เถรี
12-01-2019, 09:23
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ของพวกเรา ซึ่งโดยปกติแล้ววันเดือนปีที่ผ่านไปนั้น แต่ละวันก็ไม่ได้มีความต่างอะไร เพราะว่านำพาชีวิตของเราให้ก้าวเข้าใกล้ความตายไปเรื่อย ๆ
ดังนั้น..นักปฏิบัติที่ดีจึงต้องทรงความไม่ประมาทอยู่เป็นนิจ พยายามที่จะรักษา กาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในกรอบของศีล ของสมาธิ ของปัญญา เพื่อที่สภาพจิตจะได้เคยชินกับความดี ถ้าหากว่าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี เกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม สภาพจิตที่เคยชินกับความดี ก็ย่อมนำเราไปสู่สุคติ หรือว่าถ้าหากว่าเราไม่นิยมร่างกายนี้ ไม่นิยมการเกิด ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้
ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นวันใหม่ เดือนใหม่ ปีใหม่อย่างไร สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้วก็เหมือนกัน คือเราก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา เราก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา ดังที่ในบาลีกำหนดให้บรรพชิตคือนักบวช พิจารณาเนือง ๆ ว่า กะถัมภูตัสสะ เม รัตตินทิวา วีติปะตันติ วันคืนล่วงไป ๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ เป็นการเตือนสติตัวเราให้รู้ว่า บัดนี้ปีเก่าผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้ว เราแก่ลงไปอีกหนึ่งปี เราเข้าใกล้ความตายเข้าไปอีกหนึ่งปี ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริงก็จะรู้สึกว่านานเกินไป มากเกินไป มองภาพรวมกว้างเกินไป
นักปฏิบัติที่แท้จริงต้องเอาเฉพาะตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ก็คือชั่วลมหายใจเข้าออกตรงหน้า ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออก เราก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้า เราก็ตายอีกเช่นกัน นักปฏิบัติที่ดีจึงต้องเร่งรัดตนเองอยู่เสมอ ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองอยู่เสมอ ก็คือ กาย วาจา ของเรานี้ ขัดเกลาด้วยศีล ใจของเราขัดเกลาด้วยสมาธิและปัญญา เพื่อที่จะชำระจิตของเราให้ผ่องใสจากกิเลส
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ของพวกเรา ซึ่งโดยปกติแล้ววันเดือนปีที่ผ่านไปนั้น แต่ละวันก็ไม่ได้มีความต่างอะไร เพราะว่านำพาชีวิตของเราให้ก้าวเข้าใกล้ความตายไปเรื่อย ๆ
ดังนั้น..นักปฏิบัติที่ดีจึงต้องทรงความไม่ประมาทอยู่เป็นนิจ พยายามที่จะรักษา กาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในกรอบของศีล ของสมาธิ ของปัญญา เพื่อที่สภาพจิตจะได้เคยชินกับความดี ถ้าหากว่าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี เกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม สภาพจิตที่เคยชินกับความดี ก็ย่อมนำเราไปสู่สุคติ หรือว่าถ้าหากว่าเราไม่นิยมร่างกายนี้ ไม่นิยมการเกิด ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้
ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็นวันใหม่ เดือนใหม่ ปีใหม่อย่างไร สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้วก็เหมือนกัน คือเราก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา เราก้าวเข้าไปหาความตายอยู่ตลอดเวลา ดังที่ในบาลีกำหนดให้บรรพชิตคือนักบวช พิจารณาเนือง ๆ ว่า กะถัมภูตัสสะ เม รัตตินทิวา วีติปะตันติ วันคืนล่วงไป ๆ เรากำลังทำอะไรอยู่ เป็นการเตือนสติตัวเราให้รู้ว่า บัดนี้ปีเก่าผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้ว เราแก่ลงไปอีกหนึ่งปี เราเข้าใกล้ความตายเข้าไปอีกหนึ่งปี ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริงก็จะรู้สึกว่านานเกินไป มากเกินไป มองภาพรวมกว้างเกินไป
นักปฏิบัติที่แท้จริงต้องเอาเฉพาะตอนนี้ เดี๋ยวนี้เท่านั้น ก็คือชั่วลมหายใจเข้าออกตรงหน้า ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออก เราก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้า เราก็ตายอีกเช่นกัน นักปฏิบัติที่ดีจึงต้องเร่งรัดตนเองอยู่เสมอ ขัดเกลา กาย วาจา ใจ ของตนเองอยู่เสมอ ก็คือ กาย วาจา ของเรานี้ ขัดเกลาด้วยศีล ใจของเราขัดเกลาด้วยสมาธิและปัญญา เพื่อที่จะชำระจิตของเราให้ผ่องใสจากกิเลส