View Full Version : เก็บตกงานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐
(ก่อนบวงสรวง) วัตถุมงคลอีกอย่างหนึ่งที่เข้าพิธีในงวดนี้ก็คือ กำไลนวหรคุณ นวหรคุณก็คือ คุณอันประเสริฐยิ่งใหญ่สูงสุด ๙ ประการ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบไปด้วย
อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติที่ดีงามทั้งปวง
สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว โดยเฉพาะไปพระนิพพาน
โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งในโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกคือดวงดาว โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือร่างกายของเรานี้ พระองค์ท่านรู้แจ้งเห็นจริงทั้งหมด
อะนุตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ ทรงเป็นสารถี คือผู้ฝึกสอนที่ไม่มีใครยิ่งไปกว่า
สัตถา เทวะมะนุสสานัง ทรงเป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา
พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว สามารถสอนผู้อื่นให้รู้ตาม
ภะคะวา เป็นผู้จำแนกแจกธรรม หรือผู้มีโชค
คุณทั้ง ๙ ประการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มีมาก จนกระทั่งโบราณาจารย์ท่านใช้คำว่า ฝอยท่วมหลังช้าง ก็คือเขียนใส่กระดาษแล้วก็วางกองไปเรื่อย ๆ สูงท่วมหลังช้างแล้วยังบรรยายคุณของพระพุทธเจ้าไม่หมด
อรรถกถาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า คุณของพระพุทธเจ้านั้น ต่อให้มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา ๒ พระองค์พร้อมกัน ทรงถามตอบถึงคุณความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ้นระยะเวลา ๑๐๐ ปี ก็ยังไม่สามารถที่จะบรรยายได้ครบถ้วน
เมื่อเป็นเช่นนั้น โบราณาจารย์ท่านถึงได้นำเอามาทำเป็นวัตถุมงคล เพื่อยึดโยงพวกเราให้ได้รำลึกถึงคุณความดีของพระพุทธเจ้า จัดเป็นพุทธานุสสติ ซึ่งตำราที่อาตมานำมาทำกำไลนี้ เป็นตำราของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสรมหาเถระ วัดอนงคาราม) ซึ่งเป็นอาจารย์ปู่ ก็คือเป็นครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง อีกทีหนึ่ง
หลวงปู่สมเด็จฯ วัดอนงคาราม สร้างเป็นแหวนนวหรคุณหรือแหวนพุทธคุณ ๙ ประการ อาตมาเองไม่อยากทำอะไรซ้ำรอยครูบาอาจารย์ เพราะถ้าทำเหมือน ๆ กัน นานไปจะแยกแยะได้ยาก จึงเปลี่ยนเป็นกำไลแทน ท่านที่จองเอาไว้ก็ถือว่าโชคดีไป ท่านที่ไม่ได้จองต้องเตรียมควักเงิน ๓,๕๐๐ บาท บูชาได้จากตู้วัตถุมงคลหลังเสร็จพิธีแล้ว
ในเรื่องของการบวงสรวงไหว้ครูนั้น ตามสายกรรมฐานที่สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านกำหนดให้ไหว้ครูในวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ จะเป็นเดือนใดก็ได้ ถ้าหากว่าได้วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ก็ยิ่งดี หรือจะเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรงซึ่งเป็นปีที่ ๕ ด้วยก็ยิ่งวิเศษ
แต่เนื่องจากวันเสาร์ ๕ นั้นไม่ใช่ว่าจะมีทุกปี ปีใดที่ไม่มีวันเสาร์ ๕ ท่านให้ทำบวงสรวงไหว้ครูในวันวิสาขบูชา ถ้าหากว่าไม่มีวันเสาร์ ๕ วันวิสาขบูชาก็ติดงานสำคัญอื่น ท่านให้ทำพิธีไหว้ครูในวันมาฆบูชา เพราะฉะนั้น...ให้ทุกคนกำหนดจดจำไว้ด้วยว่า ถ้าหากว่าตามสายครูบาอาจารย์ ตั้งแต่หลวงปู่ปานลงมาจนถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง สายของเราไหว้ครูเฉพาะแค่ ๓ วันนี้เท่านั้น โดยเน้นเอาวันเสาร์ ๕ เป็นหลัก ไม่มีเสาร์ ๕ แล้วค่อยไปไหว้ครูในวันวิสาขบูชาหรือวันมาฆบูชาแทน
ไม่ว่าการศึกษาวิชาการอะไร ก็ตามจะต้องมีครูเป็นผู้สอน เราถึงสามารถที่จะศึกษาเรียนรู้ให้แตกฉานได้ แต่ว่าการศึกษาเรียนรู้หลาย ๆ วิชาการ บางทีมีกำหนดการไหว้ครูที่ไม่ตรงกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นตามสายของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค จึงได้กำหนดการไหว้ครูใหญ่ในแต่ละปี ก็คือ ไม่ว่าเราจะศึกษาวิชาการอะไรมาก็ตาม ให้ไหว้ครูพร้อมกันในวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ ซึ่งปีนี้ก็พอดีว่าเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ บางคนเรียกว่าเสาร์ ๕ ใหญ่
แต่จะว่าไปแล้ว วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ โบราณเรียกว่า กระทิงวัน ก็คือ เป็นวันที่วันกับเดือนตรงกัน ถ้าหากว่าเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง หรือปีที่ ๕ ท่านเรียกว่า ตรีวัน ก็คือวันที่ วัน เดือน ปี ตรงกัน ซึ่งโบราณถือว่าการที่วันตรงกับเดือน เป็นการเพิ่มความเข้มขลังขึ้นมา ๑ เท่าตัว ถ้าหากว่าวัน เดือน ปี ตรงกันก็คูณ ๓ เข้าไป ซึ่งโอกาสที่วัน เดือน ปี จะตรงกันนั้นมีน้อยมาก
ปกติแล้วบ้านเมืองเรานั้น มีศาสนาพราหมณ์ปนเข้ามามาก ถ้าศึกษาตามเอกสารประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยสุโขทัยพราหมณ์ทั้งหลายก็มีบทบาทอยู่ในราชสำนักมาตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้น...การไหว้ครูของพวกเรา ส่วนหนึ่งก็มาจากตำราของศาสนาพราหมณ์ คือ พราหมณ์เขาจะมีไตรเวทหรือไตรเพทเป็นตำรา ๓ เล่ม คือ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท เป็นต้น ตอนหลังมีเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเล่มหนึ่งเรียกว่า อาถรรพเวท ก็คือบรรดาพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยคาถาอาคม ตลอดจนถึงไสยศาสตร์
แต่ถ้าเป็นพราหมณ์แล้วเขาจะถือเอาองค์พระพิฆเณศวร์เป็นครูใหญ่ เป็นผู้ที่บันดาลความสำเร็จทั้งปวงให้ ดังนั้น ถ้าเป็นการไหว้ครูตามแบบของพราหมณ์ ส่วนใหญ่ท่านก็จะไหว้พระตรีมูรติ คือเทพเจ้าทั้ง ๓ ได้แก่ พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ แล้วก็ไหว้ครูก็คือพระพิฆเณศวร์ แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ของเรา ท่านที่มีความรู้ทางด้านนี้ก็ประยุกต์เอาศาสนาพราหมณ์กับพุทธเข้ากลมกลืนกัน อย่างเช่น การสร้างพระพิฆเณศวร์
การสร้างพระพิฆเณศวร์ขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วต้องการผลในเรื่องของความสำเร็จ โดยเฉพาะเป็นที่ยึดถือในกลุ่มของศิลปินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง นักแสดง
ตำราสร้างพระพิฆเณศวร์ของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็คือตำราของหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ พระพิฆเณศวร์ของหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อนั้น เป็นที่หวงแหนของลูกศิษย์มาก โดยเฉพาะท่านใดที่ทำกิจการงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใหญ่หรือเล็กก็ตาม ถ้าบูชาพระพิฆเณศวร์ของหลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อไป เหมือนกับประกันความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรืองของกิจการงานนั้น ๆ โดยใช้คาถาบูชาแบบพราหมณ์แท้ว่า "โอม ศรี คะเณศายะ" แล้วอธิษฐานขอความสำเร็จ
ฉะนั้น...เราจะเห็นได้ว่า ศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธของเรา เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต แม้กระทั่งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ก็ศึกษาเรียนรู้วิชาการจากศาสนาพราหมณ์มาก่อน แต่ว่าพระองค์ท่านมีปัญญามาก เห็นว่าสิ่งที่ครูพราหมณ์ทั้งหลายสอนมานั้น ยังไม่ใช่ทางบรรลุมรรคผลที่แท้จริง
พระองค์ท่านจึงค้นคว้าเพิ่มเติม จนพบอริยสัจ ๔ และมัชฌิมาปฏิปทา คือหนทางสายกลางในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ทำให้ศาสนาพุทธโดดเด่นขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่เกิดทีหลังศาสนาพราหมณ์ถึง ๒,๐๐๐ กว่าปี
เมื่อบ้านเราเมืองเรามีการติดต่อค้าขายกับทางอินเดียแต่โบราณ ศาสนาพราหมณ์ก็ตามมากับเส้นทางการค้าด้วย และสามารถเข้าถึงระดับหัวแถว ก็คือเจ้าพระยามหากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศ ดังนั้น...พิธีพราหมณ์ต่าง ๆ จึงปรากฏในพระราชสำนักเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพิธีมุรธาภิเษก พิธีฉัตรมงคล พิธีแรกนาขวัญ จนมาถึงในหลวงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงประยุกต์พิธีพราหมณ์กับพิธีพุทธเข้าด้วยกัน โดยแทรกการเจริญพระพุทธมนต์ มีพิธีพุทธกับพิธีพราหมณ์ประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาตั้งแต่ยุคนั้น
ความจริงแล้วการบวงสรวงอ้อนวอนร้องขอต่อเทพเจ้า เป็นธรรมเนียมพิธีของพราหมณ์ทั้งหลาย ศาสนาฮินดูจะมีการบวงสรวงร้องขอต่อเทพเจ้าเป็นปกติ แต่พอมาถึงบ้านเรา ก็มาปรับเป็นการไหว้ครู ก็คือไหว้ครูใหญ่ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลงมา จนถึงครูตามสายวิชาการ ตามสายกรรมฐานในปัจจุบัน
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าถามว่า ไม่ใช่ศาสนาพุทธบริสุทธิ์แล้วเอามาทำเพื่ออะไร ? ก็ต้องตอบว่าท่านที่ต้องการศาสนาพุทธบริสุทธิ์นั้นหาไม่ได้
ศาสนาพุทธของเรามีทั้งส่วนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรับเปลี่ยนคำสอนของศาสนาอื่นมาให้เป็นคำสอนที่ถูกต้อง มีทั้งส่วนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้โดยพระองค์เอง ก็แปลว่าในเรื่องของศาสนาพุทธของเรา มีหลักธรรมของศาสนาอื่นปนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้คัดค้านศาสนาของใคร แต่พระองค์ท่านจะนำเสนอในสิ่งที่ดีกว่า โดยอิงกับศาสนาเดิมของเขา
อย่างในอาทิตตปริยายสูตร ชฎิล ๓ พี่น้องกับบริวารหนึ่งพันบูชาไฟ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า การบูชาไฟนั้นดี แต่ถ้ารู้จักการบูชาไฟภายในนั้นจะดียิ่งกว่า แล้วพระองค์ท่านก็สอนว่าตาเป็นของร้อน รูปเป็นของร้อน หูเป็นของร้อน เสียงเป็นของร้อน เป็นต้น ถ้าหากว่าสามารถดับไฟทั้งหลายที่เกิดจาก ราคะ โทสะ โมหะ นี้ลงได้ ความสงบเย็นคือพระนิพพานก็จะเกิดขึ้น
แม้กระทั่งหลักศีล ๕ ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดัดแปลงมาจากศีล ๕ ของศาสนาเชน ซึ่งศาสนาเชนนั้นจะมีการปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก ไปไหนต้องมีผ้าปิดปากป้องกันการหายใจเอาจุลชีพเข้าไปแล้วทำให้จุลชีพนั้นตาย ไปไหนต้องมีลูกศิษย์กวาดพื้นนำหน้าไป เพื่อป้องกันไม่ให้มีสัตว์เล็กขวางอยู่แล้วเผลอไปเหยียบตาย เป็นต้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรับมาเป็นศีล ๕ ของเรา โดยกำหนดไว้ว่า สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เราตั้งใจฆ่า เราลงมือฆ่า เราฆ่าได้สำเร็จ จึงเป็นการละเมิดศีลข้อปาณาติบาต ถ้าหากว่าปราศจากเจตนา โทษก็ลดกันไปตามส่วน ดังนั้น...ท่านที่เรียกร้องหาหลักธรรมจากศาสนาพุทธที่เป็นธรรมแท้ ๆ ล้วน ๆ ค้นให้ตายก็ไม่เจอหรอก
เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความฉลาด สร้างเครื่องรางของขลังขึ้นมา ก็เพื่อเป็นเครื่องยึดโยงกำลังใจของเราให้เกาะอยู่ในคุณพระศรีรัตนตรัย ส่วนพิธีกรรมต่าง ๆ ก็เพื่อเป็นเครื่องยึด เครื่องสร้างศรัทธาให้แก่บุคคลที่พบเห็น
เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่คนโบราณมีความฉลาด ลึกซึ้ง ชนิดที่เรียกว่าเราเข้าไม่ถึง แล้วเราก็จะไปแสดงความโง่ด้วยการไปตำหนิว่า ท่านสอนให้ยึดติดอย่างนั้น ยึดติดอย่างนี้ อาตมาขอยกคำพูดของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ที่เป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง กล่าวเอาไว้ว่า ติดวัตถุมงคล ดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล
การที่เราเป็นเด็ก ถ้ายังเดินไม่แข็ง ก็จำเป็นต้องมีสิ่งที่ยึด ที่เกาะ ถ้าไม่มีสิ่งที่ยึดเกาะ เราก็อาจจะเดินไม่ได้ ท่านใดก็ตามที่คิดว่าตนเองจะละ จะวาง จะปล่อย ถ้าท่านไม่มีสิ่งที่เกาะอยู่ แล้วท่านจะละ จะวาง จะปล่อยได้อย่างไร ก็แปลว่าเราต้องเกาะดีเสียก่อน เมื่อดีถึงที่สุดแล้วถึงจะวางดีไปเอง
การเกาะความดีคือการไม่ประมาท เป็นการรักษา กาย วาจา ใจ ของเราเอาไว้ในขอบเขตของความดี ที่จะส่งผลให้เราไปสู่สุคติ ถ้าหากว่าสามารถไปสู่สุคติได้ โอกาสที่เราจะสร้างความดีต่อก็จะมีมาก แต่ถ้าหากว่าท่านพลาดลงทุคติเพราะไม่มีที่ยึดเกาะ โอกาสที่จะสร้างความดีก็ไม่มี เพราะมัวแต่ทุกข์ทรมานอยู่ตามสภาพภพภูมิของตน ฉะนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรายังรู้ไม่จริง ก็อย่าไปเถียงกับคนอื่น
ขอแจ้งให้ญาติโยมทราบว่าปีนี้ ตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ พี่ใหญ่ท่านหนึ่งของอาตมา ที่บวชมาจากโบสถ์วัดท่าซุงด้วยกัน ปีนี้ท่านเจริญอายุกาลพรรษา ๘๐ ปีแล้ว อาตมาตั้งใจจัดงานวันเกิดใหญ่ถวายท่าน ต้องบอกว่าเจริญอายุกาลผ่านวัยมาจนเท่ากับพระพุทธเจ้า ส่วนคุณความดีเท่าหรือเปล่าค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง
งานจะมีในช่วงเดือนสิงหาคม ก็น่าจะเลยกลางเดือนไปนิดหน่อย เพราะว่าวันที่ ๑๒ สิงหาคมจัดงานที่นี่ ก็น่าจะเป็นอาทิตย์ถัดไป ท่านใดที่ว่างเว้นจากภารกิจก็ไปช่วยกันทำบุญ ร่วมกับตุ๊พ่อในงานวันเกิดที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ด้วยกัน
อาตมาจะเป็นประธานในการจัดงาน พูดง่าย ๆ ว่าเป็นนายทุนรับจ่ายทุกรูปแบบ ในชีวิตเคยเป็นประธานจัดงานวันเกิดให้หลวงพ่อพระเทพเมธากร อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี บอกท่านว่าอยากนิมนต์ใครทั่วประเทศก็นิมนต์มาเลยครับ ผมจะจัดถวายให้ ก็ปรากฎว่าตั้งงบไว้ ๒ ล้านบาท บานปลายไปไม่มาก หมดไปแค่ ๕ ล้านกว่าบาท อาตมาถวายซองจนกระทั่งพระที่มาร้องไปตาม ๆ กันว่ารับไม่ไหวแล้ว ถวายหลายรอบเหลือเกิน
สำหรับท่านที่สายตาไว ๆ มองไปด้านหลังของอาตมา จะเห็นว่าหลวงพ่อเงินที่หล่อไปด้วยเม็ดเงิน ๑๕๐ กิโลกรัม เสร็จเรียบร้อยแล้ว
อาตมามีโครงการหล่อหลวงพ่อสามกษัตริย์ คือ เงิน นาก และทองคำ ปีหน้าช่วงวันมาฆบูชาจะหล่อหลวงพ่อนาก ปีต่อไปก็หล่อหลวงพ่อทองคำฉลองอายุ ๖๐ ปีของอาตมาพอดี
ตอนนี้โครงการเสร็จไปแล้ว ๑ ใน ๓ องค์พระเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ ตอนแรกก็คิดว่าจะต้องลำบากหารอก หาเชือก หากระดาน มาช่วยกันงัดกันแงะ กันยกกันส่งหลวงพ่อขึ้นไป แต่ปรากฏว่าท่านอยากขึ้น แค่ช่วยกันอุ้มก็ขึ้นไหว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าใครสามารถขึ้นไปอุ้มได้หรือเปล่า ? ในเมื่อท่านอยากขึ้น อุ้มขึ้นไปได้ก็ไม่ต้องลำบากเดือดร้อนไปหาเครื่องมือมาช่วย ก็แค่อุ้มขึ้นไปเฉย ๆ
บางทีอาตมายกข้าวยกของ คนอื่นเห็นว่าเบา แต่พอไปลองยกเองแล้วก็ร้องว่าไม่ไหว อาตมาถึงได้ยืนยันว่า อาตมาสร้างพระ ไม่กลัวคนขโมย เหตุที่ไม่กลัวคนขโมย ก็เพราะว่าพระทองคำน้ำหนัก ๑๔๐ กิโลกรัม อาตมาแค่ยกทองคำน้ำหนัก ๒๐ กว่ากิโลกรัม ยังยกแทบไม่ขึ้น เพราะน้ำหนักถ่วงลงจุดเดียว แล้วลองไปนึกถึงว่าทองคำร้อยกว่ากิโลกรัมแล้วถ่วงลงจุดเดียวจะยกไหวไหม ?
มีทางเดียวก็คือต้องเอารถยกบุกเข้ามาในศาลานี้ แล้วก็ยกไป หรือไม่ก็ค่อย ๆ เลื่อยตัดไปทีละชิ้น ซึ่งพระวัดท่าขนุนก็คงไม่ได้นอนตายอยู่เฉย ๆ หรอก...! หลายท่านบอกว่าสร้างพระราคาแพงขนาดนี้ ไม่กลัวเขาขโมยหรือ ? อาตมาบอกว่าไม่กลัว เพราะไม่มีใครมีปัญญาขโมยอยู่แล้ว
ตอนนี้อาตมาได้รับการสนับสนุนนอแรดมาแล้ว ๑ นอ ต่อไปช่วยหาเห็ดน้ำนมเสือให้อาตมาสักสองสามต้นก็จะดีมาก แล้วก็อำพันทองอีกสัก ๗ - ๘ กิโลกรัม จะได้สร้างยาจินดามณีรุ่นต่อไป
งวดนี้จะว่าไปแล้วหลวงพ่อพระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ วัดโพธิ์ผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นผู้ดำเนินการเสียส่วนมาก อาตมาแทบจะบอกว่านั่งเฉย ๆ ควักทุนให้ไปสามหมื่นบาท ท่านลงทุนไปกี่แสนก็ไม่รู้ ? เพราะว่าพระครูสมุห์อานนท์ วัดบึงลาดสวาย ท่านบอกว่า ช่วยกันทำถวายครูบาอาจารย์ครับ อาตมาเคยบอกว่ามีลูกศิษย์ดีเป็นศรีแก่ครูบาอาจารย์ ดูท่าจะเป็นจริง
สำหรับยาจินดามณีนั้น เอาไว้รักษาโรคที่หมอทั่วไปรักษาไม่ได้ ถ้าหากว่าญาติโยมเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่หมอทั่ว ๆ ไปรักษาไม่ได้ เอาหลวงพ่อจินดามณีไปฝนได้ ให้ฝนทางด้านหลังที่เป็นยันต์ทำน้ำมนต์รักษาโรค อย่าไปฝนด้านหน้าพระ เดี๋ยวจะสึกหมด
เดี๋ยวพอพุทธาภิเษกเสร็จแล้ว ตอนที่ญาติโยมทำบุญ ถ้าท่านใดทำบุญ ๕๐๐ บาท จะมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เนื้อยาจินดามณีมอบให้ ๑ องค์ องค์ไม่ใหญ่หรอก ประมาณเหรียญ ๑ บาท หนาสัก ๒ หุน ถ้าหากว่าใช้ประหยัด ๆ ก็ชั่วลูกชั่วหลาน ถ้าจะเอาไม่ประหยัดก็กลืนลงไปทั้งองค์เลย..!
หลวงพ่อพระครูปลัดพิจารย์ท่านให้ยาเม็ดจินดามณีอาตมามาประมาณ ๑,๐๐๐ เม็ด ถ้าเหลือจากถวายพระเณรและคนช่วยงานในวัดแล้ว มีเหลือจะค่อย ๆ ฉันไปเรื่อย ๆ เผื่อว่าจะอยู่ได้สัก ๘๐ ปี
ส่วนฝ้าดาวเพดาน สาหร่ายรวงผึ้ง ตลอดจนกนกข้าง ที่ประดับถวายสมเด็จองค์ปฐม และด้านบนของมณฑปที่อาตมานั่งอยู่ ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ดำเนินการมา ๕ เดือนกว่าแล้ว โยมจะเห็นว่าออกแบบได้อลังการมาก เป็นการประยุกต์ศิลปะเรเนซองส์ของฝรั่งเข้ากับลายไทย ถ้าใครจะเป็นเจ้าภาพทำทั้งศาลาอาตมายินดีรับ ช่องหนึ่งประมาณล้านกว่าบาทเท่านั้น...!
วัดอื่นได้ยินพระอาจารย์เล็กทำงานแต่ละชิ้นจะเป็นลมตาย อาตมาบอกว่าไม่เคยขอให้มีเจ้าภาพสร้างเลย ญาติโยมทำบุญร่วมกันทีละ ๕ บาท ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๕๐ บาท ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บาท ๑,๐๐๐ บาท แล้วแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อย
ในส่วนนี้ขอให้ญาติโยมภูมิใจและโมทนาว่า ปัจจัยของท่านจะมากจะน้อยที่ทำมากับทางวัดท่าขนุน อาตมานำมาสร้างมาเสริมเป็นถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาให้ท่านอย่างเต็มที่ ไม่มีใครทำแบบที่อาตมาทำ เพราะว่าทำแล้วเงินจ่ายเกินบัญชีมาตลอด ปีที่แล้วจ่ายเกินไป ๘๐ กว่าล้านบาท ขอยืนยันว่าอาตมาไม่เคยเป็นหนี้ใคร แต่ตัวเลขติดตัวแดงได้อย่างไร ? อาตมาก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะว่ารับมาแค่นี้ แต่ตอนจ่ายมีมากกว่าที่รับมา จึงกลายเป็นติดลบไปเรื่อย
ที่เห็นชัด ๆ อยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นอยู่ที่เกาะพระฤๅษี อาตมารับสังฆทานมาสามหมื่นกว่าสี่หมื่นบาท แต่ต้องจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างเกือบแสน ก็เอาเงินสังฆทานมานับ นับไปนับมาพอจ่าย บัญชีลงไว้ว่าสามหมื่นเก้าพันกว่าได้ แต่ตอนจ่าย จ่ายไปแปดหมื่นกว่าบาท...! ก็เงินกองนั้นนั่นแหละ เพราะฉะนั้น...ใครต้องการอานิสงส์แบบนี้ ให้ภาวนาพระคาถาเงินล้านเอาไว้ ทำขึ้นเมื่อไร เงินทองจะไหลมาเทมาเอง
สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ท่านทำอะไรก็ไม่กลัว เพราะว่าท่านนั่งแล้วได้เงิน อาตมาเป็นลูกศิษย์ก็ต้องเลียนแบบปฏิปทาครูบาอาจารย์ นั่งลงเมื่อไรก็ต้องได้เงิน แต่ว่าอาตมาขอเยอะกว่านั้น ก็คือยืนหรือเดินก็ขอได้เงินด้วย ยกเว้นตอนนอน เพราะอยากจะพักบ้าง ถ้าใครมาถวายเงินตอนนอนจะโกรธมาก...!
อาตมาจะเอานอแรดอันนี้เข้าพิธีไว้ก่อน เผื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำ รุ่นลูกศิษย์จะได้ทำต่อ เสียดายที่เป็นแรดไทย นอจึงสั้นไปหน่อย ถ้าเป็นแรดแอฟริกา นอยาว ๒ ฟุต ทำได้เยอะดี
บ้านเราเขาบอกว่ามีแรดกับกระซู่ ขอให้รู้ว่าเป็นการแยกแยะของนักสัตววิทยาไทย เพราะคำว่า กระซู่ เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า แรด ถ้า กระชอ แปลว่าช้าง ไทยเรามาแยกว่าถ้านอเดียวคือแรด สองนอคือกระซู่ ไปชี้ให้กะเหรี่ยงดูเขาได้หัวเราะตายชัก
พระทองคำที่อาตมาจะสร้างองค์เล็กกว่าพระเงินนิดหนึ่ง พระเงินใช้เงิน ๑๕๐ กิโลกรัม พระทองคำใช้ ๑๔๐ กิโลกรัม ตอนนี้อาตมามีทองคำ ๑๐๓ กิโลกรัม ขาดอีก ๓๗ กิโลกรัมเท่านั้น ท่านใดจะขอเป็นเจ้าภาพ อนุญาตให้ถวายได้ไม่เกิน ๓๖ กิโลกรัม ที่เหลืออาตมาขอหาเอง
ท่านใดที่อ้างว่ามาจากโรงพยาบาลทองผาภูมิ แล้วเอาวัตถุมงคลมาจำหน่ายหาทุนเข้าโรงพยาบาล ให้รีบไสหัวออกจากวัดไปเลย..! ทางวัดไม่ได้อนุญาตให้ทำ ใครเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในบริเวณนั้นช่วยไล่ออกจากวัดให้ด้วย...
ทางโรงพยาบาลกับวัดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะว่าอาตมาเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาโรงพยาบาลทองผาภูมิ มีหน้าที่หาทุนให้กับโรงพยาบาลอยู่แล้ว อยู่ ๆ คุณมาจำหน่ายวัตถุมงคลบอกว่าหาทุนเข้าโรงพยาบาล โดยที่อาตมาซึ่งเป็นประธานไม่รู้เห็น จะเป็นไปได้อย่างไร ? คุณคงไม่รู้หรอกว่าพระอาจารย์เล็กเป็นมากจนจำตำแหน่งตัวเองไม่ได้ ดันทะลึ่งมาอ้างในงานที่ตัวอาตมาเองเป็นประธาน..!
๗๗ จังหวัดทั่วประเทศไทยก็มีแต่อำเภอทองผาภูมิ ที่ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอเป็นพระ ก็คือเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ปกติแล้วคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน บุคคลหนึ่งจะเป็นได้ไม่เกิน ๒ โรงเรียน อาตมาเป็น ๔ โรงเรียน แล้วเป็นแบบไม่ผิดกฎหมายด้วย เพราะว่าสองโรงเรียนแรกก็คือพระครูธรรมธรเล็ก อีกสองโรงเรียนหลังคือพระครูวิลาศกาญจนธรรม เป็นคนละคนกัน...!
ส่วนใหญ่แล้วงานใหญ่ ๆ มักจะมีพวกแอบอ้างหากินอยู่เสมอ เมื่อวานนี้เพิ่งจะเจอกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล ไม่เห็นท่านบอกอะไรสักคำ วันนี้ดันมาตั้งโต๊ะขายบอกว่าหาทุนเข้าโรงพยาบาล น่าตายมาก..!
ท่านใดอยู่ด้านนอก ถ้าจะร่วมพิธีบวงสรวงไหว้ครูประจำปี ก็เข้ามานั่งด้านในได้ ยังพอมีที่นั่งอยู่ ด้านหลังใครเห็นด้านหน้าว่างก็ขยับขึ้นมานิดหนึ่ง เห็นใจคนข้างนอกหน่อย เขาเข้ามาไม่ได้
อย่าเผื่อที่นั่งไว้เอาความสบายของตัวเอง เป็นการเห็นแก่ตัวมาก เบียด ๆ กันหน่อยให้คนข้างนอกเข้ามา เราจะเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ว่าความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก ในเมื่อเข้าวัดเข้าวามาก็ควรที่จะละ จะเลิก สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ให้ลดน้อยถอยลง จนกระทั่งไม่มีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ของเรา
พระเจ้าหน้าที่จุดเทียนสัตตบริภัณฑ์ไปก่อนเลย ตอนจุดให้จุดตามเข็มนาฬิกา คือวนด้านขวาจากด้านนอกเข้าด้านใน ตอนดับให้ทวนเข็มนาฬิกา คือดับจากด้านในออกด้านนอก ดูให้ดี ๆ ด้วยว่าใกล้วัตถุมงคลหรือเปล่า ? ขยับออกห่างนิดหนึ่งเพื่อกันไฟไหม้
ท่านที่มีวัตถุมงคลอยู่กับตัว ไม่ได้เอาไปฝากไว้ก็ไม่เป็นไร ให้ตั้งใจกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์วัตถุมงคลในตัวของเราด้วย
พิธีการเป่ายันต์เกราะเพชรตั้งแต่โบราณมา ก็เป็นการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไปในตัว สมัยนั้นใครชอบใจอะไรก็สร้างมา ถึงเวลาก็ปูผ้าบนหน้าตักตัวเอง เอาวัตถุมงคลวางไว้ ทำพิธีเสร็จสรรพเรียบร้อยก็พุทธาภิเษกไปในตัว เพราะว่าการสร้างวัตถุมงคลของวัด บางทีก็ไม่ตรงกับกำลังใจของเรา บางท่านอยากได้ตะกรุดโทนสักฟุตหนึ่ง อาตมาก็ทำยาวแค่ ๒ นิ้ว แบบนั้นก็ต้องไปผลิตมาเอง
อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ ตะกรุดโทนหลวงปู่รุ่ง วัดท่ากระบือ ยาว ๑ ฟุตพอดี อาตมามีอยู่ดอกหนึ่ง ถ้าวันไหนไปตีกับชาวบ้านจะพกดอกนั้นไป เพราะว่าใช้เป็นอาวุธได้...!
(หลังพิธีบวงสรวง)
ท่านที่ได้พระผงยาจินดามณีไปอย่าลืมเอาไปผึ่งลมไว้ก่อน น่าจะสักเดือนสองเดือนกว่าที่จะแห้งดี ถ้าท่านตากแดดจะแห้งช้ามาก แต่ว่าเนื้อจะแกร่งกว่า ระวังนะ...เดี๋ยวจะบีบจนบี้ไปเสียก่อน เพราะว่าองค์พระยังไม่แห้งดี
(ชมการแสดงโขน ตอน หนุมานจับนางสุวรรณมัจฉา) ผู้ชมคงจะรู้แล้วว่า ทำไมหลวงปู่หลวงพ่อบางท่านถึงสร้างเครื่องรางหนุมาน ? ก็เพราะว่าหนุมานทำงานอะไรก็สำเร็จ ใครฆ่าก็ไม่ตาย ประสบความสำเร็จในชีวิต ขนาดเป็นเจ้าเมือง ไปทำงานก็มักจะได้เมียทุกที่ อาตมาเคยสงสัยอยู่ว่า การข้ามดีเอ็นเอระหว่างลิงกับปลานี่ลูกออกมาจะเป็นอะไร แต่ท้ายสุดท่านก็เฉลยว่าออกมาเป็นมัจฉานุ
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เนื้อยาจินดามณีที่ได้ไป ให้ทุกท่านเอาไปผึ่งลมดมกลิ่นไปเรื่อย ๆ ก่อน น่าจะสักเดือนสองเดือนก็คงจะแห้งสนิท ถ้าแห้งสนิทเนื้อยาจะแกร่งเหมือนหิน ประเภทกลายเป็นพระธาตุอะไรประมาณนั้น แต่ถ้าไม่แห้งสนิทน่าจะกินง่ายกว่า
เอาไว้ถ้าหากว่ามีโอกาส อาตมาค่อยทำรุ่นต่อไปเป็นเม็ดยา จะได้ใช้สะดวก ตัวอย่างคนที่กินยาจินดามณีเข้าไป ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ หม่อมกอบแก้ว อาภากร เพราะว่าคุณยายเธอได้ฉายาว่าสาวสองพันปี ขนาดอายุ ๘๐ กว่าแล้ว ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงมาก
ญาติโยมหลายท่านได้ยินแต่คำว่ายันต์เกราะเพชร แต่ไม่ทราบว่าคืออะไร ยันต์เกราะเพชรคือบารมีของพระพุทธเจ้า ที่เมตตาสงเคราะห์ให้กับพวกเราทั้งหลาย ซึ่งมีความเคารพในพระรัตนตรัย ยันต์เกราะเพชรเป็นตำราพระร่วง สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงสุโขทัยนั้น ในตำราพระร่วงมีตำรายันต์พิชัยสงคราม ไปรบที่ไหนก็ชนะที่นั่น
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย สามารถแผ่กฤษฏานุภาพลงไปจรดช่องแคบมะละกา ก็แปลว่าประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน สมัยก่อนอยู่ใต้การปกครองของสุโขทัยทั้งหมด นี่คืออานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม คราวนี้ธงมหาพิชัยสงครามนั้น ตรงคอธงเป็นบทพุทธคุณ คืออิติปิ โสฯ ไปจนถึง ภะคะวาติ
ตำราพระร่วงดึงเอาบทพุทธคุณที่ธงมหาพิชัยสงครามออกมา เขียนเป็น ๘ แถว แต่ ๗ บรรทัด รวมแล้ว ๕๖ คำ ชักสูตรออกมาเป็นยันต์เกราะเพชร เมื่อตำรานี้สืบทอดลงมาจนถึงสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านก็ได้รับคำสั่งจากพระ ให้เป่ายันต์เกราะเพชรเพื่อสงเคราะห์แก่ญาติโยมทั้งหลาย
ถ้าถามว่ายันต์เกราะเพชรมีอานุภาพอย่างไร ? ในตำราท่านบอกว่า คนรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วจะไม่ตายโหง ถ้าไม่ใช่หมดอายุขัยจริง ๆ อย่างไรก็รอด ต่อให้โดน ๑๘ ล้อเหยียบเหลือครึ่งตัวก็รอด..! สมัยนี้บ้านเราไม่มี ๑๘ ล้อแล้ว เขาบังคับต่ำสุด ๒๒ ล้อไปแล้ว อาตมาเป็นคนรุ่นเก่า ตั้งแต่ ๖ ล้อแล้วก็มา ๘ ล้อ ๑๐ ล้อ ขยับพรวดไป ๑๘ ล้อนึกว่าจะหมดแล้ว ปัจจุบันนี้รถลาก รถพ่วง มี ๒๒ ล้อ ไม่ใช่ให้หวยเหมือนเดิม...!
ในเรื่องของการรับยันต์เกราะเพชร เมื่อรับไปแล้วป้องกันการตายโดยผิดปกติ ที่โบราณเรียกว่าตายโหง ตัวอย่างชัด ๆ ก็โยมแม่ของอาตมาเอง รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว โดนราชรถ ๑๐ ล้อมาเกย ต้องบอกว่า ท่านสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้เยอะ อยู่ห่างจากถนน ๒๐ เมตร มีรถตะบึงมา ปรากฏว่าฝั่งซ้าย บขส. ที่ไปสุพรรณบุรีจอด ฝั่งขวา บขส. ที่ไปนครปฐมจอด เพราะว่าตรงนั้นเป็นท่ารถพอดี
รถไม่มีทางไปก็หักลงข้างถนน โยมแม่อาตมาอยู่ข้างถนนเกือบ ๒๐ เมตร อยู่ ๆ ก็มีราชรถมาเกย กระดูกด้านขวาตั้งแต่กราม ไหล่ลงมาจนกระทั่งถึงปลายเท้าหักหมดทุกท่อนเลย นอนอยู่ห้องไอซียู ๑๘ วัน อาตมาไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อวัดท่าซุง กราบเรียนว่าแม่โดนรถชน นอนห้องไอซียูมา ๑๘ วันแล้ว คาดว่าจะไม่รอด ขอถวายสังฆทานให้แม่ล่วงหน้า
หลวงพ่อถามว่า "แม่แกรับยันต์ไปหรือเปล่า ?" อาตมาเรียนตอบว่ารับไปหลายครั้งแล้วครับ ท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ก็ปรากฏว่ารอดจริง ๆ แต่รักษาตัวอยู่ ๓ ปี กว่าที่จะแข็งแรงเหมือนเดิม
อีกรายหนึ่งเป็นดาราที่ดังมากในสมัยนั้น คือ จารุณี สุขสวัสดิ์ สมัยนั้นหนังเรื่องไหนที่ไม่มีจารุณีเล่นนี่เจ๊งแน่นอน แต่ถ้าเรื่องไหนที่จารุณีเล่นรับประกันว่ารายรับเกินล้านขึ้นไป
จารุณีเล่นหนังเรื่องลูกสาวกำนัน มีอยู่ตอนหนึ่งที่ขับเรือด่วนไล่ผู้ร้าย ฝ่ายผู้ร้ายเอาน้ำมันเทลงในแม่น้ำ แล้วก็จุดไฟสกัดไว้ จารุณีเป็นผู้หญิงใจกล้า ขับเรือเองโดยไม่ใช้ตัวแทน พุ่งฝ่าเปลวไฟไป แต่ปรากฏว่าไฟลุกสูง มีทั้งเปลว มีทั้งควัน มองทางไม่เห็น จึงชนตอม่อสะพานไปเต็ม ๆ แค่หลังหักเท่านั้น รักษาตัวอยู่ไม่นานก็หายเป็นปกติ แต่ตอนนี้คุณยายเธอจะปวดหลังอยู่ตลอด
เหตุที่จารุณีไม่เป็นอะไรเพราะว่าไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง ไปแบบน่าสงสารที่สุด มีเพื่อนรวมทั้งตัวเธอไปกัน ๓ คน ไม่มีใครแลดาราเลย ปกติไปที่อื่นมีแต่แย่งกันขอถ่ายรูป แย่งกันขอลายเซ็น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ยิ่งกว่าตาทอมทุเรียนเสียอีก ...(ฮา)...
เป็นอันว่าบุคคลที่รับยันต์เกราะเพชรไป ถึงประสบอุบัติเหตุหนักหนาแค่ไหน รับประกันซ่อมฟรีว่าไม่ตายแน่นอน ยกเว้นท่านที่หมดอายุขัยจริง ๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหมดอายุ ? ก็รักษาแล้วไม่รอดนั่นแหละ...ง่ายจะตายไป
ข้อที่สองจะไม่ตายด้วยสัตว์มีพิษ หมายความว่า ถ้าโดนงูพิษกัด โดนสัตว์มีพิษกัด ยันต์เกราะเพชรมีอำนาจคุ้มได้ ถามว่าเจ็บไหม ? เจ็บแน่นอน เพราะว่าอาตมาโดนมาเองแล้ว แต่ไม่ตาย...ขอยืนยัน เพราะอาตมาซน ชอบจับงูเล่น โดนงูกะปะกัดเข้าที่ชีพจรข้อมือพอดี ภาษาโบราณเขาบอกว่าปวดเห็นดาวเห็นเดือนเลย
เสียดายที่เมื่อวานนี้หมาวัดรุมฟัดงูจงอางตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะยืมมาปล่อยในศาลาหลังจากเป่ายันต์แล้วเพื่อทดสอบ...!
ปกติแล้วงูกับหมานี่ ถ้าเดี่ยว ๆ แล้วยังไม่รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป แต่นี่หมาทั้งฝูง งูก็เลยไม่รอด โดนกัดตายไปแล้ว อาตมาเคยจับเล่นอยู่ ตัวไม่ใหญ่มากเท่าไรหรอก ประมาณขวดโค้กใหญ่ ชูหัวขึ้นมาทีหนึ่งก็เกือบ ๆ หน้าผากอาตมาพอดี
ส่วนข้อสุดท้าย อาจารย์ไสยศาสตร์จะเกลียดมากเป็นพิเศษ ก็คือยันต์เกราะเพชรสะท้อนคืนไสยศาสตร์ทุกประเภท ใครทำเราจะให้เป็นแบบไหน ตัวเองจะเป็นแบบนั้น อาตมาก็ไม่เคยกลั่นแกล้ง แต่ว่าโยมเดือดร้อนเอง เพราะว่าทะลึ่งทำมา ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
เครื่องมือในการรับยันต์เกราะเพชรนั้น ต้องมีธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๑ เล่ม เป็นเครื่องบูชาพระ ถ้าหากว่ามีลูกอยู่ในท้อง ให้เตรียมเพื่อลูกอีก ๑ ชุด ธูปเทียนนี้เมื่อรับยันต์แล้ว ให้เก็บกลับบ้าน ปกติแล้วจะมีอานุภาพคล้ายกับมีดหมอ ก็คือถ้ามีผีเจ้าเข้าสิงที่ไหน สามารถใช้ไล่ผีแทนมีดหมอได้ แต่อาตมานอกครูอยู่เสมอ ใช้วิธีว่า ถ้าจะบอกกล่าวอะไรพระหรือเทวดาท่าน ก็จุดธูปเทียนชุดนี้ ในเมื่อผ่านพิธีที่ท่านสงเคราะห์มาแล้ว เท่ากับมีไลน์สายตรง ในเมื่อแอดไลน์กันได้ ต้องการจะคุยอะไรก็แจ้งท่านไปเลย
ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเห็นใครวางทิ้งนี้รีบคว้าหมับเลยนะ เพราะว่ารู้สึกว่าบนกันเก่งเหลือเกิน บนไปบนมาไม่ได้ดั่งใจก็ใส่ไม้เอก กลายเป็น "บ่น" ต่อไป
การรับยันต์เกราะเพชรของเรา เมื่อเริ่มพิธีแล้วให้พนมมือ หลับตา ตั้งใจนึกขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ กำหนดลมหายใจเข้าออกของเราเหมือนกับตอนภาวนา หรือว่าเจริญกรรมฐาน ถึงเวลาพระท่านจะสงเคราะห์ให้เอง เพราะฉะนั้น...การเป่ายันต์เกราะเพชรจึงไม่ใช่เป่าใส่หัวทีละคน แต่เป็นการเป่าทีละศาลา จะกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้
ใครที่มีจิตศรัทธา เคารพในคุณพระรัตนตรัย จะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถรับยันต์เกราะเพชรได้ ถึงเวลาพระท่านสงเคราะห์ถึงทั้งหมด อาตมาเองเป่ายันต์มาหลายครั้งตามที่พระท่านสั่ง ญาติโยมหลายรายที่อยู่ต่างจังหวัดไกล ๆ รับแล้วมีอาการเหมือนกับตอนมารับที่วัด ทำให้มั่นใจว่าสามารถรับยันต์เกราะเพชรนอกสถานที่ได้จริง ๆ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกว่า ครั้งต่อไปขอมาวัดดีกว่า ประมาณว่าจะได้มั่นใจยิ่งขึ้น
เมื่อรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้าท่านตั้งใจจะรักษาเอาไว้ให้ได้ ต้องรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ ข้อที่หนึ่งก็คือ ห้ามลักขโมย ห้ามหยิบฉวยสิ่งของเจ้าของไม่ได้ให้ อย่าได้ประพฤติเป็นอันขาด
ข้อที่สอง ห้ามดื่มสุราเมรัย พูดง่าย ๆ ก็คือเหล้ายาทุกประเภทอย่าไปแตะต้อง แม้แต่ที่ผสมอาหารมาก็ต้องเลี่ยง เพราะว่ายันต์เกราะเพชรกลัวแอลกอฮอล์ เข้าไปเมื่อไรยันต์หายทันที ท่านที่มีความรู้สึกไว ๆ ก็ร้อนวาบไปทั้งตัว บางรายบอกว่าระเบิดออกสะเทือนไปทั้งตัวเลย
ถ้าหากว่ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว จะพิสูจน์อย่างไรว่าเรารับยันต์ได้ ? ในช่วงที่ท่านภาวนาพุทโธ เพื่อตั้งใจรับยันต์นั้น จะมีอาการเกิดขึ้นกับร่างกาย อย่างเช่น ร้อนหัว ร้อนตัว ร้อนหน้า หนักหัว หนักไหล่ บางคนก็ขนลุกทั้งตัว บางคนก็โยกไปโยกมา ถ้าหากว่าอยากจะพิสูจน์ ให้พาสาว ๆ ที่ท้องเป็นครั้งแรกมาด้วย ถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ลูกคนแรกเป็นผู้ชาย จะมียันต์ติดตัวออกมาให้เห็น
ตั้งแต่อาตมาจัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรมา มีหลายรายแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ดู ลายเป็นตุ๊กแกเลยก็มี แต่ว่าไม่ต้องกลัว เพราะว่าภายใน ๗ วันยันต์ก็จะซึมเข้าไปอยู่ที่กระดูกเอง ผิวหนังจะเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ถ้าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ใหญ่ที่รับยันต์เกราะเพชรไป จะพิสูจน์ได้อีกทีก็ตอนตายแล้วเผา ยันต์จะติดอยู่ที่กระดูก ไม่ว่าจะยุคสมัยของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อวัดท่าซุงที่จัดเป่ายันต์มา ลูกศิษย์ของท่านที่ตายแล้วเผา มียันต์ติดอยู่กระดูกเสมอ แต่ต้องรักษายันต์ได้ ถ้ารักษาไม่อยู่ก็ไม่มีให้เห็น
การเป่ายันต์เกราะเพชรที่สืบทอดมานั้น รุ่นของอาตมาได้รับการครอบครูมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นที่น่าเสียดายว่าในยุคนั้น ทางวัดให้ความเคารพหลวงพ่อมากจนเกินเหตุ แต่เป็นการเคารพในทางที่ผิด ก็คือหลวงพ่อท่านสั่งให้ทุกคนภาวนา อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง รักษาภาพพระให้แจ่มใสไว้เสมอ แล้วถึงวันเป่ายันต์เกราะเพชรให้จัดขันครู เพื่อที่จะได้รับการครอบครูในการเป่ายันต์
ปรากฏว่าก่อนงานเป่ายันต์ไม่กี่วัน มีการประชุมคณะกรรมการสงฆ์ แล้วสรุปออกมาว่า การเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อวัดท่าซุงเท่านั้น พวกเราไม่ควรที่จะวัดรอยเท้าเป็นอันขาด คณะกรรมการสงฆ์จึงมีคำสั่งว่า ห้ามครอบครูเพื่อรับการเป่ายันต์เกราะเพชร
อาตมานั้นถือว่าสิ่งที่หลวงพ่อสั่งเราต้องทำด้วยชีวิต คณะกรรมการสงฆ์สั่งห้าม ไม่ใช่หลวงพ่อสั่งห้าม จึงไปขอให้โยมศุภาพร อดีตภรรยาของหลวงตาวัชรชัยช่วยจัดขันครูให้ด้วย โดยไปกัน ๒ รูป คืออาตมากับท่านชาติชาย ตอนนั้นอาตมาได้ ๗ พรรษา ท่านชาติชายได้ ๒ พรรษา
โยมศุภาพรเห็นแล้วก็ถอนหายใจเฮือก...! บอกว่า "หลวงพี่...สองคนรวมกันยังไม่ได้ ๑๐ พรรษาเลย จะงัดเขาไหวหรือ ?" ก็บอกกับโยมไปว่า "โยมก็รู้นิสัยอาตมา ว่าอะไรที่หลวงพ่อสั่ง ต่อให้ตายก็ต้องทำ ในเมื่อเขาไม่ทำ โยมทำขันครูมาก็แล้วกัน อาตมารับผิดชอบตัวเอง ถ้าโดนไล่ออกจากวัดก็ยอม" โยมศุภาพรจึงตัดสินใจว่า "ถ้าอย่างนั้นโยมจะทำขันครูเผื่อพระผู้ใหญ่ที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อในศาลา ๑๒ ไร่ด้วย ถ้าโดนจะได้โดนด้วยกัน" โยมก็ใช้ได้เหมือนกันนะ
ปรากฏว่าโยมทำขันครูไปทั้งหมด ๙ ใบด้วยกัน อาตมากับท่านชาติชาย ๒ อีก ๗ ท่านนั้น ตอนนี้ทั้งสึก ทั้งออกจากวัดไปเยอะแล้ว แทบจะไม่เหลือติดวัดแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นอาตมากับท่านชาติชายก็โดนสอบสวน ข้อหาฝืนคำสั่งคณะกรรมการสงฆ์ แต่อาตมาแก้ตกทุกประตู เพราะว่าสิ่งที่หลวงพ่อสั่งเราต้องทำ คุณไม่กล้าทำก็ถอยไปห่าง ๆ ผมจะทำเอง..!
บุคคลที่ได้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชร มีทั้งลาสิกขาไปและอยู่นอกวัด ก็คือ
๑.ท่านชาติชาย ลาสิกขาไปแล้ว
๒.ท่านอาจารย์พระสมุห์บัญชา สุขปญฺโญ ท่านเป็นพระอนุสาวนาจารย์ของอาตมาเอง ลาสิกขาไปแล้ว
๓. ท่านปลัดอภิชัย สุธมฺมธมฺโม หรือท่านน้อย ลาสิกขาไปแล้ว
๔. ตัวอาตมาเอง อยู่ที่นี่ ที่วัดท่าขนุนแห่งนี้
๕. หลวงตาวัชรชัย อยู่ที่วัดเขาวง จ.สระบุรี
๖. ท่านอาจารย์พระปลัดวิรัช โอภาโส อยู่ที่วัดธรรมยาน จ.เพชรบูรณ์
แปลว่าเหลืออยู่ในวัดแค่สาม...ใช่ไหม ? เอาเถอะ ใครอยู่ในวัดก็เดาเอาเองแล้วกัน
การครอบครูเพื่อรับการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น คำสั่งที่เด็ดขาดของหลวงพ่อ ก็คือ
๑. อย่าใช้กำลังของตัวเองเป็นอันขาด ถ้าไม่ใช่พระท่านสงเคราะห์ เราใช้กำลังสมาธิ สมาบัติของตัวเอง จะได้ผลไม่เกิน ๒ เปอร์เซนต์ ก็แปลว่า ถ้าอยากทำเอง ๑๐๐ บาท ก็ได้แค่ ๒ บาท
๒. อย่าเดินสายเป่ายันต์เป็นอันขาด ให้ทำเฉพาะที่วัดซึ่งตนอยู่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นคงจะมีประเภทรับจ้างเป่ายันต์
๓. สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่พระท่านบอก ท่านสั่ง ให้ทำตามนั้น ก็หมายความว่าต้องทรงสมาธิจิต ติดต่อกับพระท่านได้ ท่านบอกให้วางกำลังใจอย่างไร ภาวนาคาถาอะไรให้ทำตามนั้น
ท่านบอกว่า ถ้าฝืนข้อใดข้อหนึ่งจะเป่าไม่ติด ก็คือการเป่ายันต์นั้นไม่มีผล
ในบรรดาท่านที่ครอบครูมาทั้งหมด อาตมาได้รับคำสั่งให้เป่ายันต์ก่อนเพื่อน สำหรับท่านอื่นยังไม่มีคำสั่งหรือว่าท่านรับคำสั่งไม่ได้ก็ไม่ทราบ
ในส่วนของการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ท่านให้ทำเพื่อการสงเคราะห์ ถ้าหากว่าทำเอารวย พระท่านไม่สงเคราะห์เหมือนกัน เราจะเห็นว่ามีกฎกติกามากมายที่ต้องยึดถือ ทั้งตัวโยมที่รับไปต้องรักษาศีล อย่างน้อย ๒ ข้อ ทั้งพระที่ทำก็มีกฏ มีกติกาข้อห้ามอยู่ อาตมาเองอยากจะผ่องถ่ายวิชาการอยู่เหมือนกัน เมื่อไรท่านจะสั่งให้ครอบครู มีลูกศิษย์ได้เสียทีก็ไม่รู้ ?
หลวงพ่อท่านครอบครูให้พวกอาตมา ตอนท่านอายุ ๗๗ ปี อาตมาเองจะอายุถึง ๗๗ ปีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ? เพราะหลังจากครอบครูให้ไม่กี่เดือน หลวงพ่อท่านก็มรณภาพ ถ้าหากอาตมาไม่ฝืนคำสั่งคณะกรรมการสงฆ์ ดื้อไปครอบครูไว้ วิชานี้ก็สูญ เพราะว่าสายนอกที่ทำมาเห็นออกนอกลู่นอกทางไปมาก
หลายท่านสามารถเป่ายันต์ได้ทุกวัน บางท่านเคยไปวัด คุ้นกันแท้ ๆ เจอหน้ากันทีไรก็ยังไล่เตะตูดกันเหมือนเดิม แต่เป่ายันต์ทั้งเสาร์และอาทิตย์ ท่านบอกว่าคนมาเยอะดี นอกครูไปได้เหมือนกัน ?
(ก่อนเป่ายันต์รอบบ่าย) สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง เนื่องจากว่าเป็นช่วงเวลาฝึกฝนปฏิบัติของตัวเอง เพราะฉะนั้น...เรื่องของการก่อสร้าง บูรณปฏิสังขรณ์ทุกอย่างจะไม่ยุ่งเกี่ยวเลย พอถึงเวลาทำหน้าที่ประจำเสร็จก็เข้าที่ภาวนา ไม่มีเวลา คำว่า "ไม่มีเวลา" ก็คือ ว่างตอนไหนทำตอนนั้น จะกลางวันกลางคืนก็ไม่ว่า
ในเมื่อไม่มีเวลาก็เลยกลายเป็นปฏิบัติแล้วได้เยอะหน่อย เพราะไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน บางทีก็เดินจงกรมยันสว่าง ส่วนใหญ่แล้วก็ไปหลบอยู่ใต้สวนไผ่ เดินจงกรมจนทางเป็นร่อง
ออกจากวัดมาปีแรกต้องไปสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ปีที่สองสร้างสำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ ปีที่สามสร้างวัดห้วยสมจิตร ปีที่สี่ก็เริ่มสร้างวัดหนองบัว กลับจากวัดหนองบัวมาแล้วก็มาทำวัดพุทธบริษัท แล้วก็ไปช่วยวัดท่ามะขามไปครึ่งวัด มาทำวัดทองผาภูมิไปครึ่งวัด หลังจากนั้นก็คิดว่าพอกันที ซ่อมสร้างไปหลายวัดเต็มทีแล้ว
จากคนที่ไม่เคยแตะต้องงานก่อสร้างเลย ตอนนี้ไม่ว่าพื้นที่กว้างยาวเท่าไร ใช้วัสดุอะไร สามารถบอกได้หมด เสร็จจากวัดทองผาภูมิ ก็ตั้งใจบูรณะเกาะพระฤๅษีให้ดี กะว่าจะอยู่ที่นั่นแหละ ปรากฏว่าทำเสร็จได้ ๒ วัน วัดท่าขนุนขาดเจ้าอาวาส จึงต้องมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
จากการที่ไม่คิดว่าจะก่อสร้างก็ต้องมาทำ ทำจนกระทั่งญาติโยมหลายคนบ่นว่าสร้างแล้วไม่อยู่ อาตมามีหน้าที่สร้างให้เขา ไม่ได้สร้างไว้อยู่ แม้กระทั่งวัดท่าขนุนก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ โยมถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ? ก็บอกว่า วัดที่ดีที่สุดในความรู้สึกของอาตมาคือ วัดท่าซุง ถ้าวัดท่าซุงอาตมายังทิ้งได้ ไม่มีวัดไหนที่ทิ้งไม่ได้หรอก บางคนจะเห็นว่าทำวัดนี้ไปกี่สิบล้าน ทำวัดนี้ไปกี่ร้อยล้าน ไม่มีความหมายสำหรับอาตมา...ถ้าจะไปก็ไป..!
ซ่อมโบสถ์ไป ๓ หลัง สร้างไป ๒ หลัง ซ่อมนี่ยากกว่า เพราะว่ายิ่งรื้อก็ยิ่งเจอว่าเสียหายตรงไหน เพราะฉะนั้น...สร้างใหม่จะง่ายกว่ามาก
พระเจดีย์ก็สร้างไปหลายองค์ ล่าสุดก็เพิ่งให้ทุนท่านอาจารย์คำพูล หรือพระครูวุฒิกาญจนวัตร รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ ไปสร้างพระเจดีย์ในทุ่งใหญ่นเรศวร ไว้เป็นที่เคารพสักการะของบรรดากะเหรี่ยงอีก ๑ หลัง อาตมาเป็นนายทุน โอนเงินไปให้ท่านดำเนินการ ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องรีบทำไว้ก่อน
ตอนนี้ฌาปนสถานหรือเมรุของวัดท่าขนุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรือนไทยประยุกต์ ถ้าเสร็จก็จะซ่อมตึกเตชะไพบูลย์กับตึกประจวบดี ๒ ตึก หลังจากนั้นงานข้างในก็คงไม่มี อาตมาจะไปทำทางขึ้นรอยพระพุทธบาท
ตอนนี้สภาพร่างกายของอาตมา แข็งแรงเพียงพอที่จะรบกับญาติโยมเป็นวัน ๆ ถ้ามีเรี่ยวมีแรงแบบนั้น ก็จะไปขึ้นรอยพระพุทธบาทเสียที เพราะว่ารอยพระพุทธบาทนั้น ตั้งแต่สมัยอาตมายังอยู่วัดท่าซุงขึ้นไปกราบ ต้องหาทางตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นไป จนกระทั่งเห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจริง ๆ แต่ที่ทึ่งกว่านั้นก็คือมีรอยเท้าเท่ากับรอยคนธรรมดาทั่วไป เหยียบอยู่บนหิน ๑ รอย ลักษณะของการเหยียบ ลึกและชัดเจนมาก ลึกเป็นนิ้วเลย ลึกและชัดเจน สงสัยว่าจะเป็นหลวงปู่สาย ถึงเวลาก็สกัดรอยเท้าของอาตมาให้ลึกพอ ๆ กัน เรียกวัดรอยครูบาอาจารย์
งานใหญ่อยู่บนหัวอาตมา คือ พิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง จะแบ่งเป็นห้อง ๆ ห้องแรกเป็นห้องความรู้ทางพระพุทธศาสนา ห้องที่สองเป็นห้อง หลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสที่นี่ ห้องที่สามจะเป็นวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลัง ซึ่งอาตมาค่อนข้างมั่นในว่า ตัวเองสะสมไว้ไม่น้อยหน้าใครในโลก
แล้วก็อยากจะเอาพวกสินค้าโอท็อป ฝีมือระดับประเทศ อวดเขาได้ไม่อายใครมาให้เด็ก ๆ แถวนี้ได้ดูบ้าง โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นเครื่องเงิน เครื่องทอง อาตมาทยอยซื้อเก็บ ๆ เอาไว้หลายล้านเต็มทีแล้ว บางอย่างเช่น เข็มขัด ถักลายด้วยเส้นลวดทองคำ เส้นหนึ่งก็เป็นล้านแล้ว
มณฑปประดิษฐานพระทองคำ ราคา ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท องค์พระไม่ต้องคิด องค์พระเนื้อเงินนั่นใช้โลหะเงินไป ๑๕๐ กิโลกรัมเศษ ๆ ราคาก็ประมาณ ๓ ล้านกว่า ๆ เนื้อนากยังไม่รู้ เพราะว่าต้องผสมทองคำ ๓๐% ส่วนเนื้อทองคำ รู้แน่ ๆ ว่าต้องใช้ทองคำ ๑๔๐ กิโลกรัม ตอนนี้ญาติโยมกราบหลวงพ่อเงินให้ชื่นใจไปก่อน อาตมาสร้างไว้เรียกเงิน เพราะว่าตัวเองใช้เงินเก่ง ปีที่แล้วใช้เกินบัญชีไป ๘๐ กว่าล้าน ปีนี้ยังไม่รู้ว่าจะใช้เกินไปเท่าไร เป็นคนใช้เงินเกินแล้วไม่เป็นหนี้ นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์
เมื่อครู่นี้เพื่อนพระเพิ่งจะทักว่า อาจารย์เล็กไม่ได้อยู่มุมเศรษฐีนี่ ทำไมรวยนัก ? กุฏิที่ทำงานของอาตมาอยู่มุมมหาทุคตะ มหาทุคตะ แปลว่าลำบากยากจนสุด ๆ อาตมาเป็นคนจนมาก ปีหนึ่งใช้เงินเป็นร้อยล้าน..!
ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป อาตมาจะรวยขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่างานก่อสร้างมีน้อยลง แต่ท่านผู้รู้บอกว่าถ้าหลวงพ่อเงินมา อาตมาจะรวยขึ้นเรื่อย ๆ พอดี จึงสอดคล้องกับเหตุการณ์จริง ๆ โดยอัตโนมัติ เพราะถ้าโดยปกติปีหนึ่งใช้ ๑๐๐ กว่าล้าน งานก่อสร้างเบาลงเหลือจ่ายสัก ๕๐ ล้าน ก็เก็บได้ตั้งครึ่งหนึ่ง
อาตมาจะพยายามตั้งกองทุนเอาไว้ให้เจ้าอาวาสรูปถัดไป ท่านจะไม่ต้องช็อกตาย เพราะถ้าไม่มีกองทุนไว้บริหารวัด วัดใหญ่ ๆ จะลำบากมาก แบบเดียวกับวัดพระธรรมกาย วัดพระธรรมกายถ้าไม่มีกองทุนนี่อยู่ไม่ได้เลย เพราะว่าวัดใหญ่ พระภิกษุ สามเณรเยอะมาก แค่ช่วยกันกินก็หน้ามืดแล้ว
วัดของอาตมามีพระอยู่ ๓๐ กว่ารูป ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ถ้าทุกคนเปิดพัดลมพร้อมกัน ค่าไฟเดือนหนึ่งตกหมื่นกว่าบาท อาตมาก็แปลกใจเหมือนกันว่าที่นี่เป็นอะไรกัน หน้าหนาวก็เปิดพัดลม หน้าร้อนก็เปิดพัดลม หน้าหนาวเอาผ้านวมตีโปง คลุมหัวยันเท้าแล้วก็เปิดพัดลม แล้วจะเปิดทำไม ? ส่วนหน้าร้อนนี่เปิดพัดลมยังพอจะเข้าใจ แต่อาตมานี่โดนพัดลมตรง ๆ ไม่ได้ โดนแล้วไข้จับ อยู่ห้องปรับอากาศยิ่งอยู่ไม่ได้ อยู่แล้วจะคัน เพราะว่าผิวแห้ง
อย่าใช้แรงงานเด็กบ่อย โยมเดินมาทำบุญเองก็ได้...ไม่ต้องอาย ญาติโยมไปใช้แรงงานเด็ก ให้เด็กเดินมาอยู่เรื่อย ถามว่ารู้ได้อย่างไร ? ถ้าอาตมาบอกว่าจำหน้าได้ทุกคนนี่จะเชื่อไหม ? นี่ยังดีนะว่าแค่จำหน้าได้ทุกคน อาตมาสอนมหาวิทยาลัยอยู่ ๓ แห่ง จำลายมือลูกศิษย์ได้ทุกคน ลูกศิษย์ร้องเอ็ดตะโรไปตาม ๆ กัน
"ทำไมพระอาจารย์ผมได้คะแนนแค่นี้เอง ?" "ก็เพื่อนเขียนให้มึง..!"
"พระอาจารย์จำลายมือได้หรือครับ ?" "ได้"
บรรดาพระสังฆาธิการเจ้าคณะปกครอง ท่านสงสัยว่าอาตมาทำไมไม่เก็บเบอร์โทรศัพท์ บอกว่า "เก็บไม่เป็นครับ"
"เก็บไม่เป็นแล้วเวลาโทรหาเขาล่ะ ?" "ก็กดเอาเลย"
"เป็นร้อย ๆ เบอร์จำได้หรือ ?" "จำได้ครับ"
แต่ขอโทษ...ถ้าใครเปลี่ยนเบอร์เป็นครั้งที่สองนี่อาตมาจะเลิกจำเลย เพราะว่าสร้างความสับสนให้กับชีวิต
วัตถุมงคลที่เข้าพิธีในวันนี้ของทางวัดมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เนื้อยาจินดามณี ๖,๐๐๐ องค์ กำไลนวหรคุณเนื้อทองคำ ๑ วง เนื้อเงิน ๓,๐๐๐ วง
ถามว่าเนื้อทองคำมาจากไหน ? โรงงานเขาแสนรู้ อาตมาให้ทองคำไปสร้างอย่างอื่น ดันทะลึ่งปั๊มเนื้อทองคำมาให้ดูวงหนึ่ง ก็เลยบอกว่าทำมาแล้วไม่จ่ายเงินหรอก ปกติเนื้อทองคำคิดค่าปั๊มวงละ ๑,๒๐๐ บาท ฉะนั้น...ถ้าท่านทั้งหลายไปเห็นกำไลที่มีสีทอง มีสีนาก โปรดทราบว่าเขาไปชุบกันมาเอง เนื้อทองคำจริง ๆ มีวงเดียว อาตมากำลังคิดดูว่าจะให้ใครดี หรือว่าเอาไปลงประมูลคิดเป็นราคาทองคำ ?
แล้ววัตถุมงคลอีกส่วนหนึ่ง อาตมาลงทุนไปหลายล้านบาท ยังไม่สามารถที่จะออกได้ เป็นเหรียญรัชกาลที่ ๕ หลังตราพระเกี้ยวของ มจร. เพราะว่าอาตมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานการจัดหาทุนสร้างวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ก็ไม่มากไม่มาย อาคารหลังแรกราคาแค่ ๓๘ ล้านบาท..!
แต่ว่าหนังสือขออนุญาตสร้างรูปเหรียญรัชกาลที่ ๕ ส่งไปตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ จนถึงในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ยังไม่ได้รับตอบกลับมาเลย เพราะว่าช่วงนั้นในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็ทรงพระประชวร พอมาถึงในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ก็มายุ่ง ๆ กับการจัดงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ
อาตมาลงทุนไปหลายล้านก็เลยจมอยู่ในนั้น ถามว่ามากแค่ไหน ? เฉพาะเหรียญทองคำเหรียญหนึ่งเกือบ ๒ บาทก็ ๓๐๐ เหรียญเข้าไปแล้ว เหรียญเงินอีก ๓,๐๐๐ เหรียญ เหรียญทองแดงนอก ๑๐,๐๐๐ เหรียญ เหรียญตะกั่ว ๑๐,๐๐๐ เหรียญ ก็ไม่มากไม่มาย เงินจมอยู่ในนั้นเป็นสิบล้านเท่านั้นเอง..! เพราะว่าตราบใดที่หนังสืออนุญาตจากสำนักพระราชวังยังไม่มา ก็ไม่สามารถที่จะออกให้บูชาได้
แต่ดีตรงที่ว่าได้นำมาเข้าพิธีไปเรื่อย ๆ เป็นเหรียญรัชกาลที่ ๕ ที่สวยที่สุดในโลก สวยกว่าเหรียญโมเน่ต์อีก เพราะว่าคนออกแบบก็คือท่านอาจารย์ปัทม์ บุณยรังค ที่เป็นคนปั้นรูปนารายณ์กวนเกษียรสมุทรในสนามบินสุวรรณภูมิ
(ประกาศหาเจ้าของรถ) โปรดระมัดระวังว่าการไปขวางทางบุญคนอื่น ถึงเวลาชีวิตมีแต่อุปสรรคก็ไม่ต้องสงสัยหรอก เป็นเพราะเราทำไว้เอง ฉะนั้น...การจะจอดรถ การจะนั่ง โปรดระมัดระวังด้วยว่าอย่าเผลอไปขวางใครเข้า จะเป็นการสร้างกรรมโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะในส่วนของบุคคลที่ใจของเขาอยู่กับบุญกับกุศล ถ้าหากว่าเราไปขวางเอาไว้โทษใหญ่ก็จะเกิดกับเราเอง
ญาติโยมต้องรออีก ๒ ปี ปีหน้าอาตมาจะสร้างหลวงพ่อนาก ปีถัดไปก็สร้างหลวงพ่อทองคำ พอประดิษฐานครบแล้ว บรรดาพระองค์อื่นมีอยู่แล้วอาตมาจะยกองค์แทนลง แล้วเอาองค์จริงขึ้นไปตั้ง หลังจากนั้นแล้วค่อยมาถ่ายรูปกัน
แต่ว่าตรงนี้ครั้งต่อไปไม่รู้ว่าจะใช้งานได้หรือเปล่า เพราะว่าจะมีรั้ว ลักษณะแบบตรงโน้น แต่ว่าน่าจะใช้ได้นะ เพราะอาตมานั่งอยู่ด้านบนแล้วโยมก็เขย่งข้ามรั้วมาทำบุญ ถ้าผู้ใหญ่ก็พอดี ถ้าเด็ก ๆ ก็ต้องเขย่งเอาหน่อย อยากสูงก็ต้องเขย่ง อยากเก่งก็ต้องขยัน
เมื่อเช้าตอนพุทธาภิเษกกำลังของพระท่านกดลงมาแรงมาก อาตมาแทบจะกระดิกไม่ได้เลย กราบเรียนถามว่าทำไมต้องหนักขนาดนี้ด้วย ? พระท่านบอกว่าภาวะสงครามจะลามไปทั่วโลกแล้ว โดยเฉพาะการก่อการร้าย จึงต้องกัน ๆ เอาไว้หน่อย
เรื่องของภาวะสงครามตามที่ท่านกล่าวถึง ส่วนใหญ่แล้วเป็นสงครามแบบก่อการร้าย เรื่องที่จะประเภทแบกปืน ขับรถถังไปไล่ยิงกันไม่ค่อยมีแล้ว ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีก่อการร้าย ฆ่าตายทีละ ๑๐ คน ๒๐ คน จนกระทั่งในที่สุดอดรนทนไม่ไหว ก็จะใส่กันหนัก ๆ ถึงเวลาหนักเต็มที่ตามที่ท่านบอกก็คือมีนิวเคลียร์ด้วย
เอาเถอะ...ถึงเวลานิวเคลียร์มาเราก็นอนเฉย ๆ ไม่ต้องไปวิ่งหรอก ถึงอย่างไรก็ตาย จะไปวิ่งให้เหนื่อยทำไม...! ฉะนั้น...พวกเราก็พกกำไลเอาไว้รับภาวะสงคราม เตรียมพระยาจินดามณีไว้กินแก้พิษกัมมันตภาพรังสี น่าจะเข้าท่านะ ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากหน่อย เพราะว่าจะมีรอดแค่ ๖,๐๐๐ คน เพราะว่าพระเนื้อยาจินดามณีมีแค่ ๖,๐๐๐ องค์ ถ้าใครบูชาไปทีเดียว ๑๐ องค์ก็เหลือแค่ ๕,๙๙๐ องค์..!
พระครูสุภกิจชยาภรณ์ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดหนองมะคัง เป็นเจ้าคณะตำบล และเป็นอาจารย์ มจร.วิทยาลัยสงฆ์พระพุทธชินราช ท่านชอบเครื่องรางของขลังเหมือนอาตมานี่แหละ ประเภทสายตาร้ายกาจกว่าอาตมาอีก
อาตมาเหลือบเห็นที่ท่านถือก็บอกว่าเป็นตะกรุดหลวงพ่อทบ วัดชนแดน สรุปว่าท่านถวายมาเลย เนื้อสามกษัตริย์ด้วย พระครูสุภกิจฯ ท่านยอดฝีมือจริง ๆ เลย อาตมายังมีแค่ ๒ กษัตริย์เอง
ตะกรุดหลวงพ่อทบ วัดชนแดน ลองยิงได้ทุกดอก เพราะว่าเวลาหลวงพ่อทบท่านจารเสร็จ ท่านจะให้ลูกศิษย์เอาไปยิงก่อน ท่านบอกว่าถ้ายิงออกถือว่าใช้ไม่ได้ พอยิงไม่ออกค่อยเอามาท่านเสกซ้ำ แล้วจึงเอาไปใช้ อาจารย์แบบนี้นี่รักจริง ๆ เลย
หลวงพ่อทบท่านรักลูกศิษย์มาก โดยเฉพาะบรรดาทหาร ตำรวจ ในช่วงสงครามเขาค้อ หินร่องกล้า ทหาร ตำรวจไปเฝ้าวัดทั้งกลางวันกลางคืน เพื่อรอท่านทำตะกรุดให้ หลวงพ่อทบต้องจารตะกรุดกลางแสงเทียน แสงก็ไม่ค่อยจะพอ จารทั้งวันทั้งคืน ท้ายสุดสายตาท่านก็เสีย ต้องบอกว่าท่านรักลูกศิษย์มากกว่ารักตัวเอง
วาระสุดท้ายของชีวิต หลวงพ่อท่านอยู่ในโลกมืด ก็คือสายตาเสียไปเลย ญาติโยมลองนึกดูว่าทหาร ตำรวจออกรบ ไม่ใช่แค่พันสองพันนะ แล้วทั่วประเทศแห่ไปนี่มากเท่าไร หลวงพ่อท่านต้องจารตะกรุดให้เขาทีละดอก ๆ
ตะกรุดของท่านก็ประเภทท้ารบได้ทั่วประเทศด้วย ถึงเวลาจารเสร็จเอาไปยิงดูก่อน ถ้ายิงออกไม่ต้องเอาไป ถ้ายิงไม่ออกค่อยเอามาเสกซ้ำให้
อาตมายังไม่ได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อวัดท่าซุงให้ทำทางด้านมหาอุตม์ เพราะท่านบอกว่าลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็คล้าย ๆ กับอาจารย์ นิสัยล้น ๆ ถ้าไปทำประเภทยิงไม่ออกให้เดี๋ยวก็ไปรังแกชาวบ้านเขา
อาตมาแอบทำไปรุ่นหนึ่งก็คือพระขุนแผนเนื้อตะกั่ว ตอนที่ลงไปทอดผ้าป่าทางปักษ์ใต้ กลัวลูกศิษย์จะไปโดนลูกปืนผู้ก่อการร้าย ก็เลยแอบจารไปให้รุ่นหนึ่ง ต้องบอกว่าสองรุ่นก็ได้ ก็คือจารมือรุ่นหนึ่งแล้วก็ตอกตรารุ่นหนึ่ง พระอาจารย์ไม่ให้ทำ อาตมาก็ไม่ขออนุญาต แอบ ๆ ทำเอา
(ก่อนการเป่ายันต์รอบสอง) เรื่องของยันต์เกราะเพชรก็คือบารมีพระพุทธเจ้า เป็นตำราที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยพระร่วง หลวงปู่ปานท่านได้ตำราพระร่วงมา สิ่งที่ท่านทำได้ชัดเจนที่สุดก็คือยันต์เกราะเพชร ท่านทำทั้งผ้ายันต์ ทั้งตะกรุด อาตมามีตะกรุดยันต์เกราะเพชรหลวงปู่ปานอยู่ ๗ - ๘ ดอก เดี๋ยวว่าจะเอาออกในเว็บบ้าง ถึงเวลาแย่งบูชาให้ทันแล้วกัน
อีกส่วนหนึ่งก็คือการสร้างพระ ๖ กษัตริย์ ก็คือ การสร้างพระขี่สัตว์พาหนะ ๖ อย่าง มีหนุมาน ครุฑ ไก่ เม่น ปลา เป็นต้น ก่อนหลวงปู่ปานจะมรณภาพ ท่านอาจารย์แจง ชาวสวรรคโลกที่เป็นเพื่อนกัน บวชมาด้วยกัน แล้วสึกไปมีครอบครัว แต่ก็ยังเป็นฆราวาสทรงอภิญญาอยู่ ท่านอาจารย์แจงมายืมตำราพระร่วงไปใช้งาน
เมื่อสิ้นหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจำได้ว่ามีตำรานี้อยู่ ก็ไปขอคืน ปรากฏว่าท่านอาจารย์แจงก็ตายไปอีกคนหนึ่ง เหลืออยู่แต่ภรรยา เมียท่านอาจารย์แจงบอกว่าพ่อ ก็คือท่านอาจารย์แจงนั่นแหละ สั่งเอาไว้ว่า ถ้าใครมาขอตำราคืน ให้ไปรำดาบที่นอกชาน ถ้าหากว่ามีเสียงฟ้าร้องก็ให้ตำราไปได้
พอหลวงพ่อท่านได้ยินกติกาแบบนั้น ท่านก็มาคิดว่าเราเป็นพระ แค่จับอาวุธก็โดนอาบัติแล้ว ยังจะไปให้รำดาบอีกก็น่าเกลียด ก็เลยบอกกับเมียท่านอาจารย์แจงว่า เอาอย่างนี้ อาตมาขอถือดาบไปยืนที่นอกชานเฉย ๆ เป็นเวลาสัก ๑๕ นาที ถ้าหากว่าไม่มีฟ้าร้องก็ไม่เป็นไร อาตมาก็จะไม่เอาตำรานี้ แต่ถ้าครูบาอาจารย์เห็นสมควรจะให้ตำรานี้ ก็ขอให้เกิดฟ้าร้องภายใน ๑๕ นาที
หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านแค่ถือดาบเดินเพิ่งจะพ้นนอกชาน ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงจนหูอื้อไปตาม ๆ กัน ภรรยาของท่านอาจารย์แจงจึงมอบตำราพระร่วงให้มา ท่านถึงได้ทราบว่าวิชายันต์เกราะเพชรนั้น จริง ๆ มาจากธงมหาพิชัยสงครามในสมัยกรุงสุโขทัย ท่านบอกว่าอานุภาพของธงมหาพิชัยสงครามนั้น ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งกองทัพ ต่อให้ไม่มีอะไรเลย ถือแค่ด้ามธงเข้าไปในป่าก็ไม่อดตาย
ในส่วนของธงมหาพิชัยสงครามนั้น ตรงคอธงเป็นอักขระ ๕๖ ตัว ถอดความออกมาก็คือบทสรรเสริญพุทธคุณ
เมื่อเอาอักขระที่คอธงมาเขียนแบ่งออกเป็น ๘ วรรค ๗ แถว รวมทั้งหมด ๕๖ อักขระ ชักสูตรออกมาจึงสำเร็จเป็นยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่าอานุภาพของยันต์เกราะเพชรนั้น ผู้ที่รับไปอันดับแรกจะไม่ตายโหง หมายความว่าถ้าไม่ได้หมดอายุขัยจะไม่ตายด้วยอาการผิดปกติ พวกนี้อนุญาตให้ตายแค่หมดอายุเท่านั้น ประเภทรถชนตาย ฟ้าผ่าตาย ควายขวิดตาย มดกัดตาย นี่ห้ามเด็ดขาด..!
ประการที่สองก็คือ จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ ถ้าท่านไม่เชื่อเดี๋ยวเข้าพิธีเสร็จแล้วไปหางูมากัดตัวเอง ถ้าหากว่าตาย อาตมายินดีเผาให้ฟรี เพราะว่าวัดท่าขนุนมีเมรุปลอดมลพิษอยู่แล้ว...!
อันดับต่อไป จะไม่ตายด้วยอำนาจของไสยศาสตร์ สำหรับเรื่องของไสยศาสตร์นั้น เท่าที่อาตมาผจญมา อยากจะบอกว่าไสยศาสตร์ที่น่ากลัวที่สุดคือไสยศาสตร์กะเหรี่ยง แต่ไสยศาสตร์กะเหรี่ยงกลับไม่มีชื่อเสียงเลย เพราะว่ากะเหรี่ยงทำไสยศาสตร์ใส่ใครก็ตายทุกราย มีอยู่แค่ไม่กี่รายที่นอกเหตุเหนือผลแบบอาตมาแล้วรอดมาได้
แต่ว่าไสยศาสตร์กะเหรี่ยงนั้นเขามีข้อจำกัดว่า ถ้าไม่ใช่โดนเขากลั่นแกล้งรังแกจนน้ำตาตกถึง ๓ วาระ ห้ามไปทำอันตรายเขา แต่ที่อาตมาโดนนั่น เพราะว่าหมอผีอยากลองของ
ไสยศาสตร์เขมรไม่น่ากลัวแต่อุบาทว์ เพราะไสยศาสตร์เขมรเป็นไสยดำ นิยมใช้ของต่ำ หรือไม่ก็สร้างพวกผี พวกอสุรกายขึ้นมา
ไสยศาสตร์อิสลามอ่อนที่สุด ถามว่าอ่อนแบบไหน ? แค่อาตมาเดินผ่านก็สลายหมดแล้ว ไร้ประโยชน์สิ้นดี หรือว่าอิสลามคนนั้นไม่เก่งก็ไม่รู้ แต่ก็น่าจะเก่งนะ เพราะว่าแกเป็นกำนัน แถวโน้นถ้าไม่เก่งก็ไม่ได้เป็นกำนันหรอก แล้วที่ขำที่สุดก็คือน่าจะโดนเด้งกลับ เพราะว่าแกนอนปวดท้องดิ้นพราด ๆ ไป ๒ วัน
ดังนั้น...ถ้าใครรับยันต์เกราะเพชรไป จะไม่เป็นอันตรายด้วยไสยศาสตร์ อาจจะมีเจ็บบ้างแต่ไม่ตายแน่นอน เพราะว่าไสยศาสตร์เหมือนกับกองไฟ ยันต์เกราะเพชรเหมือนกับผนังกั้น ถ้ากองไฟใหญ่มาก ถึงแม้จะกั้นไม่ให้เปลวไฟทำอันตรายเราได้ แต่ความร้อนก็มีมาถึงบ้าง
ประการสุดท้ายนั้นหมอไสยศาสตร์กลัวที่สุด คือ ยันต์เกราะเพชรจะสะท้อนกลับไสยศาสตร์ทุกรูปแบบ อาตมานี่ชอบใจจริง ๆ ไม่ต้องไปทำอะไรเขาเลย อยู่เฉย ๆ เขาก็ทำตัวเขาเอง เขาต้องการทำอันตรายเราหนักแค่ไหน เขาจะโดนกลับไปหนักแค่นั้น แต่ต้องหมายความว่าญาติโยมต้องรักษายันต์เกราะเพชรเอาไว้ได้ก่อนนะ
การรักษายันต์เกราะเพชรเอาไว้นั้น ท่านให้รักษาศีล ๒ ข้อ ข้อที่ ๑ ก็คือห้ามลักขโมย ซึ่งเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ข้อที่ ๒ ห้ามกินเหล้าเมายา ซึ่งเป็นการเบียดเบียนตัวเอง
ข้อที่ ๒ นี้ ท่านให้อภัยอยู่ว่า ถ้าเป็นยาที่ต้องผสมแอลกอฮอล์ตามสูตรยาดองโบราณ ให้กินได้ตามหมอสั่ง แต่อย่าไปตกลงกับหมอนะ ว่าขอกินวันละครึ่งขวดเป็นอย่างน้อย ต้องกินตามหมอสั่งเท่านั้น
ส่วนใหญ่ยาดองต้องกินก่อนอาหารสักครึ่งชั่วโมง ท่านบอกว่าช่วยเจริญอาหารและรักษาโรค ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ? เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาอาตมาก็ไม่เคยกินยาดอง ถ้านอกเหนือจากนี้แล้ว ไม่ว่าจะผสมมาในอาหาร ผสมมาในขนม โปรดระวัง ลงท้องไปเมื่อไรยันต์เกราะเพชรจะสลายตัวทันที
เมื่อได้รับยันต์เกราะเพชรมา เมื่อท่านจะรักษาเอาไว้ ทางที่ดีที่สุดก็คือให้ภาวนาไว้ทุกวัน นึกถึงภาพยันต์เกราะเพชรหรือว่าภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วภาวนาพุทโธจนใจสบายดีแล้ว ให้กลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ยันต์เกราะเพชรจะคุ้มกันอันตรายเราได้ทั้งวัน
ถ้าไม่แน่ใจ ก่อนนอนก็ปลุกอีกสักรอบหนึ่ง จะได้คุ้มกันได้ทั้งกลางวันและกลางคืน อาตมาไปนอนที่ไหนไม่ว่าจะในป่าในถ้ำอะไร ไม่เคยจะเกรงกลัวอันตราย เพราะมั่นใจในอานุภาพของยันต์เกราะเพชรว่าป้องกันให้ได้ โดยเฉพาะในดงไสยศาสตร์ต่าง ๆ อาตมาลุยมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
หมอผีหลายรายชอบลองของกับพระธุดงค์มาก ท้ายสุดบางทีโดนไปแล้วแก้ไขไม่ตก ก็มาให้พระนี่แหละช่วยถอนของให้ อาตมาไปเจอที่บ้านตีนตก ตัวเองเป็นหมอผีแต่เมียไปโดนคนอื่นเขาทำไสยศาสตร์มา แก้ไม่ตก ก็มาขอร้องให้อาตมาช่วย
หลังจากนั้นอีก ๓-๔ ปี ไปเจอกันที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง พอเขาเห็นเป็นพระธุดงค์ก็เดินแถเข้ามาเชียว ตั้งใจมาลองของ อาตมาตวาดแว้ดเดียวว่า "จำพ่อมึงไม่ได้หรือ ?" เขาค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า "อาจารย์เองหรือครับ ?" "เออ...กูเองแหละ อยากโดนอีกใช่ไหม ?" เจ้าพวกนี้ช่างน่าส่งเสริมจริง ๆ...!
เรื่องของหมอผีต่าง ๆ นั้น หมู่บ้านกะเหรี่ยงทุกหมู่บ้านจะมีหมอผีอยู่ เขามีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามนิตินัยคือโดยกฎหมาย แต่โดยพฤตินัยแล้ว การปกครองขึ้นอยู่ที่หมอผีจะสั่งว่าให้ทำอะไร
หมอผีกะเหรี่ยงจะมีผ้าเคียนหัว แล้วก็ผูกผมเป็นจุกเล็ก ๆ อยู่ตรงนี้ สังเกตให้ดี...คนไหนที่มีผ้าเคียนหัวแล้วผูกผมมากระจุกหนึ่ง หมอผีทั้งนั้นแหละ อาตมาเคยไปงานชุมนุมหมอผีมา ๓ ครั้งแล้ว โดนรุมยำสนุกสนานมาก จนทุกวันนี้เขายังสงสัยว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเก่งจริงหรือว่าโง่กันแน่ ? ทำอะไรเท่าไรก็ไม่เป็นอันตราย แต่ก็ไม่ทำอันตรายใคร เจอหน้าหมอผีคนไหนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายอยู่เหมือนเดิม ก็เลยสงสัยว่าท่านโง่หรือโชคดีกันแน่
จำไว้ว่าของพวกนี้เราอย่าไปตอบโต้ใคร เพราะถ้าเขาทำอันตรายเราไม่ได้ เขาจะไปหาคนที่เก่งกว่ามาเรื่อย ๆ อาตมาเคยโดน ๓๐ รุม ๑ มาแล้ว พวกเขาสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำ ส่วนอาตมาต้องกินต้องนอน เผลอเมื่อไรก็เสร็จ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็โปรดระมัดระวังไว้ด้วย ไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปตอบโต้ใคร ทำไม่รู้ไม่ชี้ไว้ เขาคิดว่าเราตายไปแล้วก็จบกัน
ฉะนั้น...ในส่วนของยันต์เกราะเพชรที่รับไปนั้น ส่วนที่บรรดาหมอไสยศาสตร์กลัวที่สุดก็คือการสะท้อนกลับ
มีญาติโยมถามว่า ระหว่างการรับยันต์เกราะเพชรที่เป่าเข้าไปในตัวกับผ้ายันต์เกราะเพชร อย่างไหนจะดีกว่ากัน ? อาตมาขอบอกว่ามีจุดเด่นจุดด้อยด้วยกันทั้งคู่
การรับยันต์ติดตัวไปไหนเราไม่ลืมแน่ แต่ถ้าเผลอละเมิดข้อห้ามยันต์ก็จะสูญไปเลย แต่การพกผ้ายันต์ติดตัวนั้นเราอาจจะลืมได้ แต่ถ้าละเมิดข้อห้ามก็แค่เลิกคุ้มครองชั่วคราว ถ้าเรารักษาศีลบริสุทธิ์เมื่อไรก็คุ้มครองได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเอาทั้ง ๒ อย่างไปเลยก็ได้ ก็คือรับยันต์ไปด้วย พกผ้ายันต์ติดตัวไปด้วย แต่ผ้ายันต์เกราะเพชรของอาตมา ไม่ทราบว่าพระท่านทำท่าไหน เห็นว่าเขาไปใช้ในด้านค้าขายก็ดีอีกด้วย อาตมาก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน
การที่ท่านรับยันต์ไปจะรู้ได้อย่างไรว่ายันต์เกราะเพชรเข้าตัวเราแล้ว ? ท่านบอกว่าระยะที่เรานั่งภาวนาอยู่ ถ้ารู้สึกว่าร้อนหู ร้อนหน้า ร้อนตัว หนักหัว หนักไหล่ บางคนก็รู้สึกคันยุบยิบไปตามตัวเหมือนมีอะไรไต่อะไรตอม บางคนก็ขนลุกเป็นหนามเลย ถ้าลักษณะอย่างนั้นแปลว่ายันต์กำลังเข้าตัวแล้ว
ส่วนที่ท่านอยากจะพิสูจน์ ให้ไปหาสาว ๆ ที่ท้องครั้งแรกมารับยันต์ด้วย ถ้าหากว่าลูกคลอดออกมาเป็นผู้ชาย จะมียันต์ติดตัวมาให้เห็น อาตมาเจอมาหลายรายแล้ว บางรายนี่ลายทั้งตัวเป็นตุ๊กแกเลย แต่ว่าไม่ต้องกลัว เพราะว่าภายใน ๗ วันก็จะซึมเข้าไปในกระดูกจนหมด
เพราะฉะนั้น...ใครที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้าลูกเกิดมาตัวลาย ๆ ก็ไม่ต้องกังวล มีอยู่รายหนึ่งทำคลอดแบบโบราณ มีหมอตำแยด้วย ลูกเกิดมาตัวลายพร้อยเลย แม่ก็ตกใจ ถามว่าลูกจะเป็นอะไรไหม ? หมอตำแยบอกไม่ต้องห่วงอีหนู เดี๋ยวแม่จัดการเอง ว่าแล้วก็อมเหล้า พ่นพรวดเดียวหายเรียบ โถ...คุณยาย ร้ายกาจเหลือเกิน รู้ด้วยว่ายันต์เกราะเพชรต้องแก้ด้วยเหล้า...! แต่ขอยืนยันว่ายันต์ไม่ได้หายไปไหน แต่หนีเหล้าเข้าไปอยู่ในกระดูกแล้ว
ถ้าหากว่าเป็นลูกผู้หญิงหรือว่าเป็นผู้ใหญ่ที่รับยันต์เกราะเพชรไป จะไปพิสูจน์ได้อีกทีตอนตายแล้วเผา มาเผาที่วัดท่าขนุนก็ได้ มีเมรุปลอดมลพิษอยู่ ๒ ชั่วโมงก็เก็บกระดูกได้แล้ว ก่อนเก็บกระดูกก็หยิบชิ้นโต ๆ มาถ่ายรูปไว้ จะมียันต์ติดที่กระดูก
ในเมื่อเรารับยันต์เกราะเพชรไป ถ้าหากว่าภาวนาอยู่ทุกวัน ก็จะมีอานุภาพดังที่กล่าวมาคือ ถ้าไม่ได้หมดอายุขัยจริง ๆ ก็จะไม่ตายโหง จะไม่ตายด้วยพิษของสัตว์มีพิษ จะไม่ตายด้วยอำนาจของไสยศาสตร์ และจะสะท้อนกลับไสยศาสตร์ทั้งหมดที่เขาทำมา เรื่องพวกนี้อาตมาพิสูจน์ทราบมานับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งมั่นใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
สมัยประมาณปี ๒๕๒๕-๒๕๒๖ อาตมาปลดอาวุธก็คือวัตถุมงคลในตัวหมดเกลี้ยงเลย เพราะมั่นในใจตัวเอง เนื่องจากว่ากำหนดจิตดูเมื่อไรก็เห็นยันต์เกราะเพชรสว่างไสวอยู่ในอก ลุยได้ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ มาตอนหลังหลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าแกประมาทเกินไป ถ้าวันไหนแกลืมอาราธนา วันนั้นจะซวย
อาตมาก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ลืม แต่ท่านบอกว่าถ้าวาระกรรมมาถึงก็จะลืม จึงต้องเปลี่ยนมาพกพระของหลวงพ่อแทน พกไปพกมาก็พกเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดพกเป็นลัง..! ก็หลวงพ่ออยากทำให้ผมหมดความมั่นใจนี่ครับ
ดังนั้น...ถ้าญาติโยมทั้งหลายรับเอายันต์เกราะเพชรหรือวัตถุมงคลไป อย่าลืมว่าให้ภาวนาเอาไว้ทุกวัน ถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เนื้อยาจินดามณี มีคำอาราธนาอยู่ในเว็บวัดท่าขนุนไปดูเอา ตั้งแต่รักษาโรค ใช้พระคาถา
พุทธะระตะนัง ธัมมะระตะนัง สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง สัพพะทุกขัง สัพพะโรคัง วินาสเสติ อะเสสะโต ว่าไปจนจบ หรือไม่ก็อาราธนาติดตัวเพื่อเป็นที่เมตตามหานิยม เป็นที่รักใคร่ของคนอื่น ว่าอย่างไรก็ภาวนาไป คาถาไม่ยาวเท่าไร พอที่จะจำกันได้
ถ้าเป็นกำไรนวหรคุณก็คือ หัวใจอิติปิ โสฯ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ
อะ ก็คืออะระหัง
สัง คือสัมมาสัมพุทโธ
แต่ทำไมไม่ออกเสียงอะสัม เพราะว่าภาษาบาลีจะลง อัง จึงเป็น สัง ก่อน พอ สัง+ม ถึงจะเป็นสัม แล้วก็ใช้รากศัพท์เดิมก็เลยเป็น สัง
วิ คือ วิชชาจะระณะสัมปันโน
สุ คือ สุคะโต
โล คือ โลกะวิทู
อะ คือ อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
สะ คือ สัตถาเทวะมะนุสสานัง
พุ คือ พุทโธ
ภะ คือ ภะคะวาติ
อย่างที่ท่านบอกว่า ทำเอาไว้ให้เผื่อภาวะสงคราม ที่กำลังจะลามไปทั่วโลกด้วย ก็แปลว่าถ้ามีอันตราย ไม่ว่าจะจากศึกจากสงคราม หรือเขาจะยิงจะแทงกันที่ไหน ถ้าเรานึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย ก็จะปกปักรักษาตัวเรา ให้อยู่รอดปลอดภัยได้
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26408&stc=1&d=1492431007 http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=26409&stc=1&d=1492431007
เรื่องของวัตถุมงคลนั้นเหมือนกับเป็นเครื่องส่ง ถ้าเครื่องส่งนั้นส่งคลื่นเป็นปกติ แต่เครื่องรับไม่ยอมเปิดรับก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะกำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน ความศรัทธาไม่เท่ากัน ในเมื่อความศรัทธาไม่เท่ากัน อานุภาพที่เราได้รับก็ไม่เท่ากัน เพราะว่าการเปิดใจรับของเรามากน้อยต่างกันไป
ฉะนั้น...จะเห็นว่าคนโบราณนั้นความรู้น้อยแต่ศรัทธามาก ส่วนใหญ่รับวัตถุมงคลไปใช้ก็มักจะเป็นมหาอุตม์ อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาด คนรุ่นใหม่ใช้แล้วมีผลน้อย เหตุที่มีน้อย เพราะว่าศรัทธาของเราน้อยยังไม่พอ วิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยยังมีมากอีกด้วย
มีวิธีเดียว ก็คือ ภาวนาให้กำลังใจของเรามั่นคงจนกระทั่งเห็นว่า
คุณพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเราจริง ๆ
คุณพระรัตนตรัย กำจัดทุกข์ กำจัดภัยได้จริง
คุณพระรัตนตรัย นำเราพ้นจากทางชั่ว ล่วงพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้จริง ๆ
เมื่อถึงตอนนั้นศรัทธาจะเกิดแน่นแฟ้น ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ จะไม่ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถ้าหากว่าเป็นลักษณะอย่างนั้น ศรัทธาของเราจะเต็ม เท่ากับกำลังใจของเราเปิดรับเต็มที่ วัตถุมงคลที่เป็นเครื่องส่งก็ส่งเต็มที่ เครื่องรับก็รับเต็มที่ อานุภาพต้องการระดับไหนก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานบวงสรวงไหว้ครูประจำปีและเป่ายันต์เกราะเพชร
วันเสาร์ที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.