View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๓
ถาม : ไปอยู่ในที่ที่ทำอะไรแล้ว คนอื่นเขาทำตามเราตลอด ?
ตอบ : ไม่รู้จักคำว่า "ไอดอล" หรือ ? เป็นเรื่องปกติ บางคนก็สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา พอถึงเวลาสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา เห็นเข้าก็ชอบใจ อยากจะทำตาม
ถาม : เกี่ยวกับเคมีเข้ากันไหมคะ ?
ตอบ : ไอ้นั่นภาษาฝรั่ง ต้องบอกว่าเวรกรรมผูกพัน แหม...เคมีเข้ากัน เดี๋ยวก็เหวี่ยงให้...!
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้กำลังมีพระเลียนแบบอย่างคร่ำเคร่ง ว่าจะให้พรบทมงคลจักรวาลน้อยโดยการหายใจครั้งเดียวเหมือนกับหลวงพ่อ อาตมาบอกไปว่าถ้าสมาธิไม่เท่ากันทำไม่ได้หรอก สมาธิสูงใช้ลมหายใจน้อยก็ว่าได้ยาว"
พูดถึงการถ่ายรูป "มีคนจำนวนมากที่เขาสามารถถ่ายรูปคนมากให้เป็นคนน้อยได้ โยมเต็มห้องแบบนี้ เขาถ่ายออกมามีอยู่ ๒ คน ก็คือคนกำลังถวายกับคนรับ ก็เลยทำให้คนเขาสงสัยว่ามีคนไปถวายสังฆทานกี่คน
เมื่อวานซืนตอนบิณฑบาตที่โรงพยาบาล ตากล้องก็จ่อตั้งแต่คนแรกยันคนสุดท้าย อาตมาบอกว่าถ้าคุณถ่ายแบบนี้ คุณจะไม่มีภาพรวมของงานไปให้เขาเห็น นอกจากแพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่ซึ่งใส่บาตรพระอาจารย์เล็ก ทั้ง ๆ ที่พระเดินตามหลังพระอาจารย์เล็กไปตั้ง ๓๒ รูป แต่เห็นพระอาจารย์เล็กอยู่รูปเดียว
เนื่องจากว่าประสบการณ์ไม่เหมือนกันอย่างหนึ่ง ความคิดไม่เหมือนกันอย่างหนึ่ง ก็เลยทำให้เขาทำงานในลักษณะอย่างนั้น ประสบการณ์ไม่พอ ก็คือไม่รู้ว่าการที่ส่งรายงานการทำงานขึ้นไป ผู้บังคับบัญชาต้องการเห็นงานรอบด้าน ไม่ใช่ว่าต้องการให้คุณเสนอหน้าอยู่คนเดียว
อาตมาด่าไปสองสามทีแล้วตอนที่ถ่ายรูป บิณฑบาตคนทั้งอำเภอมาร่วมงานที่วัดท่าขนุน ดันถ่ายแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นร้อย ๆ รูป แล้วเขาจะเห็นหรือว่าบรรยากาศรอบด้านเป็นอย่างไร ? ตอนหลังโดนไปหลายทีค่อยดีขึ้น"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นประธานองคมนตรี ก็คงต้องทรงตั้งองคมนตรีเพิ่มอีกหนึ่งท่าน
อาตมายังได้เห็นนายกฯ สุรยุทธ์แบบใกล้ชิด ๑ ครั้ง นายกฯ บรรหาร ๒ ครั้ง นายกฯ ชวน ๒ ครั้ง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ๑ ครั้ง ท่านที่ได้เห็นมากที่สุดก็คือนายกฯ ทักษิณ ๔ ครั้ง ไม่น่าเชื่อ...เป็นรัฐบาลอยู่ไม่กี่ปี เฉพาะพื้นที่เดียวไปถึง ๔ ครั้ง ทุ่มเทให้กับงานมาก ก็เลยเป็นที่หมั่นไส้จนไม่มีแผ่นดินจะอยู่
ส่วนนายกฯ ยิ่งลักษณ์อย่าไปดูในโทรทัศน์หรือรูปถ่าย ดูตัวจริงสง่ากว่านั้นมาก ไม่ใช่คนสวย คนสวยกว่านั้นมีเยอะ แต่เป็นคนสง่าแบบมีราศี แบบคนที่มีบุญเก่ามามาก ซึ่งบอกว่าบุญเก่าไม่มากก็ไม่ได้ ใช้เวลาหาเสียงไม่กี่เดือน เอาชนะพวกเขี้ยวลากดินมาเป็นนายกฯ ได้"
"เวลานักการเมืองจะหาเสียง ก็มักจะไปอาศัยวัดเป็นหลัก เพราะรู้ว่าวัดเป็นศูนย์รวมของชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างวัดท่าขนุน หลวงปู่สายเป็นหัวจิตหัวใจของชาวบ้าน ถึงเวลาก็ไปรวมตัวกันที่วัด สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาส อาตมาเป็นรองเจ้าอาวาสนี่เครียดเลย คณะกรรมการมี ๒ ฝ่าย ๓ ฝ่าย ส่วนใหญ่เป็นคู่แข่งการเมืองท้องถิ่น แต่ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งหมด
ฝ่ายหนึ่งก็เชิญ ส.ส. พรรคไทยรักไทยเป็นประธาน อีกฝ่ายหนึ่งก็เชิญ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์เป็นประธาน อีกฝ่ายหนึ่งก็เชิญ ส.ส. พรรคภูมิใจไทยเป็นประธาน พอเจ้านายมา พวกชุดซาฟารีพกปืนตุงเอวตามมาฝ่ายหนึ่ง ๘ คน ๑๐ คนเต็มศาลาไปหมด อาตมาได้แต่นั่งเซ็ง อย่ามายิงกบาลกันบนศาลาตูนะเว้ย..!"
"เรื่องของนักการเมือง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาต้องรักษาฐานเสียงของเขา คราวนี้การรักษาฐานเสียงมีรายจ่ายที่เป็นภาษีสังคมเยอะมาก งานแต่ง งานศพ ขึ้นบ้านใหม่ สารพัดงานฉลองต้องไป อย่างไม่มีอะไรก็แจกันดอกไม้ ถ้างานศพพวงหรีดต้องมีให้เขา จนกระทั่งบรรดาร้านดอกไม้ในพื้นที่รู้เลย ถึงเวลาจัดเตรียมพวงหรีด หรือแจกันดอกไม้ไว้ให้ แล้วก็โทรไปบอกหน้าห้องเตรียมมาจ่ายเงินได้ ล็อกงานกันไว้อย่างนั้นเลย
เวลาเจ้านายจะมา อาตมาเป็นประธานในงานเขา หน้าห้องวิ่งเข้ามาถึงบอกว่า "อาจารย์ขอประกาศชื่อเจ้านายด้วย" บอกเขาว่า "ได้...ไม่เป็นไร ถ้าท่านบวชมา อาตมาจะไม่ยอมให้เป็นประธานแทนหรอก แต่ถ้ายังไม่บวชนี่ให้เป็นประธานฝ่ายฆราวาสได้"
ฉะนั้น..บางท่านต้องบอกว่าเข้าถึงชาวบ้านมาก งานเล็กงานใหญ่ไปให้เขาหมด"
"คราวนี้สังคมไทยของเรา การพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลฝังรากลึกมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่สมัยยังมีทาส พึ่งพิงนายทาส พอมารัชกาลที่ ๕ ค่อย ๆ คิดวิธีว่าทาสที่เกิด พ.ศ. นี้ ปล่อยเป็นอิสระไปเลย ทาสที่เกิด พ.ศ. นี้จ่ายค่าไถ่ตัวเท่านี้ ๆ ทาสที่เกิด พ.ศ. นี้ จะไถ่ตัวหรือไม่ไถ่ตัวก็ไม่เป็นไร พระองค์ท่านหาวิธีที่นุ่มนวลมาก แต่เหลือเชื่อว่าทาสเกินครึ่งไม่ยอมไป ด้วยความที่พึ่งพิงเจ้านายจนชิน ก็เลยอยู่ใน DNA มา
พอพ้นจากช่วงการเลิกทาส เพราะว่ารุ่นเก่า ๆ ที่เป็นทาส ที่เรียกว่าทาสในเรือนเบี้ย คือเกิดมาปู่ย่าตาทวดเป็นทาสมาชั้นแล้วชั้นเล่า รุ่นเก่าตายหมด เหลือรุ่นใหม่พวกที่เป็นไทอยู่ก็ยังพึ่งพิงผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะพึ่งพิงในลักษณะ อย่างเช่นว่าอยู่ในกรม"
"คำว่า อยู่ในกรม ก็คือบรรดาเจ้านายท่านทรงกรม เป็นกรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง กรมพระ กรมพระยา เจ้านายทรงกรมขึ้นมาก็ต้องมีลูกน้อง มีปลัดกรม มีจางวางกรม มีสมุห์กรม แต่ละท่านพอทรงกรมแล้วมีศักดินา อย่างเช่นตำแหน่งกรมหลวงทรงศักดินา ๒๕๐,๐๐๐ ไร่ จะให้ท่านไปทำนาเองหรือ ? ก็ไม่ไหว พอไม่ไหวบรรดาปลัดกรม สมุห์กรม จางวางกรม ก็ไปหากำลังมา หามาก็ต้องมีการสักเลข จะได้รู้ว่าขึ้นอยู่กับกรมไหน เขาถึงได้เรียกว่าในกรม อยู่ในกรมไหน ท่านก็เลยกลายเป็นเสด็จในกรม"
"คราวนี้การพึ่งพิงอำนาจ พอตนเองมีเรื่องเดือดร้อน สมมติว่าครอบครัวนี้มาพึ่งพิง เป็นไพร่เลขไพร่สมอยู่ในกรมนี้ ปู่ย่าตายายทางบ้านเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา ทางด้านนี้ขอรับสั่ง คำเดียวจบเลย
การพึ่งพิงผู้มีอำนาจจึงฝังอยู่ในสายเลือดของคนไทย จนกระทั่งระยะหลัง ๆ ก็ยังมีบรรดาผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่เขายังต้องพึ่งพิงอยู่ แม้กระทั่งอาตมาก็ยังเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น มีเรื่องมีราวอะไรขึ้นมา "พระอาจารย์ช่วยเคลียร์ให้หน่อย" นี่มึงเห็นกูเป็นมาเฟียใช่ไหม ? แต่พอพระพูดแล้วเขายอมรับได้ง่ายกว่า
ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนี้ เราจะเห็นท่านนั้นเป็นเจ้าพ่อ...ไม่ใช่ ในสายตาชาวบ้านเขาคือผู้ที่พึ่งพาอาศัยได้ เดือดร้อนเรื่องเงินแก้ปัญหาเรื่องเงินให้ เดือดร้อนโดนผู้อื่นเบียดเบียนแก้ปัญหาได้ เดือดร้อนเรื่องที่ทำกินแก้ปัญหาได้ ลูกจะเข้าเรียนหลานจะรับราชการแก้ได้หมด"
"คราวนี้พอมีบุญคุณกันขึ้นมา คนไทยเรามีหลักธรรมอยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภูมิ เว สัปปุริสานัง กตัญญูกตเวทิตา พื้นฐานของคนดีก็คือความรู้คุณและตอบแทนคุณท่าน ถึงเวลาท่านขอแค่คะแนนเสียง ทำไมจะให้ไม่ได้ ดังนั้น..เรื่องระบบอุปถัมภ์บ้านเราแก้ไขยาก ในเมื่อแก้ไขยากแล้วทำอย่างไร ? ก็อาศัยระบบอุปถัมภ์นี่แหละ
ถึงเวลานักการเมืองบางท่าน กลายเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่กว้างขว้างมาก ใคร ๆ ก็รู้จัก ก็ตั้งพรรคการเมือง คุณจะเป็นใครมาจากไหนไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าปฏิญาณตนรับใช้ประชาชนแล้วต้องทำตามคำพูด ถ้าไม่สามารถทำตามคำพูดได้ คุณจะหลุดหายไปจากวงการเมืองอย่างรวดเร็ว"
"เสียงประชาชนคือเสียงสวรรค์ ถึงเวลาดลบันดาลให้ได้ทุกเรื่อง แม้ว่าจะใช้อำนาจทางการเมือง อำนาจอิทธิพลของข้าราชการในการบีบคั้น ก็ได้แค่ชั่วคราว ในลักษณะที่ปิดฝาหม้ออัดความดัน ถึงเวลาปิดล็อกเอาไว้ แต่พอความดันสูง ๆ ก็จะระเบิด คราวนี้ไม่ต้องชวนวิ่งไล่ลุงหรอก เขาก็จะไปไล่เอง
เรื่องพวกนี้เป็นวงจรปกติ การพัฒนาประชาธิปไตยใช้เวลายาวนานมาก แค่ ๘๐ กว่าปีของบ้านเรานี่ถือว่าน้อย ประเทศประชาธิปไตยของอังกฤษอเมริกาที่เราถือเป็นต้นแบบ เขามีมาเป็นร้อย ๆ ปี ในเมื่อเป็นร้อยปี เราพัฒนาระยะนี้ถือว่าล้มลุกคลุกคลาน เพียงแต่น่าเสียดายว่าการเมืองของเรากำลังจะเข้าสู่รูปแบบที่ดีที่เหมาะสม ก็คือเหลือพรรคการเมืองใหญ่แค่ ๒ พรรค
แต่ปรากฏว่าเราสามารถออกรัฐธรรมนูญพิกลพิการมาทำให้พรรคเป็นร้อย ๆ พรรค ผุดขึ้นมาได้ เพื่อที่จะสร้างความอ่อนแอให้กับบุคคลที่ตนเองเห็นว่าเป็นคู่แข่ง ตรงนี้อาตมาถือว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตยอย่างร้ายแรง..!"
"อังกฤษที่เป็นต้นแบบการเมือง ถึงเวลาพรรคคุณได้คะแนนมากกว่าก็เข้าไปบริหารประเทศ พรรคฝ่ายค้านจะตั้งรัฐมนตรีเงาประกบทันที ทำงานร่วมกัน ศึกษาเรียนรู้งานไปด้วยกัน ไม่มีการหมกเม็ด
ถ้าฝ่ายค้านเสนอความคิดเห็นหรือโครงการอะไร ที่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านได้มากกว่า เขานำออกไปสู่ประชาชนแล้วให้เครดิตว่าเป็นของฝ่ายค้าน เราจะเห็นว่าเวลาอังกฤษเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จะเป็นมากาเร็ต แทชเชอร์ เป็นโทนี่ แบลร์ จากโทนี่ แบลร์ มาเป็นมิสเตอร์จอห์น ไล่มาเรื่อย ๆ เป็นเทเรซา เมย์ พอหลุดไปแล้ว เขาไม่มีปัญหาอะไร ฝ่ายค้านสามารถเสียบเข้ามาทำงานแทนได้ทันที เพราะว่าเรียนรู้งานมาด้วยกัน"
"บ้านเราพัฒนาไปไม่ถึงระดับนั้น ของบ้านเรายังอยู่ในระหว่างการเติบโต ๘๐ กว่าปีเป็นเด็กก็ประมาณ ๘ ขวบกว่า ๆ ในอายุของการเมือง จะหวังให้ดีเลยก็ไม่ได้ เพียงแต่ว่าใครที่ทำอะไรไม่ดีเอาไว้กับประเทศชาติ ก็จะถูกจารึกเป็นประวัติศาสตร์ คุณจะให้เขากล่าวถึงในลักษณะชื่นชมหรือสาปแช่งก็โปรดเลือกเอาเอง..!"
โยมถวายพระธาตุข้าวบิณฑ์ "พระธาตุข้าวบิณฑ์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ บริเวณวัดพระพุทธบาทห้วยต้มจริง ๆ คือห้วยข้าวต้ม หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ท่านได้นิมิตว่า ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาโปรดแถวนั้น คราวนี้ชาวบ้านถวายข้าวต้ม พอฉันเสร็จ พระอานนท์ล้างบาตร เอาน้ำเทลงบนแผ่นดิน เศษข้าวต้มที่เหลือก็กลายเป็นพระธาตุข้าวบิณฑ์ที่เห็น ถ้าในสายตาคนทั่วไป น่าจะเห็นเป็นก้อนกรวด แต่อาตมาอยากจะบอกว่านั่นแหละคือปฐวีธาตุ"
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงเดือนธันวาคมหลวงปู่บะซานพระลูกวัดห้วยปากคอกมรณภาพ เส้นโลหิตในสมองแตก คราวนี้ในส่วนที่อาตมาทึ่งมากก็คือท่านอายุ ๙๒ ปี ถ้าเส้นโลหิตในสมองไม่แตกก็จะยังอยู่อีกนานมาก พอดีว่าอะไหล่ชำรุด รถก็เลยไปไม่ได้...พัง
คราวนี้ไปแห่ศพท่าน ด้วยความที่น้อยครั้งจะเห็นศพพระ โดยเฉพาะตอนแห่ขึ้นเมรุ ทั่วไปแล้วไปถึงเขาก็จะเอาขึ้นบนเมรุเรียบร้อยแล้ว แต่นี่เขาทำเป็นเหมือนอย่างกับบุษบกวิมานทรงเรือ แล้วก็มีคานหาม พอเอาโลงตั้งบนบุษบกเสร็จ ก็ผูกมัดกันอย่างแน่นหนามาก อาตมาก็สงสัยว่าหามไปหน่อยเดียวแค่นั้นจะผูกขนาดนั้นทำไม ปรากฏว่าเขาหามไปเต้นไป เหวี่ยงไป กระโดดโลดเต้นกันสนุกสนาน เป็นประเพณีของเขาที่ว่าคนตายแล้วย่อมไปดี จึงไม่มีอะไรที่น่าเสียใจ เขาก็สนุกกันเต็มที่"
ถาม : การตั้งศาลเจ้าที่ ถ้าเราตั้งเองได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้
ถาม : มีผู้ใหญ่บอกว่า ต้องดูว่าเชิญใครได้ ถ้าเชิญผิดไม่อย่างนั้นจะถึงตาย ?
ตอบ : ต้องบอกว่าไปลองทำดู ถ้าหากว่าเชิญท่านได้เอง อาตมาจะสบายใจที่สุด
เรื่องของเจ้าที่ ใครเป็นเจ้าของบ้านควรให้คนนั้นทำเอง เป็นการแสดงออกซึ่งการเคารพนับถือท่านจริง ๆ แต่ถ้าไม่รู้วิธี ทำอะไรก็ไม่ถูก ก็ต้องเชิญหมอ เชิญพระไปทำให้
ถาม : ถ้าทำเองได้ก็ดี ?
ตอบ : ทำเองได้เป็นดีที่สุด ผู้ใหญ่คนไหนทำใจไม่ได้ ก็ให้เขานอนฝันร้ายไป
ถาม : ตอนที่บวชเนกขัมมะช่วงปีใหม่ หลวงพ่อพูดถึงอิสลามว่า เขารวมหัวกันช่วย แต่พุทธไม่ยอมช่วย ทีนี้หนูมานึกว่าที่เขาไม่ช่วย เพราะลึก ๆ เขาลังเลว่าเป็นเรื่องโกหกหรือเปล่า ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับเอาไปกระเดียด อาตมาบอกว่า ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นจะผิดหรือถูก อิสลามเขาก็ช่วยกัน ส่วนพุทธของเราก็มองห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ อย่างดีก็ถ่ายคลิป ความสามัคคีของเราสู้เขาไม่ได้ เพราะเราไม่มีจิตสำนึกในพรรคพวกเพื่อนพ้องหรือชาติพันธุ์ของตัวเอง ตูบอกแล้วว่าอะไรหลุดจากตรงนี้ก็ไปเละจนได้..!
ขนาดเมื่อเช้าพูดอยู่ตรงนี้ บอกว่าของวัดท่าขนุนจัดพิพิธภัณฑ์เครื่องราง โยมถวายพระมา ก็ไม่สามารถเอาเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ ให้เอาคืนไป เขาโทรไปบอกเพื่อนว่าบอกของแบบนี้ไม่รับ นั่นแค่ถอยห่างจากอาตมาแค่ ๒ ก้าว ยังไปคนละเนื้อหากันเลย
ถาม : เรื่องหมาที่วัด ที่เขาปล่อยหมาไปไม่ใช่เฉพาะคนที่วัดอย่างเดียว คนที่เขามาเที่ยวที่วัด เขาก็ปล่อยไป หมาก็แห่กันไปหลายตัว ?
ตอบ : บอกแล้วว่าอย่าโง่กว่าหมา หมารอกันอยู่หน้าประตู ดันไปเปิดประตูจนสุด เปิดช่องให้แค่ตัวเองเบียดออกไปแล้วปิดไม่ได้หรือ ?
ถาม : เหลือตัวเดียวเข้าไม่ได้ เขาก็ไปแปะอยู่หน้าประตู ?
ตอบ : ก็เรื่องของหมา เราไม่ได้บังคับให้ไป แล้วก็ไม่ได้เรียกร้องให้กลับ ที่มีปัญหาเพราะว่าหมายกขบวนไปถล่มฝั่งโน้น โดยเฉพาะอาศัยบ้านผู้กำกับเป็นที่ขี้ จนท่านทนไม่ไหว ต้องส่งลูกน้องมาทำประตูกั้นไว้
อาตมาเดินไป ไอ้เจ้านั่นก็ทำท่าจะเปิดประตูให้ อุตส่าห์บอกกับเขาเสียงดังว่า "อย่าโง่กว่าหมา" เขาก็ยังเปิดกางเข้าเต็มที่ เพื่อให้พระได้ออกไป หมาทั้งฝูงก็รออยู่ ก็พรวดเดียวข้ามไปหมด ก็เลยบอกว่าให้ไปตามจับคืนมา ปรากฏว่าแม้แต่ตัวเดียวเขาก็ไล่ไม่ทัน
ความจริงต้องโทษอาตมาเอง ที่พูดอะไรไม่อธิบายให้ชัดเจน กว่าเขาจะรู้ก็เหตุเกิดแล้ว ถ้าเป็นอาตมามีคนบอกว่าอย่าโง่กว่าหมา จะชะงักแล้วคิดก่อน ทำไมกูถึงต้องโง่กว่าหมา นี่เตือนขนาดนี้แล้วยังไม่ฟังเลย
ญาติโยมบางคนอยากจะตามพระออกบิณฑบาต อาตมาถามว่า "ไม่เคยขับรถสี่ล้อเลยใช่ไหม ?" "ครับ...ขี่แต่มอเตอร์ไซค์" บอกว่า "เดินแบบคุณรถเขาขับไม่ได้ คุณเดินลงไปบนถนนครึ่งเลน" เขาก็คงคิดว่าถนนเหลืออีกตั้งเลนครึ่ง แล้วถ้ารถสวนมาอีกคันหนึ่ง เขาจะไปอย่างไร ?
โดยเฉพาะบ้านเรา ขับรถพวงมาลัยขวา ถึงเวลาจะบอดทางด้านซ้าย ต่อให้ห่างเป็นเมตร เขาก็จะเห็นว่าใกล้ แล้วดันทะลึ่งเดินลงไปบนเลน คนขับรถเขาก็ไม่กล้าไป แต่ตัวเองเห็นว่าอยู่ห่างจากรถ ก็ถึงได้ถามว่าไม่เคยขับรถสี่ล้อเลยใช่ไหม ? "ใช่ครับ...ขี่แต่มอเตอร์ไซค์"
แล้วมอเตอร์ไซค์ที่น่าตายที่สุด ก็คือขณะที่รถจะเลี้ยวซ้าย เจ้าของรถจะต้องมองว่ารถทางขวามาหรือเปล่า มอเตอร์ไซค์จะเสียบออกซ้ายทุกคัน ถ้ารถใหญ่เขาเห็นว่าปลอดภัย เขาก็เหยียบคันเร่งขึ้นถนนเลยโดยการหักซ้าย ไอ้คันที่กำลังเสียบจะเกิดอะไรขึ้น ?
หลายปีแล้วเสี่ยตือมาบ่นให้ฟังว่า "เพื่อนผมก่อนหน้านี้ขี่มอเตอร์ไซค์ ตอนนี้ซื้อรถใหญ่มาขับ มาบ่นกับผมว่า กูเพิ่งจะรู้ว่าสมัยก่อนกูขี่มอเตอร์ไซค์ได้เหี้_มากเลย" เพราะตัวเองไปเจอเองแล้วว่าเป็นอย่างไร รถมอเตอร์ไซค์เขาคิดว่าช่องนั้นเขาไปได้ แต่เขาไม่ได้คิดเผื่อรถใหญ่เลย
แล้วปัจจุบันนี้ในกรุงเทพฯ ที่เห็นเป็นประจำก็คือ ในระหว่างที่ด้านหนึ่งไฟแดง อีกด้านหนึ่งรอไฟเขียวอยู่ จะมีช่วงจังหวะประมาณ ๒ - ๓ วินาที มอเตอร์ไซค์จะชิงออกกันก่อน ก็คือฝ่าไฟแดงนั่นแหละ เขาถือว่าตอนจราจรหนาแน่น ตำรวจไม่มีเวลาไปไล่จับเขา แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ ? ก็ตัวเขาเองนั่นแหละ แล้วส่วนใหญ่มาเสียใจก็ไม่ทันแล้ว พ่อแม่ลูกเมียเดือดร้อนไปหมด
ถึงได้บอกไปตั้งแต่เช้าว่า บ้านเราต้องจัดเป็นวาระแห่งชาติในการสร้างเสริมจิตสำนึกให้กับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเริ่มตั้งแต่เด็กเลย สรุปว่าใครเริ่มเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหรืออนุบาล ก็ต้องเน้นเรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นรอให้โตขึ้นมากลายเป็นไม้แก่ดัดยาก ก็แก้ไขไม่ได้แล้ว
เมื่อวานที่มีข่าว พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน พอครึ่งวันครูที่โรงเรียนโทรไปถามว่าเป็นอะไรไม่ไปเรียน พ่อก็ยืนยันว่าไปส่งด้วยตัวเอง มาวันนี้ตำรวจตามเจอแล้วจากคลื่นโทรศัพท์ของลูกสาว ว่าไปอยู่ในโรงแรมอีกจังหวัดหนึ่งกับเด็กผู้ชายอายุ ๑๕ ปี ส่วนเด็กผู้หญิงอายุแค่ ๑๒ ปี
เห็นหรือยังว่าเด็กสมัยนี้ทำอะไรตามอารมณ์ตัวเอง ไม่มีเหตุไม่มีผลอะไรทั้งนั้น รู้จักกันในแชตแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็หนีตามไปกันเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ช่วงปีใหม่จะติดงานกันหมด บางคณะอย่างคณะท่านอาจารย์วิชชุก็ต้องแบ่งภาคเลย วัดโน้นก็ขอให้ช่วย วัดนี้ก็ขอให้ช่วย บางทีคนขอให้ช่วยก็ขอแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ อย่างของอาตมา ปัจจุบันนี้พระไปขอความช่วยเหลือกันเยอะมาก บอกเขาว่าเข้าคิวไปก่อน ผมเองทอดกฐินปีละวัด ของคุณอีกประมาณ ๓๐๐ ปีก็น่าจะถึงแล้ว..!
วันก่อนเจ้าคุณชั้นราชท่านหนึ่ง ขอให้ไปช่วยสร้างโบสถ์ที่อำเภอฝางให้เสร็จเรียบร้อย ขาดเงินประมาณ ๑๐ ล้านบาท ก็บอกกับท่านว่าเข้าคิวไปครับ ของหลวงพ่อก็ใกล้ ๆ คิวที่ ๓๐๐ ท่านบอกว่าลัดคิวหน่อยไม่ได้หรือ ? ปีนี้ผมป่วยเกือบทั้งปีเลย บอกท่านว่าถ้าหากว่าผมลัดคิวแล้วคนอื่นจะว่าอย่างไร ? เดี๋ยวก็ได้อ้างป่วยกันบ้าง แล้วไอ้ที่จะป่วยก็เลยกลายเป็นผม"
"อย่างเมื่อสักครู่ที่โทรมาก็ไม่ได้รู้จักกัน แต่ไปขอเบอร์โทรมาจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนมาอีกทีหนึ่ง คือเดี๋ยวนี้ข่าวโซเชียลเร็วมาก ข่าวที่อาตมาช่วยเหลือตรงนั้นเท่านั้น ช่วยเหลือตรงนี้เท่านี้ มีแต่คนเขาเอาไปลง แล้วก็แชร์ต่อกันไป พอเขาเห็น เขาก็พยายามไขว่คว้าหาเบอร์โทร
ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือหลายคนโทรมาแบบไม่รู้เวล่ำเวลา ห้าทุ่มเที่ยงคืน ตัวเองไม่นอน ก็คิดว่าคนอื่นไม่นอนแล้วโทรไป ที่ระยะหลังอาตมาเลิกรับโทรศัพท์ก็เพราะอย่างนี้ เหนื่อยแทบจะตายชัก สี่ห้าทุ่มเพิ่งจะเอนลงไปก็โทรมา อาตมามีนิสัยว่าถ้าตื่นแล้วจะลุกเลย ไม่หลับอีก จึงต้องเลิกรับโทรศัพท์ไปเลย"
"ส่วนวันก่อนพระกำลังฉันเพลอยู่ มีคนโทรมา ก็เลยบอกท่านว่า "ถ้าเป็นโยม คุยธุระเสร็จแล้วบอกเขาด้วยว่า ต่อไปให้ดูเวลา ช่วงเวลานี้อย่าโทรมา เพราะว่าพระกำลังฉันเพลอยู่ แต่ถ้าเป็นพระโทรมา มึงด่าไปเลย กูเคยด่ามาแล้ว..!" ก็คือกำลังฉันเพลอยู่ ประมาณ ๑๑ โมง ๑๕ นาที พระโทรมา ก็เลยบอกไปว่า "วางหูไปก่อน ถึงมึงไม่แดก กูก็จะฉัน..!"
เรื่องของกาลเทศะเป็นเรื่องสำคัญมาก กาละคือเวลาที่เหมาะ ที่สม ที่พอควร เทศะคือสถานที่ ถ้าเวลาและสถานที่เหมาะสม ทำอะไรก็ดีไปหมด แต่ไม่ดูกาละเทศะก็พอ ๆ กับไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นแหละ
ไม่ดูตาม้าตาเรือ เป็นศัพท์ของนักเล่นหมากรุก เพราะว่าม้าเขาเดินเดินเป็นรูปตัวแอล ส่วนเรือวิ่งตลอดแนวของตัวเองเป็นเส้นตรงซ้ายขวา มองไม่ไกลพอนี่ตายไม่รู้ตัว"
"เมื่อวานส่งท้ายปีเก่า เพิ่งจะด่าพวกถ่ายคลิปไม่ดูตาม้าตาเรือไป ถึงเวลาเอากล้องจ่อไว้ตลอดเวลา อาตมาจะขยับตัวก็ไม่ได้ จะขี้จะเยี่ยวก็ไม่ได้ จะเกาหัวเกาหูก็ไม่ได้ เพราะว่ากล้องจ่ออยู่ตลอดเวลา
หลายต่อหลายอย่างเคยบอกไปแล้ว แต่คราวนี้ถ้าบอกดี ๆ บางทีก็ไม่ค่อยจะฟังกัน ถึงฟังแล้วผ่านหูไปเฉย ๆ ก็เลยต้องด่าประจานท่ามกลางคนเยอะ ๆ จะได้จำ เคยบอกอยู่เสมอว่า ภาพครูบาอาจารย์แต่ละภาพ ควรจะเป็นภาพที่ดูดีที่สุด คนเห็นแล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใส ไม่ใช่ถ่ายไปทุกอิริยาบถ โดยเฉพาะบางอย่างท่านกำลังทำงานทำการอะไรอยู่ ให้ดูความเหมาะสมด้วย"
"อย่างวันก่อนที่ถ่ายวิดีโอตอนช่วงสวดมนต์ข้ามปี พระกำลังจัดแถวให้พระให้โยมเข้าที่กันอยู่ เขาก็ถ่ายไปเรื่อย เขาจะรออีกสัก ๓ นาที ๕ นาที ถ่ายตอนทุกคนนั่งเรียบร้อยก็ไม่ได้ กลายเป็นว่าบรรยากาศงานเละเทะดูไม่ได้ ต้องมาไล่ต้อนกันเป็นหมูเป็นหมากว่าจะนั่งเข้าที่กัน
บางทีเพื่อนพระก็ส่งรูปมาในไลน์ อาตมาถามว่า ไปเอามาจากไหนวะ ? ท่านบอกว่า "ในเฟซฯ เต็มไปหมดเลยครับ มีทุกอิริยาบถ " ก็เลยบอกท่านไปว่า "ขาดอยู่อิริยาบถหนึ่ง เพราะว่าตอนเข้าส้วมมันตามเข้าไปไม่ได้...!"
"บางคนก็ภูมิใจมากที่ได้แชร์ภาพที่ไม่เหมือนกับคนอื่น พระกำลังเดินขึ้นอาสน์สงฆ์ ลองคิดดูว่าอาสน์สงฆ์สูงประมาณหนึ่งเมตร ขาหนึ่งก้าวขึ้นไป อีกขาหนึ่งอยู่กับพื้น ภาพงามมากเลยใช่ไหม ? ถึงเวลาเจอไอ้พวกไม่ดูตาเรือก็จะตำหนิเอาไว้ก่อน แล้วใครทำให้โดนตำหนิ ? ก็ไอ้คนถ่ายรูปนั่นแหละ สร้างกิเลสให้เกิดขึ้นในใจคนอื่น ไปทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมหัวเขา โทษก็เกิดขึ้นกับเราด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลที่คิดเพื่อส่วนรวม จะทำอะไรได้รอบคอบกว่า ถ้าคิดเฉพาะตัวเองหรือเฉพาะองค์กร ทำอะไรก็ไม่รอบคอบหรอก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศจะร้อนจะแล้งขึ้นไปเรื่อย ๆ ทีนี้ความร้อนความแล้งอย่างปัจจุบัน อย่างไฟป่าที่ออสเตรเลียก็ดีหรือที่อเมริกาก็ตาม บ้านเขาธรรมชาติทำให้ไฟป่าไหม้ได้ แต่บ้านเราความชื้นมีมาก ไม่เพียงพอที่จะเกิดไฟป่าทางธรรมชาติ ไม้สีกันให้ตายก็ไม่ไหม้หรอก ไฟจะไหม้ก็ต่อเมื่อฟ้าผ่า คราวนี้ถ้าฟ้าผ่า ฝนก็มักจะมาด้วย ก็กลายเป็นว่าบ้านเราไฟป่าทั้งหมด ร้อยละร้อยเกิดจากคนจุดทั้งนั้น
ความร้อนความแล้งจะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามที่พระไตรปิฎกว่าไว้ เพราะว่าดาวเคราะห์ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นดาวฤกษ์ รัศมีความร้อนที่ส่งออกมีผลกระทบมากขึ้น ๆ จนกระทั่งท้ายสุด แหล่งน้ำทั้งหมดก็แห้ง แค่ลมพัดใบไม้แห้งสีกันก็ติดเป็นไฟได้ ก็เลยเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ยุคของเรายังไม่ได้ล้าง ผงซักฟอกยังมากไม่พอ...! ทนร้อนไปก่อนก็แล้วกัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เหลือเวลาประมาณ ๔๐ นาทีอาตมาจะไปฉันเพล ที่ต้องเตือนไว้ เพราะบางท่านมาแล้วมัวแต่ช็อปปิ้งอยู่ข้างล่าง ถึงเวลาเบิกวัตถุมงคลเสร็จ เห็นวัตถุมงคลถูกตาถูกใจก็นั่งเลือกกันอยู่นั่นแหละ ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนแล้ว พระองค์ท่านตรัสว่า สุขของคฤหัสถ์คือผู้ครองเรือนมี ๔ อย่าง
อย่างแรกคือมีทรัพย์
อย่างที่สองคือจ่ายทรัพย์ ถ้าได้ช้อปปิ้งจะมีความสุขสุด ๆ รูดบัตรจนเกินวงเงินไม่รู้ตัว
อย่างที่สามก็คือไม่เป็นหนี้
อย่างที่สี่คือทำงานที่ไม่มีโทษ ไม่ต้องกลัวคนอื่นเขามาจับติดคุกติดตารางเพราะว่าไปขายยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน ถ้าคุณสามีหรือคุณภรรยาบ่นว่าช็อปปิ้งมากเกินไปแล้ว "อ๋อ..พระพุทธเจ้าทรงตรัสแล้วว่าเป็นความสุขของฆราวาส" อ้างให้ถูกหลักถูกการนะ อ้างไม่ถูกหลัก เดี๋ยวจะเจอไม้หน้าสาม..!"
ถาม : จะสร้างเหรียญ ขอให้หลวงพ่ออธิษฐานจิตหน่อยค่ะ ?
ตอบ : ช่วงนี้ไม่มีงานพุทธาภิเษก มีก็โน่น...งานที่วัดสี่แยกเจริญพร วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๓ บ่าย ๒ โมง แปลว่าต้องไปเตรียมพร้อมก่อน
ถาม : เสาร์ ๕ ละครับ ?
ตอบ : เสาร์ ๕ ไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าไม่มีวัตถุมงคล ระยะหลังอาตมาเอง ถ้าสร้างวัตถุมงคลก็ให้คนสร้างเขาเอาไปเข้าพิธีในเวลาใกล้ ๆ นั่นเลย เพราะว่าไปได้โยมที่สร้างวัตถุมงคลดี แล้วก็ราคาไม่แพง ก็เลยให้เขาจัดการให้ เขาเองก็มีเส้นสายโยงใยเยอะมาก จัดงานที่ไหนเขารู้หมด ถึงเวลาก็ฝากเข้าพิธีไปเลย ทางนั้นก็ฉวยโอกาสนิมนต์อาตมาไปด้วย
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักปุพพวิเทหทวีปบ้าง ? ชาวปุพพวิเทหทวีปมีใบหน้าเหมือนจันทร์เสี้ยว ก็คือลักษณะคางแหลม ๆ จมูกแหลม ๆ เหมือนอย่างกับ "แม่มณี" ทุกวันนี้ ก็คือถ้าตอนนี้ชาวปุพพวิเทหทวีปท่านมาเที่ยวบ้านเรา ก็จะสงสัยว่าทำไมเชื้อสายตัวเองมีเยอะแท้ ?
ทวีปทั้ง ๔ ที่กล่าวเอาไว้ในไตรภูมิมี
อุตรกุรุทวีป เจริญสูงสุด บุคคลหน้ากลมเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ใครหน้ากลม ๆ นี่ภูมิใจได้ เราเป็นเชื้อสายของอุตรกุรุทวีป
อมรโคยานทวีป หน้าเป็นทรงสี่เหลี่ยม ไม่รู้ว่าอยู่แถวดูไบหรือเปล่า..?! แต่ถ้าใครมีหน้าทรงสี่เหลี่ยมให้รู้ว่า เราเป็นเชื้อสายของอมรโคยานทวีป
ปุพพวิเทหทวีป หน้าทรงเหมือนจันทร์เสี้ยว นึกอะไรไม่ออก ก็นึกถึงยายแม่มดของหนังฝรั่ง สมัยนี้เขานิยมหน้าเรียว ๆ ต้องไปเสริมจมูก ต้องไปเหลาคาง ออกมาเป็นทรงนี้
ส่วนชมพูทวีปของเรา หน้าเป็นรูปทรงลูกหว้า หรือรูปไข่"
"คราวนี้ในเรื่องของมนุษย์ทั้ง ๔ ทวีป อยู่ปะปนกันมาตั้งแต่โบราณเลย เพราะว่าในสมัยที่โลกมีพระเจ้าจักรพรรดิ ท่านก็ไปปราบในทวีปอีก ๓ แห่ง แล้วนำเอาคนบางส่วนของเขามาอยู่ที่ชมพูทวีปของเรา เพื่อแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจ ชาวอุตรกุรุทวีปก็ไปไว้ที่แคว้นกุรุ หายสงสัยแล้วหรือยังว่าว่าทำไมชื่อแคว้นกุรุ ? แม่น้ำตรงนั้นชื่อกุรุนที
ชาวอมรโคยานทวีป เอาไปไว้ที่อมรปุระ ปัจจุบันนี้อยู่ติดกับมัณฑะเลย์ของพม่า
ส่วนปุพพวิเทหทวีป ก็คือเมืองเทวทหะ เมืองแม่ของพระพุทธเจ้า
ในเมื่อ ๔ เชื้อสายนี้ปะปนกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ใครอยากรู้ว่าดีเอ็นเอของตัวเองมีเชื้อสายดวงดาวไหน ก็สังเกตคร่าว ๆ ดู ถ้าไม่ได้ไป "ทุบ" หน้ามาก็พอดูได้ ถ้าไป "ทุบ" หน้ามาแล้วก็ดูไม่ออก สมัยนี้พอ "ทุบ" หน้าแล้วตกแต่งเพิ่มหน่อย ก็ออกมาเป็นเชื้อสายของปุพพวิเทหทวีปไปหมด เพียงแต่ว่าของเขาสวยตามธรรมชาติ ส่วนของเราสวยด้วยมีดหมอ จึงดูหลอกตา ดูอย่างไรก็ดูไม่ดี"
"เพราะฉะนั้นให้ถือตามที่โบราณเขาว่า รูปธรรม-นามธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการที่เราสั่งสมข้ามชาติข้ามภพมา ส่วนพีชนิยามหรือดีเอ็นเอมีส่วนแค่ ๑ ใน ๕ เท่านั้น ถึงเวลาแล้วอย่าไปปรุงไปแต่งใบหน้ามาก ไม่อย่างนั้นแล้วลูกออกมาจะคิดว่าเป็นของคนข้างบ้าน เพราะว่าหน้าตาไม่เหมือนพ่อแม่
อีกอย่างหนึ่งก็คือทำกรรมมาใกล้เคียงกัน คล้าย ๆ กัน ถึงเวลาก็ออกมาคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะครอบครัวเดียวกัน ถ้าไม่สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมานี่ ไม่มีทางได้มาเกิดร่วมกัน"
พูดถึงหลวงป๋า วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม "ท่านเป็นอาจารย์ของผมตั้งแต่ฆราวาสยันเป็นพระ ถึงแม้ว่าจะบวชพรรษาเดียวกัน ก็ถือว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์
ตอนเรียนปริญญาเอก ผมทำเรื่องเกี่ยวกับสำนักปฏิบัติธรรมที่มีผลงานดีเด่น ก็ไปสัมภาษณ์ท่านในฐานะผู้เชี่ยวชาญ หลวงป๋าบอกว่า "วันนี้ผมไม่ไหวจริง ๆ ผมออกวิทยุมาแล้ว ๒ ชั่วโมง มีถ่ายโทรทัศน์อีกด้วย ท่านกลับไปก่อน..แล้วให้เบอร์โทรไว้ เดี๋ยวผมจะให้เลขาฯ ส่งงานไปให้" ปรากฏว่าอีก ๔ วันงานมาถึง พิมพ์มาให้ ๑๑ หน้า ไม่ต้องแกะเสียงด้วย โห...สบาย ไม่อย่างนั้น ๑๑ หน้านี่เราต้องแกะเสียงท่านก็เป็นวัน ๆ
ย่ามผมที่หนัก ๆ ส่วนหนึ่งก็หนักเพราะเม็ดขนุนทองแดง ต้องถวายเงินช่วยท่านสร้างพระมหาเจดีย์ศรีสมเด็จไปสองแสนบาท ตอนแรกท่านก็บอกว่า “ถ้ากลัวเขาไม่เชื่อ ก็เหลือเยื่อไว้ให้เขาดู” “ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่ชอบ ดูแล้วเกะกะ รูดออกให้เกลี้ยง แล้วเลี่ยมทองให้หมดเรื่องไปเลย”
ถาม : พวกนี้เป็นเทวดาอธิษฐานจิตหรืออะไรครับ ?
ตอบ : เขาเรียกกายสิทธิ์ เป็นพลังงานของจักรวาลส่วนใดส่วนหนึ่งลงไปจับ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จากวัตถุที่ย่อยสลายได้กลับกลายเป็นมั่นคงขึ้นมา
ถาม : ในกายสิทธิ์มีตัวไหมครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่ามีผู้รักษา
ถาม : ที่บ้านจะรื้อฮวงซุ้ยอากงอาม่าไปทำบังสุกุล แล้วไปลอยอังคาร จะทำอย่างไรให้ถูกครับ ?
ตอบ : เป็นฮวงซุ้ยหรือเปล่า ? ถ้าเป็นฮวงซุ้ยก็นิมนต์พระไปบังสุกุลตายบังสุกุลเป็นที่หลุม ถ้ายังมีส่วนโครงกระดูกชิ้นใหญ่อยู่ ต้องเอาไปเผา ก็ต้องนิมนต์พระสงฆ์ไปมาติกาบังสุกุลแบบฌาปนกิจศพทั่ว ๆ ไปเลย หลังจากนั้นถึงเอาไปลอยอังคาร
ถาม : แม่เขาเอาเข้าบ้านไปแล้ว เก็บได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ไหนว่าจะไม่เก็บ ? ก็หาโกศหาโถใส่ไว้ให้ดี ถึงเวลาครบรอบปีก็ทำบุญให้ทีหนึ่ง แบบนี้เขาเรียกว่าอยากมีภาระ
ถาม : แล้วที่รื้อของที่วัดท่าขนุนละครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นจะมีอะไร ถึงเวลาก็ใครอยู่ก็เตรียมตัวโมทนาบุญ..ตูจะรื้อแล้ว
ถาม : พวกนี้ต้องใช้ธรณีสารไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ไปทำแบบนั้นถ้าสะกดไม่อยู่ก็ยุ่งตายชัก ทำบุญให้เขาอย่างเดียว..หมดเรื่อง
ถาม : ติตถิยปริวาส มีอยู่ในพระไตรปิฎกไหมครับ ?
ตอบ : มี...เป็นการอยู่เพื่อฝึกฝนตนเองของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ให้มาอยู่ฝึกฝนก่อนบวชในพระพุทธศาสนา ๓ เดือน ถ้า ๓ เดือนไปแล้วไม่ผ่าน ให้อยู่ต่ออีก ๓ เดือน ถ้ารวม ๖ เดือนแล้วไม่ผ่านให้อยู่ต่ออีก ๓ เดือน รวม ๓ ครั้ง ๙ เดือนแล้วถ้าไม่ผ่านก็ห้ามบวชไปเลย แสดงว่าไม่คิดที่จะเอาดีจริง ๆ
สมัยก่อนพระที่วัดท่าขนุน ท่านที่ไม่แน่ใจว่าการบวชครั้งก่อนโดนอาบัติสังฆาทิเสสหรือนานเท่าไร ก็เลยไปอยู่ปริวาส ๓ พรรษาก็มี ๗ เดือนก็มี คือท่านบอกว่าท่านบวชมา ๗ เดือน ถ้าอย่างนั้นคุณไปเลย อยู่ไปเลย ๗ เดือน คนอื่นถึงเวลาเขาเก็บมานัตต์ คุณก็ไม่ต้องเก็บ คุณก็อยู่ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบตามระยะเวลาแล้วค่อยไปขอมานัตต์
เดี๋ยวนี้พวกเซียนปริวาสวัดท่าขนุนมีเยอะ ถึงเวลาพระใหม่มาบวชบอกว่าอดีตเคยโดนสังฆาทิเสสมา ไปเลย..ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ไม่มีใครไปรบกวนด้วย ถึงเวลาก็เอาพระเราไปสวด เก็บมานัตต์ สวดอัพภาณกันให้ยุ่งไปหมด
ถาม : แสดงว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ ?
ตอบ : ที่ไหนก็ได้ ให้เป็นคนละเขตกับที่พระอื่นท่านอยู่ ถ้าหากว่าอยู่เขตร่วมกับพระที่เป็นปกตัตตบุคคลไม่ได้
ถาม : ตอนนี้โดนัลด์ ทรัมป์ ก่อเรื่องแล้วทำให้น้ำมันแพงขึ้น....?
ตอบ : เขาเรียกว่าคิดอะไรเลยตาย ถ้าเราตายวันนี้ ต้องคิดเรื่องนี้ไหม ? อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราฟุ้งซ่านไปขนาดไหนก็แก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือรักษากำลังใจของเราให้ผ่องใสเอาไว้ ไม่ใช่ รัก โลภ โกรธ หลง ฟุ้งซ่านอยู่ทั้งวัน
ถาม : พระกรุนาดูนครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...กรุไหนก็ไม่รู้ พระกรุนาดูนเป็นดินท้องนา จะมีเศษทรายติดอยู่มาก เนื้อเนียนละเอียดแบบนี้ไม่ใช่
ถาม : ขอสิ่งที่มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา กับขอสิ่งที่พินาศไป สิ้นไปกับพินาศไป ต่างกันตรงไหนครับ ?
ตอบ : สิ้นไปก็คือหมดไปตามสภาพ พินาศไปก็คือพังเพราะสาเหตุอื่น ๆ
มีเด็กน้อยมาทำสังฆทาน "ในสายตาคนทั่ว ๆ ไป เห็นว่าเด็กโตขึ้น ในสายตาผู้ปฏิบัติธรรมคือเห็นว่ากำลังก้าวไปสู่ความเสื่อม คราวนี้ประมาณช่วงครึ่งอายุ คือถ้าคนอายุสัก ๗๐ ปี ก็ประมาณ ๓๕ ก็จะเริ่มค่อย ๆ ตกลง ก็คือไม่ว่าจะสภาพร่างกาย สมอง หรือการทำงานทำการทุกอย่าง บางทีเราก็ไม่รู้ตัว ทำตามความเคยชิน แต่ถ้าสังเกตตัวเองแล้ว จะตกลงอย่างได้ชัดเลย
สมัยอาตมาบวชใหม่ ๆ อายุก่อน ๓๐ ปี เฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อวัดท่าซุง หน้าหนาวใส่อังสะธรรมดาตัวเดียว หลวงพ่อท่านมา ท่านก็มีทั้งอังสะไหมพรม มีทั้งหมวกไหมพรม มีทั้งถุงเท้า ท่านมาก็ถามว่า "แกไม่มีเครื่องกันหนาวหรือ ?"..."มีครับ แต่ว่ายังไม่หนาว"
"คราวนี้ก็ไม่ได้สังเกตตัวเอง พออายุเลย ๓๐ ปีไปแล้ว ไม่ต้องให้ท่านเตือน ก็วิ่งไปหาอังสะกันหนาวมาใส่เอง แสดงว่ากำลังตก เริ่มรู้สึกหนาวแล้ว
คราวนี้หลัง ๓๐ ปีว่าแย่ พอ ๔๐ ปีไปแล้ว ทำอะไรเริ่มรู้สึกเหนื่อย พอหลัง ๕๐ ปี ปกติเดินขึ้นบันไดมากเท่าไรก็ไม่รู้สึกเมื่อย แต่มารู้สึกเมื่อยแล้ว แปลว่าไม่ไหวแล้ว
คราวนี้ก่อนหน้านั้น พอบอกไม่ไหว ๆ บางทีตื๊อต่อได้เป็นวัน ๆ เดี๋ยวนี้ถ้าไม่ไหวต้องนอนพักเลย หมดสภาพ บางวันทำวัตรเย็นอยู่ เผลอหน่อยเดียว ไมค์ฯ หลุดมือเลย กำลังหมด เพราะฉะนั้น..อย่าได้อายุ ๖๑ ปีอย่างอาตมา ทุกอย่างตกหมด แข็งแรงแค่ไหนก็ตก คนอื่นไม่รู้ เราก็รู้ คนอื่นก็ แหม...หลวงพ่อแข็งแรง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อวิชาก็ไม่ค่อยดีแล้วนะ อายุมาก ๆ เข้าก็แย่ไปหมด อาตมาเองทุกวันนี้ก็ไม่มีภูมิคุ้มกัน ใครเป็นอะไรติดเชื้อ เดินผ่านมาก็ติดไปด้วยเลย
แบบเดียวกับหลวงพ่อยุ่ง (พระครูสุธรรมนาถ วัดปลักไม้ลาย) ท่านว่า เอาหัวออกก็หายปวดหัวแล้ว คิดอะไรมากมาย ปูเคยปวดหัวไหม ? ทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนั้นละครับ หัวปูจะอยู่ที่ไหน ? ก็ไม่มี ในเมื่อไม่มีหัว ถึงได้ไม่ปวด เจอพระที่ท่านเข้าถึงธรรมนี่อาตมาไปไม่เป็นเลย
ชีวิตก็เหมือนกับเทียน ให้แสงสว่างกับคนอื่น ก็ต้องเผาตัวเอง คิดอะไรมากมาย เหมือนกับว่าคุณมาทำหน้าที่นี้ ก็ต้องเผาตัวเองเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
ต้องบอกว่าชีวิตนี้มาถึง ๖๐ ปี คุ้มค่าแล้วคุ้มค่าอีก เพราะว่าอายุจริงของอาตมา ไม่ได้ครึ่งของ ๖๐ ส่วนที่เหลือก็ทำประโยชน์ไปวันหนึ่ง ๆ อยู่ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่มีวันไม่มีคืน บางทีเพื่อนฝูงมา "เฮ้ย..ไม่แก่บ้างเลยหรือ ?" "อ้าว..กี่ปีแล้วนี่ ?" เขาบอก "ไม่ได้เจอกันมา ๒๐ ปี" "ผมรู้สึกว่าพักเดียวเอง เพราะว่าผมทำงานอยู่ทุกวัน ไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไป เลยไม่ค่อยจะแก่"
มีโยมเอาน้ำผึ้งดอกลำไยมาถวาย "น้ำผึ้งดอกลำไยจะมีสีน้ำตาลใส ถ้าเป็นผึ้งเลี้ยงธรรมชาติจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ถ้าเก็บไว้นาน ๆ จะดำไปเลย"
ถาม : ไม่เสียหรือครับ ?
ตอบ : ไม่เสีย...ไม่มีอะไรทำให้น้ำผึ้งเสียได้ เพราะว่าน้ำผึ้งรักษาอย่างอื่นไม่ให้เสีย ความเข้มข้นมีมากเกินไป เชื้้อโรคเจริญไม่ได้ สมัยโบราณเวลาตัดหัวคนสำคัญได้ จะต้องเอาไปถวายฮ่องเต้ ถ้าไม่ลงปูนขาวก็ต้องแช่น้ำผึ้ง
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วง ๒ เดือนที่ผ่านมา นำคณะสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวนี้ท่านอื่นเวลาสวดฉันท์ ฉันท์ ในที่นี้ก็คือฉันท์ที่เขาแต่งเฉลิมพระเกียรติ ไม่ค่อยคล่องตัวกัน แล้วที่แน่ ๆ ก็คือมีพิมพ์ผิด
ทุกขัปปัตเต จะ นิททุกเข สวดเป็นทุกขัปปัตตากันส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น..จึงเหมือนกับอาตมาทิ่มผิดอยู่คนเดียว"
ถาม : พวกครุ ลหุ ?
ตอบ : เขาบังคับเลย แล้วก็จำนวนคำ เขาบังคับตายตัว แต่ที่สำคัญที่อาจารย์เล็กสวดไม่ผิด เพราะว่าแปลออก ถ้าแปลไม่ออกก็จะสวดผิด
ปะระมะราชินีนาถา พระบรมราชินีนาถ สิริกิตติ มะหายะสา คือพระนางเจ้าสิริกิติ์ผู้ยิ่งไปด้วยยศ ปุญญาธิการะสัมปันนา เป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยบุญญาธิการ ทัยยานัง มาตุฐานิยา เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะแม่ของคนไทยทั้งหลาย ถ้าแปลได้จะไปสวดผิดได้อย่างไร ?
ถาม : (กองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานตามต่างจังหวัด)
ตอบ : ก่อนหน้านี้ก็มีเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ คราวนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ เห็นใจว่าคนที่สร้างคุณความดี ถึงเวลาต้องการพวกเครื่องประดับศพเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลก็ดี ต้องการพระราชทานเพลิงเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลก็ดี ต้องลำบากเดินทางเข้ามาติดต่อในกรุงเทพฯ ถ้าเกินระยะ ๕๐ กม. ๑๐๐ กม. เขาจะมีกำหนดอยู่ว่าไม่ไป
พระองค์ท่านก็เลยขอให้ตั้งกองขึ้นมาใหม่เลย ประจำทุกจังหวัด แล้วก็ให้มีพวกเครื่องสูง เครื่องประโคม เครื่องประดับเกียรติยศ อะไรครบหมด บรรดาศิษย์วัดที่สึกไปแย่งกันเข้ากองนี้ เขาเรียกว่ากองพิธีการเกี่ยวกับงานศพที่ได้รับพระราชทาน เฉพาะของทางด้านกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ ๑๖ คน คนขับรถ ๒ คน
เมื่อวันงานวัดท่าขนุน เจ้าหน้าที่เขาไป ๑๔ คน เกือบหมดกองเลย เพราะว่าส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ที่รู้จักมักคุ้นกัน
ถาม : สังกัดวัฒนธรรมจังหวัดหรือครับ ?
ตอบ : อยู่สังกัดสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด แต่ว่าเป็นส่วนงานพิเศษต่างหาก เพราะว่าถ้าไม่มีสังกัด ก็จ่ายงบประมาณไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าวัดท่าขนุนอยู่ในเมือง รับประกัน..เขาไปตั้งกองที่วัดท่าขนุนแน่นอน คราวนี้วัดท่าขนุนไม่ได้อยู่ในเมือง เขาก็เลยไปตั้งกองที่วัดเหนือ (วัดเทวสังฆาราม)
พระอาจารย์เล่าว่า "ของบางอย่างเหมือนเป็นเรื่องธรรมะจัดสรร อย่างลูกปลา (ปราณี ขวัญเพ็ญ) เป็นมาลาเรียเรื้อรัง ไม่หายอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นเชื้อดื้อยา ลูกปลาได้ยาจากอาตมาไป บอกว่าให้กินครั้งเดียว เม็ดเดียว ที่ให้ไปทั้งขวด เผื่อว่าโรคกำเริบใหม่จะได้กินอีก
ปรากฏว่าลูกปลากินวันละเม็ด ๆ กินไป ๑๐ กว่าวัน โทรมาบอกว่า "หลวงพ่อ..หนูเป็นอะไรก็ไม่รู้ ? เดินไม่ตรงทางเลย" อาตมาก็บอกว่า "น่าจะเป็นฤทธิ์ยากระมัง ? ตั้งหลายวันแล้วยังกำเริบอยู่อีกหรือ ?" เขาบอกว่า "หนูเพิ่งจะกิน" "อ้าว..แล้วที่ผ่านมา ?" "ก็กินวันละเม็ด..!" เป็นคนเดียวที่เป็นมาลาเรียด้วยกันแล้วหาย เพราะว่ากินแบบฆ่าตัวตาย คือ กินวันละเม็ด
ต้องบอกว่าธรรมะจัดสรร ก็เลยเป็นคนเดียวที่หายจากโรค คนอื่นก็ยังเป็นกันอยู่ทุกวันนี้ กินมากเกินไปแล้วเมายา เดินไม่ตรงทางเลย"
ถาม : ยาอาร์ทีซูเนต ยังมีไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพม่าขายไม่เต็มโดส ถึงเวลาคนมาซื้อเม็ดเดียวเขาก็ขาย ซื้อสองเม็ดเขาก็ขาย จริง ๆ แล้วต้องกินครบ ๑๒ เม็ด คราวนี้เขาไปทำให้เชื้อดื้อยาเอง
ตอนที่เอาไปถวายครูบาบุญชุ่ม ท่านถึงได้หัวเราะ "ไอ้นี่นะหรือ ? ผมฉันมาเยอะแล้ว" ไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ศรีบุรินทร์ เชียงใหม่ เจอหน้าท่านไม่เคยเรียกชื่อถูก คบหากันมากี่ปีก็เรียกแต่ "หลวงพี่จ่อย" คำว่า จ่อย ก็เล็กนั่นแหละ รู้จักกันตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร เจอหน้าไม่เคยเรียกชื่อจริงถูกสักครั้ง
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนมกราคม ๒๕๖๓ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย และนายกระรอก
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.