View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒
"แรก ๆ ก็มีบันได แต่ว่าบันไดก็อันตรายมาก เพราะว่ามีน้ำไหลมาด้วย มักจะลื่น ต้องระมัดระวังค่อย ๆ ไป อาตมา ๒ คนกลายเป็นที่อิจฉาของชาวบ้าน คนอื่นเดิน ๕ ก้าว ๑๐ ก้าวต้องหยุด เราโน่น ๒๐ - ๓๐ ก้าวแล้วค่อยหยุด แต่พอหลุดขึ้นไปถึงด้านบน โอ้โห...ทำไมลมแรงได้ใจขนาดนั้น พอพ้นซอกเขาออกไปลมพัดมานี่เซเลย แล้วลองคิดดูว่าอากาศ -๔ องศาเซลเซียส ลมพัดซ้ำเข้าไปอีกจะหนาวขนาดไหน ?
แล้วอัศจรรย์ตรงที่ว่าตรงนั้นเป็นทางแยก ซ้ายมือเป็นทางราบกว่า เดินง่ายกว่าไปทะเลสาบน้ำนม ด้านขวามือต้องตะกายฟ้าขึ้นไปทะเลสาบ ๕ สี เชื่อไหมว่าอาตมา ๒ คนไม่เห็นทางที่เดินง่าย ไม่รู้ว่าอะไรบังตาไว้
จากที่เดิน ๒๐ - ๓๐ ก้าวแล้วหยุดที ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว เหลือ ๕ ก้าว ๑๐ ก้าว ก็หอบแฮ่ก ๆ ในเมื่อลมแรงขนาดนั้น อาตมาก็เลยอาศัยภูมิประเทศเข้าช่วย ซึ่งก็คือถังขยะ เขาจะมีถังขยะฝังอยู่เป็นระยะ ๆ พอเดินไม่ไหวก็ไปหลบลมอยู่หลังถังขยะ หายใจสักพักพอมีอากาศก็ไปต่อ ๓ ก้าว ๕ ก้าวก็ต้องหยุดอีก
เจ้าประคุณเถอะ...ทางขึ้นวัดใจกันมาก เหมือนกับสุดแล้ว มองขึ้นไปเห็นสูงแค่หัวเรานี่แหละ แต่พอโผล่พ้นขึ้นมาก็มีสูงต่อไปแค่นี้อีก แล้วก็มีแค่นี้อีกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดตะกายขึ้นไปถึงข้างบน เขียนว่าอีก ๔๕๐ เมตรเป็นทะเลสาบ ๕ สี เอาละวะ...ไม่เสียทีที่มาถึง แต่ปรากฏว่าแค่ ๔๕๐ เมตรนั่นแหละ หอบแฮ่ก ๆ อีกหลายยกเลย อย่างที่บอกว่าเดินที ๓ ก้าว ๕ ก้าวก็ต้องนั่งหอบแล้ว"
"เดินไปจนถึงทะเลสาบแรก นึกว่าเป็นทะเลสาบน้ำนม เขาบอกว่าไม่ใช่ ทะเลสาบนี้เกือบจะแห้งแล้ว ถ่ายรูปไว้เสร็จสรรพแล้วขยับต่อไป ถึงไปเจอทะเลสาบ ๕ สี ที่มั่นใจว่าเป็นทะเลสาบ ๕ สี เพราะว่ามีหลายสีจริง ๆ สารพัดสีรวมอยู่ในทะเลสาบเดียว อยู่แถวนั้นถ่ายรูปนานไม่ได้ เพราะว่าลมแรงมาก หนาวจัด มือไม้แข็งหมด แล้วอาศัยใครก็ไม่ได้ เพราะว่าไปกันแค่ ๒ คน ผลัดกันถ่ายรูปคนละทีก็แล้วกัน
ปรากฏว่ามีสถานที่เหมือนกับที่พักหลบลม หรือว่าห้องน้ำก็ไม่ทราบ อาศัยขึ้นไปหลบลมอยู่พักหนึ่ง พอที่จะเดินกันได้ก็ไปต่อ มาถึงตรงนี้ก็เลยความลับแตก คือเห็นคนเดินอยู่ตีนเขาข้างล่าง ช่วยกันสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นทางเดินออก ไม่รู้หรอกว่าเป็นทางเดินเข้าทะเลสาบน้ำนม เพราะว่าตรงทางแยกเราไม่เห็นทางราบ เห็นแต่ทางขึ้นฟ้า ช่างวัดบารมีกันจริง ๆ ทางง่ายไม่ยอมให้เดิน แต่ว่าอย่าไปคิดว่าง่ายนะ เพราะว่าถ้าเราไปทะเลสาบน้ำนมก่อน แล้วต้องตะกายฟ้ากลับมาทะเลสาบ ๕ สีก็สาหัสพอกันนั่นแหละ"
"สองคนถ่ายภาพทะเลสาบน้ำนมเสร็จสรรพเรียบร้อย ทนหนาวไม่ไหว..กลับกันเถอะ พยายามมองหาพวกเราก็ไม่เจอ จนเดินเลยทะเลสาบ ๕ สีมาหน่อยก็เจอทิดดอยกับสาวโบว์ ประคับประคองกันมา ไม่รู้ว่าใครจะขาดใจตายก่อน เพราะว่าเปิดออกซิเจนดมกันมาตลอดทาง
ตอนแรกอาตมาก็คิดว่า ทิดดอยของเราเป็นสุภาพบุรุษ ไม่อยากทิ้งผู้หญิง ก็เลยประคองให้สาวโบว์เดินมาด้วย แต่ความจริงก็คือทิดดอยเป็นลม..! ต้องเปิดออกซิเจนช่วย จนกระทั่งเดินไหว เดินไปเดินมาสาวโบว์ก็เป็นลมไปด้วย อาตมาก็ยังคิดว่าแล้วออกซิเจนจะพอไหมนั่น ? แต่ก็ปล่อยเขาไปผจญภัยกันเอง บอกแค่ว่า "กลับแล้วนะ"
แต่ปรากฏว่าเดินผ่านที่พักหลบลม ได้ยินเสียงตะโกน “ซือฝู่...ซือฝู่” หันไปดู อ้าว...ไอ้หมีแพนด้ามาได้ด้วยเว้ย..! Eric มัคคุเทศก์ของเราน้ำหนักตัว ๑๐๐ กิโลกรัม กลมบ๋องเลย ตอนแรกเขาบอกว่าเขาสะสมไมล์ในการขี่จักรยานเส้นทางเฉิงตู-ลาซาได้เป็นแสนกิโลเมตรแล้ว อาตมายังไม่เชื่อ ตอนนี้ต้องยอมเชื่อแล้ว อ้วนขนาดนั้นเขายังมาได้
อาตมาบอกเขาว่าจะขอลงไปก่อน ไปดูว่าพวกเรามากันถึงไหน ก็ลงไปจนกระทั่งเกือบจะถึงทางแยก ก็เจอน้องเล็กเดินตุปัดตุเป๋มา พอบอกหนทางให้แล้ว เดินต่อไปไม่นานก็เจอพวกคุณตั้วหัวหน้าคณะทัวร์กับพวกเรา ทยอยกันมาทีละกลุ่ม ๓ คน ๕ คน ยุ่งไปหมด ปรากฏว่าเขาวัดออกซิเจนกันมาตลอดทาง ถ้าใครออกซิเจนต่ำกว่า ๘๐ คุณตั้วจะไม่ให้เดิน เพราะว่าทริปที่มาก่อนเราไม่ถึงอาทิตย์ สมองบวมเรียบร้อยไป ๑ คน เสียค่าส่งกลับไปเจ็ดพันหยวน..!"
"อาตมาบอกพวกเขาว่า เราจะออกไปเลยนะ..ไม่รอ จะไปที่โรงแรมกันก่อน เสร็จแล้วก็เดินจนกระทั่งทะลุออกมา ปรากฏว่าด้วยความที่ไม่มีคนนำ พอเห็นคนจีนเดินไปทางไหน อาตมาก็เดินไปทางนั้น ผลก็คือไปเจอทางตัน เขาปิดไม่ให้ไป
แล้วคนจีนเขาก็ทำให้รู้ว่า หนทางอยู่ที่ความพยายาม ไม่มีทางกูก็ปีน...! อาตมาก็เลยต้องปีนด้วย ด้วยความที่อาตมาเป็นพระและมีกล้องอยู่รอบตัว ก็ต้องดูจังหวะ ไม่อย่างนั้นได้เห็นภาพพระออกสื่อทั่วโลกแน่นอน อาตมาก็รอดูจังหวะจนกระทั่งมั่นใจว่า ปีนตรงนี้ไม่เกินสองวินาทีอย่างแน่นอน ก็เลยก้าวปั๊บ ๆ ข้ามไปอยู่ฝั่งโน้นเรียบร้อย ไม่ได้ยงโย่ยงหยกกันนานเป็นนาทีแบบเขา
พอข้ามไปก็ไปเจอรถเขียว ไปเข้าซองแล้วให้เขาฉีกตั๋ว เพิ่งจะรู้ว่าตั๋วที่เขาให้เราเก็บให้ดี ๆ มันเป็นท่อน ๆ ขึ้นรถเขาก็ฉีกไปท่อนหนึ่ง ก็นั่งรถจนกระทั่งออกมาสุดทางของรถไฟฟ้า เดินต่อไปหน่อยหนึ่ง ผ่านวัดชงกู่ ลงมาถึงที่จอดรถเมล์
ดูเวลาแล้วพวกเราเดินขึ้นสองชั่วโมง เดินลงชั่วโมงครึ่ง มาถึงเร็วเกิน รถเมล์ที่ไปย่าติงยังไม่เปิด เปิดรถเมล์อยู่สายเดียว พวกเราเห็นก็ตัดสินใจไปคันนี้แหละ พอขึ้นไปต่างคนต่างหลับตา รีบควานหาลมหายใจ เพราะว่าหายใจไม่ทัน
รู้สึกตัวไม่ถึงนาที ทิดเฟิร์สสะกิด “หลวงพ่อ...เลยโรงแรมแล้ว” ฉิบหา..แล้ว ตอนขึ้นรถก็ไม่ได้บอกคนขับไว้ เพราะว่าเขาไล่ไปนั่งหลังสุดเลย ทำไมระยะทางไกลขนาดนั้น รถวิ่งแค่ไม่กี่นาทีเอง ใครแกล้งกูวะ..!? แล้วจะทำอย่างไร ? เพราะว่ารถเขาไม่จอดกลางทาง ท้ายสุดก็เลยได้กำไร นั่งรถออกไปห้าสิบกิโลเมตร ไปถึงตีนเขาโน่น ลงรถก็ไปถามคนขับรถ ว่าจะซื้อตั๋วกลับไปได้ที่ไหน ? เขาก็ชี้ไปที่อาคารใหญ่"
"พอวิ่งไปถึงอาคารใหญ่ บอกเขาว่าจะซื้อตั๋วรถไปย่าติง เขาก็ชี้มาทางด้านที่ตอนเช้าพวกเราเข้าแถวขึ้นบันไดเลื่อนกัน ก็คิดว่าเป็นทางด้านนี้ พอไปถึงเจออาหมวยเฝ้าอยู่ตรงเครื่องนับคน แล้วเวรกรรมก็มาเยือน...
อาหมวยมาทำงานแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างไรก็ไม่รู้ พูดภาษาอังกฤษก็ไม่เป็น พยายามพูดจีนตะกุกตะกัก แกก็ฟังไม่รู้เรื่อง พูดภาษาอังกฤษคล่องหน่อย แกก็ฟังไม่รู้เรื่อง ท้ายสุดอาหมวยก็หยิบโทรศัพท์ของแกขึ้นมา กดแอพฯ แปลภาษา อาตมาเองก็หยิบมาพูดด้วยความมั่นใจ “I want to buy new ticket for two persons to go to Yading village.” อาหมวยแกดูเสร็จ..ไม่รู้เรื่อง พูดช้า ๆ ใหม่ก็ไม่รู้เรื่อง พูดอีกก็ไม่รู้เรื่อง ตกลงว่าเครื่องแปลภาษาของเขาใช้ได้หรือเปล่าวะ ?
ทิดเฟิร์สบอก “หลวงพ่อ...ขอผมหน่อย” ก็ส่งเครื่องไปให้ ทิดเฟิร์สพูดว่า “I want to by new ticket.” อาหมวยเห็นคำแปลแล้วร้องอ๋อ ทิดเฟิร์สหันมาบอกว่า “หลวงพ่อพูดสำเนียงอังกฤษ เครื่องฟังไม่ออก ฟังออกแต่สำเนียงอเมริกัน” เวรกรรม..สรุปว่าถ้าอาตมาไปเมืองจีนคนเดียวนี่อดตายแน่ ๆ..!"
"คราวนี้มีปัญหา เพราะว่าอาหมวยชี้มือไปว่า ต้องกลับไปซื้อตรงนั้น ตายล่ะ...ก็พนักงานทางนั้นบอกให้มาทางนี้ พอดีมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งวิ่งมา เขาก็กำลังจะขึ้นไปอุทยานย่าติงเหมือนกัน เขาพูดภาษาอังกฤษได้ เขาถามว่ามีปัญหาอะไร ก็บอกเขาว่าตั้งใจจะซื้อตั๋วใหม่ แต่มีปัญหา..เพราะว่าอาหมวยเขาฟังไม่รู้เรื่อง
ท้ายสุดเขาแนะนำว่า ให้ซื้อด้วยแอพฯ ของวีแชท คุณจะได้ตั๋วเดี๋ยวนี้เลยและผ่านไปได้ เวรกรรมละ...ไม่มีวีแชททั้งคู่ ก็เลยบอกเขาว่า "คุณช่วยใช้วีแชทของคุณซื้อ แล้วเราจะจ่ายเงินสดให้ตรงนี้เลยได้ไหม ?" เขาบอกว่าไม่ได้ เขากลัวจะโดนข้อหาคอร์รัปชั่น
เขาถามว่ามาจากไหน ก็บอกเขาว่ามาจากไทย ปรากฏว่าอาหมวยที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้พูดว่า “สวัสดีค่ะ” กูจะบ้า...! ท้ายสุดอาหมวยแกโบกมือผ่านเลย ๆ สรุปก็คือพยายามซื้อตั๋วแทบตาย แต่ซื้อไม่ได้ ไม่รู้ว่าโดนใครแกล้ง แต่เขาให้ผ่านฟรี ๆ เพราะว่าเป็นคนไทย..?!?"
"ขึ้นรถเที่ยวสี่โมงครึ่งจากข้างล่างขึ้นไป ๓๕ กิโลเมตรถึงโรงแรม ด้วยความที่รีบออกมาเพื่อไปนอนพักก่อน มาถึงตอนนี้ปรากฏว่าพวกข้างในออกมากันแล้ว เจอกันตรงหน้าโรงแรมพอดี เจริญกับชีวิตเถอะ..!
พวกที่ออกมายังไม่ครบ ที่ออกมามีน้องโบว์ ทิดดอย คุณเต้อ ลูกเหมียว ก็บอกว่าพวกคุณรอไปก่อนแล้วกัน อาตมาไปสรงน้ำก่อน เบื่อตัวเองเต็มทีแล้ว อุตส่าห์รีบออกมา หวังจะได้นอนพัก ที่ไหนได้..พาตูลงไปเดินเล่นยันข้างล่างโน่น..!
อาตมาไปขอกุญแจขึ้นห้องพัก อาบน้ำเปลี่ยนผ้าเสร็จสรรพแล้วค่อยลงมาใหม่ เจอพวกเราทั้งกลุ่มกำลังเบิกกุญแจกันอยู่ เป็นอันว่ากลับมากันครบ ที่เหลือใครจะกินอาหารเย็นก็นัดกันเองว่าจะเจอตรงไหน ไม่ใช่เรื่องของอาตมาแล้ว กลับห้องนอนไปพักดีกว่า
ปรากฏว่าทั้งคณะ ๑๕ คน มีอาตมากับทิดเฟิร์ส ๒ คนที่วันนี้ได้กำไรมากกว่าเพื่อน นั่งรถเที่ยวได้กำไรมา ๘๕ กิโลเมตร..! เขาคงจะเห็นว่าขาไปพวกเราจะถ่ายรูปไม่ทัน ก็เลยให้นั่งรถย้อนมา ถ่ายซ่อมมาได้อีกเยอะเลย
อาตมาตอนแรกก็สงสัยตัวเอง เด็ก ๆ รุ่นหลังบอกว่าอาตมาพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแปลก ๆ บางคนบอกว่าหลวงพ่อพูดภาษาอังกฤษสำเนียงโบราณ แต่ทีนี้อาตมาไปยุโรปมา เขาก็ฟังออกกันทุกคน ลืมไปว่าสำเนียงออกฟอร์ดเขาใช้ทางด้านยุโรป พอมาเอเชียนี่ตายสนิท ฉะนั้น..พวกเราเป็นรุ่นหลัง ๆ ที่ใช้สำเนียงอเมริกัน ไปได้..เอาตัวรอดได้แน่ แต่อาตมาอาจจะอดตาย..!"
"ประเทศจีนก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะแอพฯ แปลภาษา ต่อไปเวลาเราไปไหนน่าจะพูดไทยแล้วแอพฯ เขาก็แปลได้นะ ตอนที่อาตมาเข้าไปที่กู้กง พระราชวังที่ปักกิ่ง ภาษาไทยเป็นภาษาหลักหนึ่งใน ๑๑ ของโลก ที่เขาแปลให้ ถึงเวลารับเครื่องเขามา เสียบหูตัวเอง เปิดเครื่อง กดคำว่าภาษาไทย เขาจะแปลในสิ่งที่มัคคุเทศก์บรรยายเป็นภาษาไทยให้เราฟัง คิดว่าต่อไปคงไม่นาน จากที่แปลได้ระหว่างภาษาอังกฤษและจีน น่าจะแปลได้ทุกภาษาในโลก
แต่อย่าไปเอากูเกิ้ลทรานสเลตนะ ร้านอาหารไทยในจีนมีชื่อพิลึกพิลั่นมาเยอะแล้ว จากฝีมือกูเกิ้ลทรานสเลตนั่นแหละ พวกเราก็เอามาถ่ายลงโซเชี่ยลหัวเราะกัน จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาไม่รู้ภาษาของเรา
ประมาณว่า งามวงศ์วาน เขาแปลเป็น Beautiful family. ความจริงเขาก็แปลถูกนะ เพียงแต่ว่าไม่ได้ความเท่านั้น"
ถาม : ต้นเดือนจะไปพม่าค่ะ ถวายสังฆทานให้เจ้าที่ที่นั่น เจาะจงองค์ไหนดีคะ ?
ตอบ : มหาอิสิบูบูจี เรียกท่านว่าพ่อปู่ฤๅษีก็แล้วกัน เจ้าพวกนี้ทำให้อาตมาไปเปิดเผยความลับของเทวดาฟ้าดินเสียเยอะ ถึงเวลาไปก็ติดสินบนท่านกันใหญ่
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยนี้ผ่าสมอง ผ่าหัวใจ ไม่มีอะไรน่ากลัว บาลีเขาเรียกว่า วิชชามัยฤทธิ์ เป็นฤทธิ์ ๑ ใน ๑๐ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง เป็นฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการ แบบเดียวกับเครื่องแปลภาษา ไม่เห็นจะต้องใช้ความสามารถของนิรุตติปฏิสัมภิทาเลย เครื่องก็แปลได้ แต่ต้องพูดให้ถูกหน่อย"
ทิดเฟิร์สเขาบอกว่า เคล็ดลับในการใช้เครื่องแปลภาษา คือ พูดให้สั้น ๆ อย่าพูดยาว ๆ แบบอาตมา ให้พูดเหมือนคนพูดไม่เป็น ก็มีปัญหาเหมือนกันนะ คนพูดเป็นแล้วให้พูดไม่เป็น ไม่รู้จะทำอย่างไร
อาตมาตรองดูแล้วน่าจะใช่ เพราะว่าเขาต้องการช่วยคนที่พูดไม่เป็น ส่วนคนพูดเป็นเขาก็ไม่คิดจะทำแอพฯ มาช่วย พอไปพูดประโยคยาว ๆ เครื่องเลยไม่แปลหรอก พอพูดขาด ๆ สั้น ๆ เขากลับแปลให้ได้
สรุปว่า อาตมาไม่ได้ใช้ออกซิเจน สละให้คนที่เขาใกล้ตายไป แล้วก็มีสองคนที่ไปไม่ถึง คือ เต้อกับเหมียวสองตายาย ต้องบอกว่าสำนึกในสุขภาพของตัวเองเป็นอย่างดี ก็เลยห้อยท้ายที่กิโลเมตรที่ ๓ ไปไม่ถึงกิโลเมตรที่ ๑๒ กับเขาหรอก
แต่แถวนั้นก็คุ้มค่า เพราะว่าพวกสัตว์เยอะมาก โดยเฉพาะขาออกเจอแพะภูเขาเป็นร้อย ๆ ตัวเลย อาตมาเหลือบเห็นแค่ครึ่งตัว อุตส่าห์ย่องออกนอกทาง กะว่าจะไปถ่ายรูปใกล้ ๆ หน่อยโดยไม่บอกให้ใครรู้ ไม่อย่างนั้นบรรดาอาเฮียอาเจ๊ก็จะเอะอะเอ็ดตะโร ปรากฏว่าพอเดินลับมุมก็หงายหลังผลึ่ง โอ้โห..มาเป็นร้อยเลย แต่อาตมาเห็นแค่ขาหลังตัวเดียว อุตส่าห์ย่องเงียบเข้าไป หวังว่าจะถ่ายรูปใกล้ ๆ ที่ไหนได้..มาเป็นร้อยเลย ไม่แยแสพวกเราด้วย จะทำอะไรก็ทำไป กูกินอย่างเดียว
แถวนั้นไม่ว่าจะนก หนู กระรอก กระแต อะไรก็ตาม ไม่กลัวคนเลย เพราะอยู่ในอุทยานแห่งชาติ และคาดว่ากฎหมายของเขาแรงมาก อย่างเก่งก็ไปเซลฟี่กับสัตว์ใกล้ ๆ เท่านั้นแหละ ไม่มีเรื่องอื่น
อุทยานแห่งชาติย่าติง ภาษาอังกฤษ เขียนว่า Yading เราต้องพยายามอ่านให้ถูกด้วย
บรรดาสถานที่ที่เราไป อย่างทะเลสาบ ภูเขา ส่วนใหญ่มีความสำคัญกับพระพุทธศาสนาวัชรยานของทิเบต เป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของพระโพธิสัตว์บ้าง ของคุรุต่าง ๆ บ้าง ต้องบอกว่าเขาไปรับพลังกัน ส่วนพวกเรานี่แทบจะไปไม่ถึง ไม่ต้องหวังไปรับพลังอะไรหรอก
แต่ส่วนหนึ่งที่ไปแล้วรู้สึกดีก็คือ แก่จนป่านนี้ยังสามารถเดินตั้งแต่ต้นยันปลายได้โดยที่ไม่ต้องใช้ออกซิเจน แม้จะขี้โกงหน่อย ๆ ด้วยการมีองครักษ์ไปด้วยก็เถอะ
ถ้าใครไปแถวซื่อกูเหนียง ย่าติง รื่อหวา หลี่ถัง เรียกท่านสุ่ยหลงให้ช่วยได้ ท่านเป็นใหญ่อยู่แถวนั้น เป็นอินทกะของท้าววิรูปักษ์ เรียกว่าคุมพื้นที่กว้างใหญ่มหึมาเลย
อาตมาไปแล้วเพิ่งจะรู้ว่าที่นั่นคือเสฉวนตะวันตก มิน่าถึงเป็นอินทกะของท่านท้าววิรูปักษ์ เพราะว่าท่านท้าววิรูปักษ์ดูแลทิศตะวันตกของโลกมนุษย์อยู่
คณะของเราที่ไปจริง ๆ มีแค่ ๑๓ คน แต่ทีนี้หัวหน้าทัวร์กับช่างภาพไปด้วยก็เลยเป็น ๑๕ คน คณะที่ไปก็มีคุณชวง ซึ่งส่วนใหญ่ทั้งคณะเรียก "หม่าม้า" เป็นคุณแม่ประจำคณะ ต้องการอะไรให้บอก คุณแม่บริการได้ทุกอย่าง
มีน้องเล็ก มีน้องตุ๊กตา ต้องบอกว่าตุ๊กตายอดเยี่ยมมาก ถึงเวลาก็ทิ้ง "ป๊า" ไปเที่ยวคนเดียว บอกว่า "ป๊า" มีหน้าที่จ่ายเงิน มีลูกปุ๊กหรือที่เขาเรียกว่าเจ๊นี้ มีป้ามอยที่ดูแลบ้านเติมบุญอีกคนหนึ่ง มีเหมียวกับเต้อสองตายาย มีแจ๊กกับโอสองตายาย มีทิดดอย ทิดเฟิร์ส มีน้องโบว์ มีอาตมา
มีคุณตั้ว เขาเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ ซึ่งทั้ง ๆ ที่ออกสองทริปติด ๆ กัน แต่เขาเลือกมากับคณะของเรา เขาคิดว่าไปกับเราแล้วจะปลอดภัยกว่ากระมัง ? สรุปว่าคณะของเราไม่มีใครสมองบวมให้ส่งกลับ ส่วนคุณบีเป็นตากล้อง ไปช่วยถ่ายรูป
แต่พวกเราสละการถ่ายรูปดาวตอนกลางคืนกับถ่ายรูปแสงตอนเช้า ไม่มีใครไปหรอก หิมะลงหนาวจะตายชัก คุณมีอารมณ์ คุณไปถ่ายเองเถอะ อากาศลบห้าองศาหิมะตกให้ไปนอนถ่ายดาว เช้า ๆ ขึ้นมาลบสี่องศา ลบห้าองศา จะให้ไปถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น นอนดีกว่าว่ะ..!
ถาม : (ไม่ชัด) ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน อย่างที่หนึ่งคือพอเราตั้งใจแล้ว อายตนะก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราโดนควบคุมด้วยอำนาจของฌาน ไม่รับรู้อาการอื่นภายนอก ก็มองไม่เห็นไปชั่วคราว ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คงจะอยู่ในจังหวะที่ใครสักคนอยากจะแกล้งเรา ก็เอามือปิดไว้เท่านั้นก็หมดเรื่องแล้ว ...(หัวเราะ)... แต่ว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า ก็คือพอสมาธิเราทรงตัว เราสนใจข้างใน ไม่ได้สนใจข้างนอก ข้างนอกเลยหายไป
พระอาจารย์เปิดภาพหลวงพ่อวัดท่าซุงให้ดู “ภาพนี้ถ่ายวันที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ ที่วัดเทพธิดาราม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปรับพัดพระสุธรรมยานเถรวันที่ ๕ พอวันที่ ๖ หลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยาท่านเป็นเจ้าภาพจัดฉลองให้ที่วัดเทพธิดาราม จะเห็นว่าหลวงพ่อท่านห่มสีกรัก เข้าวังต้องเป็นสีนี้เท่านั้น
ส่วนใหญ่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับพระสายปกครอง แต่เจ้านายก็เมตตาตลอด เพราะเห็นว่าบริวารเยอะ มีกำลังใหญ่ ถ้าทำงานอะไรนี่ เฮกันตูมเดียวก็จบแล้ว ท่านก็พยายามที่จะต่อสายเชื่อมความสัมพันธ์เอาไว้ หลวงพ่อท่านก็อนุโลมตามที่ว่าง ถ้าไม่ว่างก็ไม่ไป"
"พอมาถึงรุ่นลูก บรรดาลูก ๆ ที่ออกไปอยู่ที่อื่น บรรดาเจ้าคณะปกครองท่านเห็นความสามารถก็มักจะเรียกใช้ หลวงตาวัชรชัยเป็นเจ้าคณะอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี จนกระทั่งต้องลาออก สู้งานไม่ไหวเพราะว่าแก่แล้ว อาตมาเองตอนนี้เป็นรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ มีที่น่าอิจฉาอีก ๒ ท่านก็คือ หลวงตาชลอ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ กับหลวงพ่อวิรัช วัดธรรมยาน
หลวงตาชลอเนื่องจากว่าอยู่สมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครทั้งจังหวัดมีแค่ ๓ อำเภอ เล็กนิดเดียว บุคลากรเพียบเลย ก็เลยไม่ถึงคิวที่ท่านจะเหนื่อย คุณเป็นเจ้าอาวาสทำงานของคุณไป ส่วนหลวงพ่อวิรัช เจ้าคณะจังหวัดบอกให้ไปเรียน ป.บส. จะได้ให้ตำแหน่งโน้นตำแหน่งนี้ หลวงพ่อวิรัชบอกว่า “ผมแก่แล้ว หัวไม่ไป ไม่เรียนหรอก” จะปฏิเสธว่าไม่เอาตำแหน่งก็กลัวเจ้านายจะน้อยใจ
เอาเถอะพี่..พี่รอดตัวไปได้ แต่ไม่รู้จะอีกนานเท่าไร ขนาดหลวงตาวัชรชัยนี่เจ้าคณะจังหวัดสระบุรีเจอหน้าอาตมายังบ่นเลย ท่านบอก “พี่คุณไม่ค่อยมีจริตนิสัยมาทางด้านการปกครอง” ก็คือพวกเราส่วนใหญ่มาสายปฏิบัติ แล้วมักจะอยากอยู่กับความสงบมากกว่า เพราะฉะนั้น..ท่านเป็นท่านก็ลาออก อาตมาเป็นก็ลาออก ลาออกเพราะรู้ว่ามีคนอื่นเขาอยากจะเป็น"
"ตอนนั้นอาตมาลาออกจากเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ พอถึงเวลาก็ไม่เป็น หาข้ออ้างไปเรียนหนังสือ ตำแหน่งรออยู่ก็แกล้งเรียนถ่วงไปเรื่อยจนจบปริญญาเอก เลยซวยหนักเข้าไปอีก พอจบปุ๊บตำแหน่งว่าง ๓ ตำแหน่งพอดี..! ถ้าว่างตำแหน่งเดียวยังโบ้ยไปให้คนอื่นได้ ดันว่างทีเดียว ๓ ตำแหน่ง ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ก็ต้องรับตำแหน่งใหม่ พอรับใหม่เป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ ได้ไม่นาน ก็เป็นรองเจ้าคณะอำเภอ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหากว่ามีอะไรฉุกเฉินขึ้นมาจะต้องเป็นมากกว่านี้หรือเปล่า ?”
เล่าเรื่องไปเมืองจีนต่อ "วันอังคารที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ อากาศเหมือนเดิมคือติดลบ ๔ องศาเซลเซียส ปรากฏว่าโรงแรมโม่ฝานเป็นโรงแรมเดียวที่อาหารเช้าเป็นข้าวต้มกับหมั่นโถว และไม่ได้มีแต่ผัดผัก มีไส้กรอกสไลด์ให้ได้ด้วย พวกเราเจอแต่ข้าวต้มกับผัดผักมาหลายวัน ก็เลยคีบไส้กรอกกันกระจาย..!
กินเสร็จก็ไปสำรวจวัตถุโบราณของเขา มีของเก่า ๆ โชว์แขกไว้เยอะ มีของอย่างหนึ่งที่อาตมาดูไม่ออก ลักษณะเหมือนหัวไม้หรือรากไม้ ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพรสำคัญอะไรหรือเปล่า ? เพราะว่าเห็นมีโชว์อยู่หลายที่ ลองเอาให้น้องกิฟท์อ่านแล้ว น้องกิฟท์บอกว่าความรู้ภาษาจีนน้อยไปหน่อย อ่านไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร น่าจะเป็นชื่อเฉพาะภาษาทิเบตแล้วเขียนเป็นภาษาจีน ก็เลยอ่านไม่ออก
ที่แน่ ๆ ก็คือระเบียงของโรงแรมโผล่ไปด้านหลัง จะเห็นยอดพีระมิดของภูเขาหยางเหม่ยหยง พวกที่ไปก่อนเรา ๕ วันไม่ได้เห็นอะไรเลย เพราะว่าเมฆหมอกปิดหมด แถมโดนหิมะถล่ม พวกเรามีอะไรเขาก็เปิดให้ดูหมด ข้าวของบางชิ้นของทางโรงแรมเห็นแล้วอยากซื้อ แต่เอ่ยปากไม่ออก เพราะรู้ว่าเป็นของสะสมของเขา กินข้าวเช้าเสร็จไปเข้าห้องน้ำก่อน เพราะว่าห้องน้ำรวมของประเทศจีนน่าเกลียดน่ากลัวไปหน่อย..!"
"เข้าห้องน้ำเสร็จลงมาคืนกุญแจ แต่ฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะว่าวันนี้ยังต้องเดินอีกวันหนึ่ง ออกไปถ่ายรูปหมู่หน้าโรงแรม แล้วก็เดินไปรอขึ้นรถ กลับเข้าไปที่อุทยานย่าติง ทุกคนมีประสบการณ์จากเมื่อวานแล้วว่า ของที่แบกไปอะไรมีประโยชน์อะไรไม่มีประโยชน์ วันนี้ทุกคนก็เลยลงความเห็นว่าแซนด์วิชดีที่สุด เพราะว่าเบา กินง่าย เดินไปกินไปก็ยังได้ ...(หัวเราะ)...
ข้าวกล่องจีนมีที่อุ่นอยู่ด้านล่าง ด้วยความที่อากาศหนาวจัด เวลาอุ่นจนกระทั่งเชื้อเพลิงหมดแล้ว ข้าวยังร้อนแค่ครึ่งกล่อง สรุปก็คือมีคนกินข้าวแช่แข็งด้วย ทุกคนก็เลยเปลี่ยนใจว่าแซนด์วิชดีกว่า แล้วก็มีเสียงว่า “หม่าม้า...ช่วยทำแซนด์วิชให้ด้วยครับ” ลำบากคุณแม่ประจำคณะอีก ตอนแรกแนะนำแซนด์วิชไม่มีใครอยากได้ อยากได้ข้าวกล่องกัน เจอข้าวกล่องเข้าไป แบกก็ไม่ไหว อุ่นก็ไม่ร้อน สรุปว่าแซนด์วิชดีที่สุด..!
ความจริงโปรแกรมของวันที่ ๒๒ แต่เดิมคือโปรแกรมของวันที่ ๒๑ เขาจะให้เราเดินระยะใกล้ ๆ เป็นการวอร์มร่างกายก่อน พอรุ่งขึ้นถึงไปเดินไกล แต่ปรากฏว่าหัวหน้าทัวร์คิดถูก คุณตั้วบอกว่าให้เดินไกลไปเลย ร่างกายยังสดอยู่ ไปทีเดียวให้จบ หลังจากนั้นถ้าหากว่าไม่ไหว ก็เหลือแค่ระยะทางใกล้ ๆ แล้ว จะได้ไม่ท้อกัน"
"คราวนี้พวกเรามีเวลาก็เดินเลาะทางด้านในซึ่งเป็นเส้นทางที่เลียบไปกับลำห้วย ถึงได้เห็นว่าตามก้อนหินริมห้วยมีการแกะภาพพระโพธิสัตว์บ้าง เทพพิทักษ์ในพระพุทธศาสนาบ้าง พระคาถา โอม มณีปัทเมหุม บ้าง เยอะแยะไปหมด พวกเราเดินเลาะไปจนถึงหน้าวัดชงกู่
อาตมามีเวรมีกรรมอยู่คนเดียว ก็คือนักท่องเที่ยวไล่ตามถ่ายรูป บางคนก็ตะโกนเรียกแบบไม่ต้องเกรงใจกันเลย ประมาณว่ากรุณาหยุดให้ถ่ายเสียดี ๆ..! ด้วยความที่ว่ามีเครื่องกันหนาวน้อยที่สุด ก็คือนอกจากถุงเท้าแล้ว หมวกก็ไม่ใส่ ถุงมือก็ไม่ใส่ ก็เลยทำให้เขาคิดว่า เหล่าซือฝู่น่าจะพลังวัตรสูงส่งมาก หารู้ไม่ว่ามีเจ้าที่ท่านช่วย ...(หัวเราะ)...
คนโน้นเดินไปถ่ายรูปทางโน้น คนนี้เดินมาถ่ายรูปทางนี้ กว่าจะไปรวมตัวกันที่หน้าวัดชงกู่ พี่แพนด้า Eric ก็รอแล้วรออีก รอจนกระทั่งแกรำคาญ คือถ้าวันไหนแกหงุดหงิดขึ้นมา แกก็จะแกว่งธงของแก ซึ่งแกไม่ได้ติดธง แต่ติดรูปหมีแพนด้าแทน..!
พอมากันครบก็พาเดินขึ้นไปในวัดชงกู่ ปรากฏว่าไปเจอของดี ตู้จำหน่ายวัตถุมงคลวัดนี้เป็นของแท้หมดเลย เทอร์คอยส์ก็แท้ อำพันก็แท้ เขาจามรีก็แท้ คิดว่าเอาละวะ..ในที่สุดเราก็เจอของที่ต้องการแล้ว กำลังจะหาว่ามีพระเจ้าหน้าที่ขายของอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าเสียงกลองลั่นตึง ตามด้วยเสียงพระสวดมนต์ เวรแล้วละครับ...พระท่านกำลังทำวัตรเช้ากันอยู่ แล้วพระจีนสวดมนต์ทีเป็นชั่วโมง ๆ จึงได้แต่ยืนน้ำลายหก ในที่สุดทุกคนก็ตัดใจว่า "ไม่ซื้อก็ได้วะ"...
"เดินออกทางหน้าวัดไปถ่ายรูปหมู่กัน นักท่องเที่ยวผู้หญิงจีนก็อยากจะถ่ายรูปกับพระ พออนุญาตให้ก็วิ่งใส่เลย โยมต้องตะโกนห้ามกันอุตลุด ไม่อย่างนั้นก็จะมีรูปอาหมวยโอบเอวพระถ่ายรูปอย่างแน่นอน..! พอเดินออกไปด้านหลัง Eric เจอของอย่างหนึ่ง เขาชี้แล้วถาม “รู้ไหมว่านี่คืออะไร ?” เป็นเสาท่อนหนึ่งแล้วมีรอยบาก ๆ อาตมาตอบไปว่า “Stair” เขาบอกว่าใช่ เป็นบันไดจริง ๆ แสดงว่าเป็นบันไดของจอมยุทธ์ คนทั่ว ๆ ไปขึ้นไม่ได้หรอก เป็นเสากลม ๆ แล้วก็มีแค่รอยบาก ลองคิดดูว่าถ้าตั้งขึ้นไปแล้วเราจะขึ้นได้ไหม ?
เดินต่อไปตามป้ายที่เขาชี้บอก ว่าอีก ๘๕๐ เมตรจะถึงทะเลสาบไข่มุก ถ้าโยมเจอป้ายตามแหล่งท่องเที่ยวประเทศจีน เอา ๓ คูณเข้าไปเลย เพราะว่าเส้นทางที่เขาบอกนั่นขีดจากดาวเทียมเป็นเส้นตรง ๆ แต่เวลาเราเดินคดซ้ายคดขวาขึ้นบนลงล่าง ได้ระยะทางเพิ่มมาเป็นเท่า ๆ ตัว
อาตมาก็เดินไป ตอนแรกน้องเล็กตามทัน หลังจากนั้นทุกคนก็หายลับไปกับตา ไม่มีใครห่วงใยกังวลกับหลวงพ่อเลย หลวงพ่อจะไปไหนก็ไปเถอะ เขาเดินไม่ทัน หายใจไม่ทัน ...(หัวเราะ)..."
"อาตมาเดินไป เห็นมีจุดพักกลางทางก็ไปนั่งพัก พวกนกพวกกระรอกก็มาตอมกันใหญ่ เขาจะหาของกิน อาตมาก็มีแต่น้ำชากระบอกเดียวกับแซนด์วิช ก็เลยต้องดึงเอาขนมปังแซนด์วิชออกมา ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้นกกิน นกแถวนั้นต้องบอกว่าใจกล้ามาก ไม่หนีคน แถมบินมาเกาะมือเลย
จนกระทั่งทิดเฟิร์สเดินมาทัน มองไปก็ไม่เห็นใคร จึงเดินกันต่อขึ้นไป ตลอดทางมีแต่นก น่าจะเป็นช่วงเช้าที่ออกหากิน และนักท่องเที่ยวก็เริ่มเที่ยวกันพอดี ในป่ามีแต่ต้นสน โตขนาดคนโอบ คราวนี้เป็นหน้าหนาว ใบสนกำลังเปลี่ยนสี เขียวบ้างเหลืองบ้าง สวยอย่าบอกใครเลย โดยเฉพาะตอนที่แดดออก แล้วทางการจีนเขามีกล้องวงจรปิดติดอยู่เป็นระยะ ๆ ตามรายทาง เพื่อป้องกันอันตรายให้กับนักท่องเที่ยว"
"เดินไปจนกระทั่งถึงทะเลสาบ ทำไมถึงแห้งขนาดนี้วะ ? ภูเขาหยางเหม่ยหยงก็ยังอยู่ตรงหน้านั่นแหละ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นมุมเดียวกับที่เราขึ้นไปที่ทะเลสาบน้ำนมหรือเปล่า แต่ที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ลมที่พัดมาจากภูเขาแรงและหนาวมาก บรรดานักท่องเที่ยวก็ไปอัดกันอยู่ตามสถานที่ชมวิวซึ่งเขาจัดให้ถ่ายรูป อาตมาเองเห็นน้ำแห้งจึงเดินลุยลงไปในทะเลสาบเลย ไปดูว่ามีอะไรดีเขาถึงมากัน ลงไปเห็นน้ำไหลอยู่กว้างประมาณ ๑ ศอก ก็เลยลงไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็วักดื่มด้วย..หมดเรื่องไป
เมื่อถ่ายรูปมุมต่าง ๆ จนหมดแล้ว เห็นว่าไม่มีอะไร อาตมาก็เดินกลับ กำลังจะพ้นเขตทะเลสาบแห้งก็สวนกับคุณตั้วที่เป็นหัวหน้าคณะ คุณตั้วบอกว่า “พระอาจารย์ครับ ตรงนี้ไม่ใช่ครับ ต้องเดินลึกเข้าไปอีก” อาตมาเห็นว่ามีคนเดินไปอีกทางหนึ่ง อ้อมกระโจมธงมนต์ที่เขาทำเป็นรูปเจดีย์เข้าไป พอเริ่มเดินตามไป พวกเราส่วนใหญ่ก็ตามมาใกล้ ๆ ไล่ ๆ กันแล้ว ปรากฏว่าพอเดินสุดทาง แม่เจ้าโว้ย...คนจีนล้านแปด..! ...(หัวเราะ)..."
"ถึงว่า..คนที่ไปเที่ยวเมืองจีนตรงกับช่วงวันหยุดวันชาติของจีนนี่ ทุกคนบ่นกันหมด แหล่งเที่ยวนี่ไม่เห็นอะไรเลย นอกจากหัวคนจีน ขนาดไม่ใช่วันหยุดคนยังเยอะขนาดนั้น แต่ละคนก็ถ่ายรูปไปเถอะ กูไม่เกรงใจใครหรอก ถ้ากูจะถ่ายละก็...คนอื่นจะถ่ายหรือไม่ถ่ายกูก็เดินลุยเข้าไปเลย ซึ่งอาตมาก็มีวิธีเหมือนกัน ถ้าจะถ่ายรูปก็ไปยืนจองที่ไว้ แล้วก็หันมาสู้กล้องประมาณร้อยแปดอัน พวกเขาพอเห็นอาตมายืนอยู่ก็จะรีบวิ่งมาถ่ายรูปพระกัน คราวนี้ก็มีที่ว่างให้พวกเราไปตั้งขบวนถ่ายรูปกันได้
อย่างที่บอกว่าแหล่งน้ำ ภูเขา ลำธารอะไรของเขา ส่วนใหญ่แล้วมีความเนื่องกับทางด้านพระพุทธศาสนาวัชรยาน เป็นแหล่งบำเพ็ญเพียรของบรรดาพระโพธิสัตว์ บรรดาคุรุของพวกเขา ก็เลยกลายเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าพลังงานที่ท่านทั้งหลายเหล่านี้บำเพ็ญเพียรยังอยู่แถวนั้น
คราวนี้ได้เวลาเพลแล้ว พวกเราก็ไปจองที่ เขามีที่ให้นั่ง มีห้องน้ำอยู่ แต่ขอโทษ...ไม่มีใครแลเลย เพราะรู้ว่าห้องน้ำตามแหล่งเที่ยวจีนนี่น่ากลัวมาก..! ต่างคนต่างก็งัดแซนด์วิชออกมากินกันตามปกติ พวกนกก็พยายามจะมาขอ อาตมาลุกไปให้อาหารนก หันกลับมาอีกทีที่นั่งหายหมดแล้ว บรรดาอาม่าอาอึ้มยึดเกลี้ยง ดังนั้น..ไปประเทศจีนนี่นั่งได้แต่อย่าขยับ ลุกเมื่อไรเสียม้าทันที..!"
"เสร็จแล้วก็มีอยู่คนหนึ่งวิ่งมาติดต่อกับ Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์ ได้ยินพูดว่า “ซือฝู่..ซือฝู่” อาตมา ก็ “บรรลัยละ กูอีกแล้ว..!” อาตมาก็เหวี่ยงเป้ขึ้นบ่า..บ๊ายบาย..ไปก่อนละ ปล่อยคนอื่นนั่งอยู่นั่นแหละ เดินอ้อมทะเลสาบไป ไปหาทางว่าทำอย่างไรที่จะลงไปในทะเลสาบได้ เพราะว่าเขาทำเป็นทางเดินมีระเบียงกั้นอยู่ เนื่องจากทิดเฟิร์สเขาอยากได้น้ำในทะเลสาบมาทำน้ำมนต์
อาตมาถามดูแล้วเจ้าที่เขาไม่หวง แต่ให้หาทางลงเอาเอง เพราะว่าเขาอนุญาตให้ไม่ได้ เดินอ้อมไปครึ่งทะเลสาบ ในที่สุดก็เจอทางลง คือเป็นทางที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง เบียดแทรกกลางต้นไม้ลงไป แล้วมีก้อนหินที่โผล่ ๆ อยู่ตามผิวน้ำอยู่หน่อยหนึ่ง ก็เอาปลายเท้าสะกิดก้อนหิน เดินลงไปจนถึงที่ลึกพอก็ตักน้ำ
พอได้น้ำก็เลี้ยวกลับโดยใช้วิธีเดิมก็คือ มีหินโผล่พ้นน้ำขึ้นมานิดหนึ่ง ก็เดินแตะก้อนหินกลับขึ้นมา ปรากฏว่ามีอาอึ้ม ๒ คนเห็นเข้า อาอึ้มคนหนึ่งจัดการมุดต้นไม้ตามมาทันที ตะโกนบอกพรรคพวกช่วยถ่ายรูปให้ด้วย อาตมาก็ขึ้นฝั่ง หยิบเป้ขึ้นมาได้ปรากฏว่าหูเป้ที่เหลือข้างเดียวกรอบจนหลุด อากาศหนาวจัดจนพลาสติกตัวล็อกกรอบขาดหมด มัวแต่นั่งผูกหูเป้อยู่ ได้ยินเสียงอาอึ้มแกส่งเสียงให้เพื่อนช่วยถ่ายรูป รออั๊วเดินออกไปอีกหน่อยหนึ่งก่อน ปรากฏว่าเสียงดังตู้ม..! สงสารแกจริง ๆ เลย อากาศติดลบ ๔ องศาเซลเซียสแล้วตกลงไปในน้ำ ...(หัวเราะ)... สั่นแหง็ก ๆ รอเพื่อนไปช่วยฉุดขึ้นมา
จำไว้ว่าเห็นพระเดินได้อย่าคิดว่าตัวเองเดินได้..! คือการเดินลักษณะอย่างนั้นวิชาตัวเบาต้องดีพอ วิชาตัวเบาไม่ดีพอก็จะเกิดอาการอย่างที่เห็นนั่นแหละ"
"พอดีทิดเฟิร์สกับทิดดอยเดินตามมาทัน พอส่งกล่องใส่น้ำให้ก็ดีอกดีใจ อาตมาถามอยู่คำเดียว “เอ็งจะเอาไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ให้เอาขึ้นเครื่อง ?” คือ ถ้าน้ำเยอะเกินไป ปกติเขาไม่ให้เอาขึ้นเครื่อง คราวนี้อาตมาตักใส่กล่องพลาสติกไว้ เขาบอกว่า “เอาไปได้ครับ เดี๋ยวไปถ่ายใส่ขวดเล็ก หมดท่าจริง ๆ ก็กินไปเลย” เอาก็เอาวะ..!
คราวนี้เห็นคนกลุ่มใหญ่กรูกันมาช่วยอาอึ้ม ๒ คนที่ตกน้ำ อาตมาขืนอยู่ต่อเขาอาจจะชี้บอกว่า อีตานี่เป็นคนลงไปก่อนมีหวังซวยแน่ ก็เลยรีบเผ่น ...(หัวเราะ)... เดินมาถึงตรงทางแยกก็เจอนายหมีแพนด้ายืนรออยู่ แกบอกว่า “Go to right” อาตมาก็..เออ..ไปก็ไปวะ"
"พอลงมาทางด้านนี้ปรากฏว่าบรรดาอาซิ้มอาอึ้มเขาไล่ตามถ่ายรูปพระไทยกัน จึงมีการประลองวิชาตัวเบากันว่าใครจะเร็วกว่า ระยะทาง ๖ กิโลเมตร รู้สึกว่าอาตมาเดินแค่พักเดียวเอง ...(หัวเราะ)...
พวกเราเดินออกมาปรากฏว่าเป็นตอนปลายของทุ่งหญ้ารั่วหลง มองไปก็เห็นรถเมล์ ต้องเรียกว่ารถแบตเตอรี่ รถไฟฟ้า จึงไปนั่งรอเวลาเดินทาง แล้วคิดขึ้นมาได้ว่ารถเขียวต้องฉีกตั๋ว แล้วตั๋วของเราเขาก็ฉีกไปแล้ว แสดงว่าเราต้องไปรถขาวที่ส่งเราจากโรงแรมเข้ามา จึงต้องกัดฟันเดินกลับ
เดินมาจนถึงหน้าวัดชงกู่ อาตมาเห็นว่าเป็นศูนย์กลาง ก็คือใครไปใครมาต้องผ่านตรงนี้ จึงยืนรอ เหตุที่ต้องยืนรอก็เพราะว่า ถ้าพระยืนอยู่ทุกคนจะเห็น แต่ถ้าคนอื่นยืนอยู่บางทีก็มองกันไม่เห็น เพราะว่าใส่เสื้อผ้าคล้าย ๆ กัน เสื้อกันหนาวก็ใส่กันจนอ้วนเป็นหมีเลย..!
จนกระทั่งมากันครบ ก็เดินออกไปข้างนอกจนถึงท่ารถที่จะไปย่าติง ปรากฏว่าหม่าม้าหาย ...(หัวเราะ)... คุณแม่ประจำคณะไปไหนก็ไม่รู้ โทรถามกันอุตลุด สรุปแล้วมัคคุเทศก์บอกว่าเห็นเดินลึกเข้าไปทางด้านใน เดี๋ยวเขาไปตามให้ อาตมาก็รอ รอไปก็ดูพวกกระรอก นก พวกอะไรไล่แย่งอาหารจากคน นักท่องเที่ยวตั้งใจให้บ้าง ไม่ตั้งใจให้บ้าง ถ่ายรูปบ้าง ยุ่งไปหมด"
"อาตมาก็กลัวว่า ถ้าโยมเขาเดินออกมาคนเดียวแล้วจะไม่เห็นคณะของเรา เพราะว่าส่วนใหญ่นั่งพักกัน จึงต้องไปยืนโชว์ตัวตรงสี่แยกให้เป็นเป้าของกล้องต่อไป..! จนกระทั่งโยมมาพร้อมกันแล้วก็ไปขึ้นรถ ตอนนี้ฉลาดขึ้นมาแล้ว รู้ว่าถ้าช่องเดินรถยังไม่เปิดก็รอให้เปิดเสียก่อน ไม่ใช่ว่าเห็นช่องอื่นเปิดแล้วก็ไปขึ้น เดี๋ยวจะโดนพาเตลิดไปอีก จนกลายเป็น ๑ ใน ๒ คนของคณะที่มีประสบการณ์ขึ้นรถมากที่สุด เพราะว่าหลงมาแล้ว
ขึ้นรถย้อนกลับมาที่โรงแรมโม่ฝาน หมู่บ้านย่าติง ขนข้าวขนของไปยืนดักรถเมล์อีกรอบหนึ่ง คือดีอยู่อย่างหนึ่งว่า ตั๋วที่เข้าอุทยานนั้นรวมค่ารถเมล์ ค่ารถแบตเตอรี่อะไรไว้หมดเลย รถทุกคันที่ผ่านมาถ้ามีที่ว่างเรามีสิทธิ์ขึ้นได้ทั้งหมด รู้สึกว่าเขาจัดการเป็นระบบดี ก็คือถ้าเห็นยืนโบกมืออยู่ข้างทางก็แปลว่าจะไปด้วย ถ้ามีที่ว่างโชเฟอร์เขาก็จะจอดให้เอง คราวนี้พวกเราต้องวิ่งลงยาวเลย ขนข้าวขนของขึ้นรถแล้วก็นั่งรถกลับลงมาที่ตีนเขา"
"จนถึงจุดจอดรถที่วันก่อนพาอาตมาเตลิดลงไป ๕๐ กิโลเมตรทางด้านล่างนั่นแหละ จึงกลายเป็นคนชำนาญทางแล้วก็นำคณะไป เป้าหมายของตอนนี้ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเบอร์เกอร์คิง..! ที่วันแรกไม่ได้ไปนั่นแหละ รี่เข้าไปถึงก็สั่งกันกระจาย ตรงนั้นก็เอื้อเฟื้อมาก มี wifi มีห้องน้ำ มีน้ำอัดลม มีเบอร์เกอร์คิง ด้วยความที่มีน้ำอัดลม ปกติคนจีนเขาไม่กินน้ำแข็งกัน ปรากฏว่าตรงนั้นมีน้ำแข็งขายด้วย พวกที่ลงมาตอนช่วงบ่ายแล้วยังกินข้าวเย็นได้อยู่ เขาก็มีเบอร์เกอร์คิง มีน้ำอัดลม นั่งกินกันอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
จนกระทั่งพอสมควรแก่เวลา มัคคุเทศก์ก็พาพวกเรามารอรถบัสที่เราเช่าไว้ ที่ว่าตลอด ๑๐ วันต้องอยู่ด้วยเกือบทุกวัน ไปรอตรงสถานที่จอดรถ ซึ่งมีร้านขายของที่ระลึกเป็นสิบ ๆ ร้านเลย ปรากฏว่าไปถึงนี่หมดเกลี้ยงทุกร้าน ทำไมวะ..?! ทุกคนให้ความเห็นว่า น่าจะขายของได้เฉพาะช่วงเช้า พอรถมาส่งนักท่องเที่ยว ขายได้ขายไม่ได้ก็ตอนนั้น พอช่วงสายหรือช่วงบ่าย นักท่องเที่ยวจะเข้าไปเดินในอุทยานกันหมด กลับออกมาอีกทีก็จะค่ำแล้ว มีพวกบ้า ๆ ที่ออกมาเร็วอย่างพวกเรามีไม่กี่คนหรอก เขาก็เลยปิดร้านกันหมด"
"อาตมาไปเดิน ๆ ดูแล้วก็กวักมือเรียกคุณบี ช่างภาพประจำกลุ่ม บอกว่า “บี..ส่งภาษาถามเขาหน่อยสิ ว่าชิ้นนี้ราคาเท่าไร ?” คุณบีเขาก็พาซื่อ วิ่งเข้ามาถึงถามว่าชิ้นไหน อาตมาชี้ให้ดู ปรากฏว่าสินค้าชิ้นนั้นได้ยินเสียงก็เลยพลิกตัวลุกขึ้น สาวเจ้าของร้านเขานอนอยู่ ก็ในเมื่อนอนอยู่ตรงที่วางสินค้าขาย ก็เลยให้ถามว่าราคาเท่าไร..! คราวนี้เวรกรรมเกิดขึ้นตรงที่ว่า ดันไปทำให้เขาตื่น ก็เลยมาตามตื๊อให้ซื้อของเขา โชคดีที่ว่ารถของเรามาถึงพอดี จึงพากันเผ่นหนีขึ้นรถ
จากนั้นก็วิ่งกลับไปสถานที่พักของเรากัน ไปถึงโรงแรมแล้วตกใจ โรงแรมชื่อเฉิงตี้ คือจักรพรรดิของเมืองเต้าเฉิง น่าจะอยู่ในระดับอย่างต่ำก็ ๔ ดาว โอ้โฮ...ทำไมถึงได้หรูขาดใจขนาดนั้น ไม่นึกว่าทางทัวร์เขาจะใจถึง เช่าโรงแรมระดับนี้ให้พวกเราอยู่"
"อาตมาเองเวลาเข้าโรงแรม สิ่งแรกที่ทำก็คือสรงน้ำ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ซักถุงเท้า เอาถุงเท้ากันหนาวไป ๖ คู่ ใช้อยู่แค่ ๒ คู่ คู่แรกคือคู่ที่ใช้ทุกวันเช้ายันค่ำ ซึ่งต้องซัก คู่ที่สองก็คือใช้ตอนค่ำจนถึงประมาณเที่ยงคืน คู่นี้ใส่กันหนาว พอหลังเที่ยงคืนจะลุกขึ้นมาเอาถุงเท้าที่ซักไว้มาใส่ ถ้ายังไม่แห้งหรือแค่หมาด ๆ เวลาเราใส่ก็จะแห้งคาเท้าไปเอง ใครจะเลียนแบบก็ได้นะ แต่ถ้าเปิดฮีตเตอร์แบบห้องอื่นเขาก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าใช้ฮีตเตอร์ตากถุงเท้าแห้งได้
อาตมาเองเข้าห้องไป อันดับแรกเลยคือ เปิดหน้าต่าง อากาศข้างนอกหนาวเท่าไร ข้างในต้องหนาวเท่านั้น แล้วถ้าปิดไฟไม่ได้ก็จะดึงบัตรออกเลย บัตรกุญแจถ้าเราชักออก ไฟจะดับทั้งห้อง เหตุที่ทำอย่างนั้นเพราะว่า เวลาอากาศข้างในกับข้างนอกเย็นเท่ากันแล้ว ตอนช่วงเช้าไปไหนเราจะไม่หนาว แต่ถ้าในห้องอุ่นแล้วออกไปข้างนอกจะหนาวมาก นี่เป็นวิธีปฏิบัติประจำตัว ไม่แนะนำให้คนอื่นทำตาม
ซักถุงเท้าเอาไปตาก เสร็จแล้วก็มาสำรวจทรัพย์สินของตัวเอง ปรากฏว่าหูเป้ขาด ก็ต้องเอามาผูกกันเอง สรุปแล้วมีคนประมูลไป ๒๐๐ หยวน เป้ขาด ๆ ๑ ใบ ไม้เทร็กกิ้งได้มา ๕๐๐ หยวน แล้วก็รองเท้าลุยหิมะ ๑ คู่ ได้มา ๗๐๐ หยวน สรุปแล้วสินค้าที่ซื้อไปทุกชิ้นขายได้หมดเลย เก่าแค่ไหนก็ขายได้
ยังขำ ๆ โยมบางคน ถามว่าเป้หูขาดแล้วเอาไปทำไม ? ความจริงคือพลาสติกหัก ถ้าเอาสายเป้มาผูกกับห่วงของเป้ก็ยังใช้ได้อยู่ เพียงแต่ว่าในสายตาของเขาก็คือเป้ขาดแล้ว ส่วนคนที่อยากได้ก็เพราะเห็นว่า มีรอยจารของหลวงพ่ออยู่ที่เป้ ที่แย่งกันประมูลก็คือจะเอารอยจารนั่นเอง"
"ก็เป็นอันว่าหมดไปอีกหนึ่งวัน สรุปแล้วสองวันที่ยากที่สุดในทริปผ่านพ้นไปแล้ว บอกกับคุณตั้วหัวหน้าทัวร์ว่า ตลอดระยะเวลาที่มา ๗ วันนี้ อาตมาให้การเดินเข้าไปที่ภูเขาหยางเหม่ยหยง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลืออีก ๙ วัน รวมกันเอาไป ๒๐ เปอร์เซ็นต์แล้วกัน"
วันพุธที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
"วันนี้อาตมามีปัญหาคือ ผิวแตก ปากแตก จมูกแตก หน้าลอก ...(หัวเราะ)... เพราะว่าทั้งหนาว ทั้งแดดเผา เลยไปถามโยมว่ามีอะไรแก้ได้บ้าง คนโน้นมีวาสลีน คนนี้มีครีม คนนั้นมีลิปมันทาปาก ก็เลยมานั่งคิดว่า เออหนอ..ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้ใช้ของพวกนี้ก็ต้องมาใช้ ดังนั้น..ถ้าญาติโยมไปสถานที่แบบนั้น อย่าลืมของพวกนี้เป็นอันขาด สำคัญมากทีเดียว
อาตมาผิวแตกจนคันคะเยอไปทั้งตัว อากาศที่นั่นหนาวจัดจริง ๆ แล้วก็ปากแตกเลือดซิบ ๆ เลย แม้กระทั่งจมูกก็แตก ปัญหาใหญ่ก็คือตาเจ็บจากแสงสะท้อนของหิมะ จึงต้องใส่แว่นตาดำเป็นก็อดฟาเธอร์..! ของพวกนี้ถ้าไม่มีประสบการณ์ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรบ้าง ด้วยความที่เคยชินว่าไม่เคยใช้ของพวกนี้ ไม่รู้ว่าแดดจัด ๆ ของฤดูหนาว เวลาสะท้อนหิมะจะยิ่งแรงจัดกว่าเดิมหลายเท่า มองไปทางไหนก็ขาวพร่าไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็น้ำตาไหลไม่เลิกไปแล้ว
เช้านี้ร้านอาหารเขาค่อนข้างจะสมบูรณ์พร้อม เพราะว่าเป็นโรงแรมมีระดับ ข้าวปลาอาหารค่อนข้างจะกินได้ดั่งใจ แต่อากาศดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง คือจากติดลบ ๔ หรือ ๕ องศาเซลเซียส เหลือ ๐ องศาเซลเซียส ...(หัวเราะ)... พวกเราต้องเดินทางย้อนเส้นทางเดิมกลับมาทางด้านเต้าเฉิง หลี่ถัง ก็คือต้องผ่านสถานที่ซึ่งผ่านมาแล้วนั่นแหละ เช่น พระสถูปขาว ภูเขากระต่าย ช่องเขาคาซาลา เป็นต้น"
"ถึงจะผ่านที่เดิมแต่ไม่เหมือนเดิม เพราะว่าเมื่อคืนหิมะตกหนักมาก ถามว่าหนักขนาดไหน ? อาตมาลองเหยียบพื้นดู หนาประมาณ ๑ นิ้วกว่า เกือบ ๒ นิ้ว สวยมาก ๆ
พวกเราก็บ้า เห็นหิมะแล้ววิ่งไปเล่น ชาวบ้านเขาเห็นหิมะก็เดินหลบ ต้องบอกว่าเจ้าที่ท่านจัดโปรแกรมได้ดีมาก ถ้าหิมะตกตั้งแต่ขามา ขากลับเราเห็นอะไรซ้ำ ๆ กันก็จะน่าเบื่อ แล้วท่านจัดสรรให้ตกตั้งแต่กลางคืน กลางวันบนถนนหิมะละลายหมดแล้ว รถวิ่งได้..ไม่ลื่น แถมสองข้างทางงามสุด ๆ จอดถ่ายรูปกันไปตลอดทางจนหมดไปครึ่งค่อนวันไม่รู้ตัว
แล้วที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ว่าความสูงระดับนั้นพวกเราเคยชินแล้วหรืออย่างไร เพราะว่าไม่เหนื่อยกันเลย อย่างช่องเขาคาซาลาระดับความสูง ๔ พันกว่าเกือบ ๕ พันเมตร ลงไปกระโดดโลดเต้นถ่ายรูปกันได้ จากนั้นก็ผ่านเมืองซางตุย ทุ่งหญ้าแดง ไล่ย้อนเส้นทางเดิมไปเรื่อย"
"เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของเจ้าที่ ท่านจัดสรรบรรยากาศได้งามสุด ๆ โดยเฉพาะบางจุดนี่เวลาหิมะละลายเป็นไอฟุ้งขึ้นมา เหมือนอย่างกับป่ากำลังไฟไหม้ มองไปทางไหนก็มีแต่ควันขึ้น แล้วถ้าพระอาทิตย์ส่องถูกมุมละก็..เหมือนอย่างกับแสงฉัพพรรณรังสีเลย เพราะว่าเป็นสีรุ้ง
พื้นที่ของแถวนั้น โอกาสที่จะทำนานั้นยาก เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีที่ราบน้อยมาก ข้าวที่เขาปลูกส่วนใหญ่ก็คือข้าวบาร์เลย์ที่คนจีนเรียกว่าเกาเหลียง แล้วก็มีปลูกข้าวโพดและถั่ว คือส่วนใหญ่เขาจะปลูกผักแปลงเล็ก ๆ อาตมาดูจากพื้นที่แล้วคาดว่าเขาต้องซื้อข้าวจากที่อื่น เพื่อที่จะให้เพียงพอเลี้ยงคนในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่ทำปศุสัตว์ การทำปศุสัตว์ทางแถบซีหนิง ชิงไห่ และทิเบต เราจะเห็นความหลากหลาย มีทั้งแพะ แกะ และจามรี แต่ทางด้านนี้จามรีเป็นหลักเลย แล้วมีวัวปนอยู่นิดหน่อย"
"เวลาเราขับรถไป บางทีโดนจามรีล้อมกรอบไปไหนไม่ได้ มาฝูงใหญ่เกือบร้อยตัวเต็มถนนไปหมด คนเลี้ยงจามรีก็มีม้าตามมา ๔-๕ ตัว บรรทุกข้าวของเครื่องใช้มา ถามว่าแล้วทำไมถึงต้องต้อนจามรีไปลักษณะอย่างนั้น ? ก็เพราะว่ามีสัตว์จำนวนมาก อาหารไม่พอให้กิน ก็ต้องเดินหาอาหารกินไปเรื่อย อย่างเช่นว่าเดินขึ้นหน้าไป ๑ เดือนฝั่งถนนนี้ เดี๋ยวย้อนหลังกลับมา ๑ เดือนฝั่งถนนโน้น ก็กลับถึงบ้านพอดี"
"Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์เขาให้เดาว่า จามรีตัวหนึ่งราคาเท่าไร ? ไล่ไปไล่มาปรากฏว่าจามรีราคาตัวละเป็นหมื่นหยวนเลย..! ก็ตกราว ๆ ๕ หมื่นบาทไทย ถามเขาว่า “แพงขนาดนั้นแล้วซื้อกันไหวหรือ ?” เขาบอกว่าไหว เพราะว่าจามรีใช้งานได้ตั้งแต่หัวยันเท้าเลย
ใช้เนื้อเป็นอาหาร ใช้ไขมัน ขน กระดูก เขา ใช้ได้ทุกอย่าง เขาบอกว่าแค่เสื้อโค้ทที่ทำจากขนจามรี ถ้าฝีมือดี ๆ ตัวหนึ่งราคา ๔-๕ พันหยวน แสดงว่าถลกหนังมานี่ได้คืนไปครึ่งหนึ่งแล้ว..! ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเขาเลี้ยงสัตว์กันมาก
เวลาพวกเราไปเจอจามรีปิดถนนกัน ๔๐-๕๐ ตัว เสียงร้องกันว่า “Millionaire” ไอ้นี่มหาเศรษฐีแน่นอน ...(หัวเราะ)... และจะมีพวกหมาทิเบต ก็คือทิเบตัน มาสตีฟฟ์ เขาเลี้ยงเอาไว้ช่วยต้อนจามรีและวัว พวกนี้จะแข็งแรงมาก วิ่งไล่ม้า ไล่จามรีทั้งวัน ถ้าเจ้าของขี่ม้าก็วิ่งไล่ม้าทัน ถ้าหากว่าเจ้าของต้อนจามรี ตัวเองก็ต้องวิ่งคอยต้อนไม่ให้จามรีแตกฝูง"
"ต้องบอกว่าวิถีชีวิตของเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเราไปอยู่อาจจะไม่สบาย ถามว่าทำไมถึงไม่สบาย ? ส่วนใหญ่เขากินแต่อาหารที่เป็นเนื้อ ร่างกายของพวกเราน่าจะไม่ชิน แต่ว่าทางด้านโน้นส่วนใหญ่จะเป็นผลไม้ คือผักมีบ้างนิดหน่อย ส่วนผลไม้มีเยอะ ผลไม้ส่วนใหญ่ที่เขาปลูกที่เห็นอยู่มีแอปเปิ้ล พลัม ทับทิม องุ่น ซึ่งองุ่นของเขากลิ่นหอมมาก แล้วรสชาติไม่หวานจัด น้องเล็กไปขอซื้อองุ่นเขากะละมังหนึ่ง แค่ ๑๒ หยวนเอง ตีเป็นเงินไทยก็ ๖๐ บาท อาตมากินอยู่ ๒ วันครึ่งกว่าจะหมด..!"
"นอกจากนั้น Eric ก็ไปซื้อแอปเปิ้ลมาลังหนึ่ง พอพวกเราขึ้นก็หยิบลูกหนึ่ง ลงก็หยิบลูกหนึ่ง ขนาดนั้นยังกินอยู่หลายวันกว่าจะหมด แล้วแถวนั้นมีตู้เย็นฟรี ก็คือผลไม้เย็นเฉียบแข็งโป๊กอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากอากาศอุณหภูมิต่ำมาก จะกินแต่ละทีต้องทำพิธีกรรมมานั่งเสกนั่งเป่าให้อุ่นขึ้นมาหน่อยถึงจะแทะเข้า..! เพราะฉะนั้น..พวกเราหากต้องไปอยู่ที่โน่นก็คงจะต้องเปลี่ยนวิธีการกิน ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะว่าเราไม่คุ้นชินกับอาหาร
ตอนช่วงกลางวันเข้าภัตตาคารหรูมาก ชื่อว่าซื่อหยาหยวน แปลว่า สวนของนายท่านคนที่สี่ อาหารของเขาก็ตามหลักเลย คือใส่พริกมาก่อน และร้านนี้เอาข้าวใส่ถังไม้มา เป็นถังไม้ซึ่งพวกรุ่นหลัง ๆ อย่างของเราไม่ค่อยได้เห็น ในเมืองไทยน่าจะมีคนเคยเห็นบ้าง อาตมาเด็ก ๆ นี่ถังไม้ใช้งานหลากหลายมาก เป็นไม้เป็นชิ้น ๆ ที่เข้าลิ้นกัน เสร็จแล้วก็มีเหล็กรัด ถึงเวลาเทน้ำลงไป ไม้โดนน้ำแล้วพองบีบกันแน่น ทำให้บรรจุน้ำได้
แต่ที่ประเทศจีนเขาเอาถังไม้ใบเล็กใส่ข้าวสุกมา ก็คงเอาลงไปนึ่งทั้งถังอย่างนั้น ข้าวปลาอาหารตามแบบของจีนก็คือ ทุกมื้อจะต้องมีน้ำแกงจืดมา ๑ ชาม จืดสนิท จืดไม่มีรสชาติอะไรเลย เหมือนกับว่าเขาใส่ผักลงไปเฉย ๆ ต้มน้ำแล้วเอาขึ้นมาอย่างนั้น ไม่รู้จักใช้น้ำต้มกระดูกหรืออะไรเลย พวกเรากินอาหารรสจัดแบบคนไทย ไปที่โน่นก็เกือบจะบรรลุกันเลย..!"
"ซื่อหยาหยวนอยู่ใกล้ ๆ ซุ้มประตูเข้าเมืองหลี่ถัง ก็แปลว่าเราหยุดกินอาหารกลางวันกันที่เมืองหลี่ถัง ตัวซุ้มประตูเมืองห่างจากภัตตาคารประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร อาตมาเดินไปถ่ายรูป ปรากฏว่าเจอรถจอดขวางทาง แล้วเจ้าของรถยืนฉี่อยู่ข้างถนนหน้าตาเฉย..! เข้าท่าดีเหมือนกัน ก็คือถ้ากูยังไม่ไป คนอื่นก็ยังไม่ต้องไป ขอให้ฉี่เสร็จก่อนแล้วค่อยไปด้วยกัน ...(หัวเราะ)... เป็นอะไรที่ดูแล้วขำก็ขำ ถ้าเป็นบ้านเราคงได้ตีกันตาย
เสร็จจากอาหารกลางวันก็วิ่งย้อนกลับไปทางเดิม ผ่านช่องเขาเซี่ยกา ช่องเขาคาซาลา ไปหยุดพักเข้าห้องน้ำที่ช่องเขาสนเดี่ยว พวกเราก็ยอดฝีมือเหมือนเดิม พักเข้าห้องน้ำ ๑๕ นาที มีเวลาช็อปปิ้ง ๑๒ นาที..! โดยเฉพาะเริ่มฉลาดขึ้น ใครอยากได้อะไรที่เหมือน ๆ กันให้บอกกันไว้ ถึงเวลาซื้อหลายชิ้นจะต่อราคาได้มาก ถ้าหากว่าซื้อชิ้นเดียวก็ต่อราคาได้น้อย"
"พอออกจากช่องเขาสนเดี่ยวก็รถติด ติดชนิดไม่กระดิกเลย ๒๐-๓๐ นาที จนกระทั่งโชเฟอร์ทนไม่ไหว ซือฝู่ (คำเรียกโชเฟอร์แบบให้เกียรติ ประมาณว่ายกเป็นท่านอาจารย์) แกก็เดินลงไปดู แล้วมารายงานว่ามีอุบัติเหตุ พวกเราก็รอไปเถอะ ต้องบอกว่าพื้นที่ไกลขนาดนั้น ตำรวจจราจรจีนมาได้เร็วมาก ขนย้ายรถ ๒ คันที่ชนกันขวางทางออกไปได้ภายในครึ่งชั่วโมง ก็คือตั้งแต่รถเริ่มติดจนกระทั่งไปได้ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง พื้นที่ไกลขนาดนั้นเขามีความพร้อมในการที่จะแก้ไขปัญหา เป็นบ้านเราขนาดในกรุงเทพฯ ยังติดไปเถอะ เป็นชั่วโมงนั่นแหละ
คราวนี้เส้นทางที่วิ่งมา ของเราจะแยกไปเมืองซินตูเฉียว ไม่ได้วิ่งย้อนเส้นเดิมตลอด เพราะว่าเป็นทางลัดที่จะวนกลับไปทางเมืองเฉิงตูได้ ทางด้านซินตูเฉียวที่เราวิ่งไปมียอดเขาหิมะโผล่มา Eric บอกว่า “คงคาพีค” เราก็ว่า ตูฟังผิดหรือเปล่าวะ ? ปรากฏว่าเป็นยอดเขาชื่อคงคาจริง ๆ เป็นยอดเดียวในบริเวณนั้นทั้งหมดที่สูง ๗ พันกว่าเมตร แต่พวกเราไม่ได้ไป เพราะว่าอยู่นอกเส้นทางไปไกลมาก คือถ้าเห็นภูเขาโปรดทราบว่าใกล้ตา แต่ไกลตีน..! เห็นยอดเขาเหมือนกับอยู่ไม่ไกล แต่ต้องวิ่งรถไปเป็นวัน เขาก็เลยไม่ได้พาพวกเราไป นอกจากพามุดเข้าอุโมงค์วิ่งกลับเส้นทางไปพักที่โรงแรมในเมืองซินตูเฉียว"
"คราวนี้มีปัญหาก็คือ เราอยู่ในพื้นที่ความสูง ๔-๕ พันเมตรมาตลอด ลงมาถึงซินตูเฉียวประมาณ ๓,๘๐๐ เมตร อากาศ ๑๗ องศาเซลเซียส ร้อนเกือบตาย..! แล้วโรงแรมนี้ก็น่ารักมาก อาตมาเองเป็นพระ ไม่รู้ว่าเขาเจาะจงหรือเปล่า ? ส่งไปอยู่ชั้น ๓ ยังดีว่าแค่ ๓,๘๐๐ เมตร อากาศยังพอมีให้หายใจ แบกกระเป๋าขึ้นชั้น ๓ ได้แบบไม่ทรมานมากนัก..!
สรุปว่ามานอนที่ซินตูเฉียวอากาศไม่หนาวมาก นอนไม่หลับเพราะว่าร้อน รู้สึกว่าตัวเองชักจะบ้า ๆ บอ ๆ อากาศ ๑๗ องศาเซลเซียสแล้วดันร้อน..! โยมลองนึกถึง -๖ องศาเซลเซียส แล้วบวกให้เป็น ๑๗ ดูสิ อุณหภูมิต่างกันตั้ง ๒๐ กว่าองศาเซลเซียส ปกติต่างกันแค่ ๒-๓ องศาเซลเซียสก็รู้สึกร้อนแล้ว ดังนั้น..ตอนมหาเคไปเรียนอยู่ที่ไซบีเรีย บอกว่าอากาศ -๔๐ องศาเซลเซียส พอขึ้นมา -๒๐ องศาเซลเซียสนี่เหงื่อแตกพลั่กเลย ถ้าเราไปเจอ -๒๐ ก็ตายแล้ว กลางคืนอาตมาก็เลยมีปัญหาหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะว่าอากาศไม่เย็น"
"คราวนี้ด้วยความที่หลับ ๆ ตื่น ๆ จึงได้เจอหลวงปู่ใหญ่โลกอุดรท่านแวะมา ท่านก็อุตส่าห์ไปถึงแถวนั้นได้เหมือนกัน จะถามท่านว่านั่งเครื่องบินอะไรมาก็เกรงใจ..! ได้แต่กราบขอพรให้คณะของเราเดินทางสะดวกและปลอดภัย เวลาเจอพระเจอครูบาอาจารย์ อาตมาไม่ได้ขอมากหรอก ส่วนใหญ่ขอเผื่อคนอื่นเขา ตัวเองไม่ค่อยได้ขอ เพราะว่าไม่ค่อยจะห่วงตัวเอง
ก็เป็นอันว่าผ่านไปอีก ๑ วัน ไม่ค่อยมีอะไร ที่ไม่มีอะไรเพราะว่าย้อนทางเดิมไปเสีย ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยแยกจากเมืองเหล่าเก้อหล่าเซียง เพื่อไปเมืองซินตูเฉียว"
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
"อาตมาหลับไปหลังเที่ยงคืน เพราะว่าอากาศเย็นลงเร็วมาก ตอนเช้ามืดดูอุณหภูมิเหลือแค่ ๑ องศาเซลเซียส บ่ายกับเช้านี่ต่างกันเป็นสิบองศาเซลเซียส อาหารเช้าของโรงแรมก็เหมือนเดิมคือ ผัดผัก ข้าวต้ม หมั่นโถว ไข่ต้ม ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้เลย
วันนี้พวกเราเดินทางกันเร็วมาก เพราะว่ามัคคุเทศก์นัดเดินทาง ๐๗.๓๐ น. เนื่องจากว่าเราจะต้องข้ามภูเขาไปเมืองคังติ่ง จากเมืองคังติ่งวิ่งผ่านเมืองเทียนฉวน ทะลุไปเมืองหย่าอันกลับเมืองเฉิงตู ต้องกลับถึงเฉิงตูให้ได้ในวันนี้ ระยะทาง ๓๐๐ กว่ากิโลเมตร แล้วรถเขาให้วิ่งแค่ ๖๐ กม./ชม. แล้วมีกฎเกณฑ์ด้วยนะ ว่าคนขับขับต่อเนื่องได้กี่ชั่วโมงแล้วต้องหยุดพัก เราขับแทนก็ไม่ได้อีกด้วย ถึงเวลาคนขับก็จะหยุดพักของเขาเลย เราเองจะไปช็อปปิ้งหรืออะไรก็ไปเถอะ"
"เวลา ๐๗.๓๐ น. พวกเราพร้อม โชเฟอร์ก็พารถออกข้ามเขาไปเมืองคังติ่ง วิ่งไปได้หน่อยเดียวโชเฟอร์ถามว่าจะไปต่อไหม ? เพราะว่าหมอกลงหนักมาก มองทางไปข้างหน้าได้แค่ ๕-๖ เมตรเท่านั้น พวกเราทุกคนยืนยันว่าไปต่อ เขาก็เลยต้องวิ่งไป แล้วก็ถึงได้รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่อยากไป เพราะว่าพวกบรรดาใจร้อนเจอรถบรรทุกบ้าง เจอรถวิ่งช้าบ้าง เขาจะวิ่งสวนเลนมา ของเรายังไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้นก็เห็นรถอื่นชนกันอยู่กลางถนนหน้าบี้ไปแล้ว ยังดีว่ากฎหมายจีนให้ขับรถไม่เกิน ๖๐ กม./ชม. อุบัติเหตุก็เลยไม่หนักมาก ถ้าขับเร็วขนาดบ้านเราคงได้ตายกันนับศพไม่ถ้วน..!
ขนาดนั้นรถเรายังเกือบเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง เพราะพวกประเภทใจร้อนวิ่งแซงมา โชเฟอร์ก็เลยต้องอาศัยเสียงแตรไปตลอดทาง อาศัยแตรรถใหญ่ขู่เอาไว้ก่อนเพราะว่าเสียงดัง ถึงเวลาไม่ว่าจะเป็นทางโค้ง ทางลงเขา ทางอะไรก็บีบแตรไว้ก่อน"
"พวกเราไปถึงเมืองคังติ่งประมาณ ๐๙.๐๐ น. ตอนแรกก็สงสัยว่าเมืองอะไรมหึมามโหฬารขนาดนี้ ก็คืออยู่หลังเขาแล้วใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ ? ปรากฏว่าพวกคังติ่งเขาบอกว่า พวกซินตูเฉียวนั่นอยู่หลังเขา ส่วนพวกซินตูเฉียวก็บอกว่าพวกคังติ่งนั่นแหละอยู่หลังเขา เพราะว่าต่างคนต่างต้องข้ามเขาถึงจะไปหากันได้ ได้ข้อมูลนี้จากมัคคุเทศก์ แต่คราวนี้ข้อมูลจากมัคคุเทศก์นี่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอก เพราะว่าเขาพูดติดปากเลยว่า “I’m not sure.” ในเมื่อข้อมูลไม่แน่นอน แล้วจะให้เราเชื่อดีไหม
เขาบอกว่าคังติ่งเหมือนกับเมืองหลวงของเสฉวนตะวันตก เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเขตนั้นทั้งหมด เพราะฉะนั้น..ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลัก ๆ อย่างพวกหลี่ถัง รื่อหวา ซางตุย ซินตูเฉียว ย่าติง ล้วนแต่มีขนาดเล็กกว่าทั้งหมด แล้วก็ตามกฏของเขาก็คือ ขับรถ ๒ ชั่วโมง คนขับต้องได้พักครึ่งชั่วโมง พวกเรานอกจากเข้าห้องน้ำจ่ายเงินแล้วก็เดินสำรวจตลาด ไปเจอเนื้อจามรีสดมาก ประมาณว่าเขาเพิ่งจะถลกหนัง เนื้อเต้นดิก ๆ มาเลย"
"เวลาประมาณ ๐๙.๓๐ น. เราออกจากเมืองคังติ่ง โชเฟอร์เขาพาเราไปลองของใหม่ เป็นอุโมงค์ยังไม่เปิดใช้อย่างเป็นทางการ อุโมงค์ใหญ่มาก อย่างสั้น ๆ ก็ ๕-๖ กิโลเมตร อย่างยาว ๆ ก็ ๒๐ กว่ากิโลเมตร วิ่งเข้าอุโมงค์กันแบบต่อเนื่องเลย ก็คือหลุดจากอุโมงค์มา เห็นแดดได้ไม่เกิน ๑๐ วินาทีก็เข้าไปในอุโมงค์อีกแล้ว เขาบอกว่าเส้นทางนี้จะลัดกลับไปเฉิงตูได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าเส้นทางเก่า ๓ ชั่วโมง
อาตมาเห็นแล้วก็คิดว่า จีนนี่เขาทำอะไรเล็ก ๆ ไม่เป็น..ทำใหญ่มาก ลองคิดดูว่าอุโมงค์ใหญ่ขนาดรถ ๑๘ ล้อวิ่งสวนกันแล้วยังมีทางเหลือนี่ บ้านเราถ้าทำสักเส้นเดียวก็แย่แล้ว แต่นี่เขาทำไปกลับ ก็คือไป ๒ เลน กลับ ๒ เลน เป็นคนละอุโมงค์กัน แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ พอหลุดไปปลายอุโมงค์แล้วเจอโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ถึงได้เห็นว่าเขาทำงานเป็นระบบมาก ก็คือพอเขาเจาะภูเขาได้หินมา เขาก็ส่งเข้าโรงงานทำเป็นปูนซีเมนต์ แล้วเอามาก่อสร้างต่อ กลายเป็นว่าเขาไม่ได้ทำลายธรรมชาติ เพราะว่าอย่างเก่งก็ภูเขาเป็นรูอยู่หน่อยหนึ่ง ไม่ใช่อย่างบ้านเราที่ระเบิดกันแหลกลาญไปเลย"
"ตรงช่วงที่เป็นรอยต่อระหว่างภูเขาซึ่งก็คือเหวนั้นจะเป็นสะพาน บางแห่งนี่เสาสูง ๔๐-๕๐ เมตร มองลงไปแล้วใจหาย ซ้ำยังมีบางแห่งเป็นสะพานใหญ่เหมือนสะพานโกลเด้นเกตของสหรัฐอเมริกา น่าเสียดายที่อยู่ในภูเขา ถ้าอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ นี่คงจะเป็นแลนด์มาร์คได้เลย คราวนี้ด้วยความเมตตาของเจ้าที่ เนื่องจากว่ามีแต่มุดอุโมงค์ ออกมาแล้วก็มุดเข้าไปใหม่ ไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรให้จอด แม้กระทั่งส้วมระหว่างทางก็ไม่มี ท่านก็เลยให้ฝนตก ถ้าตกวันอื่นนี่เราเที่ยวไม่ได้ มาตกวันนี้มีปัญญาก็ตกไปเถอะ..!
ออกจากคังติ่งมาไม่นานก็ฝนตก ตกไปถึงเมืองเทียนฉวน จากเมืองเทียนฉวนตกไปจนถึงเมืองหย่าอัน พวกเราไปพักฉันเพลที่หย่าอันกัน ก็ต้องเดินเปียกกันครึ่งตัว ที่เดินเปียกครึ่งตัวเพราะว่าเขากางร่มมารับ เขาก็กางให้ตัวเองครึ่งหนึ่ง กางให้พวกเราครึ่งหนึ่ง เปียกกันคนละซีก แล้วจะกางทำไมวะ ? กางแล้วเปียกคนละซีก ...(หัวเราะ)... ที่เมืองหย่าอันเขาเลี้ยงเพลเรา ต้องบอกว่ากับข้าวมากกว่าที่คิด พวกเราเห็นมา ๔ อย่าง มีน้ำแกงด้วย ก็นึกว่าหมดแล้ว ปรากฏว่ากินไป ๆ อย่างที่ ๕ - ๖ - ๗ - ๘ ตามมา ดันไม่ได้เผื่อกระเพาะเอาไว้ ...(หัวเราะ)... ก็เลยกลายเป็นมื้อที่กับข้าวเหลือเยอะมาก"
"อิ่มแล้วเดินทางต่อ เข้าอุโมงค์บ้าง ลุยฝนบ้าง ในอุโมงค์เขาสวย ถึงเวลาเขาจะประดับไฟแพรวพราวไปหมด ตรงโน้นสีหนึ่ง ตรงนี้สีหนึ่ง ถาม Eric ที่เป็นมัคคุเทศก์ว่า ทำไมเขาต้องมีไฟสี ๆ ด้วย ? เขาบอกว่าให้คนขับรู้สึกไม่เบื่อ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหลับใน
พวกเราลุยฝนไปจนกระทั่งหลุดพ้นอุโมงค์มา เริ่มเข้าเมืองเฉิงตูก็รถติด เมืองใหญ่ ๆ นี่รถติดหนักมาก ไปถึงเฉิงตูประมาณ ๑๔.๓๐ น. คนขับรถเขามีงานอื่นรออยู่ ตอนแรกเขาบอกว่าจะพาเราไปส่งที่ช็อปปิ้งมอลล์เลย จะสังเกตว่าตั้งแต่เราออกเดินทางมา วันที่ ๑๖ จนถึง ๒๔ ไม่มีการช็อปปิ้งอย่างเป็นทางการ แต่วันนี้เขามีให้ช็อปปิ้งอย่างเป็นทางการด้วย"
"ตอนแรกเขาก็กะว่าจะพาพวกเราไปทิ้งไว้ที่ช็อปปิ้งมอลล์แล้วให้นั่งแท็กซี่กลับ ปรากฏว่าฝนตกหนัก ก็เลยทำให้เขาเปลี่ยนแผนใหม่ พาพวกเราไปส่งที่โรงแรมเอ๋อเหมย เก็บข้าวเก็บของ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วค่อยพาไปช็อปปิ้ง
ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น พอเข้าโรงแรมได้อาตมาก็ไม่ออกแล้ว ปล่อยคนอื่นเขาไปกันเอง ปรากฏว่าไปได้ดีมาก อาตมาคำนวณตามที่คนขับรถบอกว่า ช็อปปิ้ง ๒ ชั่วโมง ไปถึง ๑๕.๐๐ น. ก็น่าจะเสร็จ ๑๗.๐๐ น. เผื่อเวลาเดินทางกลับโรงแรมด้วยก็ ๑๗.๓๐ น. พอไปเคาะห้อง...เงียบ ๑๘.๓๐ น. ไปเคาะห้อง...เงียบ ๒๐.๐๐ น. ไปเคาะห้อง...เงียบ เออ...นอนก็ได้วะ..! คือตั้งใจจะไปขอโลชั่นมาทาแก้คัน ปรากฏว่าโยมไปแล้วเหมือนปล่อยเสือเข้าป่า ไปแล้วหายวับไปเลย วันรุ่งขึ้นได้ยินเล่าว่ากลับมา ๒๐.๓๐ น.
ตอนเช้าก็ไปถามว่าทำไมถึงช้า ? ได้คำตอบว่าฝนตก ลมแรง แล้วอากาศหนาวมาก ออกมารอแท็กซี่ได้พักหนึ่ง ทนหนาวไม่ไหวก็ผลุบกลับเข้าไปในห้างกัน พอกลับเข้าไปในห้างก็ประเภทว่าอยู่เฉย ๆ ก็น่ารำคาญจึงเดินดูของไปเรื่อย นึกขึ้นมาได้ก็โผล่ออกมาหาแท็กซี่ใหม่ แท็กซี่ยังไม่มาแถมยังหนาวก็กลับเข้าไปใหม่ ก็เลยนาน อาตมาจำขึ้นใจตั้งแต่ก่อนบวชแล้วว่า อย่าปล่อยผู้หญิงเข้าช็อปปิ้งมอลล์ ไม่ค่อยกลับง่าย ๆ หรอก..!"
"ตอนนั้นปล่อยคนอื่นเขาไป ส่วนตัวเองนอนภาวนา อยู่ ๆ ห้องก็สว่างขึ้น ๆ อาตมาก็เอ๊ะ..กลางวันแล้วหรือ ? เพิ่งภาวนาไม่นานเอง ปรากฏว่าแสงสว่างเป็นสีเขียวกับสีเหลือง ผสมผสานกันงามมาก ๆ ลองนึกถึงว่าแสงแดดเหลือง ๆ ถ้าส่องผ่านใบไม้อ่อนเขียว ๆ แล้วสวยแบบไหน ก็แบบนั้นแหละ
เสร็จแล้วก็มีรูปหลวงพ่อโตวัดเขาเล่อซานโผล่มา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นหลวงปู่แก่ ๆ ท่านบอกว่า ท่านชื่อ "ไห่ทง" เป็นผู้ที่แกะสลักหลวงพ่อโตที่เขาเล่อซาน ใช้เวลาแกะพระองค์นั้น ๗๑ ปี ไม่ใช่ท่านอายุ ๗๑ ปีนะ ท่านแกะภูเขาทั้งลูกเป็นพระ จึงถามท่านว่าแล้วรัศมีที่หลวงปู่ส่งมาแปลว่าอะไร ? ท่านบอกว่าท่านปรารถนาพุทธภูมิ เพิ่งได้แค่ ๒ สี ได้สีเขียวกับสีเหลือง ยังต้องหาอีก ๔ สี ได้ไม่ครบ ๖ สีก็ไม่สามารถที่จะไปรอตรัสรู้ได้
แสดงว่าหลวงปู่ยังต้องเกิดอีกเยอะ อาตมาขอพรท่านว่า นอกจากเดินทางกลับเมืองไทยสะดวกปลอดภัยแล้ว ไปถึงขอให้ทำงานได้ เพราะว่าถ้าอากาศเปลี่ยนมาก ๆ ไปแล้วนอนหงิกอยู่ทำงานไม่ได้ก็จะแย่ เนื่องจากว่างานกฐินปลดหนี้ยังรออยู่"
วันศุกร์ที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
"คราวนี้พอหลวงปู่ท่านมา อารมณ์ใจก็รื่นเริงบันเทิงใจมาก ภาวนาไม่นานลืมตาขึ้นมา อ้าว..ตีสาม ก็แปลว่าวันนี้คือวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ในเมืองจีนกัน ต้องเดินทางกลับแล้ว วันเสาร์ที่ ๒๖ ต้องไปสกลนครเตรียมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินปลดหนี้
โรงแรมเอ๋อเหมยที่เฉิงตูนั้น ถ้าใครไปอาตมาแนะนำให้พัก คือนอกจากที่พักจะดีมากแล้ว บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าเขาตักได้ไม่อั้น จะกินแบบจีนหรือฝรั่งก็มีทั้งนั้น แบบฝรั่งก็มีแซนด์วิช เค้ก ขนมปังปิ้ง มีอะไรสารพัด แบบจีนก็มีข้าวต้มทุกอย่างเลย ทั้งข้าวต้มเกาเหลียง ข้าวฟ่าง ถั่วไม่ทราบชนิดนำมาต้มเป็นข้าวต้ม เลือกเอาเลยว่าต้องการแบบไหน
อาตมาก็ประเภทเจ๊กปนลาว ถึงเวลาเอาขนมปังทาเนย แต่ก็เอาข้าวต้มด้วย ที่แนะนำเพราะว่าสถานที่ดีและอาหารก็ดี แต่เวลาลงไปอย่าลืมบัตรห้อง เพราะว่าเขาจะเอาบัตรของเราไปรูดผ่านเครื่องให้รู้ว่าเราเข้ามากินแล้ว ใครที่ไม่มีบัตรห้องก็แปลว่าเป็นตัวปลอมแอบเข้ามากิน"
"เสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นรถ โชเฟอร์พาวิ่ง วิ่งไป ๆ เราก็เอ๊ะ..นี่ทางออกนอกเมือง เพราะว่าวิ่งไปรถก็น้อยลง ปรากฏว่าพอถึงถนนสายหนึ่งเขาก็เลี้ยวเข้าไป ลักษณะเหมือนลานจอดรถเก่า ๆ อยู่หน้าตึกเก่า ๆ ที่หมดสภาพแล้ว
ถามเขาว่ามาทำอะไร เขาบอกว่าพามาซื้อของ จะให้ซื้ออะไร มีตึกร้างอยู่หลังหนึ่ง ปรากฏว่าไกด์เขาพาขึ้นไปชั้นที่ ๒ พอโผล่เข้าไปแล้วก็ตกใจ คือขนาดประมาณเซ็นทรัลเวสต์เกตบ้านเรา ซ่อนอยู่ในตึกร้าง สารพัดของที่ระลึก จะของกินของใช้อะไรก็มีหมด ไปยืนงง ๆ เพราะอาตมาเป็นคนเห็นของเยอะแล้วเลือกไม่ค่อยเป็น ปล่อยคนอื่นเขาเลือกกันไป
คราวนี้ด้วยความเคยชินจะถ่ายรูป อาเจ๊เขาบอกว่าอย่าถ่าย ถามไปถามมาได้ความว่าเป็นร้านที่แอบเปิดโดยที่รัฐบาลไม่รู้ ถ้าถ่ายรูปไปเดี๋ยวความลับแตกจะพาซวยกันหมด ก็คือบรรดาโชเฟอร์หรือไกด์เขาจะมีเส้นมีสายเกี่ยวกับพวกนี้อยู่ ถึงเวลาพาเราไปซื้อของดีราคาถูกได้โดยไม่เสียภาษี ดังนั้น..เพื่อความปลอดภัยก็ไม่ให้ถ่ายรูป"
"ซื้อเสร็จเอาข้าวเอาของไปเก็บก็ได้เวลาอาหารกลางวัน เขาบอกว่ามื้อนี้จะเลี้ยงอาหารขยะ ...(หัวเราะ)... พาไปกินแฮมเบอร์เกอร์ เจ้าประคุณเอ๋ย..แฮมเบอร์เกอร์อันหนึ่งเกือบจะเท่าจานบ้านเรา คนจีนทำไมกินข้าวกันเยอะขนาดนั้น ? ข้าวกล่องของเขาที่อาตมาเอามา ถ้าเป็นบ้านเราต้องกิน ๔ คนถึงจะหมดกล่อง แฮมเบอร์เกอร์ของเขาก็อันใหญ่ประมาณนั้นแหละ มีคนเดียวที่รู้เท่าทันคือหม่าม้า รู้ว่าพวกนี้ชิ้นใหญ่แน่เลยสั่งมาแต่ไก่ทอด..!
แล้วอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือ ร้านขายแฮมเบอร์เกอร์เขามีการส่งแบบเดลิเวอรี ปรากฏว่าผู้จัดการกำลังอธิบายพนักงานในร้านทั้งหมดอยู่ มีการฉายความรู้ต่าง ๆ ขึ้นจอโปรเจคเตอร์ให้ด้วย ใช้เวลานานเหมือนกัน พวกเราใช้เวลาในร้านเกือบ ๑ ชั่วโมง เขาก็ใช้เวลาใกล้เคียงกัน ประมาณว่าคุณไปส่งของแล้วมีปัญหาอะไรบ้าง ลูกค้ามีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ เขตไหนสั่งสินค้าของเรามากที่สุดทำนองนั้น พวกนี้เขาเก็บเป็นข้อมูล ถึงเวลาจะได้บริการลูกค้าได้"
"พอพวกเรากินเสร็จออกมาหารถ เขาบอกให้ไปรอที่ป้ายรถเมล์ เดี๋ยวรถจะวนมารับ อาตมาก็เลยไปรอรถเมล์ในนครเฉิงตูมา ปรากฏว่ารออยู่พักหนึ่งรถเมล์จริงผ่านไปหลายคันแล้ว รถของเราก็ยังไม่มา ไกด์ของเราโทรศัพท์ถามได้ความว่าลานจอดรถเดินไปอีกบล็อกหนึ่ง ก็เลยให้พวกเราเดินต่อไป ไปถึงรถเขาออกมาพอดีก็ขึ้น ไปส่งที่สนามบินเฉิงตู
อาตมาเองปลดข้าวของทุกอย่างที่อยู่ในตัวใส่กระเป๋า ขาไปน้ำหนักกระเป๋า ๖.๕ กิโลกรัม ไป ๑๐ วันนะ ขากลับของเพิ่มขึ้น น้ำหนัก ๖.๘ กิโลกรัม ได้เพิ่มมา ๓ ขีด..! ญาติโยมก็กระดี๊กระด๊าจะขอเฉลี่ยน้ำหนัก ปรากฏว่าทุกคนที่กระเป๋าใบยักษ์ ๆ ชั่งแล้วก็อยู่ระดับ ๒๑ กิโลกรัมเศษ ๆ เขาอนุญาตให้ ๒๐ กิโลกรัม แต่ถ้าไม่เกิน ๒๓ กิโลกรัมก็อนุโลมให้ ก็เลยมีเสียงร้องเย้กันขึ้นมาเพราะว่าผ่านทุกคน"
"ผ่านเครื่องเอ็กซเรย์มาเจอเด็ก ๆ ๔ คน หน้าตาคุ้น ๆ ปรากฏว่าเป็นเด็กนักเรียนของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยาที่วัดท่าซุง เขาได้ทุนไปเรียนที่ประเทศจีน ก่อนที่จะไปก็มาลาอาตมาที่นี่ ก็ยังบอกกับเขาว่า เดี๋ยวมีเวลาหลวงตาจะไปเยี่ยม ปรากฏว่าไม่กี่วันหลวงตาไปเยี่ยมเสียแล้ว ...(หัวเราะ)...
เด็ก ๆ เขาเอาของมาฝากหลวงตา มีแต่ของกิน ของที่เอามาฝากนี่ประมาณว่า ถ้าหลวงตาหลงอยู่ในเฉิงตูสักอาทิตย์หนึ่งก็อยู่ได้..! พยายามจัดใส่กระเป๋าที่ยังมีช่องว่างอยู่เยอะแยะ ใส่ไปใส่มาท้ายสุดต้องเอาบะหมี่กระป๋องคืนไปกระป๋องหนึ่ง ก็คือบะหมี่ชื่อว่ากระป๋อง แต่อาตมาอยากจะเรียกว่าบะหมี่ถัง เพราะว่ากระป๋องใหญ่มาก ...(หัวเราะ)... บอกเขาว่าเอากลับไปกินเอง หลวงตาเอาลงกระเป๋าไม่ได้
พอเช็คอินได้ตั๋วมาแล้วก็ไปรอที่ประตูหมายเลข ๑๐๓ จีนเขาสร้างสาธารณูปโภคทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถไฟ เครื่องบิน เขาเผื่ออีก ๒๐ ปีข้างหน้า ดังนั้น..สนามบินเขาเลยใหญ่มาก คาดว่าส่วนประตูที่ไม่เกินหมายเลข ๑๐๐ จะเป็นส่วนของผู้โดยสารในประเทศ พอไปถึงประตูรอขึ้นเครื่อง ทุกคนวางของ แล้วก็ซาวด์เสียงกันว่าใครจะเฝ้า ที่เหลือจะได้ไปช็อปปิ้ง สรุปว่าอาตมาก็จะไปเดินดูของเหมือนกัน ไม่ได้ซื้อหรอก แต่ไปดูเสียหน่อย ท้ายสุดทิดดอยเลยต้องเป็นผู้เสียสละเฝ้ากระเป๋า"
"อาตมาไปเดินดูของในร้าน พวกร้านที่เป็นเครื่องหยกกับวัตถุโบราณ เขาห้ามถ่ายรูป ซึ่งไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับอาตมาเลย เดินประกบขนาดไหนก็ถ่ายได้ เพราะเราต้องการเวลาแค่วินาทีเดียว พอเดินดูจนรู้ว่าของทุกชิ้นราคาแพงขนานแท้ก็กลับไปนั่งเฝ้ากระเป๋าบ้าง ปรากฏว่าอีกพักเดียวทิดเฟิร์สวิ่งมาตาม หลวงพ่อไปช่วยดูให้หน่อย ว่าของแท้หรือเปล่า ? แล้วที่แน่ ๆ ขอกู้เงินหลวงพ่อด้วย..! เงินไม่พอซื้อ เขาบอกราคามา ๔,๕๙๘ หยวน ก็เลยต้องไปดูให้เขา สรุปว่าเสียเงินแล้วค่อยกลับมานั่งได้
พวกเราขึ้นเครื่องที่สนามบินเฉิงตู กลับมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ ๑๗.๐๐ น. ความจริงได้กำไรมา ๑ ชั่วโมง เพราะเวลาบ้านเราช้ากว่าประเทศจีน ๑ ชั่วโมง ตอนที่เรามาถึงคือ ๑๘.๐๐ น. ของประเทศจีน แต่บ้านเราเป็นเวลา ๑๗.๐๐ น. เจ้าประคุณรุนช่องเอ๋ย...รถติดอย่าบอกใคร จากสนามบินสุวรรณภูมิวิ่งมาถึงบ้านเติมบุญที่นี่ใช้เวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง"
"มาถึงอันดับแรกเลยก็คือสรงน้ำ อาบน้ำเช็ดตัวเสร็จเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ...(หัวเราะ)... ดูอุณหภูมิบ้านเรา ๓๓ องศาเซลเซียส ตายละวา...อุณหภูมิต่างกันสุดขั้ว -๖ กับ ๓๓ ต่างกัน ๓๙ องศาเซลเซียส นั่งเหงื่อแตกพลั่กอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ส่วนที่เหลือใครมีเรี่ยวมีแรงก็ซักผ้า ส่วนอาตมาขอนอนดีกว่า เพราะว่ารุ่งขึ้นต้องเดินทางไปงานกฐินปลดหนี้ที่จังหวัดสกลนคร นอนเก็บแรงไว้ก่อน
สรุปว่าทริปนี้ประทับใจตรงที่ว่า ไปหาที่ตายตอนอายุ ๖๐ ปี แต่อุตส่าห์รอดมาได้ แล้วที่แน่ ๆ คือเจ้าที่ท่านจัดโปรแกรมได้สุดยอดมาก ทุกอย่างลงตัวเป๊ะ ๆ หมด อะไรที่อยากดูได้ดู อะไรที่อยากเห็นได้เห็น ท่านคงหวังจะให้เราไปใหม่ ส่วนเราก็คิดว่าไม่อยากจะไปอีก บรรยากาศแบบนี้ครั้งเดียวก็เกินพอกระมัง ...(หัวเราะ)..."
ถาม : ตกลงน้ำมนต์เอากลับมาได้ไหมคะ ?
ตอบ : เขาเปลี่ยนไปใส่ขวดแชมพู หรือขวดสบู่เล็ก ๆ ของโรงแรม ซึ่งสามารถนำขึ้นเครื่องได้ ในเมื่อเปลี่ยนไปใส่ขวดเล็ก ขนาดไม่เกินที่เขาห้ามก็เลยผ่านได้
ส่วนอาตมาเองนี่ลำบาก สนามบินเขาตรวจเข้มงวดมาก ขนาดพระให้เอาจีวรออก อาตมาก็ว่าเอาออกหมดทุกอย่างแล้ว คราวนี้กำไลงาช้างวงเบ้อเริ่มเลย เขาถามว่าอะไร ก็ตอบว่ากำไลงาช้าง เขาบอกให้เอาไปสแกน ก็ส่งไปสแกนแต่โดยดี ซึ่งผ่านมาแบบงง ๆ คือสงสัยว่าเขาเห็นเป็นอะไรถึงได้ปล่อยผ่านมา แต่ก็ไม่อยากที่จะสงสัย ฝีมือท่านทำได้ก็ให้ท่านทำไปเถอะ เรามีหน้าที่รับอย่างเดียว แต่หวังว่าพวกเราไปแล้วจะไม่ซื้อมา มีสิทธิ์ติดคุกหัวโต..!
ถาม : กำไลใหญ่ไหมคะ ?
ตอบ : ใหญ่มาก มาบ้านเราราคาคงไม่หนี ๗-๘ หมื่นบาท อยู่ที่โน่นเขาบอกราคามา ๔,๙๐๐ กว่าหยวน เขาขายเป็นกรัมตามน้ำหนัก เฉลี่ยแล้วกรัมหนึ่งประมาณ ๒๐ หยวน ประเทศจีนโดนต่างชาติเขาแอนตี้เรื่องที่ยังมีการใช้วัสดุจากงาช้าง ใช้ซากสัตว์ในการทำสมุนไพรต่าง ๆ
ที่แน่ ๆ ก็คือญาติโยมเห็นอาตมาโดน รปภ.สาวจีนลูบทั้งตัวแล้วบอกว่าขนลุกแทน เขาไม่สนใจว่าพระหรือไม่พระ เขาตรวจอาวุธอย่างเดียว ถึงเวลาก็ลูบแทบจะหัวจรดเท้าว่าพกอะไรมาบ้างหรือเปล่า โยมพอเห็นเขาบอกให้เอาผ้าจีวรออก แต่ละคนบ่นกันใหญ่ ขนาดพระยังไม่เว้นเลย เพราะฉะนั้น..ที่เหลือก็ถอดเสียดี ๆ ถ้าขนาดพระเขายังไม่เว้นแล้วละก็..!
:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย นายกระรอก และรัตนาวุธ
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.