เถรี
12-08-2018, 18:17
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา ส่วนคำภาวนานั้น จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่อยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ หลายท่านปฏิบัติธรรมมานาน แต่ละคนนับเป็น ๑๐ ปี แต่หาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้
การหาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้นั้น เกิดจาก ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก คือ ทำเกิน แบบเดียวกับที่อาตมาปฏิบัติอยู่ ๓ ปีไม่ได้อะไรเลย เพราะอยากได้มากจนเกินไป สาเหตุที่ ๒ คือ ทำขาด เวลาทั้งวันเราปล่อยให้สภาพจิตของเราโดนกิเลสกิน มากกว่าที่จะชำระจิตของตนให้ผ่องใส อย่างเช่นว่าเราเจริญกรรมฐานตรงนี้จนถึง ๑ ทุ่ม เราก็ได้แค่ไม่กี่นาที แต่หลังจากนี้เราปล่อยกำลังใจของเราทิ้งไปเลย โดยที่ไม่ได้รักษาอารมณ์กรรมฐานนั้นเอาไว้ ก็แปลว่าระยะเวลาที่สภาพจิตสะสมความดีมีน้อย สภาพจิตที่ไหลไปตามกระแสกิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง มีมากกว่ามาก
การที่เราปฏิบัติแล้วจะทำให้สภาพจิตของเราทรงความดีไว้ได้ ก็แปลว่าเราจะต้องรู้วิธีที่จะประคับประคองรักษาสภาพจิตของเราให้มีความผ่องใส ให้มีความหนักแน่นอยู่กับอารมณ์ปฏิบัติเช่นเดียวกับตอนที่เรานั่งภาวนา เพราะว่าการภาวนาหวังความหลุดพ้นของพวกเรานั้นเปรียบเสมือนการว่ายทวนน้ำ เมื่อเราว่ายทวนน้ำมาครึ่งชั่วโมง ถึงเวลาเลิกปฏิบัติแล้วเราก็ปล่อยลอยตามน้ำไปเป็นวันเป็นคืน
ลองนึกถึงสภาพความจริงว่า เราตะเกียกตะกายว่ายทวนน้ำครึ่งชั่วโมง แล้วระยะเวลาที่เหลือเราปล่อยให้ลอยตามน้ำไป ถ้าวันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง ก็แปลว่าเราลอยตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมงครึ่ง แล้วเราจะเอาความก้าวหน้ามาจากไหน ? ดีไม่ดีก็หลุดปากอ่าวออกทะเลไปเลย
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่อยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ หลายท่านปฏิบัติธรรมมานาน แต่ละคนนับเป็น ๑๐ ปี แต่หาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้
การหาความก้าวหน้าในการปฏิบัติไม่ได้นั้น เกิดจาก ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก คือ ทำเกิน แบบเดียวกับที่อาตมาปฏิบัติอยู่ ๓ ปีไม่ได้อะไรเลย เพราะอยากได้มากจนเกินไป สาเหตุที่ ๒ คือ ทำขาด เวลาทั้งวันเราปล่อยให้สภาพจิตของเราโดนกิเลสกิน มากกว่าที่จะชำระจิตของตนให้ผ่องใส อย่างเช่นว่าเราเจริญกรรมฐานตรงนี้จนถึง ๑ ทุ่ม เราก็ได้แค่ไม่กี่นาที แต่หลังจากนี้เราปล่อยกำลังใจของเราทิ้งไปเลย โดยที่ไม่ได้รักษาอารมณ์กรรมฐานนั้นเอาไว้ ก็แปลว่าระยะเวลาที่สภาพจิตสะสมความดีมีน้อย สภาพจิตที่ไหลไปตามกระแสกิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง มีมากกว่ามาก
การที่เราปฏิบัติแล้วจะทำให้สภาพจิตของเราทรงความดีไว้ได้ ก็แปลว่าเราจะต้องรู้วิธีที่จะประคับประคองรักษาสภาพจิตของเราให้มีความผ่องใส ให้มีความหนักแน่นอยู่กับอารมณ์ปฏิบัติเช่นเดียวกับตอนที่เรานั่งภาวนา เพราะว่าการภาวนาหวังความหลุดพ้นของพวกเรานั้นเปรียบเสมือนการว่ายทวนน้ำ เมื่อเราว่ายทวนน้ำมาครึ่งชั่วโมง ถึงเวลาเลิกปฏิบัติแล้วเราก็ปล่อยลอยตามน้ำไปเป็นวันเป็นคืน
ลองนึกถึงสภาพความจริงว่า เราตะเกียกตะกายว่ายทวนน้ำครึ่งชั่วโมง แล้วระยะเวลาที่เหลือเราปล่อยให้ลอยตามน้ำไป ถ้าวันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมง ก็แปลว่าเราลอยตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมงครึ่ง แล้วเราจะเอาความก้าวหน้ามาจากไหน ? ดีไม่ดีก็หลุดปากอ่าวออกทะเลไปเลย