View Full Version : เก็บตกงานเป่ายันต์ วันเสาร์ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์กล่าวกับลูกศิษย์ชายที่แจกวัตถุมงคลให้กับผู้หญิงว่า "ถ้าไม่จำเป็นสุดขีดอย่าไปแตะต้องตัวเขา บางคนถือศีล ๘ แตะถูกหน่อยหนึ่งเขาจะรู้สึกหมองไปหลายวัน"
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลที่แจกในครั้งนี้ เข้าพิธีมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะพิธีเสาร์ ๕ เดือน ๕ ที่ผ่านมา"
ครูบาหน่อแก้วฟ้าถวายประคำแด่หลวงพ่อ "เขาเรียกว่าไม้ดำดง ถ้าไม้งิ้วดำเนื้อจะเบา ถ้าหากว่าเนื้อหนักแบบนี้ แต่มีลายสีน้ำตาลอ่อนแทรกมา ก็เป็นไม้มะเกลือ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้เวลา ๗ โมงเช้า เหลืออีก ๓๐ นาทีจะเริ่มการบวงสรวงไหว้ครูและพุทธาภิเษก ญาติโยมทั้งหลายที่ศึกษาวิชาการมา ไม่ว่าจะเป็นสายไหนก็ตาม ถ้าหากว่าตั้งใจไหว้ครูรวมกันในวันนี้ก็ได้
เนื่องเพราะว่าการไหว้ครูของสายนี้นั้น เราไหว้ตั้งแต่ครูใหญ่ คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมา ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระพรหมและเทวดาทั้งหมด บรรดาครูฤๅษีทั้ง ๑๐๘ ส่วนใหญ่แล้วเป็นพรหม ท่านครูนาฏศิลป์หรือครูแห่งศิลปวิทยาการ คือ ท่านพระพิฆเณศวร์เป็นเทวดา ท่านไภรวะหรือพระพิราพเป็นเทวดา ดังนั้น...ให้ตั้งใจไหว้ครูรวมกับทางวัดทั้งหมดได้เลย"
พระอาจารย์เตือนลูกศิษย์ที่แจกวัตถุมงคลพลาด "สรุปว่านั่งเหม่อใช่ไหม ? อะไรที่เป็นงานของเรา ก็เอาใจจดจ่ออยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ไปนั่งเหม่อ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของความยากลำบาก เหมือนกับที่โบราณว่า ก่อนที่ฟ้าจะสว่างก็ต้องมืดสนิทเสียก่อน
ประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ยุคที่ยากลำบากที่สุดยุคหนึ่งก็คือยุครัชกาลที่ ๕ พระองค์ท่านสามารถนำสยามรัฐนาวาฝ่าคลื่นลมการล่าเมืองขึ้น ฝ่าสถานการณ์เศรษฐกิจมาได้ พวกเราระยะนี้จึงต้องอาศัยบารมีระดับนั้นของพระองค์ท่าน ในการฝ่าสถานการณ์"
พระอาจารย์ให้พรต่อท่านที่มาทำโรงทาน "ขออนุโมทนาต่อท่านเจ้าของโรงทานทุกร้าน ที่มาตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารฟรี บุญกุศลนี้ขอให้ท่านทั้งหลายมีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังทุกอย่าง ขอให้ร่ำรวยมาก ๆ โดยถ้วนหน้ากัน"
มีรถเข้ามาขายของในวัด "เจ้าหน้าที่ด้านนอก ถ้าหากว่ามีใครมาเปิดร้านขายของ แจ้งเขาว่าวันนี้ฟรีทุกอย่าง วัดเราเต็มใจให้เปิดร้านถ้าแจกฟรี เนื่องจากว่าโรงทานทุกโรงของเราเลี้ยงฟรีอยู่แล้ว ถ้าเต็มใจจะเลี้ยงฟรีเหมือนกับโรงทานก็เข้ามาได้เลย...! "
พระอาจารย์กล่าวว่า "บายศรีที่ญาติโยมกำลังเซลฟี่อยู่ ได้รับความเมตตาจากคณะของพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม เปรียญธรรม ๖ ประโยค วัดปากน้ำภาษีเจริญ นำคณะพระภิกษุและญาติโยมมาร่วมกันจัดถวายให้กับทางวัดท่าขนุนทุกครั้ง ซึ่งบายศรีบวงสรวงชุดใหญ่คราวนี้ ราคาหลายหมื่นบาท แต่ได้ความศรัทธาของท่านกับคณะที่มาจัดให้กับทางวัด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "รูปท้าวมหาราชทั้ง ๔ ที่แจกไปนั้นมียันต์เกราะเพชรอยู่ทั้ง ๒ ด้าน ส่วนใหญ่แล้วโยมไม่ได้สังเกตว่าให้อะไรไป ถามหายันต์แต่ไม่ได้มองที่รูปกันเลย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมขยับขึ้นหน้ามาเลยจ้ะ เห็นตรงหน้ามีที่ว่างก็เข้ามาหน่อย เพราะว่าด้านนอกแดดร้อนมาก หลายท่านจะนั่งรับยันต์ด้านนอกก็คงไม่ไหว
สรุปว่าศาลาพอ แต่ใจคนคับแคบก็เลยไม่พอ แทนที่จะแบ่งปันกัน ก็ทำตัวเป็นคนใจแคบนั่งอยู่กับที่ แสดงออกซึ่งความเห็นแก่ตัวอย่างชัดเจน ประเภทนี้ถ้าอาตมาเป็นฆราวาสจะไม่คบด้วย เพราะว่าเอาสบายคนเดียว โดยไม่ได้คำนึงถึงคนอื่นที่ตากแดดร้อนอยู่ข้างนอก
การมาวัดส่วนหนึ่งก็คือ วัดกำลังใจของเราว่ามี รัก โลภ โกรธ หลง เท่าไร เมื่อรู้ตัวแล้วก็รีบแก้ไข ไม่ใช่รู้แล้วก็ยังปล่อยให้กิเลสจูงจมูกอยู่ได้ กูจะต้องเอาสบายคนเดียว ถ้าอย่างนั้นก็จะต้องเกิดมาทุกข์อีกหลายชาติ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่ญาติโยมเห็นอยู่ด้านหลังอาตมานี้ คือ มณฑปสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ นาก และเงิน ทางวัดเพิ่งจะหล่อหลวงพ่อเงินด้วยเนื้อเงิน ๑๕๐ กิโลกรัม เสร็จไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าจะหล่อหลวงพ่อนาก ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือของอาตมา พอเดือนกุมภาพันธ์ปี ๖๒ จะหล่อหลวงพ่อทองคำ
หลวงพ่อนากที่จะหล่อปีหน้านี้หนัก ๑๖๐ กิโลกรัม ส่วนหลวงพ่อทองคำหนัก ๑๔๐ กิโลกรัม อาตมาสร้างขึ้นด้วยแนวคิดที่ว่า จังหวัดกาญจนบุรีเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญมาก แต่ไม่มีพระพุทธรูปสำคัญเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศเลยแม้แต่องค์เดียว ขนาดหลวงพ่อดำ วัดตะคร้ำเอนว่าดังมาก ๆ ก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราจะไปรอให้ฟ้าประทานมาก็ไม่ได้ ท่านบอกว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน ในเมื่อไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้น...อีกไม่เกิน ๒ ปี โยมจะได้เห็นพระพุทธรูปทองคำ นาก และ เงิน ปรากฏขึ้นที่วัดท่าขนุนแห่งนี้"
"มณฑปที่ด้านหลัง สร้างโดยช่างฝีมือซึ่งได้ซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ มา เขาคิดแค่ตัวมณฑปข้างหลังนี้ ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ตอนนี้ช่างชุดนี้โดนเกณฑ์ไปทำพระเมรุมาศถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทั้งหมด ไม่สามารถจะดำเนินงานส่วนบน ก็คือชั้นบนของศาลาหลังนี้ ซึ่งจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ออกแบบและประเมินราคามาเรียบร้อยแล้ว ๔๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ได้แค่ค่าออกแบบเท่านั้น เพราะว่าจนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ลงมือ เนื่องจากว่าโดนเกณฑ์ไปทำพระเมรุมาศกันหมด"
"ส่วนองค์พระประธานในศาลานี้ นั่นคือสมเด็จองค์ปฐม หล่อโลหะทั้งองค์และฐาน ปกติพระใหญ่ขนาดนี้ เขาหล่อโลหะเฉพาะองค์พระเท่านั้น แต่ว่าองค์นี้เจ้าภาพหล่อฐานให้ด้วย เฉพาะฐานอย่างเดียว น้ำหนัก ๓ ตันเศษ กว่าจะเอาขึ้นแท่นได้ พระต้องแบกกันหน้ามืด..!
เจ้าภาพใหญ่ก็คือ พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม วัดปากน้ำภาษีเจริญ บอกบุญญาติโยมทั้งหลาย ร่วมกันสร้างขึ้นมา ทั้งปิดทองและประดับเพชร รวมราคาทั้งสิ้น ๙ ล้านบาท"
"ส่วนฝ้าเพดานนั่นอาตมาทำเอง ขออภัยสั่งช่างทำ...ไม่ได้ลงมือทำเอง ๒ ช่อง ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ช่องตรงหัวอาตมากับช่องตรงพระประธาน ช่องละ ๑,๒๕๐,๐๐๐ บาท
เป็นการประยุกต์เอาลายไทยกับศิลปะเรเนสซองส์ของฝรั่งเข้าด้วยกัน ก็ฝีมือช่างชุดที่โดนเกณฑ์ไปทำพระเมรุมาศนั่นแหละ"
"ส่วนโยมที่เดินอยู่ข้างนอกจะเห็นว่า ปกติเวลาเดินผ่านด้านโบสถ์แล้วไม่เห็นพระเจดีย์ เลยทั้ง ๆ ที่พระเจดีย์หลังมหึมา อาตมาขัดใจที่โยมมองไม่เห็น ก็เลยหุ้มทองไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้อยู่ห่าง ๓ กิโลเมตรก็มองเห็น เด่นสง่ามาแต่ไกล
ปีหน้าจะมีสถานที่เที่ยวเพิ่มอีกแห่งหนึ่ง ก็คือรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด ในเขตของเทศบาลตำบลท่าขนุน อาตมากำลังทำทางขึ้นรอยพระพุทธบาทให้ ในราคา ๑๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท ต่อไปไม่ต้องตะเกียกตะกายปีนเขาเหมือนกับยุคที่อาตมาขึ้นไป เราสามารถเดินขึ้นบันไดสบาย ๆ ถ้าไม่ไหวตรงไหนก็นั่งพักชมวิวไปก่อน"
"งานใหญ่ที่เหลืออยู่ของวัดก็แค่การบูรณปฏิสังขรณ์ของเก่า หล่อหลวงพ่อทองคำให้เสร็จ ทำพิพิธภัณฑ์ให้เสร็จ อาตมาก็คิดว่าควรแก่การพักผ่อนเสียที เพราะว่าร่ำร้องหาเวลาพักมานาน แต่ไม่เคยได้พักสักที
สมัยที่ยังรับราชการทหารอยู่ ครูฝึกบอกว่า "เวลานอนของเอ็งยังมีอีกเยอะ ตอนอยู่ในโลงศพ ไม่ต้องรีบนอนหรอก" ฟังดูแล้วน่าปลื้มใจมาก
ถ้าญาติโยมท่านใดบอกว่าตกงาน ห้ามมาพูดตรงหน้าอาตมา เพราะว่าอาตมาเกิดมายังไม่เคยตกงานเลย มีแต่งานมากขึ้นจนทำไม่ไหว"
"ล่าสุดก็เพิ่งเป็นคณะกรรมการอยู่ ๓ คณะ คือ คณะกรรมการปฏิรูปพระพุทธศาสนา ของจังหวัดกาญจนบุรี ๒ คณะ คือ ปฏิรูปการศึกษากับปฏิรูปการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แล้วก็เพิ่งจะเป็นคณะกรรมการในการจัดงานมหกรรมส่งเสริมศีลธรรมโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ระยะที่ ๓
ตำแหน่งพวกนี้อยู่ ๆ ก็จะลอยมาเองโดยอัตโนมัติ ลอยมาพร้อมกับงานและควักกระเป๋าเงินของอาตมาไปด้วย จริง ๆ แล้วโยมน่าจะปลื้มใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่โยมทำบุญมา ทางวัดท่าขนุนได้ใช้ประโยชน์ไปในส่วนของการปกครองคณะสงฆ์ การศึกษาของสงฆ์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ คือก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์ การศึกษาสงเคราะห์ คือให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน ปีหนึ่งหลายล้านบาท และการสาธารณสงเคราะห์ที่ช่วยเหลือคนทั่วไป เช่น การช่วยน้ำท่วมอีสานที่ผ่านมา เป็นต้น
ล่าสุดที่ผ่านมาคือสร้างห้องสมุดประชาชนให้ทางโรงเรียนบ้านจันเดย์ ตอนนี้กำลังทำห้องน้ำห้องส้วมให้กับทางโรงเรียนวัดป่าถ้ำภูเตย มีอีกหลายวัดและหลายโรงเรียนกำลังเข้าคิวต่อท้าย รอการช่วยเหลืออยู่"
"สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทุกคนสามารถทำได้ พระ เณรทุกรูปทำได้ แต่ต้องประกอบไปด้วยความเสียสละจริง ๆ ไม่เช่นนั้นท่านได้เงินมาแล้วเก็บเงียบ สตางค์เก่าไม่ไป ของใหม่ก็ไม่มา
อาตมาเองบางวันเหลือเงินอยู่ในย่าม ๔๒ บาท ไม่ใช่หวยนะ...! ขอยืนยันที่เขาบอกว่ารวยเพราะว่าอาตมาใช้เงินไม่คิด ปัจจุบันนี้แค่การศึกษาของพระภิกษุสามเณร ตลอดจนเด็กวัด ค่าใช้จ่ายเดือนหนึ่งประมาณ ๒ แสนบาท วัดอื่นถ้าค่าใช้จ่ายทั้งเดือน ๒ แสนบาทก็สลบแล้ว วัดท่าขนุนเฉพาะทุนการศึกษาพระ เณรและเด็กวัดอย่างเดียว ๒ แสนบาท ถ้าเดือนไหนค่าเทอมออกก็ประมาณหนึ่งล้านบาท..!
ที่วัดนี้ส่งพระ เณร แม่ชี และเด็กวัด เรียนทุกระดับ ตั้งแต่ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ที่วัดนี้มีทั้งพระและแม่ชีที่อาตมาส่งจบปริญญาเอกมาแล้ว และที่กำลังเรียนอยู่ เด็กวัดก็กำลังจะจบปริญญาโท ถ้าใครคิดจะเรียนต่อแล้วไม่มีทุน มาสมัครเป็นเด็กวัดท่าขนุนได้ แต่งานหนักมาก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลังงานถวายพระเพลิงในหลวงรัชกาลที่ ๙ จะมีการเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองของเรา รอดูไปก็แล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
พระอาจารย์ประกาศว่า "ใครเป็นเจ้าของรถหมายเลขทะเบียน... ท่านขึ้นไปจอดบนสถานที่ที่ไม่สมควรจอดเพราะเป็นลานธรรมของวัด
การที่เราปูตัวหนอนนั้น ใช้ทรายรองพื้นแล้วค่อยเอาตัวหนอนลง เมื่อโยมเอารถหนัก ๆ ขึ้นไปจอดก็บุบบิบบู้บี้หมด กลายเป็นทำลายของสงฆ์โดยไม่เจตนา รีบไปขยับออกด่วนเลย ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมก็คิดว่าตัวเองสร้างบารมีไว้ดี...! มาถึงมีที่จอดรถสวยงามมาก ก็เลยพรวดขึ้นไป ทั้ง ๆ ที่มีขอบกั้นอยู่ รีบ ๆ ขยับให้ด้วย"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนที่ญาติโยมถ่ายรูปไปก็ดี เอาคำพูดของอาตมาไปเผยแพร่ต่อก็ดี โปรดระมัดระวังนิดหนึ่ง เพราะว่าเท่าที่ผ่านมามีทั้งคุณมีทั้งโทษ
อย่างเช่น โยมมาถามว่าตกงานจะทำอย่างไร ? อาตมาบอกว่าให้ไปขัดส้วมในวัด เสร็จเรียบร้อยแล้วก็อธิษฐานของานกับพระประธาน พูดแค่นี้ ปรากฏว่าเขาเอารูปอาตมาไปลงแล้วก็มีตัวหนังสือว่า ตกงาน อยากจะได้งาน ให้ไปขัดส้วมในวัด แล้วไปอธิษฐานกับพระประธานว่า อานิสงส์ของการล้างส้วมครั้งนี้ ขอให้ได้งานทำด้วย รับรองว่าได้แน่ เขียนคำว่า "รับรองว่าได้แน่" ตัวเบ้อเร่อเลย แล้วมีการไปโพสต์ลงในโซเชียล ปรากฏว่ามีคนเข้าไปคอมเมนท์บานตะเกียงเลย
คอมเมนท์ที่ ๑ อาตมาอ่านแล้วชอบใจมาก เขาบอก ไอ้เหี้...หลอกกูไปขัดส้วมให้วัดนี่หว่า..!
คอมเมนท์ที่ ๒ บอกว่า เออดี...หลอกแดกยังไม่พอ ยังหลอกให้กูขัดส้วมอีก
คราวนี้โยมเห็นหรือยังว่า สิ่งที่โยมตั้งใจจะทำด้วยความปลื้มใจว่าอาตมาบอกอะไรให้ แล้วดันไปทำเกินจากที่อาตมาพูด แล้วผลเป็นอย่างไร ? อีกหลาย ๑๐ คอมเมนท์ที่ต่อท้ายมาประเภท "ดีสิ...แดกเสร็จแล้วก็หลอกให้เราไปขัดส้วม มึงก็นอนดูทีวีชิล ๆ ไปเลยนะ" สรุปว่าไม่มีใครพูดถึงพระในแง่ดีเลย
ประเภทว่า "ตกงานก็ไปสำนักจัดหางานสิ ให้ไปขัดส้วม ตรรกะบ้าบออะไรของหลวงเพ่วะ ?" เห็นหรือยังว่าเราเขียนไปด้วยความเจตนาดี แต่เกินจากคำพูดที่อาตมาพูด แล้วเกิดอะไรขึ้น ?"
"เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก คนที่ตั้งใจจะโจมตีศาสนาของเราก็มีมาก แล้วเราก็ไปเปิดหน้าให้เขาชกเอง
ถามว่าอาตมารู้สึกอย่างไร ? อาตมา ไม่ได้โกรธคนที่เขาเข้ามาคอมเมนท์เลย ถ้าจะโกรธ ก็โกรธไอ้ลูกศิษย์ระยำที่เสือกทะลึ่งเอาไปลงนั้นแหละ...! ลงด้วยความภูมิใจในครูบาอาจารย์ แต่กลายเป็นลงประจานครูบาอาจารย์ให้คนอื่นเขาด่า
เพราะฉะน้ั้น...จะทำอะไรต้องระมัดระวัง อาตมาเองทำความสะอาดวัด ขุดดิน ถางหญ้า โยมไปโพสต์เฟซฯ ด้วยความปลาบปลื้มใจว่า พระอาจารย์ของเราขยันมาก คนเข้ามาคอมเมนท์ว่า "พระเหี้..อะไรวะ ? ศีลพระห้ามพรากของเขียว นี่ดันถางหญ้า ตัดต้นไม้อีกต่างหาก" เห็นหรือยังว่าเขามองเราคนละแง่กัน
ถ้าถามว่าพระพรากของเขียวผิดศีลตามพระพุทธเจ้าใช่ไหม ? ใช่...แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย วัดวาอารามรก คนเสื่อมศรัทธา ศาสนาจะอยู่ได้ไหม ? ในเมื่ออยู่ไม่ได้ ก็มีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องทำวัดวาอารามให้สะอาด เมื่อวัดวาอารามสะอาด คนเห็นเกิดศรัทธาอยากเข้าวัด ถึงตัวเราจะโดนอาบัติ ศีลขาด แต่ว่าในส่วนที่เป็นบุญกุศลก็ได้มาก อาตมาถือว่าลงทุนได้ เพราะอาตมาหน้าด้านหน้าทน ไม่ใช่รักศีลจนปล่อยให้ศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้"
"ฉะนั้น...สิ่งที่พวกเราทำไป บางทีทำด้วยความหวังดีแต่กลายเป็นประสงค์ร้าย เพราะว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ รูปที่เผยแพร่ออกไปควรจะเป็นภาพที่ดูดีที่สุดของครูบาอาจารย์ คำพูดของท่านก็ควรจะคำสอนที่เป็นไปตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เพื่อไม่ให้คนฉวยโอกาสเอาไปโจมตีว่าร้าย ไม่ใช่ไปเปิดช่องให้เขาด่าเรา
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องคิดแล้วคิดอีก ระวังแล้วระวังอีก ไม่ใช่ว่านึกอยากจะลงอะไรก็ลง โดยเฉพาะในวัดท่าขนุนนี่แหละตัวดีเลย อาตมายงโย่ยงหยกถูศาลาอยู่ แม่..ง โพสต์เฟซฯ ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วภาพพระกำลังโก้งโค้งถูศาลาสวยมากหรือ ? จะชื่นชมว่าครูบาอาจารย์ว่าขยันก็ชื่นชมไป แต่ไม่ใช่เอาภาพอย่างนี้ไปลง ต้องบอกว่ามีหัวไว้คั่นหูอย่างเดียว ไม่เคยบรรจุสมองไว้คิดเลย...!
ศาสนาอื่นเขาจ้องโจมตีเราไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แทนที่จะเอาภาพที่คนเห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสไปลง กลับเอาภาพที่ล่อแหลมให้คนไปด่า แล้วก็ลงด้วยความปลื้มใจของตัวเอง แต่ไม่ได้ดูว่าคนอื่นเขาปลื้มด้วยหรือเปล่า ?
โบราณท่านว่า คนรักเท่าผืนหนัง ก็คือหนังที่หุ้มตัวเรานี่แหละ แต่คนชังเท่าผืนเสื่อ เสื่อนี่ห่อตัวเราได้อีกชั้นหนึ่งเลย แปลว่าถึงมีคนรักแต่คนไม่รักก็มีมากกว่า เราไม่สามารถทำให้คนมีความคิดเห็นเหมือนกับเราได้ทั้งหมด สิ่งที่เราชื่นชมคนอื่นอาจจะด่าว่าตำหนิเอาก็ได้"
"ถ้าใครเคยอ่านกวีซีไรต์ คุณศักดิ์สิริ มีสมสืบ เขียนเอาไว้ในหนังสือชื่อ มือนั้นสีขาว อาตมาอ่านแล้วจำขึ้นใจ คุณศักดิ์ศิริเขียนถึงพระสงฆ์ขี่มอเตอร์ไซค์ เขาเขียนว่า
ฉิวฉิวปลิวผ่านหน้า
สงฆ์สมัยนี้ซ่า
อ้ายห่า..ควบมอเตอร์ไซค์
เฆี่ยนฉิวยังกับสายฟ้า
โคตรแม่มันตายห่าหรือไร
นี่คือสายตาชาวบ้านเห็น แต่ประโยคสุดท้าย "สงฆ์ยกจีวรเช็ดน้ำตา แม่จ๋าลูกมาช้าไป" ท่านรีบไปหาแม่ที่กำลังจะตายจริง ๆ แต่ในสายตาคนเขาเห็นอย่างนั้นไหม ? เขาก็เห็นแค่พระบิดมอเตอร์ไซค์จีวรปลิวเท่านั้น
คนเราคิดชั่วง่าย ทำชั่วง่าย พูดชั่วง่าย แต่คิดดีนั้นยาก ทำดียาก พูดดียาก เราทำดีสักร้อยครั้งพันครั้ง เขาจะชมสักครั้งก็ยาก แต่ถ้าเราทำไม่ดีแม้แต่ครั้งเดียว เขาด่าเป็นร้อยเป็นพันครั้งไม่เลิก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเราที่เรียกว่าเมืองพระพุทธศาสนา แต่คนแทบจะไม่ได้ใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนาในชีวิตประจำวันเลย"
"เมื่อญาติโยมมาวัดต้องระมัดระวังว่า ตัวเราจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจหรือเปล่า ? ไม่ใช่ว่าเราอย่างไรก็ได้ เราวางแล้ว กลายเป็นวางใส่หัวคนอื่นเขา เรื่องพวกนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องระมัดระวัง อย่าให้ กาย วาจา ใจ ของเรา ไปเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น
โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ บุคคลห่างไกลวัดวายังไม่พอ ต้องบอกว่ายังไม่มีใครอบรม ไม่มีใครสั่งสอนเกี่ยวกับการเข้าวัดเข้าวาอีก มีทั้งนุ่งสั้น มีทั้งนุ่งน้อยห่มน้อยเข้าวัดกันเป็นปกติ พออาตมาถามว่าทำไมใส่ชุดอย่างนี้มา เขาบอกว่าเดี๋ยวจะไปที่อื่นต่อ ก็รู้ว่าจะต้องเข้าวัดมา ก็หาชุดที่มิดชิดเรียบร้อยใส่ทับมาก็ได้ ออกจากวัดแล้วค่อยไปถอด จะเหลือแต่ชุดชั้นในก็ไม่มีใครว่า...! ไม่ใช่ว่าพระสงฆ์สามเณรทุกคนจะตบะดีเหมือนกับพระอาจารย์เล็ก โชว์เท่าไรก็ไม่สะเทือน บางคนเห็นวันนี้ ตอนเย็นสึกตามไปแล้ว..!
อาตมาเป็นคนปากร้าย เจออะไรก็มักจะว่าตรง ๆ ถามตรง ๆ มีโยมบางคนก็แต่งตัวมาลักษณะนี้แหละ ชาติก่อนคงทำบุญไว้น้อย เสื้อผ้าไม่ค่อยจะมีนุ่ง อาตมาก็ถามว่าเรื่องอะไรถึงคิดจะมาหาผัวในวัด...! เขาบอกว่า "อ๋อ...ถ้าบวชมานานเป็น ๑๐ ปีอย่างน้อยก็มั่นใจว่าไม่เป็นเอดส์" เออ...ปากร้ายพอกันเลย"
"เรื่องพวกนี้บางทีญาติโยมก็เจตนา บางทีโยมไม่เจตนาแต่ไม่รู้กาลเทศะ อาตมาเจองานศพเพื่อนพระสังฆาธิการท่านหนึ่ง เป็นพระครูสัญญาบัตร งานพระราชทานเพลิงศพ ลูกสาวนุ่งกระโปรงสีดำ สั้นจนเห็นกางเกงลิงเลย แล้วถือกระถางธูปเดินหน้าศพพ่อตัวเองที่เป็นหลวงพ่อ คนเคารพนับถือกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ถ้าสวยหน่อยจะไม่ว่า บังเอิญว่าออกจากบ้านช่วงตรุษจีนไม่ได้ ออกไปเมื่อไรเขาอาจจะคิดว่าหมูหลุดจากเล้ามา...! ขนาดหลวงพ่อของเธอเอง เธอยังไม่รู้จักให้เกียรติ แล้วใครจะให้เกียรติ ถ้าบอกว่าไม่มีชุดใส่ก็หาทัน เดี๋ยวนี้ชุดดำสำเร็จรูปเยอะแยะไป อย่าได้ทำตัวลำบากยากจนขนาดนั้น
เดินถือกระถางธูปนำหน้าศพ แล้วพระจูงศพตามหลัง ๓๐ กว่ารูป จะมีที่เจริญตาสักนิดก็ไม่มี ฉะนั้น...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราจะเห็นว่า คนเราห่างวัดห่างวา ห่างความดีไปมากแล้ว"
"อาตมายังดีใจว่าตัวเองอยู่ทองผาภูมิ ที่ทองผาภูมิพี่น้องมอญพม่าเยอะมาก ถ้าเดินสวนกับพระ เขาจะหยุด ถ้าเป็นผู้หญิงจะหลีกลงข้างทางไปเลย ถ้าเป็นผู้ชายจะหยุดให้พระไปก่อน ส่วนคนไทยเราไม่ต้องห่วง ยิ่งแถวสยามสแควร์ ไม่เดินชนพระหงายท้องก็นับว่าเกรงใจมากแล้ว..!
เวลาพี่น้องมอญพม่าเข้าวัด จะถอดรองเท้าตั้งแต่ปากประตูใหญ่ข้างหน้าโน่น แล้วถือรองเท้ามา จนบางคนถ่ายรูปไปแซวว่า คนไทยถือดอกไม้ธูปเทียนไปเวียนเทียน พี่น้องมอญพม่าถือรองเท้าเข้าวัดไปเวียนเทียน โดยที่ไม่ได้ดูว่าตัวเราเองนั่นแหละที่ไม่ได้เคารพพระรัตนตรัย..! ไม่รู้จักถอดรองเท้าเมื่อเข้าสู่สถานที่อันควรแก่การเคารพบูชา
ตำราเขาบอกว่า ถ้ากางร่มให้หุบร่ม ถ้าใส่หมวกให้ถอดหมวก สวมรองเท้าให้ถอดรองเท้า เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งการเคารพในสถานที่ เดี๋ยวนี้หน่วยราชการจำนวนมากเวลาเข้าวัด แม้กระทั่งโบสถ์ที่ปูพรมอย่างดีก็ใส่รองเท้าเข้าไป ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ? ไม่รู้ถึงขนาดว่าสถานที่นั้นควรแก่การถอดรองเท้าหรือ ? อยู่ที่บ้านคุณใส่รองเท้าเข้าไปหรือเปล่า ?
โบสถ์เป็นที่ตั้งพระประธาน จะว่าไปแล้วเปรียบเหมือนปราสาทราชวังที่องค์ธรรมราชาเสด็จประทับอยู่ แล้วคุณใส่รองเท้าเข้าไป เรื่องอย่างนี้เราไม่ได้รับการถ่ายทอดมาหรือว่าเราจิตใจหยาบเกินไปจนกระทั่งไม่คำนึงถึง ?"
"อย่างที่เพื่อนพระเขาเล่าว่า เดินบิณฑบาต มีรถเก๋งจอด แล้วก็สุภาพสตรีลงมาถืออาหารถุงใส่บาตร พระท่านก็เมตตาเตือนว่า "โยม...ถอดรองเท้าใส่บาตรสิ" โยมก็ชะงัก ถามว่า "ท่านจะรับข้างเดียวหรือสองข้างคะ ?" เขาให้ถอดรองเท้าตอนใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าถวายพระ ถ้าขนาดเตือนแล้วยังไม่รู้ แสดงว่าห่างไกลมาก
สมัยนี้ท่านที่ไม่รู้ก็ไม่รู้เลย ท่านที่รู้ก็รู้เกินไป มีวันหนึ่งที่วัดนี่แหละ อาตมาเองเวลาอยู่วัด ก็คือกรรมกรเต็มขั้น กวาดวัดบ้าง รดน้ำต้นไม้บ้าง เลี้ยงหมาบ้าง โยมขับรถเลี้ยวเข้ามา เป็นสาวรุ่น ๆ สำหรับอาตมาก็รุ่นหลานรุ่นเหลนเลย น่าจะยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่หรือเพิ่งจะเรียนจบ
เธอลงจากรถมาด้วยความมั่นใจมาก ยกมือไหว้ "ท่านเจ้าคะ...ช่วยนิมนต์พระให้อาตมา ๕ รูป อาตมาจะถวายสังฆทาน" อาตมาเองก็ได้แต่นั่งตาปริบ ๆ "ถ้าอย่างนั้นนิมนต์รอก่อน เดี๋ยวฉันจะไปตามพระให้" หมดเรื่องหมดราวไปเลย อยากเป็นพระก็เธอให้เป็นไปเลย นี่คือคนที่เป็นก็เป็นงานจนกระทั่งใช้คำพูดไม่ถูก"
"ขณะเดียวกันคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไปทำให้วัดวาอารามเสียหายในสายตาคนอื่นก็มีมาก ถึงเวลาเราก็ไปบังคับฝรั่งว่าห้ามนุ่งสั้น ห้ามแต่งตัวโป๊ จะต้องไปเช่าผ้าถุง ต้องเช่าเสื้อแขนยาว บังคับเขาใส่เข้าวัด แต่เราก็ทำตัวยิ่งกว่าฝรั่งอีก สรุปว่าที่เราไปว่าเขานั้นถูกไหม ?
เวลามีงานพี่น้องมอญพม่าที่นี่ เอาเป็นว่าน่าจะเดือนตุลาคม ที่นี่เวลามีงานก็คือตักบาตรเทโวและกฐินสามัคคี ส่วนใหญ่แล้วชาวบ้านจะมาทั้งอำเภอ เพราะว่าเป็นงานตักบาตรเทโวที่ใหญ่ที่สุด เนื่องจากว่าวัดเรามีภูเขาอยู่ในวัด ททท.แนะนำเป็นงานท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง
ถ้าเราดูพี่น้องมอญพม่าที่มา จะเห็นรุ่นปู่ย่าตายาย ๗๐-๘๐ ปี เดินงก ๆ เงิ่น ๆ ลูกหลานจูงมา รุ่นพ่อรุ่นแม่อายุ ๕๐-๖๐ ปี พาลูกพาหลานเข้าวัด รุ่นพี่ป้าน้าอา ๔๐-๓๐ ปี แล้วก็มารุ่นหนุ่มสาว ๒๐ ปีเศษ ๆ รุ่นวัยรุ่นก่อน ๒๐ ปี รุ่นเด็กประมาณมัธยมประถม แล้วก็ไปเด็กเล็ก ๔ ขวบ ๕ ขวบ แล้วไปทารกเลย บางคนเพิ่งจะคลอดได้ ๒ วัน อุ้มมาใส่บาตร เขาทำแบบนั้น เท่ากับเป็นการส่งต่อวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น
เด็กเล็กลืมตาดูโลกก็เห็นแล้วว่าแม่ทำอย่างนี้ พ่อทำอย่างนี้ ปูย่าตายายทำแบบนี้ ถึงเวลาเขาก็ทำตามได้โดยไม่เคอะเขิน แต่คนไทยของเราไม่มีการส่งต่อแบบนี้ ไปใส่บาตรอยู่คนเดียว เพื่อนก็ "เฮ้ย...จะบวชเป็นมหาหรืออย่างไร ?" เพื่อนผู้หญิงไปใส่บาตรที่วัด "จะไปสึกพระหรือ ?" มองโลกในแง่ดีมากเลยนะนี่"
"หลายคนใส่บาตรปีละครั้งเดียวตอนวันเกิดตัวเอง อาตมาชื่นชมมาก ๓๖๔ วันไม่ทำบุญ ทำบุญวันเดียว ยังอุตส่าห์จำได้ ถ้าเป็นอาตมาก็ลืมไปตั้งชาติแล้ว นี่คือสิ่งที่ค่อย ๆ เสื่อมสูญ เสื่อมทรามไปจากสังคมของเรา เสื่อมไปเพราะว่าพ่อแม่ไม่ได้ทำ ถึงเวลาไม่มีใครนำ ลูกหลานก็เคอะเขิน ไม่สามารถที่จะทำได้ แล้วเราจะไปโทษใคร ? หรือจะโทษพระอย่างอาตมาว่าไม่รู้จักสั่งสอนญาติโยม ?
อาตมาเองปากเปียกปากแฉะอยู่ทุกวัน สอนหนังสือวันละ ๘-๙ ชั่วโมง ต้องบอกว่าทำหน้าที่หนักกว่าที่โยมคิด แต่บังเอิญว่าสู้โลกโซเชียลไม่ได้ ขนาดด่าอยู่ตรงหน้าลูกศิษย์ยังไม่ได้ยิน มัวแต่ก้มหน้าดูไลน์แทน เข้าท่าแฮะ...! ด่าแล้วไม่โกรธด้วย แถมยังหัวเราะอีกต่างหาก สงสัยว่าทำไม ? อ๋อ...กำลังดูไลน์อยู่ เพื่อนส่งอะไรตลก ๆ มาให้ดู ดีเหมือนกันนะ โกรธคนไม่เป็น ด่าต่อหน้ายังไม่โกรธอีก
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราเองจะบอกว่าบ้านเรามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก็พูดไม่ได้เต็มปาก เหตุที่พูดไม่ได้เต็มปากเพราะว่าส่วนใหญ่ของเราเป็นพุทธแค่ศาสนา เป็นพุทธแค่ทะเบียนบ้าน ไม่ได้เป็นพุทธโดยการปฏิบัติ"
"แม้กระทั่งงานบวงสรวงเป่ายันต์เกราะเพชร อย่างที่อาตมาจัดอยู่นี่ ก็โดนโจมตีว่าทำให้ญาติโยมยึดติดเครื่องรางของขลังและวัตถุมงคล โดยที่คนพูดก็ลืมคิดไปว่า ในส่วนของศาสนาทุกศาสนานั้น ธรรมะบริสุทธิ์มีคนเข้าถึงได้แค่หยิบมือเดียว
ถ้าเปรียบไปแล้วเหมือนอย่างกับสามเหลี่ยมด้านเท่า ฐานที่ติดพื้นกว้างที่สุด ก็คือเรื่องของการยึดติดในรูปแบบพิธีกรรมต่าง ๆ ในส่วนกลางคือบุคคลที่เข้าถึงทานศีลในเบื้องต้น ส่วนปลายที่เป็นยอดแหลมหน่อยเดียว นั่นถึงจะเป็นผู้ที่พร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
แต่ว่าบรรดานักวิชาการเก่งนัก เรื่องการขุดพระมาด่าโดยที่ไม่ได้ดูบริบทรอบข้างตัวเอง อันโน้นก็ต้องธรรมะบริสุทธิ์ อันนี้ก็ต้องธรรมะบริสุทธิ์ อาตมาถามว่าถ้ามีแต่กระดูกล้วน ๆ ใครจะแทะเข้า ? เราไปบอกว่าปริญญาเอกสูงสุดของการเรียนแล้ว บอกเด็ก ๓ ขวบว่า ไปเรียนเลยไอ้หนู..ดีที่สุด เด็กจะเรียนไหวไหม ? เด็กยังไม่ทันจะเริ่ม ก.ไก่ เลย
ฉะนั้น...ก็ต้องหาสิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ช่วยประคับประคองกำลังใจของเขาไปก่อน แม้กระทั่งคนที่ด่า บอกว่าต้องการธรรมะบริสุทธิ์นั่น ให้เขาจริง ๆ เขาก็ไม่มีปัญญาเคี้ยวหรอก ต้องเรียกว่าดีแต่พูด...!"
"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ปัจจุบันนี้พวกนักเลงคีย์บอร์ดมีเยอะมาก ชอบแสดงความเห็นอะไรที่ทำให้ตัวเองดูดี ดูเด่น ดูเท่ แต่ไม่ได้ดูความเป็นจริงในสังคม ต้องฟังหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ท่านตอบ
มีคนไปถามว่า "หลวงปู่แจกวัตถุมงคล ทำให้คนติดวัตถุมงคลสิเจ้าคะ" หลวงปู่บอกว่า ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล อย่างน้อยคนรับพระไป คิดถึงพระ กำลังใจก็เกาะในพุทธานุสติ คิดถึงหลวงปู่ผู้ให้ก็เกาะในสังฆานุสติ
ในเมื่อเป็นในลักษณะนี้ คนพูดไม่ได้นึกถึงสภาพความเป็นจริง ต้องบอกว่าสมัยนี้เขาใช้คำว่าอะไร ? อยู่ในทุ่งดอกลาเวนเดอร์...ใช่ไหม ? ค่อนข้างจะฟุ้งและฝันมากไปหน่อย ไม่ดูความเป็นจริงในสังคมว่าเป็นอย่างไร
ในสังคมของเรานั้นประกอบด้วยบุคคล ๔ ประเภท คือ
อุคฆฏิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมก็รู้เท่าทัน สามารถบรรลุมรรคผลได้เลย
วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่ฟังธรรมแล้ว ต้องอธิบายขยาย ความถึงจะเข้าถึงธรรมนั้นได้
เนยยะ ต้องจ้ำจี้จ้ำไช สั่งสอนกันปากเปียกปากแฉะ ถึงจะพอรู้เรื่องได้
ปทปรมะ เป็นพวกฉลาดเกินไป จนไม่ยอมรับความคิดคนอื่น เป็นเหมือนดอกบัวที่จมอยู่ใต้โคลน พร้อมที่จะเป็นอาหารปลาและเต่า"
"บุคคลที่เป็นอุคฆฏิตัญญู บรรลุไปเกือบหมดแล้วสมัยพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ ปัจจุบันนี้อย่างเก่งก็เป็นวิปจิตัญญู ต้องอธิบายขยายความถึงเข้าใจ หรือเป็นเนยยะที่ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอนกัน แต่ว่าปัจจุบันกลับมีพวกที่มากที่สุดก็คือปทปรมะ
ปทปรมะไม่ใช่พวกโง่ดักดานสอนไม่ได้อย่างที่ว่า แต่เป็นพวกฉลาดเกินไปแล้วไม่ยอมรับแนวคิดคนอื่น ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำตัวเป็นน้ำล้นแก้ว เมื่อถึงเวลาเติมลงไปก็มีแต่ล้นทิ้งหมด ไม่สามารถที่จะรับอะไรเข้าไปได้ เพราะคิดเสมอว่าตัวเองดีกว่า เก่งกว่า
อาตมาเคยเจอโยมคนหนึ่ง มาถึงก็มานั่งสอนอาตมาอยู่ ๓ ชั่วโมงเต็ม ๆ อาตมาก็นั่งครับ ๆ จ้ะ ๆ ไปเรื่อย หลังจากนั้นอีกเป็นเดือนเขาถึงรู้ว่าเจ้าอาวาสวัดนี้จบปริญญาเอก หน้ามืดไปเลย แล้วเขาก็ไปบ่นกับน้องว่า นี่กูสอนเจ้าอาวาสไปได้อย่างไรวะ ?
ที่พูดมาก็เพราะว่าคนสมัยนี้ที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าพระมีมาก แล้วชอบใช้พระเป็นบันไดเหยียบขึ้นไปด้วยการด่าพระ อาตมาขอยืนยันว่าบุคคลประเภทนี้ลงนรกมานับไม่ถ้วนแล้ว ถ้าบางท่านถามว่านรกสวรรค์มีจริงไหม ? อาตมายืนยันว่ามีจริง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเห็นมาตั้งแต่ก่อนอายุครบบวช"
"มีเศรษฐีท่านหนึ่งเจอพระที่ละเมิดศีลต้องอาบัติปาราชิก ก็คือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว แต่ท่านไม่สึกหาลาเพศ ท่านยังห่มผ้าเหลืองอยู่ เศรษฐีท่านเจอหน้า ท่านก็ถ่มน้ำลายใส่แล้วก็ด่า ปรากฏว่าเศรษฐีตายไปแล้วลงนรก
บางคนสงสัยว่าด่าคนชั่วลงนรกหรือ ? อาตมายืนยันว่าลง เพราะว่าตอนด่านั้นเราชั่วกว่า ทำไมเราถึงชั่วกว่า ? เพราะว่าสภาพจิตของเราประกอบไปด้วยโทสะ ประกอบไปด้วยโมหะ วาจาของเราก็เป็นวาจาทุจริต การแสดงออกทางกายก็เป็นกายทุจริต คนอื่นเขาลงนรกก็เป็นเรื่องของเขา แต่นี่เราดันกระโดดตามเขาลงไปด้วย โบราณเขาถึงได้ใช้คำว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ ก็คืออย่าไปยุ่งได้แหละดี เพราะว่าเรื่องของพระของเณรนั้น มีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์
คำว่า คุณอนันต์ ก็คือ ถ้าทำดีทำถูก เราก็ได้อานิสงส์มากจนนับประมาณได้ยาก แต่ถ้าหากว่าทำผิดทำพลาด เราก็ได้รับโทษที่หนักจนนึกไม่ถึง เพราะว่าท่านเป็นปูชนียบุคคล
ต่อให้ท่านเองทำชั่ว สมมติว่าศีลขาด ๕ ข้อ เท่ากับโยม แต่พระยังเหลืออีก ๒๒๒ ข้อ แต่ถ้าโยมขาด ๕ ข้อ โยมจะไม่เหลืออะไรเลย แล้วโยมไปหาเรื่องด่าพระ กำลังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง ไม่ชอบใจแค่ไหนก็พยายามระงับปากระงับคำเอาไว้ อย่าพูดร้าย อย่าทำร้าย อย่าคิดร้าย เพราะว่าโอกาสที่จะเกิดโทษแก่ตนเองมีมากเป็นพิเศษ"
"โดยเฉพาะส่วนที่อยากจะเตือนก็คือ ท่านที่ใกล้ชิดหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ท่านมักจะเอาความเคยชิน เห็นเป็นหลวงปู่หลวงพ่อ เห็นเป็นญาติตัวเอง ไม่ได้เห็นว่าท่านเป็นพระ โปรดระวังนรกไว้ด้วย..!
ญาติโยมเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับพระมักจะเป็นกันเอง ลืมไปว่าท่านเป็นพระ อาตมาเจอมาหลายราย เวลาหลวงปู่หลวงพ่ออายุมาก ๆ ทำอะไรช้า ก็ไปดุท่านเลย ได้แต่สะท้อนใจว่าโยมกำลังหานรกใส่ตัว เพราะเวลาเคยชินแล้วเราก็ลืมสถานะตัวเอง เราเป็นอนุปสัมบัน มีศีล ๕ ข้อ ๘ ข้อ แล้วไปล่วงละเมิดบุคคลที่มีศีลเป็นร้อย ๆ ข้อ โอกาสที่จะเดือดร้อนเพราะ กาย วาจา ใจ ของตัวเองมีมาก ต้องระมัดระวังยิ่งกว่าระมัดระวัง ไม่อย่างนั้นท่านที่ใกล้ชิดพระไม่แน่ว่าจะได้ไปดี มีสิทธิ์ที่จะลงข้างล่างมากกว่าขึ้นข้างบน
ในส่วนนี้อาตมามีประสบการณ์มาจึงนำมาบอกกล่าวให้พวกเรารู้กัน ว่าบางส่วนที่ท่านทำอยู่แล้วเผลอสติไปดุพระ ไปว่าพระเข้า โปรดระมัดระวังว่าโทษใหญ่จะเกิดแก่ตนเองทีหลัง"
มีโยมจะถวายพระพุทธรูปขนาดใหญ่มากให้กับทางวัด พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ทำไมไม่ไปถวายวัดอื่นซึ่งมีที่ตั้งที่เหมาะสม ? วัดนี้ไม่มีที่ตั้งแล้ว
การที่สร้างพระมาก็ดี หรือตั้งใจจะสร้างพระก็ดี ควรจะสืบจะเสาะหาวัดที่เขามีสถานที่เหมาะสม มีความต้องการ เพราะว่าพระพุทธเจ้าคือพ่อใหญ่ของพวกเรา ควรที่จะเชิดชูท่านไว้ในสถานที่อันสง่างามและเหมาะสมที่สุด ไม่ใช่ถึงเวลาก็สร้าง ๆ ๆ อาตมาเจอบางวัดพระเต็มศาลาเลย แล้วที่เต็มศาลาก็คือวางไว้กับพื้น เวลาเราเดิน ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็กระโปรงเฉียดหัวพระไปเลย
อย่าเห็นแก่ศรัทธาญาติโยมจนลืมความเหมาะสม รู้จักปฏิเสธโยมบ้าง ไม่ใช่ว่าโยมเขามีศรัทธาก็รับไปเรื่อยจนวัดรกไปหมด พอดี พอเหมาะ พอสม ดูแล้วงดงาม จะสร้างศรัทธาได้มากกว่า
โยมจะสร้างพระประธานสูง ๖ เมตรมาถวาย อาตมาไม่มีที่ให้ตั้งแล้ว แม้กระทั่งพระองค์ใหญ่หน้าวัด ก็คือสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๒๑ ศอก แบบองค์นี้สร้างทั่วประเทศไทย ๒๐๐ กว่าองค์ อาตมาให้ญาติโยมตามไปดูได้เลย ว่าอีกประมาณ ๒๐๐ องค์เศษที่เหลือมีองค์ไหนสวยเท่าของวัดท่าขนุนบ้าง ทั้ง ๆ ที่ถอดมาจากแบบเดียวกัน ก็เพราะว่าของวัดท่าขนุนสร้างฐาน ๓๐ คูณ ๓๐ ตารางเมตรหนุนองค์พระให้สูงขึ้นไป เพื่อพระองค์ท่านจะได้เด่นสง่าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะที่ที่อื่นสร้างกับพื้นบ้าง หรือทำฐานขึ้นไปใหญ่แค่เฉพาะองค์พระบ้าง ดูแล้วหาความสง่างามไม่ได้
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าญาติโยมอยากได้บุญ อาตมาเห็นด้วย แต่ว่าควรหาสถานที่อันเหมาะสม แล้วค่อยไปทำ"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ธูปเทียนที่ใช้ในการรับยันต์เกราะเพชรนั้น โยมใช้ได้คล้าย ๆ กับมีดหมอนะจ๊ะ เจอผีเจ้าเข้าสิงที่ไหนว่าพระคาถา นะโมพุทธายะ เอาธูปเทียนจี้ไล่ ผีจะออกทันที หรือถ้าท่านต้องการจะบนจะอะไร ถึงเวลาใช้ธูปเทียนชุดนั้นจุดอธิษฐานเอาได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในส่วนของวัดท่าขนุนของเรา มีการปรับปรุงบูรณปฏิสังขรณ์วัด อาตมาก็จัดการของเก่าจนแทบจะไม่เหลือซาก อะไรที่สามารถดัดแปลงใช้ได้ก็ใช้ ใช้ไม่ได้ก็ชั่งกิโลขายไปเรียบร้อยแล้ว ต้องเรียกว่าใช้เคล็ดลับของช่าง คือ ยาวตัด สั้นต่อ ไม่พอก็ซื้อ เหลือขาย
เสียดายว่าศาลาไม้หลังนี้แต่เดิม ไม่สามารถที่จะใช้งานได้ทั้งหมด เพราะว่าส่วนใหญ่โดนปลวกกิน จึงเอาไม้ยกขึ้นไปทำหมู่เรือนไทยด้านบน แต่ต้องซื้อไม้เพิ่มอีก ๘ ล้านกว่าบาท เพราะว่าตอนแรกที่จะสร้างหมู่เรือนไทย คุณปรีชา ปัทมเศรษฐ เจ้าของบ้านปรีชาทรงไทยที่บางปะหัน จ.อยุธยา ถามว่า "พื้นที่เท่าไรครับอาจารย์ ?" ก็แจ้งไปว่า ๑ ไร่พอดี
คุณปรีชาว่า "หมู่เรือนไทย ๑ ไร่ อาจารย์เตรียมไว้เลยครับ ต่ำสุด ๒๐ ล้านบาท" อาตมาก็...ต่ำสุดก็จะทำ สรุปว่าทำไปเกินนิดหน่อย เกินแค่ไม่กี่สิบล้านเอง"
"ตอนนี้งานหลัก ๆ ของวัดที่เหลืออยู่ ก็เหลือการทำพิพิธภัณฑ์ ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้แบ่งออกเป็นหลายส่วนด้วยกัน เพราะพื้นที่ ๑ ไร่ก็จะมีอยู่ประมาณ ๖ ช่อง พื้นที่ ๒๕๖ ตารางเมตร จะเป็นความรู้ทางพระพุทธศาสนา เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และวันสำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นต้น
พื้นที่อีกส่วนหนึ่ง ๑๒๘ ตารางเมตรจะเป็นห้องประวัติหลวงปู่สาย พร้อมกับเครื่องใช้ไม้สอยบางส่วนของท่าน
อีกห้องหนึ่ง ๑๒๘ ตารางเมตร เป็นพิพิธภัณฑ์เครื่องรางของขลังในประเทศไทย ก็แปลว่าเราจะมีพิพิธภัณฑ์เครื่องรางที่ไม่ค่อยจะได้พบได้เจอกันนัก เครื่องรางของไทยเรามีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตะกรุด ผ้ายันต์ แหวนพิรอด แม้กระทั่งพวกมีดหมอ หรือไม่ก็บรรดาเครื่องรางต่าง ๆ รูปเสือ รูปลิง ซึ่งโบราณจารย์ของเราเข้าถึงเคล็ดวิชาเหล่านี้ ทำขึ้นมาให้เป็นของติดตัว ช่วยเหลือศิษยานุศิษย์ให้มีความคล่องตัวในการทำมาหากิน ให้มีความปลอดภัย ไปไหนให้คนรักใคร่เมตตา ทำหน้าที่การงานให้ประสบความสำเร็จ เป็นต้น
อาตมารวบรวมเอาไว้หลายปี ถึงเวลาจะได้นำออกมาแสดงให้พวกเราได้ชมกัน และอาจจะคัดบางส่วนที่ซ้ำ ๆ กันออกมาให้คนไม่กลัวของแพงได้บูชา ถามว่าแพงขนาดไหน ? บางชิ้นก็ราคาเป็นล้านเลย บางอย่างก็หายากมาก ๆ อย่างบรรดาตะกรุดที่หายากสุด ๆ ในประเทศไทย ก็มี ตะกรุดมหาโสฬส หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง, ตะกรุดไมยราพณ์สะกดทัพ หลวงพ่อกุน วัดพระนอน, ตะกรุดมหาระงับ หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม เป็นต้น พวกนี้อยู่ในระดับหายากจนเป็นตำนาน
หรือไม่ก็เครื่องรางของขลังในตำนานต่าง ๆ อย่างเช่นว่า ไม้ครู หลวงปู่ภู วัดอินทร์ฯ อาตมาสะสมเครื่องรางมานานเนกาเลทั้งชีวิตมีอยู่ ๑ ชิ้น เพราะว่าตะกรุดไม้ครูทำยากมาก"
"หลวงปู่ภูธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าปี กว่าจะหาวัสดุมาทำไม้ครูได้ครบ อันดับแรก เข้าไปในป่าต้องเจอกอไผ่ที่โดนฟ้าผ่าล้ม ชี้ปลายไปทางทิศตะวันออก แล้วต้องขวางทางช้างเดินด้วย ช้างทั้งหมดจะต้องกระโดดข้ามไปโดยไม่ทำอะไรเลย เมื่อเจอท่านก็ทำพิธีพลี ตัดเอาไม้ไผ่นั้นมา แล้วก็มาทำเป็นไม้เท้าคู่ตัว ถึงเวลาเจอศพที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารก็เอาไม้เท้าไปจิ้มศพนั้น ทำให้ได้ครบ ๗ ศพ แล้วถึงเอามาจักเป็นตอก สำหรับบรรจุในตะกรุดไม้ครูหรือที่ท่านเรียกว่า "นิ้วเพชรพระอิศวร"
เราลองมานึกดูว่า หลวงปู่ท่านธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าปี กว่าจะได้วัสดุมา แล้วท่านมาทำตอนอายุเป็นร้อย ถ้าอายุไม่ยืนขนาดนั้นอาจจะไม่มีโอกาสทำก็ได้ นั่นก็เลยทำให้ตะกรุดไม้ครูของท่าน กลายเป็นของวิเศษในตำนานที่ยังหาใครทำต่อไม่ได้ เพราะว่าอาตมาเองก็ธุดงค์มามาก เห็นต้นไผ่ ไม่ต้องล้มหรอก ช้างจัดการถอนรากถอนโคนลงมากิน แล้วที่ล้มขวางทางจะรอดช้างไปได้นั้นหายากสุด ๆ เขาถือว่าแคล้วคลาดเสียยิ่งกว่าแคล้วคลาด ต้องโดนฟ้าผ่าล้มอีกต่างหาก ฟ้าผ่าล้มยังไม่พอ ยังต้องล้มชี้ปลายไปทิศตะวันออกอีก เป็นต้น
ตะกรุดของท่าน "ต้นชี้ตาย ปลายชี้เป็น" สามารถสั่งเป็นสั่งตายได้ เรียกว่านิ้วเพชรพระอิศวร ความจริงเขาเรียกว่าตะกรุดเพราะว่าสั้น ๆ แต่ท่านเรียกว่าไม้ครูหรือไม้พ่อครู"
"ถ้าถามว่าทำไมอาตมาไม่ทำพิพิธภัณฑ์พระเครื่อง แต่ไปทำพิพิธภัณฑ์เครื่องรางของขลัง ? ก็เพราะว่าเครื่องรางของขลังนั้น เคล็ดวิธีการสร้างต่าง ๆ ยากมาก ความจริงพระเครื่องก็สร้างยากพอกัน พระเนื้อผงที่ต้องลบผงปถมัง อิทธิเจ ตรีนิสิงเห มหาราช อะไรเหล่านั้น เพียงแต่ว่าระยะหลัง ๆ คนมีความอดทนน้อย ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะทำการลบผงให้ได้อย่างที่ต้องการ
อาตมาเองไว้มีอารมณ์แล้วจะไปนั่งลบให้ ถ้าลบผง สมัยก่อนหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ จังหวัดปทุมธานี ท่านเขียนนี่ผงชอล์กทะลุกระดานดำลงไปด้านล่าง ทะลุกระดานลงไปยังไม่พอ ยังเดินได้อีกต่างหาก เดินเป็นมดเลย ถึงเวลาเดินไปลงถาดเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปกวาดรวมกัน
แล้วพระที่จะทำระดับนั้นได้ ต้องชำนาญในเรื่องของสมาบัติ ๘ เก่งในเรื่องของกีฬาสมาธิ เรื่องของกสิณต่าง ๆ โดยเฉพาะธาตุกสิณทั้ง ๔ จะต้องได้ ถ้าหากว่าไม่ได้ก็ไม่สามารถที่จะทำได้"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของยันต์เกราะเพชรนั้นมีอานุภาพหลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือผู้รับยันต์เกราะเพชรไป ถ้าไม่ใช่หมดอายุขัยจริง ๆ จะไม่ตายโหง
เรื่องนี้อาตมาพิสูจน์ทราบด้วยตัวเอง เพราะว่าโยมแม่โดนรถชน กระดูกด้านขวาตั้งแต่กรามลงไปถึงข้อเท้าหักหมดทุกชิ้น นอนอยู่ห้องไอซียู ๑๘ วันยังไม่ได้สติ อาตมาไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อวัดท่าซุง กราบเรียนท่านว่าแม่โดนรถชนไม่ได้สติมา ๑๘ วันแล้ว ขออนุญาตทำบุญล่วงหน้าให้แม่ด้วย
หลวงพ่อท่านถามว่า "แม่แกรับยันต์เกราะเพชรไปหรือเปล่า ?" อาตมากราบเรียนว่า "รับไปหลายครั้งครับ" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรหรอก รับประกันว่ารอด" แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ท่านว่า หลังจากรักษาตัวอยู่ ๓ ปีก็กลับมาแข็งแรงดีตามเดิม ก็แปลว่ายันต์เกราะเพชรช่วยให้ไม่ตายโหงจริง ๆ"
"รายที่ ๒ ก็คือ จารุณี สุขสวัสดิ์ ดาราดังในสมัยโน้น หนังเรื่องไหนที่จารุณีเล่นรับประกันว่าได้เงินล้านแน่นอน เขาเล่นหนังเรื่องลูกสาวกำนัน มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผู้ร้ายเอาน้ำมันราดลงแม่น้ำแล้วจุดไฟสกัด ไม่ให้นางเอกจารุณีที่ขับเรือเร็วไล่ตามทัน พอไฟลุกเต็มแม่น้ำก็กลายเป็นควันดำ บังจนมองทางไม่เห็น
ฉากนั้นนางเอกเราต้องขับเรือเร็วฝ่าไฟออกไป ด้วยความที่มองทางไม่เห็น เลยพุ่งไปชนตอม่อสะพาน..หลังหัก แต่เนื่องจากว่าจารุณีไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุงแล้ว ไม่ตายเหมือนกัน แต่เห็นคุณยายแกบ่น ๆ อยู่จนปัจจุบันนี้ว่า "ปวดหลังเป็นประจำเลย"
นี่คือหลักฐานที่ยืนยันชัด ๆ เลยว่าการรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วห้ามตายผิดปกติ "ตายปกติ" ในความคิดของอาตมาเป็นอย่างไร ? ก็คือแก่ตายเฉย ๆ แบบเดียวกับตาของอาตมา ตายตอนอาตมาอายุ ๔ ขวบ ตานั่งบนเก้าอี้โยก เรียกหลาน ๆ ๔ คนมีอาตมาด้วย มาบอกว่า "ตาอายุมากถึง ๘๐ กว่าแล้ว เหมือนผลไม้สุกอยู่บนต้น จะร่วงเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าตาตายไปพวกแกไม่ต้องเสียใจนะ" แล้วตาก็ขอข้าวคนข้างบ้านกิน ๑ ชาม จากนั้นก็นอนหลับไป ไม่ได้เป็นอะไรเลย หลับตายไปเฉย ๆ"
"คิวต่อมาก็โยมพ่อของอาตมา โยมพ่อกินอาหารเย็นเสร็จ จากปกติต้องประคองซ้ายประคองขวาไปส่งที่นอน วันนั้นเดินไปเอง พี่สะใภ้ก็ดีใจบอกว่า "เตี่ยหายแล้ว" แต่โยมแม่บอกว่าไม่ใช่ โบราณบอกว่าเป็นเปลวไฟวูบสุดท้าย ให้โทรเลขเรียกญาติมาหมด เหตุที่ต้องใช้โทรเลข เพราะว่าตอนนั้นคือปี ๒๕๑๘ อาตมายังเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๓ อยู่ ก็ปรากฏว่าโยมพ่อหลับลึกไปเฉย ๆ จนถึงบ่ายโมงของวันที่ ๑๒ สิงหาคมก็หมดลมไป
โยมแม่ของอาตมา ทางบ้านโทรมาบอกว่า "แม่นอนหมดแรงไปเฉย ๆ ขอให้หลวงพ่อเล็กไปดูแม่หน่อย" ไปก็ไป ปรากฏว่าแม่มีอาการหลับลึกแบบเดียวกัน เรียกก็แค่อือ ๆ เท่านั้น ก็เลยบอกกับแม่ว่า "ลูกกำลังสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ให้แม่โมทนา แม่ได้ยินใช่ไหม ?" แม่ก็พยักหน้า ก็เลยปล่อยแม่นอนหลับแล้วก็ไปเลย
นี่คือสิ่งที่อาตมายืนยันว่าคนตายปกติต้องตายแบบนี้ ไม่ใช่เป็นมะเร็งตาย ไม่ใช่รถชนตาย ไม่ใช่โดนเสือกัดตาย สมัยนี้ยังมีไหม..เสือกัด ? ถ้าตะกายลงไปหาเสือในกรงก็ช่วยไม่ได้นะ"
"ประการที่ ๒ คนรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว จะไม่ตายด้วยสัตว์มีพิษ อาตมาพิสูจน์ด้วยตัวเองมา ๒ ครั้งโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ครั้งที่ ๑ งูกะปะมากินลูกไก่ในวัด อาตมาจับขังกรงไว้ตั้งแต่ ๑ ทุ่ม พอหลังทำวัตรเช้าเสร็จ ก่อนบิณฑบาตก็ไปล้วงออกจากกรงมาเพื่อที่จะเอาไปปล่อย เพราะว่าเริ่มสว่างไก่ก็ออกหากินแล้ว กลางคืนไก่จะตาบอด ตาฟาง มองไม่เห็น จึงหนีงูไม่ได้ ตอนกลางวันแล้วไม่กลัว ไก่หนีได้แน่
พอล้วงงูออกมา ปรากฏว่างูดิ้นเพื่อที่จะให้ได้อิสรภาพ เนื่องจากว่าอดหิวมาแล้วทั้งคืน ดิ้นหลุดจากมือขวา อาตมาก็จับด้วยมือซ้าย ดิ้นหลุดจากมือซ้ายก็จับด้วยมือขวา พอจะดิ้นหลุดจากมือขวาอีกทีหนึ่ง ยื่นมือซ้ายไปจะจับ โดนฉกเข้าตรงชีพจรข้อมือพอดี ทุกวันนี้รอยแผลเป็น ๔ เขี้ยวยังอยู่เต็ม ๆ
อาตมาต้องบีบปากงูเพื่อที่จะดึงออก หลังจากเอาไปปล่อยเสร็จ ก็กลับมาล้างน้ำ เอาพลาสเตอร์แปะ บรรดาพระในวัดแทบจะสลบไสล มีอยู่ท่านหนึ่งบ้านอยู่สงขลา บอกว่า "อาจารย์ครับ...ไอ้ตัวแบบนี้ชอบอยู่ในสวนยาง เวลาโดนกัดนี่ขนาดเลือดออกตามผิวหนังเลยนะครับ แล้วก็จะเน่าหล่นไปทีละข้อ ๆ"
อาตมาบอกว่า "ผมรับยันต์เกราะเพชรมาแล้วเป็น ๑๐ ครั้ง ถ้าผมต้องตายเพราะพิษสัตว์ แปลว่าผมทำชั่วด้วยการกินเหล้าหรือลักขโมยเขา ในเมื่อถ้าเป็นพระแล้วชั่วได้ขนาดนั้นก็สมควรตาย...!" ปรากฏว่าอาการเจ็บปวดวิ่งจากชีพจรเข้ามือมาถึงข้อศอก วิ่งเป็นเส้นรู้ชัด ๆ เลย ต้องบอกว่าปวดสุดใจขาดดิ้น วิ่งขึ้นมาถึงข้อศอก แล้วก็โดนอานุภาพยันต์เกราะเพชรยันกลับคืนไป แล้ววิ่งขึ้นมาใหม่ก็โดนยันกลับคืนไป เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็หายไปเฉย ๆ
ทุกวันนี้อาตมายังสบายดี ใครบอกว่างูกะปะกัดไม่มีเซรุ่มแก้ ต้องตายทุกคน อย่าไปเชื่อ อาตมาโดนเข้าเต็ม ๆ ยังไม่ตายเลย"
"ครั้งที่ ๒ เกิดจากน้ำท่วมวัด มีงูตระกูลงูแมวเซาหนีน้ำขึ้นมา ชาวบ้านเขาเรียกว่า งูกล่อมนางนอน อาตมาไม่เห็นจึงเหยียบเข้าเต็ม ๆ เจ้างูก็กัดติดหลังเท้า ด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ ปวดแปล๊บขึ้นมา อาตมาก็ตวัดเท้าไปข้างหน้า ทั้งรองเท้าและงูเฉียดหัวเพื่อนพระข้างหน้าไปนิดเดียว..!
ลักษณะเดียวกัน เขาบอกว่าเจ้างูนี่เป็นงูพิษอ่อน กัดแล้วภายใน ๗ ชั่วโมงถึงจะตาย อาตมาล้างแผลเสร็จ ปิดพลาสเตอร์ แล้วก็ไปนอน ปรากฏว่า ๓ ชั่วโมงก็ตื่น...ไม่ตาย แปลว่าถ้าเรามั่นใจในเรื่องของยันต์เกราะเพชร โดนงูพิษกัดไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าเราไปเผลอกินอาหารที่มีเหล้าหรือเปล่า ? อาจจะทำให้ยันต์เกราะเพชรเสื่อมสูญไป เราก็ไปหาหมอฉีดเซรุ่มแก้พิษงู"
"ประการที่ ๓ จะไม่ตายด้วยอำนาจของไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์มีและอาตมาเจอมาเยอะสมัยที่ออกธุดงค์ โดยเฉพาะในแดนกะเหรี่ยง ไสยศาสตร์กะเหรี่ยงน่ากลัวที่สุด แต่ไม่ดัง เพราะว่าทุกคนที่โดน..ตายสถานเดียว..!
แต่หมอผีกะเหรี่ยงมีข้อห้ามอยู่ว่า ถ้าตัวเองไม่โดนเขาทำถึงน้ำตาตก ๓ ครั้ง ห้ามใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคนอื่น เขาก็แค่ลองวิชาเท่านั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่ายันต์เกราะเพชรกันไม่ให้ตายด้วยไสยศาสตร์ ไม่ใช่กันไม่ให้โดนไสยศาสตร์ คนที่จะไม่โดนไสยศาสตร์ต้องภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว ถ้ากำลังของเราสูงกว่า ไสยศาสตร์ก็กระทบไม่ได้
ข้อที่ ๔ อานุภาพของยันต์เกราะเพชรจะสะท้อนไสยศาสตร์กลับคืนไปหมด ใครทำเราตั้งใจให้โดนหนักแค่ไหน เขาจะโดนกลับคืนไปหนักแค่นั้น โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย เหมือนกับเขาขว้างลูกบอลใส่ผนัง ยิ่งขว้างใส่แรงเท่าไรก็เด้งกลับแรงเท่านั้น แต่ว่าท่านที่รับยันต์ไปแล้ว ต้องรักษายันต์ได้ถึงจะป้องกันได้ ถึงจะมีอานุภาพทั้ง ๔ ประการนี้"
"การเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ตามสายครูบาอาจารย์ตั้งแต่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ลงมาจนถึงหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง ท่านให้เป่ายันต์ได้เฉพาะวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำเท่านั้น จะเป็นเดือนอะไรก็ได้ ถือว่าเป็นวันบวงสรวงไหว้ครูประจำปี และถ้าหากมีคำสั่งของพระท่าน ก็ให้เป่ายันต์เกราะเพชรเพื่อสงเคราะห์แก่ญาติโยมด้วย
มีหลายที่ซึ่งเป่ายันต์ทั้งวันเสาร์วันอาทิตย์ก็มี รุ่นพี่ของอาตมาเอง ออกชื่อก็ได้ ท่านอาจารย์แป๊ะ วัดแคแถว เคยไปวัดท่าซุงสมัยบวชใหม่ ๆ คลุกคลีตีโมงอยู่ด้วยกันมา สมัยนี้ก็ยังคบหาเป็นเพื่อนเป็นฝูงกัน แต่ท่านอาจารย์แป๊ะเก่งมาก เป่ายันต์เกราะเพชรได้ทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ แสดงว่าอาตมาเก่งสู้ไม่ได้
ประการต่อไปคือ บางท่านเป่ายันต์ได้ทุกวัน ไปขึ้นขันครู ๒๙๙ บาท ก็เป่าให้ได้ทันที อาตมายืนยันว่าถ้าตามสายครูบาอาจารย์ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ไม่มีการกระทำประเภทนี้ ปัจจุบันนี้หลายท่านอ้างว่าเรียนการเป่ายันต์เกราะเพชรมาจากหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่ปานมรณภาพปี ๒๔๘๑ ห่างจากตอนนี้ ๘๐ ปีถ้วน ๆ ถ้าบุคคลนั้นอายุ ๘๐ ปียังไม่สามารถที่จะเรียนจากหลวงปู่ปานได้เลย ถ้าบวชเป็นพระก็ต้องบวกอีก ๒๐ ปี แปลว่าต้องอายุร้อยหนึ่งขึ้นไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นโปรดใช้วิจารณญาณด้วยว่า ใช่ลูกศิษย์หลวงปู่ปานอย่างที่เขากล่าวอ้างหรือเปล่า ?"
"ส่วนสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชรให้นั้น ตอนแรกท่านสั่งพระทั้งวัดให้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชร แต่คณะกรรมการสงฆ์วัดท่าซุงตีความผิดว่า การเป่ายันต์เกราะเพชรนั้นเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อท่านเท่านั้น ถ้าใครต้องการเป่ายันต์เกราะเพชร แปลว่าคิดวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ ก็เลยสั่งห้ามไม่ให้ครอบครู
แต่อาตมาเองนั้น สิ่งใดที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งคือต้องทำด้วยชีวิต จึงไปขอขันครูจากโยมศุภาพร ปุษยะนาวิน ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะบายศรีวัดท่าซุง ด้วยความเมตตาของโยมว่า พระหนุ่มเณรน้อยประเดี๋ยวจะตายฟรี ก็เลยทำขันครูเผื่อพระผู้ใหญ่ที่รับใช้โดยรอบหลวงพ่อที่ศาลา ๑๒ ไร่ด้วย จึงได้รับการครอบครูไปทั้งหมด ๙ รูป แต่ตอนนี้สึกหาลาเพศไปหลายรูป ออกจากวัดมาหลายรูป อาตมาคาดว่ายังอยู่ในวัดไม่เกิน ๒ รูปเท่านั้น
ประหลาดตรงที่ว่าหวยมาออกตรงที่อาตมาก่อน ท่านสั่งให้เป่ายันต์เกราะเพชรเพื่อสงเคราะห์แก่ญาติโยม ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ อาตมาเองก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงได้ เพราะว่าเป็นคำสั่งครูบาอาจารย์ โยมจะเห็นว่าเวลาที่อื่นทำบวงสรวง จะเปิดเทปเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่วัดท่าขนุนอาตมาต้องว่าเอง
เพราะว่าสมัยออกจากวัดท่าซุงมาใหม่ ๆ ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ทำการบวงสรวงไหว้ครูประจำปี เปิดเครื่องเสียง เสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงด่าใส่หูมาชัด ๆ ว่า "เอ็งใช้ข้าจนตายแล้วยังจะใช้ต่ออีกหรือ ? เมื่อไรจะทำเองสักที" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จะเห็นว่าอาตมาบวงสรวงด้วยตนเองมาตลอด โดยกราบขอบารมีพระและครูบาอาจารย์ ตลอดจนกระทั่งพรหม เทวดาทั้งหลาย ให้สงเคราะห์ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมา"
"คราวนี้ในสมัยที่อาตมายังอยู่วัดท่าซุง มีพระพี่พระน้องอยู่ด้วยกัน ๔๔ รูป พระอาคันตุกะไปร่วมงานครั้งหนึ่งประมาณ ๓๐๐ รูป รวมทั้งท่านอาจารย์แป๊ะด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าภายภาคหน้าเขาอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ข้า ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ให้พวกแกดูว่าเขาได้ทำตามปฏิปทาของข้าหรือเปล่า ?
บุคคลที่ศึกษาเกี่ยวกับยันต์เกราะเพชรไปนั้น อันดับแรกต้องมีทิพจักขุญาณแจ่มใส อย่าใช้ความสามารถคือฌานสมาบัติของตัวเองเป็นอันขาด เพราะว่าจะทำได้ไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์ พระท่านสั่งอย่างไรให้ทำอย่างนั้นเท่านั้น
ประการที่ ๒ อยู่ในวัดไหนให้ทำที่วัดนั้นเท่านั้น ห้ามเดินสายรับกิจนิมนต์เป่ายันต์อย่างเด็ดขาด อาตมาเพิ่งปฏิเสธไป ๒ รายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นิมนต์ไปจัดงานเป่ายันต์ที่วัดของท่าน จะถวายให้ ๒ แสนบาท อาตมาบอกว่า เงิน ๒ แสนบาท ผมนั่งที่นี่เฉย ๆ ก็ได้แล้ว
ประการที่ ๓ ก็คือ ในเรื่องของการเป่ายันต์เกราะเพชร ต้องทำเฉพาะสงเคราะห์ญาติโยมเท่านั้น ห้ามทำเพราะหวังชื่อเสียงหรือลาภผลเป็นอันขาด
ดังนั้น...ในส่วนนี้ท่านบอกว่า ถ้าเขาอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ของข้า ให้ดูว่าทำตามปฏิปทาเหล่านี้หรือเปล่า ? ถ้าทำตามข้าก็ยอมรับว่าเป็นลูกศิษย์ แต่ถ้าไม่ได้ทำตาม ต่อให้อยู่ในวัด ข้าก็ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ นี่คือสิ่งที่หลวงพ่อท่านสั่งเอาไว้"
"บางท่านถามว่า ผ้ายันต์ที่แจกไปนั้นต่างกับการรับยันต์อย่างไร ? การที่ท่านรับยันต์ติดตัวไปนั้น ถ้าเผลอไปกินเหล้าหรือว่าลักขโมย ยันต์จะสูญหายทันที แต่ท่านไปไหนไม่ลืมแน่ เพราะว่ายันต์อยู่ในตัว แต่ในการที่ท่านรับผ้ายันต์เกราะเพชรไปติดตัว ถ้าลืมหรือว่าสูญหายก็แปลว่าไม่มีอะไรคุ้มครองตัวเอง แต่ถ้าเผลอไปกินเหล้าหรือลักขโมย ผ้ายันต์ก็เลิกคุ้มครองเฉพาะช่วงนั้น
แปลว่าควรที่จะมีไว้ทั้ง ๒ อย่าง เพื่อความปลอดภัยอย่างแท้จริง และโดยเฉพาะว่าระยะหลัง ๆ นี้ เรื่องของไสยศาสตร์เฟื่องฟูมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า น้ำถึงไหน ปลาก็ถึงนั่น พุทธศาสตร์อยู่ที่ไหน ไสยศาสตร์ก็อยู่ที่นั่น เพราะว่าเป็นเหรียญ ๒ ด้านตรงกันข้าม พุทธะ แปลว่า ตื่น ไสยะ แปลว่าหลับ
แต่คราวนี้เมื่อทำการเป่ายันต์เกราะเพชร บารมีพระที่แผ่ลงมา เท่ากับความสว่างอย่างมหาศาล ไสยศาสตร์ที่เป็นความมืดไม่สามารถที่จะอยู่ได้ ท่านใดที่มีของไสยศาสตร์ติดตัวอยู่ ถ้าเสียดายก็ต้องออกให้พ้นเขตวัดไปเลย แต่ถ้าหากว่าท่านไม่เสียดาย อยู่ในนี้ก็เท่ากับว่าปลุกเสกใหม่ อานุภาพที่ท่านเคยใช้อยู่จะไม่มีอีก เพราะกลายเป็นพุทธานุภาพไปแล้ว"
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร
วันเสาร์ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
ปีหน้าจะมีสถานที่เที่ยวเพิ่มอีกแห่งหนึ่ง ก็คือรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด ในเขตของเทศบาลตำบลท่าขนุน อาตมากำลังทำทางขึ้นรอยพระพุทธบาทให้ ในราคา ๑๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท ต่อไปไม่ต้องตะเกียกตะกายปีนเขาเหมือนกับยุคที่อาตมาขึ้นไป เราสามารถเดินขึ้นบันไดสบาย ๆ ถ้าไม่ไหวตรงไหนก็นั่งพักชมวิวไปก่อน"
กราบขออนุญาตนำเสนอภาพถ่ายทางอากาศ
ความก้าวหน้าการสร้างบันไดขึ้นรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน
ถ่ายเมื่อ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๐ (เผื่อหลาย ๆ ท่านนึกภาพไม่ออก)
sROnBAUjjsg
จัดทำโดยชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิต
โมทนา
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.