เขาไม่ได้ตั้งแต่ในมุ้ง..!

ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเราอ่อนมาก ทำให้ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงออก ขนาดวัดท่าขนุนของอาตมาทำวัตรเช้าเย็นวันละ ๓ รอบ อย่าคิดว่ามาก พี่น้องอิสลามละหมาดวันละ ๕ รอบ..! สรุปก็คือถ้าเราจะสร้างเสริมสมาธิของเราให้แน่น เพื่อที่จะเอาตรงนี้ไปสู้เขา เราก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะว่าของเราทำวัตร ๓ รอบ ยังมากเกินไปในความรู้สึกของวัดอื่น ๆ

อาตมาไปทองผาภูมิใหม่ ๆ เขาสวดมนต์ทำวัตรกันเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา จนกระทั่งไปปรับปรุงแก้ไขแบบยัดเยียด แล้วปรากฏว่าประสบความสำเร็จ วัดอื่นก็ค่อย ๆ ลุกตามมา แล้วถ้าจะเอาความสามัคคี โดยนิสัยคนไทยเราก็ไม่ได้อย่างนั้น เราไม่ได้เป็นทาสคนอื่นมานานเกินไป เอาแค่เราไปพม่า จะมีชุมชนคนไทยโดนกวาดต้อนไปตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระราชกุมาร หลายแห่งพูดไทยไม่ได้แล้ว แต่สำนึกความเป็นไทยยังเต็มเปี่ยม เกาะกลุ่มอยู่ในชุมชนเหนียวแน่นมาก เพราะว่าไปอยู่ใจกลางบ้านศัตรู ถ้าไม่เหนียวแน่นรักใคร่กันไว้ เราก็อยู่ไม่รอด

ดังนั้น...การที่เราว่างเว้นจากศึกเสือเหนือใต้ ตลอดจนกระทั่งการเป็นทาสคนอื่นเขามานาน บางทีทำให้จิตสำนึกความรักความสามัคคีกลมเกลียวนั้นน้อยลง ต้องบอกว่าสมควรที่จะเป็นทาสเขาอีกนาน ๆ จะได้เอาจิตสำนึกส่วนนี้กลับมา..!"

เถรี
26-01-2020, 21:07
"เราดูพี่น้องชาวกะเหรี่ยงกับชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยงอยู่เมืองไทยมา ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นกะเหรี่ยงแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทย ความเหนียวแน่นก็เลยมีน้อย แต่พี่น้องมอญรู้สึกว่าเป็นคนต่างบ้านต่างเมือง เป็นคนแปลกหน้าที่มาอาศัยเมืองไทยอยู่ เขาต้องรักใคร่สามัคคีกัน ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะอยู่ไม่ได้

ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าชุมชนมอญอยู่ที่ไหนก็เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น มีงานที่ไหนก็แห่กันไปช่วย ถึงจะทำอะไรไม่ได้ ไปให้เห็นหน้ากันเป็นกำลังใจให้กันก็ยังดี ซึ่งตรงจุดนี้บ้านเราบกพร่องเยอะมาก"

เถรี
26-01-2020, 21:10
"ความสามัคคีที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เกิดจากการมีผลประโยชน์ร่วมกัน พอแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็จะแตกแยกกันอีก ไม่ต้องอื่นไกล...ดูรัฐบาลกับฝ่ายค้านเราก็เห็น ตรงจุดนี้เป็นจุดบกพร่องใหญ่ของคนไทยเรา แล้วโดยเฉพาะเป็นจุดบกพร่องใหญ่ของพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาส ซึ่งจะต้องรีบหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเราไม่มีทางที่จะสู้ศาสนาอื่นได้เลย

คนไทยเราขาดภาวะผู้นำ พี่น้องคริสต์พี่น้องอิสลามไป เข้าไปช่วยกันเรียกร้องประโยชน์ให้กับกลุ่มของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่คนไทยของเราไปดูว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ไหม ? ถ้าส่วนไหนได้ประโยชน์จะรับไว้ ถ้าส่วนไหนไม่ได้ประโยชน์ คนอื่นจะได้ จะช่วยกันเรียกร้องเพื่อให้ได้มากขึ้นก็ไม่มี ต่างคนต่างไป

เวลามีปัญหาอะไรขึ้น พี่น้องอิสลามสุมหัวปรึกษากัน ส่วนคนไทยเราดูห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ถ้าไม่เกี่ยวกับกูก็ถ่ายคลิปเอาไว้อวดเขา ดูแล้วเห็นชัดเจนว่าพวกเราต้องอาศัยการเคี่ยวกรำจากสถานการณ์ ต้องไม่มีแผ่นดินจะอยู่แบบโรฮิงญาเมื่อไรถึงจะรักกัน..!"

เถรี
26-01-2020, 21:13
"บรรยายเสร็จถามว่าเข้าใจไหม ?...เงียบ มีอะไรสงสัยจะไต่ถามไหม ?...เงียบ ไม่เข้าใจใช่ไหม ?...เงียบ อาตมาเกือบจะถามไปแล้วว่า “มึงจะเอาอย่างไรกับกูวะ ?” อุตส่าห์เหลือเวลาให้ตั้งครึ่งชั่วโมง เผื่อว่าใครสงสัยข้องใจจะได้ไต่ถาม ปรากฏว่าไม่มีใครถามเลย

พี่น้องคริสต์อิสลามอาตมาไม่สงสัย เพราะมั่นใจว่าเขาเข้าใจแน่ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ตั้งใจฟังมาก แต่เห็นพระไทยของเราถ่ายรูปส่ง LINE ตอบแชตกันให้ยุ่งไปหมด ก็เลยไม่ทราบว่าที่พูดไปนั้นเข้าถึงได้สักเท่าไร เพราะถ้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง ก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาได้"

เถรี
26-01-2020, 21:15
"แต่คราวนี้ถ้ามาดูบริบทสังคมของพระในปัจจุบันก็น่าเห็นใจ ส่วนหนึ่งประมาณ ๓๐-๔๐% บวชเข้ามาเพื่อให้มีโอกาสได้เรียนมากขึ้น เพราะว่าอยู่กับบ้านโอกาสที่จะเรียนต่อไม่มี ต้องเป็นผู้ใช้แรงงานเท่านั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะแสวงหาความก้าวหน้า มาบวชพระบวชเณรเพื่อให้ได้เรียนต่อ แล้วส่วนใหญ่จะขยันมาก เรียนจนจบเปรียญสูง ๆ จบปริญญากันมากมาย แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อย

ส่วนใหญ่ประมาณ ๕๐-๖๐% อาจจะถึง ๗๐-๘๐% เป็นบุคคลที่สังคมข้างนอกไม่เอาแล้ว พ่อแม่ยัดเยียดมาให้บวช หวังว่าความประพฤติจะดีขึ้น ในเมื่อวัตถุดิบคุณภาพต่ำ ถ้าสร้างสินค้าคุณภาพสูงได้ก็อัศจรรย์มาก ส่วนใหญ่มาถึงก็ “หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอีฉันเกเรเหลือเกิน ทั้งกินเหล้า ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งติดยา ทั้งคบเพื่อนเลว หลวงพ่อช่วยอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีด้วยเถอะ” ถามว่าแล้วโยมจะให้ลูกบวชนานเท่าไร ? “เจ็ดวันเจ้าค่ะ” เออหนอ....มึงเลี้ยงลูกมาอย่างน้อยก็ ๒๐ ปีถึงจะบวชพระได้ อบรมลูกมา ๒๐ ปีเอาดีไม่ได้ ให้เวลาพระแค่ ๗ วัน อาตมาไม่ใช่ผู้วิเศษนี่หว่า จะได้เสกให้ลูกมึงให้บรรลุได้เลย..!"

เถรี
26-01-2020, 21:27
"คราวนี้ส่วนหนึ่งที่สังคมภายนอกเขาไม่เอา ที่กลับเนื้อกลับตัวเป็นเสือกลับใจ แล้วก็มาประสบความสำเร็จ กลายเป็นหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือกัน แต่ก็เป็นส่วนน้อย ส่วนที่เหลือเอาตัวไม่ค่อยจะรอด ประคับประคองไม่ให้สร้างความเสียหายให้กับพระศาสนาก็ยากแล้ว จะไปหวังอะไรให้ท่านมาสร้างความเจริญให้กับพระศาสนาได้ ?

ดังนั้น...ในเมื่อวัตถุดิบของเราเกรดต่ำ จะเอาของเกรด C เกรด B มาผลิตให้เป็นสินค้าเกรด A จึงยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ไปนึกถึงที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์ (หลวงพ่อพระเทพมหาเจติยาจารย์) เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านถามว่า “อาจารย์เล็กไปคัดบุคลากรที่ไหนมาถึงได้เก่งขนาดนี้ เรียนก็เก่ง เทศน์ก็เป็น คุมปฏิบัติธรรมก็ได้ เป็นครูสอนก็เอา แถมให้ไปคุมกรรมฐานไม่เคยหนีเลย..อยู่ตลอด” เรื่องกรรมฐาน ถ้าเป็นที่อื่นมีโอกาสเขาหนีทันที ไม่อยากอยู่หรอก แต่พระวัดท่าขนุนอยู่ตลอด ของชอบเลย กราบเรียนท่านไปว่า “หลวงพ่อครับ..ผมไม่ได้หามานะครับ ท่านมาบวชกันเอง”

เถรี
26-01-2020, 21:41
ถาม : เรามองเห็นสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าควรคิดอย่างไร?
ตอบ : เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส สัมผัส ใจไม่คิดได้ไหม ? แค่นั้นแหละ ถ้าไม่คิดก็จบ ทุกวันนี้ที่ทุกข์ไม่รู้จบเพราะว่าเราคิด ต้องควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราตามหลักอินทรียสังวร เห็นรูปรู้ว่าเป็นผู้หญิงผู้ชายก็แย่แล้ว กันไม่ทันแล้ว เพราะเรายังปรุงว่าเป็นหญิงเป็นชาย ทำอย่างไรจะสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นธาตุ ? ก็แปลว่าสติ สมาธิ เราต้องมีมากกว่านี้ ปัญญาถึงจะเกิดในระดับนั้น กลับไปเร่งสมาธิอย่างเดียวเลย

ถาม : ที่ทำยังไม่พอใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่พอ...ถ้าพอก็ไม่ต้องตะเกียกตะกายอย่างนี้หรอก สำเร็จไปนานแล้ว

เถรี
26-01-2020, 21:47
ถาม : นั่งแล้วเวทนาเยอะ ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เปลี่ยนท่าสิวะ..ดันไปบ้าสู้กับเวทนา..! หลักการปฏิบัติ ทุกขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบากบรรลุก็ยาก เพราะว่าเมื่อใจไม่นิ่งไม่สงบ ก็ต้องทนอยู่กับอาการเจ็บปวด ทุกขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุง่าย เพราะว่าปัญญาถึง เห็นว่าความเจ็บปวดเป็นของร่างกาย ไม่ใช่ของเรา จิตกับกายแยกกันเป็นคนละส่วน เห็นอย่างชัดเจน สภาพจิตไม่เกาะร่างกายนี้ ไม่เกาะร่างกายคนอื่น ไม่เกาะในโลก ก็จบ

สุขา ปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติง่ายแต่บรรลุลำบาก เพราะว่าติดสุขมากเกินไป สุขา ปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่ายแต่บรรลุเร็ว เพราะว่าปัญญาถึง

เพราะฉะนั้น..พวกเราเองถ้าไม่ใช่ไปแนวนั้นแล้วพยายามไปฝืน ก็ไปไม่รอดหรอก เพราะว่าเราไปทุกข์ ไปกลุ้ม ไปเครียด อยู่กับสภาวะทางร่างกายอยู่ตลอดเวลา ไปไม่ได้ก็เลิก เปลี่ยนท่าทำใหม่ ทำอย่างไรให้ใจของเราสงบ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิดก็พอแล้ว

เถรี
26-01-2020, 21:49
ผมเคยมาแล้ว นั่งภาวนาไปใจสงบประมาณชั่วโมงหนึ่ง คราวนี้ภาวนาไปเวทนาเกิด ก็กัดฟันทนไปเรื่อย ทนไป ๆ ถึงชั่วโมงที่ ๓ ที่ ๔ คราวนี้ด่าอย่างเดียวเลย จะนั่งไปหาโคตรพ่อโคตรแม่มันหรือวะ..? นานขนาดนี้ เจ็บฉิบหาย ปวดฉิบหาย แบบนี้ไม่มีทางสงบหรอก

ในสิ่งที่เราปฏิบัติก็คือต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา และเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของตัวเรา ไม่ใช่ของคนอื่น มัชฌิมาปฏิปทาแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนนั่ง ๓ วัน ๕ วันสบายมาก เรานั่ง ๓ นาที ๕ นาทีก็จะตายแล้ว ความพอดีของแต่ละคนก็คือฝืนแล้วไปต่อได้ไหม ? ถ้าฝืนแล้วไปต่อได้ แสดงว่าเมื่อครู่นี้กิเลสหลอกเรา แต่ถ้าฝืนแล้วไปต่อไม่ได้ ลองเปลี่ยนอิริยาบถไปทำอย่างอื่น พอสภาพจิตเริ่มผ่อนคลาย เราก็มาเข้าที่ภาวนาของเราใหม่

ที่สรุปตอบให้พวกคุณง่าย ๆ เพราะว่าผมทำมา ๔๐ กว่าปี เจอมาทุกรูปแบบแล้ว นั่งแข่งทนกับเขามาเยอะแล้ว

เถรี
26-01-2020, 22:00
ถาม : สัมมาสมาธิ ฌานอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ถึงฌาน ๔ ยังไม่เป็นสัมมาสมาธิเต็มที่ แต่จัดเป็นสัมมาสมาธิได้ตั้งแต่ฌาน ๑ ขึ้นไป ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิยังนับเป็นสัมมาสมาธิไม่ได้ เพราะว่ากด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราวไม่ได้ ถ้าเป็นตั้งแต่ฌาน ๑ ขึ้นไป กด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงชั่วคราวได้ ถึงจะเป็นสัมมาสมาธิ

แต่คราวนี้สัมมาสมาธิก็สำคัญตรงที่ว่า เวลา รัก โลภ โกรธ หลง ดับแล้ว เราเอากำลังตรงนี้ไปใช้งานอย่างไร ? ก็ต้องใช้ในการพิจารณาวิปัสสนา เพื่อให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด ถอนจิตออกจากการยึดเกาะต่าง ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นมิจฉาสมาธิใหม่

สำคัญที่สุดก็คือเห็นร่างกายนี่แหละ เพราะว่าเกิดมานับชาติไม่ถ้วน แล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่หยุดสักที ถ้ารู้สึกเห็นชัดเจนในร่างกายนี้ อย่าลืมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือดวงดาว ที่ท่านเรียกโอกาสโลก โลกคือร่างกาย ในเมื่อเห็นลักษณะนี้ ตัวเราก็คือโลก ตัวเราเป็นเช่นนี้ โลกคือหมู่สัตว์ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ โอกาสโลก ดวงดาวต่าง ๆ ก็เป็นเช่นนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ในเมื่อไม่เห็นสาระแก่นสารในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ใจก็ถอนจากการยึดมั่นถือมั่น

เถรี
26-01-2020, 22:07
ถาม : โลกคือทุกข์ล้วน ๆ ?
ตอบ : ความจริงคือทุกข์ล้วน ๆ แต่อวิชชาบังตาทำให้เห็นเวลาทุกข์น้อยเป็นความสุข ฝรั่งเขารับไม่ได้ เขาบอกว่าเป็นศาสนาที่มองโลกในแง่ร้าย อะไร ๆ ก็เห็นแต่ทุกข์อย่างเดียว อธิบายทุกข์ให้ฝรั่งฟังนี่เครียดตายเลย บอกว่า Suffering คำเดียวเขาฟังไม่รู้เรื่อง ต้องบอกกับเขาว่าหิวเป็นอย่างไร กระหายเป็นอย่างไร เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอย่างไร เหนื่อยเป็นอย่างไร ฯลฯ

กว่าจะสรุปว่า ไอ้ที่ว่าทั้งหมดมานี่ร่วมกันเรียกว่าทุกข์ อธิบายให้ฝรั่งฟังนี่เหนื่อยฉิบหา..เลย เขาถามแล้วถามอีก ถามไม่เลิก แต่นิสัยคนไทยเราไม่ถาม รู้ก็ไม่ถาม ไม่รู้ก็ไม่ถาม สิ่งแวดล้อมของเราต่างกัน ฝรั่งเขาโดนปล่อยให้โตเองตั้งแต่เล็ก ถ้าเขาไม่ช่างค้นคว้าไม่ช่างถาม เขาอาจจะเอาตัวรอดไม่ได้ เราเองโดนทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงมา เรียนชั้น ป. ๕ ป. ๖ แล้ว พ่อแม่ยังไล่ป้อนข้าวให้ลูกอยู่เลย..น่าตายไหม ?

เถรี
27-01-2020, 08:32
ถาม : ผมต้องเพิ่มโยนิโสฯ ด้วยไหมครับ ?
ตอบ : โยนิโสฯ นี้มีทั้งดีและไม่ดี อย่าลืมว่าปรโตโฆสะ คือการสะท้อนจากภายนอกมา เราต้องเลือกรับส่วนที่เหมาะสมกับเรา ไม่ใช่เขาโยนกระสอบข้าวสารมาเราก็รับ มีหวังโดนทับตายพอดี เพราะฉะนั้น..คำว่าโยนิโสมนสิการ สำคัญที่สุดคือการน้อมมาด้วยความแยบคาย ต้องใช้ปัญญาเต็ม ๆ เลย ไม่อย่างนั้นคุณจะโดนไอ้กระสอบนั่นทับตาย..!

เถรี
27-01-2020, 08:40
ถาม : หลวงพ่อคะ..อธิษฐานจิตให้หน่อยค่ะ (เด็กน้อยถาม)
ตอบ : อธิษฐานจิต ? ไม่ต้องแล้วกระมัง แค่นี้ก็ดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว เด็ก ๆ เหมือนกับเป็นหน่ออ่อน อยู่ที่เราดัดว่าจะให้ไปทางไหน สิ่งแวดล้อมสำคัญต่อเขามาก

เถรี
27-01-2020, 08:57
ถาม : เราจะรักษาสมาธิให้ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาสติประคองไว้เลยให้เป็นอัตโนมัติ คำว่าอัตโนมัตินี้ก็คือรู้ลมเอง ภาวนาเอง คราวนี้เราเอาสติประคองเอาไว้อย่าให้ไหลไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็พยายามให้เห็นทุกอย่างที่กระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ถ้าทำอย่างนั้นได้ชีวิตนี้จะทุกข์น้อยมาก เพราะว่าเห็นจริงหมดแล้วก็ไม่ไปยุ่ง ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง

ทุกวันนี้ที่เราทุกข์ก็เพราะความคิด หยุดคิดเมื่อไรก็เลิกทุกข์ จำไว้นะ...คิดแล้วทุกข์ ตำหนิตัวเองมีประโยชน์อะไร ? ให้ตั้งหน้าตั้งตาเอาเวลาที่ตำหนิตัวเองไปทำสิ่งที่ดี ๆ ก็หมดเรื่อง พุทโธ ๆ ก็ยังดี พุทโธทีหนึ่งอานิสงส์มหาศาล มัวแต่ "หนูผิดไปแล้ว" หนูผิดไปแล้วเดี๋ยวก็ผิดอีก แปลว่าปัญญายังไม่พอ ก็จะ "ผิดไปแล้ว" อยู่ได้เรื่อย ๆ แต่ผิดแล้วต้องรู้จักแก้ไข

เถรี
27-01-2020, 09:02
ในเมื่อเราทุกข์เพราะความคิด หยุดคิดก็หยุดทุกข์ เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เราคิดก็คือยัง อยากมี อยากได้ อยากเป็น อยากก็ทำ สร้างเหตุปัจจัยไม่พอเราก็ไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็น เพราะฉะนั้น..จึงต้องสร้างเหตุปัจจัยให้พอ ก็จะมี จะได้ จะเป็น ต่อให้ไม่อยากก็มาเอง

โยมคนไหนฟังไม่รู้เรื่องยกมือประท้วงได้ เพราะว่าบางทีท่านที่ทำมาเยอะแล้ว เขาศึกษามาเยอะแล้ว ท่านใช้ภาษาในตำรามากไป ของเราเองถ้าตะกายไม่ถึงให้ยกมือประท้วง เดี๋ยวอธิบายเป็นภาษาง่าย ๆ ให้ อย่างคำว่า ปรโตโฆสะ จริง ๆ แล้วก็คือเสียงอื่นที่ดังมา ก็คือเสียงสะท้อนจากภายนอก หรือ Comment นั่นแหละ ปรโตโฆสะคือคนอื่นเขา Comment เราว่าอย่างไร

เถรี
27-01-2020, 09:07
โยนิโสมนสิการ คือการน้อมนำสิ่งทั้งหลายเข้ามาโดยแยบคาย คำว่าโดยแยบคายก็คือ ต้องมีปัญญาเลือกเอาสิ่งที่ดี ๆ เข้ามา คัดสิ่งที่ไม่ดีออกไป จริง ๆ แล้วก็อยู่ในหลักปธาน ๔ อย่าง ดูว่าใจเรามีความชั่วไหม ? ถ้ามีอยู่ก็ไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ใจเรามีความดีไหม ? ถ้าไม่มีก็สร้างขึ้นมา มีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

คราวนี้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็ต้องดูเสียงสะท้อนจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะครู ที่บาลีท่านใช้คำว่า กัลยาณมิตร กัลยาณมิตรในบาลีนี้คือครูแท้ ๆ เลย ปิโย มีความน่ารักน่าใกล้ชิด ครุ มีใจคอหนักแน่น ไม่เปลี่ยนแปลงแปรปรวนง่าย ภาวนีโย เป็นผู้แสวงหาความเจริญ คือแสวงหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ หลังจากนั้นไม่ว่าจะ วตฺตา เป็นผู้รู้จักใช้คำพูด วจนกฺขโม ทนต่อวาจาผู้อื่น ทนต่อการตำหนิด่าว่าของผู้คน ฯลฯ จนกระทั่งท้ายสุด โน จฏฐาเน นิโยชเย ไม่นำพาไปในทางเสียหาย อันนั้นบอกเอาไว้ชัดเลยว่าต้องเป็นครู ไม่ชักนำศิษย์ไปในทางเสียหาย

เพราะฉะนั้น..ในเมื่อมีเสียงสะท้อนจากภายนอก เราก็คัดเลือกรับเอาส่วนที่เหมาะสมเข้ามาปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของเรา ก็จะมีความดีเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดความดีมากเข้า ๆ สิ่งไม่ดีเหมือนกับเกลือในน้ำ น้ำจืดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกลือถึงจะอยู่ก็แสดงออกไม่ได้แล้ว

เถรี
27-01-2020, 09:12
สมัยก่อนอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่มหาอำพันบอกว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านสอนว่า “ทำดี..ดีกว่าขอพรนะ” “คิดแต่สิ่งที่ดี ๆ นะ” “พูดแต่สิ่งที่ดี ๆ นะ” “ทำแต่สิ่งที่ดี ๆ นะ” โอ๊ย..ท่านสอนสั้นมาก แต่เจ้าประคุณเถอะ..คิด ๓ ปีไม่หมดหรอก

มีพระที่ไหนมรณภาพแล้วทุกวันศุกร์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินยังต้องให้คนไปถวายดอกไม้ อาตมาพักอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันตรง กุฏิ น. ๔ คณะเหนือ อยู่ตรงข้ามกับหอเก็บอัฐิเลย ถึงเวลาพระองค์ท่านเสด็จเขาก็กันคนจนหมด ส่วนอาตมาอยู่ในกุฎิก็เห็นหมด จะไปไหนได้

ทำอย่างไรจะสร้างคุณงามความดีได้ระดับนั้น อันดีชั่วตัวตายเมื่อภายหลัง ชื่อก็ยังยืนอยู่ไม่รู้หาย

เถรี
27-01-2020, 20:38
ถาม : ผมไปตรวจบทสวดธัมมจักฯ พรหมจะมีทั้งหมด ๑๖ ชั้นใช่ไหมครับ แต่พรหมชั้นที่ ๑๐ แล้วชั้นที่ ๑๑ หายไป ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ?
ตอบ : อสัญญีสัตตา เขาเรียกว่า พรหมลูกฟัก สภาพจิตท่านดิ่งอยู่ในฌาน ๔ ละเอียดอยู่ข้างใน ไม่อยู่ข้างนอก รับรู้อะไรไม่ได้ พอถึงเวลาท่านก็เลยไม่ได้โมทนา ไม่ได้ยินดีอะไรกับใคร เขาบอกว่า พอได้ยินเสร็จแล้วก็อนุโมทนา อนุโมทนาเสียงก็ดังต่อ ๆ กันไป พอไปถึงตรงนั้นก็แป้กเงียบ จึงต้องข้ามท่านไป

ถาม : แสดงว่ารูปพรหมก็เป็นลูกฟักได้ ?
ตอบ : อรูปพรหมจริง ๆ แล้วแย่กว่าเพราะว่ามีแต่ดวงจิต แต่นี่ท่านเป็นรูปพรหมที่จิตดำเนินสมาธิอยู่ข้างใน ไม่ออกมาข้างนอก ในเมื่อไม่ส่งออกมาข้างนอก อายตนะก็รับรู้ไม่ได้ อาตมาสงสัยมาก่อน ว่าอสัญญีสัตตาพรหมหายไปไหน ? มีบางคนรู้มากก็เติมเข้าไป ไปเติมได้อย่างไร ก็ท่านไม่ได้อนุโมทนาด้วย แล้วดันไปบอกว่าเสียงดังต่อไปชั้นอื่น

เถรี
27-01-2020, 20:55
ในเรื่องของธัมมจักกัปปวัตตนสูตรมีหลายอย่างที่น่าสงสัย อย่างเช่นว่า พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม บาลีเขาแปลเป็นไทยว่าเป็นพระโสดาบัน แต่คราวนี้เทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด ยกเว้นอสัญญีสัตตาพรหมท่านอนุโมทนาด้วย เราไปนึกดูว่าพระโสดาบัน ถ้าคิดไปแล้วก็คงประเภทอนุปริญญาตรี เพราะว่าปริญญาตรีที่แท้จริงคือพระสกิทาคามี แล้วไปปริญญาโทคือพระอนาคามี ปริญญาเอกคือพระอรหันต์ แล้วบรรดาพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านเตรียมปริญญาเอก เป็น Candidate กันหมด แล้วคุณคิดว่าถ้าเห็นคนจบอนุปริญญาแล้วจะเฮไหม ? เพราะฉะนั้น..น่าสงสัยศัพท์คำนี้แปลถูกไหม ? ดวงตาเห็นธรรมเห็นอะไร ?

ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมัง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ เหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ น่าจะเกินพระโสดาบันไหม ? เพราะว่าถ้าไม่เกินพระโสดาบันแล้ว พรหมชั้นที่ ๑๒ ถึง ๑๖ ซึ่งเป็น "ว่าที่พระอรหันต์" ท่านจะตื่นเต้นไหม ? บางท่านพยายามแก้ว่า ท่านอนุโมทนาที่มีบุคคลสามารถเป็นพยานยืนยันในธรรมที่พระพุทธเจ้าบรรลุ ถ้าคุณจะยืนยันได้ก็ต้องจิตบริสุทธิ์เท่ากัน เพราะว่าแค่พระโสดาบันคุณยังยืนยันไม่ได้

เถรี
27-01-2020, 21:34
ถาม : ทำไมถึงตีว่าพระสกทาคามี เป็นปริญญาตรีครับ ?
ตอบ : พระโสดาบัน พระสกทาคามี หลักศีล ๕ เท่ากัน เพียงแค่สมาธิและปัญญาต่างกันเท่านั้น อาตมาจึงตีเทียบกับทางโลกง่าย ๆ ว่าถ้าเป็นพระโสดาบันก็คืออนุปริญญา เป็นแค่ Diploma ยังไม่ใช่ Bachelor

ถาม : หลวงพ่อเคยสอนว่าพระโสดาบันต้องมีฌานหนึ่งละเอียดใช่ไหมครับ พระสกทาคามีต้องมากกว่านั้นไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...ส่วนใหญ่ต้องมากกว่า ไม่อย่างนั้นจะกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้นิ่งไม่ได้ เพราะว่าของท่านเอง ราคะ โทสะ เบาบางลง คำว่า เบาบางลง ในที่นี้คือต้องไม่เกิด หรือเกิดน้อยมาก

ถาม : ตีได้ไหมครับว่าต้องเป็นฌานสี่ ?
ตอบ : มีสิทธิ์ที่จะเป็นฌานสี่เลย อย่างพระอานนท์ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างอัศจรรย์ของพระโสดาบัน เพราะว่าท่านถวายการรับใช้พระพุทธเจ้า ๒๕ พรรษาเต็ม ๆ ท่านบอกว่าแม้แต่กามสัญญาก็ไม่เกิดขึ้นในจิตเลย กามสัญญาคือการนึกถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสระหว่างเพศ แค่นึกยังไม่นึกเลย อัศจรรย์มาก..!

เถรี
27-01-2020, 21:38
แต่คราวนี้ถ้าดูการปฏิบัติของท่านก็ไม่น่าอัศจรรย์ ในบาลีบอกว่า ‘ปฐมยามมีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี ดูว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะตรัสเรียกใช้อะไร เมื่อไม่ได้เรียกใช้ก็เข้าสู่ที่นั่งภาวนาของตน

ยามสองมีมือถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เมื่อไม่เห็นสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียกใช้ ก็เข้าสู่ที่นั่งภาวนาของตน ยามสุดท้ายมีมืออันถือคบไฟดวงใหญ่ เดินจงกรมรอบคันธกุฎี เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไม่เรียกใช้ ก็ไปเตรียมน้ำใช้น้ำฉัน ไม้สีฟัน ตลอดจนกระทั่งปูผ้าอาสนะ เตรียมบาตรรอไว้’

ท่านได้นอนไหม ? คนที่อยู่กับการปฏิบัติตลอดทั้งคืนก็ถือว่าไม่อัศจรรย์ แต่ถ้าหากว่าสำหรับคนทั่ว ๆ ไป พระโสดาบันทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าอัศจรรย์มาก แบบเดียวกับพระอนุรุทธ บรรลุมรรคผลแล้วตลอด ๕๕ ปีไม่เคยนอนราบลงกับพื้นเลย ถือเนสัชชิกังคะธุดงค์ ถึงเวลาหลับก็นั่งหลับ ตั้ง ๕๕ ปีเชียวนะ..!

เถรี
27-01-2020, 21:40
ถาม : พระอานนท์ปฏิบัติทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ ทำไมจึงไม่บรรลุมรรคผล ?
ตอบ : ก็เพราะว่าห่วงพระพุทธเจ้า ใจผูกอยู่ตลอดเวลา ยามต้นก็รอว่าจะเรียกไหม ยามสองรอว่าจะเรียกไหม ยามสามก็รอว่าจะเรียกไหม ในเมื่อใจไม่ปลดจากภาระหน้าที่ จะไปบรรลุได้อย่างไร ?

ถือว่าพวกเราฟุ้งซ่านนอกเขตไปหน่อย แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็คุยกันในเรื่องของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้ไปไกลนัก จะบอกว่า กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง

เถรี
27-01-2020, 21:53
ถาม : บุคคลที่สอนผู้อื่นเป็นมิจฉาทิฐิ แล้วภายหลังกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ เขาสามารถไปสู่สุคติได้ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเทศน์สอนเขาว่าพระนิพพานสูญ พอได้รับความกระจ่างจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงพ่อบอกว่าท่านต้องมานั่งทบทวนว่า หลายปีที่ผ่านมาท่านไปเทศน์ที่ไหนบ้าง แล้วก็ย้อนกลับไปเทศน์แก้ทั้งหมด แปลว่ากลับไปแก้ความผิดของตัวเองเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแย่แน่

แล้วสมัยนั้นท่านดังด้วย เขานิมนต์เทศน์แต่ละปีไม่รู้ตั้งเท่าไร พอย้อนกลับไปเทศน์ใหม่ เทศน์ให้ฟรี ๆ ก็เอา สมัยโน้นนี่เทศน์ทีหนึ่งอย่างน้อยก็ได้ผ้า ๑ ไตร

เถรี
27-01-2020, 22:03
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อปีที่แล้ว...ถ้าบอกว่าเดือนที่แล้วก็ดูใกล้ อาตมาไปตรวจเครื่องมือในการทำวิจัยของนิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านทำในเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กชั้น ป. ๕ ด้วยหลักสัปปุริสธรรม ๗

อาตมาไปถึงก็ท้วงเป็นคนแรกเลย ทำไมคุณทำแค่การรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน แล้วอีก ๔ ข้ออยู่ที่ไหน ? เขาก็บอกอาจารย์ที่ปรึกษาให้ทำแค่นี้ อาตมาบอกท่านไปว่า "อาจารย์ที่ปรึกษาของคุณให้ผ่าน แต่อาจารย์อื่นที่ตรวจ ถ้าได้ยินคำว่าสัปปุริสธรรม ๗ แล้วทำมาแค่ ๓ ไม่มีใครให้คุณผ่านหรอก เพราะว่าผิดหลักธรรม สัปปุริสธรรมไม่ได้มี ๓ ข้อ แต่มีถึง ๗ ข้อ"

ปรากฏว่าท่านอาจารย์ ดร.พาทีสนับสนุนสุดตัวเลย ท้ายสุดอีก ๒ ท่านก็ช่วยกันหาทางออก บอกว่าบัณฑิตวิทยาลัยอนุมัติหัวข้อวิทยานิพนธ์มาจนถึงขนาดทำเครื่องมือแล้ว แก้ไขยาก อาตมาบอกว่า "ถ้าไม่แก้ออกนอกหัวข้อก็ได้ คุณต้องบอกว่าการใช้หลักธรรมในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กชั้น ป. ๕ ให้รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน ก็อยู่ในเนื้อหานั่นแหละ ไม่ได้ไปไกล"

เถรี
27-01-2020, 22:05
"ประการที่ ๒ เครื่องมือทุกอย่างที่คุณทำมาไม่ใช่เครื่องวัดความรู้เด็กชั้น ป. ๕ แต่เป็นเครื่องมือวัดความรู้ของอาจารย์สอนปริญญาโท สูงเกินไป เด็กโหนไม่ถึง แล้วถ้าคุณต้องการที่จะทำวิจัยมาในแนวนี้ จะมาหนักตรงที่ว่า คุณจะต้องเปิดคอร์สอบรมครูบาอาจารย์ หรือวิทยากรที่สอนเด็กเกี่ยวกับจริยธรรมด้านนี้ใหม่ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางที่จะมาแนวเดียวกับคุณได้

ส่วนข้อที่ ๓ อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเครื่องมือทำวิจัย แต่พฤติกรรมของคุณแย่มาก ผมพูดคุณไม่บันทึกเสียง เขียนก็ไม่เขียน คุณคิดว่าความจำของคนดีกว่าคอมพิวเตอร์หรืออย่างไร ? ทั้งหมดอาจารย์ ๔ รูปช่วยว่ากันมา ๒-๓ ชั่วโมงนี่คุณจะจำได้หมดหรือ ?"

เถรี
27-01-2020, 22:09
"คราวหน้าแก้ตัวเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นผมไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมคุณเรียนมาปีที่ ๓ แล้วยังไม่จบ ก็คือเวลาบอกข้อบกพร่อง แทนที่ท่านจะน้อมรับแล้วเอาไปแก้ไข ท่านกลับมาคอยแก้ตัวว่าเป็นเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ แล้วแถมยังไม่บันทึกเอาไว้อีกด้วยว่าอาจารย์บอกแบบไหน

อาจารย์ ๔ ท่านพยายามที่จะน้อมท่านให้ไปในด้านเดียวกัน เพื่อให้เนื้อหาของงานวิจัยออกมาเป็นแนวเดียวกัน สืบเนื่องกันได้ทั้ง ๕ คน แต่ท่านเองมานั่งเถียงอาจารย์ทีละข้อ ๆ ดูอนาคตแล้วอาจจะต้องเรียนถึง ๕ ปี ซึ่งผิดระเบียบ เพราะว่าปริญญาโทเรียน ๒ ปี ต่ออายุได้แค่ ๒ เทอม"

เถรี
27-01-2020, 22:21
พระอาจารย์กล่าวสอนผู้จัดงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "การตั้งงบประมาณ จะตั้งอะไร ถ้าเป็นไปได้ให้สืบราคาก่อน เพราะว่าถ้าเราตั้งเกินราคาท้องตลาดมา คนที่เขารู้จะหาว่าเราทุจริต บริสุทธิ์ใจขนาดไหนก็โดนสอยจนได้"

เถรี
27-01-2020, 22:52
พระอาจารย์เล่าว่า "ที่ตึกแดงวัดท่าขนุน ตรงจุดที่พระนั่งทำวัตรกัน นั่งทับผีอยู่นับไม่ถ้วน อาตมาเป็นคนเทลงไปเอง คนอื่นกลัวโถกระดูกหรือ ? มา..อาตมาเอาไว้ถมที่ได้ ว่าแล้วก็เทลงไปเลย ไม่รู้ว่าญาติพี่น้องของเขาไปอยู่กันถึงไหนแล้ว หาตัวไม่ได้ ก็จะให้ทำอย่างไรได้"

ถาม : อย่างนี้เราต้องทำบังสุกุลให้เขาหรือครับ ?
ตอบ : จะว่าไปก็พยายามทำทุกอย่างแล้ว ส่วนคุณจะรับหรือไม่รับ ยินดีหรือไม่ยินดีก็แล้วแต่คุณเถอะ ผมในนามผู้จัดการแทนเจ้าอาวาสก็จัดการทุกอย่าง แรก ๆ ก็มีอาละวาดบ้าง พอนาน ๆ ไปทำวัตรสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ทุกวัน ก็ต่างคนต่างไป คือบางอย่างคนเขาไม่กล้าแก้ไข อย่างตรงเรือนรับรองพระเถระ แต่ก่อนมีสระใหม่เบ้อเร่อ ผมก็ให้ช้อนปลาไปปล่อย ถมสระ แต่ละอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในจุดที่ฮวงจุ้ยพาเสียทั้งนั้น"

เถรี
28-01-2020, 21:36
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนใครไปวัดท่าขนุนนะ (...เจมส์จิครับ...) เจมส์จิไปถ่ายทำรายการ ปล่อยให้ชาวบ้านเขาไปกรี๊ดกันเถอะ อาตมาเซ็นอนุมัติให้ถ่ายแล้ว คุณก็ทำของคุณไป

เดินบิณฑบาตอยู่กำลังเดินข้ามสะพาน “หลวงพ่อ..ทางนี้ครับ...หลวงพ่อ..ทางนี้” ไอ้ห่...ต้องให้กูหันไปยิ้มแล้วยกสองนิ้วอย่างนี้ด้วยใช่ไหม ? มึงก็ถ่ายของมึงไปสิ พระเดินบิณฑบาตข้ามสะพานอยู่ มาตะโกน “หลวงพ่อ..ทางนี้ครับ...หลวงพ่อ..ทางนี้” วอนหาเรื่องโดนด่า ไอ้เด็กติ๊งต๊อง..! คิดดู..พระเดินบนสะพานแขวน คุณจะถ่ายก็ถ่ายไปสิ อุตส่าห์เว้นจังหวะให้อย่างดีแล้วยังจะมา "หลวงพ่อทางนี้" ต้องให้หันไปมองกล้องด้วย

อาตมาไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา คนอื่นเขาเห่อดารา แต่อาตมาไม่เห่อ...ไม่รู้จัก ตอนคุณปิยะมาศไป บอกเขาว่า “ขอโทษนะ..ไม่มีเวลาสนใจโยมเลย” คุณปิยะมาศก็บอกว่า “หนูก็ไม่มีเวลาสนใจพระเหมือนกันค่ะ”เขามัวแต่เปิดโรงทาน

เถรี
28-01-2020, 22:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาท่านทั้งหลายที่จองตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชรนี่จุกไปตาม ๆ กัน พิมพ์ผิดไปจึงต้องเริ่มต้นจองใหม่ ก็คือดันไป Copy คนที่ผิดมา เตือน "ตัวเล็ก" ว่าดูดี ๆ นะ มีผิดบานเลย เขาก็จัดการไล่ดู สรุปว่าผิดเป็นร้อย ตะกรุดแบบที่หนึ่งมีแค่ ๒๒๐ ดอก พอคนเขาจองเกินไป คุณมาช้าก็อด กลายเป็นว่าคนจองก่อนแล้วไม่ได้ เขาต่อว่ากันกระจายอยู่ใน Facebook ว่าทำไมจองแล้วไม่ได้ ? ก็เลยต้อง Copy ที่เขาจองไปให้ดูว่าผิดตรงไหน

เด็กสมัยนี้ตกภาษาไทย อย่าง “เพชฌฆาต” เขียนอย่างนี้ ดันเขียน “เพชรฆาต” เลย แทนที่จะเป็น ฌ. กลายเป็น ร.

พวกจองทีหลังได้เปรียบ เพราะว่าพอมีคนรู้ตัวเริ่มแก้ เขาก็รีบไปดูของตัวเอง"

ถาม : ตะกรุดทั้งสามแบบต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : วัสดุคนละอย่าง คนละชนิดกัน คนละสายพันธุ์ แต่ตระกูลเดียวกัน

ถาม : ต่างกันตรงแค่หายากกว่าหรือคะ ?
ตอบ : หาโคตรยากกว่า..! ไม่ใช่หายากกว่าเฉย ๆ

ถาม : แต่ตามตำราถือว่าใช้ได้เหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่ถ้าได้อย่างแรกก็ถือว่าดีที่สุด เพราะป้องกันอาถรรพ์ป่าได้ทุกอย่าง ขนาดเขาดึงขนใช้กันทีละเส้นเลย ดึงขนออกมาเส้นหนึ่งโยนเข้ากองไฟ จะปลอดภัยจากอาถรรพ์ป่าทั้งคืน

เถรี
28-01-2020, 22:45
พูดถึงกลีบกุหลาบที่ประดับบนขนม "สมัยอาตมายังเด็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นกุหลาบมอญ ที่เขาเอามาโรยในน้ำยาอุทัย กุหลาบมอญจะเป็นช่อ ๆ ช่อหนึ่งมี ๕-๖ ดอก เถาค่อนข้างจะเลื้อย ตอนหลังกุหลาบทางด้านยุโรปเข้ามา พวกเราก็ไปเห่อตามเขา จำได้ว่าชุดแรกที่เข้ามาก็คือโซเฟีย เป็นกุหลาบสีชมพูดอกใหญ่ ๆ แต่ว่าทรงค่อนข้างตูม ไม่บานจนหมด ตอนหลังกุหลาบควีนสิริกิติ์ดังระเบิดเถิดเทิง เขาผสมกุหลาบพันธุ์ใหม่ได้ ขอพระนามสมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงไป ตั้งเป็นกุหลาบควีนสิริกิติ์

ระยะหลัง ๆ ทางเหนือของเราเพาะกุหลาบเก่งมาก ดอกตูมใหญ่เท่ากำปั้น แล้วเวลาบานจะใหญ่เท่าไร ก้านดอกยาว ๓ ฟุต ถามว่าทำไมตัดก้านดอกยาวขนาดนี้ ? เขาบอกว่าให้เขาไปตัดต่อได้เรื่อย ๆ ก้านดอกยาวและดอกใหญ่ราคาจะสูง ถามเขาว่าประมาณเท่าไร ? เขาหยิบให้ดู บอกว่าดอกนี้ถ้าเป็นช่วงวาเลนไทน์ดอกละประมาณ ๗๐๐ บาท ตายละวา...กุหลาบดอกหนึ่ง ๗๐๐ บาท แล้วถ้าไปเจอช่อใหญ่จะราคาเท่าไรเอ่ย ?"

เถรี
28-01-2020, 22:52
"เดี๋ยวนี้คนเริ่มรู้แล้วว่ากุหลาบกินได้ สมัยก่อนเขาไม่รู้ แต่ว่าสมัยนี้อันตรายเพราะว่าสารเคมีเยอะ สมัยก่อนปลูกกันแบบธรรมชาติจริง ๆ พอถึงเวลาเอามาแปะหน้าตะโก้ กระทงหนึ่งก็กลีบหนึ่ง หรือไม่ก็ไปลอยหน้าน้ำยาอุทัย

สมัยก่อนอะไร ๆ ก็เพาะเมล็ด สมัยนี้ ตอน เสียบกิ่ง ต่อยอด ติดตา ปั่นเนื้อเยื่อ ฯลฯ อาตมาเคยเอากล้วยปั่นเนื้อเยื่อไปปลูกที่เกาะพระฤๅษี สูงประมาณหนี่งเมตรเท่านั้นก็ออกลูกแล้ว ไม่ลำบากตอนตัด มีหน่อเหมือนกัน แต่ว่าหน่อนั้นเอาไปสืบพันธุ์ต่อไม่ได้"