PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒


หน้า : [1] 2

เถรี
05-11-2019, 08:52
ถาม : ถ้านำแผ่นเลเซอร์ยันต์เกราะเพชรเนื้อทองเหลืองใส่ในกระเป๋าเงิน และกระเป๋าเงินต้องใส่ในกระเป๋ากางเกง จะเป็นการเหมาะสมไหมครับ ?
ตอบ : ตัดสินใจเอาเอง เรื่องนี้น่าจะถามมาเกิน ๕๐๐ คนแล้ว..!

เถรี
05-11-2019, 08:53
ถาม : หากที่วัดมีพระภิกษุสงฆ์เพียง ๓ รูป ภัตตาหารที่ญาติโยมนำมาถวายเจตนาเป็นสังฆทาน การอปโลกน์ภัตตาหารที่เป็นสังฆทาน เพื่อให้ญาติโยมได้นำไปรับประทาน จะมีผลสมบูรณ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ถวายเป็นสังฆทานแล้วพระมีแค่ ๓ รูป วิธีที่ดีที่สุดก็คือ หาส่วนที่เป็นข้าวสารอาหารแห้งซึ่งรับมาตรงนั้น เอาไปถวายให้วัดอื่นจนครบ ๔ รูป ฉะนั้น...ในเมื่อไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ถึงจะอปโลกน์ไปก็ไร้ประโยชน์

เถรี
05-11-2019, 08:55
ถาม : ศีลข้อ ๖ ห้ามเคี้ยวด้วยไหมครับ เช่น เคี้ยวน้ำแข็ง เคี้ยวหมากฝรั่ง ?
ตอบ : ขาทนียะ ของเคี้ยว หมายถึงอาหาร ไปบ้าแปลตามบาลีตรง ๆ ว่าเคี้ยวไม่ได้ เดี๋ยวก็ไปปั่นโจ๊กดูดเอาเท่านั้นเอง..!

เถรี
05-11-2019, 08:57
ถาม : อาการนั่งสมาธิแล้วเข้าภวังค์ เทียบได้กับสมาธิขั้นไหนครับ ?
ตอบ : คำว่า ภวังค์ ของคุณหมายถึงอะไร ? คำว่า ภวังค์ หรือ ภว+องค์ หมายถึงอารมณ์ปกติอย่างตอนนี้ เต็มที่ก็ไม่เกินอุปจารสมาธิ แต่คุณไปใช้บาลีหรือใช้ภาษาผิดความหมาย ก็ไม่สามารถที่จะตอบได้

เถรี
05-11-2019, 09:20
ถาม : สติกับสมาธิ ต่างกันอย่างไรบ้างครับ ? มีความสัมพันธ์ส่งเสริมกันอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : สติเป็นตัวระมัดระวัง สมาธิเป็นตัวตั้งมั่น ถ้าสติรู้ระมัดระวัง สมาธิก็ตั้งมั่นได้นาน สมาธิตั้งมั่นได้ ก็จะช่วยสติระมัดระวังมากขึ้น

เถรี
05-11-2019, 09:29
ถาม : ดิฉันอยากกราบเรียนถามเรื่องการใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ในต่างประเทศ คือประเทศอเมริกา ซึ่งได้มีเวลาที่ช้ากว่าที่ประเทศไทยประมาณ ๑๒ ชั่วโมง หากดิฉันอยากใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์นั้น จะต้องอิงวันที่และเวลาจากที่ไทยเท่านั้น หรือสามารถอิงเวลาในประเทศอเมริกาได้เลยคะ ?
ตอบ : อยู่ประเทศไหนใช้ตามวันเวลาของประเทศนั้น

เถรี
05-11-2019, 10:00
ถาม : เคยภาวนาพระคาถาเมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ได้ผล ต่อมาจึงได้ภาวนาอีกครั้ง แต่ตัวเองทรุดป่วย จึงหยุดภาวนาพระคาถานี้ ตอนนั้นยังไม่สำเหนียกรู้สาเหตุ ภายหลังประมาณหนึ่งอาทิตย์ มาพิจารณาพบว่าความจริงจิตเราในความลึกมีความโกรธ หมั่นไส้ จึงภาวนาพระคาถาเพื่อหวังให้คนนั้นได้รับผลร้ายเป็นผลให้ตัวเราทรุดป่วยเองแทน นอกจากไม่รู้สึกตัวแล้ว ยังหลอกตัวเองอีกว่า เราไม่โกรธ เราวางใจดีมีเมตตา ซึ่งตรงข้ามกับความจริง การไม่รู้ตัวกับการหลอกลวงตัวเองขนาดนี้ คืออะไร ? ทำไมถึงหลอกตัวเองได้แนบเนียนเช่นนี้ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลส โดยเฉพาะกิเลสมารในใจของเรา มักจะชักนำให้เราคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้น ดีแล้ว ถูกแล้วอยู่เสมอ เพื่อที่ให้เราหลงยึดติดอยู่แค่นั้น ไม่เสาะหาความดีที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะรู้ทันเร็ว ๆ ?
ตอบ : ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้มากยิ่งขึ้น เข้มข้นยิ่งขึ้น

เถรี
05-11-2019, 10:10
ถาม : เห็นบางวัดจะประกาศเชิญชวนขอเชิญร่วมบุญมหาทาน คำว่ามหาทาน มหาสังฆทาน คืออะไร แตกต่างจากสังฆทานอย่างไร ?
ตอบ : ทำไมไม่ไปถามที่วัดนั้น ? มหาทานแปลว่าทานใหญ่ ใหญ่ด้วยอะไร ? ใหญ่ด้วยของ ? ใหญ่ด้วยทานนั้นมีจำนวนมาก ? หรือใหญ่เพราะคนจำนวนมากร่วมกันทำทานนั้น ? มีได้หลายความหมาย ส่วนสังฆทานมีความหมายเดียวคือ เป็นทานที่ถวายต่อหมู่สงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป

เถรี
05-11-2019, 21:33
ถาม : ผีที่วนเวียนฆ่าตัวตายซ้ำไปเรื่อย ๆ วนทำขั้นตอนก่อนเขาจะตาย เกิดจากจิตเขายึดจำกับการฆ่าตัวตายหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่ยึดจำแล้วจะทำไปทำไม ?

ถาม : ทำอย่างไรเขาจะรู้ตัวและหยุดฆ่าตัวตายซ้ำๆ ?
ตอบ : ลองไปสะกิดเขาดูสิ..! ยุ่งกับกรรมคนอื่นเมื่อไรก็อาจจะซวยเมื่อนั้น..!

เถรี
05-11-2019, 21:37
ถาม : เวลาพระสวดมนต์ในพิธี สิ่งที่ฆราวาสควรทำ นอกจากความเคารพสูงสุด ควรจะทำอย่างไร ? เพราะเห็นบางคนสวดไปพร้อมกับพระ บางคนพอพระสวดจบก็อธิษฐานหรือรวบรวมสมาธิตั้งใจฟัง
ตอบ : ตั้งใจน้อมนึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอบารมีท่านอนุเคราะห์สงเคราะห์ ไม่ว่าเราหรือคนที่เรารัก จะอยู่ที่ไหนก็ให้มีความปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ขณะเดียวกันต้องการความเจริญรุ่งเรืองอะไรในชีวิต ถ้าหากไม่เกินวิสัยก็ขอให้พระท่านสงเคราะห์ด้วย ส่วนเรื่องไปสวดแข่งกับพระสงฆ์ก็ถือว่าเสียประโยชน์ไป

เถรี
05-11-2019, 21:47
ถาม : สำหรับนักปฏิบัติธรรมมุ่งสู่มรรคผล เวลาได้ยินเสียงเพลงที่ชอบ จะมีวิธีสังเกตที่จะรู้เท่าทันและแก้ไขรับมืออย่างไร ?
ตอบ : ถ้า สติ สมาธิ ปัญญา ไม่พอ กว่าจะรู้ตัวส่วนใหญ่ก็ไหลตามไปหลายกิโลเมตรแล้ว แต่ถ้า สติ สมาธิ ปัญญา เพียงพอ ใจก็จะสักแต่ว่าได้ยิน ไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มเติม

เถรี
05-11-2019, 21:54
ถาม : การรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ลึก ๆ เช่น อ่านข่าวหนึ่งหรือเห็นอะไร บางครั้งจิตไปรู้เรื่องมากกว่าในข่าว หรือสิ่งที่นอกเหนือจากการมองเห็น พอลองตรวจสอบก็พบว่า เรื่องที่จิตไปรับรู้เป็นความจริง แต่ไม่เข้าใจว่าจะไปรู้เห็นทำไม เพื่ออะไร อาการรับรู้แบบนี้เรียกว่าอะไร ?
ตอบ : เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณ วิธีที่ไม่อยากรับรู้คือ ยกกำลังใจให้สูงขึ้นไป พอพ้นตรงจุดนั้นก็จะไม่รับรู้อะไรอีก หากว่ากำลังใจอยู่ตรงจุดนั้นก็จะรับรู้ไปเรื่อย ๆ ถ้ารู้ไปเรื่อย ๆ ก็มีทางเดียวคือทำไม่รู้ไม่ชี้ อยากจะมาก็มา

เถรี
05-11-2019, 22:00
ถาม : กระผมหวังพระนิพพานชาตินี้ด้วยเกรงกลัวต่อการเกิด ส่วนบิดาเหมือนท่านปรารถนาพุทธภูมิและต้องเกิดอีกมาก ในฐานะที่กระผมเกิดเป็นลูกท่านชาตินี้ ควรตอบแทนช่วยเหลือท่านอย่างไรจึงสมควรครับ ?
ตอบ : อยากไปเกิดกับท่านไหมเล่า ? รู้อยู่ว่าไปคนละทางแล้วจะไปตอบแทนอย่างไร นอกจากทำหน้าที่โดยทิศทั้ง ๖ ให้ดีตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ท่านเลี้ยงเรามา เราก็เลี้ยงท่านตอบ ทำตัวให้สมควรกับการได้รับมรดก ช่วยรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ท่านตายแล้วทำบุญส่งไปให้ ก็จบแล้ว

เถรี
05-11-2019, 22:02
ถาม : คดีบางประเภท เช่น มรดก ทนายความทราบอยู่แล้วว่า บางกรณีทางที่ดินหรือทางธนาคารมักจะขอให้ไปยื่นคำร้องให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกก่อน ทนายความรุ่นพี่ของผมจึงอำนวยความสะดวกลูกความ ไม่ต้องไปเสียเวลาติดต่อที่ดินและธนาคาร แต่เวลายื่นคำร้องได้บรรยายในคำร้องขอจัดการมรดกต่อศาลว่า ได้มีการติดต่อที่ดินหรือธนาคารแล้ว แต่ที่ดินหรือธนาคารไม่ยอมดำเนินการให้ หากปฏิบัติทำนองนี้ทนายความจะผิดศีลข้อมุสาวาทหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ๆ..! เพราะว่าทำผิดทั้งที่รู้อยู่ว่าผิด

เถรี
05-11-2019, 22:21
ถาม : อยากทราบว่านางวิสาขาทำงานอะไรคะ ?
ตอบ : อาชีพหลักคือคุณแม่บ้าน อาชีพรองคือเข้าวัด

เถรี
05-11-2019, 22:29
ถาม : อยากทราบวิธีแก้ไขตัวเองแบบง่าย ๆ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักง่าย วิธีที่ง่ายที่สุดคือใช้ความพยายามขัดเกลาแก้ไขตัวเองอย่างสุดกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ แต่คราวนี้พวกเรามักง่าย แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ที่อาตมาเห็นบ่อยก็คือ พอรู้สึกว่าดวงไม่ดีแทนที่จะเร่งปฏิบัติใน ทาน ศีล ภาวนา กลับไปเปลี่ยนชื่อ..นี่ยิ่งกว่ามักง่ายอีก..!

เถรี
05-11-2019, 22:33
ถาม : ตั้งใจจะลาพุทธภูมิมาสาวกภูมิแล้ว แต่ทำไมยังร้องไห้สงสารดวงจิตอีกหลายดวงจิต จนสุดท้ายเหมือนกับลาไม่ได้ กลับมาปรารถนาพระโพธิญาณตามเดิมครับ ?
ตอบ : แปลว่ากำลังใจยังไม่เข้มแข็งพอ ในเมื่ออ่อนแอเกินไปก็จงรับภาระต่อไป โบราณเขาว่า "เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด" รู้จักแต่สงสารเขา แต่ลืมสงสารตัวเอง ทีนี้สายพุทธภูมิกับสายสาวกภูมิเดินคนละทางกันอยู่แล้ว จะไปว่ากันไม่ได้

เถรี
06-11-2019, 23:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมหลายคนพอไปเจอสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สงสัยจากที่อื่น โดยเฉพาะจากวัดอื่น แทนที่จะถามให้กระจ่างตรงนั้น กลับไปถามอีกที่หนึ่ง โดยเฉพาะมาถามตรงนี้ ซึ่งสิ่งที่ทำนี้ถือว่าเสียมารยาทมาก เพราะว่าถ้าคำตอบไปกระทบกระเทือนกับที่อีกแห่งหนึ่ง แล้วเราเอาไปขยายความด้วย ก็เท่ากับไปยุแยงให้แตกกัน

โปรดระมัดระวังด้วยว่า...เราอาจจะทำสงฆ์ให้แตกแยกกันโดยไม่รู้ตัว เจออะไรสงสัยอะไรให้ถามตรงนั้น หลายคนเจอผีเจอเทวดา สงสัยแต่ไม่ถาม แล้วมาถามอาตมาซึ่งไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คงจะรู้เรื่องกันอยู่หรอก..!"

เถรี
06-11-2019, 23:02
"สมัยก่อนมีพระอยู่รูปหนึ่ง ปัจจุบันสึกไปแล้ว พอถึงเวลาอาตมาบอกว่า "หลวงพ่อท่านว่าอย่างนี้ พระท่านว่าอย่างนั้น" ท่านก็จะมาซักถามรายละเอียด อาตมาบอกว่าไม่มีรายละเอียด เพราะว่าไม่ได้ถาม ท่านก็ยังสงสัยอีกว่า "ทำไมไม่ถาม ?" บอกกับท่านไปว่า "ก็กูไม่สงสัย..!"

ส่วนโยมผู้หญิงอีกคนหนึ่งก็สงสัยทุกเรื่อง ขึ้นไปถามจนกระทั่งพระท่านต้องจำกัดว่า วันหนึ่งถามได้ปัญหาเดียว ยายนั่นก็ยังบ้าพอ ยังถามพระท่านต่อไปว่า "ถ้าสงสัยเกินปัญหาหนึ่งจะทำอย่างไร ?" พระท่านบอกว่า "ให้ไปถามที่พระเล็ก..!" ยายนั่นแทนที่จะไปหาหลวงปู่เล็ก วัดทำนบ หรือหลวงพ่อเล็ก วัดเขาดิน ทะลึ่งไปหาหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ความซวยเลยมาเยือนตูอีก...!"

เถรี
06-11-2019, 23:09
"ความอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม จะมากน้อยแล้วแต่จริตวิสัยที่สั่งสมมา ถ้ามาสายสุกขวิปัสสโก ความสงสัยมีน้อย ได้ยินได้ฟังอะไรก็เกิดศรัทธา เชื่อถือปฏิบัติตามไปเลย ถ้ามาสายวิชชาสามก็ขอค้นคว้าดูหน่อย ถ้าสายอภิญญา ๖ ไม่หน่อยแล้ว...ค้นหมดห้องสมุดเลย แต่ถ้าไปเจอปฏิสัมภิทาญาณ ก็จับแยกธาตุทำวิจัย

ฉะนั้น...แต่ละคนจะว่าไปแล้วก็มีพื้นฐานเหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่าต้องรู้จักใช้ปัญญาประกอบด้วย สงสัยการกระทำของใครให้ถาม เห็นอะไรที่สงสัยแล้วถาม แต่ถ้าไปถามอย่างที่อาตมาถามมัคคุเทศก์ที่ประเทศจีนหรือประเทศปากีสถาน ถามแล้วก็ไม่ได้อะไร พอถามไป เขาตอบมาขึ้นต้นด้วย “I’m not sure.” ถามแล้วเขาไม่มั่นใจสักเรื่อง แล้วอาตมาจะเอาข้อมูลที่แน่นอนมาจากไหน ?"

เถรี
09-11-2019, 08:37
วันอาทิตย์มีคนลืมของไว้ที่บ้านเติมบุญ "ใครทำหายโปรดมารับคืนด้วย เป็นกุญแจสำนักงานกับโทรศัพท์ ถ้ามารับกุญแจบอกด้วยว่ามีกี่ดอก ส่วนโทรศัพท์อาตมาจะให้เปิดให้ดู เปิดไม่ได้ก็ไม่ต้องรับคืนไป

ตอนนี้ที่บ้านเติมบุญมีแว่นตาหลายอัน เจ้าของไม่มารับคืน และยังมีข้าวของอื่นอีกหลายชิ้น

ปัจจุบันนี้เลขานุการที่วัดของอาตมา กำลังจะขยับขยายไปเป็นเจ้าอาวาส ท่านกำลังมอบหมายงานให้กับเลขาฯ วัดคนใหม่ จะมีสมบัติที่คนลืมไว้ที่วัดเป็นกุรุสเลย ของที่อาตมาเก็บไว้เอง มีกระเป๋าเงินใบหนึ่ง ซึ่งมีแต่เงินล้วน ๆ ไม่มีบัตรอย่างอื่นอะไรแม้แต่ใบเดียว เก็บจนราขึ้นแล้วเจ้าของยังไม่มาเอาคืน คราวหน้าโปรดเขียนอะไรเอาไว้สักนิด ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ก็ได้ ไม่ใช่ว่ามีแต่เงินล้วน ๆ"

เถรี
09-11-2019, 08:39
"สมัยที่อาตมายังเป็นฆราวาส จะมีกระเป๋าเงินไว้ให้เขาล้วง แต่ก็ยังใส่พวกนามบัตรเอาไว้ กระเป๋ามีไว้ให้เขาล้วงจริง ๆ ส่วนเงินที่จะใช้ก็ใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ ถ้าเป็นกระเป๋าเสื้อเขาไม่ค่อยกล้าล้วง เพราะว่าใกล้สายตาของเรา

เวลาไปต่างประเทศ พวกมัคคุเทศก์หรือไกด์มักจะเตือนเสมอว่า "กระเป๋าอยู่ข้างหน้าเป็นของเรา กระเป๋าอยู่ข้างหลังเป็นของเขา กระเป๋าอยู่ข้าง ๆ แบ่งกันคนละครึ่ง" นักล้วงเขามือไวจริง ๆ บางทีเขาทำงานเป็นทีม มากัน ๓-๔ คน คนหนึ่งเดินเข้ามามีเอกสารเข้ามาถามเรา ส่วนอีกคนหนึ่งเหมือนนักท่องเที่ยวด้วยกัน เรามัวแต่ไปอธิบายขยายความให้เขา หันมาอีกทีกระเป๋าตัวเองกลวงโบ๋ไปแล้ว บางรายเดินมากระแทกเลย พอเราหันไปมองหน้า เพื่อนทางนี้ก็ล้วงกระเป๋าไปแล้ว"

เถรี
09-11-2019, 08:45
"มีโยมอยู่คนหนึ่งไปฮ่องกง เขาบอกว่านักล้วงฮ่องกงฝีมือล้ำเลิศมาก เผลอเมื่อไรจะเหลือแต่ตัว โยมคนนี้ซื้อไอศกรีมไปนั่งกินในส่วนสาธารณะ กระเป๋าเงินก็วางแล้วนั่งทับไว้ แน่จริงมาล้วงสิ...! นั่งกินไอศกรีมอยู่ เด็ก ๓-๔ ขวบวิ่งมาล้มตรงหน้า รีบลุกไปพยุงเด็ก หันกลับมากระเป๋าหายไปแล้ว...! เขาเก่งขนาดนั้น

ของพวกนี้อาตมาก็สงสัย มารู้ทีหลังว่าเขาฝึกกันจริงจังมาก เอาน้ำมา ๑ กะละมัง ต้องจุ่มมือลงไปโดยที่ไม่ให้น้ำกระเพื่อม จนกระทั่งสามารถทำได้ในจังหวะปกติ ก็คือความเร็วแบบปกติ แล้วน้ำไม่กระเพื่อมได้

หลังจากนั้นก็กางมุ้ง เย็บกระเป๋าไว้รอบมุ้ง เอาธนบัตรใส่ไว้ ทำอย่างไรจะคีบธนบัตรออกมาโดยที่มุ้งไม่สั่นได้ ระดับต่อไปคนไม่สูบบุหรี่ก็ต้องหัด พอเหลือขี้บุหรี่ยาว ๆ แล้ว ต้องเอานิ้วมือคีบขี้บุหรี่ออกมา โดยที่ขี้บุหรี่ไม่แตก ยิ่งกว่าฝึกวิทยายุทธอีก"

เถรี
09-11-2019, 08:54
"ส่วนพวกกรีดกระเป๋าเขาไม่ได้ใช้มีด ไม่ได้ใช้มีดโกน เพราะว่าของพวกนั้นโดนจับได้ง่าย เขาใช้เหรียญสตางค์นี่แหละ ฝนแค่ครึ่งซีก จนคมกริบเป็นมีดโกนเลย ใช้นิ้วมือหนีบไว้ ขึ้นรถก็เหมือนกับเตรียมจ่ายเงินค่ารถเมล์ แต่พอเห็นเป้าหมาย ก็ดันเหรียญด้านที่คมขึ้นมากรีด

มีโยมอยู่คนหนึ่งต้องบอกว่าบุญรักษา พวกนี้เห็นกระเป๋าถือมีเหลี่ยม ๆ อยู่ข้างใน ก็คิดว่ามีกระเป๋าเล็กอยู่ด้านใน จัดการกรีดเลย ปรากฏว่าที่โผล่ออกมาเป็นหนังสือมนต์พิธีครึ่งเล่ม...! ขยันสวดมนต์ ไปไหนก็พกหนังสือสวดมนต์ด้วย ต้องบอกว่าบุญรักษาจริง ๆ คนกรีดคงเครียดไปเลย แต่ถ้ากระเป๋าราคาแพงโดนกรีดไปก็น่าเสียดาย

เขาฝนเหรียญได้คมมาก เหมือนกับมีดโกนเลย ดันขึ้นมานิดเดียวเอง...แล้วกรีด เทคนิคบางทีพวกนี้เขาเล่าให้ฟังบ้าง บางทีก็เจอด้วยตนเองบ้าง"

เถรี
10-11-2019, 23:56
"หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าเรื่องตาไป๊ให้ฟัง ตาไป๊เป็นนักย่องเบาตัวฉกาจ ขึ้นบ้านไหนไม่เคยพลาด หลวงพ่อสงสัยอยู่อย่างเดียว ตาไป๊ทำอย่างไรหมาไม่เห่าเลย ?

เมื่อตาไป๊ล้างมือในอ่างทองคำ เข้าวัดถือศีลปฏิบัติธรรมท่านก็ไปแอบถาม “ลุง..ทำอย่างไรขึ้นบ้านไหน หมาถึงไม่เห่าเลย ?” ตาไป๊บอกว่า “ลงทุนหน่อยคุณ ซื้อเนื้อหรือหมูมาสักกิโลฯ สับให้ดีเลย ปนกัญชาลงไปเยอะ ๆ ทอดให้หอม จะขึ้นบ้านไหนก็เอาไปทิ้งไว้ตามรั้ว หมามากินแล้วจะเมา จับหางลากรอบบ้านยังไม่ร้องสักแอะเลย”

“เวลาขึ้นบ้านไปนี่อย่าย่อง ให้เดินแรง ๆ ถ้ามีเสียงอืออาให้กระแอมรับไปด้วย ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาจะไม่คิดว่าขโมย แต่จะคิดว่าเป็นคนในบ้านด้วยกัน” ใครจะไปลองดูก็ได้นะ แต่สมัยนี้น่ากลัว กล้องวงจรปิดดูทางโทรศัพท์ก็ได้"

เถรี
10-11-2019, 23:59
"ปัจจุบันนี้พระก็โดนบ่อย โยมโทรมาบอกว่าวันนั้นเวลานั้นจะทำบุญที่บ้าน ขอนิมนต์พระเก้ารูป รบกวนหลวงพ่อนิมนต์ให้ด้วย บ้านอยู่เลขที่นั้นซอยนั้น เรียกรถแท็กซี่มาเลย โยมจะจ่ายค่ารถเอง

หลวงพ่อก็ลงวันเวลาไว้ พอถึงเวลาพระเก้ารูปนั่งรถแท็กซี่ไป วนหาทั่วซอย ไม่มีบ้านเลขที่ซึ่งบอกเอาไว้ ถามคนในซอยก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีบ้านไหนมีท่าทีว่าจะจัดงาน ก็เลยกลับวัด พอไปถึงปรากฏว่ากุฏิโดนงัด...!

เขานิมนต์พระออกไป พระไม่อยู่แล้ว ก็งัดกุฏิเลย สมัยนี้เป็นพระยังลำบาก โยมเขานิมนต์ทางพระก็คิดว่าอย่างน้อยไปสวดมนต์ เขาถวายมาสักร้อยสองร้อย ยังมีค่าน้ำค่าไฟ ที่ไหนได้..กลับมาค่าน้ำค่าไฟที่เก็บไว้ก็หมดไปด้วย...!"

เถรี
11-11-2019, 00:03
"บางรายเด็ดกว่านั้นอีก เดินไปหาตำรวจจราจร “หมู่ ๆ ผมทำกุญแจรถหาย เอากระบะที่บ้านมาแล้ว ช่วยยกรถให้ที” ตำรวจก็ช่วยยกมอเตอร์ไซค์ขึ้นรถกระบะ ผูกมัดอย่างดี “ขอบคุณมากครับ” ยกมือไหว้แล้วก็ไป รถใครก็ไม่รู้...! ตำรวจช่วยขโมยอย่างดีเลย เจ้านี้หน้าด้านพอจนตำรวจเชื่อว่าเป็นรถเขาเอง

ฉะนั้น...โลกของเราเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าเป็นการปฏิบัติธรรมเขาเรียก ภยตูปัฏฐานญาณ เห็นความเป็นโทษเป็นภัย เห็นเป็นของน่ากลัว เห็นแล้วทำอย่างไร ? จะอยู่กับโลกนี้หรือจะหนี ? เชิญเลือกเอาตามอัธยาศัย"

เถรี
11-11-2019, 00:12
พูดถึงมีดหมอหลวงพ่อเดิม "มีดหมอหลวงพ่อเดิมคู่นี้ตาฉิมแกตั้งใจทำไว้ใช้เอง แต่ลูกหลานเอามาขายเสียแล้ว ตาฉิมทำมีดหมอถวายหลวงพ่อเดิมด้วยใจจริง ๆ ฝีมือของแกจะเห็นว่าประณีตกว่าคนอื่น เสียดายอย่างเดียวที่แกไม่รู้หนังสือ ถ้าแกรู้หนังสือคงจะตอกอักขระได้สุดยอดมาก ของแกแต่ละเล่มแกะลายแล้วสวยเสมอกันเห็นได้ชัด"

ถาม : ช่างทำมีดหมอของหลวงพ่อเดิมมีใครบ้างครับ ?
ตอบ : ช่างฉิม ช่างแม้น ช่างสอน ช่างไข่ ตาฉิมต้องบอกว่ามีจรรยาบรรณช่าง พอสิ้นหลวงพ่อเดิมแกก็เลิกทำเลย ส่วนช่างอื่น ๆ ยังทำต่อมา

ส่วนด้ามที่เห็นเป็นลิงจริง ๆ แล้วคือหนุมาน มีเคล็ดลับตรงที่ว่าฆ่าไม่ตาย หนุมานฆ่าไม่ตาย ทำอะไรก็สำเร็จ เจ้านายรักใคร่ เมตตา ถ้าอ่านรามเกียรติ์จะเห็นว่าพระรามเรียกอยู่ ๒ ชื่อ คือ นางสีดากับหนุมาน

เถรี
11-11-2019, 00:14
พระอาจารย์เล่าว่า "ญาติโยมหลายท่านอาจเคยได้ยินว่าอาตมาไปเมืองจีนมา ระยะหลังที่ไปไหนอาตมามีหลักปฏิบัติอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือ ไม่จัดเอง อย่างที่สองคือ ต้องมีคนจ่ายสตางค์ให้ถึงจะไป..!

ที่อาตมาไม่ยอมจัดพาใครไปไหนเพราะว่าเข็ด เนื่องจากว่าคนได้ไปก็ไปเที่ยวโพสต์อวดเขาทั่วประเทศไทย คนไม่ได้ไปก็มาต่อว่าต่อขาน..รำคาญ..! ประการที่สองก็คือ เงินทองไม่ได้มีไว้เที่ยว เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากให้อาตมาไปด้วย อันดับแรกไปหาที่ซึ่งอาตมาอยากไปมาให้ได้ อันดับที่สอง หาสตางค์มาจ่ายให้ด้วย"

เถรี
11-11-2019, 00:26
"ไปเมืองจีนเที่ยวนี้ เป็นสถานที่ซึ่งอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาแบบวัชรยานของทิเบต ก็คือเขตมณฑลเสฉวนภาคตะวันตก ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองของชาวเชียงและชาวทิเบต ก็เลยอยากไปดูว่าของเขาต่างจากเรา หรือว่าต่างจากในทิเบตเท่าไร

คราวนี้หัวหน้าทัวร์คือคุณตั้ว (นายชัยพฤติ จันทร์วัฒนะ) เป็นคนจัดแต่ไม่ได้จัดไปเที่ยว เขาจัดไปถ่ายรูป ต้องการแค่ทีมเล็ก ๆ คณะใหญ่สุดที่เขาเคยจัดก็คือไม่เกิน ๑๖ คน เพราะถ้าคณะใหญ่มากก็ดูแลกันลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องที่พัก เรื่องยานพาหนะ เพราะว่าเขตที่ไปนั้น เป็นเขตที่ค่อนข้างกันดาร ความประสงค์ก็เลยตรงกัน เพราะว่าอาตมาไม่มีนิสัยเที่ยวซื้อของ ไปที่ไหนซื้อของหนึ่งชิ้นแล้วก็จบ ซื้อไว้เป็นที่ระลึกว่าเคยมาแล้วเท่านั้น

ในเมื่อเขาไปถ่ายรูป เขาก็ต้องหาสถานที่สวย ๆ แล้วส่วนใหญ่ทางด้านโน้นก็เป็นสถานที่ทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาวัชรยาน จะมีประวัติเกี่ยวโยงกับพระโพธิสัตว์ท่านนั้น เกี่ยวโยงกับคุรุท่านนี้ ก็เลยขอไปด้วย

ถ้าให้ไปเที่ยวไปซื้อของอาตมาไม่ไป...เข็ด เคยไปกับเพื่อนแล้วเขาซื้อของชิ้นหนึ่ง ๗๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ บาท อาตมาได้แต่นั่งตาปริบ ๆ ซื้อของแพงที่สุดราคา ๖๓๐ บาท ไม่ได้ขี้เหนียว ปกติเป็นคนชอบซื้อของด้วย แต่ซื้อมาแล้วไม่รู้ว่าจะเก็บเอาไว้ทำอะไร ?"

เถรี
11-11-2019, 00:28
"คราวที่แล้วไปญี่ปุ่น โยมก็ออกทั้งค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เสียดายเงินแทนโยม เพราะว่าอยู่ญี่ปุ่นเช่ารถทุกวัน เฉพาะค่าเช่ารถอย่างเดียวคิดเป็นเงินไทยแสนกว่าบาท..! ให้อาตมาเอาเงินไปผลาญแบบนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องแน่ เพราะว่าทุกวันนี้งานที่ทำเพื่อพระพุทธศาสนาก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงใช้วิธีว่า..ถ้าสถานที่นั้นเป็นสถานที่อยากไป และมีคนจ่ายเงินให้..ก็จะไป กติกาค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณ แต่ก็รู้สึกว่าจะมีคนต้องการให้ไปด้วยมาก

อีกไม่กี่เดือนจะต้องไปประเทศอินเดีย ค่าใช้จ่ายทั้งหมดหลายหมื่นบาท เพราะว่ามีการนั่งเครื่องบินภายในประเทศด้วย มีโยมเต็มใจถวายให้ แต่เขาก็เปิดรับคณะ ได้ยินว่ารับไป ๓๐ คน..ตาย..! ยิ่งคณะใหญ่เท่าไรก็ยิ่งเป็นภาระมากเท่านั้น อาตมาคงไม่ตายหรอก เพราะว่าไปไหนไม่ค่อยจะเป็นภาระให้กับคนอื่นเขา แต่คนจัดทัวร์จะเหนื่อยตาย

งวดนี้ที่ไปจีนมีการเดินและปีนเขา เพื่อไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาของวัชรยาน อย่างทะเลสาบห้าสี หรือว่าทะเลสาบน้ำนม ทะเลสาบไข่มุก โน่น..หัวหน้าทัวร์ตามหลังอยู่ลิบ ๆ ประมาณ ๑ ชั่วโมง ลูกทัวร์ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? เราก็ต้องเห็นใจนะ หัวหน้าทัวร์อายุ ๔๐-๕๐ ปีแล้ว ลูกทัวร์เพิ่งจะ ๖๐ ปีเท่านั้น...!"

เถรี
14-11-2019, 09:19
"อากาศที่นั่นหนาวมาก กลางวันอากาศสูงสุด ๑๒ องศาเซลเซียส กลางคืนก็ลบ ๕-๖ เป็นประจำ สวยมาก...หิมะตก ญาติโยมบางท่านบอกว่าไม่ได้สั่นแค่ตัวนะ หน้าก็สั่นไปด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าหน้าสั่นได้อย่างไร ส่วนอาตมาเองได้ฮีตเตอร์ประจำตัว มีเจ้าที่คอยดูแล หนาวแค่ไหนก็ไม่รู้สึกรู้สา เดินเที่ยวไปเรื่อย คนเดินตามก็จะน้อยลงไปเรื่อย..หนาวจนเดินไม่ไหว

เวลาไปไหนถ้าเรารู้จักหาเจ้าที่เจ้าทาง ขอความอนุเคราะห์สงเคราะห์จากท่าน จะได้รับความสะดวกทุกครั้ง ก่อนหน้านี้อาตมาไม่เคยยุ่งกับท่านเลยเรื่องเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ แต่ตอนไปญี่ปุ่นปีก่อนนี่หนาวจริง ๆ ที่รู้สึกหนาวก็ไม่สามารถจะแก้ได้ด้วยผ้าห่ม เนื่องจากว่าเตียงญี่ปุ่นนั้น อาตมานอนแล้วขาโผล่ออกไปพ้นเตียงเกือบศอก ก็เลยอยู่นอกผ้าห่มไปเกือบศอก คือญี่ปุ่นเขาตัวสั้น เขาเอามาตรฐานของเขา

เนื่องจากว่าที่ไปพักนั้นเป็นที่พักของคนญี่ปุ่น ประมาณโฮมสเตย์บ้านเรา เขาเรียกว่าเรียวกัง ก็เลยทำให้เขาใช้มาตรฐานญี่ปุ่น ซึ่งอาตมาเองมาตรฐานชายไทย ก็เลยยาวเกินเตียงเขาไปศอกหนึ่ง คราวนี้พอตีนหนาวมาก ๆ นอนไม่หลับ มองซ้ายมองขวาเห็นเจ้าที่เขาส่งคนมาคอยดูแล ก็เลยบอกว่า “ดูแลภาษาอะไรวะ คนหนาวจะตายห่..ไม่รู้จักช่วยกันบ้าง ?” คราวนี้อุ่นสบาย นึกว่านอนอยู่ที่วัดเลยหลับเพลิน ตั้งแต่นั้นมาก็เลยรู้ว่าเจ้าที่สามารถใช้เป็นฮีตเตอร์ได้ด้วย...! ทิดดอยเขาว่า ทำไมอยู่ใกล้หลวงพ่อแล้วอุ่น ?"

เถรี
14-11-2019, 09:25
"ไปเสฉวนตะวันตกเที่ยวนี้ วันเดินทางก็คือวันพุธที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ ปรากฏว่าพระครูสุนทรวัชรกิจ เพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอกจัดงานวันเกิดวันนี้ทุกปี แล้วก็นิมนต์อาตมาทุกปี ก็เลยใช้วิธีวิ่งออกจากวัดท่าขนุนแต่เช้ามืดไปถึงอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ๘ โมงกว่า ถวายมุทิตาสักการะเสร็จก็ขอตัววิ่งเข้ากรุงเทพฯ มาเลย

อาตมา ป้ามอย (มณีวรรณ สัมฤทธิ์) น้องเล็ก (จิราพร ซื่อตรงต่อการ) นึกว่าไปถึงช้า ปรากฏว่าพวกเราไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เจอพวกคุณตั้ว (ชัยพฤติ จันทร์วัฒนะ) คุณบี () ของทางคณะทัวร์เขาเป็นชุดแรกเลย หลังจากนั้นญาติโยมก็ค่อย ๆ แสดงตัวมาทีละคนสองคน จนได้ครบคณะก็ไปเช็กอิน ปรากฏว่าไชน่าแอร์บริการดีมาก บอกว่าเลื่อนจาก ๖ โมงครึ่งไปเป็น ๗ โมง ๑๐ นาที ก็คือ ๑ ทุ่ม ๑๐ นาที ภาษานักบินเขาว่า Flight นี้ Delay อาตมาก็แปลกใจ เพราะว่าตัวเองนั่งเครื่องบินมีแต่ถึงก่อนเวลา เนื่องจากว่าถ้ารู้สึกว่าช้าก็จะบอกกับเจ้าที่เขาว่า "ช่วยดันตูดเครื่องบินให้หน่อย" เพราะการช่วยดันตูดนี่แหละ แม้กระทั่งรถไฟสายใต้ซึ่งปกติไปถึงสุไหงโกลกช้า ๓-๔ ชั่วโมงเป็นปกติ พาอาตมาไปถึงก่อนเวลาหน้าตั๋ว จึงไม่มีคนมารับสักคนเดียว จนเดินไปถึงบ้านโยมแล้ว โยมค่อยโทรมาถามว่า "ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ?" บอกว่า "อยู่ในบ้านแล้ว"

ในเมื่อเครื่องเสียเวลา จึงทำให้ไปถึงเฉิงตูเที่ยงคืนครึ่งของเมืองจีน ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณ ๕ ทุ่มครึ่ง เพราะว่าเวลาต่างกันชั่วโมงหนึ่ง เข้าพักที่โรงแรมเอ๋อเหมย โรงแรมนี้ใครไปเฉิงตูอาตมาขอแนะนำ ก็คือนอกจากอะไรต่อมิอะไรดีทุกอย่างแล้ว เขายังมีมุมเฉพาะของคนนิยมชา จะมีใบชาสารพัดชนิดขาย มีเครื่องมือชงชาสารพัดชนิดขาย ใครมีรสนิยมด้านนี้ก็ไปได้เลย อาตมาตอนแรกไม่รู้ เดินทะเล่อทะล่าตึงตังเข้าไป พอเห็นข้างในเงียบฉี่ แล้วมีคนกำลังนั่งดมกลิ่นชาอยู่ เวรแล้ว..ไปทำเขาเสียอารมณ์หรือเปล่าหว่า ?"

เถรี
14-11-2019, 09:32
"เฉิงตูเป็นมหานครใหญ่ รถติดกระจายพอ ๆ กันกับกรุงเทพฯ ของเรา ถ้าใครไปเที่ยวเสฉวนก็ต้องลงเฉิงตูก่อน ไปเที่ยวซีอานส่วนใหญ่ก็ลงที่เฉิงตูก่อน สนามบินใหญ่โตมโหฬาร เพราะว่าประเทศจีนรู้ว่าประเทศตัวเองใหญ่ สาธารณูปโภคทุกอย่างสร้างเผื่อความเจริญไว้อีก ๒๐ ปีข้างหน้า

อย่างอาตมาเวลารอเครื่อง ต้องเดินไปรอที่ประตู ๑๐๓ เกือบตาย...! สนามบินใหญ่ ๆ เขาจะมีรถ มีรถราง มีรถไฟให้ขึ้น แล้วก็วิ่งไปรอที่ประตูขึ้นเครื่อง ที่ไปมาหลายแห่งอย่างฝรั่งเศสก็ต้องนั่งรถไฟไป ไป ดูความเจริญของพี่จีนเขาแล้ว ก็เข้าใจเลยว่าทำไมสหรัฐอเมริกาและทางยุโรปถึงได้กลัวจีนกันมาก เพราะว่าประเทศจีนยังโตได้อีกมหาศาล ทุกแห่งที่ไปมาตลอด ๑๐ วัน เขากำลังมีการก่อสร้างใหม่ ๆ มากมาย พูดง่าย ๆ ว่าไม่ต้องพึ่งพาโลกภายนอก จีนทำกันเอง ขายกันเอง พลเมืองพันกว่าล้านคนนี่ก็เพียงพอที่จะให้เศรษฐกิจเติบโตแล้ว

แล้วจีนยังทำการค้าในลักษณะต่างตอบแทน ก็คือหาเพื่อน ก็เลยทำให้ทางสหรัฐฯ และยุโรปสู้ไม่ได้ มีวิธีเดียวที่จะหยุดจีนได้ก็คือสงคราม แต่ใครคิดจะทำสงครามกับจีนต้องคิดให้ดี เพราะว่าตอนนี้เทคโนโลยี 5G นั้น คนจีนเก่งที่สุด"

เถรี
14-11-2019, 09:34
"ประเทศจีนช่วงนี้กำลังหนาว ขณะที่เฉิงตูฝนตก ลมพัดมานี่สะท้านเยือกเลย อากาศช่วงนี้สูงสุดประมาณ ๑๗ องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ๑๐ หรือ ๑๑ องศาเซลเซียส นี่เฉพาะเฉิงตูเท่านั้น

ที่รู้เพราะว่าในโรงแรมเขามีมาตรวัดอุณหภูมิแผ่นเบ้อเริ่ม เป็นลายการ์ตูนด้วย ถึงเวลาขึ้นตัวอักษรมา ๓ ภาษา ภาษาจีน ภาษาทิเบต แล้วก็ภาษาอังกฤษ ที่มีภาษาทิเบตเพราะว่าเฉิงตู มณฑลเสฉวน เขามีเขตปกครองตนเองทิเบต คนทิเบตเยอะมาก"

เถรี
14-11-2019, 09:39
พูดถึงมีดหมอหลวงพ่อเดิม "มีดหมอ ๒ เล่มนี้นี้ฝีมือช่างฉิม คาดว่าเขาทำไว้ใช้เอง แต่ลูกหลานทรยศเอามาขาย ฝีมือช่างฉิมทำจะประณีตที่สุดในบรรดาดาลูกศิษย์หลวงพ่อเดิมทั้งหมด ที่ด้ามเขาแกะสลักเห็นเป็นรูปลิงนั้นคือหนุมาน มีเคล็ดลับว่าใครฆ่าก็ไม่ตาย ลมพัดมาแล้วฟื้นใหม่ หนุมานทำอะไรก็สำเร็จ เจ้านายใช้งานแล้วปล่อยได้เลย ไม่เคยพลาด เป็นที่รักใคร่เมตตา เจ้านายเรียกใช้อยู่ตลอด แล้วแถมยังมีติดเจ้าชู้ด้วย ไปทำงานที่ไหนก็ได้เมียที่นั่น โบราณเขาถือเคล็ดตรงนี้ ก็เลยสร้างรูปหนุมาน

ถ้าหากว่าดูไม้เก่าเป็น ดูเหล็กเก่าเป็นจะปลอดภัย สมัยนี้ส่วนใหญ่เขาเอาเหล็กไปกัดด้วยโซดาไฟให้เป็นสนิม ดูได้ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือสนิมทั่วถึงจนเกินไป อย่างที่สองคือขุมในร่องรอยสนิมไม่เป็นธรรมชาติ เพราะว่าไม่ได้เก่าจริง"

เถรี
14-11-2019, 09:41
"มีดหมอหลวงพ่อเดิมถือว่าเป็นมีดหมออันดับหนึ่งของประเทศไทย ในชีวิตมีไว้เป็นเกียรติประวัติวงศ์ตระกูลสักเล่มหนึ่งก็พอแล้ว อาตมาเล่นเครื่องรางของขลังมา ๔๐ กว่าปี ต้องบอกว่าได้มีดหมอหลวงพ่อเดิมมาไม่ถึง ๒๐ เล่ม ๔๐ กว่าปีได้มาประมาณ ๒๐ เฉลี่ยประมาณ ๒ ปีกว่าถึงจะได้เล่มหนึ่ง

ส่วนใหญ่เกิดจาก ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือเจ้าของหวง อย่างเล่มของบ้านจ่าตุ่ม อาตมาตามตื๊อมาเป็น ๑๐ ปีแล้วไม่เคยปล่อย ทั้ง ๆ ที่รู้จักสนิทสนมกันขนาดนั้น ถามเมื่อไรก็เลิกคุย ประการที่สองก็คือเก่าจนหมดสภาพ บางคนดูแลไม่ดี ทั้งปลอก ทั้งฝัก ติดกันเป็นเนื้อเดียวกับใบ ชักไม่ออกเลย ในเมื่อไม่สามารถพิสูจน์สภาพได้ ก็ไม่สามารถที่จะตั้งราคาซื้อได้

ประการที่สามราคาแพงจัด อย่างที่อาตมาเอามาปล่อย ๕๐,๐๐๐ บาท ในตลาด ๒๐๐,๐๐๐ บาทนี่สบายเลย เพราะว่าสวยสมบูรณ์มาก แต่คราวนี้อาตมาจะเอาเงินไปร่วมสร้างพระจุฬามณีกับทางด้านหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ ช่วงก่อนก็เอาไปก่อสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี"

เถรี
14-11-2019, 09:44
"เดี๋ยวรอให้พ้นลอยกระทงแล้ว อาตมาจะถามท่านเจ้าคุณชรัชว่า ปี ๒๕๖๓ จะเอากฐินไปช่วยสร้างพุทธมณฑลปัตตานีท่านจะตกลงไหม ? ในเมื่อต้องการเงิน แล้วญาติโยมท่านใดที่มีเงินเหลือเฟือ ไม่เดือดร้อนก็มาบูชาไป ได้ไปก็เป็นเป็นสมบัติประจำตระกูลได้เลย เพราะว่าส่วนใหญ่ที่อาตมาเลือก ถ้าสภาพไม่สมบูรณ์ก็ไม่ซื้อ

ปกติแล้วคนนครสวรรค์ ถ้าเรื่องมีดหมอเขาจะเล่นของหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล เอาของหลวงพ่อเดิมไว้ขาย เพราะว่าหลวงพ่อรุ่งเป็นศิษย์พี่ อายุพรรษามากกว่าหลวงพ่อเดิม ๑๑ พรรษา แล้วก็สำเร็จวิชามีดหมอจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้วมาก่อนหลวงพ่อเดิมด้วย มีดหมอยุคแรก ๆ ของหลวงพ่อเดิม ก็ยังต้องอาศัยหลวงพ่อรุ่งช่วยกำกับว่าต้องทำอย่างไร แต่ว่าหลวงพ่อเดิมท่านดังกว่าเพราะว่าวัดท่านอยู่ใกล้สถานีรถไฟหนองโพธิ์ คนลงรถไฟก็เข้าวัดได้เลย ส่วนวัดของหลวงพ่อรุ่งนี้ต้องเดินไปอีกเป็นวัน

คนนครสวรรค์ก็เลยบอกว่า "มีดหมอหลวงพ่อเดิมมีไว้ขาย มีดหมอหลวงพ่อรุ่งมีไว้ใช้" สองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะว่าแม่หลวงพ่อรุ่งกับแม่หลวงพ่อเดิมเป็นพี่น้องกัน เรียนวิชามาจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้วเหมือนกัน"

เถรี
14-11-2019, 09:47
"มีดหมอที่ผ่านมืออาตมามากที่สุด น่าจะเป็นมีดหมอหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ๔๐ กว่าปีนี้ผ่านมือมาน่าจะถึง ๒๐๐ เล่ม แต่ไม่ต้องถามนะ เดี๋ยวนี้เหลืออยู่ ๓-๔ เล่มเท่านั้น เพราะว่าส่วนใหญ่พอมีคนมาขอบูชาก็ปล่อยต่อเขาไป พวกนั้นมาเห็นอาตมาขายไม่แพงเท่าท้องตลาด ก็เอาไปปล่อยต่ออีกรอบหนึ่ง

ของพวกนี้อันดับแรก...ต้องรู้แหล่ง อันดับที่สอง...ต้องดูของเป็น อันดับที่สาม...ต้องมีราคาในใจของตัวเอง ถ้าเกินราคาที่ตั้งไว้ สวยแค่ไหนก็อย่าสู้ เพราะว่าถ้าเราสู้ไปครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปจะแพงขึ้นไปอีก อาตมาชื่นชมอาจารย์ตัวเอง คือท่านอาจารย์วิสุทธิ์ วรรณวงษ์ศิริ อาจารย์วิสุทธ์ตั้งราคาไว้ในใจนี่ ต่อให้สวยแค่ไหนก็ตาม ถ้าราคาเกินที่ตั้งไว้..ท่านไม่ซื้อ เป็นคนตบะดีมาก ท่านบอกว่า "ผมเจอมีดหมอหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ เชื่อไหม..? ผมนอนไม่หลับไป ๒ คืนเลย แต่แพง..ผมไม่ซื้อ" ขนาดนอนไม่หลับไป ๒ คืนแสดงว่าสวยจริงสวยจัง ถามว่าอาจารย์ได้มาแล้วหรือยัง ? “ไม่ซื้อครับ..แพง”

เถรี
14-11-2019, 09:48
"บรรดาพวกที่เป็นเซียนเครื่องรางของขลังหรือพระเครื่อง มีความอดทนสูงมาก หลายคนนี่แวะเวียนมาหาอาตมาเป็นปี ๆ นิสัยเดียวกับที่อาตมาตามไป "เต๊าะ" ป้าสุ (คุณสุมาลี ทิมแท้) ที่บ้านจ่าตุ่ม ก็คือมีโอกาสก็แวะไปเรื่อย ๆ ไปเยี่ยมบ้าง ไปคุยกันบ้าง เอาของฝากไปให้บ้าง ได้ไม่ได้ก็ช่าง คือมีความอดทนสูงมาก พูดง่าย ๆ ว่าตื๊อจนกว่าเจ้าของจะใจอ่อน

วันก่อนน้องเล็กก็ไปตื๊อเอามีดที่จ่าตุ่มทำไว้เล่มหนึ่ง ตอนนั้นเขาใส่ตู้โชว์เก็บเอาไว้เข้าพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวแล้ว ยังไปแคะมาจนได้ แต่มีดหมอหลวงพ่อเดิมเล่มที่อาตมาเล็งไว้ ตั้งหลายปีแล้วป้ายังไม่ยอมใจอ่อนเลย"

เถรี
14-11-2019, 09:51
ถาม : เป็นมีดใช้งานจริงหรือครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วคนโบราณเอาเป็นมีดใช้งานจริง ๆ เขาทำไว้ใช้งาน เพียงแต่ครูบาอาจารย์ช่วยเสกช่วยลงให้ มีดรุ่นเก่า ๆ อย่างของหลวงพ่อเดิม จนกระทั่งมาถึงรุ่นหลวงพ่อกวย ถึงเวลาท่านบรรจุเอง บรรจุด้าม ใส่ตะกรุด ใส่ผงวิเศษ ใส่เกศา ของหลวงพ่อกวยนี่ขนาดรุ่นที่สั่งทางพยุหะคีรีทำให้ ท่านก็ยังขอบรรจุด้ามเอง

ข้างบนห้องของอาตมามีมีดหมอของหลวงพ่อกวยอยู่ ๒ เล่ม ฝีมือลุงคลี่ เจ้าของเขากำชับนักกำชับหนา "เล่มนี้ตาคลี่ทำไว้จะใช้เองนะ อาจารย์อย่าไปปล่อยให้ใคร" ก็ถ้าไม่จำเป็นนะ..! เดี๋ยวหลังเพลค่อยเอาลงมา เพราะว่าช่วงนี้หาเงินสร้างจุฬามณีให้หลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์อยู่ ทำด้ามรู้สึกว่าจะเป็นท้าวเวสสุวรรณ ปิดทองมาด้วย แต่ว่าฝีมือลุงคลี่จำง่าย ฝีมือลุงทรงนี่มือหนัก ตอกแต่ละทีนี่แทบจะทะลุไปอีกฝั่งหนึ่ง นั่นช่วยให้จำง่าย

เถรี
14-11-2019, 09:54
ฝีมือช่างแต่ละคนเหมือนกับลายมือประจำตัว ถ้าเรารู้จักฝีมือก็จะจำง่าย ถ้าไม่รู้จักก็จำยาก มีดหมอหลวงพ่อเดิมที่ปลอมส่วนใหญ่ช่างที่ปลอมจะดูของไม่เป็น ถ้าหากว่าดูของเป็นจะปลอมได้เนียนกว่านี้ อย่างของโยมที่ได้ไป ให้ดูร่องยาวใกล้สันมีด ถึงเวลาเขาจะใช้เหล็กเป็นสิ่วมาแซะ คราวนี้พอแซะจวนจะสุดปลาย ก็ต้องเบามือเพื่อจะให้สุดปลาย ช่วงนั้นจะเรียวและเหินขึ้นทุกเล่ม ถ้าดูเป็นทีเดียวแล้วต่อไปก็ง่าย รุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ใช้ตอกลายเอา...มักง่าย ร่องหัวท้ายจะหนักเท่ากัน

ก่อนหน้านี้หลวงพี่ประทีปยังอยู่ที่วัดท่าซุงด้วยกัน งัดมีดหมอของหลวงพ่อเดิมขึ้นมาเล่มหนึ่ง...โอ้โฮ ถามว่า "เท่าไร ?" ตอนแรกพี่ท่านบอกว่า "ใบ ๙ นิ้ว" ถามว่า "๙ นิ้วทำไมใหญ่ขนาดนี้ ? ขอวัดหน่อย" ปรากฏว่า ๑๑ นิ้วเฉพาะใบ แล้วถามว่า "ไม่มีฝักหรือ ?" ท่านบอกว่า "ไม่มี..ได้มาเปลือย ๆ แบบนี้แหละ แต่ด้ามเป็นงา" หลวงพี่ทีปท่านเป็นคนแถวนั้น พวกนครสวรรค์ คนพิจิตร ส่วนใหญ่รุ่นเก่า ๆ เขาจะมีของหลวงพ่อเดิมกันแทบทั้งนั้น

เถรี
15-11-2019, 09:13
ตอนหลวงพี่ทีปมรณภาพ อาตมาเองก็ไม่ได้ไปขอแบ่งสมบัติสงฆ์ ถ้าไปขอแบ่งจะขอมีดหมอหลวงพ่อเดิมเล่มนี้เล่มเดียว จะชำระหนี้สงฆ์ให้ด้วย ไม่ได้ขอเฉย ๆ

ส่วนใหญ่เวลาพระมรณภาพ เขาจะจัดการแบ่งปันกันในหมู่คณะสงฆ์ มีข้าวของกี่ชิ้น ถ้าพอกับจำนวนพระเณรก็แบ่งไปคนละชิ้น ถ้าไม่พอก็จับสลาก พูดง่าย ๆ ก็คือแบ่งกันฟรี ๆ แต่ถ้าเป็นมีดหมอเล่มนี้แล้วละก็...อาตมายินดีจ่ายเงินให้เลย แต่ว่าไม่ได้ไปร่วมวงกับเขา ก็เลยไม่รู้ว่าไปตกอยู่กับใคร นั่นก็ฝีมือของช่างฉิมเหมือนกัน

เถรี
15-11-2019, 09:23
ถาม : ถ้าสงฆ์มรณภาพ สมบัติก็จะกลับคืนเป็นของสงฆ์ แต่ถ้ามีหลักฐานว่าเป็นส่วนตัวหรือไม่ส่วนตัวอยู่ละครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นส่วนตัว ท่านต้องมอบให้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ

ถาม : ถ้าส่วนตัว แต่ไม่ได้มอบให้ก่อนมรณภาพ ?
ตอบ : เสร็จหมด ลงกองกลางหมด

ถาม : ถ้าลงกองกลาง อันนี้สงฆ์ก็รับผิดชอบดูแลต่อ ก็คือเป็นของสงฆ์ ?
ตอบ : เป็นของสงฆ์ คือเราเอามาก็เป็นของส่วนตัวไม่ได้ เพราะเราได้มาขณะที่เราเป็นสงฆ์ เป็นเรื่องอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก

ถาม : แสดงว่าตรงนี้ไม่มีเป็นของส่วนตัวเลย ?
ตอบ : ไม่มี...เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ถ้าจะให้ใครต้องให้ก่อนที่จะตาย แต่พระวินัยท่านก็ระบุเอาไว้ว่า ถ้าเป็นครุภัณฑ์ให้ไม่ได้ ครุภัณฑ์ตามพระไตรปิฎกระบุเอาไว้ก็มี อย่างเช่น พระพุทธรูป มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง...ฟังแล้วตลก คือเครื่องมือเครื่องใช้ในการก่อสร้าง ใช้คำว่า ครุ คือ ของหนัก ไม่ได้ เพราะว่าเครื่องมือช่างบางทีก็เบา แต่ท่านจัดเป็นครุภัณฑ์ เพราะว่าเป็นของหายาก ถ้าหากว่าตัวเองไม่มี ก็ต้องไปรบกวนโยมเขา ก็เลยระบุเอาไว้ว่า ของที่เป็นครุภัณฑ์นี่ห้ามให้ต่อ เพราะฉะนั้น..พวกเงินทองไม่ใช่ครุภัณฑ์ ใครอยากได้ก็เอาไปเถอะ

เถรี
15-11-2019, 09:33
ถาม : มหัคฆภัณฑ์ ละครับ ?
ตอบ : มหัคฆภัณฑ์ หมายถึงพวกที่ใหญ่มาก ๆ อย่างเช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ ฯลฯ มหา-อัคคะ สุดยอดของความใหญ่ เพราะฉะนั้น..ของเกินครุภัณฑ์ ไม่มีใครแบกไปไหวหรอก

อย่างเมื่อวานนี้ไป ท่านอาจารย์เอกลักษณ์สร้างศาลาหนึ่งไร่ นับเป็นมหัคฆภัณฑ์ แบกไหวที่ไหนเล่า ?

เถรี
15-11-2019, 10:03
ถาม : มีเพื่อนแม่คนหนึ่งเขาเพิ่งเสียไป วันนั้นหนูก็นั่งสมาธิไป รู้สึกว่าสมาธิเรายังทรงตัวอยู่ ก็เลยลองอาราธนาพระดูว่าเพื่อนแม่คนนี้ตายแล้วไปไหน ภาพขึ้นมา หนูก็เห็นอย่างหนึ่ง พอไปงานศพเขา ลูกเขาก็เล่าว่าพ่อเขาตายดีมีความสุข ตอนที่เราเห็นภาพก็ไม่ได้คิดไปเอง แต่ทำไมลูกเขาเล่าอีกแบบหนึ่ง หนูก็เลยสงสัยว่ามีข้อสังเกตอย่างไรคะ ?
ตอบ : มโนมยิทธิเขาให้เชื่อความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น จะไป "เอ๊ะ" ไม่ได้เลย เป็นอย่างไรก็เชื่อตามนั้น แต่บางทีเรื่องของสังคมถ้าเราไปบอกเขาตรง ๆ ลูกหลานเขาจะเสียใจ อาตมาเองโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงห้ามบอกว่าคนตายไปไหน รู้เอาไว้ให้อกแตกตายไปคนเดียวก็แล้วกัน

เถรี
15-11-2019, 10:07
ถาม : นั่งสมาธิไป เวลาภาวนาไป หลวงพ่อบอกว่าให้นั่งจนสมาธิเต็มที่แล้วค่อยมาพิจารณา แต่ทีนี้เวลานั่งไปก็เหมือนจิตแยกไปดูว่ามันก็ไม่เที่ยง พร้อม ๆ กับภาวนาได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้...แต่ว่าต้องมีความคล่องตัวพอ ไม่อย่างนั้นแล้วช่วงนั้นอาจจะเฝือ ก็คือพอสมาธิเคลื่อนแล้วบางทีไปคนละทิศคนละทาง ฟุ้งซ่านไปเลยก็มี ต้องระวังให้ดี

ถาม : เราจะมีวิธีการประคับประคองไม่ให้เฝือได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาอานาปานสติคือลมหายใจเป็นหลักไปสักระยะหนึ่งก่อน ๕ นาที ๑๐ นาทีก็ยังดี พอกำลังใจมั่นคงแล้วค่อยไปคิด ถ้าไม่มีลมหายใจค้ำไว้แล้วเดี๋ยวไปเลย เพราะว่าบางทีเราเองพอถึงเวลาสมาธิเริ่มทรงตัว อยากจะคิดอยากจะพิจารณาแทน แล้วเราก็ปล่อยกำลังใจไปคิดไปพิจารณา ลืมไปว่ากำลังสมาธิค่อย ๆ ลดลง พอกำลังค่อย ๆ ลดลงเมื่อเราเผลอก็ฟุ้งซ่านไปเลย

ถาม : บางครั้งเรากำลังสร้างกำลัง แต่เราก็อยากจะคิด อย่างนี้คือเราฝืนไปก่อน ?
ตอบ : ก็คิดได้ แต่ว่าให้ตั้งสติไว้ ถ้ารู้สึกว่าเริ่มไปไม่ดี ไม่มีความคล่องตัว รู้ว่ากำลังเราตก ก็กลับมาหาลมหายใจใหม่ แล้วค่อยไปคิดอีก

เถรี
15-11-2019, 10:11
ถาม : รู้ว่ามันคืออาทิสสมานกาย แต่เวลาภาวนาไป บางทีมันก็ใช่เรา บางทีมันก็ไม่ใช่เรา บางทีมันก็ด่าเรา มันคือใครคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลสมาร มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือถ้าเป็นฝ่ายดีมา ก็อาจจะเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านมาช่วยสงเคราะห์เรา ถ้าฝ่ายไม่ดีมาก็คือกิเลสตั้งใจที่จะมาแกล้ง มาหลอกเรา

เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ถึงเวลาเราก็ทำตามแบบของเราไป อะไรที่พิจารณาแล้วว่าไม่ทำให้การปฏิบัติของเราเสียหาย จะน้อมใจตามไปบ้างก็ได้ แต่ขณะเดียวกันถ้ารู้ตัวเมื่อไร ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจของเราจะปลอดภัยกว่า

ถาม : ไม่ต้องไปสนใจ ?
ตอบ : ยิ่งรู้เห็นชัดเจนโอกาสโดนหลอกยิ่งเยอะ ต้องระวังตัวให้มาก ๆ

เถรี
15-11-2019, 10:21
ถาม : ในสติปัฏฐาน ๔ เรามองอย่างไรว่านั่นคือจิตตานุปัสสนาคะ ?
ตอบ : สภาพความยินดียินร้ายอะไรเกี่ยวกับสภาพจิตของเราทั้งหมด ถ้าหากว่าเรารู้เท่าทันจึงจะเป็นจิตตานุปัสสนาในมหาสติปัฏฐาน แต่ถ้ารู้อยู่แล้วไปแบกเอาไว้เวลารู้สึกว่าทุกข์ หรือว่ารู้อยู่แล้วไปยินดีอย่างเต็มที่เลยเวลาที่มีความสุข อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นจิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ต้องรู้เท่าทันแล้ววางได้ เห็นว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น

ถาม : ในเรื่องเวทนา เขาสอนมาว่าชอบกับไม่ชอบ สุขและทุกข์ แบบกลาง ๆ แล้วธรรมารมณ์ละคะ ?
ตอบ : ธรรมารมณ์ก็คือสภาพของจิตที่เป็นไป อย่างเช่นว่า ยินดีกับรูปสวย เสียงไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ หรือว่าไม่ยินดี หรือว่าเป็นกลาง ๆ หรือไม่ก็สภาพจิตของเราเป็นอย่างไร กำลังพินิจแยกแยะอยู่ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนเหมาะ สิ่งไหนควรกับเรา สิ่งไหนไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควรอะไรกับเรา อันนั้นก็คืออารมณ์ธรรมที่เกิดขึ้นในใจ

เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้บางทีเราศึกษาไปแล้วเหนื่อย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า ๑ บรรพ คือ ๑ ตอน ก็สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้แล้ว ไม่ต้องไปศึกษาทั้งหมดหรอก

เถรี
15-11-2019, 10:30
ถาม : ถ้าเราเกิดรู้สึกว่าพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านสอนไม่ได้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอก แต่เราไปเป็นเจ้าภาพเลี้ยงภัตตาหารท่านมาด้วยตั้งนาน ทีนี้ว่าเกิดอยากจะถอนตัว แต่ไปเห็นใจเจ้าของสถานที่ เราจะเป็นบาปไหมคะ ? ที่เราเหมือนไปช่วยเป็นฟันเฟืองให้ท่านสอนผิดเล็ก ๆ ค่ะ ?
ตอบ : อย่าไปคิดอย่างนั้นสิ....เราคิดว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราให้ทาน เป็นการสละออกเพื่อตัดความโลภในใจ ส่วนผู้รับจะเป็นใคร ทำอะไร เราไม่เกี่ยวกับเขาเลย ตัดขั้นตอนนี้ได้ก็ทำไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่าไปสร้างบาปให้กับตัวเอง เพราะว่าใจเราไปคิดอยู่แล้ว ใจก็จะไปเศร้าหมอง

เถรี
15-11-2019, 10:35
ถาม : พ่อบุญธรรมเขาให้พระมาค่ะ ?
ตอบ : ก็เก็บเอาไว้สิ ถึงเวลาแค่มีหลวงพ่อวัดระฆังก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลวงพ่อวัดระฆังองค์หนึ่ง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโคองค์หนึ่ง ท่านให้พรไว้ว่า "พระของท่านจะใหม่ จะเก่า จะจริง จะปลอม ให้นึกถึงท่านมีอานุภาพเหมือนกันหมด" ต้องพระโพธิสัตว์สายเก่ามาแท้ ๆ เลยนะ ถึงมีกำลังสามารถสงเคราะห์ขนาดนั้นได้

เถรี
15-11-2019, 17:49
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปเมืองจีน ๑๐ วัน แต่ละวันเดินไกล ๆ ทั้งนั้น แต่อาตมาน้ำหนักขึ้นมา ๒ กิโลกรัม เพราะว่ากินกระจายทุกอย่าง บอกกับญาติโยมว่า ถ้าคิดว่าตามหลวงพ่อไปเที่ยวนั้นคิดผิด แต่ถ้าตามไปเพื่อฝึกหัด กาย วาจา ใจ ของตนเองนั้นใช่ แล้วต้องพยายามทำให้ได้

ญาติโยมกินอาหารของเขาไม่ได้ เพราะว่าขาดอาหาเรปฏิกูลสัญญา จะเอาแต่ของที่ตัวเองชอบไม่ได้หรอก อยู่ที่ไหนต้องกินของเขาได้ พูดง่าย ๆ ว่าถ้าเขากินได้เราต้องกินได้

เพราะฉะนั้น..คณะที่ไปก็เลยแบ่งเป็น ๒ ชุด เขาเรียกว่าสายแข็งกับสายอ่อน ชุดสายอ่อนก็จะมี ๙ คน ชุดสายแข็งมี ๖ คน แบ่งเป็น ๒ โต๊ะ สายแข็งนี่กินไม่เหลือซากเลย ส่วน ๙ คนนี่เหลือเกือบเต็มโต๊ะ ถ้าเราขาดอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็จะกินเพื่อเอาอร่อย กินเพราะว่าชอบ ก็จะทำให้เสียผลการปฏิบัติ

ส่วนอีกอย่างหนึ่งที่ต้องไปฝึกแน่ ๆ ก็คืออสุภกรรมฐาน ส้วมเมืองจีนนี่สุดยอดทุกแห่ง มีน้ำก็ไม่ราด อาตมาเข้าที่ไหนก็ต้องไปทำความสะอาดส้วมให้เขา เพราะถ้าไม่อย่างนั้นพวกข้างหลังเข้าต่อไม่ได้ ถ้าเข้าต่อไม่ได้แสดงว่าขาดอสุภกรรมฐาน ไม่เห็นความเป็นธรรมดา

พอถึงเวลาไปที่ลำบาก เพราะว่าพื้นที่เขาสูง ๔-๕ กิโลเมตรขึ้นไป อากาศจาง หายใจลำบาก แทนที่จะนึกถึงพระ แทนที่จะนึกถึงความตาย ไม่ได้นึกเลย ห่วงอยู่แต่ร่างกายว่าจะตายแล้ว อย่างนั้นถ้าตายก็ไม่แน่ว่าจะไปไหน เพราะว่าจิตสุดท้ายแค่แวบเดียวเท่านั้น ถ้าเกาะผิดนี่ก็เฮงเลย"

เถรี
15-11-2019, 18:59
"ไปเพื่อไปฝึกหัดตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยว โดยเฉพาะสถานที่อันตราย ถ้าพลาดก็ถึงตาย ก่อนอาตมาไปอาทิตย์หนึ่ง บริษัทนี้มีลูกค้าสมองบวมไปหนึ่งคน เสียค่าส่งกลับไป ๗,๐๐๐ หยวน เพราะว่าไม่ได้ดูสภาพร่างกายตัวเอง ไม่ไหวแล้วก็ยังฝืนไป สภาพแบบนั้นไม่ไหวแล้วต้องหยุด อาตมาเองขนาดว่าฝึกจนแกร่งแล้ว ระยะท้าย ๆ แค่เดิน ๓ ก้าว ๕ ก้าว ยังต้องพัก เพราะว่าหายใจไม่ทัน

พื้นที่สูง ๔,๗๐๐ กว่าเมตร ยิ่งเดินขึ้นไปก็ยิ่งเหนื่อย ที่เขาเขียนเอาไว้ว่าระยะทาง ๖ กิโลเมตรนั้นเชื่อไม่ได้ เพราะว่าโยมที่ไปติด Gadget ไปด้วย ปรากฏว่าระยะทางออกมา ๑๐ กว่ากิโลเมตร เขาขีดด้วยดาวเทียมตรง ๆ ก็ได้ ๖ กิโลเมตร คราวนี้เราไปขึ้น ๆ ลง ๆ กว่าจะถึงก็ตก ๑๐ กว่ากิโลเมตร

อากาศหนาวระดับติดลบ ลมแรงชนิดพัดคนแทบปลิว แต่อากาศมีไม่พอหายใจ ร่างกายของเราพอคาร์บอนไดออกไซด์มีมาก ก็จะปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เพราะฉะนั้น..ไปพื้นที่แบบนั้นต้องระวังเป็นอย่างมาก หัวหน้าทัวร์เขาก็ดี เขาจับวัดออกซิเจนทุกคน แต่วัดอาตมาไม่ทัน เพราะว่าเดินนำหน้าไปลิบจนมองกันไม่เห็นเลย

เห็นญาติโยมโดยเฉพาะคนจีนบางคน เดินขึ้นเนินแรกก็เปิดกระป๋องออกซิเจนแล้ว อีก ๑๐ กว่ากิโลเมตรที่เหลือนี่จะรอดไหม ? ขาไปนั่นเป็นช่วงขึ้นเขา อาตมาใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตรเศษ ๆ ขากลับแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ไม่ได้ใช้ออกซิเจนเลย"

เถรี
15-11-2019, 19:34
"จากบ้านเราความร้อน ๓๓ - ๓๔ องศาเซลเซียส ไปถึงเฉิงตูวันที่ ๑๖ ลดเหลือ ๑๗ องศาเซลเซียส พอรุ่งเช้าวันที่ ๑๗ ที่เฉิงตูเหลือ ๑๑ องศาเซลเซียส

เช้าวันที่ ๑๗ เขานัดสายนิดหนึ่งเพราะว่าเราไปถึงดึก ไปถึงประมาณเที่ยงคืนครึ่งของเขา ปกติเขาจะออกเดินทางประมาณ ๗ โมงครึ่ง ก็เลยเลื่อนให้นอนเพิ่มอีกชั่วโมงหนึ่ง ออกเดินทาง ๘ โมงครึ่ง เป็นรถมินิบัส คณะของเรา ๑๕ คน เขามีให้ ๒๐ ที่นั่ง มีที่เหลือให้วางของอะไรได้ด้วย

วิ่งไปทางเมืองเฮยสุ่ย อยู่ในเขตปกครองตนเองชาวเชียงชาวทิเบต มณฑลเสฉวน เป้าหมายคืออุทยานแห่งชาติซื่อกู่เหนียงซาน บางคนก็เรียกว่าอุทยาน ๔ ดรุณี ซื่อกูเหนียงก็คือผู้หญิง ๔ คน ไม่รู้ว่าบนรถเขามีฮีตเตอร์ รู้สึกว่าอากาศสบาย ๆ พอไปถึงที่อุทยานอากาศ -๔ องศาเซลเซียส หิมะเพิ่งจะตก หลายคนลงไปมือสั่น ขาสั่น หน้าสั่น ปากสั่น แล้วก็ความสูงค่อนข้างจะสูงมาก ก็เลยทำให้เวลาเดินอากาศไม่ค่อยจะพอหายใจ

มีอาตมากับน้องเล็ก ๒ คนที่ลงทุนเดินจนรอบอุทยาน คนอื่นเขาไม่ไป แค่ไปนั่งปั้นหิมะเล่นกัน การปฏิบัติกรรมฐานทำให้เรามีระบบหายใจที่ยาว แล้วก็ลึกกว่าคนอื่นทั่วไป เดินแล้วเหนื่อยช้าหน่อย"

เถรี
15-11-2019, 19:38
"อุทยานนั้นห่างจากเฉิงตู ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร เราจะผ่านจุดสูงสุดตรงช่องเขาเสี้ยวจิน ตรงนั้นสูงตั้ง ๖,๐๐๐ กว่าเมตร วิ่งไปพักไป โดยเฉพาะส่วนที่มีปัญหาคือเรื่องห้องน้ำ อย่างที่บอกว่าพวกเราขาดการปฏิบัติในอสุภกรรมฐาน เจอห้องน้ำส่วนใหญ่ก็สะดุ้ง เข้าไม่ได้ คุณบีที่ไปเป็นช่างภาพประจำคณะเขาบอกว่า "อ่อนแอเกินไป" ถ้าอ่อนแอเกินไปจะเข้าห้องน้ำที่เมืองจีนไม่ได้

ต้องพักกลางทางกันเป็นระยะ ๆ แต่ว่าประเทศจีนจะมีป้ายบอกไปตลอดว่าที่จอดพักอยู่ห่างอีกเท่าไร จะได้กะระยะกันถูก ส่วนใหญ่ค่าเข้าห้องน้ำคนละ ๑ หยวน ประมาณ ๕ บาทไทย ถ้าหากว่าใครไปเมืองจีน ให้แลกใบละ ๑ หยวนไว้เยอะ ๆ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเอาอย่างคณะของเรา ก็คือหยิบออกมา ๕ หรือ ๑๐ หยวน แล้วก็นับไปเลยกี่คน จากนั้นก็จ่ายเงินให้เขาไป

พวกเรามีความสามารถพิเศษก็คือ เขาจอดให้เข้าห้องน้ำ ๑๕ นาที แต่ส่วนใหญ่มีเวลาเหลือพอช็อปปิ้งกันทุกคน เก่งจริง ๆ...! แล้วอีตา Eric ไกด์ชาวจีน เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวด้วย พูดภาษาอังกฤษบางประโยคฟังยาก อย่างคำว่า “Fifteen minutes” ก็จะฟังเป็น “Fifty minutes” จะหยุดทำไมนานขนาดนี้วะ ? พอทักท้วงเข้าตอนหลัง เขาเลยใช้คำว่า “One Five minutes”

เถรี
15-11-2019, 19:44
"เราได้ยินจะไม่ใช่ Fifteen จะเป็น Fifty เรื่อยไป ที่ต่างชาติเขาออกเสียง “ตีน” นั่นใช่เลย แต่เราเองออกเสียงเป็น “ทีน” ประเภทออกเสียงไม่เหมือนเขา

อาตมาลงไปก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนเดิม มีแต่คนถ่ายรูป บางทียืนให้พวกเราถ่ายรูป กล้องแค่ ๑ ตัวแต่มีกล้องนักท่องเที่ยวมาแล้ว ๕๐ ตัว บางทีก็เรียก “เหล่าต้าซือ” บ้าง “เหล่าซือฟู่” บ้าง เออ...เหล่าก็เหล่า แก่แล้วเหมือนกัน เขามาขอถ่ายรูปด้วย

คราวนี้จากซื่อกู่เหนียงซาน เวลาขาลงของเราจะมีแม่น้ำน้ำมนต์ ทะเลสาบกระจก จะสะท้อนเงาภูเขาท้องฟ้าลงไปเหมือนอย่างกับเราดูด้วยสายตา ตรงนั้นเขาชอบไปถ่ายรูปกัน เขาบอกว่าเสิ่นเจิ้นก๊อปฯ ทุกเรื่อง แม้กระทั่งบรรยากาศตรงนี้เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ก็ก๊อปปี้มา ไปโทษอะไรกับเสิ่นเจิ้นวะ ?

แล้วก็มีสถานที่ให้ดูเป็นระยะ ๆ แต่ว่าต้องดูเวลาด้วย เพราะว่ารถคันสุดท้ายที่ออกจากอุทยานเขามีเวลาแน่นอน ถ้าพลาดคุณก็หาทางเอาตัวรอดกันเองในอุทยานนั่นแหละ เพราะว่าจะไม่เหลือใคร ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คืออย่าให้เกินบ่ายสาม ต้องรีบออก เนื่องจากว่าพอเราซื้อตั๋วแล้ว รถทุกคันขึ้นได้หมด จะขาเข้าขาออกอย่างไรก็ตาม เต็มคันเขาก็ออก ไม่ต้องรอใคร

เขาจะแวะให้ทุกที่ แม้กระทั่งลงไปก่อเจดีย์ก็ยังทำกัน คือเอาหินมาตั้งเรียง ๆ กันให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง อาตมาเองก็ประชดชีวิต เอาหินแผ่นบาง ๆ ที่เป็นแบบหินชนวนบ้านเราไปตั้ง เออ...ก็ตั้งได้เหมือนกันนี่หว่า..!"

เถรี
15-11-2019, 19:56
"วันแรกออกจากอุทยานซื่อกูเหนียงซานมาก็เกือบค่ำ มาพักอยู่แถว ๆ หมู่บ้านชิงเทียน หนาวเสียจนมือไม้ชาหมด อาตมาได้เปรียบเพราะว่าก่อนไปมีญาติโยมบางท่านที่รู้เรื่องเหล่านี้ ถวายสังฆทานให้เจ้าที่ล่วงหน้า อาตมาเจอเจ้าที่ก็เลยขอใช้บริการพิเศษด้วย จึงไม่ค่อยจะหนาวเหมือนกับคนอื่น

คราวนี้ทางการจีนเขาจะให้พักอยู่นอกเขตอุทยาน อาคารทุกหลังน่าจะเป็นรัฐบาลลงทุนสร้าง หน้าตาเหมือนกันหมด แปลนเดียวกันหมด แล้วก็ให้บรรดาชาวทิเบตชาวพื้นเมืองไปเช่าเพื่อทำกิจการ เปิดร้านอาหารบ้าง เปิดโรงแรมบ้าง เปิดร้านขายของที่ระลึกบ้าง ฯลฯ รัฐบาลที่สร้างก็เอาใจคนทิเบตมาก เพราะว่าตึกทุกหลัง โดยเฉพาะประตูหน้าต่างจะเป็นลายอัษฎมงคล ก็คือความเป็นมงคล ๘ ประการของเขา ซึ่งจะมีฉัตร มีธรรมจักร มีหอยสังข์ มีดอกบัว มีเงื่อนไร้ที่สุด มีหม้อน้ำมนต์ เป็นต้น"

เถรี
15-11-2019, 20:00
"เนื่องจากคณะคุณตั้วที่ไปนั้น เป้าหมายของเขาก็คือไปถ่ายรูป เขาก็เลยเลือกไปปลายฝนต้นหนาว เพราะว่าใบไม้กำลังเปลี่ยนสี แต่ปีนี้เมืองจีนหนาวเร็ว ในเมื่อเมืองจีนหนาวเร็วก็เลยทำให้ในบางแห่งใบไม้ไม่ได้เปลี่ยนสีอย่างเดียว แต่ร่วงหมดแล้ว เหลือแต่กิ่งก้านเท่านั้น

ไปพักที่โรงแรมก็ต้องบอกว่าโรงแรมเขาอยู่ในระดับดีใช้ได้ทีเดียว เพียงแต่ว่าเราอย่าไปตั้งความหวังไว้สูง แต่ว่า ๒ วันหลังนี่ดีมาก เพราะว่าเขาพาไปพักระดับ ๔ ดาว ๕ ดาวเลย ก็เลยสงสัยว่าเขาจะได้กำไรมากหรืออย่างไร เป็นอะไรที่ต้องบอกว่าค่อนข้างจะน่ากลัว

อาหารเช้าในโรงแรมเป็นข้าวต้มกับหมั่นโถว กินกันไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ข้าวต้มส่วนใหญ่ก็ใส่ลูกเดือยบ้าง ใส่ถั่วแดงบ้าง เป็นข้าวฟ่างต้มบ้าง พวกเราไปส่วนใหญ่กินกันไม่ได้ ส่วนพระอาจารย์ซดไป ๓-๔ ถ้วยเป็นอย่างน้อย

กับข้าวของเขาก็ผัดผักกาดขาว ผัดถั่วงอกเป็นหลัก จะมีไข่ต้มให้มื้อเช้าละ ๑ ฟอง ไข่ต้มเฉย ๆ ไม่มีอะไรเลย แล้วรู้สึกจะเป็นคนข้างนอกเข้ามาขายด้วยนะ จะต้มไข่เข้ามา คุณต้องแสดงบัตรที่พักของตัวเองก่อน แล้วเขาก็จะให้ไข่ต้ม ๑ ฟอง แต่คราวนี้เสฉวนเป็นเขตที่มีคนไทยโบราณอยู่กันเยอะ กินเผ็ดกันมาก กับข้าวมาแต่ละจานนี่พริกท่วมมาเลย"

เถรี
15-11-2019, 20:30
"วันแรกที่เมืองจีนอาตมาก็ท้องเสียเลย เพราะว่าอาหารทั้งเผ็ดทั้งมัน เขาใส่พริกมาก...ประเภทหมูผัดพริกกลายเป็นพริกผัดหมู แดงโร่หมดทั้งถ้วยเลย..! คาดว่าเป็นเพราะบ้านเขาหนาวมาก ต้องกินของเผ็ด ๆ เข้าไปช่วย ขนาดเต้าหู้อ่อนยังใส่พริกจนแดงไปทั้งถ้วย

คนไทยเราไม่ค่อยกลัวพริกหรอก ไปกลัวพวกหมาล่าหรือฮวาเจียว เพราะว่าพวกนั้นเวลาโดนเข้าไปแล้วชาทั้งปาก พอเคี้ยวโดนทีก็...เวรแล้วกู เนื่องจากว่าอาตมาเคยกินพริกกะเหรี่ยงมาแล้วก็พอสู้ไหว แต่ว่าวันแรกก็ท้องเสียเลย วิ่งส้วมเสีย ๒ รอบ ๓ รอบ"

เถรี
15-11-2019, 20:33
"ประเทศจีนกำลังเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกถนนหนทาง ทำให้เวลาดูจากแผนที่แล้ว มีหลายเส้นทางที่เราไปแต่ยังไม่ปรากฏในแผนที่ อย่างอุโมงค์ที่เราวิ่งเข้าไปกัน ลัดทางจากเมืองซินตูเฉียวไปเมืองเฉิงตูได้ ๓ ชั่วโมงกว่า แต่เข้าอุโมงค์ไปกันเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร เข้าไปจนอยากจะหลับ เขาก็ต้องมีไฟประดับสีโน้นสีนี้ ถามว่าติดไปทำไม ? ไกด์บอกว่าเพื่อให้คนขับได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็หลับ

น่ากลัวตรงที่ว่าจีนเขาทำอะไรทำทีเดียว ของเราเจาะอุโมงค์เป็นร้อย ๆ กิโลเมตรเส้นเดียวก็ไม่ไหวแล้ว เขาเจาะทั้งไปทั้งกลับเลย เสร็จแล้วหัวท้ายเขาไปตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ หินที่เจาะได้ก็คือเอาไปทำปูนซีเมนต์ แล้วก็กลับมาใช้ในงานก่อสร้างใหม่ ทำได้รอบคอบมาก บางทีวิ่งไป ๑๒-๑๓ กิโลเมตรโผล่ออกมาเห็นท้องฟ้า เพราะว่าเป็นซอกระหว่างเขา ก็หายเข้าไปในภูเขาอีกแล้ว รวมแล้วเข้าอุโมงค์กันนับครั้งไม่ถ้วน"

เถรี
15-11-2019, 20:34
ต้องบอกว่าเจ้าที่ท่านจัดโปรแกรมไว้สุดยอดมาก ทำให้เรามีอะไรตื่นตาตื่นใจกันตลอดเวลา ส่วนวันสุดท้ายที่ต้องตะบึงกลับมา ๓๐๐ - ๔๐๐ กิโลเมตรนั่น ไม่มีอะไรให้จอดดู เขาก็ให้ฝนเทเสียเต็มที่เลย เพราะว่าถ้าฝนตกวันอื่นเราจะเซ็งมาก อยากดูหิมะเขาก็ให้ตกตอนดึก ๆ ตอนเช้าสามารถวิ่งรถได้ ถนนไม่ลื่นแล้ว ถึงเวลาก็ลงไปเล่นหิมะกัน

เถรี
15-11-2019, 20:35
ปกติอาตมาเองนี่ไม่มีความคิดที่จะไปอินเดียเลย เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือเกิดที่นั่นจนเบื่อแล้ว สาเหตุที่สองก็คือร่างกายไม่ค่อยดี อากาศของอินเดียเหลือรับประทาน แต่คราวนี้ในเมื่อมีคนจ่ายสตางค์ให้ไป เรามีหน้าที่ไปอย่างเดียว ก็เลยไปให้เขาสักหน่อย

เถรี
15-11-2019, 20:36
ถาม : น้องชายบวชมาได้ไม่กี่วัน วันที่สี่เขาก็เลยพาไปงานศพ ไปสวดงานศพ เหมือนท่านสติแตกจากในงานตรงนั้น เขาก็เลยให้ส่งโรงพยาบาล ภรรยาเขาบอกว่า ก่อนที่จะมารับตัว พระท่านร้องไห้ หลังค่อมเหมือนคนแก่ พอสักพักก็หาย ท่านก็พูดว่า “คุณยาย..อย่ามาใกล้ผม ๆ เดี๋ยวผมจะพาขึ้นสวรรค์” ตอนนี้ก็เลยพาไปโรงพยาบาล ปกติท่านไม่เคยเป็นแบบนี้เลยค่ะ เราจะทำอย่างไรให้สติท่านรวมและดีขึ้นได้บ้างคะ ?
ตอบ : โน่นเลย...ธงมหาพิชัยสงครามของวัดท่าซุง ให้เขาติดตัวไว้เลย บอกให้อาราธนาติดตัวไว้ จะได้กันของพวกนี้ได้

บางคนสภาพจิตเขาสื่อกับพวกนี้ได้ง่าย แล้วก็มีกรรมเนื่องกันมา เขาก็จะยืมร่างกายไปใช้ อาจจะอยากบอกลูกบอกหลานของตัวเองว่าต้องการอะไรบ้าง แล้วคราวนี้เจ้าของร่างกายเขาต่อต้าน ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ

เถรี
16-11-2019, 08:34
ถาม : พี่เขาสอนให้หนูทำสมาธิ ตอนนี้หนูเริ่มทำสมาธิแล้ว จะมีข้อไหนที่ทำให้ดีขึ้นคะ ?
ตอบ : การทำสมาธิเขาทำเพื่อให้ใจสงบ ถ้าหากว่าใจสงบ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่เกิด บุญใหญ่ก็เกิดขึ้นกับตัวเรา คราวนี้ถ้าบุญใหญ่เกิดกับตัวเรา ก็อยู่ที่เราว่าจะสั่งสมไปขนาดไหนจึงจะเพียงพอในการใช้งาน ถ้าหากว่าพอใช้งาน ต้องการอะไรก็เป็นอย่างนั้น จึงต้องทำกันไประยะหนึ่ง ทำแล้วจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ

เถรี
16-11-2019, 09:08
ถาม : ลักษณะที่เรียกว่าท่าที ถือเป็นอากัปกิริยาของกายแท้ ๆ หรือใจของเรา อย่างเช่นทำตาน่าสงสารหรือร้องขอ อะไรทำนองนี้ ?
ตอบ : ถ้าใจไม่สั่ง กายก็ทำไม่ได้

ถาม : อย่างนี้ทำไมในภาพถ่าย.....?
ตอบ : ภาพถ่ายเป็นการถอดแบบ ถ้าเครื่องมือในการถอดแบบดีก็ถอดได้ใกล้เคียง

ถาม : ที่เรียกว่ากระแส เช่น พอไปถึง เอ๊ะ...ทำไมคนนี้อยู่ใกล้ ๆ แล้วรู้สึกได้ว่าใจดี ?
ตอบ : อันนั้นเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ คราวนี้ว่าพอนานไปมีการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง

เถรี
16-11-2019, 09:09
ถาม : กระแสในคนแบบที่ถามเมื่อครู่นี้ เป็นพลังงานเดียวกับที่อยู่ในวัตถุมงคลไหมคะ ?
ตอบ : คล้ายกัน เพียงแต่ว่าถ้าเป็นสิ่งที่มีชีวิตสำหรับพวกเราจะสัมผัสได้ง่ายกว่า ถ้าหากสิ่งไม่มีชีวิตบางทีเราก็สัมผัสได้ยากกว่า

ถาม : ในวัตถุมงคล พลังงานที่ว่ามีทั้งเกี่ยวกับพระและไม่เกี่ยวกับพระ ?
ตอบ : ใช่..ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำมาจากอะไร มีทั้งคุณพระ มีทั้งไสยศาสตร์

เถรี
16-11-2019, 09:11
ถาม : พวกลมเพลมพัดก็แค่เอาธรรมชาติดึงมา ทำให้ธาตุเกินหรือขาด ธาตุที่ไม่สมดุลก็มีผลแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ตัวลมเพลมพัด ถ้าเข้าไปก็ทำให้เกิน คราวนี้พอเกินก็เดือดร้อน

ถาม : พวกโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากท่านที่มีหน้าที่ส่งผล ก็ปน ๆ อยู่กับพวกลมเพลมพัด ?
ตอบ : คล้ายกัน เพียงแต่ว่าขึ้นอยู่กับวาระ ถ้าหากว่ากรรมเก่าเปิด ก็ทำอันตรายเราได้ ถ้ากรรมเก่าไม่เปิด ก็ทำอันตรายเราไม่ได้

เรื่องของลมเพลมพัดก็คล้ายคลึงกัน ถ้าไม่มีวาระกรรมมาบวกด้วย เขาก็ทำอะไรไม่ได้หรอก โบราณอาบน้ำเขาให้หันหลังให้ต้นน้ำ ถ้าหันหน้าเดี๋ยวจะเจอลมเพลมพัด โดยเฉพาะทางพวกพราหมณ์เขาถืออะไรแปลก ๆ อย่างเช่นว่า ถ้าอาบน้ำต้องอยู่ตอนเหนือของท่าน้ำ ให้พวกผู้หญิงอยู่ทางตอนใต้ จะได้ไม่ต้องมลทิน ไม่โดนกาลกิณี แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าทางเหนือท่าน้ำของเรา จะไม่ใช่ทางใต้ของท่าอื่น ?

ถาม : เคยอ่านเจอ มีข้อกำหนดว่าพระราชาจะต้องไม่อาบน้ำโดยหันหน้าไปทางต้นน้ำเหมือนกัน ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องที่เขาเชื่อกัน เพราะว่าของพวกนี้ก็อาศัยเรื่องของกระแสน้ำกระแสลมช่วยพาไปเหมือนกัน

เถรี
16-11-2019, 09:17
พระอาจารย์เล่าว่า "งวดนี้ด้วยความที่รีบร้อนไปเมืองจีน กลับมาค่อยมาทำงานที่ค้างอยู่ เมื่อวานน้องเล็กเพิ่งจะนับเงินใส่บาตรเทโวฯ เสร็จ ค้างมาตั้งแต่ตอนตักบาตรเทโวฯ เพราะว่าส่วนที่ต้องรีบเลยก็คืองานกฐิน ยอดเงินกฐินทางคณะสงฆ์บังคับว่า ต้องรายงานทันทีที่ทอดกฐินเสร็จ แล้วจำนวนเงินตามหลักที่ปฏิบัติก็คือ ฝากเข้าธนาคารเป็นยอดจำนวนเต็ม จะใช้อย่างอื่นจึงค่อยเบิกมาทีหลัง แต่ยอดแรกต้องเต็มเท่ากับที่เรารายงาน ก็เลยมัวแต่ไปเร่งนับเงินกฐินกัน

แล้วก็มีประเภทที่เรียกว่าตัดสินใจยากมากันมากด้วย อย่างเช่นว่า ‘ถวายทองคำร่วมงานกฐินเพื่อหล่อพระ’ อาตมาก็ได้แต่นั่งกุมหัวว่า ตกลงเขาจะเอาอย่างไรวะ ? ‘ถวายเงินออกกรรมฐานร่วมสร้างวิทยาลัยสงฆ์’ ตูจะบ้า..! จะมีรายการตัดสินใจยาก ๆ มาอยู่เรื่อย ต้องมานั่งแกะซองอีกบานตะเกียง ถ้าเป็นคนอื่นพอถึงเวลาตัดสินใจยาก กลัวผิดพลาด ก็จะรวม ๆ พวกที่กำกวมไว้ ถึงเวลาก็ยกให้หลวงพ่อไปนั่งแกะซองเอาเองว่าจะแยกใส่กองไหน"

เถรี
16-11-2019, 09:19
"เขาระบุมาแล้วว่าหล่อพระก็คือหล่อพระ เพียงแต่เขาถวายช่วงกฐิน ระบุว่าสร้างวิทยาลัยสงฆ์ก็คือสร้างวิทยาลัยสงฆ์ แล้วเขาเล่นเอามาถวายร่วมกับกฐิน แล้วก็มีเงินใส่บาตรเทโวฯ มีคนหนึ่งใส่มาหนึ่งแสนบาท เขียนว่า ‘เงินตักบาตรเทโวร่วมทอดกฐิน’ ต้องแบ่งลงบัญชีละครึ่ง ก็เลยทำให้งานยากขึ้นอีกเยอะ"

ถาม : ถือว่าเขาถวายเป็นบริวารกฐินได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ประมาณนั้นแหละ เพียงแต่ว่าต้องมาแยกบัญชีต่างหาก

เงินที่ญาติโยมทำมาส่วนใหญ่ต้องทำตามเจตนาของเขา ถ้าผิดเจตนาท่านปรับโทษเท่ากับย้ายเจดีย์เลย คือย้ายสิ่งที่เขามีความเคารพ มีความนับถือ ทำให้กำลังใจเขาเสีย ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่พระเราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ถึงได้เห็นว่าบางวัดรับกฐินมาแล้วเอาเงินไปซื้อรถ บางวัดรับกฐินมาเอาเงินไปเที่ยวต่างประเทศ อาตมาเองบ่นมาเสียจนไม่รู้จะบ่นอย่างไรแล้ว แต่เขาก็ยังทำกันอยู่...เขาไม่กลัว คนกลัวอย่างอาตมาก็ทนต่อไป อาตมาถึงได้บอกว่า "ถ้าจะให้ไปเที่ยวต่างประเทศต้องคนอื่นจ่าย ถ้าให้จ่ายเองอาตมาไม่ไป"

เถรี
16-11-2019, 21:05
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปเมืองจีนเจอแต่ร้านขายของที่เอาของปลอมมาขาย แม้กระทั่งประคำทำจากเขาจามรีก็เป็นเรซิ่น แม้แต่พวกเทอร์คอยส์ พวกปะการังก็เป็นของเทียม พวกอำพันก็เป็นของเทียม ไปเจอวัดหนึ่งคือวัดชงกู่ เป็นของแท้ทุกชิ้น แต่ขอโทษ...ไปผิดจังหวะ ไปถึงพระท่านเพิ่งตีกลองทำวัตร กว่าจะเสร็จก็อีก ๒ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย กะว่าขากลับพวกเราค่อยแวะมาดูใหม่ ปรากฏว่าขากลับมัคคุเทศก์พาเดินออกมาอีกทางหนึ่ง ต้องบอกว่าดวงจะไม่ต้องเสียเงิน

พวกหินทิเบต พวกปะการัง พวกเทอร์คอยส์ พวกอำพัน ฯลฯ เทคโนโลยีสมัยปัจจุบันนี้ทำได้ใกล้เคียงมาก ทำได้แม้กระทั่งงาช้าง งาช้างนี่ลายเริ่มใกล้เคียงแล้ว สีก็ได้แล้ว แต่น้ำหนักยังไม่ได้

กลายเป็นว่าไปเจอของดีเข้า ยืนน้ำลายหกกัน แต่ว่าพระท่านไม่อยู่สักรูปหนึ่ง ไปทำวัตรกันหมด มัคคุเทศก์บอกว่าเป็นวัดที่ค่อนข้างจะเข้มงวด ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีพระคอยอยู่ต้อนรับสักรูปหนึ่ง นี่ไปกันหมด พระจีนเวลาสวดมนต์ท่านมีตีกลอง มีเคาะมู่อวี๋ มีตีระฆังให้จังหวะด้วย เวลาเดินไปได้ยินเสียงกลองตึงแรก อ้าว...เวรกรรมแล้วกู ท่านทิ้งวัดให้พวกเราดูเลย แล้วสถานที่ห้ามถ่ายรูป...อยากถ่ายก็ถ่ายไป ท่านปล่อยเลย ไปทำวัตรกันหมด"

เถรี
16-11-2019, 21:17
"ไปเจอของดีเข้าแต่ซื้อไม่ได้ ส่วนที่เขาตั้งใจจะขายให้ก็กลายเป็นของปลอมเสียทั้งนั้น แบบเดียวกับที่ไปปากีสถาน โยมมาถามอาตมาว่าชิ้นไหนแท้ ? ก็ชี้ให้เขาดู พอไปถามราคาของแท้ก็แพง โยมก็เลยแกล้งชี้ของเทียม ไอ้เจ้านั่นรู้แกวแล้ว แสดงว่าเราต้องดูเป็น เพราะว่าชี้แต่ของแท้มาแต่ต้น เขาบอกเลยว่าอันนี้ “แมนเมด” เขาพยายามสื่อว่า เป็นของที่คนทำขึ้นมา ซึ่งก็คือของเทียม

แต่ตอนนี้พวกเราเริ่มรู้แล้วว่า ถ้าซื้อหลายชิ้นสามารถต่อได้ เพราะฉะนั้น..ใครจะเอาอะไรต่างคนต่างก็บอกกัน แล้วก็รวมซื้อเป็นเจ้าเดียว จะต่อราคาได้เยอะ แต่ว่าบางแห่งก็ขายแพงเกินเหตุ อย่างหวีที่ทำจากเขาจามรี ร้านค้าที่ขายอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวประมาณ ๕๘-๖๘ หยวน พอไปซื้อในห้างกลายเป็น ๑๒๘ หยวน คนจีนขายของเขาลงด้วย ๘ คนไทยขายของลงด้วย ๙ แม้กระทั่งค่าห้องพักก็ ๒๘๘ หยวน ๑๘๘ หยวน

แต่ต้องยอมรับว่าทางคณะของคุณตั้วเขาใจใหญ่ ช่วง ๓ วันหลังนี่พักระดับ ๔ ดาว ๕ ดาวตลอดเลย พวกเราก็ไม่ได้ต้องการนอนหรูขนาดนั้น แต่เขาก็คงเกรงว่าพวกเราจะลำบาก เพราะว่าโรงแรมพวกนี้มีฮีตเตอร์ มีพวกเครื่องอุ่นเตียงให้ ทำให้อยู่สบาย แต่อาตมาไม่ใช้เลย เข้าไปถึงปิดไฟหมด แล้วก็เปิดหน้าต่าง ให้อุณหภูมิข้างในกับข้างนอกเท่ากัน ถึงเวลาตื่นแล้วจะไปไหนก็ไปได้ คนอื่นออกไปก็ต้องไปสั่นกันอยู่พักใหญ่"

เถรี
16-11-2019, 21:26
"ไปเพื่อทดสอบสมรรถภาพว่าอายุ ๖๐ แล้วยังไหวไหม ? แต่ประเภทที่เรียกว่าอึด ๆ อย่างน้องเล็กยังแย่เลย เดิน ๓ ก้าว ๔ ก้าวต้องพัก เพราะว่าอากาศไม่พอหายใจ ตอนที่ไปทิเบตนั่นแค่เดินยาว ๆ ๓ ก้าวแล้วไปยืนหอบข้างถนน ก็ยังแปลกใจตัวเอง แต่อันนั้นเดินแค่ระยะสั้น ๆ ที่เหลือพวกเราขึ้นรถตลอด งวดนี้เดินกันได้สะใจจริง ๆ เดินกันทีหนึ่งครึ่งค่อนวัน ก็เลยทำให้รู้ว่าถ้าอากาศไม่พอหายใจ เรายิ่งเดินทางไกลก็ยิ่งแย่ กล้ามเนื้อร่างกายส่วนไหนสะสมคาร์บอนไดออกไซด์มาก ก็จะปวดเมื่อยไปหมด

ถึงเวลากลับที่พักแล้วต้องใช้วิธีหายใจแบบพวกโยคะ หรือไม่ก็พวกคนฝึกปราณ หายใจลึก ๆ ไล่คาร์บอนไดออกไซด์ออกให้หมด ไม่อย่างนั้นแล้วรุ่งขึ้นระบมตาย กลับเมืองไทยมาแล้วตั้ง ๓-๔ วันยังติดหายใจยาว ๆ อยู่เลย

มีอยู่ ๒-๓ รายที่เจอตอนเดิน เอาหมอนไปด้วยใบเบ้อเร่อเลย ตอนแรกอาตมาก็สงสัย กะว่าไปไม่ไหวก็จะนอนเลยใช่ไหม ? มารู้ที่หลังว่าเป็นหมอนออกซิเจน เขามีสายต่อสะพาย ถึงเวลาก็ยัดจมูก บรรจุออกซิเจนเป็นหมอนลมเอาไว้ ช่วยกันกระแทกตอนล้มก็ได้"

เถรี
19-11-2019, 17:46
พระอาจารย์เล่าว่า "ไปอยู่จีน ๑๐ วัน พอกลับมาท่านเจ้าคุณปัญญา (พระเทพปริยัติโสภณ) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีถามว่า “อาจารย์เล็ก..กลับมาตอนไหน ?” กราบเรียนท่านว่า “กลับมาหลายวันแล้วครับ แต่ไปทอดกฐินปลดหนี้มาก่อน” “โอ้โฮ...ไหวหรือ ?” “ไหวครับ..ลงเครื่องมาแล้วได้นอนพัก ๑ คืน รุ่งขึ้นก็ไปสกลนครต่อเลยครับ”

ที่ไหวเพราะว่าคืนสุดท้ายซึ่งมานอนที่เฉิงตู สองทุ่มกำลังนอนอยู่ เห็นหลวงพ่อโตเขาเล่อซานท่านมา องค์ใหญ่มาก มีรัศมี ๒ สีคือสีเขียวกับสีเหลือง สวยจริง ๆ เลย มาเต็มที่เลย แล้วกลับเป็นพระสงฆ์ พอกราบท่านเสร็จท่านก็บอกว่า จริง ๆ แล้วท่านก็คือหลวงปู่ไห่ทงผู้แกะสลักองค์หลวงพ่อโต ท่านบอกว่าบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ เพิ่งได้ฉัพพรรณรังสีแค่ ๒ สี ได้สีเขียวกับสีเหลือง เห็นลูกหลานมาถึงก็เลยแวะมาเยี่ยม จึงกราบขอท่านว่ากลับไปขอให้ทำงานได้ ไม่อย่างนั้นกลับไปแล้วร่างกายโทรม ทำงานไม่ได้ก็ลำบาก"

เถรี
19-11-2019, 17:48
"ต้องบอกว่าหลวงปู่ท่านมีวิริยอุตสาหะมาก แกะสลักหลวงพ่อโตเขาเล่อซาน ๗๑ ปี ไม่ใช่อายุ ๗๑ นะ ใช้เวลาตั้งแต่สร้างจนท่านมรณภาพ ๗๑ ปี ก็แสดงว่าท่านอายุเกือบร้อย แต่ยังไม่ทันจะเสร็จดีท่านก็มรณภาพเสียก่อน แล้วมีผู้มีจิตศรัทธาร่วมกันตกแต่งจนเรียบร้อยสวยงาม รวมเวลาในการสร้างถึง ๙๐ ปี อาตมาชอบมากเลย รัศมีท่านสวยมาก เขียวกับเหลืองผสมกลมกลืนกัน เหมือนกับแสงแดดที่ส่องผ่านใบไม้อ่อน งามจริง ๆ

ถามท่านว่าทำไมรัศมีสีนี้ ? ท่านบอกว่าท่านเพิ่งบำเพ็ญบารมีมาได้แค่ ๒ สี ก็คือได้สีนีละ (สีเขียว)กับปีตกะ (สีเหลือง) แค่ ๒ สี หลวงพ่อวัดท่าซุงมีตั้ง ๕ สี...อีกนิดเดียวเอง ของหลวงพ่อวัดท่าซุงถ้าจำเป็นขอพระท่านสงเคราะห์ก็ครบ ๖ สี แต่ปกติแล้วถ้าท่านใช้กำลังของท่านเอง ก็จะมีอยู่ ๕ สี"

เถรี
20-11-2019, 06:56
ถาม : ไม่กล้าถามต่อเลยค่ะ ?
ตอบ : ไม่ต้องถาม ไปดูเอาเอง ของอย่างนี้ถ้าครูบาอาจารย์อยู่ก็พูดไม่ได้ ถ้าท่านไม่อยู่แล้วพูดได้ เพราะว่าพูดไปแล้วพวกเราก็ไปทำอะไรไม่ได้ ถ้าท่านมีชีวิตอยู่แล้วเราไปเปิดเผย บางคนจะไปกวนไม่เลิก อย่างหลวงปู่หลวงพ่อหลายท่านเจอหน้าก็บอกเลย “ห้ามพูดตลอดชีวิต” ท่านเองท่านไม่ได้ต้องการคนไปรบกวนมากมาย ท่านอยากอยู่เงียบ ๆ สบาย ๆ

อย่างของทางสายอีสาน สมัยหลวงปู่ศรี วัดป่ากุง ท่านมีวาสนาบารมีมาทางด้านบริวารเยอะ แม้แต่หลวงตามหาบัวยังยอมรับ คิดดูสิว่าคนไปหาท่านขนาดไหน ปัจจุบันนี้มีอยู่องค์หนึ่ง ก็คล้าย ๆ หลวงปู่ศรี แต่ว่าอยู่ทางจันทบุรี ไปหากันเอาเอง เป็นหลวงปู่แล้วเหมือนกัน

เถรี
20-11-2019, 07:08
พระสายวัดป่าท่านไม่พูดเรื่องนี้ ท่านกลัวคนติด แบบเดียวกับท่านอาจารย์สมปองที่สิ้นแล้ว ก็ยังต้องสั่งให้เก็บสังขารเอาไว้ เพราะว่าลูกศิษย์ไปยึดผิด ไปยึดกายสังขารของท่านมากกว่าหลักธรรม แทนที่จะยึดในส่วนของสังฆคุณที่เป็นสุปฏิปันโนก็ไม่ยึด ไปยึดร่างกายท่าน ถ้าไม่เก็บเอาไว้ก็ย้ายแยกแตกกระจายกันไป หาหลักไม่ได้ ก็เลยต้องให้เก็บเอาไว้

ก็แปลว่าอาตมาเองเหนื่อยแทนท่านอาจารย์สมปอง สอนลูกศิษย์มาตลอดชีวิตแล้วลูกศิษย์ยึดอยู่แค่นั้น ตอนสมัยที่ตัวท่านอยู่ก็บ่นอยู่บ่อย ๆ เวลาไปไหนท่านเองก็พยายามผลักภาระ ถึงเวลาก็หลวงพี่โน่นนิด หลวงพี่นี่หน่อย...ไปเรื่อย บางทีเดินทางครึ่งค่อนวันอาตมาถือไมค์ฯ อยู่คนเดียว แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าท่านที่สร้างบุญร่วมกันมากับท่านก็ต้องไปตามกัน

พอท่านมรณภาพอาตมาอุตส่าห์ทิ้งงานวิ่งไปเป็นร้อยกิโลเมตร โทรไปเขาบอกว่ายังไม่มีกำหนดการอะไรทั้งสิ้น อ้าว...แล้วกัน ตอนนี้ขอปิดบ้านก่อน เราก็บรรลัยแล้วกู วิ่งไปถ้าเขาไม่เปิดบ้านไม่เสียงานแย่หรือ ? นี่ก็อุตส่าห์ทิ้งงานมา ก็เลยวิ่งกลับไปทำงานเดิม วิ่งกลับไปจะถึงวัดอยู่แล้ว เขาก็โทรมาแจ้งว่าจะสรงน้ำตอนเย็น ก็เลยบอกว่าไม่ไปแล้ว ใครอยู่ช่วยสรงแทนที ไม่ใช่ไปครึ่งทางแล้วบอกว่าปิดบ้านอีก ตูก็บรรลัยเท่านั้น

เถรี
20-11-2019, 07:23
การยึดมั่นถือมั่น แม้ว่าจะเป็นการยึดในเรื่องของความดี แต่ก็ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้ ก็คือยังติดดีอยู่ เหมือนกับที่เคยเปรียบว่า เราบอกว่าเราจะไปเชียงใหม่ แต่เรายืนกอดเสาอยู่ตรงนี้แล้วจะไปอย่างไร ? แต่คราวนี้คนเราถ้าทำยังไม่ถึง แม้ว่าจะพยายามเตือนเขาเท่าไร เขาก็ฟังผ่านหูไปเฉย ๆ

ญาติโยมหลายคนก็มีอาการแบบนั้น ก็คือยึดตัว ไม่ได้ยึดหลักธรรม อาตมาเองก็เลยต้องใช้วิธีว่า ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ไม่ยึดติดแทน โยมจะเห็นว่าพอนอกเวลางาน อาตมาไม่รับใครเลย ใครมาหาไล่เตลิดเปิดเปิงหมด ก็ในเมื่อเขาไม่ยอมเลิกยึด...เราก็ต้องเลิกเสียเอง

เถรี
20-11-2019, 07:29
จะเห็นน้ำใจหลวงปู่ถมยาเลย (หลวงปู่พระธรรมสิทธิเวที วัดสังเวชวิศยาราม) ๙๐ ปีแล้วยังอุตส่าห์ไปงาน แต่ว่าท่านอาจารย์สมปองก็เป็นพระครูปลัดฐานานุกรมของท่านนั่นแหละ

หลวงปู่ท่านยึดหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักมาตั้งแต่สมัยโน้น มีอะไรก็หลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ก่อน โดยเฉพาะลูกศิษย์สายวัดท่าซุง ถ้าไปหาท่านพยายามที่จะสนับสนุนทุกอย่าง เพราะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วกำลังใหญ่ สามารถช่วยงานได้มาก อย่างท่านอาจารย์สมปอง แม้ท่านรู้ว่าให้ฐานานุกรมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก...แต่ท่านก็ให้ ปกติตำแหน่งฐานานุกรมชั้นธรรมนี่เขาประเภทแย่งกันซื้อ นี่ท่านถวายให้เฉย ๆ

เถรี
20-11-2019, 07:54
ตอนนั้นหลวงพ่อพระพรหมสิทธิ น่าจะยังเป็นพระธรรมสิทธิเวที ท่านก็บอกว่าท่านจะถวายพระครูปลัดให้อาตมา อาตมาก็ทำหูทวนลม จนกระทั่งท้ายสุดไม่ไปรับ ท่านต้องให้คนอื่นไปแทน หลวงพ่ออดีตพระธรรมดิลกด่าซะ “ผู้ใหญ่ให้แล้วยังหยิ่งอีก ไม่ยอมไปรับ” แล้วท่านก็สรุปเองว่า “เออ...ก็ดี..จะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณใคร”

พวกเราจะมียศมีตำแหน่งหรือไม่...เราก็ทำงาน คนอื่นเขาต้องการกำลังใจด้านนี้ ก็ให้เขาไปเถอะ แต่ว่าเดือนนี้วันที่ ๑๙ ต้องไปรับที่วัดไร่ขิง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับในถิ่นตัวเอง คือรับใกล้ ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วต้องไปรับที่วัดพนัญเชิงบ้าง วัดพระพุทธบาทบ้าง วัดโสธรบ้าง หนกลางส่วนใหญ่เขารับวน ๆ กันอยู่ไม่กี่วัดนี้ เพิ่งจะมีปีนี้ที่วนกลับมาจังหวะของอาตมาพอดี มาลงที่วัดไร่ขิง

ตอนแรกก็คิดว่าอย่างเก่งเขาก็ขยับให้เป็นเจ้าคณะตำบลชั้นเอก เพราะว่าแต่เดิมเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นโท แล้วปัจจุบันนี้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอชั้นโท ถ้าให้เป็นตำบลเอกอาตมาก็ขาดทุน เพราะว่าปัจจุบันวิ่งเลยไปแล้ว แต่ปรากฏว่าให้เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสอารามหลวงชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระด้วย เลื่อนไปที ๒๐ ที่นั่ง

เถรี
20-11-2019, 07:58
เดี๋ยวไว้เจอหน้าหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จะเรียนถามท่านว่า พัดฝ่ายวิปัสสนาธุระของเมืองกาญจน์ฯ เคยมีไหม ? ทองผาภูมิไม่เคยมีแน่นอน พัดขาวได้ยากมาก ถ้าในระดับชั้นเดียวกันพัดขาวจะนั่งหน้าเขาทั้งหมด

อย่างเช่นว่าถ้าผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอกมา จะกี่คนก็ตาม อาตมาต้องนั่งเหนือเขา เพราะว่าของเราเป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ แสดงว่าโบราณพระมหากษัตริย์ท่านก็ให้ความสำคัญกับงานวิปัสสนาธุระมาก

แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นพระสุธรรมยานเถระ พระราชาคณะสามัญเปรียญ ก็เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ พอมาเป็นหลวงพ่อพระราชพรหมยานก็เป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ ถึงเวลาเจ้าคุณชั้นราชด้วยกันท่านก็ต้องนั่งหน้าเขาหมด ตอนหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ท่านเป็นพระราชภาวนาโกศล ก็ฝ่ายวิปัสสนาธุระเหมือนกัน

อาตมาบ่นว่า “ไม่ได้ดีใจหรอก เพราะว่าพัดไม่สวย ไม่มีสีไม่มีสันเหมือนคนอื่นเขา” ปรากฏว่าพวกบ่นกันพึม “ไอ้ห่...ได้สูงแล้วยังบ่นอีกว่าไม่สวย”

เถรี
20-11-2019, 08:08
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่งเอกสารไปแล้ว ยืนยันวันเวลาในการรับพัด แล้วก็บอกว่าต้องเอาเอกสารไปยืนยันตัวด้วย และเอาพัดเก่าไปคืนถึงจะได้พัดใหม่

ตอนช่วงนั้นพอดีว่าขึ้นเป็นเจ้าคณะตำบล ปกติจากเจ้าอาวาสขึ้นเป็นเจ้าคณะตำบล ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงพระราชทานสมณศักดิ์ เขาจะใช้วิธีปรับเลื่อนอัตโนมัติ ก็คือขอให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจัดการให้ แต่คราวนี้พอปรับเลื่อนแล้วก็ต้องไปตามกติกาเขา ก็คือว่าต้องหยุด ๓ ปี ๕ ปีตามแต่ตำแหน่งตัวเอง เว้นไป ๓ ปี ๕ ปีถึงขอได้ อาตมาก็ว่าอีกปีเดียวเราจะครบ ๕ ปี ถ้าอยู่ ๆ เลื่อนแล้วหยุดไปอีก ๓ ปีก็จะนาน ก็เลยบอกเขาว่าอย่างนั้นไม่เอา ยังไม่เอาเจ้าคณะตำบลชั้นโท ขอเป็นเจ้าอาวาสชั้นโทอย่างนี้แหละ แล้วไปปรับเลื่อนตอนครบ ๕ ปีแทน

ปรากฏว่าพอครบ ๕ ปี ปี ๒๕๕๙ ขอไปแล้วเงียบไปเลย ก็คิดว่าไม่ได้แล้ว ปรากฏว่าอยู่ ๆ หลุดออกมา ได้เยอะกว่าที่คิดอีกด้วย ตอนนี้ทางทองผาภูมิทั้งอำเภออาตมาแค่นั่งถัดจากเจ้าคณะอำเภอกับท่านอาจารย์มหาวริศ อาจารย์มหาวริศท่านเป็นเปรียญธรรม ๕ ประโยค เป็นเจ้าคณะตำบลด้วย ได้เทียบเท่าผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระรามหลวงชั้นพิเศษ ท่านนั่งเหนือกว่าหนึ่งตำแหน่ง

เถรี
20-11-2019, 08:12
ถาม : ในระบอบการปกครอง การมีตำแหน่งทำให้งานสะดวกขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสำหรับคนที่ไม่ไปเมายศเมาตำแหน่ง จะได้รับความสะดวกขึ้นเยอะ เพราะว่าคนอื่นเขาเกรงใจ แบบเดียวกับหลวงพ่อนิล ท่านบอกว่าผมเป็นพระธวัชชัย ไปไม่มีใครเห็นหัวเลย คราวนี้เป็นพระครูวินัยธรคนเริ่มมองเห็นแล้ว

อาตมาเห็นว่าท่านเป็นคนทำงาน อย่างครูบาหน่อแก้วฟ้าก็เช่นกัน ก็เลยขอหลวงพ่อจังหวัด...ขอฐานานุกรมให้ท่าน เป็นการขอข้ามจังหวัด ซึ่งปกติขอยากมาก แล้วหลวงพ่อจังหวัดท่านบอกไว้แล้ว ท่านบอกว่า "อาจารย์เล็กไม่เคยขอให้ตัวเองเลย...เพราะฉะนั้น..ผมให้"

เถรี
20-11-2019, 08:22
ต้องบอกว่าเป็นวาระพิเศษที่ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ทรงครองราชย์ พระองค์ท่านถึงถวายตำแหน่งให้ เป็นไปตามพระราชประเพณีโบราณ สรุปว่ายังดวงเฮงอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ติดอยู่แค่นั้น คราวนี้ที่ติดอยู่ของอาตมา ก็เป็นพระครูสัญญาบัตรไปแล้ว คนที่เขาติดโดยที่ไม่มีอะไรให้เลยนี่น่าสงสาร

หลายท่านก็ยังต้องอาศัยตรงนี้ เพราะว่าเวลาญาติโยมเขาเห็นครูบาอาจารย์ตัวเองได้แล้วก็จะรู้สึกดีใจ ตื่นเต้น ปลื้มใจ แล้วอาตมาก็เหมือนเดิม ไปรับพัดก็ไปแค่ ๒ คน ไม่มีขบวนแห่ ไม่มีอะไรกับใครทั้งนั้น รับเสร็จก็เผ่นเลย ถามว่าทำไมรีบไป ? ช้าไม่ได้ ถ้ารถคนอื่นออกเมื่อไรเราจะออกไม่ได้เลย เพราะว่าบางคนมานี่รถบัส ๓๐ คันอะไรแบบนี้ ก็คือลูกศิษย์เขาประเภทมายินดีกับพระอาจารย์ ของอาตมาถ้าคนไปเยอะ ๆ แล้วรำคาญ ไม่ว่าจะรับอะไรก็ไปคนเดียวหรือไม่ก็ไป ๒ คนเท่านั้น ไม่เกินนั้น บางคนก็ถามไม่มีลูกศิษย์มาเลยหรือ ? บอกว่าไม่มี รำคาญตอนเขาตามไม่ทัน

เถรี
20-11-2019, 08:26
พระอาจารย์เล่าว่า "มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปเมืองจีน คุณตั้วหัวหน้าทัวร์เขาเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ ก็ติดพวกเรามา กลางคืนนอนรู้สึกว่าเตียงหมุน ๆ แสดงว่ายากดประสาท ท่าน อาจารย์บ๊ะตอนนี้ก็แย่เลย รักษาคนอื่นแล้วก็โดนเสียเอง ช่วงนี้เลยไม่กล้าไปรบกวนท่าน อาจจะเป็นเพราะบารมีท้าวแสนโกฏิที่ป้าจี๋ (วินิตา) ถวายไปก็ได้ ไปเมืองจีนเที่ยวนี้ก็เลยไม่ได้ป่วยหนักเหมือนทุกครั้ง ปกติกลับมาจะป่วยแย่ไปเลย หรือหลวงพ่อไห่ทงท่านเอาอยู่ก็ไม่รู้ อาตมาขอท่านแล้วว่ากลับมาขอให้ทำงานได้

ความจริงอาจารย์บ๊ะท่านชื่อบะ คนไทยออกเสียงไม่ถนัดกลายเป็นบ๊ะ บะแปลว่าเนื้อ ตือบะก็เนื้อหมู โกยบะก็เนื้อไก่ ฮื้อบะก็เนื้อปลา แต่ถ้าจีนกลางออกเสียงโร่ว งู้บะเนื้อวัว ไปถึงเมืองจีนกลายเป็นหนิวโร่ว ภาษาจีนกลางออกเสียงคนละอย่างกัน"

เถรี
20-11-2019, 08:54
มีคนมาขอความรู้เรื่องเลขยันต์ "เรื่องเลขเรื่องยันต์เป็นเรื่องแปลกมาก อาตมาไม่ได้คิดจะศึกษา แต่พอมองแล้วเข้าใจว่าคืออะไร แล้วก็ทำได้ ก็เลยงง ๆ อยู่เหมือนกัน พอไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอก “ของเก่ามีเยอะ ของเก่าตามมา”

เถรี
20-11-2019, 08:58
ถาม : ถ้าวางอักขระเรียงสลับที่กันจะมีผลไหมคะ ?
ตอบ : สำคัญตรงใจของเรา ก็คือถ้าใจมุ่งด้านไหนก็จะไปด้านนั้น เพียงแต่ว่าถ้าหากว่าถูกต้องก็จะดีกว่า แต่ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะทำพวกนี้ได้ขึ้นที่สุด คนรู้มากนี่ไม่ค่อยได้เรื่อง เพราะว่ารู้มากแล้วไปเห็นว่าผิด

เถรี
20-11-2019, 09:15
ถาม : ตอนนี้เรียนหนังสืออยู่ จะต้องสอบให้ผ่าน มีอะไรแนะนำไหมคะ ?
ตอบ : ไปภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์เยอะ ๆ เคยได้ยินไหม ? คาถาสหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ บางคนเรียกว่าคาถาตาทิพย์ จะช่วยให้เข้าใจบทเรียนและอะไรต่อมิอะไรได้ดีขึ้น

อาตมาเรียนปริญญาเอกไม่ครบ ๓ ปีเสียด้วยซ้ำ โดนเขาไล่ให้จบเพราะว่าเก่งเกิน ตอนแรกอาจารย์บอกว่าเป็นตายถ้าไม่ครบ ๓ ปีก็ไม่ให้สอบ ปรากฏว่าพอเข็นรุ่นพี่ไม่ไปเลยมาเข็นอาตมาแทน วันก่อนเจอกันในงานวางศิลาฤกษ์วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดก็ชมให้ท่านรองอธิการบดีฟัง ท่านรองอธิการบดีก็ชมให้ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดฟัง ก็เลยต่างคนต่างชมกัน อาตมาก็ฟังไปเต็ม ๒ รูหู ตกลงว่าตอนเรียนอยู่นี่เคี่ยวเข็ญอาตมาเสียปางตาย ตอนนี้มาแย่งกันชม

เถรี
20-11-2019, 09:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในมหาปุริสวิตก ๘ ประการของพระอนุรุทธ มีอยู่ข้อหนึ่งว่า ‘บุคคลผู้มีสติตั้งมั่น ย่อมระลึกถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วนาน’ แปลว่านึกได้ นานแค่ไหนก็นึกได้ ที่เขียนบันทึกการเดินทาง บางคนบอกว่าทำไมรายละเอียดมาก เพราะว่านึกย้อนหลังไปแล้วก็นึกได้ เท่ากับเป็นการซ้อมอตีตังสญาณไปด้วย"

เถรี
20-11-2019, 09:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ซื้อของต่างประเทศอย่ากลัวเขาด่า ต่อราคาให้ต่ำติดดินไปเลย โดยเฉพาะประเทศที่บอกผ่านมาก ๆ อย่างอินเดีย กระเป๋าใบละ ๑,๕๐๐ รูปี คนโน้นก็จะเอา คนนี้ก็จะเอา ต่อไปต่อมาเหลือ ๑,๒๐๐ พอกระโดดขึ้นรถ ๒๐๐ ก็ให้ ถ้าซื้อของที่ประเทศอินเดียให้ซื้อตอนที่รถกำลังจะออก

ไปเมืองจีนงวดก่อนโน้น จำได้ว่าเขาพาไปซื้อเสื้อขนชามัวร์ ๑,๕๐๐ หยวน คือต่อราคาเหลือแค่นั้น พอซื้อมาแล้วแท็กซี่เขาบอกว่า ถ้าให้เขาซื้อก็แค่ ๒๐๐ หยวนเท่านั้น"

เถรี
20-11-2019, 09:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ประเทศฮ่องกงจากเศรษฐกิจรุ่ง ๆ อยู่ในระดับต้น ๆ ของโลก กลายเป็นดิ่งเหวไปเลย ฮ่องกงออกธนบัตรโดยธนาคาร ๔-๕ แห่ง แล้วรัฐบาลรับประกันเป็นธนบัตรที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย บางทีเราเห็นเงินฮ่องกงแล้วจะสงสัยว่าทำไมธนาคารโน้นออกได้ ธนาคารนี้ออกได้ ก็เพราะว่าสภาพคล่องของธนาคาร แล้วก็ความน่าเชื่อถือมีมาก ถึงขนาดสามารถออกธนบัตรเองได้

คราวนี้พอโดนประท้วงก็เละเทะไม่เป็นท่า ภาษิตจีนบอกว่า ยกหินทุ่มใส่เท้าตัวเอง ยกก้อนหินแทนที่จะไปขว้างหัวคนอื่น แต่กลายเป็นทุ่มใส่เท้าตัวเอง...เจ็บเอง เกิดจากคนฮ่องกงคนหนึ่งก่อคดีฆาตกรรม แต่ดันทะลึ่งไปมอบตัวกับรัฐบาลไต้หวัน จีนก็เลยต้องออกกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ปรากฏว่าคนฮ่องกงถือตรงนี้เป็นจุดไม่พอใจ แล้วประท้วงกันจนเละเทะไปทั้งประเทศ อีกอย่างหนึ่งก็ต้องบอกว่าคนที่ไปมอบตัวก็ไม่รู้จักตาย ไต้หวันเองก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว รัฐบาลไต้หวันถ้าไม่ใช่คิดจะลองของก็คงไม่กล้ารับเอาไว้ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นว่ารัฐบาลไต้หวันรับเผือกร้อนเอาไว้ในมือ"

เถรี
20-11-2019, 09:35
"เด็กรุ่นหลังไม่เคยกินเผือกต้ม เผือกเผา ไม่รู้หรอกว่าร้อนอย่างไร ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่อมความร้อนไว้ได้สูงมาก ถือไว้ในมือจะโยนต่อให้คนอื่นก็ไม่มีใครรับ

เรื่องพวกนี้เป็นการเมืองระหว่างประเทศที่มีความละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินการอย่างรอบคอบ อย่างรัฐบาลของเราพอจะแบนสารพิษ ๓-๔ ตัว เราจะเห็นว่ารัฐบาลต่างประเทศก็จะป้องกัน หรือว่าปกป้องบริษัทของประเทศเขา หรือคนของเขาทันที โดยการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีของประเทศเรา ก็ต้องหาอะไรที่มีกำลังเพียงพอที่จะไปต่อรองเขา ไม่ใช่ว่าอนุญาตให้เขาส่งถั่วเหลืองเข้ามา หรือว่าส่งหมูเนื้อแดงเข้ามา ไอ้นั่นมันบ้า..! อะไรที่ห้ามแล้วเราไปอนุญาต แล้วต่อไปจะห้ามเขาอย่างไร ?"

เถรี
20-11-2019, 09:43
"เมื่อเห็นรัฐบาลของเราทำงานกันอย่างกับเด็กหัดใหม่ อาตมาก็กลุ้ม เรื่องที่จะต่อรองกับเขามีเยอะแยะไป โดยเฉพาะความร่วมมือทางการทหาร ที่ระยะหลังเขากลัวว่าเราจะไปร่วมมือกับจีนหรือรัสเซีย ยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างเลย ส่งพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือว่าพลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ก็ได้ ไปเยี่ยมรัฐมนตรีกลาโหมที่ประเทศจีนหรือประเทศรัสเซีย...เดี๋ยวก็จบ...! ไม่มีอะไรหรอก ก็ไปนั่งจิบชาคุยกัน ส่วนคุยกันเรื่องอะไรกูไม่บอกมึง แค่นั้นพวกเขาก็วิ่งขี้แตกแล้ว ถ้าไม่อยากให้คุยกันก็จงยกเลิกกฎหมายที่คุณใช้ยกเลิกระบบภาษีกับของเรา แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

ต้องบอกว่าไร้ชั้นเชิงสิ้นดี ทำอะไรไม่เป็นมวยสักอย่าง ปัญหาที่แก้ได้ง่าย ๆ ด้วยการทำ กลับไปแก้ด้วยคำพูด ประมาณว่ารู้ตัวตั้งแต่เดือนกันยายนแล้ว หรือไม่ก็เพราะประเทศของเราเศรษฐกิจดีขึ้น ก็เลยโดนตัดสิทธิพิเศษทางภาษี ประสาชาวบ้านเรียกว่า "โชว์โง่" รู้ตั้งแต่กันยายนทำไมไม่หาทางป้องกัน ? ทำไมไม่หาทางเจรจา ? ถึงได้เตือนไปตั้งนานแล้วว่า บ้านเราต้องจับตาดูเรื่องของสงครามเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐกับจีนให้มากเข้าไว้ แล้วก็เตรียมตัวที่จะป้องกัน ทีนี้อาตมาตัวเล็กเกินไป พูดไปก็ไม่มีใครฟัง"

เถรี
20-11-2019, 09:46
ถาม : เขาฟังไม่รู้เรื่องกระมังคะ ?
ตอบ : ไม่หรอก...เรื่องอย่างนี้ปกติไม่มีใครรายงานอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าเจ้านายไม่ชอบฟัง ถึงบอกว่าบุคคลถ้าก้าวขึ้นไปสู่ระดับบริหารแล้วก็มักจะโดนปิดหูปิดตา เพราะว่าคนเขาจะเลือกพูดแต่สิ่งที่คุณอยากฟัง

ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องไปเกรี้ยวกราด อย่างบรรดาฝ่ายค้านหรือพวกนอกสภาที่แนะนำให้ไทยเราตอบโต้อย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องพวกนั้นเขาเรียกว่าโฉ่งฉ่างเหมือนมวยวัด ก็แค่ขอไปดูรถถังรัสเซียบ้าง ดูเรือดำน้ำจีนบ้าง..ก็จบแล้ว ไม่เห็นจะต้องไปทำอะไรมากมาย

ต่างประเทศเขาเวลาที่บริษัทหรือว่าเอกชนของเขาจะเสียเปรียบทางการค้าเมื่อไร รัฐบาลเขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยกดดัน แต่ของเรานี่บรรดาเอกชนหรือบริษัทระหว่างประเทศต่างก็บอกว่า ถ้าไม่มีรัฐบาลทุกอย่างจะดีมาก เพราะเขาค้าขายกันเองได้ ก็เลยกลายเป็นอะไรที่ลักลั่นสิ้นดี

เถรี
20-11-2019, 09:50
บ้านเราส่วนใหญ่มีตัวอย่างดี ๆ เราไม่ใช้กัน หรือว่าเลียนแบบเขาไม่เป็น ? หรือไม่ก็เกิดความหยิ่งแบบโง่ ๆ กลัวว่าไปเลียนแบบคนอื่นเขาเป็นที่น่าอับอาย อะไรที่เลียนแบบแล้วได้ประโยชน์เราต้องทำ โดยเฉพาะประโยชน์นั้นตกกับประเทศชาติและประชาชนของเรา หลักวิธีทางการทูตเขาก็มีอยู่ แทบจะเป็นสูตรสำเร็จอยู่แล้วก็คือ ‘พูดให้ชัดแต่เตะไม่ถึง’ โดยเฉพาะวิธีการทูตแบบจีน เราจะเห็นว่าสหรัฐกดดันจีนทุกวิถีทาง แต่เราเคยได้ยินประธานาธิบดีสีจิ้นผิงที่กุมอำนาจเต็ม พูดอะไรเกี่ยวกับสหรัฐบ้าง ? ...ไม่มี ปล่อยให้บรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยบ้าง ผู้ช่วยรัฐมนตรีบ้างออกมาพูด ถ้าผลกระทบเกิดขึ้นในด้านไม่ดีก็ปฏิเสธได้ ว่านั่นเป็นความเห็นส่วนตัว

ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่อยากให้รัฐบาลเตรียมพร้อมที่สุดก็คือภัยแล้ง เพราะว่าปีนี้แม้แต่หน้าฝนบางพื้นที่ยังแล้งสาหัส ตอนนี้เขื่อนจำนวนหลายเขื่อน โดยเฉพาะทางด้านเหนือหรืออีสาน มีปริมาณน้ำสำรองไม่ถึง ๕๐% ต้องคิดวิธีแก้ไปแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่รอจนกระทั่งไฟไหม้บ้านแล้วค่อยหาน้ำมาดับ

เถรี
20-11-2019, 09:56
ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาพืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ มีอยู่ทุกปี ต้องวางแผนแก้ไขอย่างยั่งยืน ในบ้านของเราไม่มีตรงนี้ ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่เรียนจบด็อกเตอร์สารพัดมีเป็นพันเป็นหมื่นคน อาตมาเองตั้งแต่เข้าเรียนชั้น ป. ๑ สินค้าส่งออกหลักของไทยก็คือ ข้าว ข้าวโพด ไม้สัก ยางพารา ปัจจุบันนี้ตัดไม้สักออกไปก็ยังมี ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เราก็ยังส่งยางแผ่น ไม่มีการทำวิจัยเลยหรือว่าจะทำอะไรให้เกิดมูลราคาเพิ่มมากขึ้น ผลิตเป็นสินค้าอะไรเป็นที่ต้องการของเขา แล้วก็ส่งออกไปจำหน่ายกลับมา

ปีนี้อาตมาอายุ ๖๐ เรียน ผ่านมา ๕๒ ปีไม่ได้มีงานวิจัยอะไรที่จะเพิ่มมูลราคาสินค้าการเกษตรของเราให้ชัด ๆ บ้างเลยหรือ ?

แล้วพวกที่เขาเรียนจบออกมาเป็นพันเป็นหมื่นมีเอาไว้ทำอะไร ? ประเทศจีน ประเทศเวียดนาม แม้กระทั่งประเทศอินเดีย กลายเป็นคู่แข่งการส่งออกข้าวที่น่ากลัว เขาศึกษาวิจัยกันว่าในพื้นที่เท่าเดิม ทำอย่างไรจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่ต่อถังให้มากขึ้น เราเองนักวิชาการเกษตรพยายามแทบตาย แต่พอปลูกข้าวออกมา รัฐบาลประกันราคาข้าวแล้วโดนปฏิวัติ...ตูจะบ้า...!

เถรี
20-11-2019, 09:58
ประกาศเป็นนโยบายรัฐบาลแล้วไม่ทำก็ซวย พอทำแล้วกลายเป็นข้ออ้างให้ปฏิวัติ ช่วงรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่จำนวนเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ทั่วโลกลดลงเพราะพืชผลการเกษตรตกต่ำ พอมาถึงปัจจุบันนี้คนก็ทิ้งแล้ว ราคายางก็ตก ราคาน้ำมันปาล์มก็ตก ราคาข้าวก็ตก ราคาข้าวโพดก็ตก ราคามันสำปะหลังก็ตก

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ศึกษาวิจัยการใช้ไบโอดีเซล อาตมาจำได้ตั้งแต่โตโยต้าโซลูน่ารุ่นเครื่อง ๑๕๐๐ รุ่นแรกออกมา จนป่านนี้ระยะเวลากี่ปีแล้ว ? ๓๐ กว่าปี ได้มีใครรับช่วงไปทำบ้าง ? ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ไขราคาน้ำมันแพง และแก้ไขปัญหาพืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ ไม่ว่าจะเป็นไบโอดีเซล เป็นแก๊สโซฮอล์ บ้านเราฮือฮาเป็นพัก ๆ เอาอ้อยมาทำแก๊สโซฮอล์ได้...ไม่ทำ เอามันสำปะหลังไปทำแก๊สโซฮอล์ได้...ไม่ทำ ปาล์มน้ำมันทำไบโอดีเซลได้...ไม่ทำ สู้ซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศไม่ได้ ฟาดคอมมิชชั่นทีเป็นร้อยล้านพันล้าน กลายเป็นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

ถึงว่าถ้าไม่ได้บารมีระดับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ต่อสู้มา ๗๐ ปีเพื่อประชาชน คงไม่เห็นใครเลยที่ทำเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง ปฏิบัติธรรมกันได้แล้ว..ฟังแล้วเครียด

เถรี
20-11-2019, 20:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระมหาเจดีย์ชเวดากองมีของดี ๆ ซ่อนอยู่เยอะแยะ ถ้าหากว่าไม่ใช่เจ้าถิ่นพาไปจริง ๆ ก็ไม่เจอ มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งที่ชี้นิ้วแล้วมีน้ำไหลออกจากนิ้ว เดี๋ยวก็หยด ๆ พวกคนในแอบเอาถ้วยเล็ก ๆ ไปตั้งไว้ ถึงเวลาก็เก็บไว้ใช้เอง คนนอกเข้าไม่ถึง เป็นกระจก ถ้าไม่มีกุญแจ ก็ได้แต่ยืนดูอย่างเดียว

แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดตูม มีน้ำออกจากเศียร เขาตักแล้วตักอีกก็ไม่หมดสักที ออกมาได้เรื่อย ๆ"

เถรี
20-11-2019, 20:32
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปเสฉวนตะวันตกมา มีแต่ยอดเขาหิมะ ระยะทางตั้งแต่เฉิงตูไปถึงซื่อกูเหนียงซาน ๒๒๙ กิโลเมตร รถวิ่ง ๔ ชั่วโมง ถ้าเป็นบ้านเรา ๒ ชั่วโมงก็ถึงแล้ว เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากฎหมายจีนเขาบังคับไว้ รถห้ามวิ่งเกิน ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีใครกล้าฝืน เพราะว่าเขาจะมีกล้องถ่ายอยู่เป็นระยะ ๆ ไป จากระยะนี้ไปถึงตรงโน้นกี่กิโลเมตร คุณใช้เวลากี่นาทีมาถึง เขาเช็คได้หมด"

เถรี
20-11-2019, 20:34
"เส้นทางจากเมืองเฉิงตูขึ้นไปถึงลาซาของทิเบต ที่ออกทางเสฉวนตะวันตก ประมาณ ๒,๒๐๐ กิโลเมตร สมัยโบราณพวกกองคาราวานค้าขายระหว่างเฉิงตูกับลาซาใช้เวลาเดินทาง ๒ ปี แปลว่าเอาของไปขายปีหนึ่ง ซื้อของกลับมาขายอีกปีหนึ่ง ก็คือค้าขายระหว่างทางไปเรื่อย ๆ

ไกด์ที่เขาดูแลคณะของเราชื่อ Eric น้ำหนักเป็นร้อยกิโลกรัมเลยนะ อาตมาเรียกว่า "กังฟูแพนด้า" ปั่นจักรยานเส้นนั้นมาแล้ว เขาบอกว่าสะสมระยะการปั่นจักรยานมาเป็นแสนกิโลเมตรแล้ว น้ำหนักเป็นร้อยเลยนะ อะไรจะแข็งแรงปานนั้น..?!

ตอนแรกก็ไม่เชื่อว่าจะแข็งแรงขนาดนั้น ปรากฏว่าตอนที่เดินขึ้นอุทยานย่าติงที่ไปทะเลสาบน้ำนม เขาไปถึงเป็นคนที่สาม อาตมากับทิดเฟิร์สไปถึงสองคนแรก ไปถ่ายรูปทะเลสาบน้ำนมเสร็จ ตอนเดินกลับ มีเสียงเรียกอยู่ข้างหลัง “ซือฟู่..ซือฟู่” หันไปดู อ้าว...Eric มาได้อย่างไรวะ ? อ้วนขนาดนั้นแต่แข็งแรงจริง ๆ ยอมรับเลย"

เถรี
20-11-2019, 20:35
"เขาบอกว่า ๒,๒๐๐ กิโลเมตร ผ่านภูเขาที่สูงเกิน ๔,๐๐๐ เมตรทั้งหมด ๖๑ ลูก ขนาดนั้นนี่เราแค่เดินยังหายใจไม่ทัน แล้วเขาปั่นจักรยานไป ทิดดอยถามว่า "แล้วกินอย่างไร ? นอนอย่างไร ?" เขาบอกกินบนรถ ค่ำไหนนอนนั่น ต้องเอาเต็นท์ เอาถุงนอนอะไรไปเอง

คำว่า กินบนรถ ก็คือซื้อเสบียงติดตัว ขี่ไปเคี้ยวไปอะไรประมาณนั้นแหละ เขาช่างมีวิริยอุตสาหะมาก สภาพอากาศแบบนั้น เราแค่เดินก็จะขาดใจตายแล้ว แต่นี่เขาปั่นจักรยานไปได้"

เถรี
20-11-2019, 21:53
อุทยานซื่อกูเหนียงซาน ภาษาไทยแปลว่า ภูเขา ๔ ดรุณี มีต้ากูเหนียง...พี่สาวใหญ่ เอ้อกูเหนียง...พี่สาวรอง ซันกูเหนียง...น้องสาวสาม แล้วก็ซื่อกูเหนียง...น้องสาวสี่ เป็นยอดเขาที่สูงเกิน ๕,๐๐๐ เมตรอยู่ ๔ ลูกเรียงกัน เป็นแนวเดียวกับแชงกรีล่า แต่ว่าตรงนี้อยู่ทางด้านของเมืองเสี้ยวจิน เฉพาะตรงช่องเขาเสี้ยวจินก็ ๖,๒๕๐ เมตร ลงจากรถไปจะเข้าห้องน้ำก็ต้องค่อย ๆ ย่อง เดินเร็วไม่ได้..หายใจไม่ทัน

เถรี
20-11-2019, 22:27
พวกเราไปถึงตอนดึก รุ่งเช้าจึงออกสายหน่อย เขาพาไปซื่อกูเหนียงซาน ไปเที่ยวแถวซวงเฉียวโกว เป็นลำธารมีช่วงที่สะท้อนเงาเหมือนกระจก มีน้ำตกด้วย ก็เลยทำให้พวกเราไม่ต้องหลงทางเหมือนกับคนอื่น เพราะว่าคนอื่นส่วนใหญ่ที่ไป ถ้าไม่มีคนนำทางก็จะลำบาก

เถรี
20-11-2019, 22:30
ไปเมืองจีน จำไว้เลยนะ แลกธนบัตร ๑ หยวนไว้เยอะ ๆ ห้องน้ำที่นั่น ๑ หยวน (๕ บาท) แน่ ๆ อยู่แล้ว สภาพห้องน้ำเราจะทนได้หรือทนไม่ได้ก็ ๕ บาท

เถรี
20-11-2019, 22:33
วันที่สองเป็นวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ พวกเราอยู่ที่หมู่บ้านชิงเทียน ชิงเทียนแปลเป็นภาษาไทยว่าฟ้าใส ใสจริง ๆ หนาวอย่าบอกใครเลย อากาศลบ ๒ องศาเซลเซียส เดินออกไปข้างนอกตอนแรก ๆ ยังไม่ชินกับสภาพอากาศ จะกดชัตเตอร์ถ่ายรูป นิ้วมือแข็งไปหมด ต้นไม้ใบหญ้ามีแต่น้ำค้างแข็งจับ ยิ่งเดินลมก็ยิ่งแรง ท้ายสุดก็เลยต้องกลับเข้าที่พัก

อาหารเช้าของเขาทุกที่ก็เหมือนกันหมด ข้าวต้ม ผัดผัก หมั่นโถว อย่างดีก็ประเภทสั่งไข่เจียวเพิ่มได้

เถรี
22-11-2019, 21:54
วันนี้มัคคุเทศก์บอกว่าจะพาพวกเราไปหมู่บ้านทิเบต ชื่อ ดันบา กับ ทากง อาตมาไปดูโปรแกรมแล้วก็หัวเราะ เพราะว่าเขาอ่านตามภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษเขียนแบบจีน เราต้องอ่านแบบจีน ที่เขียนดันบา ภาษาจีนว่า ตั้นปา คนจีนใช้ตัว D แทน ต.เต่า ใช้ตัว Q แทน ช.ช้าง อย่างชิงไห่ เขาใช้ Qing เลย

เถรี
22-11-2019, 21:59
ระยะทางขึ้นเขาลงห้วยไปเรื่อย ส่วนใหญ่เลียบไปตามแม่น้ำ ช่วงนี้ฤดูฝนเพิ่งพ้นไปใหม่ ๆ ถนนหนทางต้องซ่อมไปตลอดทาง เพราะว่าเวลาน้ำหลากมาก็เซาะถนนแหว่งไปด้วย ต้องบอกว่าทางด้านกรมทางหลวงจีนนั้น มีความขยันขันแข็งแล้วก็เก่งงานมาก สภาพภูมิประเทศแบบนั้นเขายังซ่อมกันได้ ถ้าเป็นเรานี่เป็นปีไม่รู้ว่าจะเสร็จหรือเปล่า แต่นั่นเพิ่งจะพ้นฝนใหม่ ๆ ส่วนใหญ่เขาซ่อมไป ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว

ระหว่างทางช่วงไหนที่เป็นเมือง ก็จะมีแต่อาคารหน้าตาแบบทิเบต ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างที่บอก ว่าน่าจะเป็นเพราะว่ารัฐบาลเป็นคนลงทุนสร้าง แล้วให้ชาวพื้นเมืองไปเช่าเพื่อทำกิจการ ก็เลยเป็นแบบเดียวกันหมด มีบางช่วงที่มีแบบหลังคาแบบจีนที่โค้ง ๆ หน่อย แล้วไม่ได้เรื่อง ชาวบ้านเขาไม่ชอบกัน จึงต้องสร้างหลังคาเหลี่ยม ๆ แบบทิเบต เพราะว่าคนทิเบตเขาใช้หลังคาในการตากพวกพืชผลการเกษตร ตากเนื้อสัตว์ ตากขี้จามรีอะไรพวกนั้น ฉะนั้น...คุณไปทำหลังคามีกระเบื้อง เขาจึงไม่เอา เขาต้องการหลังคาเรียบ ๆ แบบมีดาดฟ้าอย่างเดียว เพื่อเอาไว้ใช้งาน

เถรี
22-11-2019, 22:06
มีจุดที่เขาพักให้พวกเราเข้าห้องน้ำกัน ปรากฏว่าพวกเรามีความสามารถสูงมาก เวลาพักเข้าห้องน้ำแค่ ๑๕ นาที เรายังมีเวลาไปซื้อของกันได้ ตรงนั้นเป็นเส้นทางที่สมัยเหมาเจ๋อตุงพากองทัพคอมมิวนิสต์ให้เดินทางไกล ๑,๐๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร เห็นความพยายามของคนเก่าคนแก่เลย เพราะว่าเขาใช้โซ่เหล็กขึงข้ามลำน้ำ ๔ - ๕ เส้น แล้วก็คงจะเหยียบโซ่ล่าง จับโซ่บน เดินข้ามในลักษณะอย่างนั้น

เราลองคิดดูว่า กองทัพคอมมิวนิสต์ไป ก็ต้องมีอาวุธหนัก อาวุธเบา เสบียงอาหาร สัตว์พาหนะ โห...สะพานลักษณะอย่างนั้นเขาเอาข้ามไปได้ อาตมาเองสมัยหนุ่ม ๆ ถ้าให้แบกลูกวัวสักตัวหนึ่งนี่พอไหว แต่พวกเดินทางไกลส่วนใหญ่เป็นม้า ลา ล่อที่โตเต็มวัยแล้ว แล้วยังพวกอาวุธหนักของเขา อย่างพวกปืนกลหนัก ต้องถอดเป็นชิ้น ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ขนข้ามไป ใช้ความมานะพยายามสาหัสจริง ๆ กว่าที่จะข้ามไปกันได้

ตอนแรกพวกเราเห็นทางด้านนี้ก็โอ้โห...ที่ไหนได้ อีกด้านหนึ่งขึ้นเขาเลย โยงโซ่ขึ้นเขา อะไรจะทรหดอดทนปานนั้น ตรงนี้โยงข้ามแม่น้ำเราก็ว่าแย่ นี่โยงขึ้นเขาอีก แต่ก็อย่างว่าแหละ...ได้ดูกันไม่กี่คนหรอก ที่เหลือมัวแต่ไปเดินซื้อของกัน

เถรี
22-11-2019, 22:11
คราวนี้ถนนหนทางเขาซ่อมอยู่หลายช่วง รถของเราเป็นรถมินิบัส เวลาสวนกับรถใหญ่ อย่างพวกรถบรรทุก ก็เหลือช่วงห่างกันแค่นิดเดียว ต้องบอกว่าพวกเขาใจเย็นกันมาก เขาค่อย ๆ ขยับไปกันได้ ถ้าหากว่าช่วงไหนที่มีหินถล่มลงมาปิดทาง รถก็ติดยาวเป็นกิโลฯ รอให้ฝั่งโน้นวิ่งมาจนหมดก่อน แล้วฝั่งเราถึงจะได้วิ่งไปบ้าง ถ้าฝั่งเราวิ่งไป ฝั่งโน้นก็ต้องรอเป็นชั่วโมงเหมือนกัน เพราะว่ารถเป็นร้อย ๆ คัน วิ่งต่อ ๆ กันไป

รู้สึกว่าถนนสายนั้นจะเป็นเส้นทางเศรษฐกิจ เพราะว่ารถเยอะมาก เยอะจนเหลือเชื่อว่าในป่าในเขาจะมีรถวิ่งกันมากขนาดนั้น

เถรี
22-11-2019, 22:21
กลางวันก็เข้าภัตตาคาร อาหารทุกอย่างมานี่พริกท่วมเลย ภาษาวัยรุ่นว่า "เห็นแล้วน้ำตาจิไหล" ขนาดหัวหน้าทัวร์เขาไปบ่อย ๆ เขาบอกว่าเขายังกินไม่ได้เลย เขาแพ้ฮวาเจียวหรือพริกเสฉวน เวลาเคี้ยวแตกโป๊ะนี่จะชาไปทั้งปาก คนแพ้ถึงขนาดปากพองเลย

อาตมานี่อยู่กัน ๖ คน โต๊ะนี้เขาเรียกว่า "สายแข็ง" กินกระจายทุกอย่าง ส่งมาก็เหลือแต่พริกกับน้ำมันคืนเขาไป คนจีนเขาทำอาหารส่วนใหญ่จะมัน ๆ คราวนี้อาหารเสฉวนเขาใส่พริกเยอะ ถึงเวลาพวกเราก็เหลือแต่พริกกับน้ำมันคืนเขาไป

เถรี
22-11-2019, 22:37
คราวนี้การเดินทาง ระหว่างทางเราจะเห็นความเป็นพระพุทธศาสนาแบบทิเบต เขาจะมีตัวหนังสือ "โอม มณี ปัทเม หุม" ซึ่งเป็นคำภาวนาของเขา แปลความหมายก็คือ ดวงแก้วที่เกิดแล้วในดอกบัว ดวงแก้วนี่คือพระรัตนตรัย เขาจะแกะสลักหรือว่าติดไว้ก็ไม่รู้ บนภูเขาสูง ๆ ตามข้างถนนก็จะมีสลักตัวหนังสือบ้าง รูปพระโพธิสัตว์บ้าง รูปสิ่งมงคล ๘ ประการของทางศาสนาบ้าง มีเป็นระยะ ๆ ไป

ที่ชื่นชมก็คือรัฐบาลจีนเขาทำอะไรเผื่อไว้หมด เส้นทางตั้ง ๒,๐๐๐ กว่ากิโลเมตร เขาจะมีจุดพักรถให้เราเป็นระยะ ๆ ที่ให้เราพักก็ไม่มีอะไรหรอก..นั่งนาน ๆ แล้วเบื่อบ้าง อยากเข้าห้องน้ำบ้าง ลงไปพักถ้ามีที่ซื้อของก็วิ่งเข้าร้านซื้อของกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วของที่เขาวางขายกัน เป็นของที่เขาทำขึ้นมา ปลอมได้เนียนขึ้นเรื่อย ๆ พวกที่ทำจากกระดูก จากเขาจามรี ก็ใกล้เคียงของจริงเข้าไปทุกที

ถ้าเราดูเป็นก็ไม่มีปัญหา เขาสัตว์ก็คือผมหรือขนที่รวมกันเป็นเขา จะต้องมีแนวเส้นขนของมันอยู่ แต่ว่าพวกที่ทำจากพลาสติกจากเรซิ่น จะไม่มีส่วนนี้ แล้วก็พวกที่เป็นเทอร์คอยส์ ที่เราเรียกว่าพลอยขี้นกการะเวก ถ้าเคยเห็นของจริงจะดูออกทันทีว่าปลอมหรือไม่ เพราะว่ายังทำได้ไม่ใกล้เคียงนัก

พวกอำพันส่วนใหญ่เป็นยางสนโบราณ เขาเอามาทำเป็นเครื่องประดับ ถ้าหากว่าของจริงจะเป็นประกายสวยมาก ของปลอมเหมือนกับไม่มีชีวิตชีวา พอจะดูออก บางคนก็เอามาขูด ๆ กับเล็บว่าฝืดหรือเปล่า นั่นก็เป็นวิธีหนึ่งที่เขาพิสูจน์ได้ แต่ถ้าสายตาไม่ถึงก็อย่าไปซื้อ ส่วนใหญ่ขายแพง ๕๘ หยวน ๖๘ หยวน ๑๒๘ หยวน ลงด้วย ๘ หมด พอ ๆ กับบ้านเรา เสื้อตัวละ ๑๙๙ บาท อะไรประมาณนั้น คนจีนนิยมคำว่า ๘ ที่ออกเสียงคล้าย ๆ กับคำว่าโชคดีหรือเจริญ

เถรี
22-11-2019, 22:50
เส้นทางที่ผ่านไปตรงนั้นมีจุดชมวิวแห่งหนึ่ง ก็คือยอดเขาหิมะ ชื่อยาลา เป็นยอดเขาหิมะที่สูง ๕,๐๐๐ กว่าเมตรเหมือนกัน แถวนั้นมีธงมนต์อยู่เป็นหมื่น ๆ ผืนเลย คนทิเบตเขาเชื่อว่าพระพุทธมนต์หรือว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า ล้วนแล้วแต่ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะทำเป็น ๕ สี คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน แต่ละสีก็แทนธาตุ พวกดิน น้ำ ลม ไฟ ไม้ อะไรพวกนั้น

ถึงเวลาก็เอาไปติดเป็นราวไว้ ลมพัดไปถึงไหน เขาก็เชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ของพระรัตนตรัยจะแผ่ไปถึงนั่น คนที่อยู่ในทิศทางนั้นจะมีแต่ความร่มเย็น เพราะฉะนั้นจึงมีธงพวกนี้ตั้งอยู่เป็นระยะ ๆ ไป แต่ว่าตรงจุดชมวิวเป็นจุดสำคัญ เพราะว่ารถทุกคันจะต้องแวะไปถ่ายรูปยอดเขาหิมะ

ทิเบตถ้าเขาไม่ติดธงมนต์ เขาก็จะติดผ้าขะตะ ผ้าที่เอาไว้สำหรับต้อนรับหรือแสดงความเคารพ เขาเอาไปติดเอาไว้เป็นราว พวกเราก็ไปถ่ายรูปกัน เพราะว่าไม่เคยเห็นธงมนต์เป็นหมื่น ๆ ผืน

เถรี
22-11-2019, 23:43
แล้วที่แน่ ๆ ก็คือจามรี (วัวขนยาว) คนจีนเขาเรียกเหมาหนิว ก็คือวัวขน แต่ว่าจามรีปัจจุบันนี้เป็นลูกผสมเสียเยอะ ตัวจะเล็กลง เรียกว่าดรี เป็นลูกผสมระหว่างจามรีกับวัว ถ้าคนสายตาไม่ดี บางทีก็แยกไม่ออก เพราะว่าวัวของเขาอยู่ในที่หนาว ก็ขนยาวเหมือนกัน

จามรีก็หากินของเขาไปเรื่อย แล้วชอบที่สุดก็คือวิ่งตัดหน้ารถ พวกเราก็ต้องเบรกกันหัวทิ่มหัวตำประจำ จนกระทั่งนั่งคุยกันว่า บ้านเราหมาตัดหน้ารถ ที่นี่จามรีตัดหน้ารถ ถึงเวลาหลับ ๆ อยู่ก็ตกเบาะ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? "หมาตัดหน้า" ความจริงก็คือจามรี บางทีเจอฝูงใหญ่ ๆ เป็นร้อย ๆ ตัว ก็ต้องค่อย ๆ คลานตามไปจนกว่าเขาจะหลีกทางให้ ไม่รู้ว่าจะไล่เขาอย่างไร บีบแตรอย่างไรเขาก็เฉย

เถรี
25-11-2019, 20:02
ตรงช่วงกลางระหว่างทางของเมืองตั้นปาและถ่ากง มีลักษณะเหมือนกับเป็นป่าหิน ถ้าจำไม่ผิด...เขาว่าเป็นหินไมโลไนต์ คล้าย ๆ กับหินชนวนบ้านเรา แต่บางแห่งเห็นชัด ๆ เลยว่าเป็นหินภูเขาไฟ เป็นป่าหินให้พวกเราลงไปเดินชมทิวทัศน์ได้ เป็นลักษณะของการศึกษาธรรมชาติอย่างหนึ่ง เขามีระบบการจัดการดีมาก ก็คือไม่ให้เราเข้าไปโดยตรง แต่ให้เราซื้อตั๋วข้างนอก แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าไป เจ้าประคุณเอ๊ย...คนขับโคตรซิ่งเลย ทิ้งโค้งแต่ละที...อาตมาเกือบจะปลิวออกนอกรถ พูดง่าย ๆ ว่ามือละจากที่จับไม่ได้เลย

พอเข้าไปถึงปากทางเป็นทางเดินไม้ยาว ๆ แล้วมีขอบกั้นไปตลอดทาง ไม่ให้เราออกนอกแนวทาง สวยตั้งแต่พื้นนาที่เดินผ่าน

เถรี
25-11-2019, 20:06
พอเดินเข้าไปมีจุดชมวิวสวย ๆ พวกเราก็เข้าไปถ่ายรูปกันใหญ่ หลังจากนั้นหัวหน้าทัวร์เดินตามมาทัน บอกว่าตรงนั้นเป็นที่เอกชน ต้องจ่ายเงินให้เขา ก็ไม่เห็นเขามาทวง พวกเราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปต่อเลย ทางเดินศึกษาธรรมชาติเขาทำดีมาก เพราะว่าเดินลัดเลาะไปตามภูมิประเทศที่เป็นป่าหิน ทำให้พวกเราเดินได้โดยสะดวก

ผ่านน้ำพุแห่งหนึ่ง มีสองสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคืออาตมาเป็นไข้ไปตลอดทาง เพราะว่าหัวหน้าทัวร์เขาเอาหวัดมาแจกตั้งแต่วันแรก สาเหตุที่สองก็เดินไกล ๆ แล้วกระหายน้ำ พอเห็นน้ำพุ เข้าไปอ่าน ปรากฏว่าเป็นกษัตริย์ทิเบต ชื่อพระเจ้าเกซาร์ ท่านบารมีมาก ผ่านตรงนั้นไปรู้สึกกระหายน้ำ ไม่มีน้ำจะเสวย อธิษฐานต่อเจ้าที่แล้วน้ำผุดขึ้นมาเอง แล้วน้ำก็ยังผุดอยู่จนทุกวันนี้

อาตมาก็เลยฉวยโอกาสล้างหน้าล้างตา แล้วก็ดื่มแก้กระหายบ้าง...ใส่ไปซะเต็มที่เลย น้ำเย็นอย่างกับหลุดออกมาจากในตู้เย็น เพราะว่าอากาศหนาว แต่แปลกตรงที่ว่า พอดื่มน้ำเข้าไปแล้วไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน เดินเท่าไรก็ไม่รู้จักเหนื่อย จึงลำบากโยมที่ตามมาทีหลัง เขาเดินตามไม่ทัน

เถรี
25-11-2019, 20:07
ออกไปถึงข้างนอกก็ไปนั่งรออยู่ที่รถไฟฟ้า บรรดาคนที่มาก็มีแต่อาเจ๊ อาซ้อ อาม่า คุณย่าคุณยาย คนจีนแก่ ๆ เขานิยมเที่ยวกันนะ บางคู่นี่ควงกันไปอย่างกับหนุ่ม ๆ สาว ๆ คุยกันกระหนุงกระหนิง มีเต้นรำอะไรกันด้วย บ้านเรานี่ลูกหลานเยอะ ช่วยกันดูแล ที่โน่นส่วนใหญ่เขามีลูกคนเดียว ก็เลยเหลือแต่คนแก่ไปเที่ยวกันเอง ถ้าใครที่ผัวตายหรือเมียตายแล้วไม่มีลูกดูแลก็คงจะเหงาน่าดูเลย

เถรี
25-11-2019, 20:10
แล้วที่คิดไม่ถึงก็คือเจอรถคันเดิม คือรถพวกนี้จริง ๆ แล้วเขาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน พอไปส่งเราเสร็จก็ไปรอรับกลับ เราดันไปเจอคันเดิม คันที่ซิ่งทีแทบหลุดโค้ง จึงโดนเขาพาวิ่งกลับมาทางเดิม ด้วยความที่ออกมาเร็วกว่าคนอื่นเขาก็ต้องรออยู่นาน จึงเที่ยวเดินดูแถว ๆ นั้น มีห้องน้ำให้เข้าฟรีด้วย

ที่อัศจรรย์ก็คือรถแพง ๆ เยอะมาก ยี่ห้อเบ๊นซ์ บีเอ็ม ออดี้ โฟล์ค คนจีนนิยมรถโฟล์คมาก รถแต่ละคันล้วนแล้วแต่แพง ๆ ยังชื่นชมว่าคนจีนเขารวยจริง เอารถแบบนั้นวิ่งขึ้นป่าขึ้นเขาไป เป็นบ้านเราก็น้ำตาร่วง ...(หัวเราะ)... พอมากันครบถ้วนกันแล้วก็เดินทางกันต่อ

เถรี
25-11-2019, 20:17
เป้าหมายของเราก็คือวัด ไม่รู้เหมือนกันว่าทางหัวหน้าทัวร์เขาจำชื่อผิดว่าวัดถ่ากง แต่อาตมาพยายามไปแกะชื่อที่ป้ายแล้วอ่านออกมาได้ว่าวัดลาคัง ...(หัวเราะ)... พอจะอ่านออกเป็นบางตัว ก็เลยสงสัยว่าตกลงเป็นวัดลาคัง เมืองถ่ากง หรือว่าวัดถ่ากงเมืองถ่ากง

พอเข้าไปข้างใน ตัวแรกที่มาต้อนรับก็คืออีกา บินมาแล้วไม่ไปไหน เกาะอยู่เตี้ย ๆ ให้ถ่ายรูป บังเอิญว่ากล้องของอาตมาซูมได้ ก็ถ่ายรูปอีกาไปเรื่อย มัคคุเทศก์เขาก็อธิบายให้ฟังว่าวัดนี้มีความเป็นมาอย่างไร ต้องถ่ายรูปมุมไหนถึงจะสวย เข้าไปข้างในห้ามถ่ายรูปอะไรเขาก็บอกพวกเราหมด

ที่ติดใจก็คือมีไก่ตัวใหญ่มาก คิดว่าน้ำหนักอย่างน้อย ๆ ก็ต้อง ๓ - ๔ กิโลกรัมขึ้นไป ประมาณด้วยสายตาดีไม่ดีถึง ๕ - ๖ กิโลกรัม ที่ตลกกว่านั้นก็คือหมาตัวนิดเดียว ประมาณพวกเทอเรีย ตกลงว่าหมากับไก่กลับข้างกันหรืออย่างไร ? หมาแทนที่จะตัวใหญ่กลับตัวนิดเดียว ส่วนไก่แทนที่ตัวเล็กกลายเป็นตัวใหญ่มาก

เถรี
25-11-2019, 20:18
เดินดูและถ่ายรูปอะไรไม่ได้มาก เพราะว่าเราไปถึงตอนเย็นแล้ว อาตมาก็เห็นว่าทางวัดมีร้านจำหน่ายสินค้าเพื่อหารายได้เข้าวัด ผลุบเข้าไป มองแล้วติดใจอยู่ ๒ ชิ้น ชิ้นแรกคือกปาละ กปาละเป็นกะโหลกหัวคน เขาเอาไว้สำหรับทำเป็นถ้วยฝนยา ทางด้านเหนือเราก็มีนะ ที่ใช้กะโหลกคนทำเป็นถ้วยยา แล้วฝนด้วยกระดูกสัตว์ เขี้ยวสัตว์ ดูแล้วแปลก ๆ ว่าตกลงเป็นหัวอะไรกันแน่ ใจคิดถึงหัวมนุษย์หิมะไปโน่นเลย

เถรี
25-11-2019, 20:23
ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นกำไลงาช้าง...ใหญ่มาก ถามว่าใหญ่แค่ไหน ? เส้นผ่านศูนย์กลางนิ้วกว่า ก็เลยถามราคาเขา ปรากฏว่าคนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เขาวิ่งไปคว้าเครื่องคิดเลขมา แล้วเอากำไลนั้นขึ้นเครื่องชั่ง ออกมา ๓ ขีดกว่า แล้วเขาก็คูณออกมาเป็นตัวเลข ๕,๐๐๐ กว่าหยวน ก็เลยต้องต่อรองเขาจนเหลือถ้วน ๆ

ซื้อเสร็จออกมา เอาให้คนอื่นดู ทุกคนช็อก...! ใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ ? แล้วจะเอาออกประเทศเขาได้ไหม ? บอกว่าเรื่องเอาออกนี่ได้แน่...มั่นใจ เอาเข้าก็เอาเข้าได้ แต่ราคาคิดว่าถูกกว่าบ้านเราไหม ? "หม่าม้า" กับ ทิดเฟิร์สบอกว่าถูกว่าเยอะมาก ถูกกว่าบ้านเรา ๓ - ๔ เท่า

ไปที่นั่นก็เลยได้ของที่ระลึกชิ้นแรกมา ที่ซื้อเพราะความใหญ่ ซื้อเนื้องา คงหางาช้างใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้อีกแล้ว ปกติไปไหนจะซื้อของที่ระลึกชิ้นเดียว งานนี้ก็ได้แล้ว

เสร็จแล้วเขาก็พาไปพักที่โรงแรมที่เป็นทิเบตแท้ ชื่อ เหวินเฉิงโหลว เหวินเฉิงรู้ว่าเป็นชื่อของเจ้าหญิงของราชวงศ์ถัง ที่พระเจ้าถังไท่จงส่งไปสยุมพรกับพระเจ้าซองซานกัมโปของทิเบต ส่วนเหวินเฉิงโหลวก็ประมาณว่าเป็นพลับพลาที่ประทับของเจ้าหญิงเหวินเฉิง

เถรี
25-11-2019, 20:27
อาตมาไม่ต้องปีนขึ้นบันได เพราะว่าเขาให้พักชั้นล่าง ส่วนคนอื่นก็ลำบากหน่อย ต้องขึ้นชั้น ๒ ถามว่าทำไม ? ลองคิดดูว่าพื้นที่สูง ๔ - ๕ กิโลเมตร เดินบนพื้นธรรมดายังเหนื่อยเลย แล้วต้องลากกระเป๋าขึ้นชั้น ๒ เขาไม่มีคนมาช่วยเราด้วยนะ

แล้วก็มีแม่บ้านมาถึงก็โล้ง ๆ เล้ง ๆ เป็นภาษาทิเบตของเขา พาอาตมาไปที่พัก เข้าไปแล้วชอบใจมาก ห้องอาบน้ำเขามีดวงอาทิตย์เทียมด้วย เวลาเปิดแล้วมีไฟเหมือนกับดวงอาทิตย์ จะอุ่นมาก แต่ว่าน้ำต้องเปิดอยู่หลายนาทีกว่าที่จะอุ่น เพราะว่าตอนนั้นอากาศอยู่ที่ราว ๆ ๒ - ๓ องศาเซลเซียสเท่านั้น ต้องใช้วิธีวิ่งผ่านน้ำ แล้วก็ออกมาตากดวงอาทิตย์เทียม ค่อยอุ่นขึ้นมาหน่อย

ถึงเวลาก็ทำตามแบบของอาตมา ก็คือเปิดหน้าต่าง ให้อากาศข้างในกับข้างนอกเท่ากัน จะได้นอนสบาย

เถรี
25-11-2019, 20:37
กำลังนอนเพลิน ๆ ประมาณ ๔ ทุ่ม เจ้าประคุณเถอะ...ใครสับหมูวะ ? เสียงก๊อก ๆ ๆ ๆ สงสัยเลิกเวรตอนดึกแล้วมาทำอาหารกิน แต่คราวนี้เขาคงไม่คิดหรอกว่าอาตมาจะหูไวขนาดนั้น แต่คิดว่าถ้าคนนอนไว ๆ หน่อยคงได้ยินหมดทั้งโรงแรม อาตมาก็เลยออกมาดู ตั้งใจจะมาด่าซะหน่อย..!

ปรากฏว่าโผล่ออกมา หิมะกำลังตก เออ...ถ้าอย่างนั้นเอ็งทำไปเถอะ ข้าไม่ไปด่าหรอก...หนาว เป็นอะไรที่ตลก ๆ อยู่เหมือนกัน คือ ๔ ทุ่มกว่าแล้วแต่เขาไม่ได้เกรงใจใครเลย หิวขึ้นมาก็ทำกินของเขา แล้วคนแถวนั้นเขาทำเส้นหมี่เอง นวดแป้งแล้วก็ดึงทบ...ดึงทบ สักพักเดียวเท่านั้นเองเป็นเส้นหมี่ยาวยืดเต็มไปหมดเลย ใครจะกินแบบนั้นก็ได้นะ พวกที่ออกไปกินมื้อเย็นกัน ๓ - ๔ คนนี่เขาเจอกันแทบทุกวัน ถึงเวลาเขาทำให้ดูเลย ดึงเส้นหมี่เสร็จก็สับ โยนลงหม้อ ต้มเสร็จก็คีบขึ้นมา พวกกินมื้อเย็นนี่เขามีประสบการณ์เยอะ ไหนจะหม้อไฟ ไหนจะหมี่ร้อนทำสดให้ดู ...(หัวเราะ)...

เถรี
25-11-2019, 20:42
ไปงานนี้อาตมาไม่ได้ติดโน้ตบุ๊กไปด้วย เพราะมีประสบการณ์ตั้งแต่ไปปากีสถานว่า พวกเครื่องใช้ไฟฟ้า แม้กระทั่งกล้องถ่ายรูป ถ้าอากาศต่ำกว่า ๕ องศาเซลเซียสมักจะไม่ทำงาน ขาดใจตายเอาเฉย ๆ จนกว่าจะไปที่อุ่นหน่อย ถึงจะยอมทำงาน ก็เลยมีเวลาภาวนาเยอะ มีเวลาคุยกับเจ้าที่เจ้าทางมากขึ้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์หนังสือ

มางวดนี้ก็เลยคิดว่าเวลามีน้อย เราไม่มีเวลาที่จะเขียนให้ญาติโยมอ่านกัน จึงใช้วิธีเล่าให้ฟังแบบนี้

เถรี
25-11-2019, 20:44
ช่วงเช้าส่วนใหญ่แล้วอาตมาชอบออกไปเดินดูบ้านดูเมืองเขา ส่วนที่ชอบใจที่สุดก็คือพวกประตูหน้าต่าง เขาแกะสลักเป็นลายทิเบตสวย ๆ เก่า ๆ บางหลังนี่เป็นโลหะเลย ประมาณพวกหล่อสัมฤทธิ์หรือทองเหลือง พอยิ่งใช้เก่าก็ยิ่งสวย

ศิลปะพวกนี้คาดว่าอีกไม่นาน พวกสะสมของเก่าโดยเฉพาะจากพวกยุโรปหรืออเมริกาเข้าไป อาจจะไปขอซื้อเขาแล้วขนกลับบ้าน ก็คือประตูก็เก่าเต็มทีแล้ว..ใช่ไหม ? พอถึงเวลาเขาอยากได้เงินเอาไปเปลี่ยนใหม่ พวกนี้เขาก็มาขอซื้อก็ขายเลย อะไรประมาณนั้น

เถรี
25-11-2019, 21:01
อาหารเช้าทุกแห่งเหมือนกันหมด ข้าวต้ม ผัดผัก ไข่ต้ม ไข่ต้มนี่ขาดไม่ได้เลย แต่โรงแรมนี้ดีตรงที่มีไข่เจียวให้ หลายคนบอกว่ารอดตายไปที เพราะว่าอย่างอื่นที่เหลือกินไม่ได้ โดยเฉพาะพวกผัดผัก ผัดถั่วงอก ถ้าใช้ตะเกียบไม่เป็นก็ไม่ได้กินหรอก โดยเฉพาะใช้ตะเกียบกินข้าวต้ม อาตมานี่พุ้ยมาตั้งแต่เด็ก คนอื่นคีบถั่วเป็นนานกว่าจะได้สักเม็ดหนึ่ง อาตมาคีบไปทีสามเม็ดสองเม็ด คนอื่นเขาก็สงสัยว่าคีบได้อย่างไร ? ต้องใช้แรงให้พอดี ถ้าใช้แรงมากเกินไปก็คีบไม่อยู่

เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกัน ก่อนเดินทางก็ยังมีพวกที่กินข้าวต้มไม่ถนัด เห็นเขามีพวกซาลาเปาขาย วิ่งลงไปขอซื้อ ซาลาเปาเมืองจีนไม่อร่อย เมืองจีนส่วนใหญ่เป็นพวกไส้หมูสับ แต่ว่าจะเน้นไขมัน ก็เลยมันแผล็บไปหมด แล้วก็เป็นหมั่นโถวที่เป็นก้อนแป้งนึ่งเฉย ๆ พวกเราไม่เคยชินก็กินยาก อาตมาเองไม่ได้ใส่ใจหรอก เอ็งจะเป็นอะไรก็ส่งมาเถอะ

เถรี
25-11-2019, 21:05
ด้วยความที่เป็นการเดินทางของวันที่ ๒ ที่ไปถึง จึงปรับระบบได้แล้ว ไม่เหมือนวันแรกที่เราไปถึงตอนเที่ยงคืนกว่า วันนี้ก็เลยออกเดินทางเร็ว ไปถึงจุดพัก ตรงนั้นเขาเรียกว่า แม่น้ำน้ำมนต์ เพิ่งจะ ๘ โมงกว่าเท่านั้นเอง แต่เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย....อากาศ ๒ - ๓ องศาเซลเซียสแล้วเราไปยืนอยู่ตรงแม่น้ำ ลมแรงอย่าบอกใครเลย คือถ้าธรรมดาก็ไม่หนาวเท่าไร แต่ถ้ามีลมเมื่อไรก็ปางตายเลย บางคนหนาวจนหน้าเต้นได้

แม่น้ำตรงนั้นก้อนหินจะมีสลักคาถา เน้น ๆ เลยก็พวกโอม มณี ปัทเม หุม เต็มไปหมดทั้งแม่น้ำเลย แล้วก็มีนักท่องเที่ยวบางคนโดนชาวบ้านด่า เพราะว่าลงไปเหยียบหินเพื่อถ่ายรูป ดันไปเหยียบก้อนที่เขาสลักคาถาเอาไว้

เถรี
25-11-2019, 21:46
คราวนี้ตามแหล่งเที่ยวก็จะมีของขายเป็นปกติ มีห้องน้ำให้เข้า ของขายหลัก ๆ แถวนั้นที่เห็นมีทุกร้าน อย่างหนึ่งก็คือเนื้อจามรีตากแห้ง เป็นเนื้อจามรีใส่พริกเสฉวน แต่ละเส้นที่ตากแห้งแล้วหยิบขึ้นมานี่ พริกติดอยู่เป็นร้อยเม็ดเลย

ถาม : เขากินพริกเพื่อให้ร้อนหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขากินเพื่อให้ร้อน เพราะว่าที่นั่นอากาศหนาว ส่วนพวกเราไปก็ประเภทกินกันจนปากแดง จมูกแดง ขี้มูกยืด แต่ก็ยังไม่หายหนาวสักที

พวกของขายหลัก ๆ ที่มีอยู่ ก็จะเป็นพวกประคำ เป็นประคำไม้ ประคำเขาจามรี ประคำกระดูกจามรี ประคำเทอร์คอยส์ ประคำอำพัน ส่วนใหญ่ก็อย่างว่าแหละ...เป็นของทำเทียมเลียนแบบทั้งนั้น

เถรี
25-11-2019, 21:50
เส้นทางที่เราวิ่งไปนั้นไกล จึงต้องมีการจอดรถเป็นระยะ ๆ พวกเราสงสัยมากว่าตรงนี้มีอะไร รถถึงได้จอดอยู่เต็มไปหมด เหมือนอย่างกับเขามีงานเลี้ยงหรืออะไร ปรากฏว่าเป็นทุ่งหญ้า มีแม่น้ำไหลผ่าน เป็นนาข้าวเก่า ๆ คนเขาลงไปถ่ายรูปวิวกัน ซึ่งก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าดูหรอก เพราะว่าน้ำก็ขุ่น ภูเขาก็เหลืองกรอบไปหมดแล้วเพราะความหนาว

สรุปว่าเขาอยากลงไปยืดเส้นยืดสายกัน เพราะว่านั่งรถนานเกินไป แล้วก็ดันมีคนเอาม้ามาให้เช่าอยู่ ๒ ตัว ใครอยากไปออกกำลังแก้หนาวขี่ม้าก็ได้ แต่อาตมาว่าน่าจะหนาวหนักขึ้นไปมากกว่า ตรงนี้พวกเราลงไปแล้วหาที่เข้าห้องน้ำไม่ได้อีกด้วย จะให้ไปนั่งปล่อยกลางทุ่งก็ยังทำใจกันไม่ได้

เถรี
27-11-2019, 08:31
ถัดจากนั้นหน่อยหนึ่งไปเจอรถเกิดอุบัติเหตุ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นรถพระหรือรถฆราวาส เพราะเห็นมีพระทิเบตรูปหนึ่งไปยงโย่ยงหยกอยู่กับรถเขาด้วย เขากำลังเอารถขึ้นรถเทรลเลอร์เพื่อที่จะขนกลับ ด้วยความที่ประเทศจีนจำกัดความเร็วรถที่ ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจออุบัติเหตุหลายครั้ง แต่ไม่มีประเภทคนตาย อย่างเก่งก็รถพังหน้ายุบอะไรประมาณนั้น เพราะว่าความเร็ว ๖๐ กิโลเมตรชนไปก็ไม่หนักหนาเท่าไร

ไม่เหมือนบ้านเรา ให้ขับ ๙๐ ก็ล่อเป็น ๑๒๐ บางคนก็เล่นไป ๑๖๐ - ๑๘๐ บ้านเขาก็มีเตือนนะ ทางโค้งบางแห่งเขาก็มีอนุสาวรีย์ตีนผี เอารถพัง ๆ ไปตั้งเอาไว้ให้ดูว่า ถ้าคุณประมาทแล้วจะเป็นอย่างนี้ ประเทศจีนก็มีจ่าเฉยเหมือนกับบ้านเรา แต่จ่าเฉยเมืองจีนไม่เฉย ยืนนิ่ง ๆ ก็จริง แต่ในมือเป็นกล้องวงจรปิด รถวิ่งผ่านกี่คันถ่ายไว้หมด ก็ถึงได้ว่าจ่าเฉยเมืองจีนไม่เฉยจริง

เถรี
27-11-2019, 08:38
ถนนหนทางเขาก็คดเคี้ยวไปเรื่อย ถึงเวลาวิ่งไปประมาณชั่วโมงกว่าก็ต้องจอดพักเข้าห้องน้ำกัน จุดที่จอดพักตรงนั้นน้ำดี ห้องน้ำสะอาดมาก เพราะว่าเขาปล่อยน้ำจากภูเขาพุ่งผ่านห้องน้ำไปเลย ห้องน้ำของเขาจะเป็นรางยาว ๆ ทะลุถึงกันทุกห้อง แล้วก็มีที่กั้นอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าหากว่าไม่มีน้ำนี่ บางทีเขาถ่ายหนักถ่ายเบา ก็จะกองอีเหละเขะขะอยู่อย่างนั้น แต่ว่าตรงนั้นถือว่าสะอาดเลย เพราะว่าน้ำพุ่งพรวดเดียวทะลุทุกห้อง

เข้าไปก็คนละหนึ่งหยวน ตอนแรกก็ว่าคนเก็บเงินอยู่ไหน พอเข้าเสร็จออกมาเขามายืนรอเก็บเงิน ที่แท้เป็นคนขายของที่อยู่ด้านข้างนั่น แล้วก็มีบริการล้างรถ แต่ขอโทษเถอะ...ถ้ารถบ้านเราไปล้างก็น้ำตาไหล เขาใช้แปรงขัดพื้นแบบด้ามยาว ขัดรถให้ทั้งคัน ล้างเสร็จแล้วรถลายพร้อยเลย...! สรุปว่าถ้าใครขับรถไปนี่อย่าให้เขาล้างนะ ล้างฟรีด้วย แต่ขอโทษเถอะ...ได้นั่งร้องไห้กันบ้าง แปรงขัดพื้นด้ามยาว ที่หน้ากว้างสักศอกหนึ่ง แล้วด้ามยาวสัก ๒ เมตร ดันเอาแปรงแบบนั้นมาขัดรถ

วิ่งผ่านไปถึงจุดพักที่หมู่บ้านซ่งหรง ตรงนี้เขามีรูปปั้นขบวนคาราวานสินค้าที่เดินทางระหว่างเฉิงตูกับลาซาที่ใช้ถึงเวลา ๒ ปี ซึ่งเขาก็จะมีรูปคนแบกสินค้า มีหมาทิเบต มีจามรี มีเด็ก มีผู้ใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่า ๒ ปีนี่ ถ้าหากว่าคลอดลูกแล้วเอาเข้าคาราวานไปด้วย ขากลับก็วิ่งเองได้แล้ว

เถรี
27-11-2019, 08:40
ไปถึงตอนนั้นก็ ๑๐ โมงกว่า นึกว่าเขาจะเข้าภัตตาคาร ปรากฏว่าวิ่งเลยไปอีกเกือบชั่วโมง วิ่งไปถึงอีกเมืองหนึ่ง มัคคุเทศก์บอกให้คนขับชะลอรถ เพราะว่าการจราจรหนาแน่น คนหลายร้อย แน่นไปหมด ถามว่างานอะไร ? เขาบอกว่างานแต่ง

โทรศัพท์เข้าไปที่ภัตตาคาร สักพักหนึ่งก็ตีหน้าประหลาดบอกกับพวกเราว่า แม่ครัวที่ภัตตาคารโดนงานแต่งเขาดึงตัวไป เพราะฉะนั้น..ไม่มีใครทำอาหารกลางวันให้พวกเรา ให้ไปหากินที่อื่นเอา เออ...เรื่องอย่างนี้ก็เกิดได้เหมือนกัน จึงต้องวิ่งเลยมาอีกจุดหนึ่ง ไปเข้าภัตตาคารตรงนั้นแทน ก็อย่างว่า...ด้วยความที่ไม่พร้อม จากที่มีกับข้าว ๘ อย่าง น้ำแกง ๑ ก็เหลือแค่หมี่น้ำชามเดียว เพราะว่าไม่ได้จองเขาเอาไว้ ที่จองเอาไว้ก็ดันโดนงานแต่งดึงตัวไปเสียนี่

เถรี
27-11-2019, 08:42
สิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นก็คือ ปั๊มน้ำมันบ้านเขาไม่เหมือนกับบ้านเรา ปั๊มน้ำมันบ้านเขาไม่มีห้องน้ำแบบบ้านเรา เขามีใช้งานกันเองห้องเดียว ถ้าคิดจะไปอาศัยนี่ไม่ต้องเลย เพราะว่าบางทีเข้าไปก็ผงะออกมา

แต่ว่าน้ำมันของเขามีหลายเกรด เท่าที่ดูมาก็มี ๙๒, ๙๕, ๙๘ บ้านเรามีแต่ ๙๑, ๙๕ แล้วเขามีน้ำมันที่ใช้สำหรับอากาศที่ติดลบ คิดว่าน่าจะราคาแพงกว่าปกติ เขาจะมีป้ายติดอยู่ว่าลบ ๑๐ องศา ลบ ๒๐ องศา คงจะมีสารป้องกันไม่ให้น้ำมันแข็งตัว ราคาก็น่าจะแพงขึ้นตามอุณหภูมิของเขาที่มี

เถรี
27-11-2019, 08:44
คราวนี้ช่วงนั้นเป็นเขาพับผ้า วนไปวนมาจนเวียนหัว คือภูเขาไม่สูงพอที่จะทำอุโมงค์ แต่ก็ดันไม่เตี้ยพอที่จะทำถนนตรง ๆ ก็เลยต้องประเภทเลื้อยไปตามยอดเขา วิ่งไปเป็นชั่วโมง

พอผ่านจุดอันตรายไป เขาก็จะมีจุดที่มีวิวเขาพับผ้าสวย ๆ ให้ถ่ายรูป ปรากฏว่าลงไปแล้วมีหนุ่มสาวกำลังยึดสถานที่ไว้ถ่ายพรีเวดดิ้ง คราวนี้ก็รอไปเถอะ ๑๕ นาทีที่เขาให้เราเข้าห้องน้ำมันไม่พอ คนจีนถ้าเขาจะถ่ายรูปแล้วเราไปยืนเกะกะเขา เขาจะผลักเราออกเลย แต่คราวนี้หนุ่มสาวถ่ายพรีเวดดิ้ง กำลังหวานแหววอยู่เลย จะไปผลักออกก็ไม่ได้ จึงรอจนหมดเวลาก็ไปโดยไม่ได้ถ่ายมุมที่ตั้งใจไว้

เถรี
27-11-2019, 08:51
วิ่งต่อไปจนถึงจุดพักรถอีกแห่งหนึ่งซึ่งมีร้านขายของ ต้องบอกว่าเป็นหลักเป็นฐานเป็นงานเป็นการมาก ตรงนั้นเขาจะมีแท่งหินใหญ่ที่บอกความสูงของพื้นที่เอาไว้ว่าเป็นความสูงเท่าไร แล้วก็มีกงล้อมนต์ที่ทำเหมือนกับเจดีย์ ๙ ชั้น ๗ ชั้นอะไรของจีน ให้พวกเราไปหมุน แล้วก็มีลักษณะเหมือนกับเป็นวัดเล็ก ๆ ให้เข้าไปไหว้พระไปทำบุญได้ ทางด้านข้างเป็นร้านขายของที่ระลึกที่ปน ๆ กับพวกร้านสะดวกซื้อ

คราวนี้สิ่งหนึ่งที่ตั้งเป็นข้อสังเกตเลยก็คือ ร้านพวกนี้ของคนจีน หลัก ๆ เลยจะมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือใบชา อย่างที่สองคือสมุนไพรจีน พอเราเห็นเราจะรู้ว่านี่ร้านคนจีน คือใบชากับสมุนไพรจีน บ้านเราทำอย่างไรที่จะมีอย่างเขาได้บ้าง ที่เดินเข้าไปแล้วให้รู้ว่านี่คือสินค้าไทย

อาตมาเองมีนิสัยซื้อของด้วยกล้อง ชอบอะไรก็ถ่าย ปรากฏว่าไปถ่ายรูปสมุนไพรในนั้นไม่ได้..เขาห้าม ของบางอย่างน่าจะราคาแพง โดยเฉพาะพวกตังทั้งแห่เช่า ที่พวกเราเรียกว่าถั่งเช่า ตังก็หน้าหนาว แห่ก็หน้าร้อน ตังทั้ง...ฤดูหนาวเป็นหนอน แห่เช่า...ฤดูร้อนเป็นหญ้า

เถรี
27-11-2019, 08:52
พอถึงจุดนั้นแล้ว เราจะเดินทางต่อก็ง่ายแล้ว เพราะว่าจะมีจุดสำคัญให้เราจอดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ ไป ช่องเขาคาซาลา ใครผ่านก็ต้องแวะถ่ายรูป เพราะว่าความสูง ๔,๗๐๐ กว่าเมตร เกือบ ๆ ๔,๘๐๐ เมตร ไปจนกระทั่งถึงเมืองหลี่ถัง ถามว่าตรงนี้สำคัญอย่างไร ? เป็นบ้านเกิดของดาไลลามะองค์ที่ ๖

เถรี
27-11-2019, 08:55
คราวนี้ตรงนอกเมืองมีวัดน้อย ในเมืองเป็นวัดใหญ่ เขาไม่จอดให้เราถ่ายรูปตรงนอกเมือง ทั้ง ๆ ที่แสงแดดกำลังดีสุด ๆ เลย เราลองนึกถึงว่า วัดหน้าตาแบบทิเบต หลังคาสีทองอร่ามแล้วแสงลงพอดี แต่เขาไม่จอดให้เราถ่ายรูป โดยเฉพาะมีเจดีย์เรียงรอบวัดเป็นร้อย ๆ เลย เขาพาวิ่งเข้าไปในเมือง ไปที่วัดใหญ่

วัดใหญ่เพิ่งโดนไฟไหม้ไปไม่นาน อยู่ระหว่างบูรณะ อาคาร ๒ หลังบูรณะขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว แต่พวกข้าวของเครื่องใช้ข้างในกำลังทำอยู่ พระพุทธรูปก็เพิ่งจะหล่อเสร็จ กำลังจะปิดทอง ส่วนอีกหลังหนึ่งก็โดนปิดตายสนิทไปเลย อาตมาย่องเข้าไป เสียงทำงานอีโล้งโช้งเช้งไปหมด แล้วอากาศก็ค่อนข้างหนาว ต้องเดินเร็ว ๆ หน่อย เพราะว่าหนาวมาก

พอเราถ่ายรูปบริเวณวัดเสร็จ คุณตั้วที่เป็นหัวหน้าทัวร์บอกว่า เขาจะพาไปถ่ายรูปมุมสวย แล้วพาเดินออกทางด้านหน้าวัด ลัดขึ้นไปบนเนินเขา เป็นมุมสวยจริง ๆ เห็นวัดชัดเจนทั้งวัด แต่ว่าแดดหมดแล้ว ที่แน่ ๆ มีลวดหนามกั้นไว้ คุณตั้วบอกว่า สงสัยเขากั้นเพราะพวกผมนี่แหละ คราวที่แล้วแหกเข้าไปถ่ายรูปมา พวกเราเห็นมุมไหนสวยก็ไป ไม่ได้ดูหรอกว่าเป็นของใคร ในเมื่อเข้าไม่ได้ก็ต้องกลับ

เถรี
27-11-2019, 08:59
ช่วงทางกลับมีหมาอยู่ตัวหนึ่ง เป็นหมาเล็ก ๆ หมาพื้นเมือง แต่ขนยาว หมาขี้เหงา ไปเล่นที่ไหนมาไม่รู้ มีแต่เม็ดหญ้าติดเต็มทั้งตัวไปหมด แล้วอ้อนสุด ๆ เจอใครนี่วิ่งมาสวัสดีกับเขาหมด เสียดายว่าเราไม่มีเหลืออะไรให้กิน ถ้าหากว่ามีของเหลืออยู่ ไอ้นี่กินอ้วนแน่

ด้วยความที่เป็นช่วงเย็นแล้ว พวกสัตว์เลี้ยงกำลังกลับคอก มีจามรีมา ด้วยความที่เป็นทางเดินของเขา แล้วเราไปแย่งเดิน ก็เลยมีบางคนในคณะโดนจามรีไล่ขวิด..!

เถรี
27-11-2019, 09:06
ไปพักโรงแรมที่อยู่นอกเมือง ค่อนข้างจะเงียบ สิ่งที่ชอบใจของโรงแรมนี้ก็คือมีโมเดลรูปจามรี มีทั้งแบบขนสีขาว ขนสีดำ ตั้งโชว์อยู่ เข้าไปถามเขาว่าราคาเท่าไร เขาบอกว่าไม่ขาย เป็นของโชว์ แต่ถ้าจะซื้อ ร้านฝั่งตรงข้ามเขามีขาย

หลังจากที่เข้าห้องพัก อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย อาตมาก็ออกเดิน ทั้ง ๆ ที่อากาศไม่ชวนให้เดิน อันดับแรกหนาวและลมแรงมาก อันดับที่สองพื้นที่สูง เดินแล้วเหนื่อยง่าย เดินตลอดถนนเลย เขาบอกฝั่งตรงข้ามมี ก็เดินจนตลอดสาย ไม่เห็นมี มีแต่พวกห้างสรรพสินค้า พวกภัตตาคาร เดินย้อนกลับมาอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่มี ถึงได้เห็นว่าบางคนเช่าร้านไว้หลายแห่ง พอเราเดินไปดูฝั่งโน้นเขาก็วิ่งเข้ามาเตรียมขายของให้เรา พอเราเดินกลับมาฝั่งนี้ เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งข้ามมาเตรียมขายของให้เรา สรุปแล้วคนเดียวมีหลายร้าน

เดินจนกระทั่งสุดถนน เพิ่งจะรู้ว่าเขาคงบอกปัดเราเฉย ๆ ประมาณว่าไม่อยากจะขาย กว่าที่อาตมาจะกลับมา ทางด้านนี้พวกกินข้าวเย็นเขาก็นั่งเฝ้าโต๊ะกัน โดยเฉพาะน้องตุ๊กตา (มาลีรัตน์ นาคทอง) นั่งเฝ้าจาน รู้สึกจะเป็นลักษณะเหมือนกับต้มยำปลาบ้านเรา ชามเกือบเท่ากาละมัง ไปเมืองจีนนี่ต้องทำใจเลยนะ แต่ละชามใหญ่จริง ๆ อาตมาเห็นว่าตัวเองไม่มีส่วนร่วมกับเขาด้วย เดินมองดูเขารอบหนึ่งก็กลับขึ้นที่พักดีกว่า เก็บแรงเอาไว้ ไม่รู้พรุ่งนี้เขาจะพาเราไปต่อที่ไหน

เถรี
27-11-2019, 09:08
สรุปว่าวันที่สองของเราวิ่งผ่านสถานที่สำคัญหลายแห่ง แต่ไม่รู้ว่าตัวเมืองตั้นปาคือตรงไหน รู้แต่ว่าเราไปพักที่เมืองถ่ากง โรงแรมเขียนภาษาอังกฤษ อ่านว่าไคมาน แต่ไม่รู้ชาวบ้านเขาอ่านว่าอะไร หลังจากนั้นก็จะท่องจำขึ้นใจเลยว่า เจอจามรีที่ไหนให้ซื้อไว้ก่อน อย่าไปหวังซื้อที่โรงแรม เขามีอยู่ ๓ ตัว เก็บไว้โชว์ลูกค้าเฉย ๆ เขาบอกด้วยว่ามีแบบเป็นขนจามรีแท้ด้วย ราคาจะแพงกว่าขนเทียม แต่เขาไม่มั่นใจว่าเราจะเอาเข้าประเทศได้ไหม เพราะว่าเป็นชิ้นส่วนของสัตว์ป่า

สรุปว่าวันที่ ๑๘ หมดไปอีกหนึ่งวัน ไปได้แค่นั้นแหละ นั่งรถกันจนตูดด้าน แต่ละวันนั่งกันทีครึ่งค่อนวันตลอด ได้ลงไปยืดเส้นยืดสายถ่ายรูปก็ตามสถานที่สวย ๆ สถานที่สำคัญ บริษัทนี้เขาเน้นเรื่องการถ่ายรูป พวกเราเองก็ไม่ได้เน้นช็อปปิ้งอยู่แล้ว ในเมื่อเขาเน้นถ่ายรูป ก็เลยลองถามเขาดูว่ารับพระด้วยไหม ? แต่หลังจากที่อยู่ร่วมกันไป ๔ - ๕ วันแล้วอาตมาเตือนเขานะ บอกว่า คุณตั้ว..เห็นอาตมาเป็นแบบนี้แล้ว อย่าหลงกลไปรับพระอื่นนะ เพราะอะไรรู้ไหม ? คนอื่นเขาไม่อยู่ง่ายกินง่ายเหมือนอาตมา ถ้าหากว่าไม่ฟัง เจอเข้าก็คงจะสาหัส

เถรี
27-11-2019, 09:21
พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่บูชาประคำไป "ซื้อประคำไปต้องขยัน เพราะว่าประคำจะขี้ฟ้อง ถ้าเจ้าของไม่ขยันใช้ หน้าตาจะดูไม่ได้เลย แต่ถ้าเจ้าของขยันใช้บ่อย ๆ จะเงาวับ ใครเห็นก็อยากได้

แต่อย่าไปเจอแบบของทิดเฟิร์สที่เมืองจีนนะ เส้นนั้นเป็นของเก่า น่าจะร้างเจ้าของมาหลายสิบปี ทิดเฟิร์สซื้อได้ก็นิมนต์หลวงพ่อใช้ประเดิมก่อน อื้อหือ...โดนดูดจนเกือบตาย ก็คือมาอยู่กับอาตมาครึ่งชั่วโมง หน้าตาต่างกับครั้งแรกเหมือนฟ้ากับเหวเลย ของเขาทิ้งร้างมานาน พลังงานหมด แล้วด้วยความที่เขาเคยโดนอัดพลังเข้าไปเยอะ เพราะว่าเจ้าของเดิมเป็นผู้ปฏิบัติ ประมาณพวกพระลามะผู้ใหญ่ ถึงเวลาก็เหมือนคนท้องใหญ่ หิวมาก กินกระจายเลย"

เถรี
27-11-2019, 10:05
(พูดถึงหลวงปู่รินโปเช เจ้าของประคำ) "เจอหน้าแล้วใช่ไหม ? ผอมมาก ผอมจนไม่น่าเชื่อ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนทิเบตแท้ ก็เลยสูง ผอม ๆ ดำ ๆ ท่านมาหาอาตมาตั้งนานแล้ว ท่านดีใจว่าวัตถุของท่านมีคนเอาไปใช้ในการปฏิบัติธรรม ท่านใส่ชุดจีวรสีแดงคล้ำ ๆ

ของพวกนี้ อาตมาเองเจอจนเบื่อ ไม่รู้ว่าจะเล่าอะไร คนที่ไม่เคยเจอก็คัน อยากเจอ ถ้าเอ็งเจอแบบข้าสักวันจะใจหาย ลืมตาตื่นขึ้นมา มายืนจ้องอยู่ข้างเตียง เพราะว่าบางท่านมาก็ไม่พูดไม่จาไม่อะไรเลย ถามว่าธุระอะไร ? เป็นใคร ? มาจากไหน ? ไม่ตอบสักเรื่อง ยืนจ้องสักพักหนึ่งก็ไป อย่างนั้นก็ต่างคนต่างไปก็แล้วกัน"

ถาม : แบบนี้ก็ของเลือกคนสิครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่าวัตถุมงคลทุกชิ้นมีเจ้าของ เป็นเรื่องจริงเลย เพราะว่าบางชิ้นอาตมาลงเว็บไว้ ไม่มีใครแลหรอก พอถึงเวลาเจ้าของเขามาพรึ่บเดียวก็ไปเลย คนที่ประเภทเห็นมาตั้งนาน แล้วก็ไม่ได้นึกอยากได้ พอเจ้าของเขามาเอาไป ตอนนี้นึกอยากขึ้นมา แล้วจะไปหาที่ไหน ?

อย่างเมื่อวานมีดหมอหลวงพ่อเดิมลง ๒ เล่ม มาถึงโยมก็ยกพรึ่บไปเลย มีดหมอหลวงพ่อเดิมหาง่าย ๆ ซะเมื่อไร คนเป็นเจ้าของเขาก็มานั่งเฝ้า คนไม่ใช่เจ้าของก็ไม่ต้องรอหรอก ไม่ได้เจอสักที

เถรี
27-11-2019, 10:11
ถาม : โพธิปักขิยธรรม ควรจะทำข้อไหนก่อนคะ ?
ตอบ : เลือกเอาได้เลย เพราะว่ามีเป็นชุด ๆ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘

เริ่มที่มรรค ๘ แล้วก็เอาสติปัฎฐาน ๔ คราวนี้ก็อยู่ที่เราชอบว่าจะทำอย่างไหนต่อไป

เถรี
27-11-2019, 10:12
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้บ้างว่าศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย มีท้าวมหาราชเฝ้าอยู่ทั้ง ๔ ทิศเลย อาตมาหย่อนท่านลงไปในบล็อกเสา แล้วก็เทปูนลงไปเลย ไม่ได้อยู่โคนเสานะ อยู่เกือบ ๆ ยอดเสา

ที่บ้านวิริยบารมีนั้น อาตมาบรรจุพระรอด ๑ องค์ กับเขี้ยวเสือหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย"

เถรี
27-11-2019, 10:20
พระอาจารย์พูดกับโยม "แปลกใจว่า...หลวงพ่อคุยโน่นคุยนี่แล้วก็ทำงานไปเรื่อย คือหงุดหงิดตรงที่ทำไม่ได้ ทำได้อย่างไร ทรงอารมณ์ทำงานไปด้วย คุยไปด้วย"

เถรี
27-11-2019, 23:43
โยมเอาน้ำขิงมาถวายพระอาจารย์ "เห็นหรือยังว่าพระอาจารย์เป็นคนที่กินยาง่ายแค่ไหน กินเข้าไปหัวหูร้อนไปหมด

ความจริงเขาเอาไว้ให้ผู้หญิงกิน เพื่อแก้มะเร็งอะไรพวกนั้น เพราะว่าช่วยเพิ่มความดันโลหิต ตรงจุดไหนที่เลือดไปเลี้ยงไม่ถึง จะเป็นเนื้อร้ายได้ กินเข้าไปก็จะได้หาย นี่ดันทำมาให้พระฉัน ของร้อนฉันเข้าไปนี่ ถ้าสมาธิไม่ดีก็คึกตายเลย สักพักหนึ่งก็หน้าแดงหูแดง เพราะว่าร้อนข้างใน

ถ้าใครเป็นความดันสูงอย่าไปกินยาตำรานี้ เพราะว่าขิงร้อนมาก จะทำให้ความดันสูงมากขึ้น อาตมาค่อนข้างจะความดันทุรังต่ำก็เลยกินได้ หมอเขาตรวจอาตมาหลายทีแล้ว เขาสงสัยมากบอกว่าไม่น่าเชื่อว่าอายุขนาดนี้แล้ว เส้นเลือดหัวใจไม่มีตีบตันสักเส้น ก็เลยบอกกับหมอไปว่ามีนิสัยค่อนไปทางฉันเจ ก็คือชอบผักมากกว่าเนื้อ ในเมื่อไม่ค่อยจะกินเนื้อ ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปหาอะไรมาอุดตัน ไขมันยังไม่ค่อยจะมีเลย

ส่วนพรรคพวกเพื่อนฝูงอายุขนาดนี้ ผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจไปหลายคนแล้ว"

เถรี
27-11-2019, 23:46
"มีอยู่รายหนึ่ง วันก่อนเกือบจะเป็นอัมพาต ถามว่าทำไม ? เส้นเลือดตีบ แล้วชาไปซีกหนึ่ง ยังดีที่หมอเขาหาสาเหตุเจอเร็ว จะว่าไปแล้วพระฝ่ายปกครองต้องดูแลลูกคณะ ถ้าตั้งใจทำงานให้ดีจริง ๆ แล้วมักจะเครียด โดยเฉพาะตรงโน้นก็มีเรื่อง ตรงนี้ก็มีเรื่อง

ตอนนี้เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ให้อาตมาไปแก้ไขปัญหาที่ตำบลชะแล เขต ๒ เจ้าอาวาสโดนร้องเรียนว่าเมาสุรา ถามว่ามีหลักฐานไหม ? ไม่มี..แต่ท่านได้ยินกับหู เพราะว่าโทรไปหาตอน ๒ ทุ่มกว่า จะบอกท่านว่ามีกิจนิมนต์ ท่านเมาจนพูดไม่รู้เรื่อง ถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าเมา ? เสียงคนเมาไม่เหมือนกับคนปกติอยู่แล้ว ก็เลยเรียนท่านว่า หาหลักฐานมาให้สักหน่อย อัดเสียงอัดคลิปอะไรมาก็ได้ ท่านบอกว่าจ้างเด็กไปแล้ว เด็กเข้าไม่ถึง ถามว่าทำไม ? ที่วัดนั้นหมาเยอะ นับเป็นคุณูปการของการเลี้ยงหมา

วัดท่าขนุนหมาเกือบ ๓๐๐ ตัว หมาวัดท่าขนุนใจดี โดยเฉพาะถ้าถือไก่ปิ้งไป จะแห่มาหมด อาตมาไปนี่หมาบางตัวตะกายยันหัวเลย นาน ๆ เจอทีเขาคิดถึงมาก"

เถรี
27-11-2019, 23:57
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่ถวายผ้าไตรว่า "อาจจะสงสัยว่าทำไมจีวรถึงมีปากกาเหน็บมาด้วย ก็คือให้ปากกาไปพินทุผ้า การพินทุเป็นการทำเครื่องหมายว่าเราใช้ผ้าผืนนี้แล้ว ถึงเวลาไปปนกับคนอื่นจะได้จำได้ว่าเป็นของเรา"

เถรี
28-11-2019, 00:10
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปเมืองจีน ๑๐ วัน น้ำหนักกระเป๋า ๖.๘ กิโลกรัม มีแต่คนบอกว่าขอเฉลี่ยน้ำหนัก สรุปแล้วของคนขอเฉลี่ยน้ำหนัก ชั่งแล้วได้ ๒๑ กิโลกรัมกว่า ๆ ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เขาให้ผ่านได้ ก็เลยไม่ต้องเฉลี่ย

พวกเราส่วนใหญ่ไปต่างประเทศแล้ว กระเป๋าจะออกลูกออกหลานมา ๒ ใบ ๓ ใบ ของอาตมาไม่มี ไปนานแค่ไหนก็แค่นั้น ส่วนใหญ่จะหนักตรงหนังสือ ติดหนังสือไปอย่างน้อย ๒ เล่ม งวดนี้ไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กไปทำงาน หนังสือ ๒ เล่มก็เลยหมดตั้งแต่วันที่ ๒ ท้ายสุดไม่มีอะไรจะทำ อันดับแรกก็ภาวนาตามที่กำหนดในแต่ละวันจนครบ อันดับที่สองก็นั่งคุยกับผีบ้าง นั่งคุยกับตัวเองบ้าง

เป็นพระก็ลำบาก โยมเขาไม่ยอมนอนด้วย ทุกคนถวายความสะดวกให้หลวงพ่อ นอนไปเถอะ..ห้องมหึมานอนอยู่คนเดียว ขนาดไปกับพระด้วยกัน เขายังหนีกันหมด กลัวอะไรก็ไม่รู้ ? งวดหน้าพระไปอินเดียด้วยกัน ๔ - ๕ รูป เดี๋ยวจะดูว่าจะทิ้งให้อาตมานอนคนเดียวอีกหรือเปล่า ?"

เถรี
28-11-2019, 00:23
"กลับจากเมืองจีนมาอาตมาน้ำหนักขึ้นไป ๒ กิโลกรัม โห...กินกระจายทุกมื้อ มะระดิบผัดไข่นี่กินอยู่คนเดียวทั้งจาน ไม่มีใครช่วยกินเลย พวกเราไม่คุ้นกับมะระดิบ รสขม ๆ ไม่รู้ว่าคนจีนมีสูตรอะไร ผัดไข่ด้วยมะระดิบ พออาตมาไปถึงเจ้าที่ท่านก็ชี้...จานนี้เลย จะได้แก้ไข้ได้ จึงฟาดหมดจานคนเดียว

อีกวันหนึ่งอยู่ภัตตาคาร เขามีกระเทียมดองมาให้โต๊ะละ ๑๐ หัว อาตมาคนเดียวฟาดไป ๘ หัว..! ถามว่ากินเข้าไปอย่างนี้ไม่เหม็นตลบไปทั้งคันรถหรือ ? เขาบอกว่ารับประกันไม่เหม็น เอาวะ...ในเมื่อเจ้าที่รับประกัน ก็กินให้ดู เออ...ไม่มีกลิ่นจริง ๆ ไม่น่าเชื่อเลย กินกระเทียมดองไป ๘ หัว ไม่มีกลิ่นเลย เออ...ท่านทำได้

เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ปกติกระเทียมดองกินไปสักเม็ดสองเม็ดก็เป็นเรื่องแล้ว นี่กินไป ๘ หัวใหญ่ ๆ เพราะว่าไม่ค่อยสบาย ท่านบอกว่าให้กินเข้าไป ไข้จะได้ลดลง เรื่องพวกนี้ผีเขาไม่เสียเวลามาหลอกอาตมา ถึงเวลาท่านบอกอะไรอาตมาก็ทำอย่างนั้น

ไม่ใช่พวกเราไปเจอกระเทียมดองก็ฟาดโลด ถึงเวลากลิ่นตลบไปทั้งคันรถ พวกจะได้ด่าเอา แก่แล้วเราต้องเจียมตัว ผีบอกอะไรเชื่อไปทุกเรื่อง ให้กินมะระดิบก็กิน กินกระเทียมดองก็กิน เออ...แข็งแรงจริง ๆ นะ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับใคร เปิดหน้าต่างนอนได้ทุกคืน ทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวจนติดลบ

ฮีตเตอร์ไม่ใช้ เข้าไปถึงห้อง ถ้าหาที่ปิดไฟไม่ได้นะ จะชักบัตรออก พอชักคีย์การ์ดออก ไฟจะดับหมดทั้งห้อง"

เถรี
28-11-2019, 18:49
"โยมเขาบ่นว่า อาตมาท้องแบนติดสันหลังแล้วน้ำหนักขึ้นมาได้อย่างไร ๒ กิโลกรัม ? ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขึ้นมาได้อย่างไร รับประกันว่าน้ำหนักขึ้น อาจจะเดินเยอะเกินไป มวลกล้ามเนื้อแน่นขึ้นก็เป็นได้

ที่เขาบอกว่าระยะทาง ๖ กิโลเมตรนั้น จริง ๆ แล้ว ๑๐ กว่ากิโลเมตร ก็คือถ้าดาวเทียมวัดจะขีดเป็นเส้นตรง ๆ ส่วนตอนที่เราเดินนั้นขึ้น ๆ ลง ๆ ทีนี้โยมหลายคนติดพวกแก็ดเจ็ตต่าง ๆ ไป ซึ่งวัดได้ว่าระยะทางเท่าไร ความสูงเท่าไร อุณหภูมิเท่าไร บางคนเขาก็สงสัย ว่าอาตมาบอกได้อย่างไรว่าอุณหภูมิเท่าไร ? ก็ขอดูจากโยมเท่านั้น สรุปว่าถ้าไปเดินแบบนั้น ไม้เทร็กกิ้งน่าจะเกะกะเปล่า ๆ ก็คือมือควรที่จะใช้ช่วยยึดช่วยจับ ไม่ใช่ไปถือไม้

ส่วนอาตมาแบกกระบอกน้ำไป ๒ กระบอก ก็ประมาณ ๓ ลิตร แล้วก็ข้าวกล่องอีก ๒ กล่อง เอาไปเผื่อชาวบ้านเขา ปรากฏว่าไม่ได้กิน ต้องแบกกลับมา แล้วเป้ที่ใช้ประจำอยู่ที่เมืองไทย พอไปที่โน่นแล้ว ความหนาวทำให้หูพลาสติกกรอบหมด หูสอดเชือกก็เลยหัก จากที่หูหัก จึงต้องเอาเชือกมาผูกแทน สรุปว่าสุดท้ายโยมประมูลไป ไม้เทร็กกิ้งก็เอา รองเท้าก็เอา เป้ก็เอา กลายเป็นว่าถ้าไม่ซื้อของนี่อาตมารวยกลับมาเลย"

เถรี
28-11-2019, 18:51
"อาตมาไปอินเดียตั้งใจว่าจะไม่แลกเงินไป ยอมขาดทุน เพราะว่าเงินไทยใหญ่กว่าอินเดียอยู่หน่อยหนึ่ง ถ้าเราใช้ธนบัตรไทยแทนนี่เขาจะดีใจมาก อย่างของเรา ๗๕ หรือ ๘๐ สตางค์ เท่ากับของอินเดีย ๑ รูปี เงินเราจะใหญ่กว่าเขาหน่อย ฉะนั้น...ถ้าใช้ธนบัตรไทยนี่เขายิ้มหวานเลย ส่วนใหญ่เพื่อความสะดวก แลกเป็นธนบัตรของเขา แลกไปทีไม่ต้องมากหรอก ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ บาทก็พอ"

เถรี
28-11-2019, 18:53
"ส่วนเด็กโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระที่เฉิงตู เพิ่งจะลาหลวงตาไปไม่นาน หลวงตาก็ไปเยี่ยมแล้ว อะไรจะใจร้อนปานนั้น แต่ขอบอกก่อน...เอ็งอยู่ ๔ ปี ข้าก็คงไปเยี่ยมแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น"

เถรี
28-11-2019, 19:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนทำอะไรเร็ว อย่าเผลอไปเบื่อคนทำช้า เราต้องเข้าใจว่าแต่ละคนสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน ในเมื่อกำลังบารมีไม่เท่ากัน ก็มีช้ามีเร็วต่างกันบ้าง"

เถรี
28-11-2019, 19:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "อีกประมาณ ๙ วัน จะถึงงานลอยกระทง งานลอยกระทงของที่วัดมีบวชพระ มีตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ตอนนี้งานตามประทีปวัดท่าขนุนกลายเป็นแหล่งเที่ยว โดยเฉพาะลอยกระทงเป็นช่วงไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยว ถึงเวลาก็จะมีนักท่องเที่ยววิ่งไปช่วยกันจุดเทียน บอกว่ารอให้ ๖ โมงเย็นก่อนค่อยจุด ไม่ได้หรอก เล่นจุดกันตั้งแต่ ๔ - ๕ โมงเย็น

พระเราก็รอวันแรม ๒ ค่ำ จะเป็นวันสอบนักธรรมชั้นโท ชั้นเอก ก่อนหน้านี้มีสอบนักธรรมชั้นตรีด้วย แต่เนื่องจากว่าเว้นระยะจากออกพรรษานาน ระยะเวลาตั้งแต่ออกพรรษาจนลอยกระทงนานเป็นเดือน พระใหม่ที่ลงชื่อสอบนักธรรมชั้นตรี จึงมักจะสึกหาลาเพศไปเสียเยอะ ทางแม่กองธรรมสนามหลวงต้องปรับให้มาสอบก่อนออกพรรษาประมาณหนึ่งอาทิตย์ ก็ทำให้พระใหม่ได้ศึกษาอย่างน้อยก็นักธรรมชั้นตรี"

เถรี
28-11-2019, 19:36
"โดยเฉพาะในส่วนของคิหิปฏิบัติ คือการปฏิบัติตัวของฆราวาส คำว่า คิหิ ก็คือ บ้าน ที่เราเรียกว่าเคหะ การปฏิบัติตัวของชาวบ้าน อย่างเช่นว่าการคบมิตร มีมิตรแท้ ๔ ประเภท มิตรเทียม ๔ ประเภท การปฏิบัติตนต่อทิศทั้ง ๖ อย่างเช่นว่าทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องขวา

เบื้องบนก็สมณชีพราหมณ์ เบื้องล่างก็ข้าทาสบริวาร เบื้องหน้าก็พ่อแม่ เบื้องหลังก็ลูกเมีย เบื้องขวาครูบาอาจารย์ เบื้องซ้ายก็มิตรสหาย

ได้ศึกษารู้ว่าทางพระพุทธศาสนาเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติต่อคนทั้งหลายเหล่านี้อย่างไรบ้าง

อย่างปฏิบัติตนต่อพ่อแม่ ท่านบอกไว้ว่า ท่านเลี้ยงเรามา เราเลี้ยงท่านตอบ เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน ทำตัวสมควรแก่การรับมรดก เมื่อท่านตายบำเพ็ญกุศลไปให้ท่าน บางอย่างเราก็คิดถึงบ้าง ไม่คิดถึงบ้าง แต่พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้หมดแล้ว"

เถรี
28-11-2019, 19:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานนี้พระที่ท่านเรียนบาลี ๘ รูป สูงสุดกำลังเรียนประโยค ๖ ต่ำสุดกำลังเรียนประโยค ๑ - ๒ ถามว่ามีใครพร้อมเป็นเจ้าอาวาสบ้างไหม ? ไม่มีเลย เขาบอกยังอยากเรียนอยู่ คือเดี๋ยวนี้วัดไหนขาดเจ้าอาวาส ก็จะไปขอกับวัดท่าขนุน"

เถรี
28-11-2019, 19:40
"เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทางด้านผู้ใหญ่บ้านทุ่งนางครวญ คุณลำแพน สุภรศรี ก่อนนี้เป็นกำนัน หมดวาระแล้วกลับมาผู้ใหญ่บ้าน เขามาขอพระ คือพระวัดท่าขนุนต้องบอกว่าท่านรักดีใฝ่ดี ไปอยู่ที่ไหนก็สร้างชื่อเสียงให้ทางวัด

มีอยู่ช่วงหนึ่งอาตมาส่งพระวัดท่าขนุนไปเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางครวญ ชื่อจริง ๆ ก็คือวัดธุดงค์สมเด็จ กับวัดคลิตี้บน หรือวัดทุ่งเสือโทน ท่านก็เอาแบบของวัดท่าขนุนไปใช้ ก็คือสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน ตามปกติของเรา แต่ในสายตาชาวบ้านเขาเห็นว่าเคร่งครัด เขาชอบ

ขนาดลาออกจากเจ้าอาวาสมาตั้งหลายปี ถึงเวลาวัดแถวนั้นมีงาน เขาก็ยังมาขอตัวพระวัดท่าขนุนไปให้ชาวบ้านเขาทำบุญ คราวนี้เขาอยากได้รูปเก่าก็คือพระครูบ่าว ซึ่งย้ายวัดมา ๔ วัดแล้ว ใครก็อยากได้ ปัจจุบันนี้เป็นเจ้าอาวาสวัดท่ามะขามอยู่ เขาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็มอบภาระให้หลวงพ่อหาพระไปให้ มีแต่คนเกี่ยงไม่อยากเป็นเจ้าอาวาส เพราะว่าภาระมาก

เจ้าอาวาส ชื่อโบราณเรียกว่า สมภาร (สม + ภาระ) เสมอด้วยการแบกงาน เพราะฉะนั้น..อาตมาจึงต้องสละเลขานุการรองเจ้าคณะอำเภอไปให้ เอาเลขาฯ เก่งไป เดี๋ยวต้องหาเลขาฯ วัดรูปใหม่ แต่เลขาฯ รองอำเภอให้ท่านเป็นต่อ"

เถรี
28-11-2019, 20:04
ถาม : เราจะต้องทำอาหารจีนที่ต้องผสมเหล้า จะมีบางกรณีที่เขาไม่เข้าใจค่ะ มีผลต่อการท่องคาถาเงินล้านไหมคะ ?
ตอบ : อย่างอื่นก็คงไม่มี แต่ถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปก็เจ๊ง บอกเขาไปสิว่าแพ้แอลกอฮอล์ กินไม่ได้หรืออะไรก็ว่าไป

ถาม : เขาไม่เชื่อค่ะ ?
ตอบ : เขาจะไม่เชื่อก็เรื่องของเขา ถือว่าอธิบายแล้ว เชื่อไม่เชื่อเรื่องของเขา

ปัญหาเรื่องของคนรักษาศีล กับไม่รักษาศีล ต้องบอกว่าเป็นปัญหาโลกแตก กำลังใจอยู่คนละระดับกัน ห่างกันมากด้วย เพราะว่าจากบุคคลที่ไม่มีศีล ต้องไปถึงบุคคลที่มีศีลแล้วศีลขาด บุคคลที่มีศีลแล้วศีลขาดแล้วค่อยไปถึงบุคคลที่มีศีลบริสุทธิ์ ต่างกันชนิดคูณร้อยก็ห่างกันเป็นหมื่น ในเมื่อกำลังใจคนละระดับกัน สิ่งที่เราต้องทำก็คือทำใจ ทำใจว่าถ้าเราตั้งหน้าตั้งตา ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็ต้องมีคนว่าเราบ้าอย่างแน่นอน

อาตมาเองก็โดนมาตั้งแต่เด็ก ถึงได้เคยบอกกับพวกเราว่า ถ้าปฏิบัติธรรมไปแล้วยังไม่มีใครว่าเราบ้า แสดงว่ายังเอาดีไม่ได้ ยังไม่จริงจัง ถ้าจริงจังเมื่อไรเขาจะว่าเราบ้าเมื่อนั้น

เถรี
28-11-2019, 20:15
ช่วงเด็ก ๆ อาตมาเองก็ถูกพ่อแม่พี่น้องว่าบ้า ครูบาอาจารย์ก็ว่าบ้า เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ว่าบ้า ตอนที่ควรจะเสียมากที่สุดคือตอนที่เป็นทหาร เพราะว่าเพื่อนฝูงด่าอยู่ทุกวัน เหล้าก็ไม่กินกับเขา บุหรี่ก็ไม่สูบกับเขา เที่ยวซ่องก็ไม่ไปกับเขา เพื่อนก็ด่าว่า "อะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง มึงไปหากระโปรงมานุ่งไป..!"

เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของกำลังใจ อย่างพวกเราถ้าเพื่อนทั้งรุ่นชี้หน้าว่าอยู่คนเดียวก็คงจะรับไม่ได้ แต่อาตมาไม่ให้เขาด่าฝ่ายเดียว จึงด่าพวกเขาคืนไปบ้าง บอกเขาว่า "ไอ้เรื่องพวกนี้กูห้ามใจตัวกูเองได้ พวกมึงห้ามใจตัวเองไม่ได้สักคน พวกมึงนั่นแหละที่ควรจะไปหากระโปรงมานุ่ง..!"

ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดี บางทีก็เกรงใจโลกไม่ได้ เพราะว่าการสร้างความดีเป็นการทวนกระแสโลกอยู่แล้ว แต่ว่าส่วนมากพวกเราจะคิดมากและปล่อยวางไม่ได้ เจอมาก ๆ เข้าก็จะเครียด เครียดไปทำไม ? เครียดก็ด่าคืนไปบ้างสิ..!

เถรี
28-11-2019, 21:22
พอพวกเราทนปากเขาไม่ได้ ก็มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือแปลกแยกกับสังคม แต่ถ้าเรามั่นคงก็ไม่มีปัญหาอะไร เหมือนกับหินใหญ่กลางสายน้ำ น้ำมาถึงก็แหวกออกข้างไปเอง ประการที่สองคือกลับไปชั่วกับเขาแต่โดยดี ซึ่งร้อยละ ๘๐ - ๙๐ เป็นอย่างนั้น ทนปากคนไม่ได้ก็ต้องไหลตามเขาไป

เรื่องพวกนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นของยากในของยาก บุคคลจะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนาก็แสนยาก ได้พบพุทธศาสนาแล้วจะได้ฟังธรรมก็แสนยาก ฟังธรรมแล้วจะน้อมนำมาปฏิบัติก็แสนยาก ปฏิบัติแล้วจะเกิดผลอย่างใจก็แสนยาก ไปกี่แสนแล้วก็ไม่รู้ ? น่าจะถึงล้านแล้ว

ฉะนั้น...ท่านใดที่ทวนกระแสขึ้นฝั่งก็ถือว่าเป็นบุคคลผู้พ้นแล้ว จึงได้รับการยกเอาไว้ในที่สูง เป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพบูชา

เถรี
28-11-2019, 21:26
จำได้ว่าเมื่องานศพของพระครูสุกิจกาญจนโสภิต นั่งอยู่กับท่านอาจารย์มหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ฟังพระท่านสวดว่า อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ ด้วยความที่แปลออก จึงเห็นภาพคนกำลังวิ่งไปวิ่งมาเลาะชายฝั่ง แต่ข้ามน้ำไม่ได้สักที

กัณหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต ฉะนั้น...ผู้รู้จึงควรที่จะละในธรรมอันดำก็คือฝ่ายไม่ดี ปฏิบัติในธรรมอันขาวก็คือฝ่ายดี คราวนี้ท่านเอามาสวดในงานศพ จริง ๆ แล้วก็คือตั้งใจให้พวกเราฟัง แต่คราวนี้พวกเราฟังแล้วไม่เข้าใจ แปลไม่ออก คนแปลออกอย่างอาตมาก็เลยนั่งถกกับท่านอาจารย์มหาวิสูตร ฟังไปฟังมาเห็นคนวิ่งไปวิ่งมาเลาะชายฝั่งข้ามไม่ได้สักที จะว่าไปก็น่าสงสารมาก

ไปนึกถึงนิมิตก่อนบวช ว่าอยู่ในเขตที่เขากั้นจำกัดอยู่ แต่ดูแล้วที่เขากั้นเป็นแค่ลวดหนามธรรมดาสูง ๔-๕ ชั้น ปีนง่ายจะตาย ทำไมไม่ข้ามกันวะ ? ว่าแล้วอาตมาก็ขี้เกียจเบียดกับเขา จึงปีนข้ามไปอยู่ฝั่งโน้น ที่เห็นหลวงปู่หลวงพ่อท่านอยู่กัน ไปนั่งสบายไม่ต้องแออัดยัดเยียดกับใคร ได้นิมิตอย่างนั้นไม่นานก็ได้เวลาบวชพอดี ก็เลยทำให้เข้าใจว่าเรื่องพวกนี้ต้องมีการสั่งสมในระยะเวลาหนึ่ง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ค่อย ๆ งวด ค่อย ๆ เข้มขึ้น แล้วท้ายสุดก็ทำให้เราไม่สนใจโลก รู้ว่าอะไรดีก็ทำ รู้ว่าอะไรชั่วก็ละ แต่สำหรับบุคคลที่มีปัญญาก็พยายามที่จะทำให้โลกช้ำน้อยที่สุด หรือถ้าปัญญามาก โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสียได้เลยก็ยิ่งดี

เถรี
28-11-2019, 21:28
แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราตรงไปตรงมา..กลัวศีลขาด ถึงเวลาเขาถามว่าทำไมไม่กินข้าวเย็น ? อ๋อ..รักษาศีล ๘ คนเขาก็มองหัวจรดตีน หาเหตุผลใหม่ให้เขาสิ บอกว่าอ้วนแล้ว ขอลดน้ำหนักหน่อย เรื่องนี้เขากลับรับได้

ฉะนั้น...ในอุทุมพริกสูตรถึงได้บอกว่า การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ทำเพื่ออวดคนอื่น แต่ทำเพื่อการหลุดพ้น พวกเราส่วนหนึ่งจะไปติดอยู่ตรงที่ว่า "ติดดี" เมื่อเห็นคนอื่นทำไม่ได้ หรือทำไม่เหมือนเรา "อ้าว..ไอ้นั่นยังชั่วอยู่" เป็นการยกตนข่มท่าน แบกสักกายทิฎฐิและมานะสังโยชน์ ๒ ตัวซ้อนกัน

เถรี
28-11-2019, 21:41
หลายท่านเข้าวัดเข้าวาแล้วกลายเป็นว่า ความประพฤติ กาย วาจา ใจ เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น เพราะว่าไปเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน ไปมั่นใจว่าสิ่งที่เราทำนั้นดีแล้ว ถูกแล้ว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ใช่ แต่ดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น ส่วนที่ดีกว่านั้นและถูกกว่านั้นยังมีอยู่อีก เรายังก้าวไปไม่ถึง

ไปยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นสีลัพพตุปาทาน ยึดมั่นในหลักการปฏิบัติของตนว่าดี ถ้ายึดก็เสร็จ ท่านบอกว่า อุปาทานะปัจจะยา ภะโว ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดภพ ก็คือที่เกิด ภะวะปัจจะยา ชาติ เมื่อมีที่เกิด ก็ต้องมีการเกิด ก็แปลว่าเกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้จบ ที่ท่านใช้คำว่า ปุนัปปุนัง แล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่รู้จะหมดสักที

ในส่วนพวกนี้พวกเราต้องระมัดระวังเอง อะไรที่ลงท้ายด้วยคำว่า "กว่า" ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น "ดีกว่า" "ชั่วกว่า"เป็นการแบกมานะโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วก็เป็นเรื่องแปลกว่า ถ้าปัญญายังไม่ถึง คนอื่นบอกให้ตายก็ไม่รู้สึก เพราะไปคิดว่าที่ตัวเองทำดีแล้ว ถูกแล้ว แต่พอก้าวข้ามไปได้มองย้อนกลับมา อ้าว...ตอนนั้นยังไม่ดีจริง มีที่ดีกว่านั้น มีที่ถูกกว่านั้น แล้วเราก็ไปยึดมั่นถือมั่นอีกว่า "ตรงนี้ใช่แล้ว" ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

เถรี
28-11-2019, 21:45
ดังนั้น...ที่บรรดาพระญี่ปุ่น นิกายเซน ถกเถียงกันเรื่องซาโตริ (ซาโตริคือการบรรลุฉับพลัน ลักษณะดวงตาเห็นธรรม) บางท่านก็บอกว่าทั้งชีวิตมีได้ครั้งเดียว บางท่านบอกว่าไม่ใช่...ผมเจอมาเป็นสิบ ๆ ครั้งแล้ว ถูกทั้งคู่..ที่ถูกทั้งคู่ก็เพราะว่าไปยึดว่าตรงนี้ดี ตรงนี้ใช่ พอก้าวข้ามไปก็ อ้าว..ตรงนี้ดี ตรงนี้ใช่อีก ก็ซาโตริไปเป็นลำดับ

ถ้าใครขยันก็โดนเยอะหน่อย ใครไม่ขยันมาสายสาวกก็โดนน้อยหน่อย ครั้งเดียวจบก็มี หรือไม่ก็ครั้งเดียวตายไปเสียก่อนก็มี

เถรี
29-11-2019, 08:46
อาตมาไปญี่ปุ่นแล้วอัศจรรย์ใจอยู่อย่างหนึ่ง ญี่ปุ่นเป็นประเทศเล็กประชากรมาก ราว ๆ ๒๘๐ ล้านคน ประเทศนิดเดียว แต่วัดทุกวัดใหญ่มาก แล้วคนญี่ปุ่นโคตรจะขยันเดินเลย อาตมาไปญี่ปุ่นยังเดินขาลาก คนญี่ปุ่นหาคนอ้วนยาก ไปทำงานแต่ละวันเขาแทบจะวิ่งไปทำงาน ถามว่าทำไม ? จากสถานีนี้ต่อรถไฟไปสถานีโน้น จากสถานีโน้นต่อรถไปอีกสถานีหนึ่ง ลงรถแต่ละทีแทบจะต้องวิ่งเพื่อให้ทันขบวน ถ้าเราเดินช้า ๆ แทบจะโดนชนเลย

ก็เลยแปลกใจว่าญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาสนามาก ประเทศเล็กพื้นที่มีน้อย แต่ว่าวัดแต่ละวัดใหญ่โตมโหฬาร โดยเฉพาะเข้าไปแล้วรู้สึกว่าสะอาด สงบ ฉะนั้น...หลักการที่เจ้าคณะปกครองของเราให้แต่ละวัดดำเนินการก็คือ สะอาด สว่าง สงบ ถ้าวัดวาอารามสะอาดก็เรียกศรัทธาคนได้ง่าย

วัดท่าขนุนทำความสะอาดแค่เช้าเย็น บางทีช่วงกลางวันใบไม้ก็ร่วงเกลื่อนกลาด แต่บางทีเขาอาจจะไปตรวจตอนที่ทำความสะอาดแล้วพอดีทุกครั้ง ก็เลยได้รับคำชมเชยว่าดูแลวัดได้สะอาดเรียบร้อย

เถรี
29-11-2019, 09:15
สว่าง...ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นกระแสไฟ สว่างในที่นี้หมายถึงการจัดภูมิทัศน์ของวัดไม่ให้รก หลายวัดคนมีศรัทธา สร้างไปเรื่อยเปื่อย จนเกะกะไปหมด บางทีกลายเป็นสลัมไปเลย อาตมาไปอยู่วัดไหนก็มีหน้าที่รื้อทิ้งไปเสียเยอะ กว่าจะจัดวางผังใหม่ ทำใหม่ ให้เข้าที่เข้าทางได้

บางวัดอย่างวัดท่ามะขามไปแล้วเครียด มองทั้งวัดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะจัดอย่างไร ตอนนั้นพลตรีศรชัย มนตริวัต ท่านไปเป็นประจำเกือบทุกวัน หลวงพ่อวัดท่ามะขามก็มอบหมายให้พัฒนาวัดคู่กับอาตมา ท่านปั่นจักรยานไป แล้วก็ไปเดินดู ๆ กลับมาแล้วถอนใจเฮือก อาตมาถามว่า "เสธ. เป็นอย่างไรบ้าง ?" "หลวงพี่มีความเห็นอย่างไรละครับ ?" "พูดจากใจจริง ถ้าเป็นอาตมาก็รื้อทิ้งให้หมด แล้วทำใหม่" "คิดเหมือนกันเลยครับ"

ไปสร้างตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย กลายเป็นซอกเล็กซอกน้อยเลอะเทอะไปหมด อาคารหลังไหน อาตมามาสร้างไว้ดี ๆ พักเดียวหลวงพ่อท่านก็ต่อเติมจนกลายเป็นโรงลิเก ต่อหน้าต่อหลังต่อข้าง ท่านจะเกิดจินตนาการบรรเจิดทันทีที่สร้างเสร็จ ตอนสร้างอยู่ก็ไม่บอกว่าต้องการอะไร

เถรี
29-11-2019, 09:17
ปัจจุบันนี้กลายเป็นพระครูบ่าวกับมหาเอ ต้องไปปวดหัวในการพัฒนา ตอนนี้ทำกุฏิให้อาตมาอยู่ ทำเสร็จแล้วจะเริ่มรื้อหลังเก่า ค่อย ๆ รื้อไป ถ้าทำตูมตามไปแล้วเดี๋ยวชาวบ้านรับไม่ได้ และกลัวเจ้าภาพเก่าจะต่อว่าเอา

แต่อาตมาแจ้งกับชาวบ้านไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ส.อบต.อะไรก็ตาม บอกแล้วว่าขอรื้อหมดเลยนะ แล้วจะทำใหม่ให้ เขาบอกว่า "ถ้าท่านอาจารย์ทำก็เชื่อครับว่าทำได้ ถ้าคนอื่นมาบอกพวกผมไม่เชื่อหรอก"

เถรี
01-12-2019, 19:53
พูดถึงดาบของหลวงพ่อบุญมี "หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน ปกติจะเจอแต่มีดหมอ อันนี้เป็นดาบเลย อย่าเอาไปฟันหัวกันนะ ตูจะเดือดร้อน..! ใครบูชาไปอย่าไปถือเทิ่ง ๆ ขึ้นรถเมล์ เดี๋ยวจะเฮงเอา ปกติของหลวงพ่อบุญมีจะเป็นมีดหมอ นาน ๆ จะเจอดาบสักเล่ม อาตมามีมีดหมอท่านหลายสิบเล่ม มีดาบอยู่เล่มสองเล่มเท่านั้นเอง

สมัยก่อนพ่อปู่ขุนพันธ์ท่านมีดาบแดงใช่ไหม ? ก็คือลักษณะอย่างนี้แหละ เขาไม่ได้ให้ใช้เป็นอาวุธนะ ใช้เป็นวัตถุมงคล

จะว่าไปของหลวงพ่อบุญมีท่านก็ทำมาหลากหลาย แต่ว่าแปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง...ท่านใช้ยันต์กระบองไขว้แบบเดียวกับสายหลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา หลวงพ่อบุญมีท่านอยู่ลพบุรี แต่ใช้ยันต์แบบเดียวกัน"

เถรี
01-12-2019, 20:16
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงบ๊ะจ่างก็คือขนมจ้างไส้เนื้อ คราวนี้ใครทำแบบเจมา เรียกบ๊ะจ่างไม่ได้หรอก ต้องเป็นเจจ่าง

คนจีนเขาห่อด้วยไม้ไผ่ เขาก็เลยเรียกจ่าง พอมีไส้เนื้อมีอะไรก็กลายเป็น "บ๊ะจ่าง" ระยะหลังเขาดัดแปลงมาเป็นพวกไส้เจ ก็ยังอุตส่าห์เรียกบ๊ะจ่าง จะไป "บ๊ะ" ได้อย่างไร เพราะว่าไม่มีเนื้อแล้ว"

เถรี
01-12-2019, 20:22
โยมเป็นหวัด "กินน้ำอุ่น กินผลไม้รสเปรี้ยวหรือวิตามินซีเยอะ ๆ ให้แข็งแรงไว้ เพราะว่าช่วงนี้ลมหนาวกำลังจะมา ถ้าเป็นโบราณ โน่น...กินแกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม

คำว่า ส้ม ก็คือเปรี้ยว เอาวิตามินซีไปช่วยกันหวัด โบราณเขารู้ ถึงเวลาก็มีอาหารตามฤดูกาล รุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ กินไปเรื่อยเปื่อย

โดยเฉพาะที่วัดท่าขนุน บ่นไปหลายทีกว่าจะรู้ตัว หน้าหนาว อากาศต่ำกว่า ๑๐ องศาเซลเซียส เช้า ๆ ผ่าแตงโมมาถวายพระ วงละจานเบ้อเร่อ ถามจริง ๆ เถอะ ใครจะกินวะ ? ทำอะไรไม่ได้ใช้หัวแม่เท้าตรองดูก่อน...! โดนด่าไป ๓ - ๔ ที ค่อยรู้จักคิดขึ้นมาบ้าง

ช่วงเช้าแถวโน้นอากาศสูง ๆ เลยก็ ๑๖ - ๑๗ องศาเซลเซียส ต่ำกว่า ๑๐ ก็บ่อย ตอนเช้าหน้าหนาว ทางแม่ชีวัดท่าขนุนดันปอกแตงโมมาถวายพระ ถ้าไม่มีอาตมา คนอื่นไม่กล้าว่าหรอก ด่าหลายรอบจนกว่าจะจำ แต่ก็ไม่ค่อยจะจำ

ก็บอกแล้วว่า ถ้าจะทำกับข้าว มีจืด มีเผ็ด มีแห้ง มีน้ำ มีผัก มีเนื้อ หลักการมีแค่นี้ ไม่ใช่บางวัน ๔ จาน ผัดแห้งมาหมดเลย แล้วจะกินอย่างไร ? ไม่ใช่ตอนเช้า ถึงเวลาพระบิณฑบาตมา ก็จัดมีแต่แกงเผ็ดมา ๗ - ๘ ถุง จัดก็จัดให้สลับแบ่งกัน ๗ - ๘ ถุง ก็ให้ไปวงละถุงสิ ไม่ใช่ตะบันมาลงวงเดียวกัน"

เถรี
01-12-2019, 20:31
ถาม : หัวหอมที่เอามาโปะหัวเด็ก ?
ตอบ : อันนั้นเอาไว้แก้หวัดเลย ส่วนใหญ่เขาจะตำผสมกับใบมะขามอ่อน เขาเรียกว่า "สุมหัว" เด็ก ๆ กระหม่อมบาง ถ้าเล็กมากบางทีกระหม่อมก็ยังไม่ปิด เข้าสมองโดยตรงได้ รู้สึกโล่ง หายใจสะดวก ไม่อย่างนั้นไซนัสบวม หายใจไม่ออก เวลาเด็ก ๆ ก็โน่น...ต้มน้ำใบมะขามอ่อน เอาหัวหอมตำ เผาสักหน่อยแล้วสุมหัว สมัยนี้เขาไม่ทำกันแล้ว กินแต่ยาฝรั่ง

หัวหอมก็แก้หวัดได้เหมือนกัน กระเทียมก็แก้ได้ แต่ก็ต้องแบบอาตมานั่นแหละ ฉันไปคนเดียว ๗ - ๘ หัว ตลกตรงที่ว่าท่านเจ้าที่ให้ฉันกระเทียมดอง เดี๋ยวก็เหม็นตลบไปทั้งรถ ท่านยืนยันว่าไม่มีกลิ่น ปรากฏว่าไม่มีจริง ๆ ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด เรื่องอย่างนี้ท่านยังทำได้ก็ต้องยอม เพราะว่าอาตมานั่งอยู่หน้ารถ ถ้าหากกลิ่นกระเทียมออก ทั้งรถก็ต้องทนดมไปด้วย คราวนี้ท่านว่าอย่างไรก็ต้องเชื่อท่าน ปรากฏว่าไม่มีกลิ่นจริง ๆ ก็ดีเหมือนกัน

เถรี
01-12-2019, 21:13
ถาม : ท่านสุ่ยหลง ท่านดูแลบริเวณไหนบ้างครับ ทั้งจีนเลยไหมครับ ?
ตอบ : เฉพาะเขตเสฉวนตะวันตก ถ้าไปแถวนั้นก็ขอใช้บริการท่านได้ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านจะเอาอะไรบ้าง ไปคุยกันเองก็แล้วกัน แต่ยอมรับว่าท่านสุดยอดมาก คือถ้าหิมะตกตั้งแต่ขาไป ขากลับเราก็จะเบื่อ ท่านก็ให้ตกขากลับ แล้วตกกลางคืน ถนนกลางวันก็ไม่ลื่น คราวนี้ช่วงจากทางด้านจากเมืองคังติ่ง เทียนฉวนมาจนถึงเฉิงตู ระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร เข้าแต่อุโมงค์ ไม่มีอะไรจอดให้ดู ท่านก็เอาฝนลงให้พอ จัดโปรแกรมได้สุดยอดมาก

คณะที่ไปก่อน ไม่ได้เห็นอะไรเลย เพราะว่าช่วงที่จะไปดูยอดเขาหิมะ หมอกก็ลงเสียจนมืด มองอะไรไม่เห็น แล้วหิมะก็ลง ลมแรง เข้าไม่ถึงทะเลสาบน้ำนม

ถาม : ทางเดินโหดมากครับ ?
ตอบ : อาตมาไปด้านบนเลย ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะว่าตอนอ้อมลงก็ง่ายแล้ว แต่ยอมรับว่าโหดมาก เพราะว่าเดินสามสี่ก้าวก็ต้องหยุดหายใจทีหนึ่ง สามสี่ก้าวก็ต้องหยุดหายใจทีหนึ่ง

ถาม : ผมเดินสี่ชั่วโมงครับ ?
ตอบ : ขาเข้าอาตมาเดินสองชั่วโมง ขาออกชั่วโมงครึ่ง ไปแบบไม่ใช้ออกซิเจน ได้ความเมตตาของท่านสุ่ยหลง ถึงได้ไม่หนาวตาย รู้สึกอุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับอากาศ คราวนี้พวกทิดดอยอยู่ใกล้ ๆ บอกว่า "อยู่ใกล้หลวงพ่อแล้วอุ่น" ก็อย่าไปไกลสิวะ..!

เถรี
01-12-2019, 21:21
พูดถึงเด็ก "ตัวแค่นี้แขวนเหรียญรุ่นสุดท้ายของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาเอง ๗ - ๘ ขวบแล้วยังไม่มีพระติดตัวสักองค์ ยุคสมัยเปลี่ยนไปจริง ๆ

จำได้ว่าพระองค์แรกที่ได้มา เพราะว่าผู้ใหญ่เขาเห็นไปเกาะโต๊ะ สนใจอยู่ทุกวัน ก็เลยให้พระถ้ำเสือพิมพ์ตุ๊กตามาหนึ่งองค์ คราวนี้ท่านก็แนะนำวิธีดูเนื้อดูอะไรให้ด้วย แต่เด็กก็ไม่เข้าใจ ยังดูไม่เป็น "เอาอย่างนี้แล้วกัน..ไอ้หนู เอาน้ำหยดลงไปหยดหนึ่ง ถ้าหายวับไปเลยก็ของแท้" ระยะหลังใช้ไม่ได้แล้วสูตรนี้ เพราะว่ามีเตาไมโครเวฟ ถึงเวลาก็เอาวัตถุมงคลไปอบให้แห้งกรอบ น้ำหยดลงไปก็หายวับเหมือนกัน"

เถรี
02-12-2019, 21:26
เล่าถึงการเดินทางไปประเทศจีนต่อ "วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันเสาร์ ตื่นเช้าขึ้นมาออกจากห้องพัก ปรากฏว่าหิมะยังเต็มลานอยู่เลย ยังไม่ละลาย อากาศลบ ๔ องศา ทำอย่างไรได้..อาตมาเป็นคนอยู่นิ่งไม่เป็น จึงไปเดินดูบ้านดูเมืองเขา หนาวก็หนาว ถึงหนาวก็จะดู

พวกศิลปะของเขาก็หลักการเดียวกับพระพุทธศาสนาของเรา เพียงแต่ว่าเขานิยมพวกเงื่อนไร้ที่สุด เงื่อนไร้ที่สุดก็ประเภทคล้าย ๆ กับสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน พันกันไปพันกันมา ไม่มีหัวไม่มีท้าย วนไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จักสุด เล็กสุดที่เจอก็รู้สึกว่า ๕ เงื่อน ส่วนใหญ่สุด ๑๐๘ เงื่อน

มีเงื่อนไร้ที่สุด มีหม้อน้ำมนต์ มีหอยสังข์ มีธรรมจักร มีดอกบัว มีฉัตร ฉัตรนี่รู้สึกว่าที่ไหน ๆ ก็ถือว่าเป็นของสูงเหมือนกันหมด ส่วนใหญ่เขาก็ทำไว้ตามประตู ตามหน้าต่าง พวกบรรดาประตู ถ้าเป็นทิเบตแท้ก็มักจะมีคชสีห์อยู่ เขาเอาไว้ป้องกันพวกเสนียดจัญไร พวกของไม่ดีที่จะเข้ามา เพราะว่าคชสีห์เป็นสัตว์ดุร้าย เอาไว้ข่มพวกของอาถรรพ์นี้ได้"

เถรี
02-12-2019, 21:34
"บ้านเขาจริง ๆ แล้วไม่ค่อยมีอะไร ที่บอกว่าบ้านเขาไม่ค่อยมีอะไรก็เพราะว่า ตัวอาคารอะไรต่าง ๆ รัฐบาลเขาสร้าง ก็เลยกลายเป็นแบบเดียวกันหมด พวกเราเดินย้อนกลับไปที่วัดซึ่งอาตมาไปซื้อกำไลงาช้างวงยักษ์มา คนอื่นเขาอยากได้ ปรากฏว่าเช้าเกินไป ยังไม่ทันจะ ๗ โมงเช้าเลย ทั้งวัดเปิดเฉพาะประตูเล็กเข้าวัดอยู่ประตูเดียว นอกนั้นไม่มีอะไรเปิด คนที่ตั้งใจจะไปเสียเงินก็เลยไม่ต้องเสีย

แต่ที่วัดนี้ดีอยู่อย่างหนึ่ง เพราะว่าเขามีของจำหน่ายหลากหลาย ขนาดกปาละยังมี กปาละนี่ถ้าคนทำไม่มีฝีมือจริง ๆ ผีหลอกตายเลย เพราะใช้กะโหลกศีรษะคนมาทำ ในพระพุทธศาสนาของเรา พระพุทธเจ้าท่านก็ห้ามใช้บาตรกะโหลกผี เพราะว่าถ้าไม่ห้ามก็จะมีพวกเฮี้ยน ๆ เอามาใช้กัน ยิ่งคนไหนหัวใหญ่หน่อย ถึงเวลาเลื่อยมาแค่คิ้ว ก็จะได้บาตรใบหนึ่งแล้ว

เดินกันจนกระทั่งมือชา เท้าชา หน้าชา เห็นใกล้เวลาก็กลับมากินอาหารเช้ากัน"

เถรี
02-12-2019, 21:39
"แต่ว่าวันนี้มื้อเช้าไม่ได้กินในโรงแรม โรงแรมมีแต่ที่พัก ไม่มีห้องอาหาร คุณตั้วหัวหน้าทัวร์ต้องพาพวกเราเดินไปร้านค้า ปรากฏว่าเกือบจะเข้าผิดร้าน ที่เกือบจะเข้าผิดร้านเพราะว่าร้านค้าทุกร้านพอเห็นลูกค้ากลุ่มใหญ่เกือบ ๒๐ คนเดินมา เขาเรียกเข้าร้านทุกที่ เขาไม่ได้สนใจว่าเราจองร้านไหนเอาไว้ จะให้เข้าร้านเขาอย่างเดียวเลย

ตอนแรกได้ยินเขาตะโกนเรียกโหวกเหวก คุณตั้วต้องถาม Eric มัคคุเทศก์ว่าใช่ร้านนี้หรือเปล่า ? เขาบอกไม่ใช่ ต้องไปอีกหน่อย อาตมาเองนั้นคิดว่า...ไม่ต้องเดินไกล ไม่ต้องหนาวแล้ว

คราวนี้พอฉันอาหารเสร็จกลับมา ธรรมเนียมของพวกเราก็คืนห้องก่อนขึ้นรถ เพราะว่าหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำ จะได้เข้าได้ ถ้าคืนห้องเขาไปก่อน ก็ไม่มีห้องน้ำให้เข้า

อาตมาเดินมาก็ เอ๊ะ...ใครทำอะไรหล่นอยู่หน้าห้อง ? จึงหยิบขึ้นมาดู เป็นปลอกหมอน ก็เอาวางพาดไว้ตรงระเบียง เข้าห้องน้ำเสร็จเดินออกมา คราวนี้ปลิวมาเป็นหมอนทั้งใบเลย เงยหน้าขึ้นไป คุณแม่บ้านกำลังทำความสะอาดชั้นบน ของอะไรที่จะซัก แกโยนลงมาบนพื้นทั้งหมด แล้วก็โยนไม่ได้ดูใครเลย คงมั่นใจว่าแขกออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว ไม่ได้นึกว่าจะกลับมาเข้าห้องน้ำ โยนหมอนลงมา ถากหัวไปหน่อยเดียว..!"

เถรี
02-12-2019, 21:54
"ดูท่าจะจำผิดว่าวันเสาร์ ที่เล่าให้ฟังน่าจะเลยไปแล้วใช่ไหม ? เป็นช่วงที่เราไปค้างที่โรงแรมทิเบต ในส่วนที่เราพูดถึงควรที่จะเป็นวันอาทิตย์

คราวนี้ในช่วงวันอาทิตย์ของพวกเรา ต้องบอกว่าเป็นวันที่อาตมาไม่ได้นอนเต็มตา เพราะว่าประมาณเที่ยงคืนมีเสียงเคาะประตู ก๊อก ๆ ๆ ใครกันวะ ? ผีหรือคน ท้ายสุดเปิดประตูออกไป จ๊ะเอ๋...! เจ้าถิ่น พูดไทยก็ไม่ได้ พูดจีนก็ไม่ได้ น่าจะเป็นทิเบต มาหาเพื่อน พอเห็นว่าห้องนี้ไม่ใช่เพื่อน เขาก็ไปไล่เคาะห้องอื่นทีละห้อง ไม่ได้ถามว่าคนในคณะโดนเคาะไปกี่ห้อง อย่างนี้ก็มีด้วย..ถ้าเป็นบ้านเราทำอย่างนี้เจอชกแน่นอน เที่ยงคืนคนกำลังหลับอยู่ดันมาเคาะประตูหาเพื่อน

แล้วอาตมามีนิสัยว่าถ้าตื่นแล้วจะไม่หลับ ตื่นแล้วต้องทำโน่นทำนี่ไปเลย ก็เป็นเรื่องสิขอรับ...! ตื่นตั้งแต่เที่ยงคืน แล้วจะทำอย่างไร ? ทั้งที่พยายามเข้าใจว่าธรรมเนียมบ้านเขาน่าจะปลุกกันตอนดึกเพื่อหาเพื่อนได้ แต่บ้านกูไม่มี...! โดยเฉพาะนี่เป็นโรงแรม อาตมารับประกันได้ว่าถ้าโรงแรมหรือรีสอร์ทไหนปล่อยให้คนมาเคาะประตูเรียกแขกกลางดึก มึงเจ๊งแน่นอน..! โดนเข้าแบบนี้คงไม่มีใครเข้าไปพักหรอก"

เถรี
02-12-2019, 22:02
"ตื่นแล้วทำอย่างไร ? ก็นั่งภาวนาสิครับ ไม่มีอะไรจะทำ ตกลงว่ากรรมฐานที่ต้องทำทั้งวันก็เล่นเสียตั้งแต่เที่ยงคืนไปยังสว่าง โยมบางคนถามว่า ไปอย่างนั้นยังต้องไปปฏิบัติธรรมอีกหรือ ? อย่าลืมว่าอยู่นอกสถานที่ซึ่งเราคุ้นเคย ยิ่งอยู่นอกสถานที่ซึ่งเราคุ้นเคย ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก โดยเฉพาะในส่วนของเจ้าที่เจ้าทางหรือบรรดาท่านที่มาขอส่วนกุศลก็ตาม

บางคนไปแล้วบอกว่านอนไม่หลับ รู้สึกหงุดหงิดไม่สบายตัวอยู่ทั้งคืน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผีพยายามจะขอบุญ คราวนี้เขาขอแล้วไม่ได้ก็ตื๊อไปเรื่อย พอเขาไม่ไป เราเองสัมผัสพลังได้แต่มองไม่เห็น ก็นั่นแหละ...ทำให้นอนไม่หลับ ตาค้างไปเถอะ เพราะฉะนั้น..ยิ่งไปที่อื่น อาตมายิ่งต้องปฏิบัติธรรมมากกว่าอยู่ในวัดอีก จึงใส่เสียเต็มที่เลย"

เถรี
02-12-2019, 22:07
"เก็บข้าวเก็บของ รอเวลาเดินทาง ทีนี้เวลาเดินทางในที่อย่างนั้น มีอย่างหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือถุงเท้า อาตมาไม่ค่อยชอบใช้ถุงมือ เพราะว่าทำให้ถ่ายรูปไม่ถนัด แล้วก็พวกหมวกไหมพรมกันหนาวก็ไม่ค่อยใช้ ถ้าหากว่ามีก็ใช้แบบเสียไม่ได้ แต่ว่าถุงเท้านี่จะไม่ลืม อย่างไรก็ต้องใส่ถุงเท้าให้เท้าอุ่นไว้ก่อน

แต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย นั่งรอเวลาเขาเรียกไปกินข้าว เช้านี้เป็นข้าวต้มผัก...อนาถาแท้..! พวกเราเดินเข้าไปห้องอาหาร เขาจะมีบัตรอาหารให้ตั้งแต่ตอนเข้าพัก ก็ต้องเอาบัตรไปให้ทางพ่อครัว แล้วก็หยิบจานหยิบช้อนไปตักอาหารกันเอง กำลังกินเพลิน ๆ พ่อครัวเขามาเดินจี้ถาม "Two more ?" อีกสองคนอยู่ไหน ? พวกไปนั่งกินแล้วไม่เอาบัตรให้เขา ไม่เอาบัตรให้เขาแล้วเขาจะเก็บเงินกับใคร ? จึงต้องมาไล่นับคน แล้วก็นับบัตรในมือ บัตรหายไปไหน ๒ ใบ ? จึงมาตามทวง เจ้าตัวกว่าจะรู้ตัวก็กะเรี่ยกะราด ต้องรีบเอาบัตรให้เขา กินจนจะอิ่มอยู่แล้ว บางอย่างก็เป็นอะไรที่ตลกดีเหมือนกัน

เสร็จแล้วอาตมาก็วิ่งขึ้นไปเข้าห้องน้ำที่ห้องตัวเองเหมือนเดิม ปรากฏว่าลงมาโยมเขาชี้ให้ดู ห้องน้ำอยู่ข้างประตูเข้าครัวนั่นเอง ด้วยความที่ไม่คิดว่าเขาจะมีห้องน้ำให้ เพราะว่าปกติเขาไม่ค่อยมี มีแต่ในห้องพัก อุตส่าห์ขึ้นไปยังชั้น ๓ ทั้ง ๆ ที่อากาศไม่พอหายใจ ตะกายขึ้นไปเข้าห้องน้ำ หนอยแน่ะ...! ดันมีอยู่ข้างหน้าครัวนั่นเอง"

เถรี
02-12-2019, 22:11
"วันนี้เราต้องเดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิมเกือบทั้งหมด เพื่อที่จะแยกไปเมืองซินตูเฉียว ในเมื่อย้อนกลับก็เจอสิ่งเดิม ๆ อย่างเช่นว่าด่านตำรวจ ไปประเทศจีนงวดนี้ ๑๐ วัน เจอด่านตำรวจแทบไม่ต้องนับ มีด่านเดียวที่ขึ้นมาตรวจ ที่เหลืออากาศหนาวมาก เลยไม่ออกมาจากที่ทำการมาให้หนาว

ส่วนที่ขึ้นมาก็ใช้วิธีให้เราถือพาสปอร์ตไว้ แล้วก็เอาโทรศัพท์มือถือไล่ถ่ายทีละคน เอาข้อมูลไป แล้วก็ไปดูว่าตรงกับเอกสารที่ทางด้านเจ้าของรถถ่ายเอกสารให้หรือเปล่า อาตมาเห็น "หัวเหว่ยโปร" ด้วย เจ้าหน้าที่จีนเขาใช้"

เถรี
02-12-2019, 22:18
"ของอย่างหนึ่งที่อยากจะแนะนำญาติโยม สองอย่างก็ได้ ถ้าไปที่หนาวแบบนี้นะ ให้พกพวกโลชั่นหรือยาอะไรที่ทาผิวไปด้วย เพราะว่าอาตมานี่ผิวแตกเป็นขุย คันไปทั้งตัวเลย อาศัยโยมที่เขามีอยู่ ได้ทาแล้วค่อยดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งก็คือพวกวาสลีนที่เขาทาปาก อาตมาปากแตกยับเยินเลย ไม่ได้ปากแตกเฉย ๆ นะ จมูกก็แตกร้าวหมด ที่แน่ ๆ ก็คือในรูจมูกก็แตกเพราะว่าอากาศเย็นจัด เพราะฉะนั้น..ต้องเอาไปให้มากที่สุดเท่าที่ทางสายการบินเขาอนุญาต เนื่องจากต้องใช้จริง ๆ อาตมานี่ขนาดใช้วาสลีนล้วงเข้าไปในรูจมูกเลยนะ เพราะว่าจมูกข้างในแตก เจ็บไปหมด

ญาติโยมเคยไปที่หนาวมาแล้ว หลายคนจะมีของพวกนี้ติดตัวเป็นปกติ อาตมาก็เลยได้โอกาส เพราะว่าปกติแล้วพระเราห้ามใช้ของพวกนี้ เนื่องจากว่าเป็นพวกเครื่องหอมเครื่องย้อมเครื่องทา แต่ปรากฏว่าในบาลีท่านก็มีข้ออนุญาตพิเศษให้ว่า ยกเว้นเจ็บไข้ คราวนี้อาตมาป่วยไข้แน่นอน เพราะว่าหนาวจนแตกลายไปทั้งตัว จมูกนี่แตกเป็นเกล็ดเลย จึงจำเป็นต้องใช้ ไปขอโลชั่นของโยมมาทา พอรูดลงไปก็หายวับไปเลย เนื่องจากผิวแห้งจนเป็นขุย สรุปก็คือโยมพกโลชั่นไปกะว่าพอใช้จนถึงวันกลับ อาตมาแย่งใช้ไปเสียครึ่งหนึ่ง"

เถรี
02-12-2019, 22:20
"ของบางอย่าง ถ้าไม่มีประสบการณ์เราก็ไม่รู้ว่าจำเป็น ใครจะไปนึกว่าหนาวจนปากแตกร้าวหมด เจ็บจนกระทั่งเลือดซิบ ๆ บางคนอาจจะคิดว่าร้ายแรงขนาดนั้นเชียวหรือ ? ขอยืนยันว่าร้ายแรงขนาดนั้นจริง ๆ เผลอสั่งน้ำมูกแรง ๆ เลือดก็ออก เพราะว่าในจมูกก็แตก เพราะฉะนั้น..ถ้าใครได้ไปก็เตรียมตัวเอาไว้ว่าจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้"

เถรี
02-12-2019, 22:30
"ถ้าตามที่บันทึกเอาไว้ วันที่ ๒๐ วันอาทิตย์ อากาศลบ ๕ องศาเซลเซียส...น่าชื่นใจนะ ถ้าอาตมาอยู่เมืองไทยคงหนาวตาย อยู่ที่โน่นอาศัยบารมีเจ้าที่...ยืดได้ ไม่เป็นไร

คราวนี้พอเราวิ่งย้อนทางเก่า ก็จะไปพักถ่ายรูปบริเวณที่เดิม ๆ ของเรา ก็มีภูเขากระต่าย ภูเขาลูกนี้ที่ชื่อภูเขากระต่าย เพราะว่ามีหิน ๒ ก้อนที่ยื่นขึ้นไปในอากาศ เหมือนอย่างกับหูกระต่าย เมื่อคืนหิมะตกหนัก ตอนนี้ที่ภูเขากระต่ายก็กำลังสวยเลย พวกเราจึงลงไปถ่ายรูป ทั้ง ๆ ที่สายมากแล้ว กว่าจะไปถึงประมาณ ๘ - ๙ โมง แดดกำลังจัด แต่ปรากฏว่าภูเขากระต่ายยังอากาศ ๑ องศาเซลเซียสอยู่เลย จากลบ ๕ องศาเซลเซียส เจอแดดมาก ๆ เข้าก็โผล่ขึ้นมาที่ ๑ องศาเซลเซียส"

เถรี
02-12-2019, 22:35
"มีอยู่อย่างหนึ่งที่หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้ ก็คือพวกเราเจอหิมะก็วิ่งไปเล่นกัน ขณะที่เจ้าของที่เจอหิมะเขาเดินหนีเพราะว่าหนาว ส่วนพวกเราเวลาเจอแดดก็จะหลบอยู่ในร่มหรือไม่ก็กางร่ม ส่วนเขาเจอแดดก็เดินอาบแดดกัน

ประเทศของเขา ถ้าช่วงหิมะตก บางทีเป็นอาทิตย์ ๆ ที่ไม่ได้เจอแดดเลย จึงกลายเป็นว่าพวกเราก็ไปเล่นหิมะ ไปถ่ายรูป ไปวัดรอยเท้าตัวเอง เวลาหิมะตกหนาหลาย ๆ นิ้ว เหยียบลงไปจะได้เห็นว่ารอยเท้าตัวเองใหญ่เท่าไร หน้าตาเป็นอย่างไร แต่อาตมาเหยียบเสร็จแล้วถ่ายรูปขึ้นมายังแปลกใจ ว่าทำไมรอยเท้าไม่ยุบ กลายเป็นรอยนูน ๆ ไปก็ไม่รู้ ? สงสัยว่าตอนชักเท้าหิมะวิ่งตามรองเท้าขึ้นมา"

เถรี
02-12-2019, 22:38
"คราวนี้ความเป็นพระของเราทำให้ต่างจากชาวบ้าน คุณจะลงไปที่ไหนก็ตาม กล้องของพวกนักท่องเที่ยวจะหันมาหาพระเสมอ แอบถ่ายบ้าง ถ่ายตรง ๆ บ้าง เข้ามาขอถ่ายรูปด้วยบ้าง ถ้าเป็นพวกฝรั่งก็มักจะแอบถ่าย เพราะกลัวว่าเราจะไปขอเงิน ก็คือเขาโดนจนเข็ดว่าถ่ายรูปชนพื้นเมืองแล้วมักจะมาขอค่ารูป โดนไปคนละ ๓ ดอลลาร์ ๕ ดอลลาร์ เขาก็เบื่อ บางแห่งไปเจอพระ ขอถ่ายรูปด้วยบางทีก็โดนเก็บเงิน

อย่างอาตมาไม่ค่อยปฏิเสธหรอก ถึงเวลาขอถ่ายรูปก็เอา บ้าตามกัน..! โยมบางคนก็ไม่รู้จักพระ มาถึงก็กอดคอเลย คงจะเห็นว่าแต่งตัวแปลกดี"

เถรี
02-12-2019, 22:41
"หิมะตกใหม่ ๆ อาตมาเองแรก ๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร ตอนหลังรู้สึกเจ็บตา ก็ยังคิดว่าเป็นปกติ เพราะว่าตาเคยเป็นต้อมา ไม่รู้ว่าแสงอาทิตย์ที่สะท้อนหิมะทำร้ายสายตาได้ขนาดนี้ อาตมานั่งน้ำตาไหลไป ๒ วัน วันที่ ๓ ต้องเอาแว่นกันแดดมาใส่ อาการจึงค่อยเบาลงไปหน่อยหนึ่ง

ในบางจุดที่เราไปเที่ยว ถ้ามีแว่นกันแดดไว้แล้วจะปลอดภัย อาตมาเองไม่ถนัดที่จะใส่แว่นกันแดด เพราะว่าบรรยากาศไม่เหมือนกัน ใส่แล้วเดินไม่ถนัด อีกทั้งแว่นกันแดดอย่างเดียวก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ต้องกันลมได้ด้วย ก็คือต้องเป็นแว่นที่ปิดด้านข้างด้วย

สรุปว่าต้นทางก็แวะถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ เจอหมาก็เลี้ยงหมา เจอวัวก็เลี้ยงวัว ไปที่ไหนผูกมิตรกับเจ้าถิ่นเขาไปหมด จะนกจะหนูอะไรมาก็เลี้ยงหมด"

เถรี
02-12-2019, 22:48
"คราวนี้เราย้อนกลับมาถึงตรงจุดซึ่งมีร้านขายของที่ระลึกที่เป็นหลักเป็นฐานเป็นงานเป็นการ ตรงนั้นชื่อไห่ชี่ซาน มีทะเลสาบใหญ่อยู่ด้วย แต่อาตมาเดินไปไม่ถึง มีโยมหลายคนเดินไปถึง ที่เดินไปไม่ถึง เพราะ ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือมัวแต่เลี้ยงหมาทิเบต

หมาทิเบตันมาสตีฟ เป็นหมาพื้นเมืองทิเบตเขา ตัวใหญ่ ๆ ขนยาว ๆ ตัวนี้อาตมาเรียกว่า "ไอ้มึน" เหตุที่เรียกไอ้มึนเพราะว่าเขาตีหน้าบื้ออยู่อย่างเดียว มีอะไรให้ก็กิน ถ้าไม่มีก็เฉย ของที่เลี้ยงก็คือเนื้อจามรี ตั้งใจจะซื้อมาเป็นเสบียง ส่งไปเท่าไรก็หายวับ ท้ายสุดเจ้าของเนื้อต้องประท้วง บอกว่าถ้าขืนเลี้ยงหมาหมด เขาก็จะอดแล้วนะ

ส่วนเรื่องที่น่าสงสารคือวัวทิเบตกินแอปเปิ้ลไม่เป็น ส่งให้ก็ไปอมขลุก ๆ อยู่ทั้งลูก ท้ายสุดก็คายออกมาทั้งลูก ถ้าเป็นวัวควายบ้านเรานี่ ลูกใหญ่กว่านั้นก็เคี้ยวกระจายหมดแล้ว"

เถรี
02-12-2019, 23:01
"พวกเราผ่านไห่ชี่ซานไป ถ่ายรูปกับทะเลหมอก ส่วนตลอดทางเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะว่าทางเขาคดเคี้ยว เลาะไปตามภูเขา ส่วนใหญ่ก็เลียบแม่น้ำ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าก่อสร้างไม่ดี หน้าน้ำก็มักจะโดนเซาะถล่มไปด้านหนึ่ง

ผ่านเมืองซางตุยที่ขามาไม่ได้แวะ แต่ขากลับเขาแวะให้เราไปดูเขตพื้นที่ชุ่มน้ำของเขา ข้อมูลของเขาบอกว่ามีอยู่ทั้งหมด ๓,๐๐๐ กว่าตารางกิโลเมตร แสดงว่าใหญ่มาก แต่จุดที่เขาแวะให้เราลงไปดูนั้นเป็นทุ่งหญ้าสีแดง เขาบอกว่าช่วงนี้เป็นฤดูหนาว ก็เลยสีซีดลงมาหน่อย ถ้าเป็นหน้าฝนหรือหน้าร้อนจะแดงจัดกว่านี้ แต่ปรากฏว่าอยู่แถวนั้น จะไปตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปไม่ได้ เพราะว่าเป็นสะพานที่เขาให้เดินชมธรรมชาติ แล้วไม่มีราวกั้น

คนจีนเวลาเดินเขาไม่เกรงใจใคร ถ้าเขาเดิน ๒ คน เขาจะเดินเคียงกันไปเต็มถนนเลย แต่ถ้าเราเดินแบบนั้นเขาจะกระแทกเลย ฉะนั้น..เวลาอยู่ที่นั่นต้องหัดความโหดเอาไว้บ้าง ถึงเวลาก็กระแทกโครม ไม่อย่างนั้นเราจะโดนอยู่ฝ่ายเดียว ในคณะของเราโดนคนจีนผลักบ้าง กระแทกบ้าง หลาย ๆ ครั้งเข้าก็ชักโมโห ต้องเอาคืนบ้าง"

เถรี
02-12-2019, 23:09
"ไปถึงทุ่งหญ้าแดงก็ประมาณ ๑๑ โมงแล้ว นอกจากแวะถ่ายรูป แวะเข้าส้วมแล้ว พยายามไปเดินดูพวกข้าวของ โดยเฉพาะหาตุ๊กตาจามรี ที่นั่นมีเหมือนกัน แต่เป็นตัวเล็ก แล้วก็ฝีมือก็ไม่ละเอียด จึงไม่ได้ซื้อไม่ได้หา ได้แต่ดูเฉย ๆ

จากตรงจุดนั้น รถวิ่งต่อไปอีก ๒๐ นาทีก็ถึงเมืองหลักเมืองหนึ่งของเขา คือ เมืองเต้าเฉิง คุณตั้วพาไปเข้าภัตตาคาร บอกว่าวันนี้เลี้ยงหม้อไฟ เป็นภัตตาคารหม้อไฟโดยเฉพาะ ทุกโต๊ะจะมีเตาอยู่ตรงกลาง แล้วจุดด้วยระบบดิจิตอล กดปุ่มอย่างเดียว เข้าไปถึงเขาก็พาไปดูเครื่องปรุง นี่คือน้ำตาล นี่คือพริก นี่คือพริกไทย นี่คือผงชูรสล้วน ๆ เขาก็ว่าของเขาไป

ส่วนสารพัดผักของเขามีให้เป็นเข่งใหญ่ ๆ จะกินอะไรคุณตักกันไปเอง พวกเราก็ล้อมเป็น ๒ โต๊ะเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็เลข ๖ กับเลข ๙ เขาเรียกโต๊ะสายแข็งกับโต๊ะสายอ่อน ปราฏว่าหม้อไฟที่เขายกมาให้เป็นกระดูกหมู พวกเราก็รู้สึกว่า ๖ คน กับกระดูกหมู ๕ - ๖ ชิ้นนี่ไปกันไม่ค่อยได้ จึงต้องมีการลงทุน "หม่าม้า" ไปสั่งเนื้อจามรีมาต่างหากอีก ๑ จานใหญ่ ๆ

พวกเราก็จัดแจงต้มเต้าหู้ มะเขือเทศ กับผักอีกสารพัด จนกระทั่งตักกินไปชามสองชามแล้ว อาตมาหันไปถามคนข้าง ๆ ว่า "ตกลงว่าเขาไล่ต้อนจามรีได้หรือยัง ?" ท้ายสุดคนสั่งต้องเดินไปถามพ่อครัว พ่อครัวเขาบอกว่ากำลังหั่นอยู่ แสดงว่าเขาจับจามรีได้แล้ว..! หายไปเป็นชั่วโมง คิดว่าไปไล่ต้อนอยู่กลางทุ่งโน่น

ปรากฏว่าเนื้อจามรีที่เขาส่งมาให้ มีทั้งเนื้อสดแล้วก็เนื้อแช่แข็ง รสชาติต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวเลย เนื้อสดนี่จุ่มลงไป ๓ วินาทีขึ้นมา เนื้อนุ่มจนแทบจะละลายคาปาก ส่วนเนื้อแช่แข็งมานี่เหนียวเด้งดึ๋ง ๆ เลย ใครที่กินจิ้มจุ่มบ่อย ๆ คงจะนึกออกว่าที่อาตมาพูดนั้นเป็นอย่างไร"

เถรี
02-12-2019, 23:43
"มีอยู่อย่างหนึ่งที่พวกเราควานหากัน ก็คือเห็ดมัตสึตาเกะ เห็ดนี้มีชื่อเสียงที่ญี่ปุ่น ก็เลยจำชื่อญี่ปุ่นกัน ต้องบอกว่าเป็นเห็ดชูรส ใส่ลงไปในอะไรก็อร่อยไปหมด แต่คราวนี้หม้อไฟเดือดพล่าน แล้วในมือของเราก็มีแค่ตะเกียบ ก็เลยต้องเป็นคนมือไว พอเห็นปุ๊บคีบปั๊บ ไม่อย่างนั้นกว่าจะโผล่มาก็ ๖ ล้านปีข้างหน้า..! นี่พูดถึงสัตว์นรกที่ตกหม้อทองแดงนะ จมลงไปจนกระทั่งโผล่ขึ้นมานี่ผ่านไป ๖ ล้านปีแล้ว

ทางด้าน Eric มัคคุเทศก์ของเราก็ยุว่า กินเยอะ ๆ วันนี้ต้องใช้แรงมาก เขาก็ไม่บอกว่าใช้แรงมากเพื่อทำอะไร ปรากฏว่าหลังอาหาร เขาพาไปไหว้พระสถูปประจำเมืองเต้าเฉิง เขาเรียกว่าพระสถูปสีขาว บริเวณนั้นเป็นแหล่งเที่ยว เป็นแหล่งออกกำลังกาย

แต่ว่าตรงจุดพระสถูปที่อยู่บนเนินนั่นเป็นที่ไหว้พระ แล้วก็เดินจงกรมกัน คนทิเบตเขาไปเดินกัน ๑๐๘ รอบ อาตมาเองก็ตั้งใจจะเดินสัก ๙ รอบ เดินเร็ว ๆ ด้วย เพื่อที่จะวัดออกซิเจนว่า เมื่อออกกำลังกายแล้วมีเหลือเท่าไร จะได้รู้กำลังของตัวเอง ปรากฏว่าท้ายสุดต้องเดินไป ๑๐ รอบ เพราะว่าโยมดันไปร่วมเดินตอนรอบที่ ๒ ก็เลยต้องรอโยมเขาเดินให้ได้ ๙ รอบ ของอาตมาจึงกลายเป็น ๑๐ รอบ หน้าไหม้หมดเลย เพราะว่าโดนแดดส่องหน้าอยู่ตลอดเวลา แล้วแดดหน้าหนาวของที่นี่ก็จัดมาก"

เถรี
02-12-2019, 23:50
"รอบแรกก็ไม่เท่าไรหรอก พอรอบสองนี่กล้องถ่ายรูปเริ่มมา พอรอบสามกล้องถ่ายรูปก็เยอะขึ้นเรื่อย ๆ รอบที่สี่รอบที่ห้านี่เขาเดินรอมุมกันเลย เอากล้องไปจ่อไว้รอให้อาตมาเดินผ่านตรงนี้ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้วก็ถ่าย อาตมาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปลงเฟซบุ๊ก ไปลงอินสตราแกรมของใครไปเท่าไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าอยู่ด้านไหนก็มีแต่กล้องรอบตัวไปหมด

สรุปว่าเดินเร็ว ๆ รอบพระสถูปใหญ่ ก็น่าจะกว้างกว่าบ้านเติมบุญนี้ไป ๑๐ รอบ มาวัดออกซิเจนแล้วยังเหลือตั้ง ๘๕ เออ...ออกแรงขนาดนี้ ออกซิเจนในเลือดยังมากพอที่จะสู้กับความสูงได้ เสร็จแล้วเขาก็ต้อนขึ้นรถ รถของเราไปจอดอยู่ในปั๊มน้ำมัน เป็นครั้งแรกเลยที่จอดในปั๊มน้ำมันอย่างเป็นทางการ เพราะว่าปกติพอเขาส่งเราแล้ว ก็จะไปเติมน้ำมันเติมอะไรของเขาที่ไหนเขาก็ไม่ได้บอกเรา แต่งวดนี้ปั๊มน้ำมันอยู่ข้างพระสถูปขาว พวกเราจึงได้อยู่ในปั๊มน้ำมันอย่างเป็นทางการ"

เถรี
02-12-2019, 23:57
"เขาพาวิ่งไปประมาณ ๓ นาทีก็จอด บอกว่าพามาดูใบไม้เปลี่ยนสี เดินเข้าไปถึงแล้วเซ็งมาก เหลือแต่ก้านกับใบไม้แห้ง ๆ ทางด้าน Eric บอกว่า "This year winter early comes." เขาบอกว่าปีนี้ฤดูหนาวมาเร็วมาก ก็เลยทำให้ใบไม้เปลี่ยนสีเร็ว ทั้ง ๆ ที่เป็นต้นฤดู แต่ใบไม้ร่วงหมดแล้ว เขาถามว่าจะไปเดินดูรอบพื้นที่ไหม ? ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะเดินทำไมวะ ? ตกลงถ่ายรูปหมู่กันรูปเดียว แล้วก็กลับขึ้นรถเดินทางต่อ

ทำเอาหัวหน้าทัวร์สีหน้าไม่ค่อยดีเหมือนกัน เพราะว่าเขาตั้งใจพาพวกเรามาถ่ายรูป แต่ธรรมชาติไม่ได้อย่างใจ"

เถรี
03-12-2019, 00:00
"พอเราวิ่งย้อนไป มีวัดใหญ่อยู่วัดหนึ่ง คือ วัดรื่ออู่ เป็นวัดโบราณด้วย แต่ว่าพวกเราได้แต่จอดถ่ายรูปอยู่ข้างถนน เพราะว่าถัดจากข้างถนนไปก็เป็นแม่น้ำ ต้องข้ามแม่น้ำไปถึงจะเป็นวัดอยู่ฝั่งโน้น อากาศหนาวขนาดนั้นไม่มีใครอยากจะลุยน้ำ ก็เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ทางฝั่งนี้

อย่าลืมว่าแต่ละจุดที่เราผ่าน ความสูงเกิน ๔,๐๐๐ เมตรทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็อยู่ระหว่างที่ ๔,๕๐๐ - ๔,๖๐๐ - ๔,๗๐๐ เมตร มีเต็มที่ตรงเสี้ยวจินนั่น ๖,๒๕๐ เมตร ถ้าใครปอดไม่ดี กรุณาเตรียมออกซิเจนกระป๋องไปด้วย"

เถรี
04-12-2019, 18:50
"แถว ๆ นั้นมีสถานที่สวย ๆ ให้ถ่ายรูปเยอะ วิ่งไปประมาณ ๒๐ - ๓๐ นาทีก็จอดทีหนึ่ง ๒๐ - ๓๐ นาทีก็จอดทีหนึ่ง คราวนี้คนขับรถของเรา ไม่รู้จักพระ หรือว่ารู้จักแต่พระทิเบตก็ไม่รู้ ไปจอดตรงช่องเขาโปหวา สูง ๔,๐๐๐ กว่าเมตรเหมือนกัน เขาก็ลงไป พวกเราก็ถ่ายรูปบ้าง ซื้อของบ้าง สักพักคนขับรถกลับมาพร้อมกับส้มเต็มมือ จัดแจงแกะถวายพระ อาตมาปฏิเสธ แต่เขาไม่เข้าใจ ในเมื่อไม่เข้าใจ เอ้า..ก็ได้วะ..! ยังไม่ถึงบ่ายสองโมงก็กินให้เขาสักครึ่งซีก จะได้ไม่เสียกำลังใจ

แถวบริเวณที่เป็นจุดพักหรือจุดถ่ายรูป ทางการจีนเขาจะเอาหินก้อนใหญ่ ๆ ลักษณะดี ๆ ไปตั้ง แล้วก็สลักชื่อสถานที่และความสูงเอาไว้ เพื่อให้คนไปถ่ายรูป ถ้าทิวทัศน์ไม่เป็นใจ อย่างเช่นว่าหมอกลง หิมะตก ฝนตก อย่างน้อยก็มีป้ายก้อนหินให้ถ่ายด้วยได้"

เถรี
04-12-2019, 18:52
"ไปขออนุญาตเขาเข้าห้องน้ำกลางทาง มีคนบอกว่าให้ตักน้ำในอ่างล้างหน้าราดให้ด้วย อาตมาเข้าไปก็เห็นเขาเปิดน้ำใส่อ่างล้างหน้าอยู่ มองลงไปข้างล่าง มีถังใหญ่ใส่น้ำอยู่เกือบเต็ม ก็เลยงง ๆ ว่าทำไมกูต้องตักในอ่างล่างหน้าวะ ? แต่ก็ทำตามคำแนะนำของเขา เขาบอกว่าให้ตักในอ่างล้างหน้าก็ตัก ลำบากชีวิตดีเหมือนกัน

ไม่เข้าใจว่าถังใหญ่เบ้อเร่ออยู่ข้างล่าง ตักไม่ได้หรืออย่างไร ? ก็ไม่มีป้ายอะไรห้าม บ้าก็บ้าวะ...! ไปไหนถ้าบ้าตามกันจะไปกันได้นาน เชื่อว่าพวกเราหลายคนคงไม่พาซื่อเหมือนกับอาตมา เขาบอกให้ตักในอ่างก็ตัก เราต้องเข้าใจว่าห้องน้ำของจีน ห้องน้ำของอินเดีย ห้องน้ำของพม่า จะมีทัศนภาพอุจาด ก็อย่างที่คุณบีเขาบอกว่า ถ้าอ่อนแอเกินไปก็ไปไม่ได้"

เถรี
04-12-2019, 18:56
"คราวนี้จากจุดสุดท้ายที่เราตั้งเป้าในวันนี้ก็คือ เมืองรื่อหวา รื่อหวาที่ภาษาอังกฤษเขียน Riwa ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะอ่านว่าริวา ยังสงสัยว่าอาตมาไปที่เดียวกับเขาหรือเปล่า ? ส่วนใหญ่อาตมาไปไหน จะถามเจ้าถิ่นเขาว่าที่นี่เรียกว่าอะไร ? แล้วให้เขาออกเสียงให้เราฟัง ไม่อย่างนั้นแล้วภาษาอังกฤษเขียนอย่างหนึ่ง อ่านอีกอย่างหนึ่ง เจอแบบนี้เข้าก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

เข้าไปถึงเมืองรื่อหวา เขาพาไปจอดหน้าห้างสรรพสินค้า ห้างสรรพสินค้าชื่อ เต้าหยา หัวหน้าทัวร์เขาบอกว่า ให้หาซื้อเสบียงสำหรับมื้อกลางวัน ๒ วัน เพราะว่าเราจะต้องไปกินกลางทาง เนื่องจากว่า ๒ วันจากนี้มีแต่เดินกับเดิน ตอนเช้ากินที่โรงแรม ตอนเย็นถ้าใครกินก็กลับมากินที่โรงแรม แต่กลางวันต้องแบกไปกันเอง

ก็ปรากฏว่าสูตรใครสูตรมัน บางคนก็บอกว่าซื้อขนมปังไปทำแซนวิช บางคนก็ซื้อปีกไก่ น่องไก่ สารพัดเนื้อที่เขาทำสุกแล้ว ใส่ถุงสุญญากาศ อาตมาไปเจอข้าวกล่อง ไม่รู้จะเรียกว่าข้าวกล่องดีไหม ? บ้านเราใครเป็นลูกค้าข้าวกล่องซีพีบ้าง ? กล่องดำกล่องแดงอะไรพวกนั้น อาตมาเป็นลูกค้าประจำ ขนาดบางกล่องอาตมายังรู้สึกว่ามาก กินไม่ค่อยจะหมด

แต่ขอโทษ...ข้าวกล่องเมืองจีน กล่องหนึ่งหนักครึ่งกิโลกรัม..! พวกเราประมาณ ๓ หรือ ๔ คน ถึงจะกินหมด คราวนี้อาตมาทำอย่างไร ? เขาบอกว่า ๒ มื้อ ก็เลือกไป ๒ กล่อง เพราะว่าทางทัวร์เขาเป็นคนจ่าย ญาติโยมคนอื่น ๆ ก็อย่างว่า...สูตรใครสูตรมัน หาซื้อกันเอาเอง"

เถรี
04-12-2019, 18:59
"อาตมาไปเดินดูทางซีกที่ขายของที่ระลึก โอ้แม่เจ้า...กงล้อมนต์อันเล็ก ๆ สำหรับแขวนคอ อันละ ๒๓๘ หยวน ซื้อไหวไหม ? ท้ายสุดก็เลยออกไปเดินข้างนอก เพราะว่าพวกเราซื้อของกันไม่เสร็จสักที

จำไว้เลยว่าเวลาไปกับผู้หญิง ต้องให้เวลาเขาซื้อของเยอะ ๆ ของอย่างเดียวกัน พลิกแล้วพลิกอีก คุยกันไม่เลิก ถามกันไม่เลิก ซื้อกันไม่ได้สักที

อาตมาเลยไปเดินดูของข้างนอก ไปเจอร้านขายของที่ระลึก ปรากฏว่าของอย่างเดียวกับที่ข้างในขาย ๓๐๐ กว่าหยวน ๑๐๐ กว่าหยวน ข้างนอกขาย ๓๘ หยวน ๕๘ หยวน ตกลงว่าจะซื้อของใครดี ?"

เถรี
04-12-2019, 19:05
"พอย้อนกลับมา มีรถจะเลี้ยวเข้าซอย แต่เลี้ยวไม่ได้ เพราะว่ามีนักเลงดีจอดส่งของหน้าร้านซูเปอร์มาร์เก็ต จอดปิดถนนเลย รถของเราที่ไปกลับรถมา ก็จ่อท้ายเขาต่อ แล้วก็มีคันอื่นจ่อท้ายรถเราอยู่อีก รถที่จะเข้ามาก็ทิ่มหัวเข้ามา ก็เป็นอันว่าติดกันอีรุงตุงนัง ไม่ต้องไปบีบแตรไล่ คนส่งของประเทศจีนอุเบกขาดีมาก อยากบีบก็บีบไป กูส่งไม่เสร็จ..กูไม่ไป

จนกระทั่งท้ายสุดเขาส่งของเสร็จ ก็ครึ่งค่อนชั่วโมงผ่านไป เขาดันไปโบกมือไล่รถที่ทิ่มหัวเข้าซอยมา ประมาณว่าตัวเองจะออก ส่วนรถที่ทิ่มหัวเข้าซอยมา ท้ายเป็นถนนใหญ่ ก็มีแต่รถวิ่งไปวิ่งมาเยอะแยะ แต่เอ็งถอยออกไปก่อน ข้าจะได้ออกได้...เข้าท่าดีเหมือนกัน

ถ้าเป็นบ้านเรา สงสัยว่าจะถือขวานลงมาไล่ทุบกัน..! ท้ายสุดรถที่เลี้ยวเข้ามาต้องยอมเสียสละ ถอยออกไปเสี่ยงดวงข้างนอกเอา พอถอยพ้นไป รถในซอยก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดซอย คันนั้นถึงมีโอกาสกลับเข้าบ้าน น่าสงสารมาก"

เถรี
04-12-2019, 19:09
"พวกเราวิ่งออกไปนอกเมืองไปที่พัก ที่พักคืนนี้ชื่อแปลเป็นภาษาไทยว่า แดนหิมะ บอกให้รู้เลยว่าหนาวแน่ ระหว่างที่รอกุญแจอยู่ Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์ก็ไปยกแผนที่มา ชี้ให้ดูว่าพรุ่งนี้คุณจะต้องนั่งรถเท่านี้กิโลเมตร ลงไปเดินเท่านี้ แล้วมาขึ้นรถ แล้วนั่งอีกเท่านี้กิโลเมตร พวกเราก็ "Yes" "Yes, Ok" กันไปเรื่อยเปื่อย นึกสภาพไม่ออกว่าสถานที่หน้าตาเป็นอย่างไร

Eric เป็นมัคคุเทศก์ที่ต้องบอกว่าเก่งภาษาอังกฤษมาก ๆ แต่บางคำที่เขาพูดต้องบอกว่าฟังยาก ไอ้ fifteen สิบห้า ของเขา เราจะฟังเป็น fifty ห้าสิบ ยันเตเลย พอ ๆ กับนีม่าซึ่งเป็นมัคคุเทศก์ที่ทิเบต นีม่าจะออกเสียง Sometimes บางเวลา เป็น Sametime ตลอด

แล้วอย่างหนึ่งของ Eric ที่พวกเราได้ยินแล้วฮากันทุกที ก็คือเวลาถามอะไรเขาจะบอกว่า I’m not sure. ทำไมพวกมัคคุเทศก์ถอดแบบกันมาหมดเลยวะ ? โดยเฉพาะคาชาน ฟารุก ที่ปากีสถาน ขึ้นต้นด้วยคำว่า I’m not sure. ตลอด แล้วตกลงว่ากูจะได้ข้อมูลที่แน่นอนอะไรจากมึงบ้างไหม ?"

เถรี
04-12-2019, 19:12
"ปรากฏว่าคืนนี้ที่เมืองรื่อหวา ความสูง ๓,๘๐๐ เมตร อาตมานอนไม่หลับ เพราะว่าหนาวไม่พอ อากาศแค่ ๑๗ องศาเซลเซียส โห...เป็นอะไรที่อนาถชีวิตมากเลย ๑๗ องศาเซลเซียส ร้อนจนนอนไม่หลับ เพราะว่าวันอื่นติดลบตลอด อาตมาเปิดประตู เปิดหน้าต่าง เปิดอะไรทุกอย่างแล้ว ก็ไม่หนาวพอที่จะนอน ท้ายสุดต้องถอดเสื้อกันหนาวออก ๑ ตัว เอาผ้าห่มกันหนาวออกอีก ๑ ชั้น เออ...ค่อยนอนได้ ไม่อย่างนั้น เตรียมการเต็มที่เหมือนทุกคืน ก็คือผ้าห่ม ๒ ชั้น เสื้อกันหนาว ๒ ตัวถึงจะนอนได้ ปรากฏว่าเจออากาศ ๑๗ องศาเซลเซียสเข้า ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ แทบจะแก้ผ้านอน..!

เล่าให้ญาติโยมฟัง ญาติโยมก็สงสัยว่า จะจำอะไรนักหนา ก็แค่นึกย้อนหลังไปว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง ถ้าภาษาพระเรียกว่า อตีตังสญาณ ถ้าคนที่มีสติสมาธิมั่นคง จะนึกย้อนไปได้เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติ หรือเป็นหลาย ๆ ชาติก็ได้"

เถรี
04-12-2019, 19:17
"จะว่าไปแล้ว เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วเป็นธรรมชาติ ถ้าสติสมาธิดีก็จะระลึกได้มาก ถ้าสติสมาธิไม่ดีก็จะระลึกได้น้อย หรือลืมง่าย กลายเป็นคนขี้ลืม

ในส่วนนี้ถ้าใครไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ คือเป็นโรคสมองเสื่อม ก็ให้ทำสมาธิเข้าไว้ จะช่วยได้มาก ถึงเวลาก็นึกย้อนหลังไป ไล่ไปแบบการปฏิบัติธรรมที่อาตมาแนะนำ จนกระทั่งย้อนไปอยู่ในท้องแม่ แล้วก็ดูว่าค่อย ๆ โตขึ้นมา ค่อย ๆ คลอดออกมา แต่ละวันมีความสุขบ้างไหม ? มีแต่ความทุกข์อยู่ตลอด นั่นของเราแค่ชาตินี้ ถ้าระลึกย้อนหลังไปอีก ก่อนเข้าท้องแม่เรามาจากไหน ก็จะไปได้เรื่อย ๆ

ในพระไตรปิฎก มีผู้ที่สามารถระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด คือพระพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ นางภัททากัจจานาหรือนางยโสธราพิมพา ส่วนอื่น ๆ ท่านระลึกได้ก็จำกัด อย่างเช่นว่าบางคนก็ได้แสนชาติ บางคนก็ได้ ๑ กัป ๒ กัป ๕ กัป ๑๐ กัป ๑๐๐ กัป เหล่านี้เป็นต้น ท่านได้ไม่เท่ากัน มีที่ได้ไม่จำกัดอยู่แค่ไม่กี่ท่าน เขาเรียกว่าอภิญญาใหญ่ บาลีเขาใช้คำว่า มหาอภิญญา"

เถรี
04-12-2019, 19:23
"แต่คราวนี้พระโมคคัลลานะ ท่านได้เอตทัคคะคือเลิศทางมีฤทธิ์ ท่านจะมีอภิญญาใหญ่ระลึกชาติได้ไม่จำกัดก็เป็นเรื่องปกติ พระสารีบุตร ท่านเป็นเอตทัคคะทางด้านผู้มีปัญญามาก จะระลึกได้ไม่จำกัดก็น่าจะปกติ พระมหากัสสปะท่านปรารถนาพุทธภูมิมา จนกระทั่งมีมหาปุริสลักษณะตั้งหลายประการแล้ว ระลึกได้ นางยโสธราพิมพาหรือบาลีเรียกว่าภัททากัจจานา ก็เป็นคู่บารมีพระพุทธเจ้ามานับชาติไม่ถ้วน ท่านระลึกได้ก็ถือว่าเป็นปกติ

แต่ปรากฏว่าผู้ที่เป็นเอตทัคคะทางมหาอภิญญา กลายเป็นนางยโสธราพิมพาภิกษุณี เพราะว่าท่านอื่น ๆ มีเรื่องอื่นที่เด่นกว่า กลายเป็นว่าผู้หญิงเป็นเอตทัคคะคือผู้เลิศทางมหาอภิญญา ส่วนผู้ชายท่านอื่น ๆ อย่างพระมหากัสสปะท่านก็เป็นเลิศทางด้านธุดงควัตร

ใครจะมาฟังต่อ มาฟังพรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้จะพาเดินขึ้นเขาแล้ว เพราะว่าไม่มีเวลาจะเขียนให้โยมอ่าน ก็เลยเล่าให้ฟัง เป็นภาระคนถอดเสียง ถอดเสร็จก็เหมือนกับบันทึกการเดินทางนั่นแหละ"

เถรี
04-12-2019, 19:55
สนทนากับพระเรื่องการเดินทางไปจีน "สถานที่ที่ไปเป็นภูเขา เป็นทะเลสาบ เป็นแม่น้ำ มีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนาทางวัชรยาน เป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระโพธิสัตว์บ้าง เป็นที่บำเพ็ญเพียรของคุรุของเขาบ้าง จึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เขาต้องไปแสวงบุญ เขาใช้คำว่าแสวงบุญ ส่วนเราไปแสวงหาความตาย ไปยากเป็นบ้าเลย

ไปที่นั่นนี่ลอกคราบเลย หน้าล่อนเป็นแผ่น ๆ ผมนี่จมูกล่อนเป็นขุย ๆ หนาวจริง ๆ เพราะว่ายอดเขาหิมะอยู่ห่างไปนิดเดียว แล้วลมพัดมาจากทางนั้น เขาบอกว่าอากาศลบ ๖ องศาเซลเซียส แต่ความรู้สึกของเราน่าจะลบสัก ๑๐ - ๒๐ ถึงได้หนาวแบบนั้น ลมแรงมาก เพราะว่าเป็นช่องลมพอดี ผมไปนึกถึงพวกพระลามะที่เขาไปฝึกกัน เราแค่เดินไปก็จะตายแล้ว นั่นเขาไปฝึกกันเป็นเดือนเป็นปี

ไปแบบนั้นแล้วเห็นสองอย่าง อย่างแรกคือแผ่นดินนี้กว้างใหญ่ไพศาลจริง ๆ อย่างที่สองคือความตายอยู่แค่ปลายจมูก ไม่รู้ว่าจะหายใจเข้าแล้วจะไม่หายใจออกเมื่อไร"

เถรี
04-12-2019, 20:16
"ตอนไปพม่า ผมไม่ได้สังเกตตัวเอง แรก ๆ ก็ไปกันแค่คนสองคน ไม่มีใครกล้าไปด้วย กลัวทหารกะเหรี่ยงบ้าง กลัวพวกกะหร่างบ้าง ประเภทจับเผายิงรถอะไรสารพัด พอไป ๔ - ๕ เที่ยว ทำไมคนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ วะ ?

ท้ายสุดไปถามนายท่าว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าพวกนี้สังเกตว่าพระอาจารย์ไปแล้วปลอดภัยทุกครั้ง เขาเลยขออาศัยไปด้วย พวกนี้ช่างสังเกต โดยเฉพาะพวกที่เราเช่ารถเขาไป ไปแล้วปลอดภัยทุกครั้ง ไม่เคยโดนอะไร กลับมาเล่าต่อ ๆ กัน ฉะนั้น..พอถึงเวลาเราไป เขาชวนใครไปด้วยก็ไปทั้งนั้น สรุปว่าค่าเช่ารถ ๓๐,๐๐๐ จั๊ตของเรา เขาเก็บไว้รองรัง แล้วก็ยังไปไล่เก็บคนอื่นได้อีกเยอะแยะ"

เถรี
04-12-2019, 21:02
สั่งงานโยม "ปีหน้าที่เราจะสวดคาถาเงินล้าน ช่วยขึ้นป้ายด้วยว่าเราจะสวดพระคาถาเงินล้าน อุทิศให้พระครูประโชติรัตนานุรักษ์ ตอนแรกจะจัดงานให้ท่านต่างหากแล้วเวลากระชั้น เพราะว่าท่านมรณภาพวันที่ ๑๘ มกราคม เราสวดพระคาถาเงินล้านวันที่ ๑๙ มกราคม ไม่อยากให้ท่านตายเปล่า ตายแล้วคนลืม หาทางจัดงานให้ท่านไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยในกลุ่มเล็ก ๆ ของเราก็ยังไม่ลืมท่าน"

เถรี
04-12-2019, 21:06
สนทนากับพระ "หลวงหว่างท่านเป็นสหธรรมมิกร่วมงานกันมาตั้ง ๒๖ ปี ตอนนี้แก๊งค์นั้นทั้งแก๊งค์เหลือผมกับหลวงพ่อนิล ๒ รูป นอกนั้นตายเรียบ..! ไปนึกถึงตอนนั้นว่าช่างกล้าหาญเหลือเกิน ผมแค่ ๘ พรรษา หลวงหว่างหรือพระครูประโชติฯ แค่ ๒ พรรษา ตั้งใจอธิษฐานทำงานเพื่อพระศาสนากัน แม้จะต้องสละชีวิตก็ยอม

ตอนนั้นหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดนราธิวาสรูปปัจจุบัน ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดี บอกว่าลงมาช่วยงานกันหน่อย แถวนี้ตำแหน่งมีเยอะมากเลย หาคนไม่ได้ ท่านเองรักษาการเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าอาวาส

หลวงหว่างถึงได้โตเร็ว เพราะว่านอกจากท่านกล้าทำงานแล้วยังยอมเรียนด้วย ท่านจบปริญญาโท มจร."

เถรี
04-12-2019, 21:15
"อย่างมหาชรัช (ชรัช อุชุจาโร ป.ธ.๖ ,ดร.) เพื่อนผม ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดปัตตานีไปแล้ว น้อยกว่าผมหลายพรรษา บางทีมีโอกาสคุยกันแค่ทางโทรศัพท์ คุยกันแค่เจอหน้าบนเครื่องบิน เดี๋ยวรอให้พ้นกฐินจะโทรไปถามท่านว่า ปีหน้าจะเอากฐินไปช่วยสร้างพุทธมณฑลปัตตานีจะตกลงไหม ถ้าท่านตกลงรับผิดชอบได้ พวกเราก็ลุยตั้งแต่ต้นปีเลย ให้ท่านได้เงินเยอะหน่อย

ปัตตานีนี่อิสลาม ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วท่านกล้าสร้างพุทธมณฑล..! คนแบบนี้ไม่สนับสนุนไม่ได้แล้ว เพราะว่าบ้าพอกับผมเลย ตอนเป็นมหาชรัชอยู่วัดช้างให้ ไม่มีอะไรเลย พอกล้าลงไปอยู่วัดตานีนรสโมสร สักพักเดียวก็เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เป็นพระครูสิริจริยาลังการ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคณะจังหวัด เป็นเจ้าคุณ เป็นให้ยุ่งไปหมดเลย ท่านอยู่กลางดงอิสลามเขาเลย

ไปถึงใหม่ ๆ ท่านก็โทรมา "อาจารย์เล็ก..ขอหนังสือสวดมนต์สัก ๓,๐๐๐ เล่ม" ถามว่า "พิมพ์เองได้ไหม ?" "ได้..แต่เล่มละ ๒๐ กว่าบาท" "เออ..นั่นแหละ เดี๋ยวผมส่งเงินไปให้" ให้ส่งหนังสือ ๓,๐๐๐ เล่มไป ตูว่าจ่ายค่าพิมพ์ให้จะง่ายกว่านะ

ตอนที่รู้จักกัน ท่านจบปริญญาโท ผมจบด็อกเตอร์ก่อนท่าน พอสักพักหนึ่งท่านก็ "อาจารย์เล็ก..ลงมาช่วยผมสอนหนังสือหน่อย" "สอนที่ไหน ?" "มจร.ปัตตานี..ผมจะตั้งวิทยาลัยสงฆ์" โห...พ่อคุณเถอะ ตอนแรกขอหนังสือ ๓,๐๐๐ ถามว่า "คุณจะเอาไปแจกใคร ? ที่นั่นมีแต่อิสลาม" เขาบอก "ผมจะเอาเด็กนักเรียนเข้าวัด" บอกท่านว่า "เออ..ถ้าเด็กนักเรียนเข้าวัด ๓,๐๐๐ เล่มนี่สมเหตุสมผล คุณดึงเข้ามาได้สัก ๔ - ๕ โรงเรียน ก็แทบจะไม่พอให้อยู่แล้ว"

เถรี
04-12-2019, 21:18
"เวลาผมลงไปช่วงนั้น ถ้าตรงกับวันศุกร์ เขาจะให้ผมไปเทศน์ เพราะว่าวันศุกร์พวกนักเรียนของอิสลามเข้าสุเหร่ากันหมด ไปละหมาดกัน เด็กไทยเราก็โดนปล่อยเกาะ จึงต้องเอาพระไปเทศน์ ตอนแรกผมก็ไม่รู้เหตุผล สงสัยว่าเขานิมนต์เทศน์ทำไม ?

ตอนที่ ดร.หนึ่ง (พระจิตศิลป์ เหมฺรํสี,ดร.) ของเราจะลงไปเก็บวันปฏิบัติธรรมปริญญาเอก ท่านถามว่า "หลวงพ่อ..มีใครรู้จักใกล้เคียงแถวนั้นไหม ?" ผมบอกว่า "ไม่ต้องใกล้เคียงหรอก เจ้าของ มจร. ที่คุณจะไปเก็บวันนั่นแหละ ไปบอกท่านว่าเป็นลูกศิษย์อาจารย์เล็กก็จบแล้ว" ไปได้ ๒ วัน ท่านโทรมา "บารมีหลวงพ่อแท้ ๆ ผมได้อยู่ห้องปรับอากาศเลย" ไปปฏิบัติธรรม ได้อยู่ห้องปรับอากาศ บอกแล้วว่าเพื่อนกัน คุณไปบอกว่ามาจากวัดท่าขนุน มาจากหลวงพ่อเล็กก็จบแล้ว"

เถรี
04-12-2019, 21:24
"ท่านเป็นนักเทศน์รุ่นเดียวกัน ช่วงที่ยังว่าง ๆ ต่างคนต่างไม่มีงานทำ ไปสุมหัวเรียนเทศน์รุ่นเดียวกัน นอนห้องเดียวกันมา ๑๕ วัน แล้วก็นั่งโต๊ะเดียวกันมาตลอด

ส่วนใหญ่เพื่อนร่วมรุ่นจะจำผมได้หมด ที่จำได้หมดเพราะว่าอาจารย์สอนครั้งเดียวแล้วทำได้ อีกอย่างก็คือ พอถึงเวลาก็ไปช่วยงานอาจารย์ มีหน้าที่จับเวลาให้เพื่อน เขาให้คนละ ๕ นาที พอ ๓ นาทีก็เคาะเตือนครั้งหนึ่ง ๕ นาทีก็เคาะเตือน ๒ ครั้ง เพื่อนจึงจำได้หมด

พวกป๋าลอ (พระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์) ก็รุ่นเดียวกันหมด พระครูปริยัติวโรปถัมภ์ วัดอู่ทอง เจอหน้ากัน ถามว่า "หลวงพ่อจำผมได้ไหม ?" "มีเค้านะอาจารย์ ผมว่าผมรู้จักอาจารย์แน่" "รู้จักสิครับ เราเป็นนักเทศน์รุ่นเดียวกัน" "หา...ขนาดนั้นเลยหรือ นานเกินไปแล้ว" "หลวงพ่อจำผมไม่ได้ แต่ผมจำหลวงพ่อได้นะครับ"

ส่วนใหญ่ช่วงที่พรรษายังไม่มาก ต้องรับงานที่เขาให้อบรม ไปนี่ไปนั่น ถ้าใครเคยรับงาน เจ้านายเขาก็จะส่งแต่คนนั้น กี่งาน ๆ ก็ไปเจอหน้ากัน กลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น"

เถรี
04-12-2019, 21:37
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมีโยมมาถวายเหรียญบาทรัชกาลที่ ๙ ปี ๒๕๑๗ เลี่ยมมาให้อย่างดี เขาตั้งใจให้ใช้ เหรียญหลังตราครุฑ เกิดจากคนที่เข้าป่าแล้วไปโดนผีหลอก ปรากฏว่ามีเหรียญในหลวงรัชกาลที่ ๙ อยู่ ผีเลยเตลิดเปิดเปิงไม่กล้าหลอก

ทำให้นึกถึงตอนสมัยสร้างทางรถไฟผ่านดงพญาเย็น จำเป็นต้องตัดต้นไม้ใหญ่บางต้นที่อยู่ในแนวทางรถไฟแล้วตัดไม่ได้ ถ้าใช้เลื่อยใช้ขวานก็จะโดนตัวคนทำบาดเจ็บ ใช้รถเกรดเข้าไปถึงรถก็ดับ ท้ายสุดเสนาบดีกระทรวงรถไฟ ก็คือกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ต้องเอาตราแผ่นดินไปตอก ประกาศว่าเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทำทางรถไฟผ่านตรงนี้ ฉะนั้น..ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางอะไรก็ตาม ต้องขออนุญาตตัดต้นไม้เพื่อทำทางผ่าน"

เถรี
04-12-2019, 21:38
"จะเห็นว่าในเรื่องของตราครุฑตราแผ่นดิน ส่วนใหญ่แล้วแสดงออกถึงซึ่งพระราชอำนาจ แบบเดียวกับหลวงปู่โต วัดระฆัง สมัยรัชกาลที่ ๓ ถวายตำแหน่ง ท่านไม่รับ พอมาสมัยรัชกาลที่ ๔ ถวายตำแหน่ง แล้วท่านรับ

รัชกาลที่ ๔ ตรัสถามว่า ทำไมครั้งนี้ถึงรับ ? ท่านบอกว่ารัชกาลที่ ๓ เป็นแค่พระเจ้าแผ่นดิน ท่านพอจะหนีได้ รัชกาลที่ ๔ เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน รัชกาล ๓ เป็นลูกสามัญชน เกิดใหม่เป็นแค่หม่อมเจ้า ท่านไม่ได้เป็นเจ้าฟ้าโดยกำเนิดเหมือนกับรัชกาลที่ ๔"

เถรี
04-12-2019, 21:48
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระปิดตาสี่เกลอยอดบายศรีของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ขอครึ่งล้านบาทถ้วน ตอนแรกลงไป ๒ องค์คิดว่าไม่มีใครเอา ที่ไหนได้..แย่งกันเกือบตาย เขาบอกว่าในตลาดราคาเป็นสิบล้าน..!

พระปิดตาสี่เกลอยอดบายศรี ท่านต้องบวงสรวงครั้งหนึ่งถึงจะได้ทำองค์หนึ่ง พระปิดตายอดบายศรีนอกจากหมายถึงความสุดยอด คือที่สุดของที่สุดแล้ว ท่านยังเป็นแบบสี่เกลอคือหันหลังชนกัน ล้มไม่ได้ ค้ำกันอยู่ โดยเฉพาะพวกนักการเมืองจะหากันมากเป็นพิเศษ ยอมสู้ราคา..สิบกว่ายี่สิบล้านก็เอา”

เถรี
04-12-2019, 21:51
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพ่อกวยท่านเป็นที่เคารพนับถือกันมาก เพราะว่าท่านเก่งจริง แล้วอีกอย่างคือท่านรักลูกศิษย์เป็นที่สุด ท่านไม่ได้สนใจว่าลูกศิษย์ของท่านจะดีจะชั่ว ต่อให้เป็นโจรติดคุกอยู่ ถ้าเคารพนับถือท่านก็ไปเยี่ยม ท่านบอกตอนดีเราก็ใช้มัน ตอนมันเดือดร้อนเราก็ต้องไปดูไปแล”

เถรี
05-12-2019, 21:39
พระอาจารย์กล่าวว่า “อัญโญ เม อากัปโป กะระณีโยติ อาการ กาย วาจา ใจ อย่างอื่นที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก มิใช่เพียงเท่านี้ฯ”

เถรี
05-12-2019, 21:49
ถาม : ศาสดามหาวีระกับนิครนถนาฏบุตรเป็นคนเดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คนเดียวกัน ลูกศิษย์เขาก็เรียกว่าศาสดามหาวีระ แต่คราวนี้ด้วยความที่เขาเป็นนักบวชประเภทนิครนถ์ก็เลยเรียกว่า “นิครนถนาฏบุตร” นักบวชลูกของนางรำ

ถาม : ทำไมประวัติคล้ายพระพุทธเจ้ามาก ?
ตอบ : คล้ายพระพุทธเจ้าทุกอย่างเลย เพราะว่าเกิดในสกุลกษัตริย์ ถึงเวลาออกบวช ปฏิบัติแล้วเจริญก้าวหน้ากว่าคนอื่นเขา ท้ายสุดก็เป็นศาสดาเอง แล้วโดยเฉพาะว่ารูปร่างก็คล้ายกัน

ถาม : คำว่านาฏบุตร แปลว่า นักฟ้อนรำ ?
ตอบ : ใช่..เป็นลูกของหญิงฟ้อนรำในวัง ที่ท้องกับพระมหากษัตริย์

เถรี
05-12-2019, 21:55
เวลาเราไปอินเดีย ถ้าเจอเหมือนกับพระพุทธรูปต้องดูก่อน ถ้าห่มจีวรเรียบร้อยก็แล้วไป แต่ถ้าโชว์อวัยวะเพศคือนิครนถนาฏบุตรเพราะว่าเขาเป็นชีเปลือย เพียงแต่ว่าลักษณะคล้ายกับพระพุทธเจ้าเลย แสดงว่ามีมหาปุริสลักขณะเหมือนกัน

ต้องบอกว่าท่านเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ตั้งศาสนาขึ้นมาก่อน คราวนี้ตอนที่ท่านตาย บรรดาลูกศิษย์ก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน จนกระทั่งพระจุนทเถระกับพระสารีบุตรทูลให้พระพุทธเจ้าทำสังคายนาพระธรรมวินัย ก็คือจัดคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ ถึงเวลาจดจำง่าย จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน

ลูกศิษย์ของท่านปัจจุบันนี้ก็แบ่งเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งนุ่งผ้าขาวเรียกว่า เศวตัมพร อีกพวกหนึ่งแก้ผ้าไปเลยเรียกว่า พวกทิฑัมพร คือนุ่งลมห่มผ้า นั่นอาจารย์ตายแค่ไม่กี่วันลูกศิษย์ก็แตกเป็น ๒ คณะใหญ่

เถรี
05-12-2019, 22:02
คราวนี้พระจุนทะก็ขอพระพุทธเจ้าทำสังคายนา พระพุทธเจ้าตรัสว่ายังไม่ถึงเวลา พระสารีบุตรขอพระพุทธเจ้าทำสังคายนา พระพุทธเจ้าตรัสว่ายังไม่ถึงเวลา จนกระทั่งพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน พระมหากัสสปะจึงรวบรวมพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป โดยเฉพาะพระอานนท์ ทำสังคายนาพระธรรมวินัยที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ภูเขาเวภาระ

มีคนสงสัยว่าถ้ำสัตตบรรณคูหาเล็กนิดเดียว แล้วบรรจุพระตั้ง ๕๐๐ ได้อย่างไร ? ถ้ำนั้นเป็นแค่ที่อาศัยหน่อยเดียว เขาปลูกเป็นเพิงยาวออกมา ที่รู้เพราะตอนนั้นอาตมาเป็นพราหมณ์ไปดูพิธีเขาอยู่ด้วย ชาตินั้นไม่ได้ถือพุทธศาสนาด้วยนะ เป็นพราหมณ์ ตอนหลังถึงได้ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

ท่านทำสังคายนาอยู่ ๗ เดือน ถามว่าทำไมสังคายนาพระไตรปิฎกนานถึง ๗ เดือน ? เพราะว่าต้องถาม – ตอบ กันทีละพระสูตร ทีละบท ทีละประโยคเลย สอบสวนทวนความกันจนไม่มีใครขัดค้านแล้วถึงรับรองว่าใช่ พอรับรองว่าใช่ค่อยสวดสาธยายขึ้นพร้อมกัน ถ้าสวดตรงกันไม่มีผิดแล้วค่อยรับรองได้ว่าถูกต้อง ถึงได้เรียกว่าสังคายนา คือการร้อยกรองพระธรรมวินัย มีการสวดสาธยายก่อน

เถรี
05-12-2019, 22:03
อย่างเช่นเขาถามว่า ปฐมํ ปาราชิกํ กตฺถ ปญฺญตฺตนฺติ ปฐมอาบัติปาราชิกบัญญัติขึ้นที่ไหน ? เวสาลิยํ ปญฺญตฺตนฺติ บัญญัติขึ้นที่เมืองเวสาลี คนถามก็ถาม คนตอบก็ตอบ

กํ อารพฺภาติ ด้วยปรารภเรื่องอะไร ? สุทินฺนํกลนฺทปุตฺตํ อารพฺภาติ ปรารภเรื่องของพระสุทินกลันทบุตร ถ้าเราสวดได้แปลได้ จะเข้าใจเนื้อหาเป็นเรื่องเป็นราว แต่ถ้าเราแปลไม่ได้ก็ได้แต่สวดขลัง ๆ ไปเท่านั้น

เถรี
05-12-2019, 22:10
โยมที่บูชาวัตถุมงคลไปกำลังใช้กล้องนั่งส่องอยู่ "แสดงว่าระดับอาชีพแล้ว พกกล้องมานั่งส่อง แต่อาตมาน้อยครั้งที่จะใช้กล้อง เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าอะไรก็ตามที่ก่ำกึ่งจะไม่แตะ ถ้ามีที่สงสัยให้ “เอ๊ะ” แม้แต่นิดเดียวก็ไม่แตะ

พยายามแนะนำทิดเฟิร์สอยู่ บางทีทิดเฟิร์สเจอของถูกใจแล้วหน้ามืด..โดดใส่ ระวังโดนเขาสอยร่วงนะ..! ถ้าขนาดต้องมาส่องมาพิจารณานี่อาตมาไม่เอาด้วย มีข้อแม้เมื่อไรหยุดทันที ถ้าไม่โลภ..โอกาสโดนหลอกก็มีน้อย"

เถรี
05-12-2019, 22:16
อย่างที่พูดถึงแชร์แม่มณี ส่วนใหญ่ที่โดนก็เพราะความโลภ อาตมาเองเห็นชัดเลยว่า ถ้าคนเราสร้างกรรมไว้อย่างไรก็โดน แชร์แม่ชม้อย อาตมารู้จักหัวหน้าสายใหญ่เลย เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนของน้า ชวนอาตมาเล่นมาหลายปีแต่ก็ไม่เล่นกับเขา จนกระทั่งลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงเล่นกันเกือบครบคน อาตมาก็ยังไม่เล่นกับเขา

แต่ท้ายที่สุดพวกพี่ ๆ น้อง ๆ ก็มาอ้อนขอยืมเงินไปเล่น มาถึงก็ “พี่เป็นคนไม่มีความโลภก็จริง แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้อยู่ ถ้าผมได้มาแบ่งพี่บ้าง พี่ก็ได้เอาไปทำงานพระศาสนาด้วย” สารพัดที่เขาจะกล่อม ท้ายสุดจากที่อาตมาไม่เล่นแชร์ แต่คนยืมเงินไปเล่น ๗ คันกว่า แชร์น้ำมันเขามีแบ่งเป็นคัน แบ่งเป็นล้อ แบ่งเป็นน็อต แล้วแต่ใครเงินมากเงินน้อย อาตมาไม่เล่นเลยโดนไป ๗ คันกว่าเพราะว่าพรรคพวกยืมเงินไปเล่น

ถึงเวลาแม่ชม้อยล้มครืนขึ้นมา อาตมาเองถือว่าเจ็บตัวน้อยที่สุด เพราะว่ารับดอกมาท่วมต้นแล้ว แต่สงสัยเลยไปถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “ผมทำอะไรมาครับ ผมไม่ได้โลภทำไมถึงโดน ?” “สมัยที่รบกัน เอ็งเป็นกองเสบียง คอยสนับสนุนเขา” โดนจนได้..งานนั้นไม่ได้ออกหน้าแต่โดนด้วยจนได้

เถรี
05-12-2019, 22:44
ตอนหลังโยมแม่ได้เงินค่าเวนคืนที่มาหลายล้าน บอกกับท่านว่าอาตมาไม่เอา แต่ท่านก็เอามาถวายจนได้ พอโยมแม่แบ่งให้พี่ ๆ น้อง ๆ แล้ว ก็เอาเงินมาถวายให้อาตมาด้วย อาตมาก็ไม่ได้ถามว่าคนอื่นได้เท่าไร แต่ท่านให้อาตมาเยอะน่าดู

มีคนชวนเล่นแชร์น้ำมันอีก ทั้ง ๆ ที่แม่ชม้อยล้มแล้วนี่แหละ เล่นก็เล่น เพราะอาตมารู้นี่ว่าเล่นได้ ก็เล่นไปอยู่ ๓-๔ ปี ดอกท่วมต้นแล้วท่วมต้นอีก ปีนั้นก็บอกกับนายหน้าเขาว่า "ช่วยถอนเงินคืนให้ที อาตมาเลิกเล่นแล้ว" นายหน้ามากระซิบถามว่า "จะมีเรื่องไม่ดีแล้วใช่ไหมครับ ?" บอกว่า "ใช่..ช่วยถอนให้หน่อย จะเอาเงินต้นคืน"

ก็ปรากฏว่าทางด้านหัวหน้าแชร์ก็กราบมือกราบเท้าขอร้อง บอกว่า "พระอาจารย์อย่าถอนเงินเลย ถ้าอาจารย์ถอน เดี๋ยวคนอื่นแตกตื่นแล้วถอนกันหมด หนูเจ๊งแน่" อาตมาเองก็คิดว่าจะเอาอย่างไรดี ? เขาจะล้มอยู่แล้ว ท้ายสุดก็ตัดใจว่า "ล้มก็ช่างมันวะ เราได้ดอกท่วมต้นมาตั้งหลายเท่าแล้วนี่" ท้ายสุดก็ล้มจริง ๆ

สรุปได้ว่าต่อให้คุณมีอนาคตังสญาณดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าเวรกรรมมาถึงก็โดนจนได้แหละ ขอถอนล่วงหน้าตั้งครึ่งค่อนปี เขาขอร้องว่าอย่าถอนเลย อาตมาเองได้ดอกมาก็ทยอยซื้อทองคำแท่งเก็บไว้ จำได้ว่าซื้อตั้งแต่บาทละ ๔,๒๕๐ ทยอยขึ้นมาจนบาทละ ๔,๗๕๐ ซื้อเก็บเอาไว้หลายสิบบาท ฉะนั้น...ปัจจุบันนี้ถ้าถามมีเงินส่วนตัวไหม ? มี...เป็นเงินมรดกที่แม่ให้ แต่ว่าไม่ใช่เงินต้นนะ เงินต้นล้มไปกับแชร์เขาเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ดอกที่ท่วมต้นแล้วซื้อทองเก็บเอาไว้

ถึงได้บอกว่าต่อให้คุณมีอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อะไรก็ตาม ถ้าวาระกรรมมาถึงก็เลี่ยงไม่ได้ ยังโดนจนได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ไปขอเขาเบิกคืน แต่เขาไม่ให้คืน

เถรี
05-12-2019, 22:50
ถาม : ผมจำเป็นต้องภาวนาจนจิตรวมไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่าจำเป็นไหม ? ต้องดูคุณว่าต้องการแค่ไหน ? หากว่าต้องการมรรคผลก็ควรที่จะทำ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ใจเราห่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง แล้วก็มีปัญญาในการพิจารณามากขึ้น แต่ถ้าคุณคิดแค่ว่าเอาแค่ ทาน ศีล ภาวนา เบื้องต้น เราก็อยู่ได้แล้ว จะไปเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร

ฉะนั้น..สำคัญที่เราเอง เวลาใจของเราวุ่นวายมาก ๆ เราเครียดไหม ? เบื่อไหม ? แล้วตอนที่จิตของเรารวมเรามีความสุขแค่ไหน ? อยู่ที่เราเองว่าต้องการแค่ไหน ถามคนอื่นไม่ได้หรอก ถ้าเป็นอาตมานี่โกยได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น

ถาม : กลัวทำไปแล้วจะ....?
ตอบ : ไม่ต้องกลัวหรอก อาตมาทำมาแล้ว ทำมาหลายสิบปี ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี อายุ ๑๖ นี่ทุ่มเทปฏิบัติอย่างมอบกายถวายชีวิตเลยนะ ทำจนคนรอบข้าง พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ครูอาจารย์ หาว่าบ้ากันหมด แต่คราวนี้อาตมารู้ว่าถ้าทำแล้วจะได้อะไร จึงไม่กลัวคำนินทา

ถาม : เหมือนกับเราไม่รับผิดชอบกับคนรอบข้าง ?
ตอบ : เรื่องของการมุ่งทางธรรมไม่ใช่ทิ้งทางโลก ไปด้วยกันได้ เพียงแต่ว่ากั้นขอบไว้หน่อยหนึ่ง คืออะไรที่นอกกรอบของศีลเราไม่ไปยุ่งด้วย ไม่ใช่ว่าถึงเวลาปฏิบัติธรรมแล้วทิ้งครอบครัว ทิ้งหน้าที่การงาน อันนั้นผิด ดูตัวอย่างพระโสดาบัน อย่างอนาถปิณฑิกเศรษฐี อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา แต่ละคนรวยล้นฟ้าก็ยังมีครอบครัว ยังทำมาค้าขายเป็นปกติ

เถรี
05-12-2019, 23:37
พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาได้ยินว่าไปเที่ยวกับหลวงพ่อแล้วก็อยากจะไปกันนัก หารู้ไหมว่าหลวงพ่อจะไปตาย..! อย่าลืมว่าความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก คราวนี้ถ้าใจของเราเกาะอยู่กับร่างกาย ก็ขึ้นอยู่กับเวรกรรมเก่าของเราแล้ว อย่างดีที่สุดก็เกิดเป็นคนใหม่ นอกจากนั้นก็มีแต่อบายภูมิรอเราอยู่ แต่ถ้ากำลังใจเราเกาะ ทาน ศีล ภาวนา ได้ ก็ยังมีเทวดา นางฟ้า มีพรหม มีพระนิพพานอยู่”

เถรี
06-12-2019, 00:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่อายุมาก ๆ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ต้องอาศัยพึ่งพาคนอื่น จะทำให้เกิดปฏิฆะ คือแรงกระทบทางใจได้ง่าย และก็เกิดโทสะ กระทบแล้วไม่ชอบใจ หงุดหงิด กลัดกลุ้ม ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ บางคนก็บ่นลูกบ่นหลานไม่เลิก กลายเป็นคนปากร้าย ลูกหลานก็ยิ่งเบื่อเข้าไปใหญ่

อาตมาถึงได้บอกว่า ยอมเหนื่อยหอบออกกำลังเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไม่ต้องเอาเงินที่หามาทั้งชีวิตไปให้หมอใช้"

เถรี
06-12-2019, 00:41
ถาม : ถ้าชาวต่างชาติต้องการเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา ต้องแนะนำให้เขาไปแสดงตนเป็นพุทธมามกะไหมครับ ?
ตอบ : บอกเขาว่าลองปฏิบัติตามศีล ๕ ดู ถ้าไม่หนักใจค่อยไปแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ขอศีลจากพระอย่างเป็นทางการอีกที ให้โอกาสเขาตัดสินใจ ไม่ใช่เห็นว่าเขาอยากถือศีลของเราแล้วต้องรีบคว้าเอาไว้

โดยเฉพาะบรรดาสาวอิสลามนั้นเชื่อไม่ได้ บอกว่าอยากศึกษาพุทธศาสนา แต่จริง ๆ แล้วก็คืออิสลามร้อยเปอร์เซ็นต์ ท้ายสุดพอแต่งงานขึ้นมาเราก็ต้องเปลี่ยนเป็นอิสลามตามเขาไป

พม่าออกกฎหมายห้ามคนพุทธแต่งงานกับศาสนาอื่น ถ้าแต่งงานกับศาสนาอื่น คู่สมรสคนนั้นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธด้วย ทันทีที่กฎหมายออกมา โดนประท้วงไปทั่วโลก โดยเฉพาะพวกมุสลิม ปรากฏว่าพม่าสวนกลับว่า ทำไมทีแต่งกับมุสลิมจึงต้องเปลี่ยนเป็นมุสลิมด้วย ? ก็เลยกลายเป็นอ้าปากไม่ขึ้น คุณจะมาเรียกร้องสิทธิมนุษยชน คุณจะมาบอกว่าพระลิดรอนสิทธิเสรีภาพคนอื่น ทำไมศาสนาอิสลามทำอย่างนั้นแล้วไม่โดน เจอรัฐบาลพม่าเล่นแบบนั้นเข้า คนประท้วงก็เลยเซ็ง

เถรี
06-12-2019, 09:33
มีโยมอุ้มเด็กมาถวายสังฆทานด้วย พระอาจารย์กล่าวว่า "ไอ้เจ้านี่โหวงเฮ้งเก็บเงินเก่งมาก เพิ่งจะเกิดก็มีเงินแล้ว ไปยัดเข้าบัญชีไว้ให้เขาเยอะเลย..ใช่ไหม ?

เรื่องของตําราโหงวเฮ้ง จะว่าไปแล้วก็คือบุญกรรมเก่าที่เราเคยทำมา เมื่อทำมาแล้วอย่างไรถึงเวลาก็ส่งผลให้เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสว่า อุตุนิยาม ดินฟ้าอากาศทำให้เป็นไป อย่างเช่นว่าทางแอฟริการ้อนมากก็ผิวดำ ทางยุโรปหนาวมากก็ผิวขาว ทางเอเชียของเราครึ่งร้อนครึ่งหนาวก็ผิวเหลือง นี่คือเป็นไปตามสภาพดินฟ้าอากาศ

พีชนิยาม เป็นไปตามดีเอ็นเอ พีชะก็คือพืชพันธุ์ มาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ถ่ายทอดลักษณะมา จิตตนิยาม คือเป็นไปตามกำลังใจ ใจของเราเกาะความดีความชั่วอย่างไร ถ้าเจ้าโทสะก็ออกมาหน้าตาดูไม่ได้ ถ้ามีเมตตากรุณาก็ออกมาสวยงาม อันนี้คือจิตนิยาม"

เถรี
06-12-2019, 09:34
"กรรมนิยาม คือการกระทำของเราทำให้เป็นไป อย่างเช่นว่าถ้าฆ่าสัตว์ก็อายุสั้น ถ้าหากมีใจเมตตาก็อายุยืนนาน อ่อนน้อมถ่อมตนเกิดในฐานะสูง ยโสโอหังเกิดในตระกูลต่ำ อันนี้เป็นกรรมนิยาม เป็นการกระทำของเราเอง

ท้ายสุดก็คือ ธรรมนิยาม ความเป็นธรรมชาติ ทำให้แปรปรวนไปได้ อย่างเช่นว่าพืชหรือสัตว์เกิดการผ่าเหล่า ถ้าเราดูกฎของเมนเดล หลักพันธุศาสตร์ของเมนเดลเขาบอกว่า ลักษณะเด่นจะปรากฏมา ๓ ลักษณะด้อยจะปรากฏมา ๑ บางอย่างเช่นเด็กเกิดมามีตัวติดกัน

พระพุทธเจ้าท่านรู้จริงที่สุด บอกไว้ครบทุกอย่าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราศึกษากันไม่ค่อยจะครบ หรือไม่ค่อยจะศึกษากัน รออาจารย์ไปอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง เรื่องของเรื่องก็กลายเป็นรู้บ้างไม่รู้บ้าง แล้วก็ไม่รู้เสียมากกว่า"

เถรี
06-12-2019, 09:45
"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกลูกศิษย์ว่า ถ้าเป็นไปได้ให้อ่านพระไตรปิฎกปีละจบ อาตมาอ่านมาตลอดชีวิตจนถึงอายุ ๖๐ ปีแล้ว เพิ่งจะได้ ๗-๘ จบ ขยันสู้หลวงพ่อท่านไม่ได้ เพราะว่าช่วงท้าย ๆ คือพระอภิธรรมเข้าใจยากมาก พอเข้าใจยากก็วาง กว่าจะมีอารมณ์อ่านอีกก็ผ่านไปเป็นเดือน พอเริ่มอ่านใหม่ อ่านได้หน้าสองหน้าทำความเข้าใจยากก็วางอีก เลยกลายเป็นว่าหลวงพ่อท่านอ่านปีละจบ ส่วนหลวงลูก ๖๐ ปีเพิ่งจะอ่านได้ ๗-๘ จบ

เดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกมีหลายฉบับมาก ถ้าจะให้ดีให้อ่านฉบับอรรถกถาของมหามกุฎราชวิทยาลัย ๙๑ เล่ม รายละเอียดจะมีเยอะ แต่เราจะรำคาญกับภาษาบาลีที่ปนมา แต่เป็นบาลีที่เขาแปลให้เลย เพียงแต่เป็นสำนวนเก่า ถ้าอ่านเล่มนั้นก็จะครบถ้วน หรือถ้าจะเอาเฉพาะเนื้อหาจริง ๆ ก็เอาพระไตรปิฎกฉบับแก่นธรรมของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่มหนา ๆ ใหญ่ ๆ ประมาณ ๔ เล่มเท่านั้น

ฉบับของมหาจุฬาฯ เป็นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม หน้าปกสีฟ้า บางทีเขาก็ไปเปลี่ยนชื่อจากที่เราคุ้นเคยกลายเป็นไม่คุ้นเคย อย่างอาตมาเปิดหาอปริหานิยธรรม หาไม่เจอ ต้องไปไล่เปิดทีละหน้าจนกระทั่งเจอ ซึ่งเขาใช้ชื่อว่า ปฐมสัตตกสูตร ก็คือสูตรที่ขึ้นด้วยหลักธรรม ๗ ข้อ สูตรแรก ไม่รู้เหมือนกันว่าพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน ทำไมเวลาแปลแล้วแปลไปคนละทิศละทางได้ขนาดนี้"

เถรี
06-12-2019, 09:49
"บางส่วนที่พวกเราเคยชิน แต่ถ้าไปเปิดหาอาจจะไม่เจอ ก็คือกาลามสูตร จริง ๆ แล้วชื่อนี้ในพระไตรปิฎกไม่มี ที่เราเรียกว่ากาลามสูตรในพระไตรปิฎกเรียกว่า เกสปุตตสูตร แสดงแก่ชาวกาลามะ พวกเราเลยเรียกว่ากาลามสูตร ท่านบอกว่า อย่าเชื่อโดยเขาเล่าสืบ ๆ กันมา อย่าเชื่อเพราะมีบันทึกไว้ในตำรา ไล่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง อย่าเชื่อเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา ถามว่าแล้วจะเชื่ออะไร ? ก็ต้องพิสูจน์ก่อนว่าเป็นจริงตามนั้นไหม พิสูจน์แล้วว่าจริงแล้วค่อยเชื่อ

มา ภพฺพรูปตาย อย่าเชื่อเพราะมีลักษณะน่าเชื่อถือ อาจจะเป็นการไลฟ์สดเพื่อแหกตากันแบบแม่มณีก็ได้ ดูแล้วลักษณะน่าเชื่อถือ มีกระทั่งร้านทอง มีรถยนต์ราคาแพงอีกหลายคัน ที่ไหนได้..ตั้งใจแหกตาชาวบ้านล้วน ๆ

มา ตกฺกเหตุ ไตร่ตรองแล้วเป็นไปตามตรรกะก็เชื่อไม่ได้ อาตมาเคยบอกแล้วว่าบางอย่างเขาหลอกกัน เราเห็นว่าเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา เขาจะฆ่าเราตายแทน เพราะว่าเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่าฟันกันจริงไหม ? ก็จริง แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหม ? ไม่จริง..เพราะว่าเขากำลังแสดงหนังกันอยู่

มา ปิฏกสมฺปทาเนน อย่าเชื่อเพราะมีอยู่ในตำรา เพราะว่าบางทีตำราก็เขียนผิด ปัจจุบันนี้ตำราที่เขียนผิดชัด ๆ เลยที่อาตมาเจออยู่ ก็คือการปฏิบัติกรรมฐานสายพองยุบ"

เถรี
07-12-2019, 00:27
พระอาจารย์กล่าวว่า “รุ่นพวกเรามีหลายคนที่ทันหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ แต่ไม่ได้รู้จักหรือไม่ได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของท่าน อาตมาเองตั้งแต่เด็ก ๆ เลย น้องชายพี่ชายนี่ตะเกียกตะกายหาหลวงปู่ทิมกัน ตอนนั้นพระสองอย่างที่ต้องมีให้ได้ก็คือพระปิดตาหลวงปู่โต๊ะกับพระกริ่งชินบัญชรหลวงปู่ทิม ปรากฏว่าระยะหลังนี้พระกริ่งชินบัญชรหลวงปู่ทิมองค์ละล้านสองล้าน..ตาย สมัยโน้น ๕๐๐ บาทยังบ่นว่าแพงมาก ...(หัวเราะ)...

หลวงปู่ทิม หลวงปู่โต๊ะ เป็นพระที่เขาใช้คำว่า รุ่นหลัง ๒๕๐๐ ก็คือท่านอยู่มาจนถึงหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วถึงมรณภาพ เป็นพระรุ่นหลัง ๒๕๐๐ ที่พระขึ้นราคาแพงเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าหลวงปู่โต๊ะท่านสร้างมาก ราคาก็เลยยังอยู่ระดับหมื่นกลาง ๆ แสนต้น ๆ ส่วนหลวงปู่ทิมนี่ของท่านสร้างน้อย แต่ละชิ้นไปหลายแสนหลายล้านแล้ว"

เถรี
07-12-2019, 00:31
"วันก่อนถามท่านอาจารย์วิสุทธิ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ของอาตมาเองว่า “ท่านอาจารย์เคยเห็นพระขรรค์หลวงปู่ทิมไหม ?” ท่านบอกว่า “นั่นของในตำนานเลยนะ ในชีวิตผมยังไม่ได้เห็นเลย” เลยบอกท่านไปว่า “ท่านอาจารย์ไม่ได้เห็น แต่ผมมี ๒ เล่มเลย” ...(หัวเราะ)...

บางอย่างท่านสร้างน้อย อย่างพระขรรค์ทำจากไม้ดำดง ท่านต้องขี่เกวียนไปเอาที่ป่าประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี ยุคนั้นไปกลับตั้ง ๒ เดือน นั่งเกวียนค่อย ๆ รอนแรมกันไป เพราะว่ามีต้นไม้ที่ตายพราย ก็คือยืนตายไม่ยอมล้ม ท่านก็ไปเอามาทำเป็นพระขรรค์ ทำเป็นกริช แล้วหลวงปู่ท่านสร้างวัตถุมงคลประณีตมาก..จารทั้งเล่มเลย อาตมาส่งลูกศิษย์ไปเป็นเจ้าอาวาส ก็ให้ท่านไปเป็นของคู่ตัว บอกว่าเลือกเอาเลย ใครยอมสละเป็นเจ้าอาวาสก็รับไป พวกที่ไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาสก็นั่งน้ำลายไหลจ๊อก..!"

เถรี
07-12-2019, 00:32
"หลวงปู่ทิมส่วนใหญ่พวกเราอยากได้ลูกอมผงพรายกุมาร หารู้ไม่ว่า ถ้าลูกศิษย์หลวงปู่ทิมขนานแท้เขาหานางพรายปิดตากัน ทำจากผงเดียวกันนั่นแหละ ทำเป็นรูปผู้หญิงปิดตา สององค์ที่เอามาออกให้บูชานี้ส่งประกวดได้รางวัลทั้งคู่ งานเดียวกันด้วยนะ จำได้ว่ารางวัลที่ ๒ กับรางวัลที่ ๓ แต่เดี๋ยวนี้ส่งประกวดพระต้องระวังนิดหนึ่ง เพราะว่าเจอเซียนบางคนจ้องไปเอาของเราเลย พอถึงเวลาส่งของเราเข้าไป..หาย แล้วหยิบเอาของเทียมมาวางไว้แทน ก่อนจะส่งนี่ต้องถ่ายรูปไว้ทุกซอกทุกมุม จะได้ดูหลักฐานกันได้

ส่งประกวดพระเดี๋ยวนี้ประมาณองค์ละ ๓๐๐ บาท สมมติว่าในงานมีส่งประกวดสักพันองค์ก็ได้ ๓ แสนบาท แต่ส่วนใหญ่แล้วงานประกวดหลายงานได้เยอะกว่านั้น อย่างงานของตำรวจภาค ๗ ที่จัดที่ผ่านมานั้น ได้ไปตั้ง ๒๐ กว่าล้านบาท เพราะว่าคณะกรรมการเป็นที่เชื่อถือ ผ่านมือผ่านตามานี่แท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วบางคนที่ส่งพระไปประกวดนี่ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก ต้องการให้กรรมการช่วยดูว่าแท้หรือเปล่า เพราะว่าถ้าไม่แท้เขาจะส่งคืนเลย”

เถรี
07-12-2019, 00:33
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระปิดตานี่โบราณเขาถือว่าหาทรัพย์ เอามาจากพระควัมปติที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีลาภมาก คราวนี้การเข้านิโรธสมาบัติก็เหมือนกับปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดจมูก เขาก็เลยทำเป็นรูปพระปิดตา หรือที่เรียกว่าพระควัมปติ จึงเป็นที่มาว่าทำไมพระปิดตาถึงได้มีลาภมาก”

เถรี
07-12-2019, 00:35
ถาม : ระหว่างตะกรุดกำลังแม่พระธรณีกับพระขุนแผน ถ้าต้องการด้านเมตตามหานิยม ควรบูชาองค์ไหนคะ ?
ตอบ : ท่านทำไว้ให้ครบทุกอย่างแล้ว แต่ถ้าเป็นอาตมาจะเลือกพระขุนแผนเพราะว่าเป็นรูปพระ ก็คือจะมากจะน้อย เวลาเราเห็น เราจะนึกถึงพระ ตะกรุดนี่เราไม่ได้เห็นรูปพระ ถ้าหากว่ากำลังใจไม่ดีนี่ บางทีก็นึกถึงพระไม่ออก

พวกเราส่วนหนึ่งพอเจอวัตถุมงคลมักจะรักพี่เสียดายน้อง อยากได้เมตตามหานิยม ถามว่าจะเอาพระขุนแผนหรือตะกรุดกำลังแม่พระธรณี ? ความจริงพระท่านทำให้ครบทุกอย่าง แต่ความเชื่อถือของคนเชื่ออย่างนั้นว่าเป็นด้านเมตตา คราวนี้ถ้าเป็นอาตมาเองก็จะเลือกวัตถุมงคลที่เป็นรูปพระไว้ก่อน

แบบเดียวกับสมัยก่อน อาตมาพกลูกอมหลวงพ่อสงวน วัดไผ่พันมือ เป็นเมตตามหานิยมแท้ ๆ พอไปเจอพระขุนแผนหลวงพ่อสงวน ไม่รู้ว่าหลุดมาจากไหน ๑ องค์ ดูอย่างไรก็ใช่ของท่านแน่ ๆ จึงเปลี่ยนมาพกพระแทน อย่างน้อยตอนเราเห็นรูปพระ ใจก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ได้กำไรมากกว่า

ไปเห็นลูกอมก็ต้องนึกว่า ลูกอมหลวงพ่อสงวนท่านทำมา ท่านศึกษาวิชาการมาจากครูบาอาจารย์ กว่าจะนึกถึงพระได้ก็หลายยก ...(หัวเราะ)... ดังนั้น..เอาที่นึกถึงพระได้ง่าย ๆ ไว้ดีกว่า อาตมาเป็นคนขี้เกียจ..มักง่าย

เถรี
07-12-2019, 00:44
พระอาจารย์กล่าวว่า “ช่วงนี้คนเป็นหวัดกันเยอะมาก คราวนี้หวัดคนไม่เท่าไรหรอก หน้าหนาวนี่ไข้หวัดนกมักจะระบาด แล้วตอนนี้ก็ติดต่อกับคนได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น..บรรดากระทรวงเกษตร กระทรวงสาธารณสุขของเรา ต้องวางแผนป้องกันแต่เนิ่น ๆ ไม่ใช่รอให้เกิดแล้วค่อยมาแก้กันทีละอย่าง”

เถรี
07-12-2019, 00:46
ถาม : ...(ไม่ชัด)... ไปผูกคอแต่ว่าไม่รู้ตัว ท่านบอกว่าโชคดีจังหวะที่เอาคอเข้าไปในห่วง ท่านรู้สึกตัวพอดีครับ แต่ว่าตอนที่ขึ้นไปผูกเป็นห่วงไม่รู้ตัวครับ ?
ตอบ : แบบเดียวกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่าคนผูกคอตายไม่ได้คิดจะผูกเอง ก็คือว่าพระท่านนั่งส้วมอยู่ แล้วเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง อยู่ ๆ ก็ปีนขึ้นต้นไม้ แล้วก็เอาผ้าแถบ คือสมัยก่อนเขาไม่ได้ใส่ยกทรง เขาใช้ผ้าแถบพันหน้าอก เอาผ้าแถบผูกกับกิ่งไม้ แล้วอีกข้างหนึ่งก็คล้องคอ

พระท่านก็ตกใจโวยวายขึ้นมา คนได้ยินก็เฮกันมาช่วย พอเอาตัวลงจากต้นไม้มา เขาบอกว่าเขาไม่ได้ผูกคอตาย เดินจากบ้านจะไปไร่ธรรมดา เจอขบวนเขากำลังแห่กัน เหมือนกับขบวนแห่สนุกสนานเวลาสงกรานต์หรือว่าบวชพระ แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาชวนให้เข้าขบวนไปกับเขาด้วย แล้วก็ส่งพวงมาลัยให้คล้องคอ แกบอกว่ากำลังจะหยิบพวงมาลัยคล้องคอ แล้วก็มีเสียงคนโวยวายแล้วกระโดดจับตัวแก คือตัวแกไม่รู้เรื่องเลยนะ คิดว่าแกเอาพวงมาลัยคล้องคอ แต่ที่คนเห็นก็คือกำลังเอาผ้าแถบผูกกิ่งไม้จะรัดคอตัวเองอยู่

ต้องบอกว่ากุศลช่วยไว้ทันจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จ เอาเถอะ..ท่านรอดมาได้ก็ถือว่าดีแล้ว

เถรี
08-12-2019, 09:49
ถาม : เมื่อวานรักษากำลังใจทั้งวัน กลับบ้านไปเจอแม่เซอร์ไพร์สอยู่หน้าประตูเลยค่ะ สอบตก ?
ตอบ : ถ้าหวั่นไหวก็สอบตกอยู่แล้ว จะไหวมากหรือไหวน้อยก็แล้วแต่ สำคัญที่ว่าแก้คืนได้เร็วไหม ?

เถรี
08-12-2019, 10:06
พระอาจารย์กล่าวว่า “ปี ๒๕๑๗ เป็นปีสุดท้ายที่ยังหัวหกก้นขวิดอยู่ ไปเหนือ ไปกลาง ไปใต้ เสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ ปี ๒๕๑๘ เจอตำราคู่มือปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง อ่านแล้ว โอ้โห...ทำไมง่ายอย่างนี้ ? คนอื่นเขียนวิธีปฏิบัติธรรมยากอย่าบอกใครเลย ทำไมหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเขียนตำราง่ายขนาดนี้ ? จึงทุ่มเททำอย่างเต็มที่ ในเมื่อง่ายก็เอาเลย

เวลา ๙ ปีที่เกือบจะไม่คุยกับใครเลย ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี จนถึง ๒๕ ปี กลายเป็นคนพูดน้อย นอนน้อย กินน้อย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว ใคร ๆ เขาก็ว่าบ้า ยังโชคดีที่ไปทุ่มเทตอนเป็นฆราวาสตั้งแต่อายุน้อย ๆ เอาไว้มาก พอบวชพระเข้ามาก็เลยสบาย ถ้าให้มาเริ่มทำตอนเป็นพระนี่ก็คงสาหัส

แต่มีหลายอย่างส่วนที่เป็นฆราวาสทุ่มเทเต็มที่อย่างไรก็ไม่ได้ อย่างในส่วนของพรหมวิหาร ๔ ส่วนของอรูปฌาน กรรมฐาน ๔๐ กองอื่น ๆ ไม่ได้รู้สึกว่ายาก มายากอยู่ ๒ หมวดนี้ แต่พอบวชเข้ามา เอ๊ะ...ทำไมง่ายขึ้น พอไปเจอหลวงปู่มหาอำพันก็กราบเรียนถามท่าน ท่านบอกว่า "ก่อนหน้านี้เหมือนกับเราเก็บเงินเพื่อซื้อของแพง เงินยังไม่พอก็ซื้อไม่ได้สักที คราวนี้พอท่านบวชเข้ามา บุญของการบวชเป็นบุญใหญ่มาหนุน ของที่ควรจะได้ก็ได้มาเอง”

เถรี
08-12-2019, 10:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านไหนมีหนุ่ม ๆ ถึงสามสี่คน พ่อแม่จะปวดหัวมาก ลูกผู้ชายดูแลยาก แต่ลูกผู้หญิงสมัยนี้ก็ไม่ค่อยจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเหมือนกัน โลกภายนอกกว้าง ขึ้นไปเรื่อย

อาตมาเองลำเอียง รักลูกสาวมากกว่า โดนกรอกหูอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะตัวเล็ก ๆ สั่งห้ามรับลูกชายเด็ดขาด ถามว่าทำไม ? เขาบอกผู้ชายใกล้พระได้มากกว่า เดี๋ยวหลวงพ่อรักลูกชายมากกว่า พวกเขาคิดแบบเด็ก ๆ

แต่ที่บอกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันเป็นเรื่องปกตินะ อาตมาเองมาถึงขนาดนี้แล้วยังรักลูกไม่เท่ากันเลย ใครเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย สั่งอะไรทำได้อย่างใจ ก็รักมากหน่อย เพียงแต่ว่าถึงรักไม่เท่ากัน ก็อย่าให้ต่างกันมากมายจนเกินไป”

เถรี
08-12-2019, 10:27
พระอาจารย์กล่าวว่า “ร่ำร้องว่าอยากจะเป็นผู้ใหญ่ ถึงเวลาเจอขนมก็วิ่งเข้าใส่ รับรองว่ายังเป็นเด็ก..!

ถ้าห้ามใจตัวเองไม่ได้ก็ยังถือว่าเป็นเด็ก คนที่หักห้ามใจตัวเองได้จึงถือว่าเป็นผู้ใหญ่ การเป็นผู้ใหญ่ดูง่ายมาก สามารถฝืนใจทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบได้เมื่อไร ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

เถรี
08-12-2019, 21:29
เล่าเรื่องเมืองจีนต่อ "วันก่อนจบที่วันเสาร์ที่ ๒๐ เราพักอยู่ที่โรงแรมชื่อ “เซวี่ยเฉิงจื่อเตี้ยม” แปลว่าแดนหิมะ ตื่นเช้ามาอากาศไม่หนาวมากหรอก -๔ องศาเซลเซียสเท่านั้น..! เก็บข้าวของลงมาปรากฏว่ายังขึ้นรถไม่ได้ คนขับรถยังไม่มาเปิดรถให้ จึงไปสุมหัวรวมกันที่โรงครัว

อาหารเช้าเริ่มตอน ๐๗.๐๐ น. ดีใจที่เห็นว่ามีไข่พะโล้ ปรากฏว่าตักขึ้นมาชักสงสัย ไข่พะโล้บ้านเอ็งมาทั้งเปลือกเลยหรือวะ..?! สรุปว่าข้าโง่เอง ไม่ใช่ไข่พะโล้ แต่เป็นไข่ต้มใบชา พอต้มนาน ๆ น้ำชาออกมาดำปี๋ อาตมาเห็นก็นึกว่าน้ำพะโล้ แต่เชื่อเถอะ...ทุกคนเห็นก็คิดว่าไข่พะโล้เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่พูดหรอก อาตมาเองหน้าแตกก็ยอมรับ หลงผิดคิดว่าเป็นไข่พะโล้ กะว่าจะตักสัก ๒ ฟอง เจอฟองแรกเข้าไป เอ๊ะ...ทำไมมีเปลือกวะ ? ยกขึ้นมาดมก็ไม่มีกลิ่นพะโล้

ท้ายสุดนึกขึ้นมาได้ว่าประเทศจีนเขามีไข่ต้มใบชา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพิ่มคุณค่าทางอาหารอย่างไร แต่เขาก็ต้มไปแบบนั้นแหละ ก็เลยต้องกินทั้งอย่างนั้นเหมือนกัน"

เถรี
08-12-2019, 22:02
"พอกินข้าวปลาอาหารเสร็จ มัคคุเทศก์มาถึงก็ขนข้าวของขึ้นรถ เขาบอกเลยว่าของใช้ส่วนตัวให้เอาติดตัวไว้นะ เราจะไม่ได้เจอรถคันนี้อีก ๒ วัน ให้รีบจัดกระเป๋าเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้วก็วิ่งฝ่าอากาศหนาวไป

ความจริงรถที่มีฮีตเตอร์ไม่ค่อยดีตรงที่ว่า พออยู่ในรถแล้วอุ่นมาก แต่พอลงจากรถมาหนาวแทบตาย มือไม้ชาหมด พอลงมาก็เจอคนขายของ แหม...อากาศยังมืด ๆ อยู่ ยังไม่ทันจะมองหน้าเห็นกันชัดเลย มายืนขายของแล้ว

ดูสินค้าหลักเขาว่ามีอะไรบ้าง ออกซิเจนกระป๋อง มาทีเป็นถาดเลย ไม้เทร็กกิ้ง (ไม้เท้าเดินป่า) เสื้อกันลม ดูท่าว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าตั้งรับมิดีเห็นทีจะเสียกรุงเป็นมั่นคง..!

ข้าวของที่เขาขายบอกให้รู้เลยว่าเราต้องใช้อะไรบ้าง พวกเราหอบหิ้วกระเป๋าตรงเข้าไปอาคารข้างหน้า ทันทีที่มองเห็น ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกัน “เบอร์เกอร์คิง” แต่ขอโทษ ๐๗.๓๐ น. เขายังไม่เปิด..จงอดต่อไป

ใครพกเสบียงอะไรมาก็กินอย่างนั่นแหละ อาตมาพกกระบอกน้ำร้อนไป ๒ กระบอก ใส่น้ำร้อนเต็ม ข้าวกล่องอีก ๒ กล่อง แต่ข้าวกล่องเมืองจีนหนักมาก กล่องละครึ่งกิโลกรัม พวกเราประมาณ ๔ คนถึงจะกินหมด แล้วยังมีผู้หวังดียัดแอปเปิ้ลมาให้อีก ๓ ลูก ส้มอีก ๔ ลูก อื้อหือ...ไม่คิดเลยว่ากูจะแบกไหวไหม..! เอ้า...แบกก็แบกวะ"

เถรี
08-12-2019, 22:21
"ปรากฏว่าต้องไปขึ้นลิฟต์ ด้วยความเคยชินขึ้นลิฟต์ของเราก็ต้องกดขึ้นข้างบนใช่ไหม ? แต่นี่ของเราจากชั้น ๒ กดขึ้นไปชั้น ๕ แต่ลิฟต์วิ่งลง บ้านเอ็งบ้าดีว่ะ..! มีลิฟต์วิ่งลงด้วย แล้ววิ่งลงไปชั้น ๓-๔-๕

เช้าขนาดนั้น หนาวขนาดนั้น แต่มีนักท่องเที่ยว ๓๐๐-๔๐๐ คนแล้ว แย่งกันเข้าคิวไปเถอะ ใครจะได้เข้าลิฟต์ก่อน มุดเข้าไปแล้วน้ำหนักเกินก็ไม่ค่อยจะมีใครอยากจะเสียสละออกให้หรอก จนกระทั่งพวกเราที่จับกันเป็นกลุ่ม มัคคุเทศก์บอกว่าให้แยก ๆ กันไป แล้วไปเจอกันข้างนอก พอออกจากลิฟต์แล้วให้รอกันด้วย

พอออกจากลิฟต์แล้วกรูกันไปนอกอาคาร รู้สึกว่าโชคดีมากเลยที่วันนี้เรามีทั้งถุงมือ มีทั้งถุงเท้า มีทั้งหมวก ไม่อย่างนั้นได้หนาวตายเป็นแน่ เพราะว่าอากาศเย็นได้ใจขนาดนั้น

มัคคุเทศก์อีริคของเราหุ่นก็เหมือนหมีแพนด้าอยู่แล้ว เพราะน้ำหนักได้ ๑๐๐ กิโลกรัมพอดี ไม้ที่เขาถือเป็นธงให้ลูกคณะเดินตามก็ดันห้อยรูปหมีแพนด้าไว้อีก เอาที่พี่สบายใจเลย...!"

เถรี
08-12-2019, 23:01
"ให้ Eric กับคุณตั้วซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทัวร์ไปติดต่อเรื่องตั๋วซึ่งที่จองมาแล้ว ไปประเทศจีนจำไว้เลยว่า ให้โหลดแอพฯ ของวีแชทไปด้วย ทุกอย่างใช้วีแชทได้หมด แม้กระทั่งจองตั๋ว จ่ายเงิน อะไรสารพัด อย่าไปหวังว่าจะใช้ไลน์ แล้วก็อย่าไปหวังว่าจะใช้กูเกิ้ล ประเทศจีนไม่มีให้ใช้ มีแต่วีแชท ยกเว้นว่าคุณจะซื้อซิมนานาชาติซึ่งก็เปลืองเงินอีกนั่นแหละ

แต่จะว่าไปแล้วบริเวณนั้นเขาจัดสถานที่ได้น่ารักมาก มีรูปชนเผ่าต่าง ๆ มีหมีแพนด้า มีจามรี ทำเป็นตัวการ์ตูนเรียงไว้ให้ถ่ายรูป ระหว่างที่ต้องรอตั๋วเพราะว่าคนเยอะมาก พอได้ตั๋วมาแล้วก็เดินเข้าซอง ถือตั๋วไปคนละใบ เก็บเอาไว้ให้ดีนะ สองวันนี้ใช้ตั๋วใบนั้นแหละ

อุตส่าห์เดินตามซองเข้าไปไกล ไปติดแหง็กอยู่ที่หนึ่ง ที่ตรงนี้ต้องขึ้นบันไดเลื่อน นึกไปนึกมา อ๋อ...เราอยู่ชั้น ๒ แล้วเมื่อครู่ลิฟต์ดำดินมาชั้น ๕ ปรากฏว่าชั้น ๕ คือพื้น แล้วนี่เรากำลังขึ้น ตกลงว่าบริเวณที่เราอยู่น่าจะเป็นหุบเขา จากพื้นปกติจึงต้องลงลิฟต์ไป พอโผล่ออกมาก็เหมือนกับพื้นทั่วไป ไม่ทันได้สังเกตเพราะกว้างมาก ตอนที่ขึ้นบันไดเลื่อนไป ๒ ชุดถึงได้รู้ว่าขึ้นไปสูง จากบันไดเลื่อนก็ไปเข้าซองต่อ แล้วก็ไปผ่านด่านตรวจ ก็คือเครื่องนับจำนวนคนนั่นแหละ แต่ต้องเอาบัตรของเราไปแปะให้ดังปื๊ด แล้วเครื่องก็หมุนให้เดินผ่านไปได้

พอเดินผ่านไป Eric ก็บอกว่าให้รวมพลกันตรงนี้ก่อน พวกเราควรจะไปรถคันเดียวกัน รอจนกระทั่งมากันครบก็เดินตามซองเข้าไปจนกระทั่งถึงที่ขึ้นรถ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่จัดคนขึ้นรถ จะกวาดพวกเราบางส่วนให้ไปก่อน Eric ก็รีบเข้าไปล้งเล้งกันประสาคนจีนคุยกันนั่นแหละ พูดอย่างกับบ้านเราทะเลาะกัน เสียงดังฉิบหา.! ท้ายสุดก็ต้อนเราออกไปข้าง ๆ แถวที่เขายืนรอ ให้คนอื่นเขาขึ้นไปเต็มรถคันนั้นก่อน"

เถรี
12-12-2019, 19:13
"พอรถคันถัดไปวิ่งมา คณะเราถึงได้ขึ้น รถก็วิ่งคดเคี้ยวไปตามป่าตามเขา เลาะหุบเหวไปเรื่อย อย่าคิดว่าใกล้ ๆ นะ ๓๕ กิโลเมตร..! เขารักษาธรรมชาติดีมาก ไม่ให้มีรถอื่นเข้าไปเลย ใช้แต่รถของอุทยานวิ่งไป แล้วใช่ว่าจะถึงอุทยานเลยนะ ลงรถเข้าโรงแรมก่อน ตรงจุดนั้นเรียกว่า ย่าติงชวน (หมู่บ้านย่าติง) โรงแรมเขาชื่อ โม่ฝาน ชอบโรงแรมนี้มาก ของเก่าเขาเยอะ แค่เดินเข้าไป ฉากตรงด้านหน้าเป็นฉากสีแบบศิลปะทิเบต..เก่ามาก แผ่นนั้นถ้ามาถึงเมืองไทยคงราคาหลายแสน

พวกเราไปรับกุญแจ ฝากกระเป๋ากันเรียบร้อย เวลาเดินต้องค่อย ๆ ย่อง เดินแรงไม่ได้ อาตมาก็โชคดีเหลือเกิน..ได้อยู่ชั้นบน ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดไป เสร็จสรรพเรียบร้อยลงมาก็เหลือแต่เป้ติดตัว แปลว่า ๒ วันจากนี้ เป้นี้ห่างตัวไม่ได้ พอเหวี่ยงเป้ขึ้นหลังก็หลุดพรืด...! หันไปดูปรากฏว่า..หูเป้ที่เป็นพลาสติกขาด หนาวจนพลาสติกกรอบหมด เวรแล้ว...จะทำอย่างไรดี ? ก็เลยเอาส่วนที่เป็นไนล่อนยาว ๆ จับมาลอดห่วงแล้วก็มัดเอาไว้ ไม่นึกว่าอากาศจะหนาวขนาดพลาสติกบ้านเรากรอบหมด

ไปรอรถ จะมีรถวิ่งผ่านรับนักท่องเที่ยวเป็นระยะ ๆ คันไหนมาก็ขึ้นได้ แต่ด้วยความที่พวกเราคิดว่าอย่างไรก็ต้องไปด้วยกัน จึงต้องรอคันที่ว่างพอให้ ๑๕ คนขึ้นได้ ขึ้นรถได้ก็วิ่งกันต่อไป ไปอีก ๑๕ กิโลเมตร สรุปแล้วจากตีนเขาตรงที่เราซื้อตั๋ว จนกระทั่งเข้าไปถึงหน้าสถานที่ ห่างกันถึง ๕๐ กิโลเมตร ระหว่างที่วิ่งพอพ้นเหลี่ยมเขาทีก็เห็นยอดเขาหิมะ เขาหิมะลูกนั้นเขาชื่อ หยางเหมยหย่ง คำว่า หยาง ไม่รู้เหมือนกันว่าหมายถึงแพะภูเขาหรือเปล่า ? เพราะว่าตอนที่เข้าไปเห็นว่าแพะภูเขาเยอะมาก ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณพวกกวางผา

Eric บอกว่านั่นคือเป้าหมายของเรา เป็น Mountain of Wisdom ขุนเขาแห่งปัญญา อาตมาเองก็มองตั้งแต่ต้นยันปลายว่าลักษณะคล้าย ๆ ปิรามิด ปิรามิดนี่แทนปัญญาหรือเปล่า ? ยอดแหลม ๆ ตีความไปสารพัด ตีความก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเดินไปถึงแล้วเพิ่งจะรู้ว่า ถ้ามึงมีปัญญาก็ไม่ควรที่จะเข้าไป ถ้าเข้าไปก็โง่ฉิบหา..เลย...! เดินเข้าไปเกือบตาย อย่าตีความแบบอาตมานะ เสียของเขาหมด"

เถรี
12-12-2019, 19:20
"รถจากหมู่บ้านย่าติงพาไปลงหน้าอุทยาน แล้วพวกเราก็เดินต่อ ปรากฏว่าก้าวแรกเท่านั้นแหละ ได้ยินเสียงเปิดกระป๋องออกซิเจนสูดกันฟืดแล้ว ชีวิตคุณจะรอดไหมนี่...! บรรดาอาเฮีย อาเจ้ อาอึ้มก็ไม่สนใจใครเลยละ เดินเต็มถนนไปหมด ถ้ายังไม่ไปคนอื่นก็ไม่ต้องไป อาตมาก็คิดว่าดีเหมือนกัน ค่อย ๆ เดินตามเขาไป ไม่เหนื่อยมาก แต่รู้สึกเหมือนกันว่าอากาศไม่พอหายใจ ก็ใช้วิธีของเรา "อานาปานสติ" หายใจยาว ๆ นึกถึงองครักษ์ประจำตัวไว้..เจ้าที่ช่วยหน่อยครับ

เดินเลาะลำธารไป ซึ่งบริเวณนั้นจริง ๆ สวยมาก แต่ Eric เร่งให้เราเดินเร็วหน่อย บอกว่าเราต้องไปขึ้นรถข้างในอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะเป็นรถไฟฟ้า เพื่อป้องกันในส่วนของมลพิษที่จะเกิดขึ้นในอุทยาน เราก็ค่อย ๆ เดินรวมตัวกันไป บางคนก็เริ่มดมอออกซิเจนเพราะว่าไปไม่ไหวเหมือนกัน เลียนแบบคนจีนบ้างแล้ว ส่วนอาตมาเองออกซิเจนอยู่ในกระเป๋า ไกด์เขาแจกมาคนละกระป๋อง เขาไม่ได้คิดเลยว่าถ้าใช้เกินกระป๋องแล้วจะรอดไหม ?

เดินเข้าไปถึงสถานีด้านใน เป็นรถไฟฟ้าสีเขียวเหมือนกับมินิบัสบ้านเราเลย นั่งคันละ ๒๐ คน อาตมาเองก็เล็งว่าเบาะไหนที่มีผู้ชายนั่ง ปรากฏว่าเจ้าที่เมตตาเกินกว่าที่เราคิด เจ้าหน้าที่ของเขามาลากแขนอาตมาไปนั่งคู่กับคนขับ วิ่งเข้าไปจนกระทั่งเห็นยอดเจดีย์แบบทิเบตลิบ ๆ อาตมาก็นึกว่าเจดีย์ตั้งอยู่บนพื้น พอเข้าไปใกล้เพิ่งจะเห็นว่าเจดีย์สร้างอยู่บนหลังคาสำนักงาน..! บริเวณนั้นเขาเรียกว่า ทุ่งหญ้ารั่วหลง เป็นแหล่งชุ่มน้ำ ต้องบอกว่าเป็นภูมิประเทศที่เอื้อต่อการเติบโตของพืชและสัตว์เป็นอย่างยิ่ง

คราวนี้พอลงรถแล้วทุกคนก็รู้ว่าต้อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ พึ่งตัวเอง คุณตั้วบอกว่า “ไปตามกำลังนะครับ คนช้าให้ไปช้า คนเร็วก็ไปเร็ว ไม่ไหวหยุดก่อน อย่าไปเร่งตามคนที่เขาแข็งแรงกว่า ไม่อย่างนั้นเราจะน็อก”

เถรี
12-12-2019, 19:27
"เขาก็มีพวกต้นไม้ใบหญ้า พืชพันธุ์ต่าง ๆ ให้ศึกษา แล้วก็มีสระน้ำ เราก็จะเห็นคนจีนเขาไปโพสต์ท่า เซลฟี่เองบ้าง ให้คนอื่นถ่ายรูปให้บ้าง อาตมาเดินตามเขาได้หน่อยหนึ่งได้ยินเสียง Eric ตะโกน บอกว่าให้มาทางด้านนี้ ด้านโน้นเดินไกล ถามว่าหมายความว่าอย่างไร เขาบอกว่าเดี๋ยวทางก็วกไปที่เดียวกัน ทางโน้นเดินอ้อมทุ่งหญ้าไปแล้วค่อยวกกลับมา ส่วนด้านนี้เดินมาหน่อยแล้วเดินไปตรง ๆ เลย ใกล้กว่าเยอะ ก็ต้องเชื่อมัคคุเทศก์ เพราะว่าเขาเคยไปมาหลายครั้งแล้ว

ปรากฏว่าพอเดินจนถึงที่จุดนัดพบ มีม้าให้เช่าราคา ๓๐๐ หยวน ก็ประมาณ ๑,๕๐๐ บาท มีคนช่วยกันเกลี้ยกล่อม “หลวงพ่อ...นั่งม้าเถอะ” เขาเดินไม่ไหว ไม่ใช่หลวงพ่อเดินไม่ไหวนะ เขาเองเดินไม่ไหว เดี๋ยวเขาจ่ายค่าม้าให้ รีบควักกัน คนแรกก็ควัก ๓๐๐ คนที่สองก็ ๓๐๐ คนที่สามก็ ๓๐๐ เลยชักจะเป็นพันขึ้นมา มัคคุเทศก์ก็ไปเจรจาขอเช่าม้า เจ้าหน้าที่เขาบอกว่า “Wait for horse feeding two hours” ต้องรอม้ากินอาหาร ๒ ชั่วโมง กูเดินเองดีกว่า...! ท้ายสุดก็ต้องเดินกันเอง

ปรากฏว่าทางเดินเขาทำได้อุบาทว์มาก คำว่าอุบาทว์ ของอาตมาก็คือเป็นทางตรง ๆ แล้วอยู่ ๆ ก็เป็นบันได ๒-๓ ขั้น ตรง ๆ แล้วก็เป็นบันได ๒-๓ ขั้น ถ้าเราเผลอมีร่วงแน่นอน เพราะจะไปคิดว่าเป็นทางราบ ๆ แล้วยังไม่ทันจะขาดคำ คนในคณะของเราก็ล้มจุ้มปุ๊กลงไปเสียแล้ว เพราะว่าขั้นบันไดเขาทำเป็นสีเดียวกับพื้น เขาน่าจะมีสลับสีให้เห็นสักหน่อย อย่างเช่นว่ามีขอบดำ ๆ ก็ได้ นี่เป็นไม้สนเหมือนกันหมด อาตมาเองก็คนแก่ หลายคนเดินแซงไปก็ค่อย ๆ เดินตาม ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ อาศัยการเดินลักษณะเดินจงกรม หายใจยาว ๆ"

เถรี
12-12-2019, 19:34
"ปรากฏว่ายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ไปพักหนึ่ง อ้าว...คนอื่นทำไมห้อยท้ายไปเรื่อย ห้อยไปห้อยมาปรากฏว่าไม่มีใครตามมาเลย ช่วงแรกยังมีทิดดอย ทิดเฟิร์ส แล้วก็น้องโบว์ตามอยู่ ไป ๆ มา ๆ น้องโบว์กับทิดดอยก็ไม่รู้ไปแอบทำอะไรกันที่ไหน หายไปหมด ไปกันแค่นี้ก็ได้วะ..!

เดินไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีความรู้สึกว่าเหมือนเทวดามาโปรด มีป้ายเล็ก ๆ “Toilet 500 meters” (ห้องน้ำอีก ๕๐๐ เมตร) รีบย่ำไปด้วยความดีใจ ไปถึงเปิดเข้าไปหงายท้องตึง ใครจะไปเมืองจีนพยายามฝึกอสุภกรรมฐานให้เยอะ ๆ จะได้เข้าห้องน้ำเขาได้ จะเห็นความเป็นจริงของร่างกายขึ้นอีกเยอะเลย

ปรากฏว่าทั้งคนจีน คนไทย ต่างด้าว แห่ลงไปพร้อม ๆ กัน ห้องน้ำมีอยู่แค่ ๕ ห้อง กับคน ๓๐๐ กว่าคน นี่เฉพาะช่วงเช้ามืดที่พวกเราไปกันนะ แล้วลองคิดดูว่าช่วงสาย ๆ คนจะขนาดไหน ไม่ต้องหวังถึงสภาพเลยว่าจะเจอห้องน้ำจะสะอาด ท้ายสุดก็ตัดใจ เราเป็นผู้ชาย เดี๋ยวแอบย่องไปเข้าตามภูมิประเทศก็ได้ ไปกันต่อดีกว่า

แล้วไปเจอทีเด็ดกว่านั้นอีก คือห้องน้ำนั้นกลิ่นโชยไปสัก ๕๐๐ เมตรได้ แต่ตรงข้าง ๆ มีร้านขายอาหาร มีบาร์บีคิว มีหมูปิ้ง มีจามรีปิ้ง ถ้ากินตรงนี้รสชาติจะเป็นอย่างไรหนอ ? หรือว่าหิวขนาดไหนก็ไม่กินแล้ว ลองไปดูก็แล้วกัน ถ้าใครทำใจกินได้นี่สุดยอดมาก คือของที่เข้าไปกับของที่ออกมาคนละกลิ่นกันนะ"

เถรี
12-12-2019, 19:41
"บรรดาอาหมวยอาตี๋ก็เปิดกระป๋องออกซิเจนดมแข่งกัน ตายห่...เขาบอกว่าระยะทาง ๖ กิโลเมตร นี่ตูเดินมาน่าจะถึง ๓ กิโลเมตรแล้ว ทำไมภูเขายังไกลเท่าเดิมอยู่ ? ขอให้ทุกคนโปรดทราบว่า ระยะนั้นเขาวัดจากดาวเทียมโดยการขีดเส้นตรง ๆ ส่วนที่เราเดินไปนั้นขึ้นสูงลงต่ำ วนซ้ายวนขวาไปตามภูมิประเทศ โยมที่เขามีเครื่องวัดระยะทางไปด้วย เขาบอกว่าเกือบ ๑๒ กิโลเมตร..!

ทีเด็ดกว่านั้นคือ มีอาเจ๊คนหนึ่งแกเอารถเข็นใส่ลูกไปด้วย ตกลงว่าแกอยากมีลูกหรือเปล่า ? ก็คือผู้ใหญ่เวลาหายใจไม่ได้ก็ยังบอกกล่าวกันได้ แล้วเด็กเล็กขวบกว่าสองขวบจะบอกอย่างไร ? ทุกคนพอเห็นนี่ตกใจกันทั้งนั้นเลย ช่างกล้า..หรือว่าเขาอยากได้ลูกคนใหม่ ?

ส่วนอาหมวยอีกคนก็แต่งตัวไม่ได้เข้ากับกาลเทศะเลย หนาวแทบตายชัก ใส่กระโปรง ใส่ถุงน่อง อย่างกับเดินออกมาจากแคตตาล็อกแฟชั่น หนูไม่หนาวก็แล้วไป หลวงตาหนาว..หลวงตาไปก่อนละ.. กระโปรงสั้นใส่ถุงน่องไปเดินบรรยากาศอย่างนั้นจะรอดไหม ? คาดว่าเดินไปอีกสักหน่อยก็คงกลายเป็นไอศกรีมแท่งไปเอง"

เถรี
12-12-2019, 20:05
"ไปถึงจุดนั้น ทั้งคณะ ๑๕ คน เหลืออาตมากับทิดเฟิร์ส ๒ คนอาตมาก็ยกหนอ..ย่างหนอ...เหยียบหนอต่อไป ข้างทางก็มีสารพัดสัตว์ บรรดานก กระรอก แม้กระทั่งแพะภูเขาออกมาอวดโฉมแบบไม่กลัวคนเลย พวกนกถ้าเราถืออาหารไว้ในมือ เขาจะบินมาโฉบจากมือเลย แสดงว่าเขาคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวมาก

บรรดาแพะภูเขาไม่สนใจคนหรอก หากินของเขาไปเรื่อย อาเจ๊บางคนก็ใจถึงเหลือเกิน เดินเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็เซลฟี่กับมัน อาตมายังนึก ๆ อยู่ว่า ถ้าเกิดดวงซวยแพะหันมาขวิดสักทีก็ได้ตกเขาตายกันบ้าง

เดินไป ๆ จนกระทั่งถึงสระน้ำใหญ่ เป็นปลายพื้นที่ชุ่มน้ำของทุ่งหญ้ารั่วหลง ดูนาฬิกา ๑๑.๑๐ น. นั่งกินตรงนี้ละวะ จะกินข้าวกล่องดูแล้วก็นั่งปลงอนิจจัง ๔ คนช่วยกันจะกินหมดหรือเปล่าหนอ ? แล้วเราก็เหลือกันแค่ ๒ คน ท้ายสุดกินแซนด์วิชก็แล้วกัน เอาจีวรพับ ๔ ปูลงไปแล้วก็นั่ง ฉันแซนด์วิชไปได้ยังไม่ถึงครึ่ง ทำไมก้นเย็น ๆ วะ ? ลุกขึ้นมาดูปรากฏว่าจีวรเปียกเป็นรูปก้นของเราเลย สมกับเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำจริง ๆ ทั้งที่เรานั่งลงไปบนพื้นแห้ง ๆ พักเดียวก็เปียกแล้ว ก็เลยต้องเปลี่ยนท่า เอาจีวรมาคลุมตัวแล้วนั่งยอง ๆ ฉัน

บรรดานักท่องเที่ยวก็ไม่ได้เกรงใจอาตมาเลย ผ่านมาเจอพระก็ถ่ายไว้ก่อน ทั้งวีดิโอ ทั้งภาพนิ่ง ทั้งมือถือ ทั้งกล้องจริง อาตมาก็นั่งเซ็งว่า งานนี้กูได้ออกเฟซบุ๊กท่ากำลังนั่งขี้แน่ ๆ เลย นั่งยอง ๆ กินอยู่ก็ดันถ่ายไปได้...!"

เถรี
12-12-2019, 20:10
"สรุปว่ากลางวันได้แซนด์วิชไป ๑ คู่กับส้ม ๒ ลูก ลดน้ำหนักไปได้หน่อยหนึ่ง เสร็จแล้วก็เดินต่อ ระหว่างทางนอกจากสิงห์สาราสัตว์แล้วก็จะมีน้ำตกเล็ก ๆ ด้วย ส่วนใหญ่แล้วใบไม้กำลังเปลี่ยนสี สวยมาก ๆ ต้นสนเป็นสีทองทั้งต้นเลย ใครพกกล้องถ่ายรูปไป โดยเฉพาะกล้องดิจิตอล แนะนำเมมโมรี่การ์ดอย่างน้อย ๓๒ กิ๊ก น้อยกว่านั้นอย่าไป ไม่พอให้ถ่ายหรอก

รวมเวลาพักและเวลานั่งกินเกือบ ๓๐ นาที ยังไม่มีใครตามมาสักคน ท้ายสุดก็บอกว่าไปกันเถอะ ชวนทิดเฟิร์สได้ก็ไปต่อ พื้นที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จากที่เดินสะดวก ๆ ก็เริ่มไม่สะดวกแล้ว กลายเป็นโขดหิน เป็นตะพัก เป็นหน้าผา ยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อยเพราะสูงไปเรื่อย จากที่ประเภทเดินต่อเนื่องกันได้ ๓๐๐ เมตร ๕๐๐ เมตร ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ๕ ก้าว ๑๐ ก้าวก็หยุดหอบแฮ่ก ๆ แล้ว เพราะยิ่งสูงอากาศให้หายใจก็ยิ่งน้อย

ส่วนภูเขาหิมะ “หยางเหม่ยหยงเซวี่ยซาน” ไม่ต้องพูดถึงเลย เดินเท่าไรก็อยู่ไกลเท่าเดิม ไปไม่ถึงสักที สรุปที่อาตมาว่าภูเขาแห่งปัญญาก็คือเดินแล้วฉลาดขึ้น รู้ว่าต่อไปอย่าโง่ได้มาอีก..!"