PDA

View Full Version : อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๗


สุธรรม
16-04-2017, 17:10
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26385&stc=1&d=1492337331
ต้องพึ่งน้ำร้อนในห้องน้ำตามเคย..!

วันศุกร์ที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖


เครื่องปรับอากาศเปิดไว้ที่ ๑๕ องศาเซลเซียส แต่แปลกตรงที่ว่าอาตมาตื่นขึ้นมาด้วยความร้อน แถมยังแสบตาไปหมด ที่แสบตานั้นเป็นเพราะหลวงพ่อพระครูเรืองไม่ปิดไฟก่อนนอน แต่ที่ร้อนและเจ็บคอตลอดจนเป็นแผลในปาก ๑ จุด คงเป็นเพราะกินแต่นมแต่เนยจนร้อนในเป็นแน่ เช้านี้หลวงพ่อพระครูเรืองนอนเงียบไม่กรนเลยสักแอะเดียว...

ลุกไปเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วกรอกน้ำร้อนเข้าไป ๓ แก้วรวด จากนั้นมานอนภาวนาชักยันต์น้ำมนต์รักษาโรค แต่ดูท่างานนี้จะหนักแน่เพราะเริ่มไอแล้ว น่าจะเป็นเพราะเครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้เป็นเครื่องทำความร้อนหรือเปล่า ? จึงลุกไปปิดแล้วมานอนต่อ...

พักเดียวก็ร้อนจะแย่ จึงต้องไปเปิดเครื่องใหม่ พร้อมกับเปิดหน้าต่างช่วย แต่ก็ยังร้อนอยู่ดี เพียงแต่อากาศภายนอกไหลเข้ามาเย็นสดชื่นมาก ทำให้จมูกโล่งขึ้น แต่การนอนไม่ค่อยถนัดนัก ตะแคงซ้ายก็เจ็บสะโพก ตะแคงขวาก็เจ็บส้นเท้าข้างที่พอง นอนภาวนาจนได้คาถานะมะพะทะ ๑๕ จบ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๗ จบ คาถาชินบัญชร ๒ จบ ก็ลุกขึ้นมาเปิดเครื่องโน้ตบุ๊กทำงาน...

สุธรรม
17-04-2017, 03:18
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26392&stc=1&d=1492373779
ทิวทัศน์แม่น้ำจากกลางสะพาน

พิมพ์บันทึกประจำวันแบบย่อจนครบแล้ว ก็เซฟข้อมูล ปิดเครื่องโน้ตบุ๊ก ลุกไปล้างหน้าล้างตาแต่งตัวใหม่ อากาศข้างนอกน่าจะหนาวมาก อาตมาจึงเอากางเกงขายาวลองจอห์นมาใส่ พร้อมกับเสื้อแขนยาวที่เข้าชุดกัน เสื้อผ้าชุดนี้แม่ป๋อมหามาให้ ใส่ทั้งเสื้อทั้งกางเกงแล้วไม่คุ้นเอาเสียเลย หลวงพ่อพระครูเรืองตื่นขึ้นมาตอนนี้เอง เห็นอาตมาแต่งตัวเต็มยศเตรียมสู้ความหนาว จึงเอ่ยปากขอยืมเสื้อกันหนาวสักตัว เพราะว่าท่านไม่ได้เตรียมมาเผื่อความหนาวขนาดนี้ อาตมาเอาทั้งเสื้อขนสัตว์และเสื้อกันหนาวผ้าร่มให้ไปเผื่อไว้สองตัว...

บอกกับท่าน ผอ. โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ว่า จะกลับมาตอนเวลาอาหารเช้า ให้ท่านลงไปรอที่ห้องอาหารเลย แล้วลงลิฟท์ไปข้างล่าง แทนที่จะเลี้ยวซ้ายออกไปทางหน้าเคาน์เตอร์ อาตมากลับเลี้ยวขวาออกประตูหลังที่เป็นกระจกไปแทน อากาศด้านนอกเย็นเฉียบจนรู้สึกแสบจมูก ด้านหลังโรงแรมนี้มีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่าน ทางโรงแรมตั้งเก้าอี้นอนและชุดโต๊ะเก้าอี้พร้อมร่มกันแดดเอาไว้หลายสิบชุด...

ถ่ายรูปบรรดาโต๊ะเก้าอี้ริมน้ำไปแล้ว เห็นทางขวามือมีสะพานใหญ่ทอดข้ามแม่น้ำไปยังฝั่งตรงข้าม อาตมาจึงเดินเลาะไปตามริมน้ำที่เป็นเขื่อนดูแข็งแรงมาก บนสันเขื่อนมีเป็ด Mallard Duck นอนพักอยู่สามตัว แต่เป็น “หนึ่งหญิงสองชาย” เป็ดสาวตัวนี้เสน่ห์แรงไม่เบานะนี่ เมื่อไปจนถึงกลางสะพานแล้ว อาตมาก็จัดการถ่ายรูปแม่น้ำและทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งของสะพานเอาไว้...

สุธรรม
17-04-2017, 19:04
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26407&stc=1&d=1492430491
ตามถ่ายรูปจนหงส์คู่นี้รำคาญว่ายน้ำหนีไปเลย

ทางทิศตะวันออกซึ่งก็คือฝั่งซ้ายของสะพาน เริ่มมีแสงเงินแสงทองขึ้นจับตีนฟ้า ข้ามไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้วอาตมาก็หันกลับมาถ่ายรูป “โรงแรมตาหมากรุก” ที่พวกเราพักเอาไว้ด้วย จึงได้เห็นว่ามีสะพานขนาดเล็กสำหรับคนเดินโดยเฉพาะ คู่ขนานอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าสะพานใหญ่ลงไปมาก ใต้สะพานใหญ่มีป้ายบอกทางขนาดเล็กเป็นภาษาเยอรมัน ถ่ายรูปป้ายแล้วอาตมาเดินเลี้ยวขวาเลาะข้างแม่น้ำไป ด้านนี้มีลานจอดรถสำหรับลากเรือเป็นการเฉพาะ แปลว่ารถอื่น ๆ จอดตรงนี้ไม่ได้...

มีหงส์ขาวสองตัวกำลังว่ายน้ำไซ้หาอาหารอยู่ริมตลิ่ง อาตมาตามถ่ายรูปจนทั้งสองตัวรำคาญ จึงว่ายน้ำตัดข้ามฝั่งไปเลย ฮ่า..! “แม่น้ำสายนี้ชื่อว่าแม่น้ำอาเร่อ (Area) ครับ” เสียงของ “ลุงหนวด” ดังขึ้นโดยไม่ปรากฏหน้าหล่อ ๆ ออกมาให้เห็น โชคดีที่อาตมาเคยชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว จึงไม่ได้ตกใจจนกระโดดลงแม่น้ำไปแบบที่คนทั่วไปควรจะเป็น “เป็นภาษาเยอรมันหรือ ?” ที่ถามแบบนี้เพราะเห็นแต่ป้ายภาษาเยอรมัน “ถูกแล้วครับ”....

“อาตมาควรจะไปทางไหนดี ?” มัคคุเทศก์ล่องหนยังไม่ยอมแสดงตน มาแต่เสียงว่า “ทางด้านซ้ายแล้วข้ามถนนขึ้นไปบนเนินโน่นครับ” อาตมามองไปตามทางที่ได้รับคำแนะนำ เห็นมีอาคารเก่า ๆ สไตล์บาร็อกหน้าตาคล้ายปราสาทยุคเก่าอยู่ด้วย จึงเดินไปอย่างไม่ลังเล “แคว้นนี้มีความเชื่อและความสัมพันธ์กับเลข ๑๑ จนได้ชื่อว่าเมืองแห่งเลข ๑๑ ครับ” มัคคุเทศก์ผู้มาแต่เสียง บรรยายเหมือนกับใส่หูฟังอย่างไรก็อย่างนั้นเลย...

สุธรรม
18-04-2017, 03:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26410&stc=1&d=1492459218
หมู่ถังขยะรวมมิตร

“เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในแคว้นนี้มีอยู่ ๑๑ เมือง มีหอคอยตรวจการณ์ ๑๑ แห่ง มีโบสถ์ ๑๑ หลัง มีบ่อน้ำพุโบราณ ๑๑ บ่อ มิหนำซ้ำยังเข้าร่วมกับสหพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ในลำดับที่ ๑๑ อีกด้วย” มีเมืองก็ต้องหอคอย มีโบสถ์ มีบ่อน้ำ ไม่เห็นจะอัศจรรย์ตรงไหนเลย ส่วนที่เข้าร่วมเป็นรัฐที่ ๑๑ นั่นก็บังเอิญพอดีมากกว่าละมั้ง ? “ท่านจะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ” ภาษิตจีนว่า พบเรื่องอัศจรรย์ ไม่เห็นความอัศจรรย์ ความอัศจรรย์ย่อมหมดไปเอง ฮ่า..!

เลาะข้างแม่น้ำที่มีม้านั่งไม้ขนาดเตียงนอนตั้งอยู่เป็นระยะ ไปจนถึงหมู่ถังขยะสเตนเลสเงาวาววับ ตั้งเรียงเป็นตับอยู่ถึง ๖ ใบอยู่ข้างลานจอดรถอีกฟากของถนน ยังสงสัยว่าทำไมไม่ตั้งให้กระจายไปทั่ว ๆ กัน เล่นเอามากองรวมอยู่ที่เดียว แถมยังอยู่ตีนเนินแบบนี้ สะดวกแค่ตอนรถมาเก็บไปทิ้งเท่านั้น แต่คนเอาขยะลงมาทิ้ง ต้องแบกขยะลงมาแล้วตะกายเนินกลับขึ้นไป หรือว่าเป็นนโยบายบังคับให้ชาวบ้านออกกำลังก็ไม่รู้ ?

อาคารสไตล์บาร็อกบนเนินน่าจะเป็นโบสถ์ฝรั่ง อาตมาถ่ายรูปไว้แล้วเดินขึ้นเนินด้านหลังหมู่ถังขยะ ซึ่งมีพื้นที่ว่างรกเป็นป่าธรรมชาติอยู่หลายตารางวา พื้นที่ไปสิ้นสุดอยู่ที่อาคารทรงสี่เหลี่ยมติดกระจกโดยรอบ มีต้นไม้ดอกที่อาตมาไม่รู้จัก กับแปลงดอกหญ้าคล้าย ๆ ดอกเดซี่ขนาดจิ๋ว และน้ำพุที่ทำเป็นรูปคนแบกถังไวน์ แล้วมีไวน์รั่วออกมาเป็นน้ำพุตั้งอยู่ด้วย เมื่อเดินเลาะไปอีกหน่อยก็เป็นบ้านสไตล์บาร็อกทรงโบราณมาก บางบ้านมีหอคอยอยู่บนหลังคา ที่ผนังบ้านหลายหลังมีต้นตีนตุ๊กแกขึ้นคลุมจนเกือบมิด หลายบ้านมีจักรยานจอดอยู่ด้วย...

สุธรรม
18-04-2017, 17:38
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26411&stc=1&d=1492511793
แดงเขียวเหมือนกับขึ้นพร้อมกัน แล้วจะให้ไปอย่างไรวะ ?

สุดพื้นที่ป่าธรรมชาติเป็นถนนที่มีป้ายเขตชุมชน ให้ระวังเด็กและใช้ความเร็วรถไม่เกิน ๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซ้ำยังมีป้ายห้ามวิ่งตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงหกโมงเช้าอีกด้วย ไฟสัญญาณจราจรของที่นี่มีแค่สองสีเท่านั้น ข้างบนเป็นสีแดง ข้างล่างเป็นสีเขียว ซึ่งตอนนี้ติดอยู่ทั้งคู่ แปลว่าให้หยุดพร้อมกับไปหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? บริเวณถนนของทางขึ้นเนิน มีเสาปักอยู่ไม่ให้รถยนต์ผ่าน ช่องว่างระหว่างเสาพอที่คนหรือจักรยานผ่านไปได้เท่านั้น...

เดินขึ้นเนินไปตามถนนที่เป็นหินสี่เหลี่ยมก้อนเล็ก ๆ ฝังเต็มพื้นดิน ตามแบบนิยมของทางยุโรป ที่ช่วยดูดซึมน้ำเวลาฝนตกหรือหิมะละลาย ไปได้หน่อยเดียวก็เป็นลานกว้าง ซึ่งมีน้ำพุที่ยอดเป็นรูปสิงโตหน้าเศร้า เพราะถูกปั้นในท่ารวบขาเหมือนกับเสาหัวเม็ดทรงมัณฑ์ของบ้านเรา น้ำพุไหลออกไปตามท่อสัมฤทธิ์เล็ก ๆ ที่ยื่นออกไปทั้งสองฝั่ง ลงไปในอ่างใหญ่ด้านล่าง มีถาดสังกะสีอยู่ใต้ท่อ ปลูกต้นเจอเรเนียมสีแดงสดเอาไว้จนเต็มถาด...

ลานกว้างนี้อยู่ด้านหน้าอาคารสองชั้นรูปทรงปิดทึบ มีภาษาอังกฤษเขียนว่า NATUR MUSEUM น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งตอนนี้ทั้งบ้านรอบข้างและพิพิธภัณฑ์ปิดเงียบ น่าจะเปิดสักเก้าโมงหรือสิบโมงโน่นเลย มองไปรอบทิศทางแล้ว อาตมาเป็นหนูน้อยพเนจร โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่คนเดียว ไม่มีแม้แต่หมาหรือแมวสักตัวโผล่มาให้เห็น เหนือประตูบ้านหลายแห่ง มีป้ายทำด้วยโลหะดัดลวดลาย ติดรูปสัญลักษณ์ประมาณป้ายยี่ห้อหรือตราประจำตระกูลเอาไว้ บางแห่งก็เป็นรูปนาฬิกา หรือมีดทำครัวที่บอกชัดว่าร้านนี้ทำอะไรขายบ้าง...

สุธรรม
19-04-2017, 01:49
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26414&stc=1&d=1492541153
หน้าร้านซึ่งจำหน่ายสารพัดเครื่องเหล็กโดยเฉพาะมีดพับสารพัดประโยชน์

หน้าร้านหลายแห่งเป็นห้องกระจกแสดงสินค้า มีทั้งตุ๊กตาแบบด้ายถัก ตุ๊กตาผ้าขนสัตว์ ผ้าพันคอ ฯลฯ ร้านหนึ่งที่หน้าร้านใหญ่มาก แสดงมีดพับสารพัดประโยชน์ยี่ห้อ Victorinox สารพัดขนาดสารพัดใบมีด รวมไปถึงเครื่องมือช่างและเครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือน ตลอดจนมีดทำครัวด้วย น่าเสียดายว่าร้านยังไม่เปิด ไม่สามารถเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้ ถัดไปทางขวามือ เป็นโรงแรมและภัตตาคารที่มีตรามงกุฎฝรั่งเป็นสัญลักษณ์ มีป้ายเขียนว่า HOTEL KRONE & RESTAURANT ซึ่งก็ยังปิดสนิทเช่นกัน...

มองตรงไปข้างหน้ามีตู้ฝากและเบิกเงินอัตโนมัติของธนาคาร RAIFFEISEN สองตู้ ตรงนี้เป็นสามแยก อาตมาเลี้ยวขวาเลาะข้างโรงแรมไป ด้านนี้เป็นเนินลาดสูงขึ้น มีโบสถ์ขนาดใหญ่มากตั้งอยู่ แปลว่าอาคารที่อาตมาเห็นว่าเป็นโบสถ์นั้น น่าจะเป็นแค่บ้านคนทั่วไป หน้าโบสถ์มีบันไดขนาดใหญ่แยกเป็นซ้ายขวาขึ้นไปหลายสิบขั้น มีรูปปั้นหรือสลักของนักบุญยืนอยู่บนแท่นข้างบันไดด้านละ ๑ องค์ ซึ่งด้านล่างรูปปั้นนั้นเป็นอ่างน้ำพุ โบสถ์หลังนี้ก็ปิดเงียบเหมือนกับที่อื่น ๆ...

อาตมาเดินผ่านด้านข้างของโบสถ์ ตรงไปตามถนนที่พาไปสู่ประตูทางออก ที่เป็นวงโค้งอยู่ภายใต้กำแพงของอาคารที่คล้ายกับหอคอย หรือว่าเป็นป้อมรักษาการณ์บนกำแพง ที่พื้นซึ่งฝังหินลูกเต๋าเป็นลายครึ่งวงกลมซ้อน ๆ กันอยู่นั้น มีส่วนที่เป็นดินวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางสักเมตรเศษ ๆ มีไม้ดอกไม้ประดับต้นเล็ก ๆ หลายชนิดปลูกอยู่ มีผู้ชายเดินสวนมาสองคน เมื่อเห็นอาตมาก็ทำหน้าตาท่าทางประหลาดใจมาก “Good morning.” อาตมาทักทายก่อน “Morning.” ทั้งสองตอบมาแบบสั้นมากก่อนที่จะเดินเลยไปตามทางของตน...

สุธรรม
19-04-2017, 16:44
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26417&stc=1&d=1492594948
โมเดลของเมืองนี้

มาถึงประตูทางออกซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับกำแพงแล้วเล็กมาก น่าจะทำไว้เพื่อความสะดวกในการป้องกันเมืองสมัยก่อน ความสูงของประตูประมาณม้าวิ่งผ่านออกไปได้ ถ้ายืนม้าอุดประตูไว้ ข้าศึกคิดที่จะทะลวงเข้าไปภายใน ก็ต้องข้ามศพคนรักษาประตูไปก่อน ด้านหน้าประตูเป็นถนนซึ่งมีต้นไม้ยืนเป็นระเบียบ ยาวเหยียดไปทางทิศตะวันออก ที่ตอนนี้แสงเงินแสงทองกลายเป็นสีส้ม อาบตีนฟ้าจนเป็นสีส้มแดงผืนใหญ่แล้ว...

ตรงหน้าไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่ทางด้านซ้ายมือที่เหมือนกับเป็นสวนสาธารณะ มีกำแพงขนาดใหญ่รายล้อมอาคารที่เหมือนกับปราสาทเอาไว้ เมื่อเดินใกล้เข้าไปก็เจอน้ำพุใสแจ๋วที่ไหลออกมาจากท่อสัมฤทธิ์ขนาดประมาณ ๑ นิ้ว ผ่านรางสังกะสีที่ขึ้นสนิมเขรอะลงไปสู่อ่างน้ำขนาดใหญ่ บ้านเมืองในยุโรปนี่เขาไม่มีก๊อกเปิดปิดหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? เจอกี่แห่งก็ปล่อยน้ำพุไหลแบบอิสระตลอดเวลา ไม่มีการปิดเพื่อประหยัดน้ำกันบ้างเลย...

ใกล้กับน้ำพุเป็นโมเดลเมืองนี้ ไม่ทราบว่าทำมาจากวัสดุอะไร หน้าตาเหมือนหล่อขึ้นมาจากโลหะสัมฤทธิ์ แต่ให้รายละเอียดครบถ้วนมาก อาคารทุกหลังที่อาตมาเดินผ่านมา ปรากฏอยู่ในโมเดลนี้ทั้งสิ้น ปราสาทที่อยู่ตรงหน้าอาตมานั้น อยู่ขอบเมืองด้านตะวันออก แปลว่าเมื่อมาถึงบริเวณนี้ ตัวเมืองก็สิ้นสุดลง หรือไม่ถ้าดูจากหอคอยและกำแพงแล้ว สมัยก่อนอาจจะเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่เมืองก็เป็นได้...

สุธรรม
20-04-2017, 02:25
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26418&stc=1&d=1492629793
กำแพงปราสาทกับคูเมือง

ถ่ายรูปโมเดลเอาไว้แล้ว อาตมาก็เดินเลาะกำแพงปราสาท ถ่ายรูปไปหลายมุม เมื่อมาถึงทางด้านในสุด เป็นคูเมืองชั้นหนึ่งก่อนที่จะเข้าถึงกำแพงปราสาท เมื่อเดินขึ้นจากคูเมืองไปก็เป็นถนนลาดยางใหม่ ๆ ที่ตลอดสองฝั่งถนนเป็นต้นเมเปิลขนาดเล็ก อายุประมาณ ๕ – ๖ ปี มีรถไถแบบสมัยใหม่จอดอยู่คันหนึ่ง แต่ไม่เห็นมีใครสักคน อาตมารู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมา มองซ้ายมองขวาก็หาห้องน้ำไม่ได้ จึงเดินหลบไปหลังต้นไม้ใหญ่ นึกขอขมาท่านเจ้าที่เจ้าทาง ก่อนที่จะรูดลองจอห์นลงเพื่อปลดทุกข์เบาซึ่งกำลังคุกคามอยู่ อูย...อากาศเย็นมาก..!

ใส่สบงมาเกือบสามสิบปี มาเจอกางเกงเข้าจะถอดจะใส่รู้สึกประดักประเดิดไปหมด เสร็จธุระแล้วเห็นด้านหลังต้นไม้นี้มีอนุสาวรีย์เป็นฐานวงกลม กว้างประมาณ ๒ เมตร สูงขึ้นไปเกือบหัวไหล่ ด้านบนเป็นรูปปั้นทหารที่นั่งพับเพียบ จับดาบที่ปักเอาไว้บนพื้น มีรายชื่อสลักเอาไว้รอบฐาน น่าจะเป็นวีรชนที่สละชีพเพื่อป้องกันเมืองนี้ อาตมาน้อมจิตอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้กล้าทุกท่าน แต่ที่ “สาธุ” ดังลั่นกลับเป็น “ท่านนายพล” ซึ่งไม่ปรากฏตัว เฮ้ย..เมื่อกี้แอบดูหรือเปล่าวะ ?

บันทึกภาพอนุสาวรีย์แล้วอาตมาก็เดินเลาะซ้ายมือของป้อมปราการไป ด้านนี้เป็นสวนสาธารณะกว้างใหญ่ มีน้ำพุเป็นรูปหัวแกะอีกหนึ่งแห่ง ริมสวนเป็นตัวอาคารเหมือนกับสถานที่ราชการที่ปิดเงียบ ดูทรงแล้วน่าจะประมาณศาลาว่าการของเมือง ด้านหน้าศาลาเป็นอ่างน้ำพุสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยาวเกือบสามสิบเมตร มีน้ำพุพุ่งกระจายเป็นฝอยอยู่ตลอดเวลา...

สุธรรม
20-04-2017, 13:55
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26421&stc=1&d=1492671140
อาคารส่วนหนึ่งจะมียอดโดมหรือหอคอยเหมือนปราสาทสโนว์ไวท์

ทบทวนภาพโมเดลในหัวแล้ว เดินผ่านศาลาว่าการเมืองไปทางขวา มีอาคารใหญ่อีกหลายแห่งที่กำแพงมาจรดกัน แต่ที่กำแพงมีประตูเล็กให้ลอดไปได้ อาคารส่วนหนึ่งจะมีโดมหรือหอคอยยอดแหลม ๆ แบบปราสาทสโนว์ไวท์ สูงบ้างต่ำบ้าง ทำให้ดูอลังการมีเสน่ห์ทั้งที่เก่าแก่ทึบทึม ผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ “เป็นมะเร็ง” เพราะว่ามีปุ่มปมขนาดใหญ่อยู่กลางต้น แล้วมุดผ่านประตูกำแพงไปแบบไม่ต้องกลัวหลง เนื่องจากจำแบบจำลองได้ ถ้าจำไม่ได้ก็ถามมัคคุเทศก์ล่องหนเอาก็ได้...

กำแพงฝั่งนี้มี “ช่างกล” มาพ่นสีสเปรย์เอาไว้ เป็นรูปหัวหมาบ้าง รูปยุงบ้าง เล่นพ่นเอาไว้ตรงป้ายห้ามเสียเลย ผู้ที่พ่นสีหรือเขียนกำแพงนี้น่าจะเกิดเป็นหมาบ่อย ไปไหนมาไหนจึงต้อง “เยี่ยวรด” เป็นเครื่องหมายเอาไว้กันหลงทาง ผ่านซอยเล็ก ๆ หลุดออกมาสู่ถนนที่พาลงเนินมา เจอกับน้ำพุอีกแล้ว แต่อันนี้เป็นท่อน้ำเรียบ ๆ ไม่มีลวดลาย ติดอยู่กับแท่นที่ดูเหมือนกับป้ายหน้าหลุมศพ ปล่อยน้ำไหลลงไปในอ่างรูปครึ่งวงกลม น้ำใสสะอาดน่าดื่ม แต่เย็นจนสะดุ้ง...

พื้นแถวนี้ไม่ได้ฝังหินลูกเต๋าแบบส่วนอื่น ๆ แต่ฝังหินแม่น้ำกลมแบนเอาไว้ผืนใหญ่ เลาะตามอาคารที่ปิดเงียบไปไม่ไกลก็เจอกับน้ำพุอีกแห่งหนึ่ง เป็นท่อเล็ก ๆ ยื่นออกมาจากกำแพง ปล่อยน้ำไหลลงไปในอ่างรูปครึ่งวงกลมตรงมุมกำแพงนั่นเลย ถัดไปเป็นช่องเว้าเหมือนกับที่ยืนยามรักษาการณ์ แต่ตอนนี้ในช่องนั้นกลายเป็นที่จอดรถจักรยานไปแล้ว ผ่านอาคารสามชั้นอีกหลังหนึ่ง ซึ่งมียอดหอคอยแหลมเปี๊ยบเหมือนกับปลายทวนของอัศวิน ด้านข้างอาคารหลังนี้เป็นที่ว่างซึ่งเป็นสวนสาธารณะ มีต้นไม้ใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่...

สุธรรม
21-04-2017, 02:10
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26422&stc=1&d=1492715310
ป้ายบอกทางที่มีนาฬิกาอยู่ด้วย

เดินตามทางที่ลาดลงไปจนถึงอาคารที่เหมือนกับตึกแถว ซึ่งมีถนนแยกไปซ้ายขวาเหมือนกับสามแยก ที่หน้าอาคารมีรูปปั้นอัศวินโบราณมือขวาถือธงมือซ้ายถือโล่ รูปปั้นนี้ลงสีไว้สวยงามมาก ยืนอยู่บนแท่นน้ำพุ ที่มีน้ำพุพุ่งออกมาจากท่อสัมฤทธิ์สองฝั่ง โดยปลายท่อยื่นออกมาจากหน้ายักษ์หนวดเครารุงรัง หรือจะเป็นหน้าสิงห์ก็ไม่รู้ บนท่อนั้นมีรูปเหมือนกับงูหรือปลาไหลมีปีก ตัวงูหรือปลาไหลโค้งอย่างอ่อนช้อย ปากของทั้งสองตัวคือปลายท่อที่พ่นน้ำพุลงสู่อ่างข้างล่าง...

เดินลงเนินไปอีกหนึ่งช่วงตึก มาโผล่ที่ถนนสายหน้าโบสถ์ ที่ป้ายบอกทางมีนาฬิกาติดอยู่ด้วย บอกเวลาหกโมงห้านาทีแล้ว อาตมาจึงเดินลงเนินไปจนถึงริมแม่น้ำ แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนน มีชายคนหนึ่งเดินลงเนินมาจากทางอีกเส้น เมื่ออาตมาทักว่า “Good morning.” ก็ได้รับคำตอบมาแค่ “Morning.” ตามเคย น่าจะเป็นการทักทายตามปกติของพวกเขาแถวนี้ แต่ก็รู้สึกว่าคนของเขาประหยัดคำพูดดีเหลือเกิน...

มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมองไปทางซ้ายมือจะเห็นโรงแรมรามาดาและสะพานอันแรกที่อาตมาข้ามฝั่งมาห่างออกไปไม่ไกลนัก แสงแดดกำลังจัดจ้าส่องลงแม่น้ำเป็นเกล็ดระยิบระยับตา ลมแม่น้ำเย็นเฉียบจนบาดหน้าพัดมาค่อนข้างแรง เดินข้ามไปถึงฝั่งเดียวกับโรงแรมเป็นที่ดินว่างเปล่าเหมือนกับสวนสาธารณะร้าง ริมสวนมีรูปหล่อสัมฤทธิ์เปลือยของผู้หญิง ที่มือขวาถือวัตถุหงิกงอเหมือนสายฟ้าของเทพซูสในเทพปกรณัมกรีก อยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ที่ทรงใบคล้ายกับยางนาของบ้านเรา แต่ดูบอบบางกว่ามาก...

สุธรรม
22-04-2017, 02:45
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26430&stc=1&d=1492803795
ริมแม่น้ำอาเร่อท่ามกลางความหนาว

ถัดไปเป็นลานคอนกรีตกว้างขวาง จากริมแม่น้ำไปจนถึงด้านหลังอาคารยาวแห่งหนึ่ง กว้างเกือบเท่าสนามฟุตบอลมาตรฐาน ซึ่งดูผิดปกติเพราะไม่เคยเห็นพื้นที่แบบนี้มาก่อน เพราะเท่าที่ผ่านตามา ถ้าไม่ใช่สวนสาธารณะซึ่งพื้นเป็นดินเป็นหญ้า ก็จะเป็นพื้นฝังหินลูกเต๋าไปเลย เมื่อเลาะริมแม่น้ำมาถึงกลุ่มต้นไม้ที่เพิ่งแตกใบใหม่ บริเวณนี้เป็นสวนสาธารณะแน่ มีม้านั่งอยู่ตามใต้ต้นไม้หลายตัว ซ้ำยังมีตู้กระจกใส่หนังสือสูงสี่ชั้น ที่มีหนังสือสารพัดให้หยิบไปอ่านได้ด้วย...

เดินผ่านถนนซอยสายหนึ่งไปก็เป็นพื้นที่ต่อเนื่องของด้านหลังโรงแรมรามาดา ซึ่งมีชุดนั่งเล่นทั้งแบบโซฟาสีแดงและแบบโต๊ะอาหารกลางแจ้ง วางเรียงรายไว้ให้ลูกค้าได้ใช้บริการ จะนั่งอาบแดด นั่งอ่านหนังสือ นั่งสูบบุหรี่ (มีที่เขี่ยบุหรี่วางไว้ให้ด้วย) หรือสั่งอาหารมากินกันกลางแดดก็น่าจะได้ ตอนนี้ลูกค้าที่เห็นก็คือพวกเราเองทั้งนั้น...

ท่านประธานรุ่น พระครูกุ้ยไฮ้ พระครูโจ มหานพพล ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย กำลังหามุมถ่ายรูปกันอยู่ โดยมีสันผนังคอนกรีตริมแม่น้ำเป็นที่นั่ง แต่ที่นี่สันคอนกรีตหนาเกือบสองฟุต จึงไม่น่าหวาดเสียวนัก อาตมาส่งกล้องให้พระครูปรีชาที่เพิ่งเดินมากับท่านไพฑูรย์ ให้ช่วยถ่ายรูปให้ด้วย แล้วก็ถ่ายให้ทั้งสองท่านบ้าง ก่อนที่จะเดินไปนั่งบนเบาะเย็นเจี๊ยบของโซฟา รู้สึกหนาวจนต้องเอามือซุกเข้าไปในจีวร...

สุธรรม
23-04-2017, 15:58
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26439&stc=1&d=1492937731
อาหารจัดไว้เป็นหมวดหมู่ดูน่ากินมาก

ใบฎีกาวรัญญูเดินมานั่งพร้อมกับคำถามว่า “ไปถึงไหนมาครับ ?” อาตมาชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม บอกว่าไปเดินดูเมืองเก่าฝั่งโน้นมา “ผมเห็นตอนอาจารย์เดินข้ามสะพานไปแล้ว ผมเลยเดินเลาะฝั่งไปข้ามสะพานอันซ้ายนี้แทน แต่พอขึ้นไปในเมืองเก่ากลับไม่เจอกัน” ก็ฝั่งโน้นกว้างขวางไม่เบา มิหนำซ้ำอาตมายังเดินออกนอกกำแพงเมืองไป แล้วค่อยอ้อมเป็นวงใหญ่กลับมา ถ้าเจอกันโลกนี้ก็คงจะแคบเกินไปแล้วล่ะ...

“นิมนต์ฉันเช้าค่ะ” เสียง “หญิงใหญ่” ที่เปิดประตูกระจกของโรงแรม ยื่นหน้าออกมาตะโกนมาแบบไม่ต้องเกรงใจใคร พวกเราจึงเดินพาเหรดกันเข้าไปในห้องอาหาร นอกจากสะอาดสะอ้านกว้างขวางแล้ว เขายังจัดอาหารต่าง ๆ ไว้เป็นหมวดหมู่ดูน่ากินมาก มี่ทั้งพวกอาหารหนักอย่างมันฝรั่งบด เบคอน ไส้กรอก ไข่ดาว ฯลฯ แล้ว ยังมีพวกซีเรียล โยเกิร์ต นมสด น้ำผลไม้ ขนม และผลไม้อีกหลายชนิด พูดง่าย ๆ ว่ามีทั้งอาหารร้อนอาหารเย็นครบครัน...

อาตมาหยิบจานไปตักมันฝรั่งบด เบคอน ไส้กรอก มะเขือเทศทอดเนย และเนื้อปลาแซลมอน เอาไปวางจองที่นั่งไว้ก่อน แล้วหยิบจานของหวานไปตักขนมประเภทฟรุตเค้กมาสองชิ้น หยิบแอปเปิลติดมือมา ๑ ลูกใหญ่ เพิ่งจะนั่งลงคุณโอเล่ก็เอาถาดกาแฟและน้ำผลไม้มาเสิร์ฟให้ ปกติอาตมาไม่ฉันพวกน้ำในระหว่างมื้ออาหาร แต่ก็หยิบเอาน้ำแอปเปิลถ้วยเล็กมาเพื่อรักษาน้ำใจ ไม่อย่างนั้นแล้วอาจจะมีคนคิดว่าตัวเองบกพร่อง เพราะว่าเสนออะไรอาตมาก็ไม่ค่อยจะรับกับใคร...

สุธรรม
24-04-2017, 03:16
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26440&stc=1&d=1492978472
ของหวานก็น่ากินมาก

ด้วยความเคยชินจากการฝึกในโรงเรียนทหาร ทำให้อาตมากวาดทั้งอาหาร ขนมและผลไม้ ลงท้องหมดเกลี้ยงภายในสามนาที ปิดท้ายด้วยน้ำแอปเปิล เสร็จแล้วขอตัวกับพรรคพวก กลับขึ้นห้องไป แต่งตัวใหม่ให้รัดกุม แล้วหิ้วกระเป๋าลงมานั่งรอในล็อบบี้ วางกระเป๋าจองที่ไว้ใกล้ม้าไม้แกะสลัก แล้วเดินดูรูปสลักและงานศิลป์ต่าง ๆ ตลอดจนนาฬิกาที่มีอยู่รอบด้าน...

พักใหญ่หลวงพ่อพระครูเรืองก็เดินเหงื่อแตกพลั่กมา บอกว่าขึ้นห้องพักไปแต่กดลิฟท์ผิด เลยหลงหาห้องไม่เจอ ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่สองรอบ จนเจอพรรคพวกที่มาขึ้นลิฟท์ด้วยจึงไปได้ถูก ท่านถอดเสื้อกันหนาวของอาตมาพาดแขนมาเลย แปลว่าร้อนใจจนกายร้อนไปด้วย อาการแบบนี้ก็คงจะคล้ายกับคนหลงป่า ยิ่งตั้งสติไม่ได้ก็ยิ่งเตลิดเปิดเปิงกันไปใหญ่...

เห็นท่านร้อนมากอาตมาจึงทิ้งกระเป๋าเอาไว้ในล็อบบี้ ชวนท่านออกไปนั่งตากอากาศข้างนอก อุตส่าห์เดินไปหาโซฟาตัวที่ไกลสุดแล้ว นอนภาวนาได้ไม่กี่ครั้งกลิ่นบุหรี่ก็ตลบอบอวลอยู่ใกล้ ๆ จะต่อว่าก็ไม่ได้เพราะเป็นที่จัดไว้ให้สูบบุหรี่ได้ จึงต้องยอมลุกเดินหนีกลับเข้าไปในล็อบบี้ใหม่ ตอนนี้พรรคพวกมานั่งกันเต็มเกือบทุกที่นั่งแล้ว พนักงานกำลังขนกระเป๋าไปขึ้นรถ...

สุธรรม
24-04-2017, 14:15
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26442&stc=1&d=1493017976
ภายในห้องน้ำรวมของโรงแรมรามาดา

อาตมาเดินเลยไปเข้า “ห้องน้ำรวม” ที่ไม่ไกลล็อบบี้มากนัก เสร็จแล้วเปิดน้ำจากก๊อกใส่ขวดจนเต็มแล้วเดินออกไปที่รถ นายสันโดษกับคุณโอ๋และคุณโอเล่กำลังตรวจสอบจำนวนกระเป๋า องปลัดที่ออกมาดูกระเป๋าตนเองว่าได้รับการขนขึ้นรถแล้วหรือยัง เดินถอยหลังเพื่อเปิดทางให้กับพนักงานที่เดินหิ้วกระเป๋าสองมือข้อกางมาแต่ไกล แต่ไม่ได้ดูเลยว่าตัวเองกำลังเดินถอยหลังขึ้นไปบนผิวการจราจร..!

อาตมาคว้าแขนเพื่อนนักบวชอนัมนิกาย กระชากจนหัวเกือบจะทิ่มใส่รถ นายสันโดษเห็นรถเก๋งขนาดเล็กเฉียดผ่านไปถึงกับร้องว่า “Oh my god..!“ จะไปโทษรถเก๋งก็ไม่ได้ เพราะว่าคนหันหลังให้ถนน ไม่มีใครเดินข้ามถนนให้ต้องหยุด แต่องปลัดดันเดินถอยหลังขึ้นไป พอเห็นว่ารอดจากการต้องนอนให้สวดกงเต๊กมาได้ องปลัดก็รีบขอบใจเป็นการใหญ่...

“ท่านใดยังไม่ได้คืนกุญแจห้อง ขอคืนด้วยนะครับ” ฮ่า..งานนี้อาตมามัวแต่ช่วยเพื่อนเลยลืมเสียเอง รีบเอากุญแจไปคืนที่เคาน์เตอร์ น้องหนูหน้าตาน่ารักที่ใส่เครื่องแบบพนักงานทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ รวบผมสีทองเป็นจุกอยู่ด้านหลัง ยิ้มแย้มร่าเริง โบกมือพร้อมกับกล่าวคำอำลาว่า “See you again.” ขืนทำตัวน่ารักแบบนี้บ่อย ๆ เดี๋ยวอุ้มกลับเมืองไทยเลยนี่..!

สุธรรม
25-04-2017, 11:35
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26444&stc=1&d=1493094775
ยอดเขาทิตลิสคือยอดที่สองจากขวามือ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

“นิมนต์พระอาจารย์ทุกรูปขึ้นรถครับ” เห็นว่าจวนจะแปดโมงแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อจึงร้องบอกพวกเรา ซึ่งทุกคนก็ไหลตามกันขึ้นไป พระครูญาณฯ ทำเอาแถวหยุดชะงัก เพราะขึ้นมาคาบันได แล้วหันไปโบกมือให้กับน้องหนูที่อุตส่าห์ออกมายืนส่ง จึงเกือบจะถูกพรรคพวกส่งขึ้นรถด้วยบาทาไปแล้ว อาตมาขยับให้ท่านอาจารย์คณบดีซึ่งขึ้นมาทีหลัง เข้าไปยังที่นั่งของท่านทางด้านใน...

เมื่อทั้งพระและฆราวาสเข้าที่เรียบร้อย คุณโอ๋ก็ส่งสัญญาณให้นายสันโดษออกรถได้ พร้อมกับหยิบไมโครโฟนขึ้นมาบรรยายตามหน้าที่ “พระอาจารย์ทุกท่านครับ...วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปยังเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของสวิส คือเมืองลูเซิร์น (Luzern) นะครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที เพื่อไปขึ้นชมยอดเขาทิตลิส (Titlis) ซึ่งเป็นยอดเขาหิมะที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของสวิสเซอร์แลนด์ก่อน แล้วจึงไปชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอื่น ๆ ต่อไป”

“ทำไมไม่ไปยอดเขา Jungfrau ล่ะ ? ดังกว่าตั้งเยอะ” พระครูกุ้ยไฮ้ส่งเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษถามขึ้นมา “เพราะว่ายอดเขาจุงเฟราสูงกว่าและอากาศบางกว่า บางท่านอาจจะเป็นโรคแพ้พื้นที่สูง (Altitude sickness) ซ้ำยังต้องเดินทางไปไกลกว่ามาก ด้วยเวลาที่จำกัดและยอดเขาทิตลิสมีภัตตาคารสำหรับพระอาจารย์ทุกท่านได้ฉันเพลกันครับ ทางบริษัทถึงได้จัดให้พระอาจารย์ทุกท่านไปยังที่นี้” เหตุผลเรื่องกินช่วยให้ทุกคนหมดความสงสัยไปในทันที..!

สุธรรม
25-04-2017, 16:40
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26448&stc=1&d=1493113106
ถนนว่างจนแทบจะผีหลอก

หายกังขาแล้วพวกเราก็เข้าสู่โหมดการทำวัตรเช้า นายสันโดษนำรถวิ่งไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ผ่านถนนหนทางที่โล่งจนแทบผีหลอก ยังดีที่ “ผี” มากับคณะของเรา ไม่อย่างนั้นมีหลอนแน่นอน เห็นยอดเขาหิมะที่เดี๋ยวก็อยู่ทางซ้าย เดี๋ยวก็ย้ายไปทางขวา มีป้ายบอกทางอยู่ขวามือเขียนว่า Zurich Luzern Basel อีกป้ายบอกให้แยกขวาไป Bern บางช่วงรถของเราก็ผ่าไปท่ามกลางซอกเขา แล้วหลุดออกมาในพื้นที่ซึ่งสองฝั่งเป็นป่า มีต้นไม้ยืนต้นชะลูดเหมือนกับต้นเสา ทำวัตรเช้าเสร็จอุทิศส่วนกุศลแล้ว อาตมาที่ป่วยไข้ไอค็อกแค็กก็วูบไปตามระเบียบ...

“ไอ้หนู...เป็นอย่างไรบ้าง ?” หลวงพ่อวัดท่าซุงที่เคารพยิ่งถาม เมื่ออาตมา “ขึ้นไป” กราบแทบเท้า “ดูท่าจะแย่ครับ ยิ่งอยู่ต่างประเทศหยูกยาก็ไม่มีเสียด้วย” ครูบาอาจารย์ที่รักยิ่งของอาตมาหัวเราะ “ก็อยากหยิ่งเลิกกินยาเองนี่หว่า ทนเอาก็แล้วกัน” ก็คงได้แต่ทำเช่นนั้นครับ เพราะเบื่อเต็มที กินยามากี่ปีก็ไม่หาย เลิกกินแล้วสุขภาพกลับดีกว่าเสียอีก หลวงพ่อหันไปหา “ท่านนายพล” พลางกำชับว่า “อย่างไรก็ช่วย “เข็น” กลับเมืองไทยให้ได้นะ ยังมีงานที่ต้องใช้ท่านอีกยาว” อาตมาและ “ท่านนายพล” กราบแทบเท้ารับบัญชา แล้วกลับ “ลงมา” ตามเดิม...

“คนสวิสรักเมืองไทยมากนะครับ หนุ่มสวิสทุกคนอยากมีภรรยาเป็นสาวไทย เพราะว่าแต่งงานกับสาวไทยเท่ากับได้สารพัดบุคคลชั้นเยี่ยมไว้ในครอบครอง ได้แก่ ๑. ได้ภรรยา และเป็นภรรยาที่เคารพให้เกียรติสามีมาก ๒. ได้แม่บ้านทำความสะอาดทุกวัน ไม่อย่างนั้นต้องจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด อาทิตย์ละครั้งหรือต้องทำเอง ๓. ได้แม่ครัวทำอาหารร้อนให้กินทุกวัน ปกติฝรั่งจะกินแต่ “อาหารเย็น” แทบจะไม่มีการอุ่นร้อนเลย อาหารจานร้อนต้องเข้าภัตตาคารเท่านั้น ๔. ได้สุดยอดคุณแม่ที่ดูแลลูก ๒๔ ชั่วโมง โดยไม่ต้องไปจ้างใครเลี้ยง สาวไทยจึงเป็นสิ่งที่มีค่าสุด ๆ ในสายตาของหนุ่มสวิส” ลืมตาขึ้นมาก็ฟังเสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อบรรยายจ๋อย ๆ อยู่พอดี...

สุธรรม
26-04-2017, 03:10
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26449&stc=1&d=1493150888
ลาบเป็ด เอ๊ย..แอนดี้ผู้น่าสงสาร (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

“มีอยู่ครอบครัวหนึ่งที่แต่งกับภรรยาคนไทยซึ่งผมรู้จัก สมมุติว่าชื่อ “เจ๊น้อย” นะครับ เจ๊น้อยแต่งมาอยู่สวิสก็ดูแลสามีและเจ้าเป็ดมอลลาร์ดที่ชื่อ “แอนดี้” ซึ่งสามีเลี้ยงเอาไว้ด้วย เมื่อกินอาหารไทยที่แสนจะประทับใจไปหลายมื้อแล้ว คุณสามีก็อยากจะอวดฝีมือลูกสะใภ้ให้พ่อกับแม่ได้ร่วมชื่นชม จึงเชิญพ่อแม่พี่น้องมาปาร์ตี้กัน โดยกำชับเจ๊น้อยว่า ให้ทำอาหารไทยที่เป็นสุดยอดฝีมือมาให้ทุกคนได้ชิมกันหน่อย ขอแค่อย่าให้เผ็ดมากก็แล้วกัน...

เจ๊น้อยก็ปล่อยสุดฝีมือสาวอีสาน ทำอาหารขึ้นโต๊ะมาให้ทุกคนได้ชิมกัน ฝีมือเลิศเลอสมกับที่คุณสามีคุยเอาไว้ มาถึงอาหารจานเด็ดที่รสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็มกลมกล่อม และไม่เผ็ดมากอย่างที่ขอเอาไว้ ทุกคนกินกันอย่างมีความสุขมาก ขณะที่กำลังอร่อยอยู่คุณสามีก็ถามว่า อาหารจานนี้คืออะไร ? เจ๊น้อยตอบด้วยความมั่นใจในฝีมือว่า “ลาบเป็ด” ทำเอาคุณสามีสงสัยมาก เพราะในรายการของสดที่ซื้อมาไม่มีเป็ดเลย แล้วภรรยาไปเอามาจากไหน ? “ก็แอนดี้ไงล่ะ..!”

ระเบิดลงครับ..! ทุกคนวางมีดวางช้อน โดยเฉพาะคุณพ่อผัว เดินหนีออกจากโต๊ะอาหารไปเลย ปาร์ตี้ล่มกลางคัน เจ๊น้อยทำอะไรไม่ถูก สงสัยว่าทุกคนเป็นอะไรไป ? จนคุณสามีบอกว่า “ยูจำเอาไว้เลยนะ ว่านี่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ถ้ามีอีกเมื่อไรไอจะจับยูข้อหาทารุณสัตว์..!” สามีเจ๊แกเป็นตำรวจครับ เจ๊น้อยร้องไห้จนตาบวมไปหลายวัน คนไทยเราเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้ ถึงเวลาก็เชือดกินกันเป็นปกติ แต่ฝรั่งไม่ใช่ครับ ยิ่งเป็นสัตว์เลี้ยงที่เขาตั้งชื่อให้ด้วย ก็ยิ่งเหมือนกับคนในครอบครัว ให้เอามาทำอาหารเขาทำใจไม่ได้ครับ เจ๊น้อยเกือบจะหนีกลับเมืองไทยอยู่แล้ว ยังดีที่คุณสามีไม่ถึงกับขับไสไล่ส่ง แต่เจ๊แกคงสาปส่งเป็ดฝรั่งไปตลอดชีวิตเลย”

สุธรรม
26-04-2017, 13:19
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26456&stc=1&d=1493187446
ดูด้วยสายตาแล้วน่าจะเย็นสยอง..!

เรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาดราม่าสุด ๆ แต่ทำไมพวกเราถึงได้ขำกลิ้งกันทุกคนก็ไม่รู้ ? รถวิ่งผ่านอุโมงค์ที่บ้างก็สั้นแค่ไม่กี่สิบเมตร บ้างก็ยาวถึงสองสามกิโลเมตร เป็นอุโมงค์โปร่งบ้าง ทึบบ้าง บางแห่งเป็นสี่เหลี่ยม บางแห่งเป็นครึ่งวงกลม หลุดออกจากอุโมงค์เมื่อไร ยอดเขาหิมะก็จะปรากฏให้เห็นทุกครั้งไป จนชักสังหรณ์ใจพอดีมัคคุเทศก์ล่องหนบอกว่า “ใช่แล้วครับ ท่านกำลังวิ่งอยู่ “ใน” เทือกเขาแอลป์ (Alps) จริง ๆ” เดาหวยทำไมไม่แม่นแบบนี้วะ ? เห็นมุดภูเขา มุดแล้วมุดอีก ก็เลยคิดว่ามุดขนาดนี้แปลว่าต้องอยู่ข้างในเทือกเขา แล้วก็ใช่จริง ๆ เสียด้วย...

บางช่วงมีไม้ซุงกองอยู่อย่างเป็นระเบียบ น่าจะเป็นพวกไม้สน กว่าจะขนออกไปใช้งานได้น่าจะต้องออกแรงกันอีกหลายยก หลุดพ้นเทือกเขาออกมาได้ก็เจอกับแดดจัดจ้า ช่วงนี้เริ่มมีอาคารบ้านเรือนมากขึ้น บางหลังใหญ่โตโอ่อ่าน่าจะเป็นอาคารที่ทำการของราชการ ผ่านวงเวียนที่เป็นรูปลูกกุญแจแต่ถ่ายรูปไว้ไม่ทัน ถนนช่วงนี้วิ่งขนานไปกับทางรถไฟ ซึ่งสำหรับในยุโรปแล้ว การเดินทางด้วยรถไฟจะเป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะว่าสะดวกสบาย ปลอดภัยและตรงเวลามาก...

ผ่านไปไม่นานก็มีลำห้วยน้ำใสแจ๋วโผล่มาข้างทาง สายน้ำไหลตีคู่ไปกับถนน ดูแล้วน่าจะเย็นจนสยอง เพราะว่าไหลมาจากยอดเขาหิมะ “พรุ่งนี้เช้าผมจะมีข้าวต้มถวายพระอาจารย์ทุกท่านนะครับ ฉันอาหารเช้าแบบฝรั่งมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวจะลืมข้าวต้มบ้านเรา ทางบริษัทเตรียมกับข้าวต้มมาให้หลายอย่างเลยครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อแจ้งให้พวกเราทราบ “มีแต่ข้าวต้มตอนเช้าหรือ ? แล้ว “ข้าวต้มกลางวัน” มีบ้างมั้ย ?” ท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชาที่ถ่ายภาพเคลื่อนไหวแซวขึ้น เรียกเสียงฮาจากพวกเราลั่นไปทั้งคันรถ...

สุธรรม
27-04-2017, 02:50
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26460&stc=1&d=1493236116
บรรยากาศข้างนอกน่าจะหนาวมาก

เรื่องอะไรที่เฉียดใกล้ใต้สะดือละชอบกันนัก นายสันโดษนำพาหนะคันเก่งตีโค้งหักข้อศอก แล้วเร่งเครื่องขึ้นเนินเขา ดันมีรถบัสคันใหญ่วิ่งสวนลงมา ดูจากผู้โดยสารบนรถแล้ว น่าจะมาจากแหล่งเที่ยวแถวที่ซึ่งเรากำลังไป ถนนแคบ ๆ ทำเอาทั้งรถเขารถเราใกล้ชิดสนิทสนมกันอย่างน่าหวาดเสียว “ข่าวดีสำหรับพระอาจารย์ทุกท่านครับ ทางเอเย่นต์แจ้งมาว่า เมื่อวานนี้มีหิมะหลงฤดูตกหนัก มาวันนี้ฟ้าเปิดให้ทุกคนได้เที่ยวชมกันอย่างเต็มที่ ถือว่าทุกท่านโชคดีมากเลยครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อรับโทรศัพท์แล้วประกาศให้ทราบ...

“ฝีมือใครกันแน่ ?” อาตมาคาดคั้นกับมัคคุเทศก์ล่องหน “ลุงหนวด” ยื่นหน้ามายิ้มหนวดกระดิก “ถ้าทำวัตรสวดมนต์อุทิศให้พวกผมทุกวันแบบนี้ จะดูหิมะถล่ม แผ่นดินไหว หรือภูเขาไฟระเบิดก็ยังไหวครับ..!” เฮ้ย...ไม่ต้องถึงขนาดนั้น เดี๋ยวชาวบ้านเขาจะเดือดร้อนนนนน..! รถของเราชะลอความเร็วลงไปเรื่อย ๆ ตามจำนวนความหนาแน่นของรถทั้งที่สวนมาและเราวิ่งตามไป เท่าที่เห็นก็คือรถบัสคันใหญ่แบบของเรากระดืบตามกันไปสามคัน ส่วนที่เหลือโดนรถใหญ่บังจนมองไม่เห็น...

“ข้างนอกดูแล้วหนาวมาก พระครูวิลาศฯ ไหวไหม..?” ใบฎีกาวรัญญูที่เห็นอาตมาป่วยถามขึ้นมา เนื่องจากอาตมาย้ายที่นั่งเพื่อถ่ายรูป แล้วมาแปะอยู่กับท่านพอดี “ผมเคยเจออากาศ ๒.๕ องศาเซลเซียสในป่าทองผาภูมิมาแล้ว น่าจะพอไหว คิดถึง “คุณนายแสบ” หมาของผมว่ะ หน้าหนาวคุณเธอจะมีขนขึ้นอีกชั้นหนึ่งจนตัวกลม น่าเอามาทำชุดกันหนาวหนังหมามาก...!” ไม่รู้ว่าคุณนายเธอจะจามเพราะเจ้านาย “คิดถึง” หรือเปล่า ?

สุธรรม
28-04-2017, 05:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26462&stc=1&d=1493330391
รูปหมู่ริมห้วยที่ขาดพระครูโจไปคนเดียว

กระทบกับอากาศที่หนาวจัดทำเอาอาตมาทำท่าจะไข้มาลาเรียกำเริบ ต้องรีบกลับขึ้นรถไปล้วงเอาหมวกไหมพรมและผ้าพันคอออกมาใช้งาน เห็นแสงแดดจัดจ้าประกอบกับพวกเราต้องขึ้นยอดเขาหิมะ จึงเอาแว่นกันแดดมาใส่ด้วย ลงจากรถแล้วตรงไปที่ริมห้วยด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้าลื่นตกลงไปมีหวังจบเห่หนาวตายเป็นแน่ ทดลองเอามือจุ่มลงไปในน้ำดู บรื๊อววส์...ชาวาบจนเหมือนกับไม่มีมือเหลืออยู่เลย ต้องรีบเช็ดมือกับผ้าพันคอ แล้วจึงเอากล้องออกมาถ่ายรูป แหม..นิ้วแข็งจนแทบจะกดปุ่มถ่ายรูปไม่ได้...

ท่านอาจารย์คณบดีซึ่งใส่หมวกไหมพรมจนหน้าตาดูเหมือนเด็กวัยรุ่น ยืนที่ริมห้วยให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยถ่ายรูปให้ ตามมาด้วยท่านประธานรุ่น พระครูสันติฯ พระครูด็อกเตอร์ จนรูปเดี่ยวเริ่มกลายเป็นรูปหมู่เล็ก ๆ พอใบฎีกาวรัญญูกับพระครูวิสุทธฯ มาสมทบอีก ท่านประธานรุ่นก็เลยตะโกนเรียกทุกคนให้มาถ่ายรูปร่วมกัน อาตมาส่งกล้องให้กับ “หญิงใหญ่” แล้วไปนั่งอยู่ที่แถวหน้าขวาสุด คุณโอ๋มัคคุเทศก์สุดหล่อก็วิ่งเข้ามาร่วมเฟรมกับพวกเราด้วย ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย คุณโอเล่ กับ “หญิงใหญ่” รับกล้องไปคนละหลายตัว ทำหน้าที่ช่างภาพ...

ถ่ายรูปเสร็จก็สลายกลุ่ม เดินตามคุณโอ๋ไปทางสำนักงานท่องเที่ยว เพิ่งจะเห็นว่าพระครูโจมาอยู่ทางนี้ “มาทำอะไรที่นี่ครับ ? เลยไม่ได้ถ่ายรูปหมู่ด้วยกัน” ท่านเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีทำหน้าเมื่อย “ปวดฉี่ครับ ต้องรีบมาหาที่ระบาย เลยตกสำรวจ” ก็น่าเห็นใจ เพราะเรื่องแบบนี้ช้าไม่ได้เสียด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อที่หายเข้าไปในสำนักงาน กลับออกมาพร้อมกับตั๋วสำหรับกระเช้าลอยฟ้าขึ้นยอดเขา เอามาแจกให้กับพวกเราคนละใบ...

สุธรรม
28-04-2017, 19:29
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26463&stc=1&d=1493382412
เสียบบัตรผ่านแล้วรับคืนด้วย

“พระอาจารย์ทุกท่านอย่าทำตั๋วหายนะครับ เพราะว่าช่วงแรกต้องอาศัยตั๋วนี้ผ่านเครื่องตรวจเข้าไปด้านใน แล้วยังต้องขึ้นกระเช้าลอยฟ้าอีกสามช่วงไปบนยอดเขา ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะต้องตรวจตั๋วอีกหรือเปล่า ?” นอกจากตั๋วขึ้นกระเช้าแล้ว ยังมีสติ๊กเกอร์อีกคนละชิ้นเล็ก ๆ ให้แปะไว้กับจีวร “จะแปะไว้เลยหรือจะไปแปะติดตอนเข้าร้านขายของที่ระลึกก็ได้ครับ ถ้าไม่มีสติ๊กเกอร์นี้ เขาจะไม่ขายของให้นะครับ เพราะว่าคนที่ไม่มีสติ๊กเกอร์คือบรรดาเจ้าหน้าที่ของที่นี่ ถ้าไปซื้อของที่ระลึกซึ่งสามารถขอลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ๘ % ก็จะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นเขา” อาตมาเอาสติ๊กเกอร์แปะไว้กับด้านหน้าของผ้าจีวรไปเลย...

แจกตั๋วครบแล้วมัคคุเทศก์รูปหล่อก็เดินนำไปยังอาคารสองชั้น ที่มีรูปยอดเขาหิมะติดเกือบจะเต็มพื้นที่ เว้นไว้แต่ประตูทางเข้าเท่านั้น ด้านบนสุดมีป้ายภาษาอังกฤษเขียนว่า TITLIS ENGELBERG บรรดานักท่องเที่ยวฝรั่ง หันกล้องมาถ่ายรูปคณะของเราเป็นการใหญ่ เมื่อเข้าประตูไปด้านซ้ายเป็นช่องขายตั๋ว ซึ่งมีคนเข้าแถวกันยาวทีเดียว ส่วนทางขวามือเป็นทางไปขึ้นกระเช้า (Cable Car) มีเครื่องนับจำนวนคนที่เป็นเครื่องดิจิตอล ๔ เครื่องด้วยกัน คุณโอ๋จัดการเสียบตั๋วให้พวกเราดูเป็นตัวอย่าง เมื่อเสียง "ปี๊บ" ดังขึ้นก็หยิบตั๋วคืนมาแล้วเดินผ่านไป ทุกคนทำตามกันแบบรู้หน้าที่...

อาตมาหยิบตั๋วคืนมาและเดินผ่านไปแล้ว ก็ถอยหลังไปหลายก้าว หันกล้องกลับมาถ่ายพรรคพวกที่ตามมาทีหลัง แล้วจึงค่อยตามมัคคุเทศก์รูปหล่อของเราต่อไป ภายในเป็นทางเดินแคบ ๆ ประมาณเคียงไหล่กันสองคน พอถึงจุดที่ต้องตรวจนับค่อยขยายกว้างออกเป็นสี่ช่องทางตามเคย มีทีวีวงจรปิดฉายภาพเส้นทางขึ้นยอดเขาและข้อมูลต่าง ๆ ให้ดูเป็นระยะไป จนกระทั่งหลุดออกมายังทางเดินที่เป็นเหมือนวิหารคด แต่หลังคาเป็นกระจกใสรับแดดจัดจ้า ด้านหน้าของเราเป็นห้องโถงกว้าง มีผู้คนนับร้อยที่ยืนรอขึ้นกระเช้าลอยฟ้าอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีเจ้าหน้าที่หญิงชายหลายคน กระจายตัวกันคอยจัดระเบียบและนับจำนวนคน ว่าแต่ละชุดให้เข้าไปรอขึ้นกระเช้าได้กี่คน...

สุธรรม
29-04-2017, 02:28
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26464&stc=1&d=1493407550
เพื่อน ๆ ขอถ่ายรูปด้วย เผื่อได้ไปลงหนังสือ

อาตมาเห็นว่ากำลัง “คนติด” และพื้นที่ก็เหมาะสมที่จะถ่ายรูป จึงส่งกล้องให้พระครูปรีชาช่วยถ่ายให้ที พระครูกล้ารีบเสนอหน้าเข้ามาใกล้ “ขอถ่ายรูปคู่กับหลวงพ่อเล็กหน่อย รูปนี้เอาลงหนังสือบันทึกการเดินทางใช่ไหม ?” เพิ่งจะถ่ายเสร็จ “เฮ้ย..ขอโชว์หล่อบ้าง” พระครูญาณฯ ยื่นหน้าเข้ามาแจมอีกราย ท่านอื่น ๆ เห็นเข้าจึงมีรายการเลียนแบบ ทั้ง “เซลฟี่” และฝากคนอื่นถ่ายรูปให้ ที่ตลกมากก็คือท่านอาจารย์ ดร. วันชัย ใช้สองมือจับกล้องตัวเบ้อเริ่มเลนส์ยาวเป็นคืบ “เซลฟี่” ให้กับตัวเอง ไม่รู้ว่าออกมาแบบไหน เพราะว่าไม่ได้ไปขอท่านดู...

เสียงเครื่องกลไกดังโกร่งกร่าง แล้วกระเช้าแบบปิดแต่มีผนังเป็นกระจกก็เคลื่อนตามกันมา ๕ คัน แต่ละคันสามารถรับคนได้ ๖ คน โดยนั่งหันหน้าเข้าหากันด้านละ ๓ คน แปลว่าชุดหนึ่งสามารถขนส่งคนขึ้นไปได้ ๓๐ คน กระเช้าแต่ละคันมีรูปธงของชาติต่าง ๆ ติดอยู่ชาติละคัน ที่เห็นก็มีเดนมาร์ก ฮ่องกง เยอรมัน เกาหลีใต้ และอังกฤษ ผู้โดยสารโดนเจ้าหน้าที่ผลักตัวให้รีบขึ้นกระเช้า เพราะว่านอกจากประตูกระเช้าจะเปิดปิดอัตโนมัติแล้ว ยังเคลื่อนตัวค่อนข้างเร็วอีกด้วย คนทางด้านหน้าของเราน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาถึงคณะของพวกเรา...

เห็นหลวงพ่ออำเภอท่ายาง พระครูญาณฯ พระครูกล้า พระครูโจ ขึ้นกระเช้าหนึ่ง หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ หลวงพ่อพระครูเรือง พระครูปรีชา และอาตมา ขึ้นอีกกระเช้าหนึ่ง องปลัดผลุบขึ้นกระเช้าถัดไปกับใครบ้างก็ดูไม่ทัน เพราะว่ากระเช้าเคลื่อนตัวเสียงค่อนข้างดังไปตามคานสีแดงเหนือหัว ข้างที่นั่งมีป้ายเขียนไว้ชัด ๆ ว่า 6 Pers. 480 Kg. แต่พวกเราได้อภิสิทธิ์นั่งกันกระเช้าละ ๔ รูปเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอหลุดมาอยู่บนสายสลิงลอยละลิ่วขึ้นฟ้า ผ่านป่าสนและเสาที่เป็นแท่นยึดลวดสลิง ยิ่งลอยก็ยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เห็นหมู่อาคารและลานจอดรถเล็กลงไปทุกที ก็รู้สึกเสียวไส้พิกล ตกกระเช้าตายนี่คงจะดังไปทั่วโลกเป็นแน่แท้..!

สุธรรม
29-04-2017, 15:36
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26465&stc=1&d=1493454872
มองนาน ๆ แล้วจะหน้ามืด..!

“ขอรับรองความปลอดภัยครับ ตายง่าย ๆ นี่ไม่ใช่วิสัยของท่าน เพราะว่า “เล่น” คนอื่นเอาไว้มาก ยังต้องทนอยู่อีกนานครับ” แหม.. “ท่านนายพล” ให้กำลังใจได้ดีมาก เห็นด้านหลังมีกระเช้าชุดเดียวกับของเราตามมาลิบ ๆ ห่างกันประมาณช่วงเสาสลิงละ ๒ คัน น่าจะเป็นระบบความปลอดภัยอย่างหนึ่ง เผื่อว่าลวดสลิงขาด กระเช้าที่ตามหลังมาจะได้หยุดทัน ไม่ต้องร่วงตามกันลงไป แต่กระนั้นก็ตาม ทุ่งหญ้าที่ดูเหมือนสนามกอล์ฟตามลาดเขา เมื่อเปรียบกับยอดต้นสนและกระเช้าที่สูงกว่ายอดต้นสนแล้ว ก็ยังพาให้คนกลัวความสูงขนพองสยองเกล้าอยู่ดี...

ไม่ใช่ว่าพวกเราขึ้นอย่างเดียว มีกระเช้าที่กำลังลงสวนมาด้วย ต่างคนต่างยกกล้องถ่ายรูปกระเช้าของกันและกัน บางช่วงมีบ้านคนลักษณะแบบกระท่อมไม้ซุงโบราณอยู่บนเนิน บางช่วงก็มีฝูงวัวอาบแดดกินหญ้าท้าลมหนาว ดูแล้วน่าอิจฉาวัวที่มาอยู่ในสถานที่วิวสวยแบบนี้ บางช่วงต้นสนสูงกว่าเสาขึงลวดสลิง ทำให้กระเช้าของเราวิ่งระผ่านยอดสนไปเลย จนมาหยุดที่อาคารอันเป็นสถานีที่สองซึ่งพวกเราต้องลงมาเพื่อเปลี่ยนกระเช้าชุดใหม่ ไม่ทราบว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบรักษาความปลอดภัย หรือว่าสายลวดสลิงยาวที่สุดได้แค่นี้ก็ไม่รู้..?

พวกเราลงจากกระเช้า เดินไปตามทางบังคับมาจนถึงเครื่องนับจำนวนคน เสียบตั๋วเพื่อเข้าไปในสถานีที่ ๒ แล้วเดินตามป้ายที่บอกทางว่าไปยอดเขาทิตลิส จนมายืนออกันอยู่กับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มีเจ้าหน้าที่ซึ่งไว้เคราเป็นซานตาคลอสประกาศบอกนักท่องเที่ยวว่า เมื่อกระเช้ามาถึง ให้รอผู้โดยสารขาลงออกจากกระเช้าหมดเสียก่อน แล้วจะให้สัญญาณผู้โดยสารขาขึ้นว่าขึ้นได้เมื่อไร จากนั้นจัดการนับจำนวนคนให้เข้าไปยืนรอด้านใน ๘๐ คน ส่วนที่เหลือถูกกันเอาไว้ด้านนอก...

สุธรรม
30-04-2017, 02:55
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26467&stc=1&d=1493495561
มินิบัส เอ๊ย...กระเช้ากำลังเข้าเทียบชานชาลา

กระเช้าขาลงมาถึงท่ามกลางเสียงฮือฮาของพวกเรา เพราะว่าเป็นกระเช้าเดี่ยวใหญ่ประมาณรถมินิบัส..! มาจอดเทียบที่ “ชานชาลา” ซึ่งมีรูปโฆษณานาฬิกาสวิสเมดขนาดใหญ่ รอจนผู้โดยสารลงมาหมดแล้ว คุณซานตาคลอสก็ให้สัญญาณผู้โดยสารขาขึ้นเดินเข้าไปในกระเช้า พร้อมกับนับจำนวนซ้ำอีกรอบ เมื่อครบ ๘๐ คนและกระเช้าปิดดีแล้ว ก็ออกตัวลอยละลิ่วไป โดยมีพวกเราถ่ายรูปเป็นการใหญ่ เมื่อกระเช้าลับสายตาไปแล้ว ก็หันมาถ่ายรูปกันเองบ้าง ถ่ายรูปทิวทัศน์ที่เห็นในมุมจำกัดบ้าง ท้ายสุดก็ถ่ายรูปเทอร์โมมิเตอร์ซึ่งบอกอุณหภูมิขณะนี้ที่ ๐.๕ องศาเซลเซียส...

ประมาณห้านาทีกระเช้าถัดไปก็มาถึง พวกเราที่โดนเรียกตัวเข้าไปด้านในแล้ว รอจนผู้โดยสารขาลงออกมาหมด ก็เดินเข้าไปโดยมีนายซานตาคลอสคอยนับจำนวนเช่นเคย ด้านในกระเช้าเป็นพื้นที่ว่างโล่ง ๆ ด้านบนเป็นเชือกสายพานติดลูกโลหะกลม ๆ สำหรับโหนแบบรถเมล์ยุคใหม่ ที่ไม่ต้อง “จับลาว” ให้เข้าใจผิดกันอีก อาตมารีบเดินเข้าไปชิดผนังด้านใน เพื่อกันไม่ให้โดนผู้หญิงเบียด เมื่อประตูปิดลงถึงได้รู้ว่า ๘๐ คนนี้ต้องยืนเบียดกันค่อนข้างแน่นทีเดียว ด้านบนผนังมีป้ายเล็ก ๆ ติดไว้เขียนว่า 80+1 pers./6480 kg. แสดงว่าค่าเฉลี่ยน้ำหนักของผู้โดยสารอยู่ที่คนละ ๘๐ กิโลกรัม อาตมาขาดทุนไปยี่สิบกว่ากิโลกรัมทีเดียว...

กระเช้าเคลื่อนผ่านพื้นที่ซึ่งเกือบจะเป็นหินล้วน ๆ ไม่มีต้นไม้มากเหมือนกับช่วงล่าง มีร่องสีขาวสกปรกอยู่หลายแห่ง “นั่นคือธารน้ำแข็ง (Glacier) ขนาดเล็กครับ” ยังดีที่มีมัคคุเทศก์ล่องหนคอยบอก ไม่อย่างนั้นอาตมาก็คงจินตนาการถึงธารน้ำแข็งใสแจ๋วสีอมฟ้า ใครจะไปคิดว่ามันจะสกปรกได้ใจขนาดนี้ ต้นไม้ใหญ่ค่อย ๆ หายไป เหลือแต่หญ้าสีเขียวปนน้ำตาล ท้ายสุดก็กลายเป็นหิมะสีขาว แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง หิมะที่ตกใหม่เมื่อวานจากฝีมือของ “ลุงหนวด” และคณะ ทำให้ยอดเขาดูฟูนุ่มจนน่าลงไปกลิ้งเล่น...

สุธรรม
30-04-2017, 16:02
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26468&stc=1&d=1493542821
ป้ายภาษาไทยในกระเช้าหมุน

ประมาณหกนาทีต่อมา กระเช้า “มินิบัส” ก็มาเทียบชานชาลาของสถานีที่สาม ตรงนี้เราต้องขึ้นกระเช้าหมุน (Rotair) ไปบนยอดเขา “สถานีที่สามนี้ชื่อว่า Stand นะครับ สถานีที่สองที่เราผ่านมาชื่อว่าสถานี Trubsee สำหรับคนที่มาเล่นสกีในช่วงหน้าหนาว ก็จะลงที่สถานีนี้ แล้วเดินไปที่ลานสกีอีกด้านหนึ่งครับ สำหรับช่วงนี้มีหิมะไม่พอที่จะเล่นสกี ส่วนใหญ่จึงต้องขึ้นไปจนถึงยอดเขาด้านบน” มัคคุเทศก์รูปหล่อได้ทำหน้าที่ระหว่างรอกระเช้าหมุนมารับ...

กระเช้าหมุนสีฟ้าคาดขาว มีคำว่า TITLIS สีแดงติดอยู่ หน้าตาอ้วนกลมน่ารักลอยมาเทียบท่า ต้องปล่อยให้คนลงก่อนตามเคย จากนั้นคนขึ้นก็มุดพรวดเข้าไปจนเต็มในพริบตา ดูแล้วน่าจะบรรจุได้ ๓๐ – ๔๐ คน พอเริ่มเคลื่อนไปตามสายลวด ตัวกระเช้าก็หมุนแบบช้า ๆ ให้พวกเราได้ถ่ายรูปทิวทัศน์ของยอดเขาหิมะในทุกมุม โดยไม่ต้องไปเบียดแย่งมุมสวยกับใคร แต่...กระจกที่ลายพร้อยด้วยการใช้งาน หรือว่าหมดอายุการใช้งานแล้วก็ไม่รู้ ? หลายแห่งเป็นเส้นลาย ๆ เหมือนกับรอยร้าว ต้องเบี่ยงหน้ากล้องหามุมที่ลายน้อยที่สุด จนหลายครั้งที่พลาดมุมสวยไปอย่างน่าเสียดาย...

“มีภาษาไทยด้วยนะ” พระครูกล้าชี้ให้ดูบนผนังกระเช้า ที่มีป้ายทั้งภาษาไทยและภาษาเยอรมัน ส่วนที่เป็นภาษาไทยเขียนว่า “ยินดีต้อนรับในรถเคเบิลแรกของโลกที่หมุนรอบตัวได้” ไม่รู้ว่าเป็น “คันแรก” หรือว่า “แห่งแรก” เพราะว่าเขียนเอาไว้แค่นั้น เป็นฝรั่งใช้ภาษาไทยได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้ว อาตมาเคยบอกแล้วว่า ไม่รู้ว่าจะยินดีหรือจะร้องไห้ ที่คนไทยเอาเงินมาถมต่างประเทศแต่ละแห่ง ซึ่งต้องเป็นจำนวนมหาศาลพอที่เขาจะให้ความสำคัญ ด้วยการให้มีป้ายภาษาไทยติดเอาไว้ให้แบบนี้...

สุธรรม
01-05-2017, 02:51
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26470&stc=1&d=1493581657
อดน้ำมาครึ่งวันแล้วครับ..!

ถ่ายรูปให้พระครูกล้ากับป้ายภาษาไทย แล้วหันไปสนใจกับทิวทัศน์ข้างนอก มีนกสีดำตัดกับหิมะขาวโพลน ดูแล้วไม่น่าจะเป็นพวกเหยี่ยวหรืออินทรี เพราะว่าบินฉวัดเฉวียนเร็วเกินกว่านกนักล่าพวกนั้น บินโฉบวูบวาบไปมาอยู่ตัวหนึ่งหรือสองตัว ไม่กี่นาทีต่อมากระเช้าก็เข้าเทียบท่าด้านบน เมื่อออกมาแล้วก็ต้องไหลตามกันไป เพื่อขึ้นลิฟท์ไปบนยอดเขาอีกที ดูแล้วยุ่งยากพิกล “ถ้าให้เดินไปตามทางเปิด แม้ว่าจะสะดวกกว่าเมื่อมีคนมามาก ๆ แต่จะมีปัญหาใหญ่ในช่วงหน้าหนาวที่หิมะทับถมกัน เพราะต้องทำการขุดทางเดินกันทั้งฤดู เขาจึงทำเป็นลิฟท์ปิดไปเลยครับ” เจ้าถิ่นล่องหนช่วยคลายความสงสัย...

ออกจากลิฟท์มากระทบอากาศร้อนวาบจนสะดุ้ง กลิ่นอาหารตลบอบอวลจนหายใจได้ยาก ตรงนี้เป็นร้านอาหารสร้างจากไม้สน มีหน้าต่างกระจกโดยรอบให้เห็นยอดเขาหิมะด้านนอก ทั้งที่แสงแดดจัดจ้าแต่โคมไฟเพดานที่เลียนแบบเชิงเทียนโบราณก็ยังเปิดอยู่ บริกรที่ทราบว่าเรามาจากคณะทัวร์ที่จองเอาไว้ พาพวกเราเลี้ยวขวาลงไปที่ชั้นลด ซึ่งมีโต๊ะอาหารเต็มไปหมด ทั้งแบบโต๊ะ ๔ ที่นั่งและ ๖ ที่นั่ง ชี้ให้นั่งในส่วนที่กันไว้ให้กับคณะของเรา ปกติแล้วอาตมามักจะเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง แต่ทางเดินแคบ ๆ ที่ต้องตามกันไปทำให้ไปถึงช้า ที่ริมหน้าต่างโดนพรรคพวกจองไปหมดแล้ว...

อาตมาเดินเข้าไปชิดผนังด้านในของโต๊ะหกที่นั่ง หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ และพระครูวิสุทธฯ ตามมานั่งฝั่งเดียวกัน ฝั่งลาว เอ๊ย..ฝั่งตรงข้ามคือมหานพพล หลวงพ่อพระครูสันติฯ และใบฎีกาวรัญญู พอเห็นบริกรเอาน้ำชาร้อนในเหยือกสเตนเลสมาส่งให้ อาตมาก็แทบจะโดดคว้าด้วยความดีใจ ตั้งแต่ลงจากรถมาจนบัดนี้ นาฬิกาบนผนังบอกเวลา ๑๑.๒๙ น.แล้ว ยังไม่มีน้ำผ่านลงคอสักหยดเดียว จึงรีบรินน้ำแจกทุกคนเป็นการด่วน...

สุธรรม
01-05-2017, 16:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26471&stc=1&d=1493631071
คนละสอง "ดุ้น" เท่าทุนนะครับ

อาหารมาเสิร์ฟแบบรวดเร็วทันใจ แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นอาหารจีนหรือว่าอาหารฝรั่ง เพราะว่าเป็นเส้นหมี่ผัดเนย แต่เส้นใหญ่เกือบจะเป็นสปาเก็ตตี ให้กินกับไส้กรอกเยอรมันรสชาติอร่อย และมีน้ำแกงจืดให้อีก ๑ ถ้วยแบบข้าวมันไก่บ้านเรา ของหวานเป็นไอศกรีม ๒ ลูก ที่ราดช็อกโกแล็ตมาให้แบบไม่เต็มใจ คือราดมานิดเดียว เส้นหมี่ผัดเนยธรรมดาหน้าตาไม่ชวนกินเลย แต่กำลังหิวไส้แขวนแบบนี้ อะไรมาก็หายวับไปในพริบตา ไส้กรอกขนาดเล็กจานละ ๖ อัน ๒ จาน บอกโควตาชัดเจนว่าคนละ ๒ อัน รู้สึกว่าน้อยไปจนเกือบจะแทะจานลงไปด้วย..!

“พระอาจารย์ท่านใดฉันเสร็จแล้ว ถ้าจะเข้าห้องน้ำก็ด้านหลังทางซ้ายนะครับ ทางเดียวกับทางเดินขึ้นยอดเขา เสร็จธุระส่วนตัวแล้วก็นิมนต์ตามสบาย ท่านใดจะขึ้นยอดเขาหรือเข้าถ้ำน้ำแข็งก็ไม่ต้องรอกัน อีกสองชั่วโมงค่อยกลับมาพบกันที่หน้าสถานีกระเช้าหมุนครับ” ก็แปลว่าพวกเรามีเวลาจนถึงบ่ายสามโมง อาตมาที่ฉันเร็วจนเป็นนิสัย พาเอาพรรคพวกร่วมโต๊ะพลอยฉันเร็วไปด้วย จึงพากันลุกเดินไปหลังร้านอาหาร ซึ่งมีทางแคบ ๆ ที่มีตัวหนังสือและลูกศรชี้ไปว่า Titlis Glacier Cave และ South Face Window...

ทางเดินกว้างแค่พอหลีกกันได้ ผนังด้านซ้ายเป็นกระจกเปิดให้เห็นลาดเนินหิมะ มีรั้วตาข่ายกันคนคิดสั้นพุ่งทะลุกระจกออกไป ผนังด้านขวาเป็นโลหะมีลอนคล้ายวัสดุแบบเมทัลชีทของบ้านเรา มาถึงช่องทางเข้าที่เป็นถ้ำแคบ ๆ ปากถ้ำยังเป็นหินและดินอยู่เลย แต่พอเดินเข้าไปไม่กี่เมตรก็เริ่มเป็นน้ำแข็งหนาเตอะ แต่ดูแล้วไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง “เป็นถ้ำที่เขาขุดเจาะขึ้นมาครับ เพื่อเป็นที่ศึกษาภูมิอากาศจากชั้นน้ำแข็ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปในตัวด้วยครับ” มัคคุเทศก์ล่องหนอุตส่าห์ตามมาช่วยอธิบาย อากาศในนี้หนาวจนต้องกระชับผ้าจีวรใหม่ สติ๊กเกอร์ทำท่าจะหลุด อาตมาจึงดึงมาแปะกับผ้าพันคอไปเลย...

สุธรรม
02-05-2017, 03:52
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26472&stc=1&d=1493671822
ถ้าสูงกว่านี้ก็ต้องก้มตัวเพื่อถ่ายรูป

บนพื้นเป็นแผ่นยางกันลื่นสีดำ ที่เป็นรูกลม ๆ ทั้งแผ่น ช่วยป้องกันไม่ให้ลื่นล้ม ขนาดนั้นอาตมายังไม่ไว้วางใจ จึงเดินประกบติดคอยระวังหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ที่อายุกาลผ่านวัยไป “หลักเจ็ด” แล้ว ท่านอาจจะลื่นได้ โดยมีพระครูวิสุทธฯ ตามมาไม่ห่าง น้ำแข็งสีขาวบ้างขุ่นบ้างใส บางช่วงก็สลับลายกันไปเหมือนหินอ่อนสีขาว อาตมาส่งกล้องให้พระครูวิสุทธฯ ช่วยถ่ายรูปอาตมาคู่กับหลวงพ่อเจ้าคุณฯ แล้วรับเอาไอแพดของท่านมาถ่ายคืนให้บ้าง นักท่องเที่ยวอื่น ๆ ก็เดินชมและถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย...

วัสดุปูพื้นเปลี่ยนจากแผ่นยางกันลื่นสีดำ มาเป็นพรมโพลีเอสเตอร์แหว่งวิ่นเก่าคร่ำคร่า แสดงว่าผ่าน “ตีน” มาจนนับไม่ถ้วน แสงไฟที่ติดอยู่เป็นระยะทำให้การถ่ายรูปหรือชมสถานที่เป็นไปโดยง่าย บางช่วงเขาขุดเจาะจนเป็นเหมือนกับเตียงน้ำแข็ง มีนักท่องเที่ยวบางรายที่ไม่กลัวความเย็น นั่งถ่ายรูปบนเตียงไปเลย บางช่วงก็เป็นแท่งน้ำแข็งที่เหมือนกับขวากหรือปลายดาบ สลับซับซ้อน ซึ่งถ้าเป็นของจริงก็จะห้อยลงมาจากเพดานถ้ำ แต่นี้กลับอยู่บนพื้นแล้วชี้ขึ้นฟ้า แต่ส่วนมากก็คือแนวถ้ำอีหลุปุปะขนาดครือ ๆ กับตัวคน มองไกล ๆ เหมือนกับอยู่ในลำไส้สีขาวซีด ๆ ของยักษ์น้ำแข็งก็ไม่ปาน...

ถ้ำน้ำแข็งแยกออกเป็นสองทาง พวกเราเลือกเอียงซ้ายเป็นคอมมิวนิสต์ไปก่อน จากนั้นค่อยวนกลับมาทางขวาใหม่ ทั้งสองเส้นทางไปแค่ระยะสั้น ๆ แล้วก็มาบรรจบกันอีกที กลายเป็นทางออกจากถ้ำ ซึ่งช่วงนี้น่าจะเจาะเข้าไปในส่วนที่เป็นดิน จึงมีการกรุไม้คาดเหล็กเอาไว้เพื่อป้องกันดินถล่ม เมื่อพ้นอุโมงค์ออกมาก็เป็นทางเดินสี่เหลี่ยม เหมือนกับห้องขนาดกว้างสักสามเมตร ยาวเหยียดไปข้างหน้า มีป้ายห้ามสูบบุหรี่ติดอยู่ด้วย ส่วนป้ายบอกทางป้ายแรกเขียนว่า Exit – Terrasse – Glacier ป้ายที่สองคือ Skipiste ส่วนป้ายที่สามคือ Ice Flyer ซึ่งทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษชี้ไปในทางเดียวกันหมด...

สุธรรม
02-05-2017, 13:24
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26473&stc=1&d=1493706132
รูปหมู่คณะเล็กบนยอดเขาหิมะ

มีทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินไปทางเดียวกัน และที่กำลังเดินสวนกลับเข้ามา ทางเดินช่วงท้าย ๆ นั้นผนังทางซ้ายมือเป็นกระจกใส มีนักท่องเที่ยวหยุดถ่ายรูปภูเขาหิมะกันเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเราต้องเดินหลีกชิดขวาออกไป อากาศเย็นเฉียบไหลเข้ามาเป็นระลอก ในที่สุดก็โผล่ออกมาที่ทางเดินซึ่งมีรั้วเหล็กกันตก บนหัวมีป้ายเขียนว่า Ice Flyer & Glacier park 250 Steps แล้วเดินออกไปสู่ขุนเขาหิมะขาวสล้าง และฟ้ากว้างที่สีฟ้าใสจนไม่อาจจะใสไปกว่านี้อีกแล้ว ตรงหน้าที่ห่างออกไปชั่วเนินเขา มีหอสูงหลายชั้นซึ่งน่าจะเป็นที่ตรวจวัดสภาพอากาศ และเป็นที่ชมวิวไปในตัว...

เดินจนพ้นทางเดินที่คล้ายสะพานมีรั้วกันตก เหยียบลงบนหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่เห็นว่าจะนุ่มเหมือนอย่างที่คิด หรือว่าโดน “ตีน” มากไปจนแน่นไปหมดแล้วก็ไม่รู้ ? ขนาดมีแว่นกันแดดยังรู้สึกว่าแสงสว่างบนนี้จัดมาก เพราะว่าสะท้อนจากพื้นหิมะขึ้นมาด้วย เมื่อหันกลับไปทางที่ออกมา เห็นเป็นตัวอาคารสี่เหลี่ยมเตี้ย ๆ บนหลังคามีตัวหนังสือระบุว่า MOUNT TITLIS 3020 M. 10’000 FEET มีป้ายบังอยู่ช่วงกลาง เห็นแต่คำว่า LAND น่าจะเป็นคำว่า SWITZERLAND สงสัยว่าตัวเองจะตกเลข เพราะว่า ๑๐,๐๐๐ ฟุตของอาตมา มีแค่ ๓,๐๐๐ เมตรเท่านั้น ที่นี่คงจะอากาศดี ช่วยให้ภูเขาเจริญเติบโต เลยงอกเพิ่มขึ้นมาอีก ๒๐ เมตร...

รอบบริเวณที่เป็นขอบเหว มีหลักสีดำเหลืองปักอยู่เป็นระยะ โยงริบบิ้นสีเหลืองดำกันไว้ให้รู้ว่าเป็นเขตห้ามผ่าน ยกเว้นว่าคิดจะฆ่าตัวตายค่อยมุดออกไป ริมเหวตรงข้างหลักคู่หนึ่งมีแท่นทรงกระบอกเอาไว้สำหรับทำอะไรก็ไม่รู้ ? แต่อาตมาเห็นว่าเป็นที่นั่งชั้นดี จึงนั่งให้พระครูวิสุทธฯ ช่วยถ่ายรูปให้ แล้วเปลี่ยนให้หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ มานั่ง อาตมาเป็นคนถ่ายให้บ้าง พรรคพวกชุดแรกที่ไหลตามกันออกมา จัดการจับกลุ่มเตรียมถ่ายรูปหมู่ มีท่านอาจารย์คณบดี หลวงพ่อพระครูสันติฯ ใบฎีกาวรัญญู และท่านไพฑูรย์ พวกเราสามรูปจึงเข้าไปร่วมวงด้วย โดยมีท่านอาจารย์ ดร.วันชัยรับเป็นตากล้องให้ เสร็จแล้วแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย...

สุธรรม
03-05-2017, 02:48
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26474&stc=1&d=1493754356
ปีติจนตัวลอย ฮ่า..ฮ่า..!

ท่านอาจารย์คณบดีไป “ตีซี้” กับสาวที่นั่งก่อปราสาทหิมะ เขาเลยชวนท่านช่วยกัน “สร้างวิมาน” ไปด้วย ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐไปยืนคู่กับป้าย TITLIS ที่มีสกีสีเหลืองสว่างแบบเรืองแสงพิงเอาไว้ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยช่วยถ่ายรูปให้ จากนั้นท่านอาจารย์ ดร.วันชัยก็เข้าไปยืนแทนที่บ้าง เสร็จแล้วยังก้มลงไปกอบหิมะขึ้นมาก้อนใหญ่ ทำท่ากัดให้คุณโอเล่ในเสื้อคลุมกันลมมีที่สวมหัวที่เพิ่งมาถึงถ่ายรูปให้ แล้วยังมีการกระโดดโชว์กลางอากาศอีกหลายท่า ท้ายสุดก็ลงไปนอนเอกเขนกบนพื้นไปเลย จะว่าไปแล้วท่านก็เพิ่งอายุยี่สิบต้น ๆ จบปริญญาเอกแล้วสึกออกจากพระมา ในช่วงที่เป็นเณรเป็นพระก็ออกลิงออกค่างไม่ได้ เมื่อมาอยู่ในสถานะฆราวาสแบบนี้ ถึงท่านแสดงออกมากหน่อยก็ถือว่ากำลังปีติก็แล้วกัน...

อาตมาถ่ายรูปให้เพื่อน ๆ ที่มาถึงก็แย่งกันส่งกล้องมาให้ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยก็ถ่ายให้พระครูด็อกเตอร์ ที่มีการทำท่านั่งสมาธิโดยมีก้อนหิมะอยู่บนตักอีกต่างหาก “หญิงใหญ่” ในเสื้อไหมพรมสีรุ้งถ่ายรูปคู่กับหลวงพ่อพระครูสันติฯ หลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ที่หัวแข็งกว่าเพื่อน เพราะว่าไม่ได้ใส่หมวกไหมพรมกับใคร ทั้งถ่ายรูปให้ตัวเองและถ่ายให้ท่านอื่น พระครูกล้าที่กลัวจะไม่หล่อมีการถอดแว่นเพื่อถ่ายรูป แต่โดนแสงจนตาตี่เป็นลูกเจ๊กขนานแท้ไปเลย ส่วนพระครูญาณฯ ที่กลัวหนาวมาก นอกจากใส่เสื้อแจ็กเก็ตตัวโคร่งแล้ว ยังหอบเสื้อกันหนาวสีแดงแปร๊ดมาอีกตัว ไปขอท่านอาจารย์คณบดีถ่ายรูปด้วย ความจริงตั้งใจไป “หลี” สาวที่กำลังก่อปราสาทหิมะมากกว่า หลวงพ่อพระครูเรืองกับสมุห์สุมิตรเห็นเข้า ก็เข้าไปร่วมวงโดยไม่รู้ว่ากำลังขัดคอเพื่อนเสียแล้ว...

อาตมาเดินตรงไปยังหอชมวิว มีพระครูวิสุทธฯ เดินตามไปด้วย กว่าจะถึงทำเอาเหนื่อยทีเดียว ที่เสาหอชมวิวมีเทอร์โมมิเตอร์ติดเอาไว้ แสดงตัวเลขแค่ลบสามองศาเซลเซียส แต่ตอนนี้ปรอทหดลงไปต่ำกว่าลบสามช่วงหนึ่ง น่าจะประมาณลบสี่ถึงลบห้าองศาเซลเซียส ว่าจะขึ้นไปชมวิวข้างบน ก็มีแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จึงเดินย้อนขึ้นเนินทางขวามือ เหมือนเดินกลับทางเดิม แต่เป็นยอดเนินที่สูงขึ้นไปกว่าเดิมมาก พอพ้นเนินก็เป็นที่ราบเหมือนทุ่งหิมะกว้างใหญ่ เสียงพระครูวิสุทธฯ บอกปนหอบว่า “ขอผมนั่งก่อนเถอะ..หน้ามืดแล้ว..!” อะไรวะ ? คุณอายุน้อยกว่าผมเป็นรอบเลยนะเว้ย หมดสภาพเอาง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ ? อีกฝ่ายนั่งยอง ๆ บนพื้นหิมะยิ้มแห้ง ๆ บอกว่า “ผมไปไม่ไหวแล้วครับ นิมนต์ท่านตามสะดวก เดี๋ยวผมหายหน้ามืดแล้วจะเดินกลับไปเอง”...

สุธรรม
03-05-2017, 13:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26477&stc=1&d=1493791848
เหม่ยเซียง...นางแบบมืออาชีพจากฮ่องกง

“คุณเวียนหัวด้วยหรือเปล่า ? รู้สึกอยากจะอาเจียนบ้างมั้ย ?” อีกฝ่ายส่ายหน้า บอกว่าแค่นั่งพักก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว อาตมาเห็นท่าแล้วคงไม่ใช่โรคแพ้พื้นที่สูง (Altitude sickness) จึงปล่อยท่านนั่งพักไป ตัวเองเดินต่อไปจนสุดขอบเหวด้านบน มองลงไปเห็นลึกลิบลิ่ว ตกลงไปถ้าไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต หันกลับไปเห็นพระครูวิสุทธฯ กำลังเดินกลับลงไปแล้ว ไกลออกไปลิบ ๆ พรรคพวกและนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ตัวเล็กเหมือนกับมด ไม่เห็นมีใครสนใจจะขึ้นมาบ้างเลย เดี๋ยว...มีสองสาวอยู่ตรงขอบเหวอีกด้านหนึ่ง แต่งตัวเหมือนกับไม่กลัวความหนาว กำลังถ่ายรูปกันอยู่...

สาวอนงค์แรกในชุดกระโปรง “แซ็ก” คอเต่าสีดำสั้นเลยเข่าแต่แขนยาว ถุงน่องสีดำรองเท้าพื้นบางสีแดง ใส่แว่นกันแดด ในมือมีผ้าพันคอสีม่วงชมพู กำลังโพสต์ท่าให้เพื่อนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอปกสีเหลืองอ่อน สวมกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ใส่เสื้อกันหนาวสีเหลืองมะนาว สวมแว่นกันแดดเหมือนกันถ่ายรูปให้ เฮ้ย...คุณเธอมืออาชีพมาก โพสต์ท่าต่อเนื่องลื่นไหลสุด ๆ ไม่ต้องหยุดเลยแม้แต่น้อย ตากล้องก็ถ่ายฉับ ๆ แบบมืออาชีพพอกัน อาตมาดูเพลินเดินใกล้เข้าไปจนเกือบจะติดตัว ทั้งสองหันมายิ้มให้แบบมีไมตรีจิตอีกต่างหาก...

“May I take you some photo ?” อาตมาถาม “Oh…yes” อนงค์แรกหยุดโพสต์ เดินแกมกระโดดเข้ามา เอื้อมมือรับกล้องจากอาตมา เฮ้ย...คุณเธอเข้าใจผิดแล้ว เมื่อเธอถ่ายรูปให้สองรูป “หนี่ ฮุ่ย ซัว จงเหริน มา ?” อาตมาถามว่าเธอพูดภาษาจีนได้ไหม ? “ได้ซี...ฉันเป็นคนฮ่องกง” โล่งอกไปที “ฉันเป็นคนไทย เห็นเธอโพสต์ท่าเป็นมืออาชีพมาก ขออนุญาตถ่ายรูปเธอจะได้ไหม ?” อีกฝ่ายยิ้มจนแก้มปริ “คนไทยน่ารักมาก ฉันไปเที่ยวพัทยามาแล้วนะ ตอนนี้มาถ่ายรูปเพื่อเอาไปลงนิตยสารที่ฮ่องกง ท่านจะถ่ายรูปฉันก็ยินดี” อ๋อ...ที่แท้เป็นนางแบบนี่เอง มิน่าล่ะ...ถึงได้ดูเป็นมืออาชีพขนาดนี้...

สุธรรม
04-05-2017, 02:49
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26478&stc=1&d=1493840820
"เสี่ยวเม่ย" จากตากล้องไปเป็นนางแบบ

“หว่อ เจี้ยว อาเล็ก...หนี่ เจี้ยว เฉินเหม่อ หมิงจื้อ ?” อาตมาบอกว่าตัวเองชื่อ “เล็ก” แล้วเธอชื่ออะไร ? “เหม่ยเซียง” อา...ชื่อเพราะระดับชวนฝันเชียวล่ะ แล้วเพื่อนเธอชื่ออะไร ? สาวน้อยตากล้องยิ้มแป้นรีบตอบทันใดว่า “เสี่ยวเม่ย” เฮ้ย...คำนี้กำกวมมาก หมายถึงน้องสาวคนเล็กก็ได้ เลขานุการก็ได้ สาวคู่นอนประเภทอย่างว่าก็ได้ แต่หน้าตาท่าทางของคุณเธอดูซื่อตรงสุด ๆ แปลได้อย่างเดียวว่าเธอคือน้องสาวคนเล็ก ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้อย่างเด็ดขาด...

เหม่ยเซียงจัดการโพสต์ท่าต่อ เสี่ยวเม่ยทำหน้าที่ถ่ายรูปโดยมีอาตมาถ่ายแทรกอยู่ใกล้ ๆ แม่เจ้าประคุณเถอะ...เห็นการโพสต์ท่าลื่นไหล นาทีหนึ่งเป็นสิบ ๆ ท่าต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดของเธอแล้ว อาตมาถึงได้รู้ว่ามืออาชีพขนานแท้นั้นเป็นอย่างไร ? จนได้รูปเป็นที่พอใจแล้ว เหม่ยเซียงก็ให้เสี่ยวเม่ยไปเป็นนางแบบ แล้วเธอเป็นคนถ่ายให้บ้าง แต่เสี่ยวเม่ยโพสต์ท่าไม่ลื่นไหล มีหยุดเป็นจังหวะ แสดงว่ายังไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นตากล้องอาชีพมากกว่า คงจะถ่ายรูปเอาไว้เพื่อเป็นที่ระลึกเท่านั้น เมื่อได้รูปเป็นที่พอใจแล้วอาตมาก็บอกลา “ปู้ห่าวอี้ซือ...หว่อ เซียน โจ่วเลอ..ตัวเซี่ย” ทั้งสองยิ้มรับคำอำลาและขอบคุณของอาตมา ซ้ำยังโบกมือลาอย่างร่าเริง “ไจ้เจี้ยน...ไจ้เจี้ยน”...

เดินย้อนกลับมาทางเดิม มีนกสีดำ ๆ คล้าย ๆ อีกาที่เห็นตอนอยู่บนกระเช้า บินโฉบวูบวาบอยู่ ๒ – ๓ ตัว พอมาใกล้ถึงทางแยกที่จะลงไปข้างหอชมวิว ก็มีอยู่สองตัวลงไปรุมกินอาหารที่น่าจะเป็นขนมปังกรอบซึ่งมีคนบี้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทิ้งไว้ให้ อาตมาถ่ายรูปไปก็สังเกตเห็นว่าทั้งสองตัวนั้นมีปากสีเหลือง แปลว่าไม่ใช่อีกาอย่างแน่นอน “เป็นนก Alpine birds แห่งเทือกเขาแอลป์ครับ พบได้เฉพาะบนภูเขาสูง ๆ ระดับหลายพันฟุตเท่านั้น” อ้าว... "ลุงหนวด" กลายเป็นนักดูนกไปซะแล้ว แต่ถ้าไม่ได้มัคคุเทศก์ล่องหนบอก อาตมาก็คงมึนตึ๊บไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร นอกจากเห็นเป็นนกเท่านั้น..!

สุธรรม
04-05-2017, 16:58
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26479&stc=1&d=1493891761
หน้าร้านขายของที่ระลึก

ถ่ายรูปขุนเขาหิมะรอบด้าน แล้วเดินทางไปตามทางลาด ซึ่งมีทั้งเด็กและวัยรุ่นหลายคน นั่งเอาก้นไถลลงไปเลย ย้อนมาถึงช่วงแรกที่พวกเราถ่ายรูปกัน ตอนนี้พรรคพวกหายหน้าไปเกือบหมดแล้ว เห็นใบฎีกาวรัญญูที่นั่งให้ถ่ายรูปอยู่กลางหิมะเท่านั้น คงจะหนีหนาวกลับเข้าไปในตัวอาคารกันหมดแล้ว อาตมาจึงเดินกลับเข้าไปบ้าง สวนทางกับนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินออกมาอีกคณะใหญ่ อากาศข้างในอุ่นจนร้อนเลย...

เดินเข้าห้องน้ำไปก่อน จัดการกับทุกข์เบาเรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก เจ้าบีเวอร์ตัวเบ้อเริ่มยืนต้อนรับอยู่ในตู้กระจกหน้าร้าน สารพัดข้าวของเต็มไปหมด ทั้งขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแล็ต ตุ๊กตา เสื้อ หมวก โปสการ์ด พวงกุญแจ รูปวาด รูปถ่าย หนังสือ ฯลฯ มีนักท่องเที่ยวเดินเลือกซื้อกันอยู่ไม่น้อยเลย สักครู่ก็เห็นพวกเราเดินเข้ามาบ้าง คงกลัวว่าไม่มีใครช่วยส่งภาษาให้ จึงต้องรอจนอาตมาหรือใบฎีกาวรัญญูเข้ามาก่อน...

อาตมาหยิบพวงกุญแจที่เป็นรูปเสือ ลิง และหมี ทำด้วยผ้า ราคาอันละ ๑๑.๑๐ ฟรังก์สวิส ไปส่งให้คนขายที่หน้าเคาน์เตอร์ พร้อมกับควักธนบัตรใบละ ๕๐ ยูโรส่งให้ คนขายกดเครื่องคิดเลขพิเศษ ที่สามารถแปลงอัตราเงินของทุกชาติในโลก ปรากฏว่าเครื่องแสดงราคามาที่ ๒๘.๙๖ ยูโร แล้วยายหนูคนขายก็กดเปลี่ยนระบบใหม่ ทอนเงินมาให้ ๒๔.๒๐ ฟรังก์สวิส อะไรจะสะดวกและง่ายดายปานนี้ “บ้านเราน่าจะมีเครื่องประเภทนี้ใช้บ้างนะ” อาตมาคิดขณะที่รับพวงกุญแจในถุงกระดาษใบเล็กพร้อมกับเงินทอน...

สุธรรม
05-05-2017, 03:13
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26480&stc=1&d=1493928648
ป้ายห้ามที่ได้ผลมาก..!

อยู่ต่อก็น่าจะเสียเงินเพิ่มแน่ ๆ อาตมาจึงออกจากร้านขายของที่ระลึก เดินไปดูร้านอื่น ๆ ที่ขายสกีและเครื่องมือในการปีนเขา มาเจอหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้ว่าจะไปไหน เวลาก็ยังเหลืออยู่อีกเป็นชั่วโมง จึงชวนท่านไปนั่งรอบริเวณใกล้ ๆ ปากทางขึ้นกระเช้าหมุน บริเวณนี้เขาก่อหินเป็นภูเขาจำลองเล็ก ๆ พิงผนังอยู่ มีที่เหลือพอให้นั่งดูคนเข้า ๆ ออก ๆ ได้...

บนภูเขาจำลองมีลายมือชื่อร้อยพ่อพันแม่เต็มไปทุกตารางนิ้ว ทั้งที่ข้างฝามีรูปมือจับปากกาอยู่ในวงกลมมีกากบาดสีแดง ซึ่งเป็นภาษาสากลว่าห้ามขีดเขียน แต่เขาเว้นผนังตรงป้ายเอาไว้ให้อย่างเคร่งครัด หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ยิ้มแบบจนปัญญา พอ ๆ กับป้ายห้ามทิ้งขยะตามวัด ซึ่งเขามักจะทิ้งกองไว้ข้างใต้ป้ายนั่นแหละ ตรงป้ายไม่มีใครทิ้งกันหรอก..!

นั่งรอจนตูดด้านอาตมาจึงขอตัวเดินไปดูของที่ระลึกใหม่ ถึงว่าทำไมพวกเราไม่มาเสียที ที่แท้ก็มาสุมหัวกันอยู่ในร้านขายของที่ระลึกนี่เอง มัคคุเทศก์รูปหล่อและคุณโอเล่กำลังรับภาระหนัก ทั้งที่ข้าวของต่อราคาไม่ได้ แต่ต้องคอยบอกคอยกล่าวสารพัดเรื่อง อาตมาเพิ่งหยิบตุ๊กตาสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ขึ้นมา คุณโอ๋ก็บอกว่า “เอาไว้ไปซื้อที่ร้านเจ๊อารีดีกว่าครับ ที่นั่นถูกกว่ามาก” ถึงจะไม่รู้ว่า “เจ๊อารี” เป็นใคร แต่อาตมาก็เชื่อมัคคุเทศก์รูปหล่อ เพราะว่าคอยรักษาผลประโยชน์ให้พวกเรามาตลอดทาง...

สุธรรม
05-05-2017, 17:58
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26484&stc=1&d=1493981742
ขาไปเหมือนไก่จะบิน ขากลับเริ่มเหี่ยวปลาย

เห็นหมวกแก๊ปสีชมพูสดใส มีเครื่องหมายกากบาดสัญลักษณ์ของสวิสอยู่ด้วย ราคา ๑๗.๕๐ ฟรังก์สวิส จึงหยิบส่งให้กับคนขาย พร้อมกับส่งเงินใบละ ๒๐ ฟรังก์สวิสไปให้ ได้รับเงินทอนกลับมา ๒.๕๐ ฟรังก์สวิส แล้วส่งหมวกให้ “หญิงใหญ่” ไปทั้งถุง “ให้เป็นรางวัล ที่อุตส่าห์ตามมาบริการถึงยุโรป” อีกฝ่ายทำตาโตเพราะคิดไม่ถึง “ขอบคุณมากค่ะ” เอามาสวมในทันทีแล้วไปอวดเพื่อนพระแบบเห่อมาก คนชอบสีชมพูก็ต้องให้ของสีนี้เป็นรางวัลอย่างนี้แหละ...

เสียเงินแล้วค่อยหายเบื่อหน่อย เดินกลับมาหาหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ พรรคพวกเดินตามมาเกือบครึ่ง คนเริ่มแน่นในบริเวณที่นั่งทำเอารู้สึกร้อน อาตมาจึงเดินกลับไปเข้าห้องน้ำ ถอดเอาเครื่องกันหนาวสารพัดออกมา ทั้งหมวกไหมพรม ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว กางเกงลองจอห์น รู้สึกเย็นวาบ ๆ อยู่เหมือนกัน พับทุกอย่างใส่กระเป๋า แล้วกลับมาพอดีกับกระเช้าหมุนมาถึง เมื่อคนลงหมดแล้ว พวกเราก็ขึ้นไปแทน ลอยละล่องกลับลงไป...

สามสี่นาทีต่อมาก็ไหลลงจากกระเช้าหมุน เดินตามกันไปรอให้คุณซานตาคลอสนับจำนวน แล้วขึ้นมินิบัสลอยฟ้าลงไปสู่สถานีที่สอง จากนั้นกระแสผู้คนก็เลื่อนไหลลงไปรอกระเช้าเล็ก แล้วกลับลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ “ท่านนายพล” คงจะโล่งใจไปที เพราะว่าคน “กรรม” มากอย่างอาตมาไปลอยอยู่กลางฟ้า เท่ากับไป “ล่อเป้า” ให้เจ้ากรรมนายเวรทวงคืนชัด ๆ พ้นมาเหยียบพื้นดินเต็มสองเท้า จึงลดงานของท่านลงไปหลายเท่า...

สุธรรม
06-05-2017, 03:23
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26485&stc=1&d=1494015639
วิ่งเลียบทางรถไฟไปยังเมืองลูเซิร์น

เดินออกมานอกตัวอาคาร กระทบอากาศหนาวเข้าเต็ม ๆ รู้สึกหนาวเยือกเข้าไปในอก อาการแบบนี้ไม่เข้าท่าอย่างแรง เผลอ ๆ มีมาลาเรียกำเริบแน่นอน จะไม่ถอดชุดกันหนาวก็ร้อนเกินพิกัด ถอดชุดก็กลายเป็นจะเจ็บไข้ได้ป่วยเอาแบบนี้ สงสัยว่าเจ้ากรรมนายเวรจะเล่นด้วยวิธีนี้เอง คือทำให้ร้อนในขณะที่อุณหภูมิติดลบ แล้วมาตลบหลังเมื่อถอดเครื่องกันหนาวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เหลือวิธีเดียวที่จะรับมือ ก็คือแก้ไขไปตามอาการเฉพาะหน้าเท่านั้น...

นายสันโดษเอารถมารับ พอขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ดูนาฬิกาหน้ารถแล้ว เพิ่งจะ ๑๔.๔๘ น. ได้กำไรเวลามาเป็นชั่วโมง “เรากำลังจะเข้าไปในเมืองลูเซิร์นนะครับ มีสถานที่สำคัญที่ผมจะพาพระอาจารย์ทุกท่านไปชม ก็คืออนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ เป็นอนุสาวรีย์ที่รัฐบาลฝรั่งเศสสร้างขึ้น เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงทหารรับจ้างสวิสจำนวน ๗๘๖ นายที่เสียชีวิตในหน้าที่ ในการปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ และพระนางมารี อังตัวแน็ต จากการโจมตีของกลุ่มกบฏที่พระราชวังตุยเลอรี ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ค.ศ.๑๗๙๒ จนทำให้ชื่อเสียงในความซื่อสัตย์และกล้าหาญของทหาร Swiss Guard โด่งดังไปทั่วโลก” มัคคุเทศก์รูปหล่อที่อัดอั้นมาตลอดวัน บรรเลงเพลงยาวน้ำไหลไฟดับทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกจากลานจอด...

พอพ้นจากหมู่บ้าน Engelberg อันเป็นที่ตั้งของยอดเขาทิตลิส นายสันโดษก็พารถวิ่งเลียบไปกับทางรถไฟ ที่น่าจะสร้างคนละกรรมวิธีกับทางรถไฟของบ้านเรา เพราะว่าไม่เห็นหมอนไม้เลยแม้แต่อันเดียว เหมือนกับเอารางรถไฟตอกหมุดยึดลงไปในดิน แล้วโรยหินทับหน้าเท่านั้น ดูไม่เกะกะสายตาดีเหมือนกัน ทางรถไฟเลาะเลียบไปกับชายเขา ขนานกับทางรถยนต์ หลายช่วงมีบ้านแบบสวิสชาเล่ต์ ตั้งอยู่เป็นระยะ ใครนึกภาพสวิสชาเล่ต์ไม่ออก ให้นึกถึงพระตำหนักดอยตุงของ “สมเด็จย่า” หน้าตาประมาณนั้นแทบจะทุกประการ...

สุธรรม
06-05-2017, 12:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26486&stc=1&d=1494048993
วงเวียนกระเช้าหมุนก่อนเข้าเมือง

“แหล่งเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของเมืองลูเซิร์นก็คือ สะพานไม้ Chapel Bridge หรือที่ภาษาเยอรมันเรียกว่า Kapellbrucke เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า ๖๗๐ ปี นับเป็นสะพานที่เก่าที่สุดในยุโรป สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๓๓๓ ทอดข้ามแม่น้ำรอยส์ (Reuss) มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ เนื่องจากถูกไฟไหม้ บนสะพานมีรูปวาดในยุคศตวรรษที่ ๑๗ ทั้งหมด ๑๒๐ รูป แสดงถึงการสร้างเมืองลูเซิร์นในยุคนั้น น่าเสียดายที่ของเก่าถูกไฟไหม้ไปเกือบหมด ภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นของที่วาดเสริมขึ้นมาด้วยเทคนิคที่ทำให้ดูเหมือนเก่าครับ”

หูฟังข้อมูลจากมัคคุเทศก์รูปหล่อไป ตาก็ดูบ้านดูเมืองของเขาไป รถวิ่งลงเขาไปเรื่อย ๆ จนชักสงสัยว่าตอนขึ้นก็ขึ้นไปไม่มาก ทำไมเส้นทางลงถึงได้ไกลขนาดนี้ หลายช่วงมีการดาดคอนกรีตหรือก่ออิฐ (น่าจะเป็นหิน) กันดินถล่ม ดูแข็งแรงปลอดภัยดีมาก นาน ๆ ครั้งก็มีรถวิ่งสวนทางมา บรรยากาศสองข้างทางเขียวขจี บางช่วงเป็นป่าไม้สูงชะลูด บางช่วงก็เป็นไม้พุ่มกับทุ่งหญ้า จนหลุดจากภูเขาลงมาบนพื้นราบ ก็มีทุ่งนาและบ้านเรือนอยู่ตามที่ราบชายเขา บ้านเรือนเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่ผ่านไป...

มีวงเวียนรูปกระเช้าหมุนตรงปากทางเข้าเมือง แสดงว่าเขา “เห่อ” กระเช้าหมุนกันในระดับออกหน้าออกตาทีเดียว นายสันโดษพารถของเราอ้อมวงเวียนแล้วตรงไป ทางช่วงนี้มีกำแพงกันเสียงสูงท่วมหัวทั้งสองฝั่ง แสดงว่าอยู่กลางชุมชนแล้ว มุดเข้าอุโมงค์สั้น ๆ แล้วโผล่ออกมาสู่การจราจรที่เริ่มหนาแน่น มีป้ายบอกทางแยกออกเป็นสามทาง ไป Basel - Zurich สีส้มบอกว่าเป็นทางด่วน เส้นกลางที่ไป Luzern - Basel กับเส้นขวาที่ไป Luzern – Zurich เป็นทางธรรมดา...

สุธรรม
07-05-2017, 01:53
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26487&stc=1&d=1494096561
ถ่ายรูปช้าไปเลยไม่เห็น "กองสมบัติ" ของน้องแหม่มบนจักรยาน..!

รถของเราชิดขวาเข้าเมืองมาเจอการจราจรมหัศจรรย์ ที่ทางซ้ายซึ่งเป็นเลนรถสวนมา ซ้ายของซ้ายสุดเป็นทางคนเดิน ถัดมาเป็นบัสเลน แล้วเป็นเลนรถทั่วไปกระหนาบสองข้าง มีเลนจักรยานอยู่ตรงกลาง ทางขวาที่เราวิ่งเข้าไปก็เป็นการจราจรแบบนี้เช่นกัน ไม่มีอะไรกั้นเลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากตีเส้นแล้วมีอักษรและภาพบนพื้นถนนแสดงให้รู้เท่านั้น ถ้าเป็นบ้านเราทุกวัดคงจะมีกิจการดีมาก เพราะว่าต้องสวดศพกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ที่นี่ชาวบ้านเขาขี่จักรยานกันอย่างสบายอารมณ์ นึกอยากจะเปลี่ยนเลนก็ยื่นมือแสดงความจำนง แล้วก็เลี้ยวตัดหน้ารถใหญ่ไปแบบหน้าตาเฉย มีจราจรหญิงในชุดคล้ายกับ “ชุดอ่อน” ของทหารอากาศบ้านเรา ใส่เสื้อกั๊กสีส้มสะท้อนแสง คอยอำนวยความสะดวกอยู่ด้วย...

“ทางซ้ายมือของทุกท่านที่เป็นเหมือนกับประตูชัยนั้น คือศูนย์รวมการคมนาคมของเมืองลูเซิร์น หลัก ๆ ก็คือการเดินทางด้วยรถไฟ ประมาณหัวลำโพงของบ้านเรานั่นแหละครับ ส่วนตรงหน้าที่เป็นยอดแหลม ๆ คู่กันนั้น นั่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ คือโบสถ์ St.Leodegar Church หรือที่ภาษาเยอรมันเรียกว่า Hofkirche เป็นโบสถ์ที่สำคัญและเป็นแลนด์มาร์กของเมืองลูเซิร์น ภายในโบสถ์มีแท่นบูชาพระแม่มาเรีย รูปปั้นนักบุญ Leodegar และ Mauritus ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเมืองลูเซิร์นครับ” หักเลี้ยวมาถนนสายเล็กลง มัคคุเทศก์รูปหล่อบรรยายตามสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า...

“แม่เจ้าประคุณเอ๊ย...ถ้าไปเมืองไทยยินดีบริการสุดใจขาดดิ้นเลย” เสียงพระครูญาณฯ ครางกระเส่า คนอื่นตั้งใจฟังมัคคุเทศก์รูปหล่อ พ่อเจ้าประคุณดันไปเล็งน้องแหม่มที่ขี่จักรยาน สวมเสื้อกล้ามแนบลำตัว ซึ่งมีสมบัติที่แม่ให้มาเยอะมาก มิหนำซ้ำกางเกงยืดขาสั้น ยังโชว์สะโพกสุดเสียงสังข์กับขาขาว ๆ อีกต่างหาก “นี่..นี่..เช็ดน้ำลายซะบ้าง หัดมองตัวเองหน่อยว่าทำแบบนี้แล้วสมควรมั้ย ?” องปลัดที่วันนี้คงจะกินยาผิด จึงกลายเป็น “คนดี” ช่วยสะกิดเพื่อนให้รู้ตัว...

สุธรรม
07-05-2017, 12:12
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26488&stc=1&d=1494133791
หน้าร้านของ "เจ๊อารี"

พลขับหน้าตายที่ไม่สนใจว่าใครจะรักษาสมณสารูปหรือไม่ นำรถไปจอดในลานสำหรับจอดรถนักท่องเที่ยว พวกเราลงจากรถแล้วเดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อเป็นงูกินหาง มีท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเข็นรถให้พระครูด็อกเตอร์ตามมาท้ายขบวน ผ่านอาคารที่มีรถจักรยานจอดอยู่เป็นร้อย ๆ คัน ถัดไปเป็นร้านแบบสวิสชาเล่ต์ ดูแล้วน่าจะเป็นประเภทร้านกาแฟ มีม้านั่งสีเขียวเข้มตั้งอยู่บริเวณลานหน้าร้านหลายตัว ตรงเข้าไปในซอยที่ค่อนข้างจะกว้างขวาง...

มาถึงตึกแถวที่เป็นห้องกระจก หน้าร้านโดดเด่นด้วยรูปปั้นแม่วัวตัวใหญ่สีขาวมีแต้มแดง ซ้ำยังมีกากบาดสีขาวเครื่องหมายประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย ที่กระจกหน้าร้านด้านบน มีภาษาไทยเขียนว่า อารี ซูวิเนียร์ เฮ้าส์ (ร้านคนไทย) ข้างล่างเป็นภาษาอังกฤษตัวเอียงเขียนว่า AREE’S SOUVENIR HOUSE มัคคุเทศก์รูปหล่อผลักประตูเข้าไปแบบคนคุ้นเคย ส่งเสียงดังเข้าไปก่อนเลยว่า “เจ๊อารี..โอ๋มาแล้วครับ มีพระคุณเจ้ามาด้วยทั้งคณะเลยครับ”...

ภายในร้านซึ่งมีของที่ระลึกกระจุกกระจิกเต็มแน่นไปหมด เหลือแค่ทางเดินระหว่างชั้นวางสินค้าเท่านั้น ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว “เจ๊อารีครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อเรียกซ้ำ “รอเดี๋ยวค่ะ กำลังออกไปเดี๋ยวนี้ เจ๊แก่แล้วจะให้เร็วเหมือนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ไม่ได้แล้วค่ะ” สิ้นเสียงร่างอวบระยะสุดท้ายในชุดกางเกงขายาวสีขาว เสื้อสีเหลืองสดลายพร้อยเหมือนกำลังจะไปเล่นสงกรานต์ ก็โผล่ออกมาจากหลังบ้าน ยกมือไหว้ไปรอบทิศเพราะว่าพวกเรากระจายไปดูสินค้ากันแล้ว...

สุธรรม
08-05-2017, 02:44
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26489&stc=1&d=1494186071
อนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ที่โด่งดัง

“นมัสการหลวงพ่อทุกท่านค่ะ สนใจของที่ระลึกชิ้นไหนหยิบได้เลยนะคะ อารีลดให้ ๘ % เพราะว่าไม่ได้ออกบิลที่มี VAT(ภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้ค่ะ” เสียงจ๋อย ๆ เป็นต่อยหอยของเจ๊อารีดังต่อเนื่องแบบ non stop “เดี๋ยวครับเจ๊...ผมพาพระอาจารย์ทุกท่านให้มารู้จักร้านก่อน แล้วจะพาไปอนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ เสร็จแล้วค่อยให้ท่านกลับมาซื้อของครับ” เจ้าของร้านใจดีบอกแบบไม่ถือสาว่า “ได้ค่ะ...อารีจะรอหลวงพ่อทุกท่านอยู่ที่ร้าน นิมนต์ไปชมอนุสาวรีย์ก่อนเลยค่ะ”...

เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ละจากร้านขายของที่ระลึก เดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อเลี้ยวซ้ายไป เดินมาหน่อยเดียวก็สุดซอยเป็นลานมีต้นไม้ร่มรื่น ใต้ต้นไม้มีเก้าอี้สำหรับนั่งเล่นหลายตัว ทางขวามือของลานมีสระน้ำเล็ก ๆ เป็นรูปวงรี ติดกับสระน้ำเป็นผนังหินของเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ถูกสกัดออกจนเกือบจะราบเรียบ มีแอ่งเว้าเข้าไปเป็นถ้ำตื้น ๆ ข้างในถ้ำคือรูปสลักสิงโตร้องไห้ที่ขึ้นชื่อลือชา ต้องขอบคุณ “ท่านนายพล” ที่กวาดนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ไปทิ้งไว้ที่ไหนหมดก็ไม่รู้ ? ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ชมอนุสาวรีย์ที่โด่งดังไปทั่วโลกแบบเต็มจอเต็มตาโดยมีแต่คณะของเราล้วน ๆ แบบนี้...

ภาพสลักในถ้ำดูเหมือนกับมีชีวิต เป็นราชสีห์ตัวใหญ่นอนตะแคงขวาทับตราราชวงศ์ที่ตนปกป้อง ด้านหัวมีโล่ที่มีเครื่องหมายกากบาดและปลายหอกซึ่งเป็นอาวุธของเหล่าทหารในยุคนั้น บริเวณซี่โครงซ้ายใกล้หัวใจมีหอกหักเสียบคาอยู่ ใบหน้านั้นดูเจ็บปวดโศกเศร้าสุดพรรณนา บนผนังหินด้านใต้เวิ้งถ้ำมีอักษรภาษาโรมันสลักบอกกล่าวถึงวีรกรรมเอาไว้มากมายหลายแถว อาตมาถ่ายรูปแรกแล้วรำคาญสระน้ำที่มีแต่ใบไม้ลอยฟ่องดูค่อนข้างสกปรก จึงใช้ซูมของกล้องดึงภาพมาใกล้ จัดการถ่ายเอาเฉพาะเวิ้งถ้ำที่มีสิงโตเท่านั้น...

สุธรรม
08-05-2017, 13:17
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26490&stc=1&d=1494224071
รูปหน้าอนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้

ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเข็นรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ไปติดริมสระ หันหลังให้สระแล้วล็อกล้อไว้ จัดการถ่ายรูปให้ท่านพระครูด็อกเตอร์ก่อน ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐขอเข้าไปร่วมเฟรมด้วย เสร็จแล้วอาตมาส่งกล้องไปให้ เมื่อท่านช่วยถ่ายให้สองรูปแล้วก็ถอยออกมา ปล่อยให้พรรคพวกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าไปถ่ายรูปบ้าง การไม่มีนักท่องเที่ยวอื่น ๆ มาคอยช่วยถ่ายแบบไม่ได้ขอร้องก็ดีแบบนี้เอง ขออย่างนี้ทุกที่ได้ไหมลุง ? “เอาแค่พอสมควรครับ ที่ไหนพอจะช่วยได้ก็ช่วย ที่ไหนเกินความสามารถของผม ท่านก็ต้องใช้ความสามารถของตนเองครับ”...

เมื่อได้รูปแล้วอาตมาก็เดินกลับไปที่ร้านเจ๊อารี มีมหากังวาลเดินมาเป็นเพื่อนคนเดียว เมื่อเข้าไปในร้านก็เจอยี่สิบคำถามไม่มีตัวช่วยจากอาเจ๊ พอรู้ว่ามาจากกาญจนบุรี เจ๊อารีก็ถามว่า “รู้จักท่านอาจารย์วัชระ วัดถ้ำแฝดไหมคะ ?” ทำไมจะไม่รู้จัก ? อาตมาอบรมเจ้าอาวาสรุ่นเดียวกับท่านเลย “ตอนนี้ท่านมาเที่ยวสวิสนี่แหละค่ะ ท่านจะคุยด้วยไหมคะ ? อารีจะโทรให้” อาตมาขอบคุณในความหวังดีของอาเจ๊ ยังไม่ทันจะตอบรับ “ท่านนายพล” ก็สะกิดพร้อมกับบอกว่า “อย่าคุยดีกว่าครับ อีกไม่นานพระรูปนี้จะมี “ปัญหาใหญ่” ถ้าท่านคุยด้วยอาจจะโดนลากเข้าไปร่วมปัญหาด้วย” เมื่อ “ลุงหนวด” อุตส่าห์เตือน อาตมาจึงบอกปฏิเสธ แล้วเดินไปดูของที่ระลึก ปล่อยให้มหาประโยคเก้ารูปเดียวของรุ่น รับหน้าเสื่อให้เจ๊อารี “สอบสวน” ต่อไป...

“รีบมาซื้ออะไรวะ ? รูปหมู่เลยขาดไปสองคน” องปลัดมาถึงก็ถามแกมต่อว่า “จะให้สมบูรณ์ทุกครั้ง ถ้ามาครั้งหน้าจะถ่ายอะไรละครับพี่น้อง ?” เจอคำตอบแบบนี้เพื่อนนักบวชอนัมนิกายเลยพูดไม่ออก อาตมาหยิบตุ๊กตาแม่หมาเซนต์เบอร์นาดที่กำลังคาบลูกห้อยต่องแต่ง กับเป้รูปหมาใบเล็ก ๆ ไปสองอย่าง ส่งให้กับเจ๊อารีเพื่อคิดเงิน เกิดมามีแต่ลูกสาวเป็นพรวน ซื้ออะไรแต่ละทีมักจะโดนมองแปลก ๆ บางคนคิดว่าอาตมาเป็นพวก “แอบจิต” ไปเลยก็มี...

สุธรรม
09-05-2017, 03:26
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26492&stc=1&d=1494275033
มัคคุเทศก์รูปหล่อยืนคุมเจ๊อารีคิดตังค์ ฮ่า..!

“มีแต่เงินยูโรจ้ะเจ๊” อาตมาบอกเมื่อส่งของให้ “อารีไม่ออกบิลที่มี VAT เพื่อที่หลวงพ่อทุกท่านจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปขอคืนภาษี แต่จะลดราคาให้ไปทีเดียวเลยค่ะ” แม่หมาคาบลูกราคา ๕๒.๙๐ ฟรังก์สวิส กระเป๋าเป้หมาราคา ๒๙.๙๐ ฟรังก์สวิส เจ๊อารีกดเครื่องคิดเงินแบบพิเศษ เสียงคำนวณเกรียวกราว แล้วบอกว่า “๖๒.๐๙ ยูโรค่ะ” อาตมาส่งใบละ ๒๐ ยูโร ๓ ใบ ๑๐ ยูโร ๑ ใบไปให้ เจ๊อารีกดเครื่องอีกรอบแล้วทอนกลับมา ๑๐.๕๐ ฟรังก์สวิส แปลว่าลดราคาให้เสร็จสรรพแล้ว...

เพื่อน ๆ กลับเข้ามาจนแน่นร้านไปหมด พระครูปรีชาถามหามีดพับ Victorinox เจ๊อารีชี้ไปที่ผนังซึ่งมีสารพัดขนาด ตั้งแต่สามใบมีดจนถึงสามสิบกว่าใบมีด “ของแท้หรือเปล่า ?” คำถามที่ไม่สร้างสรรค์ตามมาติด ๆ “ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อถาม อารีจะโกรธนะคะ ร้านนี้ไม่มีของปลอมค่ะ” รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่ม “มาคุ” อาตมาจึงเดินออกจากร้านไปก่อน “พบกันที่ลานจอดรถนะครับพระอาจารย์” คุณโอ๋ตะโกนบอกตามหลังมา...

เดินมาถึงลานที่อาตมาคิดว่าเป็นร้านกาแฟ เมื่อมาดูใกล้ ๆ ปรากฏว่าเป็นภัตตาคารไปซะนี่ พระครูโจที่ตามมาอีกคนยกกล้องถ่ายรูปร้านแบบสวิสชาเล่ต์ ที่ค่อนข้างเด่นด้วยการตัดสีแดงบริเวณหน้าจั่ว แล้วผลัดกันถ่ายรูปกับอาตมาคนละรูปสองรูป เสร็จแล้วก็นั่งคุยกันที่ม้านั่งบริเวณลานหน้าร้านนั่นแหละ ว่าด้วยเรื่องของการทำหน้าที่เพื่อคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะที่อาตมาเคยทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดมาก่อน ย่อมซาบซึ้งดีว่าการที่ต้องแบกสารพัดเรื่องของหกร้อยกว่าวัดทั้งจังหวัดรวมกันไว้บนบ่านั้นหนักหนาสาหัสขนาดไหน...

สุธรรม
09-05-2017, 12:20
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26493&stc=1&d=1494307072
ให้เวลาสองชั่วโมงแล้วมาพบกันที่หน้าร้านนี้

พรรคพวกที่ได้ข้าวของสมใจแล้ว ออกมาสมทบกันตรงนี้มากขึ้นทุกที จนในที่สุดก็ออกมากันหมด โดยมีเจ๊อารีเดินตามมาด้วย ถามหาโรงแรมที่เราพักคืนนี้กับมัคคุเทศก์รูปหล่อ บอกว่าจะแจ้งข่าวให้กับคนไทยที่อยู่ในสวิสไปทำบุญด้วย เมื่อร่ำลาไม่อาลัยกันแล้ว นายสันโดษก็วนรถมารับ เพิ่งขึ้นไปนั่งยังไม่ทันจะตูดร้อน ก็มาจอดอยู่ที่ “ถนนสายนาฬิกา” ซึ่งอาตมาตั้งชื่อให้เอง เพราะว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่ป้ายโฆษณาขายนาฬิกาทั้งนั้น ผู้คนขวักไขว่เต็มไปหมด...

พวกเราลงจากรถแล้ว พลขับหน้าตายก็เคลื่อนรถไปหาที่จอด มัคคุเทศก์ของเราบอกว่า “ให้เวลาสองชั่วโมงนะครับ หาซื้อนาฬิกาที่พระอาจารย์ทุกท่านต้องการ แล้วมารวมกันที่ตรงหน้าร้าน BUCHERER นี้ ผมจะพาไปโรงแรมที่เราจะพักในคืนนี้กันครับ” อาตมาเดินนำหน้าไปก่อนเลย ด้วยเหตุที่เคยซื้อนาฬิการาคาแพงที่สุดในชีวิตราคาตั้ง ๗,๐๐๐ บาท ยี่ห้อ TRASER ซึ่งได้ตรา SWISS MADE เช่นกัน จึงไม่คิดที่จะหาของแพงให้เปลืองเงินโดยใช่เหตุ ได้แต่ชมผ่าน ๆ แบบ “ขี่ม้าชมดอกไม้” ส่วนพรรคพวกที่อยากได้ของแพง เห็นร้านไหนน่าสนใจก็มุดเข้าไปทันที...

แค่ขอชมเป็นขวัญตา เห็นแบบไหนถูกใจก็ถ่ายรูปไปดู ช็อปปิ้งด้วยกล้องแบบนี้ได้ทุกอย่างสตางค์อยู่ครบ เห็นมัคคุเทศก์รูปหล่อนำพวกเราขบวนหนึ่งเข้าไปในร้านแท็ก ฮอยเออร์ (TAG HEUER) อาตมาจึงตามเข้าไปเป็นรูปท้าย ๆ พนักงานชายใส่แว่นไว้ผมรองทรงในชุดสูทสีเทา สวมถุงมือสีขาว หน้าตาหล่อแบบแขกตะวันออกกลาง หยิบเอานาฬิกาขึ้นมาแนะนำให้พวกเราทราบ ว่าเครื่องกลไกจิ๋ว ๆ แต่ละชิ้น ได้รับการผลิตขึ้นมาอย่างประณีตแบบชิ้นต่อชิ้น แล้วประกอบกันออกมาด้วยความระมัดระวังสุดชีวิต จนกลายเป็นสุดยอดนาฬิกาที่ได้รับตรา SWISS MADE ซึ่งทุกรุ่นที่ผลิตออกมา มีแต่ราคาจะขึ้นไปเรื่อยตามระยะเวลาที่ผ่านไป ยิ่งประเภท Limited Edition ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการเข้าไปใหญ่...

สุธรรม
10-05-2017, 15:50
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26497&stc=1&d=1494406093
อย่างน้อยวันนี้ "สาวภูเก็ต" ก็ได้จากพระครูกล้าไป ๒,๐๐๐ ยูโร

เมื่อถามราคาดูแล้ว รุ่นที่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ ๑,๑๐๐ ยูโร คิดเป็นเงินไทยตก ๔๔,๐๐๐ บาท ความจริงก็ไม่นับว่าแพง แต่ด้วยความที่พวกเราไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงของแท็ก ฮอยเออร์ ได้ยินแต่ประเภท โรเล็กซ์ (Rolex) ปาเต๊ก ฟิลลิป (Patek Philippe) อะไรประมาณนี้ จึงสมัครใจถอยหลังดีกว่า ไม่มีใครซื้อแม้แต่คนเดียว ทางร้านก็มืออาชีพสุด ๆ ไม่ได้ว่าอะไรซักคำ ซ้ำยังแจกผ้าสำหรับเช็ดนาฬิกาหรือเช็ดแว่นให้คนละผืนอีกด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อจับไม้จับมือขอบคุณแล้ว ก็พาพวกเราออกมา แวะเข้าร้าน SENITH ที่อยู่ห่างออกไปแค่สองคูหา “สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ” เฮ้ย..ร้านนี้มีสาวไทยเป็นคนขายด้วย...

สาวไทยผิวคล้ำตาคมไว้ผมหางม้าในเสื้อสูทและกางเกงสีดำ รูปร่างเริ่มเข้าสู่การอวบระยะสุดท้าย ยิ้มแย้มแจ่มใสยกมือวันทาแบบไทยแท้ บอกว่าชื่อ “จุรีพร” บ้านอยู่ภูเก็ต มาทำมาหากินที่สวิสได้สองปีแล้ว แนะนำนาฬิกาแบบต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่ว ร้านนี้ดีตรงที่ว่าไม่ได้ขายนาฬิกายี่ห้อเดียว บุคคลที่ต้องการซื้อจริงอย่างพระครูกล้า และท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ สอบถามทั้งราคา ส่วนลด และวิธีการจ่ายเงิน ส่วน “ขาหลี” อย่างพระครูญาณฯ นั้น พยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะให้ได้รอยยิ้มจากสาวไทยเท่านั้น...

พระครูกล้ารูดบัตรพรืดเดียวแปดหมื่นบาท ทำเอา “ว่าที่หลวงพ่อตา” อย่างหลวงพ่อพระครูญาทำใจไม่ได้ เดินหลบไปนั่งที่มุมไกลสุด ท่านเจ้าคณะอำเภอท่ายางยกน้ำเย็นที่ “เด็ก” ของทางร้านเอามารับแขกขึ้นดื่มกันเป็นลมแทนคนจ่ายเงิน อาตมาเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะเป็นเพื่อนท่านด้วย สักพักหลวงพ่อพระครูเลิศก็เดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยมานั่งอีกคน บ่นพึมพำว่า “ไม่ไหว...เทศน์ทั้งปียังไม่พอซื้อนาฬิกาที่นี่เรือนเดียว” หลวงพ่อก็ขึ้นราคากัณฑ์เทศน์ไปเลยสิครับ แล้วคราวหน้าค่อยมาซื้อใหม่ “แค่นี้ยังไม่ค่อยจะมีเทศน์ ขืนไปขึ้นราคาก็ยิ่งไม่มีปัญญาซื้อหนักเข้าไปอีก” ฮ่า...ถ้าสมณศักดิ์ “วาทีธรรมวัฒน์” อย่างหลวงพ่อยังไม่มีคนนิมนต์เทศน์ ผมก็คงจะไร้ผู้คนสนใจโดยสิ้นเชิง...

สุธรรม
10-05-2017, 16:57
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26498&stc=1&d=1494410107
ป้ายบอกทางลงไปห้องน้ำของร้าน BUCHERER

ท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชารัฐศาสตร์ เลือกนาฬิกาแบบที่ชอบและราคาเป็นที่พอใจแล้ว ก็หยิบบัตรออกมาส่งให้สาวภูเก็ตไปรูดบ้าง แต่..ไม่ผ่านครับ เล่นเอาท่านอาจารย์ยกมือเกาศีรษะที่ผมเริ่มบางอย่างงง ๆ คุณจุรีพรลองดูอีกหลายครั้งก็ไม่ผ่านเช่นเดิม “เอ...? ผมมีอยู่ในบัญชีเป็นแสนเหมือนกันนะ” ท้ายสุดท่านอาจารย์จึงโทรศัพท์ข้ามทวีปไปสอบถามทางเมืองไทย อาตมาก็นึกไม่ถึงว่าธนาคารบ้านเราจะมีเจ้าหน้าที่เหลือไว้ติดต่อกับต่างประเทศดึกดื่นขนาดนี้ ทางนั้นตรวจสอบแล้วแจ้งมาว่า ท่านอาจารย์ไม่เคยทำเรื่องขอใช้บัตรข้ามประเทศ ถ้าจะใช้ก็พร้อมที่จะทำให้เดี๋ยวนี้ โดยหักค่าธรรมเนียมจากบัญชีไปเลย...

“ยังก่อนดีกว่าครับ” การมีอุปสรรคทำให้ฉุกใจยั้งคิด ออกบัตรไปแล้วอีกกี่ชาติจะได้มาใช้ก็ไม่รู้ ? แต่ค่าธรรมเนียมต้องจ่ายทุกเดือน การตัดสินใจจึงมีการเปลี่ยนแปลง ท่านอาจารย์เลยไม่ต้องเอาเงินมาถมต่างประเทศให้ขาดดุลเพิ่มอีกเป็นแสน ขอโทษสาวภูเก็ตแล้วพวกเราก็ถอนสมอออกจากร้าน โดยมีพระครูกล้าถือถุงใส่นาฬิกาและใบกำกับภาษี ที่ต้องไปขอคืนที่สนามบิน จำนวน ๑๖๐ ยูโร (๔,๘๐๐ บาทไทย) เดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อไปที่ร้าน BUCHERER เห็นป้ายที่หน้าร้านโฆษณานาฬิกา Rolex สารพัดแบบ เข้าไปข้างในก็มีพนักงานแจกบัตรให้คนละใบ บอกว่าเอาไปขอรับของที่ระลึกจากเคาน์เตอร์ด้านในสุดได้เลย อาตมาจึงเดินนำเข้าไปก่อน...

พรรคพวกเดินตามหลังมาเป็นพรวน ยังไม่ทันจะพูดอะไร แค่ยื่นบัตรไปพนักงานหญิงของทางร้านก็หยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ ส่งให้ เปิดออกมาดูเป็นช้อนกาแฟสเตนเลส ตีตรากากบาดสีแดง รับรองว่าเป็นของสวิสแท้ ทุกคนรับมาเหมือน ๆ กัน อาตมาเหลือบเห็นป้ายห้องน้ำตรงบันไดทางลงชั้นล่าง จึงเดินตามป้ายลงไปเข้าห้องน้ำก่อน สะอาดเอี่ยมสมราคาร้านชั้นหนึ่ง ทำธุระส่วนตัวแล้วก็กลับขึ้นมาดูสินค้าของทางร้าน ซึ่งเป็นนาฬิกาแทบทั้งสิ้น และมีหลายยี่ห้อเหมือนกัน...

สุธรรม
11-05-2017, 03:06
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26499&stc=1&d=1494446614
แม่น้ำที่กว้างอย่างกับทะเลสาบ

อาตมาดูนาฬิกายี่ห้อ SWAROVSKI ซึ่งเข้าใจผิดมาตลอดว่ายี่ห้อนี้ทำแค่แก้วเจียรนัยเท่านั้น แต่ที่เห็นคือนาฬิกาแบบต่าง ๆ ที่ประดับแก้วเจียรนัย ดูดีไม่แพ้พวกประดับเพชรอย่าง Rolex เลย ราคาก็พอเป็นมิตรกับกระเป๋า เพราะว่ามีระดับ ๔๐๐ – ๕๐๐ ยูโรอยู่หลายแบบ แต่ถ้าซื้อเพื่อให้พอกับบรรดาลูกสาว ก็คงไม่แคล้วหมดตูดเป็นแน่แท้ จึงได้แต่ชมและถ่ายรูปเอาไว้ เห็นว่าพอสมควรแก่เวลาแล้ว และอยู่ต่อไปก็ไม่ได้มรรคผลอะไรขึ้นมา อาตมาจึงเดินออกจากร้าน เลี้ยวขวาไปยังแม่น้ำรอยส์ (Reuss) ที่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อชมสะพานชื่อก้องโลกของเมืองลูเซิร์น...

พ้นจากอาคารไปก็มีจักรยานจอดเรียงรายอยู่หลายร้อยคัน มีถนนคั่นระหว่างตึกเป็น “บล็อก” อีกฝั่งของถนนเป็นห้วงน้ำสีฟ้าเข้มขนาดมหึมา น่าจะเป็นทะเลสาบมากกว่าเป็นแม่น้ำ มีหงส์ขาวลอยฟ่องหาอาหารอยู่หลายสิบตัว กลาง “ทะเลสาบ” เป็นสะพานไม้ที่บูรณะขึ้นหลังจากไฟไหม้ ทำให้ดูเก่าแก่เหมือนกับของเก่า ยื่นยาวข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมีหอแปดเหลี่ยมอยู่ติดกับมุมหักของสะพานค่อนไปทางฝั่งโน้น ไม่รู้ว่าเอาไว้ชมวิวหรือเอาไว้ทำอะไร ? “เป็นหอสำหรับศึกษาอุทกศาสตร์ของแม่น้ำแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณครับ” มัคคุเทศก์ล่องหนเฉลยข้อกังขาให้...

อาตมาถ่ายรูปสะพานทางด้านนี้ แล้วเดินเลยทางขึ้นสะพานไปถ่ายรูปสะพานจากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งทางด้านนี้มีกระเช้าดอกไม้ปลอมติดเอาไว้เกือบตลอดแนวสะพาน ทำให้ดูมีสีสันสดใสขึ้นมาบ้าง เสร็จแล้วเดินแทรกนักท่องเที่ยวขึ้นไป ถ่ายรูปภาพเขียนประวัติการสร้างเมืองลูเซิร์น ซี่งมีอยู่ตามหน้าจั่วและด้านบนของ “ฝาผนัง” โดยมีนักท่องเที่ยวแย่งกันถ่ายรูปอาตมาไปด้วย ไปจนสุดสะพานแล้วก็เดินย้อนกลับมาอีกรอบ เพราะเกรงว่าจะหมดเวลาที่คุณโอ๋นัดเอาไว้...

สุธรรม
11-05-2017, 13:33
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26500&stc=1&d=1494484232
"หุ่น" ซึ่งจะมีชีวิตก็ต่อเมื่อได้รับเงินบริจาค

เดินย้อนมาหน่อยเดียว ก็มี “หุ่น” ชายสองคนในชุดหนังเคลือบสีทอง มาดคล้าย ๆ “จังโก้” ยืนนิ่งอยู่ข้างกำแพงตึก มีคนโทใบเดียววางอยู่ข้างหน้าระหว่างคนทั้งสอง อาตมาจึงควักเหรียญฟรังก์สวิสที่ได้รับทอนมาหลายเหรียญ หยอดกราวลงไปในคนโทใบนั้น มีเสียงดนตรีดังขึ้นในทันใด พร้อมกับ “หุ่น” ทั้งสองตัวฟื้นคืนชีวิต ทั้งผิวปากทั้งดีดนิ้วและเต้นตามเสียงดนตรี พอเสียงดนตรีจบลงทั้งสองก็ขอจับมือกับอาตมา ขณะที่นักท่องเที่ยวปรบมือกราวและแย่งกันถ่ายรูป ซึ่งคนที่ไม่ได้รูปนี้มีอยู่คนเดียวก็คืออาตมาเอง..!

เดินจากชายทั้งสองคนที่กลับไปเป็น “หุ่น” ตามเดิม ผ่านแถวจักรยานกลับไปยังร้าน BUCHERER เจอพระครูโจเดินถ่ายรูปทั้งตึก ถนนหนทาง และจราจรที่กำลังโบกรถ ถามดูจึงรู้ว่าท่านอื่น ๆ ยังจมอยู่ในร้าน บางส่วนก็แยกย้ายกันกลับไปที่ร้านสาวภูเก็ต อาตมาที่กำลังมีอาการ “ไข้ขึ้น” จนรู้สึกปวดไปทั้งตัว อยากจะเข้าที่พักก็ไม่เห็นมัคคุเทศก์รูปหล่อว่าอยู่ที่ไหน ? “คุณรู้ไหมว่าโรงแรมที่เราพักคืนนี้ชื่ออะไร ?” อาตมาถามท่านเลขาฯ จังหวัดฯ “ประมาณว่า FLORA HOTEL อะไรเทือกนี้แหละครับ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ?”

อาตมาเดินไปหาคุณจราจรที่เริ่ม “มีอันจะกิน” ถามว่า “Do you tell me, where’s the Flora hotel ?” อีกฝ่ายตีหน้าฉงนอย่างหนัก “Flora hotel ? I don’t know about that.” ฮ่วย...ถ้าตำรวจยังบอกไม่ได้แล้วตูจะไปถามใครดีวะ ? เดินหน้าเหี่ยวกลับมาหาพระครูโจ พอท่านทราบว่าขนาดตำรวจเจ้าถิ่นยังไม่รู้จักก็เกาหัวแกรก ๆ ยังไม่ทันจะทำอะไร นางฟ้าก็มาช่วยชีวิต คุณโอเล่เดินมาจากทางด้านแม่น้ำรอยส์พอดี “คุณโอเล่...รบกวนช่วยพาไปโรงแรมที่พักหน่อยเถอะ อาตมาทั้งสองหมดสภาพไปไหนไม่ไหวแล้ว”...

สุธรรม
12-05-2017, 03:16
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26501&stc=1&d=1494533589
เดินเกือบทั่วเมืองแต่หามัคคุเทศก์รูปหล่อไม่เจอ

“ขออภัยพระอาจารย์ค่ะ ‘เล่ไปติดต่อประสานกับทางโรงแรมให้เรียบร้อยแล้ว จึงรีบออกมาเพื่อถ่ายรูป ถ้าช้าแล้วเดี๋ยวแดดหลบจะได้รูปไม่สวย รบกวนเดินไปเองดีกว่านะคะ หรือไม่ก็รอให้คุณโอ๋มานำไปก็ได้ค่ะ” อาตมากับพระครูโจมองหน้ากันแล้วพูดไม่ออก “โรงแรมอยู่ไกลไหม ? แล้วชื่อโรงแรมอะไร ?” อาตมาถามเผื่อเอาไว้ก่อน “ชื่อโรงแรมแอสโทเรีย ต้องเดินข้ามแม่น้ำไปไกลเหมือนกันค่ะ” อาตมาหันไปมองพระครูโจ รู้แล้วว่าทำไมตำรวจจราจรถึงไม่รู้จักโรงแรมฟลอร่า ก็โรงแรมชื่อนี้ไม่เคยมีอยู่ในเมืองนี้มาก่อนนะซีครับ..!

“ไปเดินหาคุณโอ๋กันดีกว่าครับ” ท่านเลขาฯ ชวน อาตมาก็เห็นด้วย เพราะว่าไม่เคยไปโรงแรมมาก่อนแบบนี้ มีโอกาสเดินหลงไปถึงดาวอังคารได้ แต่ไม่นึกว่ามัคคุเทศก์รูปหล่อจะหาตัวยากอย่างนี้ ในร้าน BUCHERER ทั้งชั้นบนชั้นล่าง ทั้งในร้านนอกร้านก็ไม่มี เดินเลาะกลับไปทางถนนสายนาฬิกาก็เจอแต่พรรคพวกที่ย้ายแยกแตกกระจายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ สองรูปบ้างสามรูปบ้าง ไปเจอหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ที่ร้าน SENITH กำลังต่อรองราคาซึ่งต่อไม่ได้กับสาวภูเก็ต พระครูโจก็เลยขอตัวไปช่วยพระผู้เฒ่า ปล่อยให้อาตมาบินเดี่ยวหาตัวมัคคุเทศก์รูปหล่อต่อไป...

เดินไปจนสุดทางแบบไร้อารมณ์สนใจสารพัดนาฬิกา เพราะว่าไข้จับหนักขึ้นทุกที แล้วย้อนกลับมาทางร้าน BUCHERER อีกที เจอพระครูวิสุทธฯ ยืนหลบติดผนังกันนักท่องเที่ยวเบียด ถามว่าเจอมัคคุเทศก์รูปหล่อบ้างไหม ? อีกฝ่ายก็สั่นหัว ท่าทางเพลียหมดสภาพพอ ๆ กับอาตมา จึงชวนเดินไปโรงแรมด้วยกัน หนทางอยู่ที่ปาก ถ้าถามชาวบ้านแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ถามมัคคุเทศก์ล่องหนนั่นแหละ แต่ตอนนี้ยังถามอะไรไม่ได้หรอก เพราะว่าท่านเหล่านี้มักจะให้เราใช้ความสามารถจนสุดตัวก่อน เพิ่งเดินฝ่านักท่องเที่ยวมาได้ซอยเดียว ก็เจอกับพระครูญาณฯ เข้าพอดี...

สุธรรม
12-05-2017, 16:12
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26502&stc=1&d=1494580167
ตัวเองข้ามสะพานหนึ่ง แต่พาเพื่อนมาข้ามอีกสะพานหนึ่ง

“จะไปไหนกันล่ะ ?” อาตมากับพระครูวิสุทธฯ บอกว่าจะไปโรงแรมแต่ไปไม่ถูก “ผมเพิ่งออกจากโรงแรมมานี่เอง ไปเดินดูของเป็นเพื่อนกันก่อน อย่าเพิ่งกลับโรงแรมเลย” ถามถึงคุณโอ๋ท่านบอกว่า “เพิ่งพาพวกผมชุดหนึ่งไปส่งที่โรงแรม ผมเข้าห้องพักสรงน้ำแล้ว ก็เดินกลับมานี่แหละ” แล้วแบบนี้ตูจะหาตัวเจอไหมนี่ ? นัดกันไว้แล้วไม่รอ ทิ้งกันไปเสียได้...

พระครูญาณฯ ชวนยิก ๆ ให้ไปเดินดูของแต่อาตมารู้ว่าท่านจะไปเดินเหล่สาว จึงบอกความจริงว่าไข้จับจนจะเดินไม่ไหวแล้ว ช่วยพาไปโรงแรมให้หน่อยเถอะ พ่อเจ้าประคุณพอรู้สภาพของเราสองคน จึงกลับหลังหันพาไปแบบเสียไม่ได้ พระครูวิสุทธฯกับอาตมาลากขาตามไป ท่านยังอุตส่าห์ถามอีกว่า "ทำไมถึงรีบกลับ คืนนี้พระอาทิตย์ตกตั้งสามทุ่มครึ่ง ? ไปถ่ายรูปกันก่อนเถอะ โรงแรมห่างไปแค่สองบล็อกเอง เดี๋ยวค่อยไปก็ได้" ฮ่วย..ตูไร้แรงบินแล้วเว้ย นี่มันจะห้าทุ่มเมืองไทยแล้วนะ ทั้งเป็นไข้ ทั้งเจ็บสะโพกและเจ็บแผลที่เท้าพอง ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียแบบนี้ ใครจะไปมีอารมณ์ถ่ายรูปอีกวะ ? ท่านจึงเดินนำฝ่าฝูงชนไปข้างหน้า...

เดินไปสองช่วงตึกแล้ว พระครูวิสุทธฯถามว่า "โรงแรมอยู่ด้านไหนกันแน่ ? ไหนว่าเดินแค่สองบล็อก นี่ก็เกินสองบล็อกแล้วนะ.." ท่านตอบหน้าตาเฉยว่า "ข้างหน้านี่แหละ.." เออ..ดีเหมือนกัน รู้สึกเหมือนคนตาบอดขี่ม้าตาบอดอย่างไรก็ไม่รู้ ? เดินตาม "ม้าตาบอด" ไปอีกพักหนึ่ง เห็นสะพานอีกอันหนึ่ง พระครูญาณฯ พาเดินข้ามไปทันที อาตมาถามแบบไม่แน่ใจว่า “เฮ้ย..ข้ามตรงนี้แน่หรือ ?" คำตอบก็คือ "แน่ซิ..เมื่อกี้ผมก็ข้ามไป แต่เป็นสะพานทางด้านโน้น.."

สุธรรม
13-05-2017, 03:34
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26503&stc=1&d=1494621039
โรงแรมอัส - โต - รี - อา (ถ่ายตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น)

อีแบบนี้ไม่ใช่สองช่วงตึกอย่างที่ท่านว่าแล้ว หากแต่เป็นสองช่วงถนนมากกว่า ท่านพาเดินเลาะแม่น้ำที่ไหลแรงมากไปทางซ้าย เดินได้ไม่ไกลนักก็เลี้ยวขวาเข้าซอย "คนตาบอด" ทั้งสองเดินตามไปแต่โดยดี แต่..ไม่ค่อยดีตรงที่ว่าเมื่อมาถึงถนนอีกสายหนึ่ง ท่านเจ้าอาวาสวัดยางกลับออกท่าลังเล มองซ้ายมองขวาอย่างไม่แน่ใจ...

"ใครยกโรงแรมหนีไปแล้วใช่ไหม ?" พระครูวิสุทธฯถามขึ้น "ไอ้คนสวิสนี่ไว้ใจไม่ได้เลยนะ ออกมาหน่อยเดียวดันยกโรงแรมหนีไปซะนี่.." เออ..มัวแต่ตลกฝืดกันอยู่นั่นแหละ อาตมาเห็นตรงป้ายรถเมล์ มีคุณลุง ๑ คน กับคุณป้า ๒ คนนั่งรอรถเมล์อยู่ จึงบอกพรรคพวกให้รอสักครู่ ขอถามเจ้าถิ่นให้แน่ใจก่อนดีกว่า ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปหา "คุณลุงคุณป้า" ทั้งสามคนพลางถามขึ้น...

"Hello, do you tell me, where's the Astoria Hotel ?"

"As - to - ri - a - Hotel ? " คุณป้าที่นั่งกลางถามซ้ำ อาตมาออกเสียงว่า "แอสโทเรีย" แต่คุณป้าออกเสียงว่า "อัส – โต – รี - อา" ซึ่งก็คือกันนั่นแหละ จึงเซย์เยสเพื่อยืนยัน คราวนี้สองคุณป้าแย่งกันบอกทางว่า ให้ข้ามถนนเดินไปอีกหนึ่งซอย แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปจนสุดซอย จะไปถึงถนนอีกสายหนึ่ง โรงแรม "อัสโตรีอา" จะอยู่ตรงข้างไฟแดงของฝั่งตรงข้ามโน่น...

สุธรรม
13-05-2017, 15:46
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26504&stc=1&d=1494664984
ประตูหมุนแบบนี้แหละที่ "แขกอินเดีย" แย่งกันเข้า

พระครูญาณฯ พาพระครูวิสุทธฯ เดินนำไปหลายวาแล้ว อาตมารีบเดินตามไป บอกข้อมูลตามที่ได้รับมา ท่านเจ้าอาวาสวัดยางบอกว่า "มาถึงตรงนี้จำทางได้แล้ว ไม่ต้องถามเขาก็ได้.." เออ..ตูผิดเองที่ไม่เชื่อ “ม้าตาบอด” ลากขาตามท่านไปแต่ก็คอยดูว่า ถ้าท่านออกนอกทางเมื่อไรอาตมาจะเดินไปตามที่ "คุณลุงคุณป้า" ทั้งสามคนบอกมาเอง...

เมื่อสุดซอยก็เป็นถนนอีกสายหนึ่ง พระครูญาณฯ ชี้ให้ดูธงของโรงแรมที่ตั้งอยู่ตรงข้างสี่แยก ทางด้านที่พวกเรายืนอยู่เป็นทางรถเมล์ ซึ่งแต่ละคันวิ่งแรงเหลือใจ สี่แยกนี้มีไฟสำหรับคนข้ามถนน จึงต้องรอจนกระทั่งไฟเขียวแล้วรีบเดินข้ามไป ตรงประตูหมุนของโรงแรมมีแขกอินเดียกลุ่มใหญ่ กำลังลากกระเป๋าเข้าประตูหมุนกันแบบทุลักทุเล...

อาตมากับพระครูญาณฯ ยืนรอว่าเมื่อไรเขาจะให้พระเข้าเสียที แต่ทุกคนก็ทำเหมือนกับไม่เห็น พอประตูหมุนมาจะรีบลากกระเป๋าเข้าไปยืนทันที ปกติประตูแบบนี้จะเดินตามกันได้ประมาณ ๒ - ๓ คน แต่เมื่อกระเป๋าใบใหญ่มหึมาบวกกับคนตัวเล็กกว่าควายนิดเดียว แค่เข้าไปคนเดียวก็ยังยาก พวกเราจึงได้แต่ยืนรอให้คนหมดก่อน ซึ่งยังเหลือกันอีกเป็นสิบ..!

สุธรรม
14-05-2017, 03:29
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26505&stc=1&d=1494707205
เป็นโรงแรมสวิสที่มีทางเดินลายสก็อต ฮ่า..!

"ทำไมเขาไม่เข้าประตูนี้วะ ?" พระครูวิสุทธฯว่า พลางดึงประตูข้างออกแล้วเดินเข้าไปทันที อาตมากับพระครูญาณฯ เดินตามเข้าไปอีกคน บรรดา "แขก" พอเห็นเช่นนั้น เพิ่งรู้ว่าตัวเองฉลาดพอกันกับอาตมา จึงเลิกฉลาดในการ "เข้าตามประตู" หันมา "เข้าตามตรอก" ทันที อาตมาถามพระครูญาณฯ ว่า "ล็อบบี้อยู่ชั้นไหน?" ท่านบอกว่าชั้น ๒ เอ..ฟังดูแปลก ๆ อยู่นะ..? พระครูญาณฯ พาเข้าลิฟท์ เสียบบัตรแล้วกดหมายเลข ๖...

"เฮ้ย..นั่นคุณจะไปไหน ?" "ไปห้องผมนะซิ..!" "ไปทำไมวะ ? ผมจะไปขอกุญแจห้องที่ล็อบบี้" "กุญแจอยู่ที่น้องโอเล่ เขาเอาติดตัวไปด้วย ไปพักผ่อนสรงน้ำที่ห้องผมก่อน รอให้ทางคณะเขากลับมาค่อยไปที่ห้องตัวเอง.."

เวรกรรม..เจอระบบการคิดที่ไม่เหมือนกันแบบนี้ ขืนคิดมากก็ปวดหัวตายห่..! พระครูวิสุทธฯ ยิ้มให้อาตมาแบบจนปัญญากับเพื่อนคนนี้ ออกจากลิฟท์แล้วเลี้ยวซ้าย ทางเดินปูพรมลายพร้อยสีเหมือนผ้าขาวม้า เป็นโรงแรมสวิสที่มีทางเดินลายสก็อต ฮ่า..! มาถึงตรงทางเดินหน้าห้องก็เห็นกระเป๋าเดินทางวางอยู่เป็นตับ กระเป๋าของอาตมาวางอยู่คู่กับของหลวงพ่อพระครูเรืองตรงประตูห้อง ๑๖๐๔ มองดูขนาดแล้วเหมือนปู่ยืนคู่กับหลาน พระครูญาณฯ ตรงไปยังห้อง ๑๖๑๓ เสียบบัตรแล้วเปิดประตูห้องให้...

สุธรรม
14-05-2017, 15:31
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26506&stc=1&d=1494750512
ลิฟท์ที่นี่ต้องเสียบบัตรกุญแจของแต่ละห้องถึงจะยอมทำงาน

"เชิญตามสบายครับ จะสรงน้ำก่อนหรือจะนอนพักก็ได้ นึกว่าเป็นห้องของตัวเองก็แล้วกัน" ขอบคุณเป็นอันขาดครับ ถ้ามีโอกาสจะเนรคุณ..! อาตมาตรงเข้าห้องน้ำ ปัสสาวะแล้วหยิบแก้วรองน้ำร้อนจากก๊อก กรอกอั๊ก ๆ เข้าไปสองแก้ว จากนั้นออกมาบอกกับพระครูญาณฯ ว่า...

"ขอยืมบัตรกุญแจหน่อยครับ ผมจะไปขอกุญแจสำรองที่ล็อบบี้" เหตุที่ต้องยืมบัตรเพราะว่า ลิฟท์ที่นี่จะทำงานก็ต่อเมื่อลูกค้าของทางโรงแรม เสียบบัตรกุญแจที่มีหมายเลขห้องของตนเท่านั้น พระครูวิสุทธฯ ที่นั่งหมดอาลัยตายอยากบอกว่า "ช่วยขอให้ผมด้วยครับ" แต่ท่านทำท่าเหมือนกับว่า ให้เอารถขุดมาก็ตักท่านออกจากเก้าอี้ไม่ได้ อาตมาถามว่าของท่านห้องหมายเลขอะไร ? ท่านจึงจำใจลากสังขารออกมาข้างนอก ดูกระเป๋าของตัวเอง แล้วตะโกนบอกว่า "๑๖๐๓ อยู่ติดกันเลย"...

อาตมาลงลิฟท์ไปถึงชั้นสอง เห็นแต่ห้องพักเป็นตับ พอดีพนักงานชายหน้าตาเหมือนชาวบังกลาเทศเดินมา จึงถามว่า "Where's the lobby ?" หนุ่มหน้าแขกโค้งพลางผายมือไปทางบันไดเล็กด้านข้าง อาตมาเดินลงไปจึงเห็นว่า ล็อบบี้ที่เหมือนกับชั้นลอยอยู่ตรงนี้เอง...

สุธรรม
15-05-2017, 02:41
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26507&stc=1&d=1494790715
ได้เข้าห้องพักของตัวเองซะที..!

มีพนักงานสาวสวยอยู่สองคน อาตมาบอกกับคนที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ว่า "ฉันมากับคณะของรีเจนซี่ทัวร์ แยกกับคณะไปซื้อของ กลับมาไม่เจอมัคคุเทศก์แล้ว จะขอกุญแจสำรองจากคุณได้ไหม ?” "ของท่านพักห้องหมายเลขอะไรคะ ?" "๑๖๐๔ ของเพื่อนเป็น ๑๖๐๓ ถ้าเธอมีรายชื่ออยู่ให้ตรวจสอบดูได้ ฉันชื่อพระครูธรรมธรเล็ก ชื่ออยู่ลำดับที่ ๙"

น้องหนูสวยอวบอั๋นหยิบรายชื่อออกมาปึกเบ้อเริ่ม ดึงเอาแผ่นของ Regency Travel & Education ออกมา อาตมาชี้ให้ดูรายชื่อของตนและพระครูวิสุทธฯ "กรุณารอสักครู่นะคะ" เธอหยิบแผ่นการ์ดมา ๒ ใบ เอาเสียบเข้าไปที่เครื่องตรงหน้า กดบันทึกข้อมูลอย่างคล่องแคล่ว ภายในไม่ถึงนาทีก็ส่งมาให้ "แผ่นไหนเป็นของห้อง ๑๖๐๔ ?" อาตมาถาม...

เธอยิ้มแบบขออภัยที่บกพร่อง แล้วหยิบแผ่นพับสำหรับสอดการ์ดออกมา เขียนหมายเลขห้องลงไป แล้วเสียบการ์ดส่งมาให้ อาตมารับมาแล้วบอกขอบคุณด้วยความรู้สึกดี ๆ เต็มหัวใจ เรียกลิฟท์กลับขึ้นชั้น ๖ ไปเคาะประตูห้องส่งการ์ดให้พระครูวิสุทธฯ คืนของพระครูญาณฯ ให้กับเจ้าของ บอกขอบคุณอย่างแรง แล้วรีบจรลีไปเปิดห้อง ๑๖๐๔ ขนกระเป๋าทั้งปู่ทั้งหลานเข้าไปแบบด่วนจี๋...

สุธรรม
15-05-2017, 02:50
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26508&stc=1&d=1494791235
รูปจากชั้นลอยที่มองลงไปชั้นล่างได้

โดดเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำแบบไม่ต้องบิดหัวก๊อกไปข้างไหน เพราะว่าต้องการแค่อุณหภูมิปกติ น้ำไหลซู่ลงมาพาให้สดชื่น จัดการ "ลอกคราบ" ตัวเองออกไปหนึ่งชั้น เช็ดตัวผลัดผ้าแบบรีบด่วน เพราะนึกขึ้นมาได้ว่า ที่หน้าห้องมีแต่กระเป๋าที่ฝากใต้ท้องรถเท่านั้น คุณโอเล่เอากระเป๋าใบอื่น ๆ ไปฝากไว้ที่ล็อบบี้ ห่มผ้าแล้วจึงกลับลงไปที่ล็อบบี้อีกครั้ง สาวสวยทั้งสองกำลังวุ่นวายกับการแจกห้องให้กับบรรดา "แขก" อินเดียยังไม่เสร็จ อาตมาตรงเข้าไปหา "หนูอวบ" คนเดิม...

"ขอโทษนะ...ฉันขอรับกระเป๋าที่ฝากเอาไว้ เป็นหมายเลข ๙ และมีกระเป๋าผ้าไม่มีหมายเลขพร้อมกับถุงของฝากอีก ๑ ใบด้วย" "ขอเวลาสองนาทีนะคะ" เธอยกหูโทรศัพท์เพื่อติดต่อสอบถาม อาตมาหมุนตัวเดินออกมา จะได้ไม่เกะกะหน้าเคาน์เตอร์ เพิ่งถ่ายรูปจากชั้นลอยได้รูปเดียว เธอก็ลุกก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังประตูที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เสียบบัตรเปิดประตูเข้าไป เห็นกระเป๋ากองพะเนินอยู่บนรถเข็นข้างในห้องนั้น อาตมาตรงเข้าไปช่วย "หนูอวบ" ยกกระเป๋าที่ซ้อนกันลงมา หยิบกระเป๋าหมายเลข ๙ มาก่อน ยังดีที่อยู่ค่อนไปด้านบน ไม่อย่างนั้น ตุ๊กตาทั้งหมูทั้งหมาคงแบนเป็นหมูปิ้งหมาปิ้งไปหมดแล้ว จากนั้นค้นหากระเป๋าอีกใบ เจอเสื้อกันหนาวที่ให้หลวงพ่อพระครูเรืองยืมด้วย จึงดึงมาพาดแขนเอาไว้...

"หนูอวบ" ยกกระเป๋าออกมาจนเกือบจะใบสุดท้าย จึงเห็นกระเป๋าอีกใบนอนรออยู่ข้างใต้ พออาตมาออกแรงดึงหูกระเป๋าก็ขาดติดมือออกมาด้วย..! "หนูอวบ" ทำท่าตกใจที่เห็นหูกระเป๋าขาด อาตมาลากกระเป๋าออกมานอกห้อง บอกเธอว่า "No problem, thank you for your kindness" เธอยิ้มเขิน ๆ จัดการปิดประตูตามหลัง ขณะที่อาตมาหอบกระเป๋าขึ้นลิฟท์กลับห้องตัวเอง จัดการเปลี่ยนผ้าที่นุ่งมา ๖ วันเข้าไปแล้ว พับผ้าเก่าใส่ถุงพลาสติก เอาถุงเท้าเก่าม้วนใส่ถุงพลาสติกใบเล็กอีกใบ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะพาบรรยากาศในกระเป๋าเสียหมด ยกกระเป๋ารถเข็นเทของข้างในออกมาจนหมด เอาผ้าเก่าใส่ลงก้นกระเป๋า กั้นด้วยถุงพลาสติกอีก ๑ ชั้น แล้วจึงจัดของใหม่ลงไป กำลัง "ข่มขืน" เพื่อใส่ของลงไปให้หมด ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น...

สุธรรม
31-05-2017, 04:34
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=27233&stc=1&d=1496179825
ไม่ได้ฉันยามานาน เจอทีก็อิ่มไปเลย..! (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

เปิดออกมาเจอหลวงพ่อพระครูเรืองยืนหน้าเหี่ยวอยู่ บอกว่า "ผมยังหาเสื้อของหลวงพ่อไม่เจอเลย โอเล่กำลังโทรถามมาร์โกว่าเอาลงครบไหม ?" อาตมารีบบอกให้ท่านคลายใจว่า "ผมเอามาแล้วครับ" ท่านค่อยทำท่าโล่งใจมาก "ผมนึกว่าหายซะแล้ว ยิ่งของแพง ๆ อยู่ด้วย"...

ท่านหันไปตะโกนว่า "โอเล่..ได้เสื้อคืนแล้วนะ ไม่ต้องหาแล้ว หลวงพ่อเล็กท่านไปเอามาก่อนพวกเราอีก" สาวโอเล่ที่หอบบรรดา "ปานะ" มาถามว่า "ยังขาดอะไรหรือเปล่าคะ ?" อาตมาบอกเสียงจมูกบี้ว่า "ขอยาแก้ไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ ถ้ามีเข็มก็ขอด้วยจ้ะ"

เมื่อเห็นอาการของอาตมาย่ำแย่ไม่เบา เธอจึงฝาก "ปานะ" ทั้งหมดเอาไว้ที่ห้องเลย แล้วรีบไปเอากระเป๋ายามา เปิดขวดเทเอายาแก้แพ้ ๑ เม็ด ยาแก้ปวดลดไข้ ๒ เม็ดมาให้ แต่ไม่มีเข็มที่อาตมาจะใช้เจาะรอยพองที่เท้า "มีเท่าไรก็เอาเท่านั้น ขอบคุณมากจ้ะ ขอหมายเลขห้องของพระครูปลัดปรีชาด้วย" ที่แท้ก็เป็นห้อง ๑๖๑๘ อยู่เยื้องกันที่ฝั่งตรงข้ามนี่เอง...

สุธรรม
31-05-2017, 15:26
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=27234&stc=1&d=1496219001
สาวภูเก็ตกับเพื่อนมาถวายสังฆทาน (ภาพฝีมือ ดร.วันชัย)

โยนยาเข้าปาก ตามด้วยน้ำร้อน ๒ แก้ว แล้วไปเคาะประตูห้อง ๑๖๑๘ ท่านไพฑูรย์เป็นคนมาเปิด พระครูปรีชาที่นอนอยู่รีบเลิกผ้าห่มลุกขึ้นมาถามความประสงค์ "ขอยืมมีดพับที่คุณเพิ่งซื้อมาหน่อยครับ ผมจะเจาะรอยพองที่รองเท้ากัด" ท่านรีบค้นเอามีดพับ Victorinox มาส่งให้ อาตมาเปิดเอากรรไกรจิ๋วออกมา ตัดรอยพองขณะที่ท่านส่งกระดาษซับให้ อาตมากดแผลรีดเอาน้ำออกมาจนหมด บอกขอบคุณและขออภัยที่รบกวน แล้วกลับออกมา...

เห็นท่านอาจารย์คณบดีกับพระครูกุ้ยไฮ้ กำลัง ยถาฯ สัพพีฯ อยู่ตรงสุดทางเดิน มีญาติโยมสองคนนั่งรับพรอยู่ หนึ่งในนั้นคือคุณจุรีพรสาวภูเก็ต น่าจะเลิกงานแล้วจึงตามมาถวายน้ำปานะ อาตมาไม่ชอบรู้จักคนมาก ๆ เพราะขี้เกียจไปยุ่งกับกรรมของใคร จึงเดินเลยกลับห้อง ไปจัดการ "ข่มขืน" กระเป๋าจนสำเร็จ..!

ยกกระเป๋าวางไว้หัวนอน เอาตุ๊กตาและของฝากทั้งหมดใส่รวมกันในกระเป๋าใบที่ใช้ประจำ แล้วปิดเครื่องโน้ตบุ๊ก ใส่อังสะกันหนาว ลากผ้าห่มลงไปกองกับพื้น แล้วส่งใจไปกราบพระ หลับไปในเวลาอันรวดเร็ว...