PDA

View Full Version : เก็บตกงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑


เถรี
23-05-2018, 00:17
การทำบุญ พวกเราได้บุญตั้งแต่ตอนที่ตั้งใจทำแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องรอให้พระท่านรับกับมือ ต้องรอให้พระท่านใช้ให้เห็นแล้วเราถึงจะได้บุญ ถ้าลักษณะนั้นจะได้บุญน้อยด้วย เพราะว่าพวกเราอุเบกขาในการทำบุญไม่เป็น

ทำบุญให้เป็นบุญก็คือทำแล้วก็แล้วกัน เขาเรียกว่ามีอุเบกขา ถ้าอย่างนั้นจะเป็นกำลังใจสูงสุดในการทำบุญ แต่ถ้าทำแล้วยังต้องไปตรวจสอบว่าท่านใช้ของเราหรือเปล่า ? ท่านรับของเราหรือเปล่า ? ถ้าอย่างนั้นเป็นกำลังใจที่ต่ำมาก อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็พลอยน้อยไปด้วย

เถรี
23-05-2018, 00:18
ท่านเจ้าของรถยนต์โปรดทราบ บนลานธรรมที่เขาปูตัวหนอนเอาไว้นั้น ไม่อนุญาตให้จอดรถเพราะว่าไม่ใช่ที่จอด มาถึงแล้วท่านมักง่าย คิดว่าตัวเองบารมีสูง มีที่จอดให้ โปรดคิดเสียใหม่ว่าเวลาขึ้นไปจอด ถ้าพื้นยุบเสียหาย ทางวัดก็ต้องจัดการซ่อมใหม่ทุกครั้ง ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่จะผลักภาระการติดหนี้สงฆ์ให้กับโยมไป

เถรี
23-05-2018, 00:19
งานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ ดับเรื่องร้อนภายในประเทศให้ เพราะฉะนั้น...ถ้าช่วงระยะ ๓ วัน ๗ วันนี้ฝนมากหรือหนาวขึ้นมากะทันหันก็อย่าได้สงสัย ขอให้รู้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา หลายท่านมาแล้วก็ว่าทางวัดยังหนาวอยู่ ความจริงแล้วก็ร้อนตับแตกพอกัน

เถรี
23-05-2018, 00:21
(พูดถึงเรื่องการแบ่งปันที่นั่งในศาลา) ต้องบอกว่าเสียแรงที่มาวัด ยังแบกเอากิเลสมาท่วมหัว ทั้งดื้อ ทั้งรั้น บอกอะไรไม่เคยฟัง จะบอกว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอนก็ไม่ใช่ ท่านคงสอนจนปากฉีกถึงหูแล้วแต่พวกเราก็ไม่ฟังอยู่ดี

เถรี
23-05-2018, 00:24
งานไหว้ครูประจำปีของทางวัดท่าขนุนนั้น เป็นงานไหว้ครูตามสายกรรมฐานของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งสืบทอดมาถึงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของอาตมา ท่านสั่งไว้เลยว่า ในแต่ละปีให้จัดงานไหว้ครูตามสายกรรมฐานของเราด้วย เนื่องเพราะว่าโดยปกติแล้วการเจริญกรรมฐาน จะมีการไหว้ครูด้วยธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม ดอกไม้ ๓ สี และเงินบูชาครู ๑ สลึง ซึ่งถ้าเราทำตามก็จะมีความคล่องตัวในการเจริญกรรมฐาน เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านแผ่บารมีมาช่วย

แต่สำหรับพวกเราที่เจริญกรรมฐานเช้า กลางวัน เย็นเป็นปกติ จะให้จัดเครื่องบูชาครูแบบนั้นทุกวันทุกเวลาก็เป็นภาระหนัก ท่านจึงให้จัดงานไหว้ครูประจำปีทีเดียว โดยระบุไว้ว่า ถ้ามีวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนอะไรก็ได้ ให้จัดงานไหว้ครูในวันนั้น ถ้าหากว่าปีนั้นไม่มีวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ ให้จัดไหว้ครูในวันวิสาขบูชา ถ้าหากว่าวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำและวันวิสาขบูชาติดภารกิจสำคัญ ก็ให้จัดงานไหว้ครูประจำปีในวันมาฆบูชา

เถรี
23-05-2018, 00:26
นี่คือสิ่งที่ปฏิบัติกันมาตามสายกรรมฐานของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคและหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง ซึ่งถ้าหากว่าเป็นวาระที่สมควร พระท่านก็จะสั่งให้มีการเป่ายันต์เกราะเพชรไปด้วย ซึ่งการไหว้ครูนั้น ไม่ว่าท่านจะมาจากสายกรรมฐานหรือวิชาการอะไรก็แล้วแต่ ที่นี่ไหว้ครูใหญ่ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมา ตลอดถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ พระพรหม เทวดาทุก ๆ พระองค์ ฤๅษีทุกตนที่เป็นครูบาอาจารย์สืบ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้นท่านจะมาจากสายกรรมฐานหรือสายวิชาการใดก็สามารถร่วมงานครั้งนี้ได้ โดยมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอกัน

การไหว้ครูนั้น โดยปกติแล้ว สายวิชาการอื่น ๆ เขามีการไหว้ครูพ่อปู่ฤๅษี ๑๐๘ ตน มีการไหว้ครูพ่อแก่ มีการไหว้ครูพระพิฆเณศวร์ เทพเจ้าแห่งศิลปกรรม มีการไหว้ครูพระวิษณุกรรมซึ่งเป็นครูช่าง มีการไหว้ครูพระพิราพซึ่งเป็นครูการแสดงทุกแขนง ไม่ว่าท่านจะมาทางด้านไหนก็ตาม สามารถไหว้ครูรวมกันที่นี่ได้ ซึ่งเครื่องบวงสรวงของเราจัดเป็นชุดใหญ่สูงสุดอยู่แล้ว

เครื่องบวงสรวงในครั้งนี้ก็ยังคงได้รับความเมตตาจากพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโมพร้อมด้วยคณะพระภิกษุและลูกศิษย์ ร่วมกันจัดถวายให้กับทางวัดท่าขนุนเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา ซึ่งในส่วนนี้ท่านทั้งหลายก็ถือว่ามีส่วนร่วมในกองบุญการกุศลครั้งนี้กับพระมหานันทวัฒน์ท่านด้วย

เถรี
24-05-2018, 19:09
สิ่งหนึ่งที่อาตมาอยากจะทำมากที่สุดก็คือ ครอบครูการเป่ายันต์เกราะเพชรต่อให้กับพระภิกษุที่เป็นทั้งสหธรรมมิกหรือลูกศิษย์ แต่ยังไม่ได้รับคำสั่งจากครูบาอาจารย์ว่าให้ทำได้ ที่น่าเสียดายก็เพราะว่าเพื่อนสหธรรมมิกหลายท่านมีความสามารถ มีคุณสมบัติที่พอเพียง ถ้าหากว่าได้รับการครอบครูไป ถึงเวลาได้สงเคราะห์แก่ญาติโยมบริเวณที่ใกล้เคียงกัน ก็ไม่ต้องเดินทางไกลมาถึงวัดท่าขนุนแห่งนี้

การครอบครูสำหรับการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอนแรกท่านประกาศให้พระทั้งวัดเข้ารับการครอบครูทั้งหมด แต่ทว่ากรรมการสงฆ์ในช่วงนั้นมีความเห็นร่วมกันว่า การเป่ายันต์เกราะเพชรควรเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อฤๅษีแต่เพียงรูปเดียว ลูกศิษย์ไม่บังควรไปวัดรอยเท้า จึงมีคำสั่งระงับไม่ให้ทำการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชร

แต่อาตมาถือว่าคำสั่งของหลวงพ่อเป็นใหญ่ จึงดื้อทำเครื่องบูชาครูเพื่อรับการครอบครูเป่ายันต์ ก็ปรากฏว่าโยมศุภาพร ปุษยะนาวิน อดีตภรรยาของหลวงตาวัชรชัย ท่านเห็นว่าอาตมายังพรรษาน้อยมาก ตอนช่วงนั้นเพิ่งได้ ๗ พรรษาเท่านั้น ถ้าดื้อทำลักษณะฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการสงฆ์ อาจจะโดนไล่ออกจากวัดได้ จึงได้บอกว่าจะทำขันครูเผื่อพระผู้ใหญ่ที่รับใช้รอบข้างพระเดชพระคุณหลวงพ่อในช่วงนั้นด้วย จึงทำไป ๙ ชุดด้วยกัน ซึ่งขณะนี้แทบจะไม่เหลือติดวัดแล้ว

บุคคลที่ได้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ที่สึกหาลาเพศไปแล้วก็มี

พระสมุห์บัญชา สุขปญฺโญ หรือ นายบัญชา ธไนยสวรรย์ พระอนุสาวนาจารย์ของอาตมา ๑

พระอภิชัย สุธมฺมธมฺโม หรือ นายอภิชัย นุตาลัย ๑

พระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล หรือทิ นายชาติชาย ลือพาณิชย์กุล ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ๑

ส่วนที่ออกนอกวัดมาก็มี หลวงตาวัชรชัย อินทวํโส หรือ ท่านพระครูภาวนาพิลาศ วัดเขาวง ๑

พระปลัดวิรัช โอภาโส วัดธรรมยาน จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑

อาตมาเอง พระครูวิลาศกาญจนธรรม เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ๑

และที่เสียชีวิตไปแล้วก็คือพระใบฏีกาประทีป อตฺถทสฺสี ๑

ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล หรือ หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ พระกรรมวาจาจารย์ของอาตมาอีก ๑

โยมจะเห็นว่าในวัดเหลืออยู่แค่หนึ่งเดียว เป็นใครให้ไปเดาเอาเอง แต่ไม่ใช่เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน

เถรี
24-05-2018, 19:12
ดังนั้น ในบรรดาผู้ที่ได้รับการครอบครูและเป่ายันต์เกราะเพชรทั้งหมดนั้น ก็มีแต่อาตมาที่ได้รับคำสั่งจากครูบาอาจารย์หรือจากพระท่านให้จัดพิธีกรรมนี้ ก็ยังสงสัยว่าทำไมเป็นการรับคำสั่งให้จัดจากท้ายขึ้นมา ? เพราะว่าในจำนวนที่ครอบครูรับการเป่ายันต์ฯ ทั้งหมดนั้น อาตมาเป็นอันดับที่ ๘ คืออาวุโสพรรษาเกือบจะน้อยที่สุด มีทิดชาติชายซึ่งเป็นรุ่นน้องท่านเดียวซึ่งได้สึกหาลาเพศไปแล้ว นั่นเป็นผู้ที่อาวุโสพรรษาน้อยที่สุดในชุดนั้น

ก็แปลว่าบุคคลที่ได้รับการครอบครูพรรษามากที่สุดก็มรณภาพ พรรษาน้อยที่สุดก็สึกหาลาเพศไป ระหว่างกลาง ๆ ก็มีทั้งที่ออกจากวัดไป และมีทั้งที่สึกหาลาเพศไปมาก ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ อาตมาเองก็กำลังรอด้วยใจจดใจจ่อ ว่าเมื่อไรจะมีคำสั่งให้ครอบครูได้ เมื่อถึงเวลา ถ้าท่านไม่ได้เจาะจงว่าให้ใครบ้าง ก็จะประมาณว่าใครมาจะจับครอบครูให้หมด อย่างน้อย ๆ สายวิชาการนี้จะได้ไม่สูญหายไปไหน

สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ จะต้องฝึกฝนในเรื่องของทิพจักขุญาณให้มีความชัดเจนแจ่มใสให้มากที่สุด ญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ จะเห็นว่าอาตมาสอนให้จับภาพพระ บังคับให้ภาพพระใหญ่เล็ก สว่างมาก สว่างน้อยอยู่ทุกครั้ง ขอให้รู้ว่านั่นเป็นพื้นฐานของอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เลย ซึ่งท่านทั้งหลาย บางท่านก็รำคาญว่า มากี่ครั้งก็สอนแค่นี้ อาตมาก็อยากจะบอกว่า "ก็กูรู้อยู่แค่นี้...!"

ในส่วนนี้ท่านทั้งหลายถ้าฝึกฝนเอาไว้ ในความเป็นพระของเรา เมื่อถึงเวลา มีความคล่องตัว เห็นผี เห็นเทวดาได้ชัดเจน ติดต่อกับพระท่านได้ชัดเจน ครูบาอาจารย์สั่งอะไรก็สามารถรับได้ เราก็สามารถที่จะรับการครอบครูแล้ว ถึงเวลาก็ทำหน้าที่ตามที่พระท่านสั่งได้ เพราะว่าการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ท่านสั่งเป็นคำขาดเอาไว้ว่า

อันดับแรก ให้ทำเฉพาะในวัดที่ตนเองอยู่เท่านั้น แปลว่า ไม่สามารถเดินสายรับจ้างเป่ายันต์เกราะเพชรได้ เหมือนกับที่หลาย ๆ ท่านทำกัน

ประการที่สอง ต้องใช้ทิพจักขุญาณติดต่อกับพระท่านโดยตลอด ท่านสั่งแค่ไหนให้ทำแค่นั้น อย่าใช้กำลังของตัวเองเป็นอันขาด ท่านบอกว่าถ้าใช้กำลังของตัวเองจะได้ผลไม่เกินสองเปอร์เซ็นต์

ประการสุดท้ายก็คือ ให้ทำเพื่อสงเคราะห์ญาติโยมเท่านั้น แปลว่า ไม่มีการเรียกร้องค่าบูชาครูหรือค่าแรงใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าญาติโยมเต็มอกเต็มใจทำบุญมา ก็ยินดีรับเอาไว้ แต่ถ้าโยมเขาไม่ทำบุญด้วยก็ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไร เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ท่านให้ทำเพื่อเป็นการสงเคราะห์แก่คนหมู่มากเท่านั้น

เถรี
24-05-2018, 19:14
โดยเฉพาะบ้านเราเมืองเราช่วงนี้ สถานการณ์ประเทศชาติค่อนข้างจะคับขัน อาตมาเองก็ต้องการกำลังใจจากญาติโยมหมู่มาก ซึ่งถ้ากำลังใจเรารวมเป็นหนึ่ง ก็จะมีพลังมหาศาล สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุร้ายบางอย่างให้กลายเป็นดี เหตุร้ายที่หนักก็กลายเป็นเบา เหตุร้ายที่เบาก็กลายเป็นหาย

อาตมาก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมาย ก็แค่อยากจะเปลี่ยนสถานการณ์ประเทศชาติของเราจากร้ายให้กลายเป็นดี ถ้าไม่สามารถจะเปลี่ยนสถานการณ์ประเทศชาติจากร้ายกลายเป็นดีได้ ขอเปลี่ยนแค่คณะรัฐบาลได้ไหม..?! ซึ่งเรื่องนี้ถึงเวลาญาติโยมก็จะเห็นเอง

เพราะว่าการเป่ายันต์เกราะเพชรก็ดี การบวงสรวงไหว้ครูก็ดี เมื่อถึงเวลาบารมีพระท่านสงเคราะห์มา และพรหมเทวดาท่านจะนำเอากำลังพวกเราที่มุ่งมั่นเป็นหนึ่งเดียวไปใช้ในการเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งสภาพดินฟ้าอากาศก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย อาตมาถึงได้บอกว่าถ้า ๓ วัน ๗ วันนี้ เปลี่ยนจากร้อนเป็นหนาว จากหนาวเป็นร้อน จากฝนเป็นหนาว จากหนาวเป็นฝนชนิดตรงกันข้าม ก็ให้ทราบว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นมีผลอยู่

เถรี
24-05-2018, 19:17
หลังจากการไหว้ครูช่วงเช้า ซึ่งงานนี้ไม่มีการรับวัตถุมงคลเข้าพุทธาภิเษกร่วมกัน เพราะว่าทางวัดไม่ได้สร้างวัตถุมงคล แต่ปรากฏว่าช่วงประมาณเดือนหนึ่งที่ผ่านมา มีผู้มาขอความช่วยเหลือ ทั้งสภาวัฒนธรรมอำเภอ ทั้งกิ่งกาชาดอำเภอ อาตมาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงมีคำสั่งเร่งด่วนให้สร้างเหรียญ ด้านหน้าเป็นรอยพระพุทธบาทหน้าวัดท่าขนุน ด้านหลังไม่ทราบว่าจะลงอะไร ท้าวเวสสุวรรณท่านบอกว่า "เอารูปของผมลงก็ได้ครับ" ถึงเวลาท่านจะมาช่วยเสกให้เอง

อาตมาเองเห็นว่าแบบที่ออกแบบโดยอาจารย์แบงค์ ก็คือ คุณชัยวัฒน์ หาญสมุทร ออกแบบมาได้สวยมาก เสียดายว่า ถ้าลงที่หลังเหรียญแล้วเห็นรายละเอียดไม่ชัด จึงขออนุญาตท่านทำเป็นผ้ายันต์ด้วย ก็ได้รับอนุญาตทำมาอย่างละ ๑๐,๐๐๐ ชิ้น ก็คือเหรียญเนื้อทองทิพย์ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ ๑๐,๐๐๐ ผืน กำหนดให้จำหน่ายเหรียญละ ๒๐๐ บาท ผ้ายันต์ ๑๐๐ บาท

เดี๋ยวพอเสร็จพิธีแล้วโยมไปดูที่ตู้จำหน่ายวัตถุมงคลทางด้านหลัง ไม่ต้องเหยียบกันนะ เพราะว่ามีของมากพอ เพียงแต่อาตมาทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้มีของรุ่นนี้มีราคาถูกที่สุด ก็ไม่แน่ใจว่าท่านอยากให้ทุกคนได้ทำบุญร่วมกัน หรือว่าท่านมีอะไรที่ต้องสงเคราะห์แก่ชาวบ้านเป็นการส่วนรวม ถึงต้องการจะให้กระจายออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เดี๋ยวอีกสักครู่ตอนพุทธาภิเษก ถ้ามีอะไร อาตมาจะบอกกล่าวให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง

เถรี
24-05-2018, 19:18
เมื่อบวงสรวงไหว้ครูและพุทธาภิเษกเรียบร้อยแล้ว อาตมาจะนั่งรับศรัทธาญาติโยมตรงนี้ จนกระทั่ง ๑๐​ โมงตรงก็จะทำการเป่ายันต์เกราะเพชรรอบแรก แล้วก็รับสังฆทานต่อจนกระทั่งไปฉันเพล หลังเพลมารับศรัทธาญาติโยมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเตรียมทำการเป่ายันต์เกราะเพชรรอบที่สอง

ญาติโยมเมื่อเสร็จจากพิธีบวงสรวงไหว้ครูแล้ว ให้ไปเตรียมธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม เอาไว้ใช้ในการรับยันต์เกราะเพชรตอน ๑๐ โมงหรือตอนบ่ายโมง ใช้แค่ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่มเท่านั้น อย่างอื่นไม่มี ไม่จำเป็นต้องจัดดอกไม้อะไรมาทั้งสิ้น ถ้าหากว่าไม่ได้เตรียมมา ตรงปากทางเข้าศาลาจะมีอยู่ ทางวัดจัดเตรียมไว้ให้แล้ว ซึ่งในส่วนนี้ท่านทั้งหลายสามารถที่จะไปบูชาจากทางด้านนั้นได้ ก็แล้วแต่จะทำบุญ

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่มเฉพาะตัวของท่านเอง รับแทนคนอื่นไม่ได้ ใครจะรับก็ต้องเตรียมของตนเองมา ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรืออยู่ต่างประเทศก็ตาม และที่แน่ ๆ ถ้าเป็นสุภาพสตรีที่มีเด็กอยู่ในท้อง ให้เตรียมเผื่อลูกในท้องอีกชุดหนึ่งด้วย

เถรี
24-05-2018, 19:23
ทางกองทุนหลวงปู่ปานฯ ทำไม้ถือมาถวายอาตมาอันหนึ่ง แต่ว่าสั้นเกินไป อาตมาอยากได้ยาวสักเมตรห้าสิบ จะได้ตีกบาลคนถนัดหน่อย..! เล็งเอาไว้แล้ว ที่วัดนี้มีต้นคูณตายพรายอยู่​ ๑ ต้น เดี๋ยวมีเวลาจะไปพลีมาแล้วก็ทำ เพราะว่าแก่แล้ว อายุย่าง ๖๐ ปีแล้ว ไม่มีไม้เท้าชักจะไปไม่เป็น ไม้เท้าสั้น ๆ แบบนี้ สำหรับอาตมาจะเป็นอาวุธมากกว่า ไม่ใช่ไม้เท้า

เถรี
24-05-2018, 19:24
ขอแจ้งกับญาติโยมตลอดจนพระภิกษุสามเณรของเราว่า เรื่องของวัตถุมงคล ไม่ต้องทำเผื่อมาถวายวัดท่าขนุน ใครสร้างมากรุณาไปแจกเอง เพราะว่าที่นี่จะสร้างวัตถุมงคลต่อเมื่อได้รับคำสั่งเท่านั้น

ดังนั้น ญาติโยมจะเห็นว่าวัตถุมงคลของทางวัดจะมีน้อย บางส่วนถ้าท่านเห็นในตู้แล้วอยากได้ต้องรีบบูชาเลย เพราะว่าอาจจะมีอยู่แค่นั้น และนอกเวลางานไม่ต้องมาบูชาที่วัดนี้ เนื่องจากว่าไม่ได้ตั้งตู้จำหน่าย

การจำหน่ายวัตถุมงคลของวัดท่าขนุนมี ๒​ ที่ ที่แรกอยู่ที่บ้านเติมบุญ ตำบลบางรักใหญ่ จังหวัดนนทบุรี อีกที่หนึ่งอยู่ในเว็บวัดท่าขนุน ถ้าเป็นในเว็บวัดท่าขนุน ท่านก็สามารถที่จะเลือกรายการที่มีอยู่แล้วก็โอนเงินเข้าไป ทางเจ้าหน้าที่ก็จะส่งไปให้ท่านเอง

เถรี
25-05-2018, 08:07
ท่านใดบูชาวัตถุมงคล คือ เหรียญรอยพระพุทธบาทหลังท้าวเวสสุวรรณก็ดี ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณก็ดี ท่านให้สวด อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา วันละ ๓ จบ แล้วอธิษฐานขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอบารมีพรหมเทวดา ครูบาอาจารย์ทุกท่าน ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ รักษาตัวเราและครอบครัว ให้อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ

ท่านบอกว่าโดยเฉพาะบรรดาไสยเวทย์อาคม วัตถุอาถรรพ์ คุณผีคุณคนทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะเข้าสู่ตัวตนหรือว่าสถานที่ซึ่งมีวัตถุมงคลรุ่นนี้อยู่ได้ และโดยเฉพาะถ้าท่านใดตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท้าวเวสสุวรรณท่านจะให้บริวารตามดูแลรักษาตลอดชีวิต อันนี้ยิ่งกว่าทำประกันชั้น ๑ เสียอีก

มีคาถาปลุกพิเศษต่างหาก คือ เวสสะ ภุสสะ นะโมพุทธายะ

เถรี
25-05-2018, 08:09
อาตมาก็เพิ่งจะทราบว่าเทวดาที่ "แนว" มากที่สุด คือท่านอาฬวกยักษ์ อาวุธของท่านไม่เหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองเขา เป็นผ้าพันคอเท่ ๆ ด้วย แต่ท่านไปพระนิพพานแล้ว เพียงแต่ว่าเทพอาวุธของท่าน ต้องบอกว่าน่าเสียดายมาก ก็เลยมอบให้ลูกหลานญาติโยมเอาไว้ได้ใช้งาน

ฉะนั้น...ถ้าใครบูชาผ้ายันต์หรือเหรียญท้าวเวสสุวรรณติดตัว ติดบ้าน ติดรถเอาไว้ ในสถานที่ทั้งหลายเหล่านั้น ท่านบอกว่าเรื่องของไสยเวทย์อาคม วัตถุอาถรรพ์ คุณผีคุณคนทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะทำอันตรายได้ เพราะว่าท้าวมหาราชท่านจะให้บริวารของท่านช่วยรักษา

ขอย้ำว่าโดยเฉพาะท่านใดปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน คือเป็นผู้ที่เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงจังจริงใจ ไม่ล่วงเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นผู้ที่มีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล และท้ายที่สุด รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ถ้าหากว่าตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน ถ้าหากว่ารักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ได้ทุกวัน ท่านจะให้บริวารของท่านตามรักษาตลอดชีวิต ซึ่งอาตมาชอบใจพรข้อนี้มาก เพราะถ้าเรารักษาอารมณ์นี้ได้ ต่อให้ทำประกันภัยชั้น ๑ ยังคุ้มไม่ได้เท่านี้เลย

เถรี
25-05-2018, 08:10
ท่านใดทำบุญแล้วต้องการน้ำมนต์เสาร์ ๕ ซึ่งมีอานุภาพในการรักษาโรคที่หมอทั่วไปหาสาเหตุไม่ได้ ก็ให้ไปบูชาที่ด้านขวามือของพระประธาน

เถรี
25-05-2018, 08:10
งานวันนี้ไม่เสียทีที่ท้าวเวสสุวรรณท่านเมตตาสงเคราะห์ ท่านเทให้อย่างชนิดหมดใจเหมือนกัน

เถรี
25-05-2018, 08:13
ปัจจัยที่ญาติโยมร่วมบุญมา อาตมาสร้างถาวรวัตถุตลอดจนกระทั่งหล่อพระในวัดท่าขนุนนี่หลายอย่างด้วยกัน ส่วนที่กำลังเสร็จสิ้นลงและจะส่งงานภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ก็คือบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน ไม่มากไม่มาย จำนวนพันกว่าขั้นมาตรฐานโลกเท่านั้น ความสูง ๘๙๑ เมตร ใครมีปัญญาก็ตะเกียกตะกายขึ้นไป แต่ตอนนี้ขอปิดก่อนชั่วคราว เหตุที่ปิดก่อนชั่วคราว เพราะว่าเขาจะได้ทำความสะอาดและส่งงาน

ส่วนทางด้านฝั่งในวัด ก็กำลังให้เขาทำบันไดขึ้นเขาพระพุทธเจตียคีรี แล้วก็ทำการซ่อมบำรุงฐานเจดีย์ที่กำลังจะทรุด

ส่วนที่เหลือก็คือหล่อพระ ซึ่งก็คือพระพุทธรูปทองคำที่ญาติโยมจำนวนมากได้ถวายปัจจัยร่วมกันมา และยังมีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียน ซึ่งปีนี้ก็ให้ทุนประถมศึกษา ๒๐๕ ทุน ไม่มากไม่มาย ทุนละ ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ก็ประมาณสี่แสนกว่าบาท

ให้ทุนมัธยมศึกษา​ ๓๙ ทุน ทุนละ ๓,๐๐๐ บาท ก็อีกแสนกว่าบาท ให้ทุนอุดมศึกษา ๘ ทุน ทุนละ ๓๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินสองแสนสี่หมื่นบาท

แล้วยังมีทุนการศึกษาของพระภิกษุสามเณรอีกเป็นจำนวนมากด้วยกัน

เถรี
25-05-2018, 08:15
ท่านใดที่จะรับยันต์เกราะเพชร ให้เตรียมธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่มเอาไว้ ขอยืนยันว่าใช้แค่ธูป ๓ ดอกและเทียน ๑ เล่ม อย่างอื่นไม่ต้องมี ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่ทราบว่าไปเอาข้อมูลมาจากไหน มีดอกไม้ ๓ สี ๕ สีมาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นเสียเปล่า ๆ ครูบาอาจารย์ท่านสั่งไว้แค่ไหนก็ให้ทำแค่นั้น ไม่เช่นนั้นถ้าหากว่านานไป เดี๋ยวก็จะมีรายการความเพี้ยนมากขึ้นเรื่อย ๆ

แบบเดียวกับเครื่องบวงสรวง เครื่องบวงสรวงปกติทั่วไปไม่ต้องมีขนมจีน ไม่ต้องมีทองหยิบ ฝอยทอง พวกทองหยิบ ฝอยทอง ขนมจีนน้ำพริก เอาไว้สำหรับบวงสรวงเสด็จในกรมหลวงชุมพร

ถ้าหากว่าขนมจีนอย่างเดียว เอาไว้สำหรับภายในวัดท่าซุง เพื่อที่จะถวายหลวงปู่ขนมจีน เจ้าอาวาสรูปที่ ๒ ของทางวัด

แล้วถั่วเขียวแกะเปลือกคั่ว หรือถั่วลาชมาศ เอาไว้สำหรับการตั้งศาลพระภูมิ พวกเราเห็นอะไรก็ใส่ลงไปหมด แล้ววิชาการก็จะเพี้ยนหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่าคนรุ่นหลังไม่รู้ ก็จะใส่เพิ่มเข้าไปอีก

เถรี
25-05-2018, 08:16
ปัจจุบันนี้อาตมาเจอหลายวัด ผลไม้บวงสรวงแทนที่จะเป็น กล้วยน้ำว้า ส้มโอ มะพร้าวอ่อน ก็กลายเป็นผลไม้ ๙ อย่าง อาตมาก็ถือว่าเกินดีกว่าขาด แต่ว่าอย่าให้บ่อยมาก เพราะว่าถ้าบ่อยมาก เดี๋ยวก็จะเพี้ยนกันไปใหญ่

ถาม : บายศรีแก้บน ?
ตอบ : ใช้บายศรีพาน โดยที่มีลูกบายศรีหรือนิ้วบายศรี ๗ ลูก คือ ๗ ชั้น ไม่ใช่ตัวบายศรีสูง ๗ ชั้น

เถรี
25-05-2018, 08:17
ท่านใดที่ถวายทองคำเพื่อหล่อพระ กรุณาเขียนชื่อเขียนนามสกุลมาด้วย ยกเว้นบางท่านที่เดินมาถึงก็ถอดจากนิ้ว ถอดจากคอ ถอดจากหูมาเลย ถ้าอย่างนั้นอาตมาจะลงบัญชีเป็นผู้ไม่ประสงค์ออกนาม

ท่านพระครูสุภกิจชยาภรณ์ หรือพระครูศุภชัย วัดหนองมะคัง ถวายหลวงปู่ปานพิมพ์ขี่ไก่มา ๑ องค์ ขอให้เอาไปประมูลเพื่อสร้างพระพุทธรูปทองคำ

เถรี
25-05-2018, 21:55
(พูดถึงเรื่องการแบ่งปันที่นั่งในศาลา)

มาวัดเพื่อที่จะวัดความดีในใจของเรา อย่าเห็นแก่ตัวเอาสบายคนเดียว การแสดงออกของเราจะชัดเจนมากว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ส่วนรวม เป็นคนดีพอที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมหรือแปลกแยกจากสังคมจะเห็นได้ชัด

ใครมีอาสนะกรุณาสละด้วย เพราะว่าการที่เอาที่นั่งมาจะทำให้นั่งลำบาก คนอื่นเขาโดนเราเบียดกินที่ไป ถ้าหากว่ามีอาสนะสัก ๓ ที่ก็แย่งคนอื่นนั่งไป ๒ คนแล้ว

เถรี
25-05-2018, 21:58
หลวงพี่มหาเอ หรือท่านพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม เปรียญธรรม ๖ ประโยคจากวัดปากน้ำภาษีเจริญ อดีตก็คือพระวัดท่าขนุน อาตมาเป็นเจ้าภาพบวชให้ด้วยตัวเอง ท่านก็รับภารธุระแทนอาตมาหลายอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องของเครื่องบายศรีบวงสรวง ท่านและคณะศิษย์ช่วยกันทำให้ทุกครั้ง โดยที่อาตมาไม่ต้องเสียเงินเสียทองอะไรเลย

โดยเฉพาะงวดนี้ ความคิดของท่านกับอาตมาตรงกันโดยมิได้นัดหมาย บายศรีของท่านเป็นรูปปลาอานนท์ กะจะพลิกแผ่นดินกันเลย เดี๋ยวก็ต้องดูว่า ถ้าพลิกกว้าง ๆ ไม่ได้ก็เอาสักหน้าจอบเดียวก็ยังดี

เถรี
25-05-2018, 21:59
น้ำมนต์เสาร์ ๕ เอาไปต่อเพิ่มได้ เทใส่โอ่งใส่อ่างอะไรไว้ก็ได้ พอถึงเวลาจวนหมดก็ตักของเก่าออกมา เติมน้ำใหม่ใส่ลงไป ใกล้เต็มแล้วก็เอาของเก่าเททับหน้า

เถรี
25-05-2018, 22:00
(พูดถึงการรับยันต์) งวดนี้คนใหม่เยอะก็เลยช้านิดหนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าจะรับยันต์อย่างไร ภาวนาก็ไม่ค่อยจะมีสมาธิ

เถรี
25-05-2018, 22:03
ไม่ว่าจะท่านที่อยู่ในศาลานี้หรือว่าอยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างประเทศก็ดี สามารถรับยันต์ได้ อย่างทางด้านวัดเกาะแก้ว จังหวัดสุพรรณบุรี นำโดยท่านอาจารย์สมชาย วัดหรือว่าสถานที่ปฏิบัติอื่น ๆ ถ้าตั้งใจจะรับยันต์เกราะเพชรเป็นหมู่คณะแบบนั้นก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน เพราะว่าถ้าท่านสามารถรวมคนได้มาก ๆ จะเดินทางมาวัดก็จะลำบาก ท่านอาจารย์สมชายมาขออนุญาตตั้งแต่หลายปีก่อน อาตมาถึงได้บอกว่าจัดพิธีที่ศาลาวัดนั่นเลย แล้วก็รับไปพร้อมกันทั้งวัด

เถรี
29-05-2018, 09:48
ญาติโยมทั้งหลาย ในเรื่องของยันต์เกราะเพชรนั้นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ยันต์เกราะเพชรคือบารมีของพระพุทธเจ้า ซึ่งยันต์เกราะเพชรนั้นมีที่มาจากตำราพระร่วงสมัยสุโขทัย สมัยนั้นมีการสร้างธงมหาพิชัยสงครามเพื่อใช้ในการนำทัพ ธงผืนเดียวคุ้มครองทหารได้ทั้งกองทัพ ไม่ว่าจะกี่หมื่นกี่แสนนายก็ป้องกันได้หมด

แต่คราวนี้ธงมหาพิชัยสงครามเป็นธงที่เขียนยาก ทำยาก ครูบาอาจารย์ท่านเลยตัดเอาส่วนคอธงที่เป็นบทสรรเสริญพระพุทธคุณ อิติปิ โสฯ ถึง ภควาติ เอามาจัดเรียงเสียใหม่ เป็น ๘ แถว แถวละ ๗ ตัว บางคนเรียกว่า อิติปิ โสฯ ๘ ทิศ แล้วอ่านตามขวางว่า

อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง เป็นต้น

มีอุปเท่ห์ต่างกันไปตามแต่ละบท อย่างเช่นบทแรกเรียกว่า ฝนแสนห่า เป็นบทใช้สำหรับเรื่องของความแคล้วคลาด สามารถเดินกลางฝนได้โดยที่ตัวไม่เปียก

บทที่ ๒ เรียกว่ากระทู้ ๗ แบก มีเอาไว้สำหรับเรื่องของอยู่ยงคงกระพัน ท่านว่าแบกไม้มา ๗ แบก ไล่ทุบจนไม้หักหมดก็ยังไม่สามารถที่จะทำอันตรายได้ เป็นต้น

เถรี
29-05-2018, 09:50
แล้วทำการชักสูตรสำเร็จออกมาเป็นยันต์เกราะเพชร ซึ่งยันต์เกราะเพชรนั้นท่านบอกว่ามีอานุภาพหลายอย่างด้วยกัน

ประการที่ ๑ บุคคลที่รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ท่านว่าถ้าไม่หมดอายุขัยจริง ๆ จะไม่ตายโหง ต่อให้บาดเจ็บหนักหนาสาหัสอย่างไรก็รักษาจนหายกลับมา ซึ่งเรื่องนี้อาตมาพบด้วยตนเองมาหลายวาระ ทั้งบุคคลที่รู้จักและทั้งโยมแม่ของตัวเอง

ขนาดโยมแม่ตัวเอง โดนรถบี้กระจาย กระดูกด้านขวาตั้งแต่กรามลงไปหักหมดทุกท่อนเลย อยู่ห้องไอซียู ๑๘ วัน อาตมาไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อวัดท่าซุง กราบเรียนท่านว่า "แม่โดนรถชน อยู่ไอซียูมา ๑๘ วันแล้ว ผมเกรงว่าจะไม่รอด ขออนุญาตทำบุญถวายสังฆทานให้กับแม่ล่วงหน้าครับ"

หลวงพ่อท่านถามว่า "แม่แกรับยันต์เกราะเพชรไปบ้างหรือเปล่า ?" ก็กราบเรียนท่านว่า "รับไปหลายครั้งครับ" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่ตายหรอก" แล้วก็เป็นเรื่องจริง แต่ว่าต้องรักษาตัวอยู่ถึง ๓ ปี กว่าที่ร่างกายจะฟื้นคืนดีมาตามเดิม เป็นคำยืนยันว่า บุคคลที่รับยันต์เกราะเพชรไป ถ้าไม่ถึงอายุขัยจริง ๆ จะไม่ตายโหง

ประการที่ ๒ จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษทุกประเภท เรื่องนี้อาตมาไม่ได้ตั้งใจทดสอบ แต่โดนด้วยตนเอง คือโดนงูกะปะกัดที่ชีพจรข้อมือจม ๔ เขี้ยวเลย ใครอยากดูรอยแผล ปัจจุบันนี้ยังมีให้ดูอยู่ ซึ่งอาตมาเองก็แค่เอาน้ำล้าง ติดพลาสเตอร์แล้วก็ทำงานต่อไป เล่นเอาพระลูกศิษย์ที่มาจากปักษ์ใต้ประสาทรับประทาน บอกว่า "อาจารย์ครับ ไอ้ตัวอย่างนี้กัดนี่บวมทั้งตัว ขนาดเลือดออกตามขุมขนเลยนะครับ แล้วก็เน่าหล่นไปทีละชิ้น" อาตมาตอบว่า "ท่านไม่ต้องห่วง ผมรับยันต์เกราะเพชรมาแล้ว ผมมั่นใจว่ายันต์เกราะเพชรคุ้มครองได้

ถ้าหากว่ายันต์เกราะเพชรคุ้มครองไม่ได้ แปลว่าสูญหายไปแล้ว ซึ่งการที่ยันต์จะสูญหายก็คือ ไม่ดื่มสุราก็ลักขโมย ถ้าอย่างนั้น ผมก็ไม่สมควรที่จะเป็นพระอยู่แล้ว" ก็ปรากฏว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากมีความปวดจากพิษงู วิ่งจากแผลขึ้นมาถึงข้อศอก แล้วก็โดนยันต์เกราะเพชรดันกลับไป แล้วก็วิ่งขึ้นมาใหม่อย่างนั้นอยู่ ๓ - ๔ ครั้งก็หายไปเฉย ๆ หลังจากนั้นอาตมาก็จับงูทุกชนิดเป็นว่าเล่น

แม้กระทั่งงูจงอางตัวยาวเป็น ๓ - ๔ เมตรก็จับเล่นเป็นปกติ เพราะมั่นใจว่าถ้าเราไม่ทำผิดข้อห้าม ยันต์เกราะเพชรจะคุ้มครองได้จริง ๆ แม้กระทั่งโดนตะขาบกัด เพราะไปเหยียบตอนเดินบิณฑบาต ก็จะบวมอยู่แค่บริเวณที่กัดเท่านั้น ไม่สามารถที่จะลามสูงขึ้นมาได้ โดนต่อต่อย ก็ปวดเป็นวงอยู่ประมาณเหรียญ ๑๐ บาท ไม่ไปไหน หลังจากนั้นแล้วก็คันอย่าบอกใครเลย แสดงว่าพิษเริ่มกลายเป็นลม ระเหยออกทางผิวหนัง เป็นต้น

ดังนั้น ในเรื่องของการไม่ตายด้วยสัตว์มีพิษนั้น ถ้าญาติโยมไม่ได้มั่นใจขนาดอาตมา ถ้าโดนงูกัดก็ไปหาหมอเสียก่อน เป็นการประกันความเสี่ยงไปในตัวก็ได้

เถรี
29-05-2018, 09:52
ประการที่ ๓ อานุภาพของยันต์เกราะเพชรจะป้องกันไม่ให้ท่านตายด้วยไสยศาสตร์ทุกประเภท คำว่าไม่ให้ตายด้วยไสยศาสตร์ ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บ อาตมาเองเคยโดนเจ็บปางตาย กราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า "ทำไมเป็นอย่างนั้นครับ ?" ท่านตอบว่า "ไสยศาสตร์เหมือนกับไฟ ยันต์เกราะเพชรเหมือนกับผนังกั้นไม่ให้ไฟนั้นเผามาถึงตัวเรา แต่ถ้าไฟกองใหญ่มาก ๆ ความร้อนก็ต้องมาถึงเราบ้าง"

ดังนั้น..แม้ว่ายันต์เกราะเพชรจะป้องกันไม่ให้เราตายเพราะพิษของไสยศาสตร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจ็บ อันนี้อาตมาโดนมากับตัวเองเต็ม ๆ ซาบซึ้งดีเป็นที่สุด

ข้อสุดท้ายท่านบอกว่า อานุภาพของยันต์เกราะเพชรสะท้อนคืนไสยศาสตร์ทุกประเภท ไม่ว่าเขาจะทำเราด้วยไสยศาสตร์ ตั้งใจจะให้เราเป็นอย่างไร เจ็บอย่างไร ตายอย่างไร เขาจะเป็นแบบนั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้อาตมาเองก็เจอมา เพราะว่ามีหลายคนเห็นว่าอาตมาเป็นพระหนุ่ม ทั้ง ๆ ที่บอกว่าอายุ ๖๐ ปีแล้วก็ไม่ยอมเชื่อ เพราะว่าเขาอายุ ๖๐ แล้วหน้าตาประมาณจะเป็นพ่อของอาตมาได้ ก็เลยมีการลองของ อาตมาก็ไม่ได้ว่าอะไร อยากลองได้ก็ลองไป

แม้กระทั่งการไปพุทธาภิเษกในที่หลายแห่ง ก็มีผู้หวังดีอยากจะลองว่าพระอาจารย์หนุ่ม ๆ แบบนี้จะแน่สักแค่ไหน ถึงได้รับนิมนต์มาเข้าพิธีนี้ ก็มีการลองกันซึ่ง ๆ หน้าหลายวาระ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่า เป็นบุญของอาตมาที่ครูบาอาจารย์ท่านจัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรและอาตมาได้เข้ามา ๑๗ ครั้งด้วยกัน เพราะฉะนั้น...ท่านใดคิดจะทำไสยศาสตร์ใส่อาตมา ยินดีต้อนรับทุกเวลา ถ้าเจ็บเองตายเองก็ไม่ต้องไปโทษใคร เพราะว่าอาตมาไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากภาวนาตามปกติเท่านั้น

เถรี
29-05-2018, 09:53
ก็แปลว่าการที่ท่านทั้งหลาย ถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว รักษาไว้ได้

อันดับแรก ถ้าไม่ถึงอายุขัยจะไม่ตายโหง

อันดับที่ ๒ ถ้าหากว่าโดนสัตว์พิษทั้งหลายกัด จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ

อันดับที่ ๓ จะไม่ตายด้วยอำนาจของไสยศาสตร์ ไม่ว่าจะวิชาของใครก็ตาม

อันดับสุดท้าย ใครทำไสยศาสตร์ใส่เรา จะโดนสะท้อนกลับไปทั้งหมด

แล้วถามว่าการรักษายันต์เกราะเพชรเอาไว้ได้ ต้องรักษาอย่างไร ? ท่านว่าให้รักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ คือ ไม่ลักขโมยและไม่ดื่มสุรา ไม่เสพยาเสพติด

ถามว่าการลักขโมยนั้นมีโทษอย่างไร ? ท่านบอกว่าเป็นการเบียดเบียนคนอื่น การดื่มสุราหรือเสพยาเสพติดเป็นการเบียดเบียนตัวเอง

เถรี
29-05-2018, 09:54
ในส่วนของการรักษายันต์เกราะเพชรนั้น เรื่องของสุราท่านเน้นไว้ว่า ถ้าเป็นการรักษาโรคตามสูตร อย่างเช่นประเภทยาดอง ให้กินตามหมอสั่ง ถ้าเป็นการกินตามหมอสั่ง ยันต์เกราะเพชรยังอยู่ได้ แต่ถ้ากินเอาเมากินเอาสนุก ยันต์เกราะเพชรจะสูญหายทันที โดยเฉพาะระยะนี้ให้ระมัดระวังในเรื่องของอาหารให้มาก อาตมาเจอมาแล้ว ทั้งช็อกโกแลตไส้บรั่นดี ทั้งไอศกรีมรสรัม ทั้งอาหารที่ใส่เหล้า แต่โชคดีว่าเป็นคนจมูกไว พอได้กลิ่นก็รู้ว่ากินไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องละไว้

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรับประทานลงไป ความรู้สึกไว ๆ จะรู้เลยว่าร้อนวาบออกผิวหนังตัวเอง แปลว่ายันต์เกราะเพชรโบกมือลา มีโอกาสค่อยมารับการเป่ายันต์ฯ ใหม่

ในส่วนของการรักษายันต์เกราะเพชรเพื่อที่จะให้ยันต์คุ้มครองป้องกันนั้น ท่านให้ตื่นเช้าขึ้นมาภาวนาพุทโธให้กำลังใจตั้งมั่น แล้วหลังจากนั้นกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ยันต์เกราะเพชรจะคุ้มครองได้ทั้งวัน ถ้าท่านไม่แน่ใจ ก่อนนอนก็ทำแบบนี้อีกครั้งหนึ่ง อานุภาพยันต์เกราะเพชรจะได้รักษาท่านทั้งวันและทั้งคืน การรักษายันต์เกราะเพชรเพื่อให้คุ้มครองเรานั้น ภาวนาเอาไว้ทั้งกลางวันและกลางคืนจะเป็นปลอดภัยที่สุด ในส่วนของการภาวนา เราจะใช้พุทโธ หรืออิติปิ โสฯ ทั้งบทก็ได้

เถรี
29-05-2018, 09:55
พิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ไม่ได้เป่าให้โยมทีละคน แต่เป่าทีทั้งศาลา สี่ห้าพันคนแบบนี้ ขืนไปเป่าทีละคนอาตมาก็เป็นลมตายพอดี การเป่ายันต์เกราะเพชรตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปานหรือหลวงพ่อฤๅษีก็ตาม เขาเป่ากันทีละศาลา และถ้าหากว่าญาติโยมมีความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมในศาลาก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของประเทศหรือมุมไหนของโลก ถ้าท่านตั้งใจรับด้วยความเคารพ ก็สามารถรับยันต์ได้ทั้งหมด

แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเรารับยันต์ได้แล้ว ? ท่านบอกว่าในขณะที่เราภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่ง ถ้ารู้สึกว่าหนักหัว หนักไหล่ มีอาการร้อนวูบวาบคล้ายจะเป็นไข้ หรือว่าขนลุก บางคนก็สั่นทั้งตัว ถ้าลักษณะนี้แปลว่ายันต์เกราะเพชรกำลังเข้าตัวของท่านแล้ว ให้รักษาอารมณ์เอาไว้จนกระทั่งได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

เถรี
29-05-2018, 09:56
สำหรับในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ครูบาอาจารย์ท่านให้ขอบารมีท้าวมหาราชพร้อมด้วยบริวารทั้งหมด ให้ช่วยขับไล่ไสยศาสตร์ต่าง ๆ ที่ติดตัวท่านทั้งหลายมา โดยเฉพาะพวกคุณผี ก็คือพวกที่ใช้ผีคุมเรามา เมื่อถึงเวลาพวกผีทั้งหลายเหล่านี้อยู่ไม่ได้ ก็จะดิ้นรนร้องโวยวาย ท่านทั้งหลายไม่ต้องตกใจ เราภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ เป็นหน้าที่ของท้าวมหาราชและบริวารท่านจะจัดการให้เอง แต่ว่าส่วนใหญ่ที่พบมาก็คือ พอมีคนออกอาการแปลก ๆ หรือร้องเสียงดังอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้นก็จะว่างไปโดยอัตโนมัติ ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่มีที่ให้นั่ง แสดงว่ามีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริง

เมื่อเรารับยันต์เกราะเพชรเสร็จพิธีแล้ว ธูปเทียนที่ใช้ในการรับยันต์นั้น จะมีอานุภาพคล้ายกับมีดหมอ ถ้าเราไปเจอผีเจ้าเข้าสิงที่ไหน ให้ว่า นะโมพุทธายะ ใช้ธูปเทียนนั้นตีหรือว่าจี้ไล่ ผีจะออกทันที

แต่ที่อาตมาใช้ส่วนใหญ่ก็คือ ถึงเวลาจะบนพระหรือบนเจ้าที่เจ้าทาง บนเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ไหน อาตมาจะใช้ธูปเทียนชุดนี้ รู้สึกว่าได้ผลดีมาก ใครจะเลียนแบบก็ได้ ก็แปลว่าเมื่อรับยันต์เกราะเพชรแล้ว ให้รักษาธูปเทียนเอาไว้ ติดตัวเราไป ใช้แทนมีดหมอหรือติดบ้านเอาไว้ก็ได้ หรือว่าถ้าถึงเวลาจำเป็นขึ้นมาจะบนบานศาลกล่าวที่ไหน สามารถใช้งานได้ เพราะว่าอาตมาลองมาแล้วด้วยตัวเอง

เถรี
29-05-2018, 18:21
ขอย้ำอีกครั้งว่ายันต์เกราะเพชรเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า บุคคลใดที่ได้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรไปแล้ว สามารถจัดพิธีได้ถูกต้อง ก็อาราธนาบารมีพระท่านให้สงเคราะห์ได้ทุกคน ปัจจุบันนี้ลูกศิษย์สายเดียวกันที่ได้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรมา ทั้งที่มรณภาพและสึกหาลาเพศไปแล้ว ที่อยู่นอกวัดก็มีท่านพระปลัดวิรัช โอภาโส หรือหลวงพ่อวิรัช วัดธรรมยานที่จังหวัดเพชรบูรณ์

ท่านพระครูภาวนาพิลาศ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี วัดเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และตัวอาตมาเอง พระครูวิลาศกาญจนธรรม เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีแห่งนี้ นอกเหนือจากนี้ ท่านทั้งหลายก็สึกหาลาเพศหรือมรณภาพไป ส่วนที่เหลืออยู่ในวัดท่าซุงเหลืออยู่ท่านเดียว เป็นรุ่นพี่ของอาตมา ไม่ใช่เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน

คราวนี้ท่านทั้งหลายที่สึกหาลาเพศไป ถ้าบวชเข้ามาใหม่ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะทำการเป่ายันต์เกราะเพชรได้ ดังนั้น...ท่านไม่ต้องหนักใจเพราะว่ายังมีอีกหลายท่านที่สืบสายอยู่ แต่ว่าอาตมาเองก็อายุ ๖๐ ปีแล้ว ปีหน้าจะจัดงานฉลองแซยิดแล้ว ท่านที่สึกหาลาเพศไปมีอยู่ท่านเดียวที่อายุน้อยกว่า แต่ก็ใกล้เคียงกัน ที่เหลือแปลว่าแก่กว่าทั้งนั้น ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกสักกี่วัน ดังนั้นในส่วนนี้ ถ้าท่านที่ได้รับการครอบครูไปแล้ว มีการจัดเป่ายันต์ที่ไหน ถ้าญาติโยมสงสัยมาสอบถามอาตมาได้ ว่าท่านนั้น ๆ ได้รับการครอบครูไปหรือเปล่า

เถรี
29-05-2018, 18:22
อย่าลืมว่าการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ตามสายของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ทำได้เฉพาะวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำเท่านั้น จะเป็นเดือนใดก็ได้ ถ้าเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ ก็ยิ่งดี เขาเรียกว่ากระทิงวัน กระทิงวันนี้มีอานุภาพเพิ่มเป็น ๒ เท่า

ถ้าได้วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรงคือปีที่ ๕ ก็จะเป็นตรีวัน มีอานุภาพเพิ่มขึ้นเป็น ๓ เท่า

เพราะฉะนั้น...ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าญาติโยมไปแล้วเป่ายันต์ได้ทุกเวลาก็ดี หรือว่าเป่ายันต์ได้ทั้งวันเสาร์วันอาทิตย์ก็ดี หรือว่าเดินสายรับจ้างเป่ายันต์เกราะเพชรให้ก็ดี ขอให้รู้ว่าไม่ใช่ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุง ไม่ทราบว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นศึกษาวิชาการมาจากไหน

บางท่านบอกว่าเรียนมาจากหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อาตมาอยากจะบอกหลวงปู่ปานมรณภาพไป ๘๐ ปี ขึ้น ๘๑ ปีแล้ว ถ้าบุคคลนั้นเป็นพระบอกว่าเรียนจากหลวงปู่ปาน อย่างน้อยต้องอายุ ๑๐๑ ปี เพราะว่าพระเราจะบวชก็ต่อเมื่ออายุ ๒๐ ไปแล้ว

เพราะฉะนั้น...ถ้าบอกว่าเป็นลูกศิษย์รับการครอบครูเป่ายันต์จากหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อายุไม่ถึง ๑๐๑ ปีขอยืนยันว่าเป็นของปลอมแน่นอน ในส่วนที่ท่านทั้งหลายไปเข้าพิธี ถามว่ามีผลหรือไม่ ? ถ้าท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ คุณความดีตรงนั้นจะรักษาท่านเอง ในส่วนของยันต์เกราะเพชร อาตมาไม่รับรองว่าจะได้ไปรักษาตัวหรือเปล่า ?

เถรี
29-05-2018, 18:27
ส่วนในเรื่องของการเป่ายันต์นั้น บางปีท่านก็สั่งให้ทำ บางปีท่านก็ไม่ได้สั่งให้ทำ ถ้าปีไหนที่สั่งให้ทำ ให้รู้ว่าสถานการณ์ของประเทศชาติไม่ค่อยจะดี จำเป็นที่จะต้องอาศัยกำลังใจของญาติโยมส่วนใหญ่ เพื่อที่จะแก้ไขชะตากรรมของประเทศ จากหนักให้เป็นเบา จากเบาให้เป็นหาย หรือว่าจะเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ดังนั้น...ในการเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งนี้ อาตมาเองจริง ๆ อยากให้สถานการณ์บ้านเมืองเราเปลี่ยนเป็นดี แต่ดูท่าว่าจะหนักหนาเกินกำลัง ก็ยังคงตั้งใจไว้ว่า ถ้าเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งประเทศไม่ได้ อย่างน้อย ๆ เปลี่ยนรัฐบาลก็เอา แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐบาลท่านจะยอมให้เปลี่ยนหรือเปล่า...!

แต่ว่าเราสามารถพิสูจน์ทราบได้ในระยะเวลาใกล้ ๆ ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ช่วงนี้เป็นฤดูร้อน ถ้าภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นตรงกันข้าม แปลว่าการทำครั้งนี้มีผลอยู่บ้าง ถึงได้เตือนว่าให้ท่านทั้งหลายเมื่อกลับไปแล้ว ทำ ๒ เรื่องด้วยกัน เรื่องที่หนึ่งก็คือเอาเสื้อกันหนาวออกมาซัก เตรียมใส่ เรื่องที่สองก็คือเตรียมร่มกันฝนเอาไว้ด้วย ถ้าใครอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ให้เตรียมเรือเอาไว้ด้วย แต่ว่าในกรุงเทพฯ ปกติก็มีเรือด่วนอยู่แล้ว

เถรี
01-06-2018, 08:16
(พูดถึงการสร้างวัด) ที่วัดท่าขนุนนี่ต้องรื้อทิ้งไปเยอะ ของเก่าเกะกะไปหมด อันไหนที่อยู่กับร่องกับรอยก็เหลือไว้ บูรณะขึ้นมาใหม่ ส่วนไหนขาดก็สร้างเพิ่มเติมไป ถ้าหากไม่มีสายตานี่วัดจะกลายเป็นสลัม ตรงนี้แต่เดิมเป็นศาลาการเปรียญ หอฉัน แล้วก็หอระฆัง อาตมายุบ ๓ ส่วนมาเป็นส่วนเดียวเลย กลายเป็นศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้

เถรี
01-06-2018, 08:19
ญาติโยมด้านนอก ถ้ากินอาหารเสร็จแล้วมาพักในศาลานะ ข้างในศาลาหลังนี้เย็นกว่า เหตุที่เย็นเพราะว่า อันดับแรกเลย ทำไว้สูง โยมจะเห็นว่าชั้นแรกนี่สูงถึง ๘ เมตร ครั้งแรกที่ทำ พอมีกำหนดคร่าว ๆ จากพระท่าน ก็อธิบายให้ช่างเขาทราบว่าในนี้จะมีทั้งศาลา มีทั้งมณฑป แต่ไม่มีใครนึกภาพออก จนกระทั่งทำมาให้เห็นอย่างนี้ เขาถึงจะรู้ว่ามณฑปหน้าตาเป็นอย่างไร ศาลาหน้าตาเป็นอย่างไร

โดยเฉพาะข้างฝา นำเสนอด้วยความภูมิใจว่า ถ้าไม่ได้ระดับปืนใหญ่หรือรถถังนี่ถล่มศาลาหลังนี้ไม่สำเร็จแน่ เพราะว่าอาตมาให้ก่อด้วยอิฐแดงพิเศษ ยาวเกือบศอก แล้วไม่ได้วางตามยาว แต่วางขวาง ๆ อาตมาเองทำไปแล้วผนังศาลาหลังนี้หนาประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ในเมื่อหนามากก็เลยมีสภาพคล้าย ๆ กับถ้ำ ก็คือกลางวันจะเย็น กลางคืนจะอุ่น

ส่วนที่ ๒ ก็คือยังมีชั้นบนอีก ๒ ชั้น ในเมื่อมีชั้นบนอีก ๒ ชั้น ความร้อนลงมาถึงยากมาก ฉะนั้น...เมื่ออยู่ในนี้จะรู้สึกว่าไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศก็ค่อนข้างจะเย็นสบาย

ถ้าหากว่าใครจะไปสร้างที่ไหน อนุญาตให้ถอดแบบไปได้ ตอนนี้ที่ได้ยินมีอยู่วัดหนึ่ง คือวัดของท่านพระครูปลัดเทียนชัย วัดบายตึ๊กเจีย ที่ปทุมธานี บอกว่าขออนุญาตเอาแบบไปทำ อาตมาให้ด้วยความยินดี...ไม่หวง ถ้าวัดใดไม่มีแนวคิดบอกได้ เดี๋ยวจะช่วยคิดให้

เถรี
01-06-2018, 08:26
เรื่องของการสร้างวัด ถ้าไม่มีสายตา วัดจะรกเป็นสลัม เมื่อรกเป็นสลัม ไปทางด้านไหนก็เกะกะเลอะเทอะไปหมด อาตมาเองมาทำวัดนี้รื้อของเก่าทิ้งไปหลายหลัง แล้วก็ทำของใหม่เพิ่มขึ้นมาด้วย ก็เลยกลายเป็นวัดอย่างที่ญาติโยมเห็นอยู่

ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ มาบูรณะครั้งแรก มีป้ายเบ้อเร่อเขียนว่าวัดท่าขนุนชี้เข้ามาตรงหน้าโบสถ์ แต่ญาติโยมจะเชื่อหรือไม่ว่า อาตมามองไม่เห็นโบสถ์เลย..! เพราะว่ารอบโบสถ์เป็นดงระกำ ถ้าโยมรู้จักต้นระกำ หน้าตาคล้าย ๆ ต้นปาล์มประเภทหนึ่ง เพียงแต่ว่าลำต้นติดดิน แล้วก็ใบสูงชะลูดไป โดยเฉพาะว่าแต่ละใบมีหนามยาวเป็นนิ้ว ๆ เต็มไปหมด แล้วหนามเปราะมาก เหยียบเมื่อไรหักคาเท้าก็น้ำตาเล็ดเมื่อนั้น เพราะว่าต้องผ่าออกอย่างเดียว อาตมารื้อดงระกำทิ้งไปทั้งดง ถึงมองเห็นโบสถ์วัดท่าขนุนได้

ในส่วนนี้ถ้าหากว่าญาติโยมไปทะนุบำรุงวัดที่ไหน พยายามจัดระเบียบหมวดหมู่ แบ่งวัดให้ออกเป็นพุทธาวาส ธรรมาวาส และสังฆาวาส

พุทธาวาส พูดง่าย ๆ ว่าที่อยู่ของพระพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ก็คือโบสถ์ วิหาร เจดีย์ ให้อยู่ในหมู่เดียวกัน

ธรรมาวาส ส่วนใหญ่ก็คือศาลาการเปรียญที่ใช้แสดงธรรม ใช้ทำบุญทั่วไป

สังฆาวาส คือ เขตที่อยู่ของพระสงฆ์

สำหรับของวัดท่าขนุนนี่มีเขตแม่ชีอีกต่างหาก อยู่คนละฝั่งวัดกันเลยกับของพระ คือพระจะอยู่ด้านตะวันออกสุด ส่วนแม่ชีอยู่ด้านตะวันตกสุด ถ้าไม่ได้มาสวดมนต์ทำวัตรร่วมกันก็ไม่ต้องเจอหน้ากัน ยกเว้นตอนฉันอาหารเท่านั้น

เถรี
01-06-2018, 08:30
ฉะนั้น...หลักการจัดวัดง่าย ๆ ก็คือ ให้จัดระเบียบบรรดาศาลา วิหาร โบสถ์ เจดีย์ กุฏิพระ โรงครัว ถ้าเป็นโบราณยังมีชันตาฆระ ซึ่งก็คือเรือนไฟเอาไว้สำหรับอบตัวแก้ไข้ ให้แยกเป็นสัดส่วนให้ชัดเจน ลักษณะของแปลนวัดก็มีหลายอย่างด้วยกัน เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นลักษณะไม้กางเขน หรือว่าเป็นลักษณะตัวแอลในภาษาอังกฤษ ก็แล้วแต่สภาพที่ดินของวัดจะเป็นไป

การบริหารวัดทั้งหมดในปัจจุบันต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ซึ่งทางราชการไม่มีให้ ก็แปลว่าแต่ละวัดอาศัยศรัทธาญาติโยมสงเคราะห์กันเอง แล้ววัดเราปัจจุบันนี้ก็ยังโดนบีบ ทั้งจากผู้เจตนาดีแต่โง่ไปหน่อย กับพวกเจตนาร้าย ตั้งใจให้วัดอยู่ไม่ได้ ด้วยการมาเน้นว่าพระห้ามรับเงินเพราะว่าพระวินัยระบุเอาไว้ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นเมื่อสี่ห้าสิบปีก่อนก็เป็นไปได้ เพราะว่าคนยังให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์พระอยู่มาก เข้าร้านอาหารก็ฉันฟรี ขึ้นรถเดินทางก็ขึ้นฟรี แต่มาในสมัยปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ เข้าร้านอาหาร เข้าโรงพยาบาล ไม่มีใครสงเคราะห์พระ แบบก่อนหน้านี้อีกแล้ว

ขณะเดียวกันก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานก็ทรงอนุญาตไว้ว่า ศีลพระ คือ สิกขาบทไหนไม่เป็นไปตามยุคสมัย สงฆ์พึงหวังก็ให้เพิกถอนสิกขาบทนั้นได้ แต่ปรากฏว่าไม่มีการเพิกถอน เราก็รักษาศีลกันมาในลักษณะของการโกหกตัวเอง ก็คือศีลห้ามรับเงิน แต่เรารับกันเป็นปกติ

เพียงแต่ว่าการรับเงินนี่เราต้องเข้าใจว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าป้องกันไม่ให้พระเกิดความโลภ จึงได้ทรงห้ามการรับเงินเอาไว้ แต่ถ้าหากว่าท่านรับมาแล้ว ใช้จ่ายในส่วนของวัดวาอาราม ในการสาธารณประโยชน์ ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็ต้องบอกว่า ไม่ได้มีโทษตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสห้ามไว้

แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือมีพระธรรมยุตที่ท่านว่าท่านเคร่งครัดมาก ท่านไม่รับเงิน อาตมาจะพูดถึงศีลพระให้โยมฟังว่าในสิกขาบทที่ ๘ ของนิสสัคคิยปาจิตตีย์กัณฑ์ มีการระบุไว้ว่า ภิกษุห้ามรับเงินและทองหรือข้าวของที่ใช้แทนเงินทอง ถ้าหากว่าผู้ใดรับต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ คือต้องสละทิ้ง

สิกขาบทที่ ๙ กล่าวไว้ว่า ภิกษุรับเองก็ดี ให้ผู้อื่นรับแทนก็ดีซึ่งเงินทองหรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ก็แปลว่ารับเองก็โดน ให้คนอื่นรับก็โดน

อาตมาก็เลยสงสัยว่าพระธรรมยุตที่ว่าเคร่งครัดนักหนา ไม่รับเงินแต่ให้ลูกศิษย์รับแทน ก็แปลว่าโดนอาบัติเหมือนกัน ก็คือศีลขาดเท่ากัน แต่ทำไมท่านไปเข้าใจว่าท่านเองเคร่งครัดกว่า บริสุทธิ์กว่า ซึ่งเรื่องนี้โยมสามารถไปเปิดดูในพระวินัยปิฎก ซึ่งระบุเอาไว้ชัด ๆ ว่าเรื่องของศีลพระเป็นอย่างไร

เถรี
01-06-2018, 08:33
ฉะนั้น...ในส่วนพวกนี้ญาติโยมอย่าปล่อยให้เกิดการเข้าใจผิด แล้วทำให้คิดว่าพระบางพวกเคร่งครัด บางพวกไม่เคร่งครัด อย่างเช่นว่าพระธรรมยุตไม่ใส่รองเท้า อาตมายืนยันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้ใส่รองเท้าได้ โดยที่พระองค์ท่านระบุเอาไว้ว่า บุคคลที่เท้าเป็นแผลหรือว่าเท้าบาง เดินแล้วเจ็บเท้า ใส่รองเท้าได้ และอนุญาตให้มีรองเท้าถึง ๒ คู่ ก็คือรองเท้าที่ใช้ในเวลาเดินทางไกลหนึ่งคู่ รองเท้าอีกคู่หนึ่งนั้นเมื่อกลับเข้าถึงที่พัก ล้างเท้า เช็ดเท้า ทำความสะอาด ทาน้ำมันแล้ว ใช้รองเท้าอีกหนึ่งคู่ใส่สำหรับเดินในที่อยู่ได้

ปัจจุบันนี้เวลาญาติโยมไปพักโรงแรม เขาจะมีรองเท้าให้ใส่เดินในห้อง หรือใส่เดินในอาคารสถานที่ อย่าคิดว่านั่นเป็นเรื่องทันสมัย พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระใช้มาก่อน ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ก็แปลว่าการที่ธรรมยุตไม่ใส่รองเท้า ไม่ได้แปลว่าเคร่งครัดกว่า หากแต่เป็นการตีกิน ไม่ยอมบอกกล่าวแก่คนที่ไม่รู้พระวินัยอย่างละเอียดเท่านั้น

อีกส่วนหนึ่งก็คือธรรมยุตไม่ฉันนม บอกว่าเคร่งครัดกว่า อาตมาเองก็ยังแปลกใจว่าเคร่งครัดกว่าตรงไหน เพราะว่าพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ว่า เภสัชก็คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย สามารถฉันหลังเพลได้ ธรรมยุตที่บอกว่าไม่ฉันนม ถ้าญาติโยมไปเห็น จะเห็นว่าตอนเย็น ๆ เขามีการฝานเนยเป็นแผ่น แล้วแถมยังมีการประดับด้วยพริกอีก เสียบไม้จิ้มฟันเรียงไว้เป็นตับ ก็ฉันกันเป็นปกติ อาตมาเองยังสงสัยอยู่ว่านมกับเนยนี่อย่างไหนจะแย่กว่ากัน ?

บางท่านบอกว่าที่ท่านไม่ฉันนม เพราะว่านมมีส่วนของแป้งที่เป็นอาหาร อันนี้ใช่ ถ้าเป็นนมข้น แต่ถ้าหากว่าเป็นนมสด นมส้ม หรือว่าที่เราเรียกกันว่าเป็นนมเปรี้ยว พวกนี้ก็ไม่ได้มีส่วนประกอบอย่างที่ว่ามา แต่ท่านก็ว่าท่านไม่ฉันแล้วท่านเคร่งครัดกว่า โปรดทราบว่าอย่าไปให้ท่านแหกตาเราบ่อยนัก ทุกวันนี้สายตาเราก็กว้างมากพอแล้ว

เถรี
01-06-2018, 08:36
ในเรื่องของพระธรรมยุตกับมหานิกายเท่าที่อาตมาพบมา ส่วนที่ท่านดีก็มีอยู่มาก ท่านที่ปฏิบัติถึงก็ไม่ได้มีความรังเกียจในพระมหานิกายเลย ส่วนท่านที่ปฏิบัติไม่ถึง แต่ว่าสร้างอาบัติ เพิ่มอาบัติให้แก่ตัวเอง ศีลขาดอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่นอาตมาไปวัด ท่านพรรษาน้อยกว่า แต่ท่านก็ไม่กราบ ไม่ไหว้ ไม่ปฏิสันถารตามแบบของสามีจิกรรม ตามกิจวัตร วิธีวัตร อาคันตุกะวัตรที่พระพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้ ก็แปลว่าท่านศีลขาดอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านคิดว่าท่านบริสุทธิ์กว่า ท่านไม่สามารถจะไหว้พระมหานิกายได้ นั่นแปลว่าแบกสักกายทิฐิและแบกมานะสังโยชน์ไว้เต็ม ๆ จัดเป็นสีลัพพตปรามาส คือการยึดมั่นในหลักปฏิบัติของตนว่าดีกว่าคนอื่นเขา ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านี้ อาตมารับประกันว่าเอาดีไม่ได้อย่างแน่นอน

แต่ว่าหลายท่านที่ท่านปฏิบัติเคร่งครัดเข้าถึง มีความรู้ว่าสภาพของธรรมชาติของบุคคลก็ดี หรือว่าหลักการของศีลพระก็ดี ไม่ได้อยู่ที่นิกาย แต่อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็จะมีการปฏิสันถารตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านให้เอาไว้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่บ่งบอกถึงภูมิธรรมในจิตในใจของท่าน ว่ามีการปฏิบัติที่สูงต่ำเพียงไร

ฉะนั้น...ในส่วนนี้ที่บอกเพื่อให้ญาติโยมเข้าใจว่า พระมหานิกายไม่เคยรังเกียจพระธรรมยุต แต่พระธรรมยุตมักจะตั้งข้อรังเกียจพระมหานิกายว่าไม่เคร่งครัด ไม่บริสุทธิ์เท่ากับท่าน ซึ่งกลายเป็นการแบกกิเลสเอาไปอวดคนอื่นเขา อาตมาเห็นทีไรก็สงสารท่านทุกครั้งว่า ถ้าท่านยังแบกกิเลสอยู่ลักษณะนี้แล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้ไปบอกไปกล่าวอะไร เพราะว่าเรื่องของการปฏิบัตินั้น ถ้าเราไม่เห็นโทษด้วยตนเอง เราก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ พอคนอื่นมาบอกกล่าว ถ้ารับไม่ได้ เกิดโทสะ ไม่พอใจขึ้นมา ก็กลายเป็นเพิ่มกิเลสให้แก่ตนเองมากขึ้นไปอีก

อาตมาจึงถือคติว่า อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ การที่เราเอาไม้สั้น ๆ ไปตีกองขี้ มีแต่จะกระจายใส่ตัวแล้วเหม็นเราเสียเปล่า ๆ เรื่องพวกนี้จริง ๆ แล้วไม่ควรที่จะเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา เพราะว่าทุกรูปทุกท่านก็คือศากยบุตรพุทธชิโนรสเหมือนกัน เพียงแต่ว่าแนวปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันไป ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนต่อ ๆ กันมา

เถรี
01-06-2018, 08:45
ซึ่งตั้งแต่สมัยหลังพุทธกาลก็เริ่มมีการแตกแยกแล้ว เนื่องจากว่าทางฝ่ายเถรวาทที่นำด้วยพระมหากัสสปะ ๕๐๐ รูปทำการสังคายนาพระธรรมวินัย แล้วพระปุราณะเถระจากทักขิณาคีรีชนบท ถ้าเปรียบเป็นสมัยนี้ก็ประมาณแม่สายหรือสุไหงโกลก กว่าท่านจะเดินทางมาถึง ทางคณะสงฆ์ก็ทำการสังคายนาพระวินัยเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว คณะสงฆ์ก็แจ้งให้ท่านทราบว่าได้ทำการสังคายนาพระวินัยอย่างนี้ ๆ

ท่านก็บอกว่า "อาวุโส...เราขออนุโมทนาด้วย แต่เราจะปฏิบัติเฉพาะที่ได้ยินมาจากพระโอษฐ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น" ซึ่งตรงส่วนนี้เป็นส่วนที่ผิด เหตุที่ผิดก็เพราะว่าศีลบางข้อ พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เฉพาะช่วงเกิดทุพภิกขภัยหรือฉาตกภัย คือมีการแห้งแล้งอดอยาก ไม่มีอะไรจะฉัน อนุญาตให้ภิกษุฉันของสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ เก็บของเอาไว้ได้โดยที่ไม่เป็นอาบัติ เป็นต้น

แต่เมื่อเวลาเช่นนั้นล่วงพ้นไป พระพุทธเจ้าทรงประกาศยกเลิกสิกขาบทนั้น แต่ว่าพระปุราณะเถระท่านอยู่ในที่ไกล ข่าวคราวไปไม่ถึง ท่านก็ยังคงยึดถือปฏิบัติตามแบบเดิม ๆ ซึ่งกลายเป็นผิดไปแล้ว โดยอ้างว่าท่านได้ยินมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ซึ่งก็ใช่ แต่ตอนที่ท่านประกาศยกเลิก กลับไม่ได้ยิน จึงมีการแตกแยกทางการปฏิบัติกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

พอ ๑๐๐ ปีผ่านไป มีการสังคายนาพระวินัยใหม่ ก็ทำให้ภิกษุวัชชีบุตรไปรวบรวมบริวารได้ ๑๐,๐๐๐ รูป ทำสังคายนาพระวินัยแข่งกัน ทางด้านคณะสงฆ์ที่นำโดยพระยสกากัณฑบุตร รวบรวมพระอรหันต์ ๗๐๐ รูป ทำการสังคายนาพระวินัย ส่วนพระภิกษุวัชชีบุตรไม่รู้ว่าไปพาใครต่อใครมา จนได้ครบ ๑๐,๐๐๐ รูป เรียกว่าคณะมหาสังฆิกะ แล้วทำการสังคายนาพระวินัยกันเอง โดยที่อ้างว่าตัวเองมีคนมากกว่า ไม่ได้ดูว่าที่มากกว่านั้นคุณภาพของคนเป็นอย่างไร ฝ่ายสังคายนาที่ถูกต้องที่ยอมรับ ท่านมีพระอรหันต์ ๗๐๐ รูปช่วยกันทำ ส่วนของตนเองไม่ทราบว่าไปเอาหลวงปู่หลวงตามาจากที่ไหนบ้าง ครบ ๑๐,๐๐๐ รูปก็ทำกันเอง จึงเป็นต้นสายของมหายานตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พอปี​ พ.ศ. ๓๒๕ มีการสังคายนาพระวินัยครั้งที่ ๓ ตอนนี้แตกกระจัดกระจายมาก แยกออกเป็นถึง ๑๘ นิกายด้วยกัน เพราะแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ถือตามที่ครูบาอาจารย์ตัวเองสอน เรียกว่าอาจริยวาท ไม่ฟังคนอื่น ไม่สอบสวนทวนความกับพระไตรปิฎก ก็เลยกลายเป็นนิกายต่าง ๆ มากมาย

เถรี
01-06-2018, 09:14
อย่างปัจจุบันนี้ ในบ้านเราก็มีพวกพุทธวจนะขึ้นมา ซึ่งท่านถือพระวินัยปิฎก มีศีล ๑๕๐ ข้อ ทั้ง ๆ ที่ศีลพระมี ๒๒๗ ข้อ โดยที่กล่าวอ้างว่ามีปรากฏชัดอยู่ในพระสูตร ซึ่งนั่นก็ใช่ แต่เป็นลักษณะของการอ่านพระไตรปิฎกไม่ครบ แล้วก็มั่วเอาเอง อย่างเช่นเราจะประกาศว่า กฎหมายข้อนี้ไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ เราจะไม่ปฏิบัติตาม อาตมารับประกันว่าติดคุกหัวโต เพราะว่ารัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ โดนแก้ไขมา ๒ รอบแล้ว รวมทั้งรอบนี้

ท่านไปเอาเนื้อหาในพระสูตรที่กล่าวถึงศีลพระในระยะแรก ๑๕๐ ข้อมา แล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีแค่นั้น โดยที่ไม่ได้ดูว่าพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมาอีกตั้งหลายสิบข้อ นั่นคือลักษณะของบุคคลที่เรียนแบบอลคัททูปมปริยัติ ก็คือศึกษาแบบจับงูข้างหาง มีแต่จะโดนงูกัดตาย

การศึกษานั้น ในบาลีแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ อลคัททูปมปริยัติ คือการศึกษาแบบจับงูข้างหาง มีแต่เกิดโทษแก่ตัวเอง เดือดร้อนแก่ตัวเอง

ประการที่ ๒ เรียกว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ คือการเรียนแบบคลังสะสมความรู้ ก็คือเก็บรักษาความรู้ไม่ให้สูญหาย เป็นการพยายามท่องจำศึกษาเอาไว้ แต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ตน นอกจากจำได้

ประเภทสุดท้าย เรียกว่า นิสสรณัตถปริยัติ คือการศึกษาเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ มีแต่ท่านประเภทนี้เท่านั้น ที่มีโอกาสได้เข้าถึงรสพระธรรมอย่างแท้จริง

ดังนั้น ในส่วนของพุทธวจนะนั้น เป็นการที่ทางวัดนั้นเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระไตรปิฎก แล้วก็ไปแอบอ้างว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เพราะอ่านพระไตรปิฎกไม่ครบถ้วนยังไม่พอ ยังไม่มีความรู้จริง เนื่องจากว่าปฏิเสธคำสอนของครูบาอาจารย์จนโดนตัดออกจากสายการปฏิบัติ ก็ยังคงไม่ยอมกลับตัว ยังคงประพฤติปฏิบัติแบบเดิมต่อไป​ ซึ่งจะมีโทษแก่ตัวเองและผู้ที่ติดตามอีกด้วย

เรื่องพวกนี้ถ้าเราสามารถชี้แจงให้ญาติโยมรู้ได้อย่างชัดเจน เรื่องที่จะเป็นโทษก็จะไม่มีทั้งทางฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส แต่ถ้าหากว่าเราศึกษาไม่ครบ แล้วก็ยังไปแอบอ้างผิด ๆ นอกจากตัวเราจะเกิดโทษแล้ว ยังพาให้ญาติโยมที่ติดตามหลงออกนอกทางไปไกล มีสิทธิ์ที่จะหลุดออกนอกวงโคจร เข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ยากมาก ๆ เพราะว่าในส่วนของการปฏิบัตินั้น จะมีมารคือผู้ขวางอยู่ตลอดเวลา ถ้าเขาเขี่ยเราพ้นทางได้เมื่อไร เขาก็จะสกัดไม่ให้กลับเข้าทางได้อีก โอกาสที่ท่านจะได้มรรคผลชาตินี้ก็เป็นหมัน ถ้าหากว่าพลาดจากชาตินี้โดยมีมิจฉาทิฐิอยู่ในกมลสันดาน ก็จะพลาดในชาติต่อ ๆ ไปอีกนับชาติไม่ถ้วน

เถรี
02-06-2018, 23:04
ในส่วนของการศึกษานั้น ญาติโยมทั้งหลายพึงทราบว่า ไม่ใช่แต่พระมีหน้าที่ศึกษาพระไตรปิฎกหรือความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ว่าญาติโยมทั้งหลายก็ต้องเป็นผู้ศึกษาด้วย เนื่องเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากภารธุระในพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ญาติโยมหญิงชาย คือ อุบาสกอุบาสิกา พวกเราต้องศึกษาพระวินัยเอาไว้

อันดับแรก เพื่อจะได้รู้ว่าของแท้ของจริงเป็นอย่างไร

อันดับที่สอง เพื่อปฏิบัติพาตัวให้หลุดพ้นจากกองทุกข์

อันดับที่สาม เมื่อท่านรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว สามารถแนะนำผู้อื่นต่อ และถ้ามีผู้ใดมากล่าวตู่พระพุทธศาสนา ท่านจะได้ช่วยแก้ไข เป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของพระภิกษุ สามเณรเท่านั้น

องต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากภาระไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ โดยที่พระองค์ท่านให้ทั้ง ๒ ฝ่ายเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อุบาสกอุบาสิกาเป็นฝ่ายอาคาริกะ คือ ผู้ครองเรือน ทำมาหากิน ได้ปัจจัย ๔ มาแล้วก็แบ่งปันถวายให้กับภิกษุ ภิกษุณี

เถรี
02-06-2018, 23:06
ภิกษุภิกษุณีเมื่อมีปัจจัย ๔ เป็นเครื่องอาศัย ไม่ต้องเดือดร้อนด้วยการทำมาหากิน ก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาและปฏิบัติในพระธรรม เมื่อปฏิบัติได้ผล รู้ว่าทางใดไปง่ายที่สุด ก็จะนำมาบอกกล่าวแก่อุบาสกอุบาสิกา ที่ยุ่งยากด้วยการทำมาหากิน มีเวลาปฏิบัติธรรมได้น้อย เมื่ออุบาสกอุบาสิการู้ทางลัด รู้ทางตรง ก็สามารถที่จะเข้าสู่มรรคเข้าสู่ผลได้เช่นกัน

ดังนั้น ในส่วนของอาคาริกะคือผู้ครองเรือน มีหน้าที่สนับสนุนฝ่ายอนาคาริกะผู้ไม่ครองเรือน ศึกษาได้แล้วนำกลับมาบอกกล่าวต่อ ก็จะอยู่ในลักษณะของการพึ่งพาอาศัยกัน แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า พระพุทธศาสนาของเราก็จะเจริญมั่นคง

ไม่เช่นนั้นแล้ว ถึงเวลาญาติโยมฟังคำกล่าวตู่ของบุคคลผู้ไม่หวังดี พยายามที่จะทำพระพุทธศาสนาเราให้อ่อนแอที่สุด เพื่อที่ถึงเวลาแล้วศาสนาอื่นจะได้เข้ามายึดครองแทน เราก็ไม่สามารถที่จะโต้แย้งใด ๆ ได้ เพราะว่าไม่ได้ศึกษาอะไรไว้เลย ซึ่งส่วนนี้เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

การที่ญาติโยมทั้งหลายจะศึกษาก็มี ๒ วิธี

วิธีแรก อ่านพระไตรปิฎกด้วยตนเอง เรื่องนี้อาตมาปลื้มใจมากเมื่อได้ไปเนปาล ประเทศเนปาลขาดพระภิกษุสงฆ์มา ๗๐๐ กว่าปี อาศัยญาติโยมอ่านพระไตรปิฎกเองแล้วปฏิบัติตามคำสอนในพระไตรปิฎกนั้น ๆ รักษาพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน

จนถึงสมัยสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่​ ๑๙ คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ท่านถึงได้ไปบวชให้กับกุลบุตรทางด้านโน้น ฟื้นฟูพระภิกษุสงฆ์กลับคืนมา ซึ่งพระที่ท่านบวชให้รุ่นแรก ๆ คือท่านเจ้าคุณอนิลมานหรือว่าท่านเจ้าคุณพระศากยวงศ์วิสุทธิ์

เถรี
02-06-2018, 23:07
ดังนั้น เราเองก็สามารถที่จะศึกษาพระไตรปิฎกเองได้ แต่เนื่องจากว่าพระไตรปิฎกนั้นเป็นภาษาเก่า บางทีเราเองก็แปลไทยเป็นไทยไม่ถูก อย่างเช่น เขากล่าวว่าเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงทุคติวินิบาต ฟังแล้วประสาทจะกิน ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าตายห่..แล้วจะลงนรก...!

ถ้าหากว่าท่านอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็สามารถสอบถามได้จากพระภิกษุสามเณรที่วัดใกล้บ้านของท่าน หรือถ้าหากว่าไม่มั่นใจว่าท่านจะรู้จริง มีเวลามาถามอาตมาถึงที่นี่ก็ได้ หรือไม่ก็ต้นเดือน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อาตมาจะอยู่ที่บ้านเติมบุญ ตรงสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีบางรักใหญ่) ถ้าออกจากกรุงเทพฯ มา ก็ก่อนถึงเซ็นทรัลเวสต์เกต ๒ สถานี บ้านจะอยู่ตรงข้าง ๆ สถานีนั้นเลย สามารถไปสอบถามได้เดือนละ ๓ วัน ไม่ต้องเดินทางมาถึงที่นี่

ในส่วนนี้ก็ขอฝากแก่ญาติโยมเอาไว้ว่า พระพุทธเจ้าฝากภารธุระในพระพุทธศาสนาให้แก่พวกเราทุกคน อย่าผลักภาระให้กับเฉพาะพระเณรเท่านั้น เพราะว่าภิกษุณีในปัจจุบันบ้านเราไม่มีแล้ว วงศ์ของภิกษุณีขาดสูญไปนานแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ถ้าพระพุทธศาสนานี้มีภิกษุณีอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะตั้งมั่นอยู่ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี

เถรี
02-06-2018, 23:09
ถ้าญาติโยมดูข่าวคราวในปัจจุบันนี้ก็จะเห็นว่า บรรดาญาติโยมผู้หญิงทั้งหลายอยู่กับบ้านแท้ ๆ ก็ยังโดนลากเข้ากุฏิไปเสียเยอะ เป็นข่าวเป็นคราวไม่ดีไม่งามออกมาอยู่เรื่อย ๆ แล้วภิกษุณีนั้นมีกติกาบังคับว่า ต้องอาศัยอยู่ร่วมกับพระภิกษุ โอกาสที่ปุถุชนทั้งหลายจะกระทำเรื่องผิดเรื่องพลาดให้ศาสนามัวหมองเสียหาย จนคนหมดความเลื่อมใสแล้วศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้ก็จะมีอยู่มาก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า

อันดับแรก ผู้ที่จะบวชภิกษุณีต้องรับครุธรรม ๘ ประการ ประการหนึ่งก็คือ เมื่ออุปสมบทในส่วนของภิกษุณีแล้วต้องมาญัตติซ้ำในส่วนของภิกษุสงฆ์

ประการที่สอง ปวัตตินี ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของภิกษุณีนั้นต้องได้ ๒๐ พรรษาขึ้นไป ถึงจะเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ภิกษุณีได้ ในขณะที่ฝ่ายสงฆ์นั้น ถ้าได้ ๑๐ พรรษา รู้พระวินัยครบถ้วน ก็สามารถเป็นพระอุปัชฌาย์ได้

พระอุปัชฌาย์ฝ่ายปวัตตินีนั้น จะบวชภิกษุณีได้แค่ปีละ ๑ รูป เมื่อบวชแล้วต้องเว้นไปอีกปีหนึ่ง ถึงจะบวชได้ใหม่ ก็แปลว่า ๒ ปีบวชภิกษุณีได้ ๑ รูป

ส่วนผู้ที่จะเป็นภิกษุณีนั้นต้องมาเป็นสิกขมานา ถือศีลข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๖ ในศีล ๘ อย่างเคร่งครัดเป็นระยะเวลา ๒ ปี ถ้าศีลไม่ขาดถึงอนุญาตให้บวชได้ ถ้าศีลขาดเมื่อไร ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทันที

เถรี
02-06-2018, 23:12
วิธีการทั้งหลายเหล่านี้จะเห็นได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าป้องกันไม่ให้มีวงศ์ภิกษุณีสืบต่อกันไปเบื้องหน้า แต่ปัจจุบันนี้มีบางท่านที่พยายามจะประกาศตนเป็นภิกษุณี เมื่อทางด้านคณะสงฆ์บ้านเราไม่อนุญาตให้บวช ก็ไปบวชจากต่างประเทศมา โดยอ้างว่าที่โน่นมีการสืบสายกันมาจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งในเรื่องของพระธรรมวินัยย่อมไม่ใช่เรื่องของกฎหมายบ้านเมือง ย่อมไม่ใช่เรื่องของสิทธิเสรีภาพทั่วไป แต่ปัจจุบันนี้มีการอ้างว่าเป็นสิทธิของสตรีที่จะออกบวช ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้คัดค้าน แต่ว่าบวชแล้วไปประกาศตนเป็นภิกษุณี ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าสังกัดที่ไหน บวชมาได้อย่างไร

อาตมายังสงสัยว่าเมื่อถึงเวลาถ้าญาติโยมตั้งใจถวายของให้กับพระ พระในที่นี่คือพระผู้หญิง อาตมาก็ยังสงสัยว่า ถ้าหากว่าท่านไปกินไปใช้แล้วจะติดหนี้สงฆ์หัวโตหรือไม่ ? เพราะว่าโดยเพศภาวะแล้วท่านแค่โกนศีรษะ นุ่งห่มตามแบบ แต่ว่าเรื่องของการยกขึ้นเป็นอุปสัมบันคือเป็นภิกษุณีนั้นไม่สมบูรณ์

เถรี
05-06-2018, 19:49
เรื่องพวกนี้ที่เกิดขึ้นในบ้านเราเมืองเราเป็นจำนวนมาก ก็เพราะเกิดจากการแกล้งโง่อย่างหนึ่ง กับ ไม่รู้จริงอย่างหนึ่ง

การแกล้งโง่ อย่างเช่นว่า ศีลของพระนั้นขาดทันทีที่ล่วงละเมิด อย่างเช่นว่าถ้าฉ้อโกงเงินโยมตั้งแต่ ๑ บาทขึ้นไป ขาดจากความเป็นพระทันที แต่สมัยนี้ไม่ยอม บอกว่าต้องรอให้ศาลตัดสินเสียก่อน โดยการดึงเอาเรื่องทางโลกมาปะปนกับทางธรรม ซึ่งเป็นคนละสาเหตุ คนละประเด็นกัน เนื่องจากว่าพระวินัยคือศีลพระนั้น ขาดทันทีที่ทำสำเร็จ ไม่สามารถที่จะต่อติดได้ใหม่ แต่ปัจจุบันนี้มีลักษณะที่ว่า ถึงเวลาคืนเงินไปก็จบ ถึงเวลาถ้าศาลยังไม่ตัดสิน ผมก็ไม่ยอมรับ เป็นต้น

เราจะเห็นได้ว่าพวกเราหลงประเด็นไปไกลมากเกินไปเสียแล้ว ครูบาอาจารย์สมัยนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาเรียนรู้ ให้รู้จริงทั้งทางโลกทางธรรม ถึงเวลาจะได้ชี้แจงแสดงเหตุให้แก่พระภิกษุสามเณรได้รู้ชัดแจ้ง และถ้าญาติโยมสงสัยก็จะได้ชี้แจงให้โยมเข้าใจได้ถูกต้อง

เถรี
05-06-2018, 19:54
เมื่อเดือนที่แล้ว อาตมาได้รับคำขอร้องจากหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ บอกว่า "อาจารย์พระครู ช่วยไปตัดสินความที่วัดหนองเจริญให้หน่อย เจ้าอาวาสเขาตัดสินว่าพระผิด แต่พระไม่ยอมรับ" อาตมาก็ถามวันเวลา แล้วก็นัดแนะทั้งโจทก์ทั้งจำเลย ก็คือฝ่ายของอาตมาที่ไป มีเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลในพื้นที่และเจ้าอาวาส โดยมีตัวอาตมาที่เรียนจบปริญญาเอก มีคำว่า ดร. ต่อท้ายเอาไว้ขู่เขา

เมื่อถึงเวลาก็ให้จำเลย คือพระรูปนั้นท่านเล่ามาว่าอะไรเป็นอะไร ท่านก็บอกว่า ท่านทำด้วยความหวังดี ปรารถนาดีทุกอย่าง แต่ทำไมเจ้าอาวาสไปว่าท่านผิด แล้วจะไล่ท่านออกจากวัดด้วย ท่านเล่าตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว อาตมาจึงได้บอกว่า เท่าที่ผมฟังมา ผมมั่นใจว่าท่านไม่เคยศึกษาพระวินัยเลย สิ่งที่ท่านทำผิด ผมจะบรรยายให้ฟังทีละข้อ

ข้อที่หนึ่ง ท่านเห็นว่าหน้าวัดรก เพราะว่ามีต้นไม้ใหญ่บังหน้าวัด ท่านก็ไปตัดเสียราบเลยเพื่อให้เขาเห็นหน้าวัดตัวเอง ต้นไม้เหล่านั้นอยู่ในเขตทางหลวง คุณทำผิดกฎหมาย ถ้าทางหลวงเขาฟ้องเมื่อไร ก็ติดคุกหัวโตเมื่อนั้น

ข้อที่สอง เจ้าอาวาสเลี้ยงเณรเอาไว้มาก ถึงเวลาหลังจากการเรียนแล้ว เณรก็วิ่งเล่นบ้าง บังคับรถวิทยุเล่นบ้าง ท่านก็เที่ยวไปไล่ต้อนเณรมานั่งสมาธิ เจ้าอาวาสบอกว่าคุณไม่ได้มีหน้าที่ตรงนั้น ผมมอบหมายให้รองเจ้าอาวาสเขาดูแลเณร คุณจะไปยุ่งกับเขาทำไม ? แต่ท่านก็ยังบอกว่า ท่านทำไปด้วยความหวังดี ซึ่งเป็นความหวังดีที่แท้จริง แต่ว่าเจ้าอาวาสนั้นโดยตำแหน่งแล้ว เป็นเจ้าพนักงานโดยกฎหมาย ถึงเวลาสั่งความอะไรไป ถ้าหากว่าเราไม่ทำตาม คือเรากำลังฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ฉะนั้น...ในส่วนนี้ก็แปลว่าท่านไม่ได้ศึกษาทั้งทางโลกทั้งทางธรรมเลย

โดยเฉพาะธรรมชาติของเด็กก็ต้องมีสนุกบ้าง แล้วเขาเองก็ไม่ได้ไปเล่นข้างนอก เล่นกันอยู่ในศาลาที่ปิดมิดชิด ญาติโยมไม่ได้เห็น ไม่ทำให้เสื่อมศรัทธา จะไปบังคับให้เด็กนั่งกรรมฐานทั้งวัน อย่าว่าแต่เด็กเลย คุณเองก็ทำไม่ได้

นี่คือสิ่งที่พระของเราไม่เข้าใจว่า ในบางส่วนนั้นเป็นอย่างไร แล้วนึกอยากจะเข้าบ้านก็เข้า โดยที่ไม่ได้ดูว่าศีลพระนั้น ถ้าจะเข้าบ้านต้องบอกลาก่อน เมื่อเจ้าอาวาสเตือนก็ไม่ฟัง เพราะคิดว่าตัวเองสามารถไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยได้ เป็นเรื่องที่สมควร นี่คือการที่คิดว่าคาดว่าโดยสามัญสำนึก โดยไม่ได้ดูพระวินัยที่เป็นตัวบทกฎหมายควบคุมพระ

เมื่อชี้แจงให้ท่านทราบเป็นข้อ ๆ ว่าข้อนี้ผิดกฎหมายบ้านเมือง ข้อนี้ผิดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ข้อนี้ผิดพระวินัย ในเมื่อเตือนแล้วไม่ทำตาม เป็นการว่ายากสอนยาก เจ้าอาวาสท่านให้ออกไปก็ถือว่าท่านทำถูกต้อง

เถรี
05-06-2018, 19:57
บางอย่างอยากให้ทุกท่านได้รู้ไว้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรที่เราคิดว่า คาดว่า เห็นว่า แสดงว่า หมายความว่า ซึ่งใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเรื่องของพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอริยสัจ คือความเป็นจริงที่ท้าพิสูจน์ได้ อย่าไปคิดว่า คาดว่า อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น ซึ่งปัจจุบันนี้ครูบาอาจารย์หลายสาย ที่นอกลู่นอกทาง ก็มีการคิดว่าคาดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ มีการวิพากษ์ถึงพระนิพพานต้องเป็นอย่างนั้น พระอรหันต์ต้องเป็นอย่างนี้ แม้แต่มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่อาตมาสอนอยู่ทั้ง ๓ แห่ง ก็ยังมีการวิเคราะห์ว่าพระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องนี้ ในขณะนั้นพระองค์ท่านคิดอะไรอยู่ ต้องบอกว่าเก่งเกินไป ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า "เจียะป้าบ่อสื่อ" ภาษาไทยว่า แดกอิ่มแล้วไม่มีอะไรจะทำ...!

พระพุทธเจ้าท่านเป็นอัจฉริยะมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ท่านรู้คือใบไม้ทั้งป่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่พระองค์ท่านสอนมาคือใบไม้กำมือเดียว ก็ยังมีพวกหิ่งห้อย ไม่ได้สนใจว่าดวงอาทิตย์สว่างแค่ไหน พยายามจะพินิจพิจารณา และคิดว่าพระอาทิตย์สว่างเท่ากับหิ่งห้อยเท่านั้น ซึ่งเรื่องพวกนี้ถ้าเราทำไป ก็เป็นการสร้างกรรมเสียเปล่า ๆ ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์สามเณรของเราจึงควรที่จะศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ชี้แจ้งให้แก่ญาติโยมได้ ทั้งประเด็นทางโลกและประเด็นทางธรรม

เถรี
05-06-2018, 20:00
เมื่อวานซืนอาตมาไปประชุมเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีทั้ง ๒๕ สำนัก ​ก็มีบางสำนักบอกว่า ยึดหลักสูตรการปฏิบัติตามหลักสติปัฎฐานสี่ ๑๖ ขั้น สติปัฎฐานสี่ ๑๖ ขั้นนี้ ขั้นไหนอยู่ในกายในกาย ขั้นไหนอยู่ในเวทนาในเวทนา ขั้นไหนอยู่ในจิตในจิต ขั้นไหนอยู่ในธรรมในธรรม ต้องทำไปตามลำดับถึงจะถูกต้อง อาตมาฟังแล้วก็กลุ้มใจ

เพราะเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น แค่คุณตั้งใจบังคับลมหายใจเข้าออกก็ผิดแล้ว เพราะว่าลมหายใจนั้น จะแรงจะเบา จะยาวจะสั้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เขาอ้างบาลีว่า ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง เป็นต้น

ก็คือ หายใจเข้ายาวรู้ว่าหายใจเข้ายาวเป็นขั้นหนึ่ง หายใจออกยาวรู้ว่าหายใจออกยาวเป็นขั้นหนึ่ง หายใจเข้าสั้นรู้ว่าหายใจเข้าสั้นเป็นขั้นหนึ่ง หายใจออกสั้นรู้ว่าหายใจออกสั้นเป็นขั้นหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น สลับกันไป สลับกันมา

ซึ่งความจริงแล้วสิ่งที่เราทำนั้น แค่ข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น ถ้าร่างกายต้องการหายใจยาว เราก็ตามรู้ว่าตอนนี้หายใจยาว ถ้าร่างกายหายใจสั้น เราก็ตามรู้ว่าร่างกายหายใจสั้น ไม่ใช่บังคับให้เป็นไปทีละขั้น ๆ ตามนั้น สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ นั่นก็คืออย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด

ฉะนั้น เราจะเห็นว่าแม้แต่สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ที่ได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งโดยมหาเถรสมาคม ก็ยังมีการเข้าใจผิดไปไกลขนาดนั้น โดยอ้างว่าท่านพุทธทาสภิกขุเป็นคนบอกกล่าวเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านพุทธทาสภิกขุบอกกล่าวเช่นนั้น อาตมาก็ฟันธงว่าท่านพุทธทาสภิกขุไม่เคยปฏิบัติจริงเลย นอกจากว่าตามตำรามั่วไปเอง เพราะคนที่ปฏิบัติจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ไปจับแพะชนแกะในลักษณะอย่างนั้น

เถรี
05-06-2018, 20:06
ในส่วนของการสร้างบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทที่ทำนั้น เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน

สาเหตุแรกก็คือ หลวงปู่สาย อคฺควํโส อดีตเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านปรารภไว้ว่าจะทำ แต่ก็ไม่มีโอกาสทำจนท่านมรณภาพไป เจ้าอาวาส ๒ รูปถัดมา ศักยภาพก็ไม่เพียงพอที่จะทำ ญาติโยมในยุคนั้นก็ล้มหายตายจากไปหลายคน ที่เหลืออยู่อยากจะเห็น อาตมาก็เลยต้องรีบทำ

ประการที่สองคือ พอทำแล้วจะกลายเป็นแหล่งเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของอำเภอทองผาภูมิ ถ้ามีคนมาเที่ยว ก็แปลว่าการกินการอยู่ที่หลับที่นอนอะไรต่าง ๆ ก็จะต้องมาอาศัยในพื้นที่ เม็ดเงินต่าง ๆ ก็จะตกแก่ญาติโยมในพื้นที่ของเรา เศรษฐกิจก็จะได้เจริญขึ้น อาตมาถึงได้ยอมลงทุนไป ๑๒​ ล้าน ๘ แสนบาท

แต่ปรากฏว่าพอทำเสร็จแล้ว ทางผู้รับเหมาบ่น เนื่องจากว่าต้องแบกเหล็กขึ้นไปทีละท่อน เฉพาะค่าแรงแบกเหล็กอย่างเดียว เดือนหนึ่งประมาณ ๔ แสนบาท สรุปว่าค่าแรงแบกเหล็กอย่างเดียวเกือบ ๖ ล้านบาท ถ้าโยมสงสัยว่าเหล็กอะไร ? เป็น I-BEAMS ตัวหนึ่ง ๘ คนแบกหลังแอ่นเลย ถ้าไม่ทำแข็งแรงขนาดนั้นเดี๋ยวก็พัง แล้วที่จำเป็นต้องใช้เหล็กเพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นไฟไหม้บ่อย เนื่องจากมีคนมือบอนชอบจุดไฟ ก็เลยลงทุนไปทั้งหมด ๑๒ ล้าน ๘ แสนบาท ผู้รับเหมาบอกว่าเกือบจะไม่เหลือเงินติดกระเป๋า ของานหลวงพ่อเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง อาตมาเลยให้ทำบันไดขึ้นพระเจดีย์ทางฝั่งนี้ ปีนี้ถ้าหากว่าใครมาตักบาตรเทโวฯ จะมีบันไดใหม่ให้ขึ้นสะดวก ๆ

ในส่วนที่กล่าวมาถึงนี่จะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว พระภิกษุสงฆ์ของเราทำประโยชน์ให้กับพระศาสนาและประเทศชาติมากมายมหาศาล แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าทำดีเท่าไรไม่มีคนเห็น แต่ถ้าทำผิดเมื่อไรมีแต่คนรุมด่า เรื่องที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายต้องพึงสังวรเอาไว้ว่า บางอย่างก็เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจที่จะช่วยกันทำลายพุทธศาสนา จึงออกแต่ข่าวที่ไม่ดีไม่งามเท่านั้น ข่าวที่ดีไม่มีเลยที่จะช่วยออกให้ จนกระทั่งเขากล่าวกันว่า ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียเงิน

ดังนั้น ในส่วนนี้ที่พวกเราทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา และขณะเดียวกันก็ต้องทำให้เกิดผลจริง เมื่อถึงวาระถึงเวลาแล้ว เราจะได้สามารถบอกกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำ บอกกล่าวได้อย่างถูกต้องแบบคนที่เรียนรู้มาจริง ๆ ไม่ใช่เชื่อตาม ๆ กันไป แล้วก็หลงทางเตลิดเปิดเปิง เอาความรู้ที่ผิด ๆ พลาด ๆ ไปนั่งเถียงกัน แล้วทำให้เกิดการแตกแยกในศาสนาของเรามากขึ้นไปทุกที

เถรี
05-06-2018, 20:28
ตอนนี้ผ้ายันต์เกราะเพชร ทั้งรุ่น ๑ รุ่น ๒ ที่สร้างมา ต้องบอกว่าหลายหมื่นผืน หมดเกลี้ยงไปแล้ว คงต้องรอรุ่น ๓ ที่ทำใหม่ จะได้ติดตัวเอาไว้ เผื่อว่าละเมิดศีล อย่างน้อย ๆ ยันต์เกราะเพชรในตัวสูญหาย ที่ติดตัวก็ยังอยู่

เถรี
05-06-2018, 20:31
ส่วนในเรื่องของการรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเรามียันต์เกราะเพชรติดตัวอยู่จริง ? เขามีวิธีพิสูจน์อยู่ ๒ อย่างด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ค่อยน่าพิสูจน์เท่าไร อันดับแรกก็คือหาสาว ๆ ที่ท้องครั้งแรกมาเข้าพิธี ถ้าคลอดลูกคนแรกออกมาเป็นผู้ชาย จะมียันต์ติดตัวออกมาด้วย ซึ่งตั้งแต่อาตมาจัดพิธีไป มีเด็กหลายคนแล้วที่มียันต์ติดตัวมาลักษณะอย่างนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนไปภูเก็ต ยังถามโยมที่ลูกมียันต์เกราะเพชรติดตัวมาว่ายังอยู่ไหม ? เขาบอกว่าหายไปภายใน ๗ วันแล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามที่ตำราว่าไว้

ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือสำหรับผู้ใหญ่ ไปพิสูจน์ได้ตอนตาย ซึ่งไม่มีใครอยากพิสูจน์ เพราะว่าเผาแล้วจะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก ลูกศิษย์สายวัดบางนมโคหรือสายวัดท่าซุงหลายท่าน เผาแล้วมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก ล่าสุดนี้ที่เขาส่งข่าวมา เขาถ่ายรูปมาให้ดูด้วย มียันต์ติดอยู่ที่กะโหลกศีรษะ แต่ว่าลูกศิษย์วัดท่าขนุนที่รับยันต์ไปยังไม่มีใครตาย พิสูจน์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครเต็มใจให้เขาพิสูจน์ก็รีบตาย อาตมาจะเผาให้ฟรี...!

ในส่วนนี้ถ้าหากว่าพิสูจน์ยากก็มีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือหางูพิษที่ร้าย ๆ หน่อยมาลองกัดเราดู ถ้าไม่ตายก็แปลว่ายันต์เกราะเพชรยังอยู่กับท่าน เป็นวิธีที่น่าจะพิสูจน์ได้ง่ายที่สุด แต่ก็คาดว่าไม่มีใครยอมพิสูจน์อีกตามเคย

เถรี
06-06-2018, 18:06
ถาม : ผ้ายันต์เกราะเพชร ?
ตอบ : ไม่มีอะไรเหลือแล้ว แม้แต่ที่บ้านเติมบุญเขาก็ขนมาหมดเกลี้ยงแล้ว เดี๋ยวรอรุ่น ๓ จะทำยันต์เกราะเพชรเป็นแผ่นโลหะ มีขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก เผื่อเขาไปม้วนทำตะกรุด ขนาด ๓X๕ เซนติเมตร กับ ๕X๘ เซนติเมตร น่าจะกำลังสวย


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)