PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐


เถรี
05-03-2017, 22:05
ถาม : ในทางจีนเขาเคารพกราบไหว้บูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยเพื่อบูชาดวงชะตา องค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยเป็นตำแหน่งของท่านหรือว่าเป็นนามของท่านครับ ? แล้วในส่วนของคนไทยพุทธมีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นตำแหน่งของทางมหายาน ของไทยเราเรียกว่า เทวดานพเคราะห์ ต้องบอกว่าโหราศาสตร์เก่ง สามารถตั้งเทวดาได้

เขากำหนดว่าเทวดาท่านนี้ มีความสามารถแบบนี้ พอคนกราบไหว้บูชานึกถึงกลายเป็นเทวตานุสติ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่ส่วนหนึ่ง ก็เดือดร้อนพระอินทร์หรือท้าวจตุโลกบาลต้องหาเทวดาที่มีความสามารถคล้าย ๆ กับที่เขาบอกมารับตำแหน่ง ต้องบอกว่าคนเก่งมากที่สามารถตั้งเทวดาได้

ถ้าเปรียบไปแล้วไท้ส่วยเอี๊ยกับของเราน่าจะเป็นพระกาล เพราะเป็นผู้รู้เวลา โดยเฉพาะเวลาตายของคนและสัตว์

เถรี
05-03-2017, 22:08
ถาม : ช่วงหลังออกพรรษาผมสึกแล้วกลับบ้านยาย ยายผมอายุ ๙๐ กว่า ๆ แล้วครับ ดูแลตัวเองไม่ได้แล้วครับ ผมสงสารเลยอธิษฐานให้พระยายมราชใช้บริวารมารับไป พอคืนวันถัดมาท่านเสียชีวิตไปเลยครับ แบบนี้ท่านตายเพราะอายุขัย หรือว่าเป็นเพราะผมอธิษฐานครับ ?
ตอบ : คนตายเพราะ ๑.หมดบุญ ๒.หมดกรรม ๓.หมดอาหาร ๔.หมดอายุ ไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งก็ตายเหมือนกัน ถ้าอธิษฐานแล้วตายได้ อาตมาอธิษฐานให้ตัวเองตายไปนานแล้ว

เถรี
05-03-2017, 22:08
ถาม : ขอความเมตตาหลวงพ่อบอกลักษณะของต้นกัลปพฤกษ์ตามพระไตรปิฎกโดยละเอียดครับ
ตอบ : พระไตรปิฎกไม่มีต้นกัลปพฤกษ์

เถรี
05-03-2017, 22:11
ถาม : ผมสงสัยว่าถ้ามีคนหนึ่งมีเงิน ๑ แสนบาทแล้วเขาต้องการอานิสงส์จากการถวายทานให้มากที่สุด เขาเลยถวายสังฆทานเป็นเงิน ๑ แสนบาทครั้งเดียว กับการถวายสังฆทาน ๑ พันบาททุก ๆ เดือนจนครบ ๑ แสนบาท อยากทราบว่าทำแบบไหนได้อานิสงส์มากกว่าครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจตัวเอง ถ้ากำลังใจเด็ดขาดถวายทีเดียวจบ ก็เป็นอันว่าได้อานิสงส์เต็มที่ไปเลย ถ้ากำลังใจไม่เด็ดขาด อยากถวายทีละเล็กทีละน้อย ก็ได้อานิสงส์ตรงที่ว่าเราได้ระลึกถึงทานบารมีบ่อย ๆ แต่ถ้าตายเสียก่อนก็ถวายได้ไม่ครบหรอก

เถรี
05-03-2017, 22:14
ถาม : ประเทศในแถบยุโรปมีสวัสดิการดีมาก เช่น การรักษาสุขภาพฟรี ไปโรงเรียนฟรี แต่ในทางตรงข้ามต้องจ่ายภาษีสูงมาก ๆ ผมเลยอยากทราบว่าการที่ประชากรเขาจ่ายภาษีสูง ๆ เพื่อสวัสดิการที่ดีตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการทำทานคล้าย ๆ สังฆทานใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นการกระทำที่ถูกกฎหมายบังคับ ถ้าไม่บังคับก็คงไม่มีใครเสียสละไปทำหรอก ดังนั้น...อานิสงส์ของทานจึงไม่มี

เถรี
05-03-2017, 22:16
ถาม : เนื่องจากหาอ่านประวัติเทพทันใจหรือนัตโบโบยีของพม่า พบว่ามีการเขียนไว้หลายตำนานและแต่ละเรื่องก็กล่าวไว้ไม่ตรงกัน จึงขอเรียนสอบถามพระอาจารย์ว่า เทพทันใจหรือนัตโบโบยีของพม่าคือเทพองค์ใด เข้าใจว่าเป็นท่านปู่พระอินทร์ ถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ถูกครับ

เถรี
05-03-2017, 22:18
ถาม : คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ปรากฏว่ามีความคิดเรื่องลาพุทธภูมิปรากฏขึ้นมาแทบจะทุกสถานการณ์ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการจะคิด เมื่อคิดขึ้นมาแล้วก็ไม่สบายใจ วันหนึ่งไหว้พระพุทธรูปอยู่ปรากฏว่าเกิดความคิดเหล่านี้ขึ้นมาตามปกติ แต่ระลึกได้ว่าอานาปานสติยับยั้งอารมณ์ฟุ้งซ่านได้จึงภาวนา ปรากฏว่าสมาธิไม่พอหรือประการใดไม่ทราบ อยู่ ๆ ก็คิดในใจขึ้นมาว่าขอลาพุทธภูมิ โดยขณะที่คิดไม่ได้รู้สึกผิดเหมือนไม่ใช่ตัวเรา พอคิดเรียบร้อยถึงกลับมาไม่สบายใจตามปกติอยากทราบว่าพุทธภูมิหายไปหรือไม่ ถ้าหายจะมีวิธีการใดบ้างที่จะทำให้ความปรารถนาพุทธภูมิไม่หายไปอีก ?
ตอบ : เอาอย่างนี้...พอถึงเวลาตั้งใจจะคิดอย่างนั้นก็ปล่อยให้คิดไป พอรู้ตัวเมื่อไรก็อธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิใหม่ อยากเป็นก็ไปเกิดเสียให้เข็ด..!

เถรี
05-03-2017, 22:28
ถาม : หากสวดพระคาถาเงินล้านเช้ามืดวันจันทร์ที่ฟ้ายังมืดอยู่ ไปครบ ๑๐๘ จบ ตอนแสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า จะถือว่าสวดพระคาถาเงินล้านวันจันทร์ครบ ๑๐๘ จบหรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : เรื่องเวลาอย่าไปกำหนดตายตัวมาก ถ้าเคร่งครัดมากเดี๋ยวประสาทจะกิน เอาเป็นว่าถ้าวันนั้นเราตั้งใจว่าจะทำให้ครบ ๑๐๘ จบ จะครบเวลาไหนก็ไม่เป็นไร

เถรี
05-03-2017, 22:33
ถาม : หนูภาวนาโดยนึกถึงภาพพระควบกับลมหายใจและคาถาเงินล้าน ภาวนาไปภาวนามาลืมคาถาไปตอนไหนก็ไม่ทราบค่ะ เหลือแต่ภาพพระกับลมหายใจ ตอนนั้นเหมือนกับแบ่งความรู้สึกเป็นสองฝั่งค่ะ แล้วหนูก็รู้สึกว่าถ้าเอียงไปฝั่งภาพพระมากกว่าจะทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาทันที แต่ถ้าเอียงไปฝั่งลมหายใจมากกว่าจะรู้สึกเฉย ๆ หนูลังเล ๆ ว่าอย่างไรดี เลยทุ่มไปด้านลมหายใจเพราะไม่อยากร้องไห้ หลังจากนั้นพอถึงอารมณ์ที่น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาเมื่อไร ก็จะตัดเข้าลมหายใจเองทันที ทำให้หลุดจากอารมณ์ที่กำลังจะปีติไป เป็นอย่างนี้หลายรอบเลยค่ะ ไม่ทราบว่าหนูวางอารมณ์ผิดหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ผิด เสียเวลาไปร้องไห้อยู่ก็ภาวนาไม่ได้

เถรี
05-03-2017, 22:35
ถาม : ผมเคยฟังเทปหลวงพ่อวัดท่าซุง เเล้วจิตน้อมเป็นสมาธิเอง รู้สึกตั้งมั่น ทรงตัว หลังจากออกสมาธิเเล้วพบว่าร่างกายสั่น มองเห็นภาพสั่นไปหมด เป็นอาการของสมาธิขั้นใดครับ ?
ตอบ : การสั่นส่วนใหญ่อยู่แค่ปีติ แต่ให้ระมัดระวังไว้อย่างหนึ่งว่า อาการสั่นที่เกิดจากการรวมตัวของสมาธิ ที่จะหลุดออกไปเป็นลักษณะของมโนมยิทธิเต็มกำลัง เรื่องพวกนี้ต้องพิจารณาด้วยตัวเองจึงจะรู้ว่าเป็นการสั่นแบบไหน

เถรี
05-03-2017, 22:39
ถาม : พรหมวิหาร ๔ ควรทำให้ครบไปตามลำดับ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือควรจะทำตัวใดตัวหนึ่งให้สุดไปก่อนครับ ?
ตอบ : ควรจะทำตัวใดตัวหนึ่งให้สุดไปก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนกองใหม่ เพราะว่าพรหมวิหารทั้งสี่กองมีอาการปฏิบัติต่างกันไป เหมือนกับเป็นกรรมฐานคนละกองเลย เพียงแต่ว่าท่านจับมารวมกันไว้เท่านั้น

ถาม : อุเบกขาตัวนี้ต่างจากวิปัสสนาอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุเบกขาในพรหมวิหารทั่วไปเกิดจากการปล่อยวางได้เพราะมีกำลังสมาธิมาช่วยกดกิเลสไว้ แต่อุเบกขาในวิปัสสนาญาณหรืออุเบกขาในสังขารุเปกขาญาณ เป็นการปล่อยวางได้เพราะมีปัญญาเห็นจริง เพราะฉะนั้น...อุเบกขาในพรหมวิหารสี่ต้องใช้กำลังกดไว้ ส่วนอุเบกขาในวิปัสสนาญาณเป็นการปล่อยวาง ไม่ต้องแบกรับอะไรแล้ว เบาสบายกว่ากันจนประมาณไม่ได้

เถรี
06-03-2017, 19:01
ถาม : การออกรถใหม่ใช้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์กี่ดาวก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : กี่ดาวก็ได้ แต่ปกติแล้วอาตมาไม่เคยใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำว่า การออกรถออกเรือเพื่อทำมาหากิน ให้ออกวันพฤหัสบดีแล้วไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ หรือออกวันอาทิตย์แล้วไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดี

ถาม : เป็นรถมอเตอร์ไซค์จะบูชาผ้ายันต์เกราะเพชรหรือผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามเหน็บติดรถไว้เป็นการสมควรไหมครับ ?
ตอบ : แปะหน้ารถไปก็ได้

ถาม : กรณีบ้านทางสามแพร่งสามารถบูชาผ้ายันต์เกราะเพชร หรือผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามติดไว้หันไปทางหน้าบ้าน แทนกระจกเสือคาบดาบยันต์แปดทิศตามคติจีนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ซื้อกระจกมาแผ่นหนึ่ง เอายันต์เกราะเพชรปิดกระจก แล้วก็ติดหันไปทางหน้าบ้าน ได้ทีเดียวสองอย่าง

เถรี
06-03-2017, 19:03
ถาม : อยากรบกวนพระอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติ เพื่อให้ได้ชื่อว่าอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศค่ะ ?
ตอบ : ปฏิบัติให้ได้ฌาน ๔ แล้วต่อให้ได้สมาบัติ ๘

เถรี
06-03-2017, 19:04
ถาม : ดิฉันและสามีได้ไหว้วานให้แม่สามีมาช่วยเลี้ยงหลาน แต่ก็มีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นระยะ ดิฉันคิดจะฝากลูกให้เนอสเซอรี่เลี้ยง เพราะกลัวบาปกรรมที่ให้แม่เลี้ยงลูกให้ แต่แม่สามีก็ไม่ยอม จึงอยากขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ว่า ระหว่างให้แม่มาเลี้ยงลูกให้แล้วยังทำให้แม่ทุกข์ใจ เพราะทะเลาะกับแม่เป็นประจำ กับตัดปัญหาส่งลูกให้เนอสเซอรี่เลี้ยงแล้วแม่ไม่พอใจทีเดียว อย่างไหนบาปน้อยกว่ากันคะ ?
ตอบ : ถ้ากังวลก็บาปทั้งคู่เพราะว่าใจของเราเศร้าหมอง ให้เลือกเอาว่าจะผ่าตัดให้หายขาดหรือจะกินยารักษาอาการไปเรื่อย ๆ

เถรี
06-03-2017, 19:09
ถาม : ยาจินดามณีมีสรรพคุณรักษาโรคใดได้บ้างครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่รักษาโรคที่หมดความสามารถของหมอแล้ว ถ้าบุญยังส่งอยู่ก็แปลว่าสามารถที่จะรักษาได้ ถ้าหมดบุญแล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อจัดการไป

ถาม : หากนำพระพุทธเจ้าห้าพระองค์เนื้อยาจินดามณีมาใช้รักษาอาการเจ็บป่วย สามารถตัดแบ่งรับประทานโดยตรงหรือบดรวมกับยาผงชนิดอื่นได้หรือไม่ ?
ตอบ : รู้จักคำว่า "ฝน" ไหม ? โบราณเขาให้ฝนกับฝาละมี อย่าไปฝนกับหัวสามีนะ นั่นคนละเรื่องกัน ฝาละมีคือฝาหม้อดิน ยาจินดามณีใช้ฝนกับน้ำมะนาว ถ้ากลัวจะเป็นการทำลายพระพุทธรูปก็ฝนทางด้านหลัง

เถรี
06-03-2017, 19:13
ถาม : ทิฏฐิมานะเมื่อหายไปแล้ว (เคยเป็นแล้วหาย แล้วกลับมาเป็นอีก แก้ไขจนลดกระทั่งหายสงบในตอนนี้) จึงขอสอบถามพระอาจารย์ว่า จะมีอาการหรือลักษณะแบบใดที่เราจะรู้ได้ทันทีว่านี่คือการกลับมาของทิฏฐิมานะอีกแล้วนะ เพื่อจะได้รู้ตัวในเวลาที่รวดเร็ว ?
ตอบ : ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นแล้วเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง นั่นคือมานะมาแล้ว คนอื่นด่าก็...ไอ้นี่ด่ากู เขาขับรถเบียดก็...ไอ้นี่เบียดกู อะไรที่มีคำว่า "กู" ขึ้นมาเมื่อไรก็ใช่ทั้งนั้นแหละ

เถรี
06-03-2017, 19:15
ถาม : สามเณรที่รู้จักอยากมุ่งไปปฏิบัติภาวนามากกว่าการเรียนหนังสือทางโลก (สามเณรไม่คิดลาสึก บอกว่าถ้าได้สึกคงเป็นเรื่องของกรรมแล้ว) ส่วนตนเองไม่ค่อยเห็นด้วยกับสามเณรเลย จึงอยากฟังทัศนะของพระอาจารย์เรื่องการศึกษาทางโลกของพระ และสามเณรที่แม้จะคิดมุ่งทางธรรมตลอดชีวิตนั้นจำเป็นหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าอยากจะฟังทัศนะของอาตมาก็คือ อย่าไปเสือกกับเรื่องของสามเณร...!

เถรี
06-03-2017, 19:16
ถาม : ในขณะที่เข้าฌาน จิตจะติดกับอารมณ์เดียวเป็นสำคัญ จึงขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า ในขณะที่เข้าฌานนั้น จะยังสามารถคิดพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ได้อยู่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าทำเป็นก็คิดได้เป็นปกติ

เถรี
06-03-2017, 19:18
ถาม : ในการภาวนาเพื่อต้องการทรงฌาน โดยไม่ได้จับลมหายใจไว้ตั้งแต่แรกที่ทำ เมื่อถึงฌานที่ ๒ เรากลับลืมคำภาวนาไป และเราไม่ได้จับลมหายใจไว้ กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า ควรทำอย่างไรต่อเพื่อให้การปฏิบัติมีความต่อเนื่อง เข้าสู่ฌานขั้นถัดไปครับ ?
ตอบ : รู้ทุกวิธีแต่ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ? ก็แค่กำหนดรู้ว่า ตอนนี้คำภาวนาหายไป ตอนนี้ลมหายใจหายไป อย่าไปดิ้นรนให้เป็นอย่างนั้น และอย่าพยายามกลับมาหายใจใหม่เท่านั้นเอง

เถรี
06-03-2017, 19:19
ถาม : ในการหลับตาทำสมาธิ เมื่อพยายามจับภาพพระ หรือไม่ได้จับภาพพระก็ดี มักมีภาพอื่น ๆ มาแทรกอยู่เสมอ ขอกราบเรียนพระอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางในการจัดการกับภาพแทรกเหล่านี้ด้วยครับ ?
ตอบ : ใช้คำว่า "ไม่ต้องสนใจ" ก็แค่นั้นเอง

เถรี
06-03-2017, 19:21
ถาม : บุคคลบางคนมีความทรงจำเป็นภาพ (photographic memory) คือจำสิ่งต่าง ๆ ได้เสมือนเป็นรูป เช่น เมื่อจำภาพหน้าหนังสือ ก็สามารถระลึกภาพนั้นมา เพื่ออ่านตัวหนังสือจากความทรงจำนั้นได้ ขอเรียนถามพระอาจารย์ว่า เพราะเหตุจากบุญหรือกรรมใด จึงทำให้เกิดความสามารถเช่นนี้ขึ้นครับ ?
ตอบ : เคยฝึกกสิณหรือทิพจักขุญาณอย่างใดอย่างหนึ่งมาในอดีต มีความคล่องตัวมากจนติดมาเป็นคุณสมบัติประจำตัว

เถรี
06-03-2017, 19:25
ถาม : ในการเกิดนั้น บางท่านมีความรู้ความทรงจำของอดีตชาติติดมาด้วย แม้แต่เมื่อชาติก่อนเป็นสัตว์เดรัจฉาน เมื่อเกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็ยังสามารถจำอดีตชาติของตัวเองได้ และเป็นการจำได้โดยไม่ได้อาศัยปุพเพนิวาสานุสติญาณ ด้วยไม่ได้เกิดในพระศาสนา แต่บุคคลโดยส่วนมากกลับจำอดีตชาติของตนเองไม่ได้ จึงขอเรียนถามพระอาจารย์ว่า เพราะเหตุใด การเกิดใหม่จึงทำให้ลืมความทรงจำของอดีตชาติ ?
ตอบ : ระยะเวลาการเวียนว่ายตายเกิดนานเกินไปเลยจำไม่ได้ ถามโยมว่าจำได้ไหมว่าวันแรกที่เรียนหนังสือเราทำอะไรบ้าง ? นี่แค่ชาตินี้ชาติเดียวนะ

ถาม : เพราะเหตุใดหรือมีวิธีการใด ที่ทำให้บุคคลธรรมดากลับระลึกความรู้ความทรงจำจากชาติก่อนได้ โดยไม่ต้องอาศัยปุพเพนิวาสานุสติญาณช่วย ?
ตอบ : ตายแล้วเกิดใหม่ทันที ไม่มีชาติอื่นมาคั่น

ถาม : การตั้งสัจจาธิษฐานไว้ จะทำให้จำสัจจะนั้น ๆ ได้ในชาติต่อ ๆ ไปหรือไม่ ?
ตอบ : จำไม่ได้ แต่กำลังใจจะรู้เองว่าต้องทำอย่างนั้น

เถรี
06-03-2017, 19:26
ถาม : ผมฝึกทิพจักขุญาณไม่สำเร็จสักที คนที่มาฝึกทีหลัง ดูท่าจะแซงผมไปหมดแล้ว ขอหลวงพ่อแนะนำแนวทางให้ด้วยครับ ?
ตอบ : ปล่อยให้เขาแซงไป กระต่ายวิ่งแซงเต่ายังไม่แน่ว่าจะชนะเต่าได้

เถรี
07-03-2017, 18:45
ถาม : ในกรณีที่เราเห็นคนอื่นปฏิบัติสมาธิได้ดี ได้ญาณ, ฌาน, ทำคาถาต่าง ๆ ได้ผล หรือ ทำอภิญญาได้ แล้วเราเอาคนเหล่านี้เป็นตัวอย่าง สร้างกำลังใจให้เราว่า "เขามีสองมือสิบนิ้วเหมือนเราเขายังทำได้ ทำไมเราจะทำบ้างไม่ได้" ผลคือ ทำให้เรา ลากสังขารที่ขี้เกียจของเรามาภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญา วันละ ๑ ชั่วโมง มีกำหนดครบสามเดือน หวังเพื่อให้ได้อย่างเขา หวังเพื่อให้ได้ผลคาถาตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุงสอนสืบ ๆ กันมา โดยขณะปฏิบัติก็กำหนดจิตแผ่เมตตา อาราธนาศีลตามที่ครูบาอาจารย์สอนมานะครับ คำถามคือ คิดแบบนี้เป็นมานะหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็น

ถาม :ถ้าเป็นมานะแล้วการทำแบบนี้ เราจะฝึกสมาธิสำเร็จหรือไม่ครับ ?
ตอบ : จะต้องมีก่อนจึงจะละได้ ถ้าไม่มีแล้วจะเอาอะไรไปละ ไปวาง ? แปลว่าเราต้องหยิบ ต้องจับ ต้องถือ ต้องแบกอะไรสักอย่างไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่ได้มาแล้ว เราจึงจะมีสิทธิ์ที่จะวางได้

ถาม :การตัดมานะในสังโยชน์ ๑๐ กับการปฏิบัติด้านโลกียฌาน เกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ ?
ตอบ : จะว่าเกี่ยวก็ใช่ แต่พอถึงเวลาการละสังโยชน์ก็ต้องเลี้ยวเข้าหาวิปัสสนาญาณ

ถาม : หากไม่ตัดมานะ จะสำเร็จฌานโลกีย์ต่าง ๆ ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เขาสำเร็จกันมานับไม่ถ้วนแล้ว

เถรี
07-03-2017, 18:57
ถาม : เพื่อนผมบวชที่วัดธรรมกาย ยังเป็นพระอยู่ที่วัดนั้น ได้โพสต์ข้อความที่หน้าเฟสบุ๊กเพื่อสนับสนุนการกระทำของทางวัด และปกป้องหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดนั้น เพื่อนผมอ้างว่า เขาทำเพื่อปกป้องพระศาสนา ผมจึงสงสัยว่า การกล่าวอ้างว่า "ปกป้องพระพุทธศาสนา" ด้วยการยอมตายแทนพระรูปใดรูปหนึ่ง ถือเป็นการปกป้องพระศาสนาไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าการปกป้องนั้นเป็นไปโดยถูกต้องตามสามัญสำนึกของคนทั่วไปหรือไม่ ? ถ้าถูกต้องตามสามัญสำนึกของคนทั่วไป เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง ก็ถือว่าเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา แต่ถ้าคนทั่วไปเห็นอยู่ว่าสิ่งนั้นเป็นความผิด แต่ตนเองหลงผิด เขาเรียกว่า มิจฉาทิฏฐิ ก็แปลว่า สิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่การปกป้องพระพุทธศาสนา

ถาม : เราเคยสนทนาธรรมกัน แต่เห็นมุมมองที่ต่างกันบางอย่าง ของเราเป็นไปเพื่อการดับทุกข์แต่ของเขาคล้ายจะไม่ใช่ แล้วการกระทำอย่างไรจึงจะเป็นการปกป้องพระศาสนาที่เหมาะสมในยุคปัจจุบันนี้ ?
ตอบ : ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เมื่อเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงแล้ว เราสามารถที่จะบอกกล่าวได้อย่างชัดเจนว่าพระพุทธศาสนาของเรามีความดีอย่างไร ใครกล่าวหาอะไรมาก็สามารถที่จะบอกกล่าวแก้ไขปรัปวาท ก็คือคำพูดที่คนอื่นกล่าวตู่ได้ จึงจะเรียกว่าปกป้องพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

เถรี
07-03-2017, 19:01
ถาม : ดิฉันขอสอบถามเกี่ยวกับเรื่องฤกษ์พรหมประสิทธิ์ค่ะ อย่างเช่น ถ้าจะแต่งงาน เราดูวันที่ดีในปฏิทินฤกษ์พรหมประสิทธิ์ แล้วเลือกวันได้เลยไหมคะ หรือควรที่จะต้องเอาดวงของทั้งสองคนไปดูแล้วค่อยกำหนดวัน ?
ตอบ : เอาฤกษ์พรหมประสิทธิ์ง่ายที่สุด เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปดูดวง แต่ก็ให้ถือโบราณไว้นิดหนึ่ง ในเรื่องของการแต่งงานส่วนใหญ่เลือกวันศุกร์ ข้างขึ้น เดือนคู่ ยกเว้นเดือนแปดข้างแรมกับเดือนสิบ เพราะว่าอยู่ในช่วงเข้าพรรษา เขาไม่นิยมแต่งงานกัน แต่เห็นในปัจจุบันนี้วันโกนก็ไม่ละวันพระก็ไม่เว้น...ใช่ไหม ?

เถรี
07-03-2017, 19:04
ถาม : หนูสงสัยว่า เมื่อปฏิบัติไปเรื่อย ๆ หนูรู้สึกหนูมีความสนใจสิ่งต่าง ๆ และคนรอบข้างน้อยลง รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ กระชับเข้า รวบรัดเข้า คล้ายความรู้สึกที่พยายามจะรวบรัดตัดตรงเข้าสู่ทางหลัก แต่ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไป เช่น เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่คนรอบข้างทำ เป็นความเยิ่นเย้อ ฟุ่มเฟือย เห็นเขาใช้ชีวิตแบบลอยตามน้ำ จนรู้สึกเสียดายเวลาแทน บางครั้งความรู้สึกเป็นไปในทางลบ เช่น รู้สึกรำคาญ และในบางครั้งถึงขั้นไม่อยากยุ่งด้วยอีกเลยค่ะ กราบขอหลวงพ่อเมตตาแนะนำด้วยค่ะว่าหนูควรแก้ไขอารมณ์ทางลบนี้อย่างไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ปรับตัวเองให้โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย ให้ได้มากที่สุด

เถรี
07-03-2017, 19:09
ถาม : เนื่องจากข้าพเจ้าและครอบครัว ต้องการรักษาศีลห้าเป็นปกติ ซึ่งในการถือศีลห้านั้น ต้องงดการฆ่าสัตว์ แต่ในบางครั้งจะมียุงมารบกวน ซึ่งหากมีมากก็จะรบกวนทั้งการดำรงชีวิต ไปจนถึงการปฏิบัติธรรม ทั้งนี้ด้วยข้อจำกัดของบุคคลก็ดี เช่น เป็นทารกอายุน้อย เป็นผู้มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ หรือแพ้ยากันยุง ซึ่งทำให้ไม่สามารถทายากันยุง หรือจุดยากันยุงได้ หรือข้อจำกัดด้านสถานที่และอุปกรณ์ เช่น ออกนอกบ้าน ไม่สามารถกางมุ้งได้ แม้จะจับยุงออกไปปล่อยนอกบ้าน แต่ด้วยจำนวนที่มาก จึงไม่สามารถจัดการได้หมด ทำให้การถูกยุงรบกวนเป็นปัญหาสำคัญ เพราะไม่ต้องการละเมิดศีล จึงขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า พอจะมีคาถาใด วัตถุมงคลใด ช่วยให้ยุงไม่มารบกวนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องใช้คาถา ไม่ต้องใช้วัตถุมงคล คาถาหลวงปู่ครูบาวงศ์เคยให้อาตมามานานเกิน ๔๐ ปีแล้ว ท่านบอกว่า "ทนเอา" แต่ในเรื่องของยุง ถ้าฝึกสมาธิจนทรงตัวแล้ว ยุงจะไม่กิน

ถาม : จริงไหมที่เขาบอกว่า พรหมวิหารยังพร่องอยู่ เลยโดนยุงกัด ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ถ้าสมาธิทรงตัวอยู่ยุงก็ไม่แตะหรอก เพราะคนที่สมาธิทรงตัว ชีพจรจะเต้นช้า ความร้อนในร่างกายส่งออกน้อย ยุงบินผ่านมารู้สึกว่าเป็นไม้ท่อนหนึ่ง ก็เลยผ่านไปเฉย ๆ

เถรี
07-03-2017, 19:13
ถาม : ผมมีเรื่องกราบเรียนสอบถามครับว่า มีวิธีพิจารณาอย่างไรว่า จริตเราเหมาะกับการภาวนาด้วยคำบริกรรมใด เพื่อให้ได้ผลดี ทางด้านอภิญญา ?
ตอบ : เรื่องของอภิญญาต้องวิ่งไปหากสิณ การฝึกกสิณไม่เกี่ยวกับจริต ฝึกได้ทุกจริต

ถาม : เมื่อประมาณปลายปีที่แล้วผมเคยลองภาวนาโดยใช้คำบริกรรม โสตัตตะภิญญา ร่วมกับการจับลมหายใจเป็นครั้งแรก ผมภาวนาไปประมาณ ๑๕ นาที แล้วร่างกายรู้สึกเหมือนมีอะไร คล้าย...เป็นเกล็ด ๆ หรือแผ่นอะไรซักอย่างขนาดเล็ก วิ่งขึ้นตามผิวหนังมาตั้งแต่แขน ลำตัวมาถึงใบหน้า เมื่อรู้สึกแบบนี้แล้ว ผมจึงหยุดภาวนา อาการดังกล่าวก็หายไป เป็นแค่ครั้งแรก ครั้งเดียวนะครับ ที่ใช้การภาวนาแบบนี้ หลังจากนั้นถึงแม้จะใช้การภาวนาแบบเดิม ก็ไม่เกิดอะไรผิดปรกติ

ก่อนหน้านี้นานแล้ว ผมเคยภาวนาด้วยการจับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว มีอาการลมเข้าออกตามรูขุมขนทั่วร่างกาย เหมือนผมหายใจทางผิวหนังได้ ซึ่งเป็นอยู่ครั้งเดียวเช่นกันครับ ผมเคยภาวนาโดยใช้คำบริกรรมอื่น จะไม่มีอาการทางกายปรากฏแต่อย่างใดครับ อาการทางกายแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับผม แปลว่าผมเหมาะกับคำภาวนา โสตัตตะภิญญา ควบคู่กับการจับลมหายใจ มากกว่าการภาวนาด้วยคำอื่นหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาถาม ไปทำก็รู้เอง

เถรี
07-03-2017, 19:17
ถาม : การสวดมนต์มหาสมัยสูตร เป็นการสวดเพื่ออะไรคะ ?
ตอบ : ถ้าสมัยโบราณเป็นการทรงจำสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ เมื่อจำได้แล้วนำมาปฏิบัติ ปฏิบัติได้แล้วก็สอนต่อ สมัยนี้ส่วนใหญ่สวดเพื่อหวังผลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้จุดมุ่งหมายเดิมที่มีคุณประโยชน์มหาศาล ลดลงมาเหลือแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ถาม : เป็นการเหมาะสมหรือไม่ ที่ฆราวาสจะสวดบทนี้เป็นประจำทุกวัน ?
ตอบ : ควรที่จะสวด แต่โปรดระวังไว้ว่าจะสวดไม่จบ เพราะว่ายาวมาก

เถรี
07-03-2017, 19:19
ถาม : การที่สิ่งของหรือสถานที่ซึ่งมีอยู่ในขณะนี้ แต่ต่อมาภายหลังก็ไม่มีแล้ว เช่น ขึ้นเขาไปเจอถ้ำ แต่พอกลับไปอีกทีในวันรุ่งขึ้นก็ไม่เจอถ้ำนั้นแล้ว เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งทั้งสถานที่ทางธรรมชาติในประเทศ และในเมืองใหญ่ในยุโรป บางครั้งก็เป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นอยู่ด้วย เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : เกิดเพราะคุณจำผิด ไปคนละที่ แล้วจะเจอได้อย่างไร ?

เถรี
07-03-2017, 19:24
ถาม : กระผมอยากทราบว่า เป็นความจริงหรือผมหลงผิดครับ ? ที่เขาบอกว่า "พระมหาอภิญญาคีรีราชตถาคต ได้ภาวนา ได้ยิน ได้ฟัง จะได้พบพระพุทธเจ้าเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา"
ตอบ : เพิ่งได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก เรื่องพวกนี้ต้องไปถามทางสายมหายานแทน อาตมาเป็นเถรวาท ไม่ไปยุ่งกับเขา

เถรี
07-03-2017, 19:33
จากคำถามที่ผ่านมาทำให้เห็นว่า ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่งของเรายังแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือศาสนาฮินดู อะไรคือศาสนาพุทธแบบมหายาน อะไรคือศาสนาพุทธแบบเถรวาท

จะว่าไปแล้วก็เกิดจากพวกอาตมาเองที่ทำให้เขาสับสนในชีวิตกัน เพราะว่าวัดวาอารามนี้ก็มักจะมีรูปพระพรหม รูปพระพิฆเณศวร์ รูปเจ้าแม่กวนอิม รูปพระสังกัจจายน์ ปะปนกันให้มั่วไปหมด คนรุ่นหลังไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่าพระพรหม พระพิฆเณศวร์ เป็นเทพของฮินดู พระสังกัจจายน์และเจ้าแม่กวนอิมเป็นพระสงฆ์ตลอดจนกระทั่งพระโพธิสัตว์ทางสายมหายาน ก็เลยนำเอาความรู้เหล่านี้มาปะปนกันให้ยุ่งไปหมด

ความเชื่อถือที่แตกต่างกันไป ทำให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อปะปนกันแล้ว ท้ายสุดก็กลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป คือ สิ่งที่แทรกเข้ามาในคำสอนที่แท้จริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท้ายที่สุดพวกเราจับแพะชนแกะไปด้วย ก็ออกมากลายเป็นลูกผสมอะไรก็ไม่รู้ ?

เถรี
07-03-2017, 19:41
วัดท่าขนุนสมัยท่านอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ก็มีเทวาลัยพระพิฆเณศวร์ มีมณฑปท่านแม่กวนอิม พออาตมาเป็นเจ้าอาวาสก็สั่งรื้อเรียบ...! เพราะไม่อยากให้ญาติโยมสับสนกับชีวิต

สิ่งหนึ่งที่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกก็คือ พอประกาศว่ามีวัดไหนต้องการ พริบตาเดียวก็หายวับไปกับตา เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่จะเรียกแขกได้ดีมาก โดยเฉพาะเจ้าแม่กวนอิมกับพระพรหม สามารถดึงญาติโยมทางด้านมาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เข้าวัดได้เยอะ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะดี พอเข้าไปจะให้การอุปถัมภ์อุปัฏฐากวัดอย่างได้น้ำได้เนื้อ จึงทำกันจนกระทั่งศาสนาพุทธเถรวาทสับสนไปหมด

อาตมาเองขนาดชี้แจงได้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ไม่แน่ใจว่าพระรุ่นต่อ ๆ ไปจะชี้แจงได้หรือเปล่า ? ก็เลยตัดไฟตั้งแต่ต้นลมโดยการรื้อออกให้หมด

เถรี
07-03-2017, 19:49
ถ้าญาติโยมบวชเข้ามาจะเห็นว่า สถานการณ์พระพุทธศาสนาของเราง่อนแง่นมาก อันดับแรกก็คือ สนิมเกิดแต่ภายใน พุทธบริษัทไม่สามารถปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนบังเกิดผลได้ ก็เลยทำให้ไม่สามารถที่จะชี้แจงแถลงไข ตลอดจนกระทั่งแก้ข่าวร้ายที่ฝ่ายอื่นเขาโจมตีเราได้

ประการที่สองก็คือ กลายเป็นแนวร่วมของศาสนาอื่น ดึงเอาฮินดูก็ดี พุทธมหายานก็ดี เข้ามาในวัดของตนเองด้วยความเต็มใจ เพราะหวังแต่ผลประโยชน์

ประการต่อไปก็คือ ญาติโยมที่เป็นศาสนิกของศาสนาอื่น ตั้งใจที่จะเบียดเบียนศาสนาของเรา ซึ่งในส่วนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเลย ถ้าของเราเป็นของจริง เป็นของแท้ ทำแล้วได้ประโยชน์อย่างแท้จริง สามารถที่จะชี้แจงให้คนอื่นเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้

ประการสุดท้าย ศาสนิกของเราไหลตามกระแสโลกไปจนกู่ไม่กลับ เอาแค่ประเทศไทยของเราที่บอกว่ามีคนนับถือศาสนาพุทธถึง ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ถามว่าเป็นพุทธแต่ปาก เป็นพุทธแต่ทะเบียนบ้านหรือเปล่า ? มีคนที่เข้าวัดเพื่อปฏิบัติธรรมแบบจริง ๆ จัง ๆ เท่าไร ?

เถรี
07-03-2017, 19:56
หลายคนไม่เคยเข้าวัดเลย แล้วก็อ้างว่าพระสงฆ์ปฏิบัติตัวไม่ดีก็เลยไม่เข้าวัด หลายท่านใส่บาตรปีละครั้งเดียวตอนวันเกิดตัวเอง หลายท่านพอหมอดูทักว่าดวงตกให้ไปทำบุญแล้วค่อยเข้าวัด แล้วเราจะเอาความหวังอะไรมาให้พระพุทธศาสนาเจริญ ถ้าศาสนิกยังเป็นอย่างนี้กันอยู่

ถึงเวลาเดือดร้อนขึ้นมา แทนที่จะใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเข้ามาแก้ไขปัญหาชีวิต กลับวิ่งไปหาหมอดู วิ่งไปหาหมอผี วิ่งไปหาสำนักทรง อาตมาเห็นแล้วยังรู้สึกอนาถในชีวิต ต้องบอกว่าเป็นการหลงผิดที่ไปไกลมาก สิ่งที่เราทำค้านกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ไม่สมกับที่เราบอกว่าเรานับถือศาสนาพุทธเลย

พอถึงเวลามีคนขุดตอตะเคียนได้ก็ไปโรยแป้ง ขัดถูกัน ไม่ว่าจะหมูสองขา หมาสามหัว ไปกราบไปไหว้กันหมด แต่พระข้างบ้านไม่เคยไปใส่บาตร ไม่เคยไปกราบไหว้ ไปปรึกษาหารือในเรื่องของการแก้ปัญหาชีวิตด้วยหลักธรรมเลย

อาตมาเองก็ถือว่ามีหน้าที่ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย ๆ ถึงตอจะไม่งอก เอาแค่เปียก ๆ ก็ยังดี ถ้าทำเต็มกำลังแล้วยังไม่สามารถจะดีได้กว่านี้ก็ต้องยอมรับ ว่าเวรกรรมของท่านทั้งหลายหนักเกินกว่าที่จะแก้ไขได้จริง ๆ...!

เถรี
07-03-2017, 20:02
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งข่าวญาติโยมว่าวันที่ ๙ นี้อาตมาจะไปเลี้ยงพระอุปัชฌาย์รุ่นน้องที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม "ธรรมโมลี" ปากช่อง ส่วนวันที่ ๑๒ จะไปวางศิลาฤกษ์ ศาลาประดิษฐานสมเด็จองค์ปฐม ที่สำนักสงฆ์ศรีชัยรัตนโคตร จังหวัดสกลนคร

ใครว่างเว้นจากภารกิจจะไปร่วมงานโปรดวิ่งเต้นกันเอาเอง อาตมานั่งเครื่องบินไป ใครได้ไปเที่ยวบินเดียวกัน รับประกันว่าเครื่องบินไม่ตก อาจจะแค่โดนระเบิดเฉย ๆ...!"

เถรี
07-03-2017, 21:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐ มีพิธีกรรมสร้างพระเจ้าห้าพระองค์เนื้อยาจินดามณีอีกขั้นตอนหนึ่ง เพราะว่าเป็นวันเสาร์เพชฌฆาตฤกษ์ ตรงกับตำราที่หลวงปู่บุญได้ให้เอาไว้ ก็แปลว่า ยานี้ทำยาวมาตั้งแต่วันลอยกระทงปีที่แล้ว ยังไม่เสร็จเลย เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะยุ่งยากมาก เพราะพิธีกรรมและฤกษ์ยามมีระบุไว้ชัดเจน ต้องเป็นไปตามนั้น

ส่วนผสมก็หายาก โดยเฉพาะอำพันทอง ร้อยวันพันปีจะมีหลุดมาสักทีหนึ่ง ราคาก็แพงเหมือนกับทองจริง ๆ ซื้อมาเป็นส่วนผสมหน่อยเดียวหมดไปแปดหมื่นบาท..!

ตำรายาจินดามณีที่มีเขียนเอาไว้นั้นเป็นแค่ตำราเบื้องต้น รายละเอียดอื่น ๆ ทางด้านสำนักจะเก็บเอาไว้ ลักษณะเหมือนกับเป็นทีเด็ดเฉพาะตัว ส่วนผสมที่มีเพิ่มขึ้นมา อย่างเช่นอำพันทอง น้ำนมเสือ นอแรด งาช้างกำจัด ฯลฯ เหล่านี้ ไม่ได้ระบุไว้ในตำราอย่างชัดเจน ฤกษ์ยามและพิธีกรรมต่าง ๆ ไม่ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน เป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น ถ้าไม่ได้เข้าไปศึกษาให้รู้ชัด ต่อให้มีสูตรไว้ก็เป็นแค่สูตรเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถผลิตยาได้ตามที่ต้องการ"

เถรี
07-03-2017, 21:57
"คนสมัยใหม่ตีความภาษาโบราณไม่ออก น้ำผึ้งรวงรัน ก็คือ น้ำผึ้งธรรมดาที่เราไปตีมา คำว่า รัน แปลว่า ตี เคยได้ยินคำว่า ตีรันฟันแทงไหม ?

ดอกคราดก็ไม่รู้จัก ผักคราดก็ไม่รู้จัก แล้วจะไปรู้จักดอกได้อย่างไร ? ชะมดเช็ดก็ไม่รู้จัก เกสรบุษบัน ก็ชัด ๆ ว่าเกสรดอกบัว แต่แปลไม่ออกว่าคืออะไร พอบอกน้ำมะเขือขื่นคั้น มะเขือขื่นหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้อีก สมัยนี้บางทีเรียกมะเขือหนัง ที่เขาเอามาแกงป่าต้องลอกเอาเมล็ดออกเหลือแต่เปลือกเหลือง ๆ โบราณเขาเรียกว่ามะเขือขื่น ถ้าใครรู้แสดงว่าแก่แล้ว..!

ตำราเขาบอกว่า "..ฯลฯ...พิมเสนชะมดน้ำผึ้งรวงรัน..ฯลฯ" แต่ชะมดไปเอามาทั้งตัวก็บรรลัยเท่านั้น เขาเรียกว่าชะมดเช็ด เป็นต่อมกลิ่นที่ชะมดตัวผู้ไปเช็ดติดตามต้นไม้เอาไว้ เป็นกลิ่นที่ติดทนนานสุด ๆ ใครเคยเลี้ยงแมวจะรู้ เป็นกลิ่นประเภทติดทนนานเหมือนกัน แต่ชะมดเช็ดออกไปทางหอม ก็เลยเอามาเป็นส่วนผสมของน้ำหอม เพราะทาแล้วติดทนนาน สมัยนี้มีบางแห่งที่ทำฟาร์มชะมด ถึงเวลาต้องปักไม้ไว้ให้เช็ด จะได้เก็บเอามาขายได้

ถ้าเป็นสมัยโบราณแล้วน้ำนมเสือหายาก สมัยนี้ไปทางฟาร์มมีเพียบ ถ้าไม่รู้จะไปที่ไหนก็สวนเสือศรีราชา บอกเขาว่าขอซื้อนมเสือสัก ๕๐ - ๑๐๐ ซีซี หรือรู้จักแต่นมแมว ? ไม่ใช่ไปจับแมวมารีดนมนะ นมแมวของคนโบราณคือวานิลา"

เถรี
07-03-2017, 22:02
"ต้นเปราะก็ไม่รู้จัก ตำราเขาบอกว่า "จินดามณีโอสถอันพิลาศ ประกอบดอกคราดดอกจันทน์ เกสรบุษบัน เปราะหอมกำยาน..ฯลฯ"

เปราะหน้าตาเป็นอย่างไร ? ถ้าไม่เคยเข้าป่า ไม่เคยเอามาจิ้มน้ำพริก ก็ไม่รู้ว่าเปราะเป็นอย่างไร ปล่อยให้คนรู้เขาเครียดไปเถอะ เรามีหน้าที่ไปบูชา ควักไป ๕๐๐ บาท ก็ได้ของดีเท่ากับคนรู้เขาแล้ว...!

เพียงแต่ระยะหลังไม่ค่อยเห็นใครที่ทำได้เต็มสูตร เพราะส่วนที่หายากก็คือ อำพันทองกับนอแรด บังเอิญว่าอาตมารู้จักคนเก่า ๆ ที่เก็บนอแรดกันมาตามตามตระกูล ก็แค่ขอไปตะไบแบ่งมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เอามาทั้งหมด รู้ไหมว่านอแรดก็คือวัสดุเดียวกันกับเส้นผม ที่มาจับกันเป็นนอขึ้นมา เป็นสังกะตังที่ได้เรื่องมากเลย"

เถรี
07-03-2017, 22:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางคณะกรรมการที่ดูแลบ้านเติมบุญอยู่ อาจจะมีการออกกฎหรือระเบียบการปฏิบัติอะไรบางอย่างออกมา เพื่อความสงบเรียบร้อยของที่นี่ ความจริงไม่จำเป็นต้องมีกฎก็ได้ เพราะว่าโดยสามัญสำนึกแล้ว แต่ละคนที่มาต้องการในส่วนของบุญกุศล อาจจะมีอะไรที่ชี้แจงเป็นคราว ๆ ไปเท่านั้น

มีส่วนหนึ่งที่อาตมามองเห็นแล้วไม่อยากให้เป็นกฎ แต่อยากไปกระทืบ...! ก็คือพวกที่ไปนอนอืดอยู่ชั้นล่างเหมือนกับผีตายลอยน้ำ โดยเฉพาะทิดเต้ย จะทำตัวอะไรก็ให้รู้จักเกรงใจสถานที่บ้าง คนเข้ามาทำบุญ เขามาถึงเห็นอย่างนั้นก็ถอยหลังแล้ว นึกว่าผีตายขึ้นอืดมาหลายวัน จะไปแจ้งตำรวจมาดู

คนใหม่เดินเข้ามาถึงเห็นลูกศิษย์เป็นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ต้องใช้ไม่ได้แน่เลย ดีไม่ดีก็หันหลังกลับ แต่ไอ้ตัวเองก็โง่เขลาเบาปัญญาจนกระทั่งไม่รู้ว่า การกระทำของตนเองทำให้คนอื่นเขาเสียหายหรือเดือดร้อนอย่างไร ก็ยังคงทำตามใจตัวเอง อาตมายืนยันว่าไม่ต้องตั้งกฎหรอก แต่ถ้าเห็นแล้วช่วยกระทืบให้ที..!"

เถรี
08-03-2017, 09:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องใหญ่ในวงการสงฆ์ปัจจุบันนี้คือวัดพระธรรมกาย อย่าทำตัวเป็นกองเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะว่าถ้าทำตัวเป็นกองเชียร์เมื่อไร เราจะสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว

ถ้าใครลองไปอ่านเรื่อง "อัศจรรย์โลกใบนี้" ในเว็บวัดท่าขนุน จะมีเปรตอยู่ตนหนึ่ง ด่าบุคคลที่ต้องอาบัติปาราชิก แล้วตัวเองไปเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ยากหิวโหยอยู่เป็น ๑,๐๐๐ ปี อย่าลืมว่าแม้บุคคลนั้นจะต้องอาบัติปาราชิก แต่จากการที่เราด่า เราไม่ได้ด่าตัวบุคคล เราใช้คำว่า พระ ซึ่งคำว่า พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ โดยเฉพาะสมัยนี้เห็นในโซเชียลมีเดียมีการคอมเมนต์ต่าง ๆ ใช้คำพูดรุนแรงมาก ด่ากันหยาบ ๆ คาย ๆ โดยใช้คำว่าพระ แต่ละคนตายเมื่อไรจะรู้ว่าตนเองจะได้รับโทษอะไรบ้าง..!

เรื่องของเรื่องจะจบง่าย ถ้าฝ่ายท่านเจ้าคุณธัมมชโยมอบตัว แต่ท่านคงกลัวว่าเรื่องจะจบ ก็เลยไม่ยอมมอบตัวสักที"

เถรี
08-03-2017, 09:47
"เหตุการณ์จากการที่พระรูปหนึ่งทำความผิด ได้รับการวินิจฉัยจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆมหาปริณายก อดีตสมเด็จพระสังฆราชว่าต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ขาดความเป็นพระ แต่ไม่มีใครกล้าดำเนินการให้เด็ดขาดลงไป ก็เลยกลายเป็นฝังรากลึกมาหลายปี สร้างความเสียหายบอบช้ำให้กับพระศาสนามาก เพราะว่าบุคคลที่เกิดศรัทธาอยู่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

บุคคลที่ศรัทธาส่วนใหญ่เป็นอธิโมกขสัทธา คือศรัทธาโดยขาดปัญญาประกอบ มองไม่เห็นว่าท่านสอนผิดไปจากพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดนเปลือกนอกที่ท่านจัดเอาไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย บดบังสายตาไป โดนเปลือกนอกที่ท่านจัดงานใหญ่ ๆ ดึงคนเป็นแสนเป็นล้านมาทำบุญที่วัดบดบังสายตาไป

ในเมื่อบุคคลเกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นมา เวลาคนอื่นพูด ก็ไม่มีสติยั้งคิด คิดอยู่อย่างเดียวว่าไปใส่ร้ายใส่ความหลวงพ่อของตนเอง โดยที่ลืมคิดไปว่า ถ้าหลวงพ่อของตนเองบริสุทธิ์จริงอย่างที่ย้ำกันอยู่ทุกวัน ทำไมถึงไม่มอบตัวสู้คดี ?"

เถรี
08-03-2017, 09:53
"เราจะไปอ้างว่ารัฐบาลปัจจุบันนี้มาโดยไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย เรื่องนี้เกิดก่อนจะมีรัฐบาลนี้ตั้งนาน ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดพลาดจริง ๆ ทำไมถึงไม่มอบตัวให้หมดสิ้นเรื่องราวไป ? กลายเป็นไปดึงยื้อเอาไว้ ใช้กำลังคนในการปกป้องตนเอง ซึ่งถ้ามั่นใจว่าไม่มีความผิด ทำไมต้องให้คนมาปกป้อง ?

ส่วนในการจัดการของรัฐบาลที่บอกว่าใช้มาตรา ๔๔ ของเผด็จการ อย่าลืมว่าสิ่งที่ดำเนินการไปนั้นถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก ก็คือมีหมายค้น มีคำสั่งศาล ต่อให้เราไม่เคยทำผิดอะไรเลย ถ้าอยู่ในบ้านเติมบุญหลังนี้ มีตำรวจมาพร้อมกับหมายค้นที่ถูกต้อง อาตมาเองอย่างเก่งก็ขอตรวจสอบดูบัตรประจำตัวว่าเป็นตำรวจจริงหรือเปล่า ถ้าเราไม่ทำผิดอะไร ก็มีอย่างเดียวคือต้องให้เขาตรวจค้น โดยที่เราเองก็คงจะต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งเท่านั้น

พวกเราทั้งหมดถ้าหากว่ามีสติ เรื่องจะไม่ใหญ่โตไปขนาดนี้ ทุกวันนี้เขาพยายามจะทำเรื่องให้ใหญ่ เพื่อที่จะปกปิดความผิดพลาดของบุคคล เราจะสังเกตว่ามีการฟ้องชาวโลก เพื่อที่จะกดดันรัฐบาลไทย ถามว่าฟ้องอย่างไร ? ก็ป้ายแต่ละป้ายที่เขียน ภาษาไทยก็มีทำไมต้องใช้ภาษาต่างประเทศ ? เจตนาเห็นอย่างชัดเจน แล้วไปเที่ยวโทษรัฐบาลว่าต้องใช้อำนาจของมาตรา ๔๔ ขนาดใช้มาตรา ๔๔ เขายังไม่ยอมรับกันเลย"

เถรี
08-03-2017, 09:57
"พระพุทธเจ้าตรัสว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุํ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจำเป็นต้องคล้อยตามพระราชาทั้งหลาย คำว่าพระราชาของสมัยก่อนก็คือกฎหมาย เพราะว่าสิ่งที่รับสั่งทุกอย่างเท่ากับเป็นกฎหมาย ในเมื่อปัจจุบันนี้กฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรแบบนี้ ก็คือให้เราทำตามกฎหมายบ้านเมือง

ในส่วนของการคล้อยตามกฎหมายบ้านเมือง อะไรก็ตามที่ว่าไปตามกฎหมาย โอกาสที่จะกลายเป็นที่โจมตีของคนอื่นก็ไม่มี ส่วนขณะเดียวกันบุคคลที่เข้าไปจัดการในเรื่องนี้ ควรที่จะเป็นบุคคลที่รู้เรื่องของพระภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี ในการที่เรารู้เรื่องพระภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี ย่อมสามารถหักล้างในสิ่งที่เขากล่าวหากันอยู่ทุกวันได้

ปัจจุบันนี้บุคคลที่อาตมาสงสารที่สุด มี ๒ คน คนแรก คือ พระสนิทวงศ์ที่ออกมาให้ข่าวอยู่ทุกวัน อาตมาเป็นห่วงว่าท่านได้หลับได้นอนบ้างไหม ? ถ้าอยู่ ๆ ล้มตึงลงไปก็จะกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาอีก บุคคลที่ ๒ ก็คือท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านจะจัดการเด็ดขาดแบบทหารก็ไม่ได้ เพราะว่านั่นคือพระ

อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระธรรมวินัยหรือศีลต่าง ๆ ขึ้นมา ข้อหนึ่งท่านว่า ทุมมังกูนัง ปุคคะลานัง นิคคะหายะ เปสะลานัง ภิกขูนัง ผาสุวิหารายะ แปลว่า เพื่อกดข่มผู้เก้อยาก คือไอ้พวกหน้าด้าน ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด"

เถรี
08-03-2017, 10:00
"ประการที่ ๒ ก็คือ เพื่อความผาสุกของภิกษุที่มีศีลอันเป็นที่รัก ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลคนเดียวทำให้เดือดร้อนกันไปทั้งประเทศได้ ในส่วนนี้ทางรัฐบาลขาดทีมงานอยู่ทีมหนึ่ง ก็คือทีมงานที่รู้กฎหมายและเรื่องราวตั้งแต่ต้นโดยละเอียด รู้เรื่องของศีลของพระโดยละเอียด แล้วทำการชี้แจงว่าทางวัดธรรมกายทำอะไรผิดบ้าง เขาออกข่าวรายวันได้ เราก็ต้องทนออกข่าวรายวันให้ชาวบ้านได้รับรู้ เพราะว่าปัจจุบันนี้ใครคุมสื่อไว้ได้คือถืออำนาจไว้ในมือ

รัฐบาลจะคิดว่าไปปิดทีวีธรรมกายแล้ว ตัดสัญญาณโทรศัพท์แล้ว ไม่แน่นัก เพราะว่าสมัยนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลมาก หากว่าปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งช่วงชิงสนามข่าวอยู่ตลอดเวลา แล้วในส่วนของสื่อมวลชนที่ปราศจากจรรยาบรรณ มีแต่จะโหมกระพือเพื่อขายข่าว ก็จะทำให้รัฐบาลทำงานยากขึ้น

ถ้าถามอาตมาว่าเห็นด้วยไหมในการจัดการกับเจ้าคุณธัมมชโยอยู่ที่ผิดพระธรรมวินัย ดัดแปลงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาเห็นด้วย แต่วิธีการที่จัดการยังไม่ถูกต้อง ควรที่จะมีการปรับปรุงเสียใหม่ โดยเฉพาะว่าหลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชยังอยู่ ถ้าเป็นอาตมาจะนิมนต์หลวงพ่อนั่งลีมูซีนเข้าไปหาเลย บอกให้ลูกศิษย์ออกมามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์เสีย

ถ้าหากว่าระดับพระอุปัชฌาย์อาจารย์เข้าไปอย่างนั้นแล้วยังไม่ยอมมอบตัว ก็แปลว่ามีความผิดติดตัวอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่ยอมมอบตัว จะมาอ้างว่ารัฐบาลนี้เผด็จการ ถึงเวลารับคดีไปคนโน้นตับแตกตาย คนนี้ถึงขนาดติดคุกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด นั่นเป็นการกล่าวหากันเกินไป เรื่องใหญ่ที่ทั่วโลกให้ความสนใจแบบนี้ สะกิดสะเกาแม้แผลถลอกแค่รอยแมวข่วนก็เดือดร้อนกันหมดแล้ว ใครจะไปโง่ทำให้เรื่องแบบนั้น"

เถรี
08-03-2017, 10:02
"เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ถ้าเป็นไปได้ วิธีการจัดการเพื่อให้เรื่องสงบลงไปมีมาก เพียงแต่ว่าทำกันแบบขาด ๆ เกิน ๆ กลายเป็นช่วยกันโหมไฟใส่ประเทศชาติ ส่วนที่เสียหายที่สุดก็คือบ้านเมืองของเรา เพราะว่าตอนนี้แบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย ท่านที่ให้ความศรัทธาก็ไม่ฟังเสียงคนอื่น เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อ ส่วนหลวงพ่อผู้มั่นใจในความบริสุทธิ์กลับไม่ยอมมอบตัว เพราะกลัวว่าจะไม่บริสุทธิ์ เรื่องก็เลยไปกันใหญ่

แต่ว่าโทษใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ก็คือ ถ้าเราไปเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กาย วาจา ใจ ของเรานั่นแหละที่จะเป็นทุกข์เป็นโทษ เพราะฉะนั้น...ควรที่จะอยู่ในความสงบ แล้วก็คอยดูว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดโทษแก่ตนเอง อย่างต่ำ ๆ ก็ไปเป็นเปรต อย่างเรื่องที่อยู่ในเว็บวัดท่าขนุน ลองไปค้นอ่านกันเอาเอง"

เถรี
08-03-2017, 10:08
"หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวเตือนไว้นานแล้วว่า ถ้าพูดถึงตัวบุคคลที่เป็นนักบวชอย่าใช้คำว่าพระ เพราะคำว่าพระเหมารวมตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา กลายเป็นจะสร้างโทษใหญ่ให้เกิดแก่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว

อาตมาเห็นแต่ละคนแล้ว ในปัจจุบันนี้เหมือนกับว่าถ้าสามารถแสดงความเห็นในลักษณะด่าพระได้แล้ว รู้สึกว่าโก้หรือว่าเท่มาก อยากจะบอกว่าอาตมารู้สึกหวาดกลัวแทนพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร ถ้าหากว่าตายลงไปวันไหน มาขอร้องให้อาตมาไปช่วยก็คงไม่ทันแล้ว

โซเชียลมีเดียมีดีตรงที่ว่าข่าวคราวทุกอย่างไปได้เร็ว แต่พอไปเร็ว การแสดงความเห็นนั่นแหละ ที่ไปกระพือเรื่องราวให้ร้ายแรงแล้วก็รุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ควรที่จะได้สติหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำการทำงาน ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เรื่องจะจบอย่างไรเรามีโอกาสได้ดูได้เห็นแน่ ๆ อย่าไปใส่อารมณ์ตาม แล้วทำให้ใจของเราเศร้าหมอง

นักปฏิบัติธรรมที่ดี ถ้าสภาพจิตใจของตนเองเศร้าหมองจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าทำให้ผลการปฏิบัติของเราถอยหลังไปอีกนาน กว่าจะขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสคืนมาได้ก็เสียเวลามาก ถ้าตายลงไปตอนนั้นก็ขาดทุนอีก เพราะจิตใจที่เศร้าหมองย่อมพาลงสู่อบายภูมิ"

เถรี
08-03-2017, 10:11
"ทำใจไว้ว่าถึงจะเชียร์ฝ่ายไหนเราก็ต้องกิน ในเมื่อเราต้องกินก็ต้องทำมาหากิน ทำมาหากินแล้วไม่ดี ก็แปลว่าเราทุ่มเทความพยายามไม่พอ หน้าที่การงานถึงไม่ก้าวหน้า กิจการถึงไม่ก้าวหน้า

ให้ทุ่มเทใช้ความพยายามทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเราไปลงทำงานตรงหน้า ถ้าว่างเว้นจากกิจการงานของเราเมื่อไร ก็หันมาอยู่กับการภาวนาของเรา อยู่กับศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรมก็จะมีได้

ถ้ามัวแต่ไปเชียร์เขาอยู่ก็ลำบาก สภาพจิตเศร้าหมองโกรธแค้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเกิดโทษแก่ตัวของเราเอง"

เถรี
08-03-2017, 20:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนลืมง่ายมี ๒ ประเภท อย่างแรกคือไม่ทุกข์ ประเภทที่สองคือ ลืมง่ายแต่ดันลืมทุกเรื่องยกเว้นเรื่องทุกข์ ก็เลยกลายเป็นแบกความทุกข์อยู่ตลอดไม่ยอมลืม

ต้องลืมง่ายให้ทุกเรื่อง อย่าจดจำในส่วนความเลว แต่ให้จดจำในส่วนที่เป็นความดี ตั้งหน้าตั้งตาสร้างความดีใน ทาน ศีล ภาวนา ของเราไป ผิดพลาดเมื่อไรก็แก้ไขพัฒนา กาย วาจา ใจ ของตัวเองไปเรื่อย ๆ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติมีมากขึ้นไปเรื่อย โอกาสที่จะล่วงพ้นจากกองกิเลสก็มี"

เถรี
08-03-2017, 20:34
ถาม : เส้นแบ่งระหว่างดันทุรังกับความพยายาม ?
ตอบ : ความพยายาม ก็คือ ถ้าหากว่ายังไม่สำเร็จเราก็ทำไปเรื่อย ๆ ส่วนดันทุรังนี่เกิดจากอารมณ์แค่ชั่ววูบ ห้ามใช่ไหม...? กูจะทำ

วายเมเถว ปุริโส เกิดเป็นคนพึงพยายามร่ำไป นี่เป็นพระพุทธดำรัสเลยนะ ไม่สำเร็จไม่เลิก ดูอย่างเอดิสันสิ...ทดลองมา ๒๐๐ กว่าวิธีแล้วไม่สำเร็จ ถ้าเขาเลิกเราก็ไม่มีหลอดไฟใช้มาจนทุกวันนี้ แต่ว่าท่านก็ทำจนสำเร็จ

เถรี
08-03-2017, 20:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีที่แล้วเตือนญาติโยมว่าปีนี้ให้ระวังภัยแล้ง ยังไม่ทันจะเข้าหน้าแล้งจริง ๆ เลย แล้งจนขนาดนี้แล้ว"

เถรี
08-03-2017, 20:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ หล่อหลวงพ่อพุทธสิหิงค์เนื้อเงินไปแล้ว ปรากฏว่ามีเหตุซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเหตุอัศจรรย์ดีหรือไม่ ? เพราะว่าช่างหล่อคำนวณเนื้อเงินที่ใช้ในงานว่าประมาณ ๑๔๐ กิโลกรัม จากตอนแรกว่าเฉพาะพระองค์ ๑๒๐ กิโลกรัม แล้วอีก ๒๐ กิโลกรัมขอให้เป็นชนวน อาตมาก็เลยแถมให้อีก ๑๐ กิโลกรัม ก็แปลว่ารวมแล้วทั้งสิ้นใช้เม็ดเงินไป ๑๕๐ กิโลกรัม

แต่พอหล่อเสร็จแล้วเหลือน้ำเงินอยู่เยอะมาก เทออกมาเป็นแท่งแล้วชั่งได้ ๕๐ กิโลกรัมกับอีก ๒ ขีด เกินมาจากไหนก็ไม่รู้ ? เพราะด้วยความชำนาญของช่างที่กะจากขนาดหน้าตักพระ ออกมาเป็นน้ำหนักทองเหลือง แล้วคิดคำนวณออกมาเป็นน้ำหนักเงิน โอกาสพลาดมีนิดเดียว แต่คราวนี้ของเราแค่น้ำเงินที่เหลือก็ ๕๐ กว่ากิโลกรัมแล้ว ยังไม่ได้นับชนวนเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่างอกมาจากไหนมากมายมหาศาลขนาดนั้น ?

ถ้าหากเราคิดว่า ๑๒๐ กิโลกรัมตามที่เขาต้องการ ส่วนที่คืนมาก็ต้องไม่เกิน ๓๐ กิโลกรัม แล้วส่วนที่คืนมาต้องรวมชนวนด้วย แต่ปรากฏว่านี่ยังไม่ทันจะรวมชนวน เป็นแค่ส่วนที่เหลือติดก้นเบ้าก็ ๕๑ กิโลกรัม ๒ ขีดไปแล้ว"

เถรี
08-03-2017, 20:51
"อาตมาก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าถ้าชั่งองค์พระได้ ๑๒๐ กิโลกรัม แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? หวังว่าตอนหล่อองค์ทองคำคงจะเป็นอย่างนี้บ้าง จะได้เหลือทองคำเยอะ ๆ หน่อย ทางช่างขอเวลาตกแต่งองค์หลวงพ่อเงิน ๑ เดือน ก็แปลว่าหลวงพ่อสามกษัตริย์ทองคำ นาก เงินของเรา สำเร็จไปแล้ว ๑ องค์

ตอนนี้คณะช่างที่ทำฝ้าเพดานกับพวกลวดลายประดับเสาและคาน กำลังติดตั้งลายกันอยู่ เขาบอกว่าลวดลายพวกนี้น่าจะเสร็จทันงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑ เมษายนนี้ ก็คาดว่าหลวงพ่อเงินน่าจะนิมนต์ขึ้นมณฑปได้ภายในก่อนงานเป่ายันต์ฯ เหมือนกัน

พอนิมนต์ขึ้นไปแล้วอาตมาก็ปล่อยทิ้งไว้เลย ถ้าใครแน่จริงให้มายกไปเถอะ ของน้ำหนักเป็นร้อยกิโลกรัมแถมยังอยู่บนมณฑปด้วย มีอย่างเดียวก็คือต้องประเภทที่เอารถเครนมายก"

เถรี
09-03-2017, 16:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามืดมีมอเตอร์ไซค์แว้นผ่านหน้าบ้าน ๒ ชุดใหญ่ ๆ ได้ยินแล้วสงสารพ่อแม่เด็กจัง มีใครได้ข่าวลูกเทพบ้าง ที่ทุบรถไป ๑๓ คัน เพราะขอเงินซื้อบิ๊กไบค์แล้วแม่ไม่ให้

พวกบรรดาปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นเด็กแว้นหรือว่ายาเสพติดก็ตาม เกิดจากพ่อแม่เลี้ยงลูกผิดวิธี เลี้ยงจนกลายเป็นลูกเทวดา...ตีไม่ได้

การที่เราจะเลี้ยงลูกแบบเพื่อน หรือเลี้ยงลูกด้วยความรักความเข้าใจ พื้นฐานของเด็กต้องมีด้วย ถ้าพื้นฐานของเด็กไม่มีไปเลี้ยงแบบนั้นก็ "เสียหมา" หมด โบราณถึงได้บอกว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ถ้าไม่ผูกวัวอาจจะโดนขโมยหรือเดินหนีหายไปเอง ส่วนลูก ๆ ถ้าไม่ค่อยเจอไม้ก็ไม่เกรงใจพ่อแม่ ว่ายากสอนยาก กลายเป็นทำผิดทำพลาด สร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล ท้ายที่สุดก็เสื่อมเสียถึงประเทศชาติไปหมด"

เถรี
09-03-2017, 17:01
"มีผู้คาดการณ์ไว้ว่า ถ้าเด็กไทยเรายังติดโทรศัพท์มือถือไม่เลิก อีก ๒๐ ปีข้างหน้าจะต้องเป็นคนงานมีเจ้านายเป็นมอญ เป็นพม่า เป็นเขมร ถามว่าทำไม ? เพราะว่าเด็กมัวแต่เล่นโทรศัพท์อยู่ ไม่สนใจการเรียน ในเมื่อไม่สนใจการเรียน ก็ไม่มีวิชาความรู้ที่จะไปทำมาหากิน เมื่อไม่มีวิชาความรู้ที่จะไปทำมาหากินจะทำอย่างไร ? ก็ต้องขายสมบัติของพ่อแม่กิน

คราวนี้ตัวเองไม่มีวิชาความรู้ รุ่นลูกก็ยิ่งไม่มีหนักเข้าไปใหญ่ เพราะคงจะติดมือถือมากกว่าพ่อกับแม่ ต่อไปรุ่นลูกไม่มีสมบัติที่จะขายกิน ก็ต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างเขา เพราะว่าความรู้ไม่มี คราวนี้พวกมอญ พวกพม่า พวกเขมร เข้ามาบ้านเราเขาขยันทำงาน ส่วนใหญ่ก็มีกิจการเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นของตัวเองแล้ว อีกไม่นานก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกันกับคนจีนสมัยก่อน ที่มาแบบเสื่อผืนหมอนใบ ท้ายสุดก็กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่กันหมด พวกนี้ก็ต้องไปเป็นลูกจ้างเขา

ฟังแล้วรู้สึกดีจริง ๆ ได้มีเจ้านายเป็นมอญ เป็นพม่า เป็นเขมรบ้าง เพราะฉะนั้น...ให้ก้มหน้าก้มตาจิ้มมือถือกันต่อไป ลูกหลานจะได้เป็นลูกน้องต่างด้าวเขาบ้าง...!"

เถรี
09-03-2017, 17:06
"ดูจากการวิเคราะห์ของเขาแล้ว มี แนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่าตอนนี้ในเรื่องของการศึกษา เฉพาะแค่ในอาเซียน ของเราสู้เขาไม่ได้สักประเทศเดียว คนอื่นเขามีการศึกษามากกว่า มีความรู้มากกว่า ทรัพยากรมีเท่าเดิม คนที่มีความรู้มากกว่า มีความสามารถมากกว่าก็ไขว่คว้าไปหมด หรือไม่ต้องเรียนอะไรมาก พอถึงเวลาก็ “ชิตัง เม โป้ง...รวย…!” เรียบร้อย ตูไปแซวใครอีกหรือเปล่าวะนี่ ?

เมื่อเดือนก่อนแม่พลอย (เว็บมาสเตอร์กระโถนข้างธรรมาสน์) พาลูกสาวมาจากญี่ปุ่น บอกว่าทางด้านญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทย อยากได้คนที่จะติดต่อกับทางด้านเมืองไทยให้ ก็เลยเอาลูกสาวแม่พลอยที่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งมีเลือดแม่อยู่ประมาณเสี้ยวหนึ่ง ที่เหลือเขาก็เลี้ยงดูมาแบบญี่ปุ่นทั้งหมดนั่นแหละ แปลว่าต่างประเทศเข้ามาลงทุน เขาก็ต้องการคนที่รู้จักและเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของบ้านเขา การติดต่อประสานงานทุกอย่างจะได้ราบรื่นคล่องตัว แล้วถ้าตัวเราเป็นลูกหลานยังก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์มือถืออยู่ แล้วงานดี ๆ จะเหลือไหม ?

อาตมาไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไม่มี Facebook ไม่มี Skype ไม่มี Instagram ขอยืนยันว่าไม่ตาย อยู่ได้สบายดีด้วย คนโบราณ...ไม่ต้องโบราณมากหรอก เอาแค่สมัย ๓๐ - ๔๐ ปีที่แล้ว ทำไร่ทำนาเป็นส่วนมาก พอถึงเวลาดำนาเสร็จก็เข้าเดือน ๗ พอต้นเดือน ๘ ก็บวชลูก ว่างไม่มีอะไรทำ...จึงเอาลูกเข้าวัด ให้บวชศึกษาเล่าเรียนไป ครบพรรษาสึกหาลาเพศออกมาหลังรับกฐินแล้ว รับกฐินเดือน ๑๒ ออกมาพักผ่อนได้อีกพักใหญ่เลย เพราะกว่าจะเกี่ยวข้าวได้ก็เดือนยี่เดือน ๓ พ่อแม่ช่วงนั้นไม่มีอะไรทำ ก็ชนไก่ กัดปลา ทำน้ำตาลเมา โอ๊ย...สนุกสนานเฮฮา มีเวลาว่างเยอะมาก

รุ่นของเราอะไร ๆ ทุกอย่างสะดวกคล่องตัวไปหมด สมัยก่อนลูกบวชแต่ละทีเดินข้ามทุ่งไปบอกข่าวญาติพี่น้องตัวเอง เดินกันเป็นวัน บางบ้านญาติอยู่ไกลหน่อยกลับไม่ทัน ก็ต้องค้างคืน ๒-๓ คืน สมัยนี้ยกโทรศัพท์ ๓ วินาทีไปทั่วโลก แต่เวลาหายไปไหนหมด ? ก็ไปอยู่กับการนั่งจิ้มโทรศัพท์บ้าง นั่งอัพ Facebook บ้าง ขยันกันจริง ๆ เลย ขยันทำไอ้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ ทำแล้วไม่ได้สตางค์"

เถรี
09-03-2017, 17:08
พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมท่านนี้หยอดเหรียญทำบุญวันละ ๒๐ บาท ถ้าทำได้สม่ำเสมอแบบนี้ถือว่าเป็นทั้งทานบารมี เป็นทั้งสัจจบารมี

สัจจบารมี คือ การที่เราจริงจังจริงใจ ทำอะไรสม่ำเสมอทุกวัน ถามว่าจะดูตัวอย่างสัจจบารมีที่ชัดเจนดูอย่างไร ? ดูจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านได้ตรัสในวันบรมราชาภิเษกว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี พระองค์ท่านทำได้ตามที่ตรัสไว้ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะความสุขสบายส่วนพระองค์ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนชาวไทย

ตัวอย่างที่ชัด ๆ อีกก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านนั่งลงที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตั้งพระทัยว่า จะไม่ลุกขึ้นถ้าไม่บรรลุธรรม ในบาลีว่า แม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป ชีวิตินทรีย์นี้จะสิ้นไป ถ้าไม่บรรลุธรรมแล้วพระองค์ท่านจะไม่ลุกขึ้น พระองค์ท่านก็บรรลุธรรมที่ทรงค้นคว้ามาตลอด ๖ ปีเต็ม

ในเรื่องของการทำบุญ บุคคลที่มีสัจจบารมี ก็คือใช้ความพยายามกระทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่โยมหยอดกระปุกวันละ ๒๐ บาท ถ้าจะให้ดีควรภาวนาคาถาเงินล้านไปด้วย ทำทุกวันผลพิเศษที่จะพึงได้ก็คือ มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ของเรามากขึ้น เราทำจริงมาแล้วก็เพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง เสียเวลาไม่มาก ภาวนาสักจบหนึ่งก็ได้ ถ้ามีเวลาก็เอาสัก ๙ จบ"

เถรี
09-03-2017, 17:48
ถาม : ในบางครั้งเรานั่งสมาธิใจแกว่ง ไม่รวม ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน ใจไม่รวมเป็นหนึ่ง ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไปจนสุด หายใจออกกำหนดรู้ตามออกมาจนสุด เผลอคิดเรื่องอื่นเมื่อไรก็ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ แรก ๆ ก็ต้องสู้กันอย่างนี้อยู่พักหนึ่ง จนกว่ากำลังเราจะมากกว่า ก็สามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้

ถาม : ทำถูกไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทำถูกไม่กี่นาทีก็นิ่งแล้ว คำว่าทำถูกก็คือ ให้สติสมาธิทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น โดยเฉพาะไม่ต้องไปคิดอยากให้สงบ ถ้าเราอยากให้สงบนั่นคือตัวฟุ้งซ่าน เรามีหน้าที่ภาวนา จะสงบไม่สงบไม่ใช่เรื่องของเรา

ถาม : อย่างวิญญาณ....?
ตอบ : เรื่องของมัน...! เรื่องของเราก็ยุ่งมากพอแล้ว จะไปสนใจอะไรกับวิญญาณ ตัดใจไม่ได้ก็ให้ทนทุกข์ทรมานของมันไป

เถรี
10-03-2017, 09:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วันที่ ๑ เมษายน เป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งเป็นวันที่ค่อนข้างจะหายาก ถ้าเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรงด้วยยิ่งดีใหญ่เลย เพราะเท่ากับเป็นปีที่ ๕ ด้วย แต่ว่าได้แค่ขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

วันเสาร์ ๕ นี้ วัดท่าขนุนออกวัตถุมงคล ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ สร้างจากเนื้อยาจินดามณี อย่างที่ ๒ ก็คือ กำไลนวหรคุณ อันนี้มีแต่เนื้อเงินอย่างเดียว

เนื้อยาจินดามณีตามตำรับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วนั้น สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนผสมหลายอย่างหายากมาก อย่างเช่นอำพันทอง บางคนบอกว่าอำพันทองเป็นไขมันปลาวาฬ บางคนบอกว่าเป็นน้ำเชื้อของปลาวาฬ ซึ่งพอแข็งตัวแล้วโดนคลื่นซัดมาติดฝั่ง ชาวประมงที่โชคดีมาเจอก็รวยไป ถามว่าแพงขนาดไหน ? ก็น่าจะแพงพอ ๆ กับทองคำจริง ๆ เพราะว่าแค่เอามาทำส่วนผสมหน่อยเดียว ราคาตั้ง ๘๐,๐๐๐ บาท...!

อีกส่วนหนึ่งก็คือนอแรด สมัยนี้ไม่ต้องไปหวัง มีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องมีของเก่าที่หลงเหลือมา ยังโชคดีว่ายังพอที่จะหาได้ งาช้างกำจัดกลับหาไม่ยาก เพราะอาตมามีอยู่หลายชิ้น ที่หายากในสมัยก่อนอีกอย่างก็คือน้ำนมเสือ สมัยนี้หาไม่ยากหรอก...ตามฟาร์มเสือมีเพียบ ขอให้มีเงินเท่านั้น ส่วนผสมอื่น ๆ อย่างพวกบรรดาสมุนไพรนั้นยังพอหาได้อยู่"

เถรี
10-03-2017, 09:37
"ยาจินดามณีรักษาโรคที่หาสาเหตุไม่ได้เกือบทุกโรค บางคนสงสัยว่าสร้างเป็นรูปพระแล้วจะทำเป็นยาอย่างไร ? ถ้าคิดว่ากลืนทั้งองค์ได้ก็เอา...! โบราณเขาใช้ฝนกับฝาละมี ยาจินดามณีใช้น้ำมะนาวเป็นกระสาย ฝนกับฝาละมี อาตมาก็สงสัยว่าที่ฝนออกมานั่นเป็นยาหรือว่าเป็นผงจากฝาละมี ฝาละมีก็คือฝาหม้อดิน สมัยนี้ไม่ได้หุงข้าวด้วยหม้อดินกันแล้ว ก็เหลือแต่ฝาหม้อยาเท่านั้น

ใช้อธิษฐานรักษาโรค ถ้าไม่ใช่เพราะหมดอายุขัยจริง ๆ เท่าที่พบมาก็สามารถอยู่รอดมาได้จนหมอเองก็ยังงง เพราะส่วนใหญ่หมอมักจะบอกว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วัน แต่พอเจอยาจินดามณีเข้าไปกลับอยู่ต่อมาได้อีกเป็น ๑๐ ปี แต่ที่อาตมาเจออย่างหลวงพี่มหาทรงกลด ฉันยาจินดามณีไปเป็นกำก็ยังมรณภาพ แสดงว่าหมดอายุจริง ๆ

เนื่องจากส่วนผสมต่าง ๆ หายาก โอกาสที่จะทำได้จึงมีน้อย โดยเฉพาะว่าสมัยนี้ที่ทำได้เต็มสูตรจริง ๆ หาได้ยากมาก สมุนไพรหลายชนิดก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าป่าหมดไปทุกวัน"

เถรี
10-03-2017, 09:40
"ในส่วนของอำพันทองนี่ได้จากลูกศิษย์ คือ พระครูสมุห์อานนท์ อานนฺโท วัดบึงลาดสวาย ท่านอุตส่าห์เสาะหามาได้ ท้ายสุดอาตมาเองก็จ่ายสตางค์น้อย เพราะลูกศิษย์บอกว่าที่เหลือจะทำถวาย จึงบอกว่าพยายามเอาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ส่วนผสมจะอำนวยให้ ท่านคำนวณมาให้แล้วว่าน่าจะได้สัก ๖,๐๐๐ องค์ แต่ ๖,๐๐๐ องค์นี้ ถ้าคนรู้คุณค่าจริง ๆ อาตมาเชื่อเลยว่าไม่พอ

คิดว่าตัวอาตมาเองก็ต้องเก็บเอาไว้บ้าง เพราะสุขภาพชำรุดไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาหมอสมัยใหม่รักษาไม่ได้ก็ต้องอาศัยยาจินดามณี สมัยก่อนเขารักษาด้วยตัวยาและคุณพระ อย่าลืมคำว่า "คุณพระ" อำนาจของพลังจิตบวกกับบารมีครูบาอาจารย์ ตลอดจน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำให้สามารถรักษาโรคที่หาสาเหตุไม่ได้

แต่จะว่าหาสาเหตุไม่ได้ก็ไม่ใช่หรอก สาเหตุใหญ่คือเราสร้างกรรมปาณาติบาตเอาไว้ แต่คราวนี้หมอสมัยใหม่หาสาเหตุไม่ได้ ก็บอกว่าโรคไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะสมัยนี้เชื้อโรคพัฒนาเร็วมาก พัฒนาจนกระทั่งยาสมัยใหม่เอาไม่อยู่ สมัยก่อนเรามีเพนิซิลินก็มั่นใจว่าเอาอยู่ทุกโรค ที่ไหนได้...ปัจจุบันนี้เพนิซิลินอาศัยไม่ได้เลย"

เถรี
10-03-2017, 09:49
"ส่วนกำไลนวหรคุณ คำว่า นวหรคุณ ก็คือ คุณอันยิ่งใหญ่ ๙ ประการ หมายถึง คุณของพระพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?

๑. อะระหัง ๒. สัมมาสัมพุทโธ ๓. วิชชาจะระณะสัมปันโน ๔. สุคะโต ๕. โลกะวิทู ๖. อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ ๗. สัตถา เทวะมะนุสสานัง ๘. พุทโธ ๙. ภะคะวา

คุณพระพุทธเจ้า ๙ ประการ
อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส คือสามารถละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติที่ดีงามทั้งปวง
สุคะโต เสด็จไปไหนก็นำความสุขความเจริญไปให้เขา และโดยเฉพาะมีสุคติคือพระนิพพานเป็นที่ไป
โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก โลกในที่นี้หมายถึงโลกภายในร่างกายของเรา โลกคือสรรพสัตว์ทั้งปวง และโลกคือดวงดาวต่าง ๆ พระองค์ท่านรู้แจ้งทุกอย่าง
อะนุตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ เป็นสารถีคือผู้ฝึกสอนที่ไม่มีใครเหนือกว่า บุคคลถ้าหากว่าไปถึงพระองค์ท่านที่สอนไม่ได้นั้นไม่มี
สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วจากกิเลสทั้งปวง
ภะคะวา เป็นผู้จำแนกแจกธรรม สั่งสอนสรรพสัตว์"

เถรี
10-03-2017, 09:56
"ในส่วนที่เป็นอัตตหิตสมบัติ คือคุณเฉพาะของพระองค์เอง คือ อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติที่ดีงามทั้งปวง สุคะโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว นำความสุขความเจริญไปทุกที่ โดยเฉพาะมีพระนิพพานเป็นที่ไป โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก ทั้งโลกภายในคือร่างกาย โลกภายนอกคือหมู่สัตว์ โลกคือดวงดาวต่าง ๆ อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้ฝึกสอนที่ไม่มีใครเหนือไปกว่านี้อีกแล้ว

ในส่วนของปรหิตสมบัติ คือคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็คือ สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา ส่วน พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สอนผู้อื่นเพื่อให้รู้ตามได้ ภะคะวา เป็นผู้จำแนกแจกธรรม ไปไหนก็นำเอาโชคคือความดีใหญ่ไปให้เขาในที่นั้น

ส่วนนี้ทั้งพุทโธและภะคะวา เป็นทั้งอัตตหิตสมบัติ คือคุณเฉพาะตน และปรหิตสมบัติ คือคุณสำหรับบุคคลอื่นด้วย"

เถรี
10-03-2017, 09:59
"กำไลนวหรคุณ อาตมาสร้างขึ้นมาตามตำราของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) พุทธสรมหาเถระ วัดอนงคาราม ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง

หลวงปู่ท่านทำเป็นแหวน ส่วนอาตมาทำเป็นกำไล อาจารย์ปู่ท่านทำเป็นแหวน ใส่ง่ายดี มารุ่นลูกศิษย์ถ้าทำเป็นแหวนซ้ำไป เดี๋ยวจะกลายเป็นซ้ำรอยครูบาอาจารย์ จึงดัดแปลงเป็นกำไลแทน โดยเฉพาะว่ามีการถือเคล็ดว่า คำว่า “กำไร” คือ ไม่มีขาดทุน

กำไลนี้ทำเฉพาะเนื้อเงินเนื้อเดียว ใครที่ประเภทยักกระสายรออยู่ว่าจะมีเนื้อทองคำหรือเนื้ออื่น ๆ ไหม ? ไม่มีนะ แค่ทำเนื้อเดียว ควักเงินค่าเม็ดเงินไปแล้ว ๙๐ กิโลกรัม ถามว่ากิโลกรัมละเท่าไร ? ๒๐,๔๐๐ บาท คูณเอาเองก็แล้วกัน ถ้าหากว่านับเฉพาะน้ำหนักเงิน กำไลวงเดียวก็เกือบ ๒ บาทไปแล้ว อย่าบอกให้ทำมากกว่านั้น ไม่มีสตางค์...ทำแค่นั้นแหละ...ไปแบ่งกัน ถ้าไม่พอก็ไปตีกันเอาเอง"

เถรี
10-03-2017, 20:36
ถาม : ท่านที่ได้พระโสดาบันตั้งแต่สมัยพุทธกาลที่ยังไม่เข้าพระนิพพาน เป็นเพราะกำลังท่านยังไม่พอ หรือเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สงสัยแล้วได้อะไร ?

ถาม : จะมาเทียบกับกำลังใจตัวเองครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเทียบหรอก ทำตัวเป็นพระโสดาบันให้ได้ก่อน

คนสมัยพุทธกาลบรรลุมรรคผล เพราะส่วนใหญ่แล้วแลกกันด้วยชีวิต คนสมัยเราลำบากหน่อยก็ถอยหลัง แล้วจะไปสู้เขาได้อย่างไร ?

คนสมัยพุทธกาลที่ได้พระโสดาบันแล้วปัจจุบันยังไม่เข้าพระนิพพาน มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือขึ้นไปเป็นเทวดานางฟ้าอยู่ข้างบน ระยะเวลาข้างบนกับข้างล่างต่างกันมาก เรารู้สึกว่านาน ๒,๐๐๐ กว่าปี แต่เวลาข้างบนไม่กี่วัน ประการที่ ๒ คือยังมีภารกิจที่ตัวเองจะต้องกระทำอยู่ ติดอยู่ด้วยภารกิจ ต้องลงมาเกิดใหม่ ถ้าหากว่าสูงไปกว่านั้นไม่สามารถที่จะเกิดได้ ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่แค่พระโสดาบันเพื่อทำภารกิจของตัวเอง

เถรี
10-03-2017, 20:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เห็นการเจ็บป่วยเป็นทุกขลาภก็แล้วกัน คือทำให้เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรดีเลย ถ้ายังอยากจะเกิดอีกก็แปลว่ายังอยากจะเจ็บป่วยอย่างนี้อีก"

เถรี
10-03-2017, 20:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางคณะกรรมการดูแลบ้านเติมบุญอยากจะทำบุญบ้านที่นี่ อาตมายังสงสัยว่าพื้นที่พอให้ทำบุญไหม ? ถ้าจะทำบุญบ้านก็คงจะเป็นเดือนพฤษภาคม น่าจะเป็นวันเสาร์ เพราะว่าญาติโยมหยุดงานมาร่วมบุญกันได้ มีวันอาทิตย์ให้อาตมาฟื้นตัววันหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดทำบุญวันอาทิตย์ อาตมาก็คงจะต้องคลานไปสอนหนังสือ..!

โดยเฉพาะเทอมนี้โหดมาก เฉพาะที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาฯ อาตมาเจอไป ๕ ห้องด้วยกัน มีปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตร์ ปี ๑ พุทธศาสนา ปี ๑ การจัดการเชิงพุทธ ปี ๒ รัฐประศาสนศาสตร์ ปี ๒ และ การจัดการเชิงพุทธ ปี ๓ รวมทั้งหมด ๕ ห้อง ของปี ๓ นี่ ๓ หน่วยกิต คูณเข้าไปแล้วกันว่าใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวัน วันอังคารต้องสอนที่วัดใต้ วันพุธเผื่อไว้สำหรับวัดป่าเลไลยก์ที่มาแบบไม่ได้นัดหมายอยู่เรื่อย

หลังจากที่ใคร ๆ เขาบอกกันว่าพระอาจารย์เล็กใจดี...ปล่อยเกรด เจอปล่อยเกรด F ไป ๒๐ กว่าคน เข็ดไปตาม ๆ กัน วันก่อนยังเดินหน้าเหี่ยว ๆ มาถามว่า “แล้วผมจะแก้ F อย่างไร ?” “อ๋อ...ไม่ยาก ถ้าปีหน้ามีวิชานี้ก็มาลงเรียนใหม่” เกรด F ที่ไหนเขาแก้กันวะ ? เรียนด้วยกัน ๑๖ อาทิตย์ ๓๒ ชั่วโมง ได้เห็นหน้าไม่ถึง ๑ ชั่วโมง แล้วจะปล่อยให้สอบได้อย่างไร ?"

เถรี
10-03-2017, 20:54
"อาตมาสอนวิทยาลัยสงฆ์ ส่วนที่สบายใจที่สุดก็คือการเรียนของพระภิกษุสามเณร พระภิกษุสามเณรที่ไปเรียนวิทยาลัยสงฆ์ส่วนใหญ่อยากเรียน ถึงขนาดต้องลงทุนบวชเข้ามาเพื่อจะได้มีโอกาสเรียน เพราะฉะนั้น...แต่ละท่านจะตั้งใจเรียนกันมาก

แต่ขณะเดียวกันบรรดาฆราวาสที่มาเรียนรัฐประศาสนศาสตร์บ้าง บริหารรัฐกิจบ้าง มาเรียนเพราะสภาพสังคมบังคับ ทางบ้านบังคับให้เรียนบ้าง การทำงานต้องใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปบ้าง ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจมาเรียนก็ใช้วิธีนั้นแหละ ก็คือมาเรียนบ้าง ไม่มาเรียนบ้าง อาตมาก็แจกเกรดไปตามความประพฤติ ถือว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นแหละ"

เถรี
15-03-2017, 08:59
พระอาจารย์สนทนากับพระที่เรียนบาลี "เรียนให้รู้ไว้ว่าที่ผมบอกว่ายากก็คือยากจริง ๆ ผมยืนยันว่าใครจบประโยค ๙ นี่จบด็อกเตอร์ได้ ๓ ใบเลย แต่ส่วนใหญ่พอผมบอกแล้วมักจะไม่ค่อยเชื่อ ต้องไปเจอเองแบบนี้แหละ

ไปเรียนทั้งทีก็เอาคำว่า "มหา" ติดมือมาหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็ยังเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ อย่าลืมว่านั่นเป็นสมณศักดิ์พระราชทาน ถ้าหากว่าจบประโยค ๙ ถึงขนาดมีรถยนต์หลวงรับไปส่งถึงวัด ไหน ๆ ไปเรียนแล้ว เอาให้ได้สัก ๓ ประโยคก็ยังดี"

เถรี
15-03-2017, 09:09
ถาม : อยากทราบประวัติแม่นางกวักครับ
ตอบ : ไปค้นเอาในอินเทอร์เน็ต มีเยอะแยะไป

ถาม : มีที่เชื่อถือได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เชื่อเสียอย่าง จะมีอะไรเชื่อถือได้วะ ?

ไปหาหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ ของหลวงปู่อ่ำ (พระราชกวี) วัดโสมนัสวรวิหาร มาอ่านดู จะมีประวัติของนางกวักที่ละเอียดมาก อาตมาเคยมีอยู่หลายเล่ม หนังสือเล่มใหญ่ ๆ นึกว่าไม่มีคนสนใจ ปรากฏว่าโดนเขาหยิบไปเกลี้ยงเลย อ่านแล้วจะได้รู้ต้นกำเนิดลายสือไทย ความเป็นมาของชนชาติไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สรุปแล้วนางกวักเป็นคนไทยด้วยนะ

เถรี
15-03-2017, 09:14
พระอาจารย์กล่าวกับโยมชาวภูเก็ตว่า "อาตมาจะหาเวลาไปภูเก็ตยังปลีกตัวไม่ออกเลย เจ้านายเรียกใช้หูดับ วันนี้ยังอุตส่าห์โทรมาทวง สำคัญตรงที่ว่าท่านสั่งอาตมาแล้วงานเสร็จ สั่งคนอื่นแล้วงานไม่เสร็จ ในเมื่อสั่งแล้วเสร็จท่านก็ใช้อาตมาไปเรื่อย

เมื่อครู่ที่ท่านโตโต้ถามว่าดันทุรังกับพยายามต่างกันอย่างไร ? ก็คือ เวลาเจองานยาก อาตมาสู้จนกว่าจะจบ แต่คนอื่นเจองานยากก็จะตีลูกมึน ทำไม่รู้ไม่ชี้...ไม่ทำ ความพยายามจึงต่างกัน ส่วนใหญ่พอถึงเวลาเขามักจะทำไม่สำเร็จ ส่วนของอาตมาเท่าที่ผ่านมาก็คือสำเร็จ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เลยกลายเป็นว่าท่านเรียกใช้แต่อาตมา

เจอหลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ท่านถามว่า "เป็นอย่างไรบ้างวะเล็ก ?" "เหนื่อยฉิบหา..เลยครับหลวงพ่อ ขออภัยที่พูดคำหยาบ ตอนหลวงพ่อเป็นเจ้าคณะภาค ผมไม่เห็นจะเหนื่อยอย่างนี้เลย มาสมัยนี้คำสั่งไม่ผ่านจังหวัด ไม่ผ่านอำเภอหรอก ยิงมาลงตรงที่วัดเลย” ท่านก็อุตส่าห์ปลอบใจว่า “ดี...เจ้านายเรียกใช้แสดงว่าเขาเห็นความสามารถ” โอ้โฮ...ขอได้ไหมครับเรื่องนี้ ไม่ต้องเห็นความสามารถของผมหรอก

พวกเราส่วนใหญ่กว่าจะหนีงานมาถึงบ้านเติมบุญนี่ได้ก็สาย ต้องเข้าที่ทำงาน ต้องเซ็นชื่อ ต้องอยู่ให้เจ้านายเห็นหน้า พอเจ้านายเผลอแล้วค่อยแวบมา ก็เลยมาสายกันแทบทั้งนั้น"

เถรี
15-03-2017, 09:17
"ปีนี้ทางอำเภอทำประวัติเพื่อเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ถ้าเป็นไปตามที่ท่านให้ ก็แปลว่าได้เลื่อน ๖ ขั้น โอ้โฮ...๖ ขั้นนี่ถ้าเป็นเงินเดือนราชการก็รวยตายเลย แต่ขอโทษ...ของพระเลื่อน ๖ ขั้นได้เงินเพิ่ม ๒๐๐ บาท..! ถามว่าประวัติหนาเท่าไหร่ ? ๒๗๘ หน้า เฉพาะเซ็นรับรองประวัติอย่างเดียวก็มือหงิกแล้ว แล้วต้องเซ็นตั้ง ๓ เล่มอีกด้วย

ถามว่าทำไมมากขนาดนั้น ? ก็แค่เรื่องการให้ทุนการศึกษานักเรียนอย่างเดียว อาตมาให้ทุน ๘ โรงเรียน โรงเรียนละ ๒๐ ทุน ๒๐ ทุนนี้ต้องใช้กระดาษ ๒ หน้าเพื่อทำรายชื่อ ๘ โรงเรียนเท่ากับ ๑๖ หน้า แล้ว ๕ ปี เป็น ๘๐ หน้า..! ยังไม่ต้องคิดถึงอย่างอื่น นี่แค่ทุนนักเรียนอย่างเดียว ยังไม่นับทุนอุดมศึกษา ทุนของพระภิกษุสามเณร แล้วไหนจะงานก่อสร้าง งานบูรณปฏิสังขรณ์งานสาธารณสงเคราะห์อะไรอีก ทำโน่นทำนี่ให้ประโยชน์แก่ข้างนอกเขาอีกเยอะแยะ

ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมจะคิดว่าพระฉันแล้วนอน นับเป็นภาพพจน์ที่แย่มาก ความจริงแล้วพระเราทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติแต่ละปี ๆ มากมายมหาศาล แต่ไม่มีหน่วยงานที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ ก็เลยกลายเป็นว่าทำดีไม่มีคนชม แต่ถ้าหากว่ามีไอ้พวกชั่วโผล่มาหน่อยนี่โดนด่าเช็ดไปเลย แล้วก็เหมารวมกันไปทั้งหมด"

เถรี
15-03-2017, 09:19
"โดยเฉพาะสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน วันก่อนท่านบอกกับญาติโยมที่ไปหาว่า อย่าไปถวายเงินพระ เพราะว่าจะทำให้พระศีลขาดต้องอาบัติ ท่านพูดถูก แต่ว่าต้องไปใช้สำหรับสมัยพุทธกาล เพราะว่าสมัยก่อนไม่ว่าจะที่อยู่ ที่อาศัย ปัจจัยต่าง ๆ ญาติโยมให้การสงเคราะห์พระทั้งหมด แต่พอมาถึงยุคพัฒนาประเทศของเรา ญาติโยมมัวแต่ทำมาหากินเพื่อสร้างบ้านแปลงเมือง ให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ ก็ทิ้งภาระให้พระดูแลบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามด้วยตัวเอง ก็คือถวายเป็นปัจจัยไปให้พระท่านจัดการเอง

สมัยนี้ไม่ว่าจะขึ้นรถ ลงเรือ เข้าร้านอาหาร ก็ต้องใช้เงินใช้ทองทั้งหมด น้อยคันที่จะถวายพระให้ขึ้นฟรี ปัจจุบันนี้คงจะหาไม่ได้แล้ว ร้านอาหารก็น้อยแห่งที่จะถวายพระฟรี เพราะฉะนั้น...เรื่องของเงินทองก็เลยกลายเป็นว่า ปัจจุบันนี้แม้เป็นพระก็ต้องรับ เพียงแต่ว่ารับแล้วอย่าให้เงินทองมีอำนาจอิทธิพลเหนือเรา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า เมื่อใช้ให้สมควรแก่สมณสารูปแล้ว ส่วนที่เหลือให้ผลักลงในกองบุญการกุศล จะเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานก็ได้ เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"

เถรี
15-03-2017, 09:21
"ถ้าเราสังเกตดูจะเห็นว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดคือ ๒๔ ปี พระองค์ท่านไม่เคยตรัสเรื่องอย่างนี้ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องจำเป็น แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ท่านเคร่งครัดในเรื่องของศีลมาก....เรื่องเงินนี่ท่านไม่แตะเลย

อาตมาเองก็อยากจะกราบทูลว่า อาตมาไม่ใช่สมเด็จพระราชาคณะ ไม่ใช่สมเด็จพระสังฆราช ไปไหนจะได้มีรถยนต์หลวงมารับ ไม่ว่าเสด็จไปไหนจะได้มีลูกศิษย์หิ้วย่ามตามคอยจ่ายแทน พระองค์ท่านตรัสอย่างนั้นถูกต้อง แต่ว่าต้องย้อนหลังไปสมัยโน้น สมัยที่อาตมายังแก้ผ้าวิ่ง ไม่ใช่บริบทของสังคมสมัยนี้ที่เปลี่ยนไป

ฉะนั้น...บางอย่างต้องดูด้วย ถ้าหากว่าญาติโยมไม่ให้การสนับสนุนสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ วัดวาอารามอยู่ไม่ได้ พระเราก็มีความผิดทั้งทางโลกทั้งทางธรรม ก็คือไม่ได้ดูแลพัฒนาวัดให้สะอาด สว่าง สงบ และคู่ควรแก่การที่ญาติโยมจะเข้าไปทำบุญ จะพัฒนาอย่างไรก็ในเมื่อปัจจัยไม่อำนวยให้ จะให้ไปอยู่กระต๊อบแบบสมัยก่อนก็ได้ แต่ว่าญาติโยมก็คงไม่เข้าวัดเข้าวา ศาสนาอยู่ไม่ได้ คงจะสูญพันธุ์ไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ได้ยินว่าลูกศิษย์สายวัดป่า ซึ่งก็คือสายของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องกฎหมายใหม่นี้แล้ว บอกว่าเป็นการทำลายพระธรรมวินัยในการที่จะเอาฆราวาสมาควบคุมพระ อาตมาขอฝากเฉพาะเรื่องห้ามพระรับเงินรับทอง ให้ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว คนคิดออกมานั่นบ้าชัด ๆ"

เถรี
15-03-2017, 20:00
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องเก็บลายมือครูบาอาจารย์ อาตมาก็เคยเก็บลายมือหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่ฉบับหนึ่งที่หลวงตาวัชรชัยอยากได้มากเลย

วันหนึ่งอาตมาเข้าเวรอยู่ หลวงพ่อท่านก็เรียก แล้วก็ส่งกระดาษให้แผ่นหนึ่ง บอกว่า "ไปตามตัวมา" มีเขียนรายชื่อพระอยู่ ๓-๔ รูป รวมทั้งชื่อหลวงตาวัชรชัยด้วย อาตมาก็ไปตามตัวมา

หลวงตาวัชรชัยก็นั่งใจเต้นแล้วเต้นอีก "เรื่องอะไรวะ ?" ปรากฏว่าพอได้เวลาหลวงพ่อท่านก็ออกมา “เฮ้ย...ไม่ใช่ไอ้นี่ ช่างไฟน่ะ..ช่างไฟ” “อ๋อ...หลวงพี่ธวัชชัยครับ” “เออ...นั่นแหละ” ชื่อคล้าย ๆ กันท่านเขียนเป็นวัชรชัย ...(หัวเราะ)... ลองคิดดู คนที่งานก็ไม่มี ทำอะไรผิดก็ไม่ได้ทำ ทำไมอยู่ ๆ โดนเรียก ? หลวงตาวัชรชัยบอก "หัวใจจะวายตาย นั่งรออยู่ ๑๕ นาที กูคิดแล้วคิดอีกว่าจะโดนอะไรวะ"

เถรี
15-03-2017, 20:06
ถาม : ตอนนี้พยายามไม่ให้คิดไม่ดี หรือทำไม่ดี พยายามไม่ "พอใจ" หรือถ้า "ไม่พอใจ" ก็พยายามรักษาไม่ให้ "ไม่พอใจ" รักษาใจไว้ตรงกลาง อย่างนี้ทำถูกต้องหรือไม่ และควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : รักษาศีล ทำสมาธิ ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นถึงความไม่ดีของร่างกายนี้และโลกนี้ อารมณ์ใจต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นแล้วรับรู้ รับรู้แล้วปล่อยวาง สิ่งที่ดีเกิดขึ้นก็รักษาไว้ สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นก็ขับไล่ออกไป มีเท่านั้นแหละ

ถาม : พอหลังจากประคองอย่างนี้แล้ว กลายเป็นคนโกรธง่ายครับ พอตั้งใจว่าจะทำแบบนี้ทีไรก็เป็นครับ ?
ตอบ : การปฏิบัติจะมีสิ่งที่มาทดลองเสมอ เราตั้งใจจะละสิ่งไหนสิ่งนั้นจะมาลอง ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าชนะได้ก็จดจำไว้ว่าชนะได้ด้วยวิธีไหน ถ้าหากว่าแพ้ก็ตัดสินใจว่าเราจะเริ่มต้นใหม่ ก็เท่านั้นเอง

เถรี
15-03-2017, 20:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนก่อนรัฐบาลบอกว่าอัตราการเกิดตายของเราเท่ากัน ในเมื่ออัตราการเกิดกับตายเท่ากัน จำนวนประชากรจะลดลง เขาขอร้องให้มีลูกเพิ่มขึ้น แต่รู้สึกว่าแต่ละคนจะขวัญหนีดีฝ่อ ไม่อยากมีลูกกันทั้งนั้น

การมีลูกสมัยโบราณของเราบอกว่า “มีลูกหนึ่งคนจนไป ๗ ปี” สมัยโบราณนั่นในน้ำมีปลาในนามีข้าว สมัยนี้ “มีลูกหนึ่งคนจนไป ๒๒ ปี” กว่าลูกจะเรียนจบปริญญามาทำงาน ถ้า ๒๒ ปีแล้วลูกไม่ทำงานก็จนต่อไป

อาตมาเป็นคนไม่เคยตกงาน ที่ไม่เคยตกงานเพราะว่าไม่เคยเลือกงาน ถ้ามีงานให้เลือกจะเลือกทำอย่างที่ยากเสมอ เพราะว่างานนั้นไม่มีใครแย่งกับเรา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นพอถึงเวลาแล้วก็มีงานทำอยู่เรื่อยแหละ คนอื่นเขาเลือกงาน ลำบากเขาไม่เอา เขาก็ตกงาน ส่วนอาตมาชอบลำบากจึงกลายเป็นไม่ค่อยตกงาน

ปัจจุบันนี้เวลาของตัวเองแทบจะไม่มี วิ่งไปวิ่งมาเรื่องงานหลวงงานราษฎร์อยู่ตลอด วันก่อนเพิ่งจะไปส่งพระอุปัชฌาย์รุ่นน้อง บริจาคเงินสนับสนุนงานอบรมกรรมฐาน เขาบอกว่าเพื่อนร่วมรุ่นไม่ไปก็ได้ แต่อาตมาไม่ไปไม่ได้ คนอื่นไม่ไปไม่เป็นไร อาตมาเป็นประธานรุ่นไม่ไปไม่ได้

ในรุ่นที่ไปอบรมมาด้วยกันมีเจ้าคุณหลายรูป มีรองเจ้าคณะภาค ๔ รูป แต่เขานึกอย่างไรก็ไม่รู้เลือกให้อาตมาเป็นประธาน ก็คือเกิดจากการที่ทำงานโดยไม่เกี่ยง ช่วงระยะเวลาที่อบรมอยู่ด้วยกัน ๑๗ วัน ปฏิบัติธรรมด้วยกันอีก ๑๕ วัน มีงานอะไรหนักเบาอาตมาทำหมด อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นว่าใช้ง่ายกระมัง ? เขาก็เลยช่วยกันเลือกให้เป็นประธานรุ่น"

เถรี
15-03-2017, 20:11
"การทำงานมีแต่กำไรไม่มีขาดทุน เป็นการสั่งสมประสบการณ์ เมื่อสั่งสมประสบการณ์ มีความชำนาญ มีความคล่องตัว ต่อไปงานระดับเดียวกันก็ไม่มีอะไรที่เราต้องหนักใจ

พวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วก็คือ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำงานก็หวังว่าเขาจะเห็นผลงาน พอคนอื่นได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนขั้นเงินเดือนแล้วเราไม่ได้ ก็เฉาหมดสภาพ ไม่คิดที่จะทำต่อ

เราลองมานึกถึงในหลวง ร.๙ ทรงงานสิ พระองค์ท่านทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนมาตลอด ๗๐ ปีที่ครองราชย์ แม้กระทั่งเคลื่อนไหวลำบากก็ยังทรงงาน คิดงาน มีพระราชดำริให้คนอื่นไปทำแทน ระดับของพระองค์ท่านไม่ต้องทำก็ได้ แต่ก็ยังคงทำอยู่เป็นปกติ เราลองมานึกดูว่าการทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยากตลอด ๗๐ ปี ไม่มีวันพักผ่อน หรือมีวันพักผ่อนน้อยมาก ถ้าไม่ใช่หัวใจที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติและประชากร แล้วใครจะทำได้ ?

เราจะเห็นว่าสมัยนี้พอไปถึงระดับหนึ่งก็ทำเพื่อพวกพ้องหรือตัวเอง แต่ในหลวง ร.๙ ของเราไม่เคยทำอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้นต่างประเทศเขาถึงไม่เข้าใจเรา ถ้าพูดในสายตาของเขาก็คือคนตายไปคนหนึ่ง ทำไมต้องร้องไห้กันทั้งประเทศ ? เพราะว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะมีในหลวงอย่างนี้ ส่วนใหญ่ราชวงศ์ของต่างประเทศครองราชย์ก็อยู่ในลักษณะของการเสวยสุข โอกาสที่จะทำเพื่อประชาชนมีน้อยมาก"

เถรี
15-03-2017, 20:13
"เมื่อเช้ามีโยมถามว่า ทำไมบุคคลที่บรรลุโสดาบันตั้งแต่สมัยพุทธกาลยังไม่เข้าพระนิพพานยังมีอยู่เยอะแยะ ? ส่วนหนึ่งก็คือติดสุข เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมอยู่ ติดอยู่กับความสุขในทิพยสมบัติ ก็เลยไม่ได้ขวนขวายหาความก้าวหน้า

แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้เปรียบพวกเราตรงที่ว่า อบายภูมิปิดสำหรับท่านแล้ว โอกาสพลาดลงต่ำไม่มีแล้ว มีแต่เจริญขึ้น ช้าอย่างไรก็ก้าวไปข้างหน้า ส่วนพวกเรานี้โอกาสถอยหลังมีเยอะ ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง

เราต้องไปดูว่าสิ่งที่เราทำ ถ้าเรารู้สึกว่าเหนื่อย รู้สึกว่าท้อ ต้องนึกถึงว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำคืออะไร ? หลายอย่างพระองค์ท่านไม่มีโอกาสเห็นตอนที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดดอกออกผลในรัชกาลนี้ แล้วคำทำนายโบราณที่บอกว่า "ชาววิไล" ก็คือช่วงรัชกาลที่ ๑๐ เกิดจากดอกผลที่พระองค์ท่านทุ่มเทเงินต้นด้วยกำลังกายกำลังใจตลอด ๗๐ ปีที่ผ่านมา

อาตมาถือว่าโชคดีเป็นคน ๒ แผ่นดิน ในเมื่อเหยียบแผ่นดินเก่าด้วย แผ่นดินใหม่ด้วย ก็จะเห็นชัดเจนถึงความแตกต่าง ถ้าคนไม่ได้อยู่ในรุ่นเก่านานพออาจจะมองความต่างไม่เห็น สมัยก่อนทางบ้านของอาตมาเป็นทางลูกรัง ไม่มีคลองชลประทาน ไม่มีสาธารณูปโภค โครงการพระราชดำริต่าง ๆ เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำ พระองค์ท่านสอน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลได้จริง ๆ "

เถรี
15-03-2017, 20:17
"เราลองไปนึกดูหุบกะพงสมัยก่อนสิ จะไปทำอะไรกินได้ ? พระองค์ท่านทำโครงการพระราชดำริหุบกะพง แคนตาลูป เมล่อน อะไรต่าง ๆ ที่สมัยนี้ฮิตนักฮิตหนา รู้ไหมว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่หุบกะพง จากพื้นดินที่ซึ่งไม่น่าจะทำกินได้

โครงการหุบกะพง โครงการห้วยทราย โครงการพิกุลทอง ล้วนแต่เป็นแผ่นดินที่ไม่มีสภาพให้ทำกินได้เลย แต่พระองค์ท่านก็สามารถที่จะปรับปรุงจนกระทั่งทำกินได้ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกที่ในพระราชวังมีนา มีบ่อเลี้ยงปลา มีโรงเลี้ยงวัว ทั้งหมดนี้ทำเพื่อใคร ? เพาะพันธุ์พืชและสัตว์ที่ดีที่สุดให้ชาวบ้านรับไปเอาไปเพิ่มผลของตนเอง เพื่อที่จะได้อยู่ดีกินดี

เราจะเห็นว่าพระองค์ท่านประกอบไปด้วยบารมี ๑๐ อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะวิริยบารมี ความพากเพียรที่จะทำให้ชาวบ้านดีอยู่ดีกินดี มีประเทศไหนในโลกที่สามารถปราบฝิ่นได้ราบคาบโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารตำรวจ ก็มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ โครงการพระราชดำริเปลี่ยนจากฝิ่นมาเป็นพืชเมืองหนาว โครงการต่าง ๆ ไปดูสิ ไม่ว่าจะเป็นดอยอ่างขาง ห้วยฮ่องไคร้ ดอยมูเซอ ทำให้เราเห็นว่าพืชผักทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วเป็นที่ต้องการมาก แต่ว่าต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ"

เถรี
15-03-2017, 20:19
"เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ได้ดูในระยะยาว ๆ ก็จะไม่เห็นผล คราวนี้เราดูในระยะยาวที่เห็นผลแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ กำลังใจที่ทุ่มเททำเพื่อคนอื่นโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย พวกเราทำเพื่อตัวเองเราไปบ่นว่าเหนื่อย พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนหลายล้านคน ไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำ

ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เล่าให้ฟังว่า ตอนท่านเป็นร้อยโท อนุศาสนาจารย์กองทัพบก ได้มีโอกาสใกล้ชิดพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป ท่านบอกว่าตอนนั้นเพิ่งปฏิวัติใหม่ ๆ ประเทศชาติยังลำบาก แล้วพลเอกอิสระพงศ์ท่านก็ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ต้องออกตรวจเยี่ยมทหารแนวหน้า ก็แปลว่าตรากตรำกันเป็นวันเป็นคืน เพราะว่าชายแดนยาวเหยียด แต่ละฐานแต่ละแห่งอยู่ที่ไหนต้องพยายามเข้าไปให้กำลังใจ

วันหนึ่งกลับมาถึงที่พัก ท่านบ่นว่า “เฉลิมชัย...พี่เหนื่อยฉิบหา...เลย” แล้วก็หลับไปเลย ข้าวปลาไม่ได้กิน ลองดูว่านั่นทำแค่กองทัพ แต่ในหลวงท่านทำให้ทั้งประเทศ"

เถรี
16-03-2017, 19:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศไทยเป็นประเทศพระพุทธศาสนา วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์เป็นงานวันมาฆบูชา วัดท่าขนุนที่ว่าคนเข้าวัดเยอะ ๆ ยังแค่ ๑,๐๐๐ กว่าคน แต่พอวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระพุทธศาสนาเลย แห่กันไปบ้าตามฝรั่งเขาได้ทั้งประเทศ"

เถรี
16-03-2017, 19:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำไมบ้านเราแก้นิสัยกินหวานไม่ได้ ทุกวันนี้อาตมาเซ็งมากเลย เพราะกับข้าวอะไรก็หวานไปหมด วันก่อนไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ที่อร่อยเพราะไม่หวาน และลวกเส้นได้นุ่มมาก เขาไม่ได้ใส่ตะกร้อลงไปเขย่าแค่ ๓ - ๔ ทีเหมือนร้านอื่น แต่เขามีหม้อเล็กต้มเส้นไว้ต่างหาก ต้มเลยนะ ต้มเดือดคลั่ก ๆ แล้วก็เททั้งน้ำทั้งเนื้อรวมลงในชามให้เรา แบบนั้นถ้าลูกค้าเข้าร้านสัก ๒๐ คน หลัง ๆ ก็เป็นลมตายพอดี

พยายามหักห้ามตัวเองหน่อย เคยกินน้ำหวาน เช้าแก้ว กลางวันแก้ว เย็นแก้ว ก็พยายามลดลงหน่อย เช้ากับกลางวันกินไปทำไมวะ ? เพราะกินอาหารอยู่แล้ว แล้วตอนเย็นก็กินอาหารไปแล้วเหมือนกัน เขาให้ ลด ละ เลิก ไปตามลำดับ จะได้ไม่ทรมานตัวเองจนเกินไป

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้ากำลังใจของเราสามารถห้ามตัวเองไม่ให้กินได้ ก็รักษาศีลได้ทุกข้อ ต่อให้ศีล ๓๑๑ ข้อของภิกษุณีก็รักษาได้ เพราะว่ากำลังใจในการห้ามตัวเองไม่ให้กิน กับหักห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีลนั้นใช้กำลังใจเท่ากัน ห้ามปากตัวเองได้ ก็รักษาศีลได้ทุกข้อ ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกันเลยนะ"

เถรี
16-03-2017, 19:05
"ใครรู้ตัวว่าน้ำหนักเกิน โปรดอย่ากินยาลดความอ้วนเป็นอันขาด ท่านกำลังหามะเร็งใส่ตัว..! เพราะว่ายาลดความอ้วนไม่ได้ลดความอ้วนจริง ๆ แต่ดึงไขมันไปไว้ที่ตับ กลายเป็นโรคไขมันพอกตับ กลายเป็นตับแข็ง แล้วก็กลายเป็นมะเร็งตับ

ไม่มีวิธีไหนที่ดีไปกว่าการออกกำลังและกินแต่พอสมควร มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง แบบเดียวกับที่พระสายวัดป่าท่านบอกว่า "พอรู้สึกอิ่มก็ให้หยุด" พวกเรานี่รู้สึกจุกยังไม่ค่อยอยากจะหยุด..!

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาเราไม่ได้เอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะมัชฌิมาปฏิปทา หลักการสำคัญที่พระพุทธเจ้าค้นพบคืออริยสัจ ๔ กับมัชฌิมาปฏิปทา เคล็ดลับในพระไตรปิฎกที่พระองค์ท่านมอบให้ไว้ ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว ยังไม่ได้ใช้งานสมกับที่พระองค์ท่านให้เลย

อะไรที่พอเหมาะพอดีทุกอย่างจะมีคุณแก่เรา อะไรที่ขาดหรือเกินก็มักจะเกิดโทษ ขาดยังพอทน เกินทีไรได้ลำบากทุกที โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่มาพร้อมกับความอ้วน เขาเถียงว่าทำให้หุ่นน่าเชื่อถือ บ่นให้โยมฟังเรื่องอ้วนอยู่ทุกวัน รำคาญกันบ้างไหม ?"

เถรี
17-03-2017, 15:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังการบวช พระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ค่อยเคร่งครัด บรรดาลูกศิษย์ลูกหาบวชไปแล้วก็ไม่ค่อยได้อะไร พระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่เคร่งครัดมาก เขาก็ไม่อยากจะบวชด้วย สรุปก็คือไม่ได้สักเรื่อง เอาแต่ที่สบายจนไม่รู้ว่าทำผิดทำพลาดแล้วมีโทษอะไรบ้าง ไปเห็นอีกทีตอนตายก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว"

เถรี
17-03-2017, 15:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอเตือนญาติโยมอีกครั้ง เรื่องของวัดพระธรรมกายกับรัฐบาล อย่าเชียร์ใครข้างใดข้างหนึ่ง เพราะว่าจะทำให้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราเกิดกรรมขึ้นกับตนเอง เป็นทุกข์เป็นโทษกับตัวเราเอง กลายเป็นว่าแส่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง

ถ้าอยากดูตัวอย่างให้ไปอ่าน "อัศจรรย์โลกใบนี้" มีอยู่ในเว็บวัดท่าขนุน ที่อาจารย์ไพศาลไปเจอเปรตตนหนึ่ง ถามว่าทำไมเกิดเป็นเปรต ? เปรตบอกว่าไปด่านักบวชที่ต้องอาบัติปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว

จริง ๆ แล้วเป็นความผิดของเขา เขาทำเขาย่อมได้รับโทษเอง แต่เราดันไปยุ่งกับกรรมของเขา ก็เลยเกิดโทษแก่เราไปด้วย"

เถรี
17-03-2017, 15:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อประมาณ ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีสถานีโทรทัศน์ไปขอถ่ายทำที่วัดท่าขนุน เริ่มตั้งแต่ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ถึงบ่ายสองโมง เป็นอะไรที่เครียดมาก เพราะเขาตั้งกล้องจ่อหน้าไว้ แล้วให้อาตมาพูดไปเรื่อย ๆ คือคนถ่ายไม่มีศิลปะในการถ่ายทำ ไม่มีการหยุดพักเลย

เขาบอกว่าจะไปตัดต่อเหลือประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งก็ยังดี ถ่ายทำประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง ตัดต่อเหลือครึ่งชั่วโมง อาตมาเจอช่อง ๗ สี ถ่ายเช้ายันค่ำ ตัดเหลือ ๒ นาที แต่ก็ยังดีตรงที่ว่า ในสมัยที่ยังไม่มีทีวีอื่น ๆ ช่อง ๗ สีนี่ แต่ละนาทีค่าโฆษณาเขาเป็นแสน อาตมาไม่มีปัญญาจ้างอยู่แล้ว เขาให้สองนาทีก็ถือว่ามาก แต่สงสัยว่าเอาแค่ ๒ นาที แล้วทำไมไปถ่ายอยู่เป็นวัน ?

คนถ่ายเขาสบาย เขานั่งอยู่หลังกล้อง อยากรู้เรื่องอะไรก็เขียนใส่กระดาษแล้วก็ยกให้ดู ให้อาตมาพูดไปเรื่อยตามนั้น ลืมไปว่าคนพูดอยู่อย่างเดียว ๒ ชั่วโมงครึ่ง น้ำท่าก็ดื่มไม่ได้ เพราะกล้องจ่อหน้าอยู่ตลอดเวลา ความจริงถ้าเขาตั้งหัวข้อมา ถ่ายทำไปสัก ๑๕ นาที แล้วมีการเว้นวรรคเพื่อขึ้นหัวข้อใหม่จะดีกว่านั้น อย่างน้อยก็พักด้วยกันได้ทั้งสองฝ่าย

จะว่าไปแล้วเป็นความผิดของเขาเอง ไม่ใช่ความผิดของอาตมา นัดกันไว้บ่าย ๒ โมง เขามาถึง ๙ โมงเช้า อาตมายังสอนหนังสืออยู่ในเมืองก็ต้องวิ่งกลับไปให้เขาสัมภาษณ์ ต้องบอกว่าเลขานุการเจ้าอาวาสไม่เก่ง ถ้าเป็นอาตมานี่ยืนยันเลยว่าต้องบ่ายสองเท่านั้น อยากมาก่อนก็นั่งรอไปจนกว่าจะได้ นี่กลายเป็นว่าเลขาฯ แทนที่จะช่วยเจ้าอาวาส กลายเป็นมาเร่งเจ้าอาวาสให้รีบกลับวัด"

เถรี
20-03-2017, 18:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นว่าเด็ก ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ก็มีเท่า ๆ กับเราที่เป็นผู้ใหญ่ เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเรามีการนึกคิดปรุงแต่งมาก ก็เลยเหมือนกับ รัก โลภ โกรธ หลง มีมากกว่าเด็ก แต่ความจริงแล้วก็กิเลสใหญ่ ๔ ตัวเหมือน ๆ กัน แล้วพวกนี้ร้ายกาจมาก ติดตามข้ามภพข้ามชาติ ไม่ยอมทิ้ง รักเรามาก

ต้องพยายาม ลด ละ เลิก ไปทีละเล็กทีละน้อย ตัดความโลภด้วยการให้ทาน ตัดความโกรธด้วยการรักษาศีล เจริญเมตตา ตัดราคะด้วยกายคตานุสสติและอสุภกรรมฐาน ตัดความหลงด้วยอานาปานสติกับปัญญา ยากไหม ? ไม่ยากนะ ใช้ให้ถูกจังหวะก็แล้วกัน"

เถรี
20-03-2017, 18:55
มีโยมใส่น้ำหอมฟุ้งมา "มีใครคิดน้ำหอมกลิ่นขนมได้บ้างไหม ? อาตมาแพ้พวกกลิ่นหอม ยกเว้นกลิ่นของกิน ลองดูว่าใครจะคิดน้ำหอมกลิ่นขนมเค้ก น้ำหอมกลิ่นไก่ย่าง ได้บ้าง ถ้าใช้แล้วหมาเดินตามก็แสดงว่าไม่ผิดยี่ห้อ

โดยเฉพาะที่วัด เวลาซื้อพวกเครื่องในไก่ปิ้งไปเลี้ยงหมา อุตส่าห์ซ่อนอย่างดี แต่หมาดันรู้ทุกที เพราะว่าตอนซื้อกลิ่นติดจีวร จมูกคนเราไม่ได้กลิ่นหรอก แต่หมาได้กลิ่น เดินตามเป็นฝูงไม่ยอมไปไหน

วันก่อนกลับจากงานมาถึง ๔ โมงเย็น จะไปซื้อตลาดก็วายไปแล้ว ปรากฏว่ามีตลาดนัดพอดี แวะเข้าไปซื้อ สั่งไก่ปิ้ง ๓๐ ไม้ คนขายถามว่า "เอาข้าวเหนียวเท่าไร ?" ๔ โมงเย็นแล้วนะ เลยบอกว่า "หมาที่วัดไม่กินข้าวเหนียว" อุตส่าห์ไม่ยอมเฉลย กลัวเขาจะว่าซื้อของแพงไปเลี้ยงหมา ดันถามว่าเอาข้าวเหนียวเท่าไร

บางอย่างคนกิน เราซื้อไปเลี้ยงหมาเขาจะรู้สึกแปลก ๆ สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เข้าตลาดไปซื้อกับข้าวอาทิตย์ละครั้ง ปรากฏว่าซื้อไปซื้อมาก็มีลืมบ้าง ทิดตู่ตอนนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ บอกว่า "หลวงพี่ ๆ อย่าลืมขนมหมา" หันไปอุดปากแทบไม่ทัน แหกปากออกมาได้ ชาวบ้านเขากินกัน เสือกไปเรียกว่าขนมหมา"

เถรี
20-03-2017, 20:41
พระอาจารย์ดุลูกศิษย์เรื่องการเปิดปิดเครื่องปรับอากาศ จากนั้นท่านก็กล่าวว่า "สมัยที่อาตมายังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นที่น่าเสียดายว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ส่วนหนึ่งยังขาดจิตสำนึก พอถึงวันพระหลวงพ่อท่านลงโบสถ์ ถ้ามีเรื่องอะไรไม่ดีไม่งาม ท่านก็จะว่ากล่าวกันตอนนั้น แทนที่ทุกคนจะรับฟังแล้วนำไปแก้ไข กลับกลายเป็นว่าพอออกจากโบสถ์มาแล้ว ส่วนหนึ่งไปเที่ยวถามว่า "วันนี้ใครโดนวะ ?" ถ้าลักษณะอย่างนั้น ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเองเลย แทนที่จะคิดว่าคนที่โดนคือเรา ต่อไปเราจะไม่ทำแบบนั้นอีก กลับไปเที่ยวหาว่าวันนี้ใครโดนกันแน่

มาจนถึงสมัยนี้แล้วก็ยังมาในแนวเดียวกัน จำได้ว่าเรื่องเปิดเครื่องปรับอากาศนี่ อาตมาด่าไป ๒ รอบแล้ว แต่ก็ยังคงทำผิดอยู่เหมือนเดิม มีครูบาอาจารย์คอยบอกกล่าว คอยด่าว่า คอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องโชคดี ถ้าวันไหนสิ้นครูบาอาจารย์ไปแล้ว ใครจะมาคอยบอกคอยกล่าว ต้องรีบศึกษาและพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระกับท่านให้มากที่สุด

หลวงพ่อท่านมรณภาพ อาตมาเพิ่งจะ ๗ พรรษาเต็ม แต่ปรากฏว่าต้องเป็นหลักของวัด จนกระทั่งพระผู้ใหญ่ที่ไปงานศพ ส่วนใหญ่จะถามว่า "ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปต่อไปหรือ ? ท่านเป็นรักษาการณ์เจ้าอาวาสหรือ ?" ได้แต่กราบเรียนท่านว่า "ผมยังเป็นพระใหม่อยู่ครับ"

เพียงแต่ว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่กับหลวงพ่อ อาตมาไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางโลกหรือทางธรรม เพราะไม่เคยประมาท ไม่เคยคิดว่าหลวงพ่อท่านจะอยู่เกินวันนี้ สภาพสังขารของท่านย่ำแย่ แสดงอาการปรากฏให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือตายแล้วตายอีก แต่ปรากฏว่าคนส่วนหนึ่งก็ยังคงสบายใจ ถึงเวลาเกิดเหตุใหญ่ขึ้นมา จึงไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรับเหตุการณ์ได้"

เถรี
20-03-2017, 20:43
"หลักวิชาทหารเขาสอนว่า ทหารทุกคนต้องทำหน้าที่ได้สูงกว่าตำแหน่งตัวเองอย่างน้อย ๒ ตำแหน่ง ถึงเวลาออกรบ ถ้าผู้บังคับบัญชาตายไป ต้องทดแทนได้ทันที ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วจบกันแค่นั้น

คำพิจารณาของพระวัดท่าขนุนก็สวดกันทุกบ่อย กาย วาจา ใจ อื่นที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ มัวแต่นิ่งนอนใจไม่พัฒนาตนเอง ปุบปับตายลงไปก็ขาดทุนไปชาติหนึ่ง เกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เป็นคนหรือเปล่า ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทะ...ดูก่อน...อานนท์ เราจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเธอโดยทะนุถนอม เหมือนช่างหม้อที่ปฏิบัติต่อหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่ แต่เราจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก บุคคลที่มีธรรมเป็นแก่นสารจึงจะดำรงอยู่ได้"

เถรี
20-03-2017, 21:35
ถาม : คนที่ร่ำรวยเกิดจากทานบารมี อย่างพวกที่โกงงบประมาณของชาติจนรวยเกิดจากอะไร พวกนี้เขาขาดอธิษฐานบารมีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อดีตเคยทำทานบารมีมาก่อน เพียงแต่ว่าชาตินี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็เลยทำในสิ่งที่ผิดเท่านั้น เขามีโอกาสเสวยความสุขตามผลทานของเขาอยู่ระยะหนึ่ง พอหมดจากบุญนั้นเมื่อไรก็เรียบร้อย..!

เถรี
20-03-2017, 21:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาอาจารย์สมัยเก่าทรงคุณความดีมาก เมื่อในหลวงพระราชทานพัดให้ ยุคก่อนแม้เป็นพระครูสัญญาบัตรก็ยังได้พัดด้ามงา อย่างสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านได้พัดพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรีเท่านั้น แต่ด้ามพัดเป็นงาแท้ หลวงปู่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ

หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ความรู้ความสามารถไม่ได้น้อยไปกว่าหลวงปู่ปาน ยังไม่ได้เป็นพระครู เพราะว่าสมัยก่อนให้กันยากมาก ความต้องทราบถึงพระเนตรพระกรรณจริง ๆ ถึงจะได้รับ

หลวงปู่จงไม่ค่อยอยู่ติดวัด เพราะว่าคนมักนิมนต์ แล้วนิมนต์แบบมักง่าย สมมติว่าทางจังหวัดชัยนาทนิมนต์ หลวงปู่จงรับกิจนิมนต์ไปถึงชัยนาท คนลพบุรีเห็นว่ามาถึงชัยนาทแล้วไปลพบุรีต่อก็ไม่ไกลเท่ามาจากอยุธยา ก็เอาเกวียนรับหลวงปู่จงไปลพบุรีต่อ เป็นต้น บางทีหายจากวัดไปเป็นเดือน ๆ จนลูกศิษย์ต้องไปตามหาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วก็ไปนำหลวงปู่กลับวัด"

เถรี
20-03-2017, 21:58
"ครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างวัตถุมงคลด้วยเนื้องา ก็เห็นมีหลวงปู่ปาน วัดบางกระสอบ กับหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ที่ท่านใช้วิธีง่าย ๆ ก็คือ สร้างองคตหรือลิงด้วยด้ามตาลปัตรที่ทำด้วยงา เรียกว่าเอามาแกะกันอย่างชนิดไม่ต้องไปหางาใหม่ แต่จะมีน้อยมาก เนื่องจากว่าพัดด้ามงาถ้าไม่ใช่ของพระราชทานจริง ๆ แทบจะไม่มีโอกาสตกถึงมือเลย

อาตมาเองเล่นเครื่องรางของขลังมานาน เจอองคตหลวงปู่ปาน วัดบางกระสอบ กับลิงหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว แค่ไม่กี่ตัวที่ทำด้วยงา ถือว่าเป็นบุญตาอย่างยิ่ง โอกาสที่ได้ครอบครองก็ยิ่งน้อยลงไปใหญ่

หนุมานงาแกะของหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน ที่ทำด้วยเนื้องานั้น ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ จากการประมาณการของบรรดาเซียนที่เล่นวัตถุมงคลสายเครื่องราง บอกว่าเต็มที่ก็มีไม่เกิน ๓๐๐ ตัว ตอนนี้คงมีไม่ถึง ๓๐๐ ตัวแล้ว เพราะอาตมาเก็บไว้ ๓ ตัว ลงกระทู้คนมีเงินฯ ไปแล้ว ๒ ตัว"

เถรี
21-03-2017, 21:03
ถาม : ปรามาสพระรัตนตรัยเป็นประจำครับ ?
ตอบ : ขอขมาพระรัตนตรัยบ่อย ๆ

ถาม : ชอบเป็นตอนนั่งสมาธิ ?
ตอบ : เป็นปกติ ก่อนสวดมนต์ ก่อนนั่งสมาธิ ให้ขอขมาทุกครั้ง เขาตั้งใจจะกวนเราให้ขุ่น แต่ถ้าเราไม่สะเทือนเดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง

เถรี
21-03-2017, 21:07
ถาม : ถ้าเราเช่าบูชาพระพุทธรูปมาจำเป็นต้องเบิกเนตรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ความจริงพิธีกรรมเบิกเนตรก็เท่ากับการพุทธาภิเษกนั่นแหละ จะไปเบิกเนตรพระ เบิกเนตรของเราให้กว้าง ๆ ดีกว่า พิธีการเบิกเนตรเป็นคนละพิธีกับของเรา

เถรี
21-03-2017, 22:12
ถาม : มาขอพร พรุ่งนี้จะเดินทางไปจังหวัดน่าน จะเข้าป่าด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรน่ากลัว ไปเถอะ มีโอกาสก็แวะไปกราบพระที่วัดภูมินทร์ด้วย

ถาม : เพื่อนผมสองคนเพิ่งเสียชีวิตจากการทำงานในอุโมงค์ครับ ผมก็เลยอยากจะมา..?
ตอบ : ที่เพิ่งออกข่าวไปใช่ไหม ?

ถาม : ใช่ครับ เพื่อนผมเองครับ ?
ตอบ : จังหวัดน่านไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะไม่ใช่สมัยก่อน ถ้าสมัยก่อนปี ๒๕๒๐ เป็นดงคอมมิวนิสต์เลย เพราะว่าพื้นที่ต่อเนื่องกับประเทศลาว เขาย้ายข้ามกันไปข้ามกันมา ฝั่งโน้นปราบก็ย้ายหนีมาฝั่งเรา ฝั่งเราปราบก็ย้ายหนีข้ามไปฝั่งโน้น สมัยนี้เขาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปหมดแล้ว

ที่โน่นมีใครรู้จักเจ้าพ่อท่าวังผาบ้าง ? ส่งใจอุทิศส่วนกุศลให้ท่านไปก่อนเลย แล้วขอความปลอดภัยในทุกที่ อาตมาไปไหนจะผูกมิตรไว้ก่อน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ

ใครอยากอยู่เงียบ ๆ สบาย ๆ หน่อยก็ไปหาที่แถวโน้นแหละ รู้ไหมว่าในสมัยที่อาตมาหาซื้อที่อยู่ ที่จังหวัดน่านไร่ละ ๓๐๐ บาท สมัยนี้ถ้ามีจะเหมาสักครึ่งจังหวัด บางแห่งไม่ได้ไปนาน ๆ ก็ลืมไปว่าเจ้าถิ่นเป็นใคร พอไปใหม่ท่านเตือนถึงได้นึกออก

เถรี
21-03-2017, 22:22
ถาม : อุบลราชธานี ท่านเจ้าที่คือใครคะ ?
ตอบ : ยังไม่เคยถาม อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่ไม่เคยตั้งใจไปเลย ทั้ง ๆ ที่อยากไป เพราะว่าอุบลราชธานีมีพระแก้วคู่บ้านคู่เมือง คนอุบลรู้หรือเปล่าว่ามีพระแก้วคู่บ้านคู่เมืองอยู่ ? ๑. พระแก้วบุษราคัม วัดศรีอุบลรัตนาราม ๒. พระแก้วไพฑูรย์ วัดหลวงอุบลราชธานี ๓. พระแก้วเพชรน้ำค้าง วัดสุปัฏนาราม ๔. พระแก้วโกเมน วัดมณีวนาราม ๕. พระแก้วนิลกาฬ วัดเลียบ มีโอกาสก็ไปกราบบ้างนะ

เถรี
21-03-2017, 22:43
มีโยมเอาถั่งเช่ามาถวาย "ไม่ได้ผสมซุปไก่ใช่ไหม ? ถ้าผสมซุปไก่จัดเป็นอาหาร เลยเพลแล้วฉันไม่ได้"

เถรี
22-03-2017, 21:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกยุคใหม่เป็นโลกของการแข่งขันกันทางการค้า เป็นยุคของคนกินคน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สังเกตไหมว่าพวกร้านค้า "โชห่วย" ตายสนิทเกือบหมดประเทศไทยแล้ว การแข่งขันทางการค้าฟาดฟันกันยิ่งกว่าสงครามอีก สารพัดวิธีที่จะนำมาล้มคู่ต่อสู้ให้ได้ โดยเอาชาวบ้านเป็นเครื่องมือ

ตอนนี้ทองผาภูมิปลูกดอกดาวเรือง ต้องทำสัญญากับเขา ต้องมีจำนวนคนเท่านี้ มีจำนวนไร่เท่านี้ รวมกันเป็นกลุ่มไปแล้วไปรับพันธุ์จากเขามา ปลูกเสร็จแล้วขายให้เขา แต่ขอโทษเถอะ...พูดง่าย ๆ ว่าปุ๋ยก็ของเขา ยาก็ของเขา พันธุ์ก็ของเขา ถึงเวลาหักกลบลบล้างแล้วเหลือถึงตัวเราเท่าไร ? แล้วอีกอย่างหนึ่งคือเมล็ดพันธุ์ก็ขยายไม่ได้ ดอกออกมาเบ้อเริ่มเลย แต่ลีบหมดไม่มีเมล็ด เพราะผ่านการฉายรังสีมา เราไม่สามารถที่จะหากำไรเพิ่มเติมจากส่วนที่เขาไม่ได้ให้เลย"

ถาม : แสดงว่าปลูกแล้วก็หมดเลย
ตอบ : หมดแล้วหมดเลย แล้วเขาก็เอาเมล็ดพันธุ์ให้เราใหม่ เราก็ต้องจ่ายให้เขาอีกรอบหนึ่ง หมุนเวียนเป็นทาสเขาไปแบบนี้

เถรี
22-03-2017, 21:16
เบียร์ยี่ห้อหนึ่งเคยครองตลาด เบียร์ยี่ห้อสองก็คิดว่าทำอย่างไรจะแบ่งส่วนแบ่งได้ ปรากฏว่าเบียร์ยี่ห้อสองขายเหล้าขาว ซึ่งเหล้าขาวนี่คนกินกันทั้งประเทศ เบียร์ยี่ห้อสองก็เลยบังคับบรรดายี่ปั๊ว คุณต้องการเหล้าของเราไปขาย คุณต้องซื้อเบียร์ด้วย ถ้าคุณไม่ซื้อเบียร์เราก็ไม่ขายเหล้าให้ เป็นการมัดมือชก

ปรากฏว่ายี่ปั๊วเขาก็เก่ง เอาเบียร์ยี่ห้อสองไปขาย ๓ ขวดร้อย ร้อยหนึ่งที่ไปซื้อเบียร์ยี่ห้อหนึ่งได้ ๒ ขวดกับอีกนิดเดียวนะ แต่ถ้าหากว่าไปซื้อเบียร์ยี่ห้อสองได้ ๓ ขวด คนกินก็กินเอามัน เพราะฉะนั้น...เยอะย่อมดีกว่าน้อย ก็ไปซื้อสามขวดร้อย ซื้อไปซื้อมาส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์ยี่ห้อหนึ่งหาย เบียร์ยี่ห้อสองโตเอา ๆ แล้วมีการที่โฆษณาแสบมากเลย เที่ยวทั่วไทย ขี่ช้างกินเบียร์ มีการโยนกระป๋องลงมาแล้วไปซูมให้เห็นว่าเป็นเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง แก้เกมกันไป แปลว่าหนึ่งขี่สอง...ใช่ไหม ?

เถรี
22-03-2017, 21:38
รถกระบะยี่ห้อหนึ่งเป็นเจ้าการตลาดมาตลอด รถกระบะยี่ห้อสองพยายามจะโค่นลงให้ได้ ปรากฏว่ารถกระบะยี่ห้อหนึ่งคิดเครื่อง D4D ได้ก่อน รถกระบะยี่ห้อสองคิดได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปขโมยข่าวหรือว่าสืบความลับเขามาได้อย่างไร ออกรถกระบะยี่ห้อสอง D4D ปาดหน้ารถกระบะยี่ห้อหนึ่งแค่ ๔ เดือน ยอดจองถล่มทลายทั่วบ้านทั่วเมือง รถกระบะยี่ห้อหนึ่งออกมาขายไม่ออกเลย ตั้งแต่นั้นมารถกระบะยี่ห้อหนึ่งที่มีรถทำตลาดอยู่อย่างเดียวคือรถกระบะ ก็หลุดจากตำแหน่งแชมป์ไป จนป่านนี้ก็ยังตีคืนไม่ได้

ถึงได้บอกว่าการตลาดปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของการฆ่ากันเลยนะ ถ้าหากว่าเราอยู่ได้คุณก็ต้องอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าประคับประคองกันไป ต้องเหยียบคนอื่นไว้ใต้เท้า การแข่งขันจึงดุเดือดมาก

เถรี
22-03-2017, 21:45
น้ำดำ ๑ กับน้ำดำ ๒ อันนี้ก็คู่กัดถาวรเลย บ้านเราเป็นประเทศเดียวในโลกที่น้ำดำ ๒ ขายดีกว่าน้ำดำ ๑ ปรากฏว่าบริษัทน้ำดำ ๒ ตัดสินใจผิด มาขึ้นราคาลิขสิทธิ์กับตัวแทนในไทย ขอเซ็นสัญญาใหม่ ตัวแทนไม่เซ็น น้ำดำ ๒ จึงขอคืนไปทำเอง คิดว่าการตลาดที่คนกินกันระเบิดเถิดเทิงทั่วประเทศเกิดจากยี่ห้อน้ำดำ ๒ แต่ไม่ใช่ เกิดจากการฝีมือการตลาดของตัวแทน ตัวแทนไปถึงไหน น้ำดำ ๒ ไปถึงนั่น

ในเมื่อตัวแทนโดนตัดหางปล่อยวัด ก็ออกน้ำดำ ๓ มาสู้ ก่อนหน้านี้ตัวแทนไทยติดต่อกับบริษัทผลิตขวดมาตลอด จึงไปจับมือเซ็นสัญญา ห้ามผลิตขวดให้ยี่ห้ออื่นน้ำดำ ๒ ตายสนิท ทุกวันนี้ยังไม่ฟื้นเลย น้ำดำ ๓ ที่ใคร ๆ บอกว่ารสชาติสู้น้ำดำ ๒ ไม่ได้ กลายเป็นติดตลาดเพราะว่าตัวแทนไทยทำตลาด

สรุปแล้วก็คือต่อให้เป็นซีอีโอของฝรั่ง ก็ไม่แน่ว่าสายตาจะมองเกมขาด โฆษณาก็ฆ่ากันจริง ถึงเวลาเด็กตัวเล็กไปหยอดตู้ซื้อน้ำกระป๋อง กระป๋องที่หนึ่งน้ำดำ ๑ หล่นลงมาแล้วก็หยิบวาง กระป๋องที่สองน้ำดำ ๑ หล่นลงมาก็หยิบวาง เอาเท้าเหยียบเพื่อต่อขาขึ้นไปหยอดรูบน ตัวเองยังเด็กหยอดไม่ถึง เอาน้ำดำ ๑ วางต่อเท้าเพื่อหยอดเอาน้ำดำ ๒ มากิน ยอมเสียเงินหยอดน้ำดำ ๑ ถึงสองกระป๋อง เพื่อให้ได้กินน้ำดำ ๒ โฆษณาเหยียบกันแบบรุนแรงมากเลยนะ ทำให้เห็น ๆ ว่าเหยียบน้ำดำ ๑ ไว้ใต้เท้า

เถรี
22-03-2017, 21:50
ถ้าเราอยู่วงนอกแล้วดูการแข่งขัน เราจะเห็นว่าฟาดฟันกันโหดเหี้ยมมาก ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ทำไมไม่จับมือกันทำตลาด ต่างคนต่างแบ่งปันผลประโยชน์ กลายเป็นชนะด้วยกันทั้งสองฝ่าย อันนี้ต้องแพ้กันไปข้างหนึ่ง

เคยมีคนบอกว่า ศัตรูคือยากำลัง แต่สมัยนี้ไม่ได้....ศัตรูต้องฆ่าให้ตาย สมัยเหล้าสี ๑ กับเหล้าสี ๒ ก็เหมือนกัน กว่า ๒ จะล้ม ๑ ลงได้ ก็รบกันอยู่หลายปี ท้ายสุดเจ้าพ่อน้ำเมากวาดเรียบ อยากยุ่งยากมากนัก เทคโอเวอร์ให้เกลี้ยงเลย แล้วก็ออกยี่ห้อเยอะแยะ จะเอาอะไร ๒ ทอง ๒ เงิน ๒ ฟ้า ฯลฯ สรุปแล้วก็ออกมาแข่งกับตัวเอง คุณจะกินยี่ห้อไหนก็ซื้อของเขาเหมือนกัน

เถรี
22-03-2017, 22:15
ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังมีชีวิต เคยสร้างตะกรุดไหมคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านเคยทำตะกรุดอยู่รุ่นหนึ่ง ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร พวกเราเลยเรียกว่าตะกรุดเดินป่า ท่านทำอยู่รุ่นเดียวแล้วก็เลิกทำ เพราะว่าที่ทำรุ่นนั้นศาลาพังไปหลังหนึ่ง คนแย่งกันรับ ศาลาเก่าไม่ค่อยจะแข็งแรง แห่กันขึ้นไปหลายร้อย ศาลาพังเลย แล้วที่เหลือก็เป็นตะกรุดมหาสะท้อน ซึ่งท่านทำแค่ไม่กี่ดอก

ถาม : ตะกรุดจาร อักษรย่อ ว.ย.ป. ?
ตอบ : ย่อมาจากอะไร ?

ถาม :ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน ว. ส่วนใหญ่มาจากวัด

ถาม : พอดีเขาถามมา ก็ไม่แน่ใจค่ะ
ตอบ : ยังไม่เคยได้ยิน โดยเฉพาะตะกรุดของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็ไม่แกะมาดูอยู่แล้ว เลยไม่รู้ว่ามีรหัสลับอะไรอยู่หรือเปล่า

เถรี
23-03-2017, 21:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "การขึ้นภาษีสุรานั้น คนติดเหล้าแล้วต่อให้แพงแค่ไหนก็กิน แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งจะมีผลกระทบก็คือนักท่องเที่ยว เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวบ้านเรามาแบบประหยัดงบ อะไรแพงขึ้นมาเขาก็จะไม่ไปยุ่งด้วย โดยเฉพาะบรรดาเหล้าเบียร์ในแหล่งท่องเที่ยวที่รู้อยู่ว่าราคาแพงกว่าข้างนอก

ต้องบอกว่านักท่องเที่ยวฝรั่งส่วนใหญ่กินกันแบบมีวินัย เราจะเห็นว่าฝรั่งน้อยคนที่จะเมาจนหมดสภาพ ส่วนใหญ่ก็คนละหนึ่งช็อตสองช็อต จบแล้วกลับบ้าน ที่เขากินเพื่อผ่อนคลาย ทำงานเครียดมาทั้งวัน อาศัยแอลกอฮอล์ผ่อนคลายประสาทหน่อย กลับบ้านไปกินข้าวอร่อยขึ้นอีก แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราต้านทานฤทธิ์ของเหล้าไม่ได้ พอกินแล้วก็กลายเป็นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็กลายเป็นติดเหล้าแอลกอฮอลิค"

ถาม : เขาคิดว่าเป็นความสุข ?
ตอบ : น่าสงสาร...เขาไม่รู้ว่าความสุขหาจากข้างนอกไม่ได้ ความสุขภายนอกไม่ยั่งยืน ความสุขภายนอกเกิดจากการกระตุ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความสุขภายในเกิดจากใจ

เถรี
23-03-2017, 22:14
พระอาจารย์กล่าวถามว่า "บทบังสุกุลตายกับบังสุกุลเป็น บทไหนเกิดก่อน ? บังสกุลเป็นเกิดก่อน จริง ๆ แล้วเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าประทานให้พระปูติคัตตติสสะ ในอดีตชาติท่านเป็นพรานนก พอจับนกได้ก็หักขา หักปีก นกจะได้ไม่บินหนี พอมาชาตินี้ ถึงมาบวชแล้วกรรมเก่าก็ยังตามทัน

ในบาลีท่านบอกว่าเกิดเป็นฝีตามร่างกาย แรก ๆ ก็โตประมาณเม็ดน้อยหน่า หลังจากนั้นก็โตขึ้นจนเท่าผลมะตูมแล้วก็แตก โลหิตและหนองไหลไปทั้งกาย เมื่อเหม็นเน่ามาก บรรดาพระก็ทิ้ง ไม่มีใครดูแล ปูติคัตตะคือผู้มีกายอันเน่า อาตมาคาดว่าน่าจะเป็นมะเร็ง เพราะว่าแตกทั่วตัวเลย น่าจะประเภทมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ในเมื่อโดนทิ้ง พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เสด็จไปเอง ให้พระอานนท์ต้มน้ำร้อน ผสมน้ำอุ่นด้วยพระองค์เองแล้วก็เช็ดตัวให้ พระอื่นพอทราบข่าวก็จะไปแย่งกันทำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ต้อง พระองค์ท่านจะทำเอง เมื่อเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าให้เรียบร้อย ท่านติสสะก็รู้สึกสบายขึ้น

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อจิรํ วตยํ กาโย ปฐวี อธิเสสฺสติ แปลความว่า ติสสะ...ขอให้เธอจงดูกายนี้ ซึ่งอีกไม่นาน เมื่อปราศจากวิญญาณแล้ว ก็เหมือนกับขอนไม้ที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นดิน พระติสสะท่านพิจารณาธรรมตามนั้น...เห็นจริง จิตปลดจากการยึดเกาะร่างกาย กลายเป็นพระอรหันต์พร้อมกับสิ้นชีวิต

ลักษณะของการเป็นพระอรหันต์แล้วมรณภาพเลย ในบาลีเขาเรียกว่า สมสีสี [สะ-มะ-สี-สี] ก็คือบรรลุมรรคผลพร้อมกับการดับของสังขารร่างกาย"

เถรี
23-03-2017, 22:18
"ส่วน อนิจจา วะตะ สังขารา นั้น เป็นบทที่พระอินทร์ท่านแสดงธรรมสังเวชตอนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน สรุปแล้วมีที่มาทั้งคู่ คนสมัยใหม่ก็เอามาแบ่งเป็นบังสุกุลตายกับบังสุกุลเป็น แต่จริง ๆ แล้วเป็นหลักธรรมทั้งนั้น

อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ วะตะตัวนี้ก็คือหนอ
อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วก็มีดับ
เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าถึงความสงบสังขารทั้งหลายนั่นแหละเป็นสุข

สงบสังขารในที่นี้ หมายถึงหยุดการปรุงแต่งทั้งปวง สังขารตัวนี้คือจิตสังขาร การปรุงแต่งของใจ สภาพจิตหยุดการปรุงแต่งหมดก็มีอยู่ประเภทเดียวคือพระอรหันต์"

เถรี
25-03-2017, 20:08
พระอาจารย์ถามโยม "เบาลงบ้างหรือยัง ? หรือยังหนักเท่าเดิม ? กินให้น้อยหน่อยสิ ใช้วิธีลดแบบพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ ลดมื้อละคำเดียว ไม่ทรมานตัวเองด้วย วันนี้ลดคำหนึ่ง พรุ่งนี้ลดคำหนึ่ง ลดไปเรื่อย

ลดวันละคำของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ไม่ได้ลดเยอะนะ พระท่านบอกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหารด้วยข้าวสุกที่หุงจากข้าวสาร ๑ ทะนาน ๒๐ ทะนานเป็น ๑ ถัง ก็แปลว่า ๑๐ ทะนานเท่ากับครึ่งถัง ๑ ทะนานประมาณ ๗ ขีดครึ่ง ๗ ขีดครึ่งหุงเป็นข้าวนี่กินกันตายไปข้างหนึ่ง คิดตัวเลขกันทันไหม ? อาตมาคิดเร็วไปหน่อย ๗ ขีดครึ่งเสวยคนเดียวสำหรับข้าวนะ ยังไม่คิดถึงกับข้าวเลย"

เถรี
25-03-2017, 20:13
ถาม : อนิจจา วะตะ สังขารา วะตะ คำนี้คือ วัฏสงสารหรือคะ ?
ตอบ : วะตะตัวนี้คือหนอ ไม่ใช่ วัฏฏะ วะตะ โภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ถ้าวัฏฏะ แปลว่า การหมุนเวียน

เถรี
25-03-2017, 21:36
ถาม : ถ้าเราทำกรรมฐาน จิตจับไม่เห็นภาพอะไร เราต้องไปอยู่ในชั้นพรหมหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...อยู่ที่ว่าเรานึกถึงอะไร สำคัญตรงที่เรานึกถึงอะไร ไม่ต้องเห็นหรอก

เถรี
25-03-2017, 21:46
ถาม : พุทธทานมีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มี ธรรมทานคือการให้ธรรมเป็นทาน เป็นการที่เราปฏิบัติได้แล้วสอนคนอื่น สังฆทานเป็นการให้ทานโดยเจาะจงเอาหมู่สงฆ์ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในเมื่อมีที่มาที่ไป ก็กลายเป็นธรรมทานกับสังฆทานไป แต่พุทธทานไม่มี ถ้าพุทธทานมีก็มีวิธีเดียว ก็คืออุ้มพระพุทธเจ้าไปถวายเป็นทาน..!

เถรี
26-03-2017, 21:14
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีวิธีแก้ปวดหัวอยู่วิธีหนึ่ง ไม่รู้ว่าโยมถนัดกันหรือเปล่า ? คือให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย จมูกข้างซ้ายเป็นลมเย็น จมูกข้างขวาเป็นลมร้อน ถ้าต้องการแก้ปวดหัวให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย อาตมาหายใจทีละข้างได้ ไม่รู้ว่าโยมทำได้หรือเปล่า ...(ไม่ได้ค่ะ)... ถ้าไม่ได้ก็เอามืออุดรูจมูกข้างขวาไว้

ก่อนหน้านี้อาตมาไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจด้วยจมูกได้ทีละข้าง หลวงพ่อสมปองท่านสอน ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ไปเป็นนาคอยู่ที่วัด ท่านบอกว่าท่านเป่าปี่ชวา หายใจเข้าด้วยจมูกข้างซ้าย หายใจออกด้วยจมูกข้างขวา อาตมาก็งง ๆ ว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือวะ ? พอมาลองทำดู ปรากฏว่าทำได้จริง ๆ เพราะว่าเวลาเป่าปี่ชวาต้องใช้ลมหายใจที่ยาวมาก ๆ ไม่อย่างนั้นจะสะดุด จึงต้องใช้วิธีหายใจหมุนเวียนจะได้ไม่ต้องหยุด อาตมาก่อนหน้านี้ไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจได้ด้วยจมูกทีละข้าง ไปรู้เอาตอนนั้นเอง"

ถาม : คงทำได้นิดเดียวค่ะ ?
ตอบ : ใหม่ ๆ ลองบังคับดู อีกข้างหนึ่งจะหายใจเข้าด้วย แต่พอเราเพ่งความรู้สึกไว้ที่รู้จมูกข้างใดข้างเดียว ก็จะใช้ได้เฉพาะข้างนั้น ตอนหัดใหม่ ๆ อีกข้างหนึ่งก็จะหายใจเข้าไปหน่อยหนึ่งด้วย

ถ้าใครรู้สึกปวดหัวขึ้นมาให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้ายข้างเดียว สัก ๓ นาที ๕ นาทีก็หายแล้ว ที่เราปวดหัวเพราะว่าความดันขึ้นหรือว่าความร้อนในร่างกายมากขึ้น ที่สมัยนี้เขาเรียกว่า "หัวร้อน" ก็ต้องอาศัยลมหายใจเย็น เขาเรียกลมจันทกาลา คือลมหายใจแบบพระจันทร์ ถ้าสุริยกาลาจะเป็นลมหายใจร้อน เอาไว้สร้างพลังงาน

ใครรู้สึกเพลีย ๆ ไม่มีแรงให้หายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวสัก ๓ นาที เดี๋ยวก็ไปต่อได้ แต่ขอบอกนะว่าหายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวนี่หิวข้าวอย่าบอกใคร เพราะว่าใช้พลังงานเยอะ

เถรี
26-03-2017, 23:14
ถาม : ที่บอกว่า คนโบราณเขาฉลาด ทำบุญให้คนตายในช่วง ๗ วัน ๕๐ วัน คนตายจะได้บุญ ถ้าเลยระยะมาแล้วละครับ ?
ตอบ : อาตมายังสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเราฟังอะไรไม่ละเอียด แล้วจับไปกระเดียดกันอุตลุด ?

คำว่าทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วันหมายความว่าที่ทำช่วงนั้น คนตายยังมีโอกาสที่จะได้รับมากกว่า เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วยังไม่ผ่านการตัดสินที่ตำหนักพญายม แต่ไม่ได้หมายความว่าทำแล้วจะได้บุญทันที ดันไปใช้คำพูดว่าทำช่วงนั้นแล้วจะได้บุญ ถ้าเกิดลงนรกไปก่อนหรือว่าไปอบายภูมิก่อนก็ไม่มีโอกาสที่จะได้

ถาม : ... (ไม่ชัด) ...
ตอบ : ถ้าหากว่าลงยาวไปเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเลยจากช่วงนั้นตัดสินไปแล้วลงข้างล่างก็หมดสิทธิ์ ถ้าขึ้นข้างบนถึงจะได้ คำพูดแต่ละอย่างรู้สึกว่าจะเอาไปแล้วตีความกันใหม่ทุกที ทั้ง ๆ ที่อาตมาพูดไปชัด ๆ แล้ว

เถรี
26-03-2017, 23:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมหลายคนที่อาตมาเตือนเรื่องวัดธรรมกายไป ต้องบอกว่าเริ่มรู้ตัว อย่าลืมว่าท่านเป็นพระ เราเป็นฆราวาส อะไรที่เราคิด เราพูด เราทำกับพระ มีโทษมากกว่าประโยชน์ โบราณท่านถึงได้ใช้คำว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์”

ประการหนึ่งก็คือ เรื่องของศีลพระนั้น ทำผิดคือศีลขาดเลย ไม่ใช่ทำผิดแล้วต้องรอศาลมาตัดสิน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าตัวเราเองไม่เข้าใจ ซึ่งปัจจุบันนี้ฆราวาสจำนวนมากก็ไม่เข้าใจในเรื่องเช่นนี้ จึงทำให้เรื่องเกี่ยวกับพระของเราสับสนวุ่นวายไปหมด

อย่างเช่นพระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติศีลขึ้นมาว่า “ภิกษุหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ ราคาได้ ๕ มาสกขึ้นไป ต้องอาบัติปาราชิกคือขาดความเป็นพระ” คราวนี้ในวินีตวัตถุท่านใช้คำว่า “วัตถุนั้นเคลื่อนจากฐาน” ถามว่าเคลื่อนไกลเท่าไร ? ท่านบอกว่า “พ้นฐานไป ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผม” พูดง่าย ๆ ว่ามองแทบไม่เห็น ถ้าหากว่าจับเคลื่อนจากฐานก็ขาดความเป็นพระไปแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราวางคืนแล้วความเป็นพระจะกลับคืนมา เพราะตอนช่วงที่เราหยิบฉวยนั้นเกิดเถยยจิต คือคิดที่จะขโมย

ในเมื่อคิดจะขโมยและหยิบเคลื่อนจากฐาน แปลว่าการกระทำนั้นสำเร็จแล้ว ในเมื่อการกระทำนั้นสำเร็จแล้วแปลว่ากรรมนั้นบรรลุผลแล้ว ถ้าหากว่าปรับก็คือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ถึงไปวางคืนก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้อีก

เถรี
26-03-2017, 23:22
ดังนั้น...เรื่องศีลของพระไม่จำเป็นต้องอาศัยศาลทางโลกตัดสิน จบไปตั้งแต่คุณกระทำแล้ว เราเป็นฆราวาสถ้าไม่รู้ตรงจุดนี้ก็อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ยังห่มเหลืองอยู่ ยังมีธงชัยของพระอรหันต์คลุมตัวอยู่ ถ้าเราไปด่า ไปตำหนิโดยใช้คำว่า "พระ" นำหน้านี่พังเลย

เพราะคำว่า “พระ” คือผู้ที่ประเสริฐ หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหมด ไม่ใช่ตัวบุคคล ฉะนั้น...เรื่องที่เกี่ยวกับพระจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก โบราณรู้จริงถึงได้บอกว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” คือเราอย่าไปยุ่ง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านจัดการกันเอง ถ้าหากในหมู่ของพระสังฆาธิการฝ่ายปกครองจัดการไม่ได้ ก็ไปรู้กันอีกทีตอนตาย ซึ่งในช่วงนั้นก็ไม่มีใครแก้ไขได้แล้ว

เราอย่าไปหาทุกข์หาโทษใส่ตัว คิดไม่ดีเป็นมโนกรรม พูดไม่ดีเป็นวจีกรรม ทำไม่ดีเป็นกายกรรม มีแต่สร้างกรรมทั้งนั้น จงทำตัวเป็นผู้ดูที่ดี ก็คืออยู่วงนอกอย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่าเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ลงมือเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเมื่อไรก็แปลว่าอคติ หรือ รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มท่วมทับเราแล้ว โอกาสที่จะโดนกิเลสน็อกคาสนามมีเยอะมากแล้ว

เถรี
26-03-2017, 23:25
อาตมาบอกไปเมื่อวันก่อนว่า สงสารท่านอาจารย์สนิทวงศ์ ตอนนี้เห็นว่าทางวัดธรรมกายเปลี่ยนโฆษกใหม่แล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเปลี่ยนตัวก็แค่มาแสดงโวหารเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ได้กระทำไปแล้ว ต่อให้ลากเอาเหตุการณ์อะไรต่อมิอะไรมากลบ ก็ลักษณะเดียวกับช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ซึ่งอย่างไรก็ไม่มิด

ยิ่งนานไปก็ยิ่งทำผิดกฎหมายมากขึ้น ถ้าทำผิดกฎหมายเมื่อไรก็ผิดพุทธดำรัสเมื่อนั้น เพราะพระองค์ท่านตรัสไว้ชัดแล้วว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตุฯ ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย เราให้คล้อยตามพระราชา คำว่า พระราชาในสมัยก่อนก็คือกฎหมาย เพราะสิ่งที่เป็นพระราชดำรัสต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น

เถรี
28-03-2017, 19:46
ถาม : (พระถาม) มีคนบอกว่า ๕ มาสก เท่ากับทอง ๑ บาท ?
ตอบ : อันนั้นของทางประเทศพม่า ไม่ใช่ทอง ๑ บาท เป็นทอง ๑ สลึง ผมไปทางพม่าแล้วได้มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับศีลหลายข้อที่ลักลั่นกันอยู่ เพราะพม่ากับไทยตีความไม่เหมือนกัน

จุดที่ผมถามก็คือเรื่องอาบัติปาราชิก คนไทยเราถือว่า ๑ บาทเท่ากับ ๕ มาสก แต่ทางพม่าถือว่า ๕ มาสกเท่ากับทองคำ ๑ สลึง ผมถามว่าเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัด ? ท่านบอกว่า ดูจากมาตราโบราณที่บอกว่า ๔ เมล็ดข้าวเปลือกเป็น ๑ กุญชา ๒ กุญชาเป็น ๑ มาสก ก็แปลว่า ๘ เมล็ดข้าวเปลือกเป็น ๑ มาสก ๕ มาสกก็เท่ากับ ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือก เขาก็เอา ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือกมาชั่งน้ำหนักแล้วบอกว่า ได้ประมาณทองคำ ๑ สลึง ส่วนของบ้านเราตีความสูงไว้ก่อนป้องกันไม่ให้พระทำผิด ก็เลยตีราคาว่าบาทเดียว

ส่วนอีกจุดหนึ่ง ก็คือ การฉันอาหารในเวลาวิกาล เราจะเห็นว่าพระพม่าฉันอาหารเย็นเป็นปกติ แม้แต่ในห้องอาหารก็มีห้องที่แยกให้พระโดยเฉพาะ ปรากฏว่ามีศีลพระอีกข้อหนึ่งว่า “ภิกษุห้ามเข้าบ้านในเวลาวิกาล” ซึ่งเราตีความคำว่าวิกาลใน ๒ สิกขาบทนี้ไม่เหมือนกัน

การฉันอาหารในเวลาวิกาล เราตีความว่าหลังเที่ยงไปแล้ว แต่เข้าบ้านในเวลาวิกาล เราตีความว่าพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว คำ ๆ เดียวเราตีความต่างกัน แต่ของพม่าตีความแบบเดียวกันก็คือพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เพราะฉะนั้น...เขาฉันอาหารก่อนค่ำได้...ไม่เป็นไร

เถรี
28-03-2017, 19:47
แต่คราวนี้เราต้องไม่ลืมว่าในเรื่องของศีลพระนั้นมีส่วนที่เป็นโลกวัชชะ คือผิดแล้วโลกติเตียน ในเมื่อผิดแล้วโลกติเตียน บ้านเราถือว่าเวลาวิกาลคือหลังเที่ยงไปแล้ว เราก็ต้องถือตามแบบบ้านเรา ส่วนของเขาถือว่าวิกาลคือพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ของเขาไม่ติเตียนกัน แถมโยมยังตั้งใจถวายอีกด้วย

ปัจจุบันนี้เรื่องศีลพระหาคนที่ศึกษาลึกซึ้งมีน้อยมาก ในเมื่อมีน้อยมาก ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวกับพระรุ่นหลัง ๆ ต่อไปได้ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์ ก็มีการเข้าใจผิด ประพฤติผิด ทำผิดเป็นปกติ แล้วก็อีกประเภทหนึ่งก็คือ พระอุปัชฌาย์อาจารย์บวชให้แล้วไม่สั่งสอน บวชแล้วทิ้งไปเลย ลักษณะที่เขาเรียกว่าพระอุปัชฌาย์เป็ด ไข่แล้วทิ้ง ปล่อยให้ฟักเป็นตัวเอาเอง ก็เลยมีการทำผิดทำพลาดให้ญาติโยมเขาตำหนิได้มาตลอด

แบบเดียวกับการที่ผมนั่งรับเงินที่ญาติโยมถวายนี่แหละ ถ้าหากว่าเป็นอีกนิกายหนึ่งเขาก็จะมาตำหนิว่าเราทำผิด แต่คราวนี้ผมไปดูการกระทำของท่านคือท่านรับเป็นเช็ค รับเป็นตั๋วแลกเงินซึ่งก็ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะในสิกขาบทที่ ๙ ในนิสสัคคิยปาจิตตีย์ท่านใช้คำว่า “รูปิยสํโวหรํ” ก็คือสิ่งที่ใช้แทนเงินทอง ในเมื่ออะไรที่ใช้แทนเงินได้ก็ถือว่าผิดเหมือนกัน จะรับเองหรือจะให้คนอื่นรับก็โทษเท่ากัน

ฉะนั้น...ครูบาอาจารย์ผมท่านถึงบอกว่า “รับไปเถอะ แล้วสร้างประโยชน์ให้เขาให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่าเป็นของเรา”

เถรี
28-03-2017, 19:55
ถาม : ที่ผมเห็นเขาไม่จับจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : เขาไม่จับหรอก แต่ว่าโทษผิดก็หนักเท่ากัน จริง ๆ แล้วในพระปาฏิโมกข์บอกไว้ชัดมากเลยนะ รับเองหรือให้ผู้อื่นรับแทน โดนอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ไม่ได้แปลบาลีให้ฟัง

เถรี
28-03-2017, 20:58
ถาม : ช่วงที่ผมบวชพระ ตอนสึกออกมาทางวัดให้นำพวกจีวร สบงกลับไปด้วย อย่างนี้จะติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ติดหนี้สงฆ์ รีบเอาไปคืนก่อนที่จะตาย

ถาม : ทางพระเขาบอกให้นำกลับมาเอง ?
ตอบ : ถ้าคุณไม่บวชเขาก็ไม่ให้คุณหรอก

ถาม : แล้วต้องนำไปคืนวัดนั้นไหมครับ หรือว่าวัดไหนก็ได้ ?
ตอบ : ชำระหนี้สงฆ์วัดไหนก็ได้

เถรี
28-03-2017, 21:24
ถาม : ถ้าปฏิบัติธรรม เราจะหน้าเด็กขึ้นไหมครับ ?
ตอบ : อันนี้ไม่มีใครสามารถรับประกันให้คุณได้ แต่ถ้ากำลังใจสามารถทรงฌานสมาบัติได้คล่องตัวจะทำให้แก่ช้า ไม่ใช่หน้าเด็ก เข้าใจคำว่าแก่ช้าไหม ? ไปนั่งเทียบกับรุ่นเดียวกันก็ดูเด็กกว่าเขาหน่อยหนึ่ง

ถาม : รักษากำลังใจไม่ให้กิเลสกินใจ ก็คือเป็นผลพลอยได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้องไม่โกรธ เพราะตัวโกรธทำให้คนแก่เร็วที่สุด ความโกรธ ความเครียด ภาษาเก่าเขาบอกว่า ไฟโทสะเผาใจ ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเร็ว แต่หมอสมัยใหม่เขาบอกว่าเวลาโกรธ ฮอร์โมนที่ออกมาทำลายเซลล์ร่างกายเร็วมาก

เถรี
28-03-2017, 21:42
ถาม : เคยทราบมาจากน้องท่านหนึ่งว่า คำด่าของพ่อแม่มีความแรงมาก เช่น ด่าลูกว่าไม่เจริญ ลูกไม่ดี ก็จะเป็นจริง ๆ แต่ถ้าพูดให้ลูกเจริญ ลูกรวย ก็จะเป็นตามนั้น จริงไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเป็นส่วนของ “มโนมยา” คือสำเร็จด้วยใจ สภาพจิตของเรารู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี เราก็จะรู้สึกว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ดี จิตไปห่วงกังวลอยู่ ก็กลายเป็นแช่งตัวเอง ก็เลยกลายเป็นสิ่งไม่ดีต่าง ๆ เกิดขึ้น ในเมื่อมโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราเองคิดดี พูดดี ทำดี อย่างไรก็ต้องได้ดีอยู่แล้ว

ถาม : ถ้าเลือกได้ เราก็บอกพ่อแม่ว่า จะด่าให้ด่าด้วยคำที่เจริญ ๆ ?
ตอบ : ถ้าพ่อแม่ของคุณไม่มีคุณธรรม พูดให้ตายก็ไม่เกิดผล อย่าลืมว่าคนแก่สมัยก่อน ไม่ต้องแก่หรอก แค่รู้ภาษาขึ้นไป ส่วนใหญ่ก็อยู่ในศีลกินในธรรมกันหมด ก็แปลว่าส่วนของคุณวุฒิคือความดีของเขามีมาก ในเมื่อกำลังความดีเขามีสูง ตั้งใจให้คนอื่นเป็นอย่างไร ถ้ากำลังพอก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของเราเลวจนสุนัขไม่รับประทาน แล้วไปอวยพรให้ลูกเจริญ แบบนั้นจะเจริญหรือ ? จำเป็นต้องมีความดีรองรับอยู่ส่วนหนึ่งด้วย

เถรี
30-03-2017, 09:47
ถาม : ขอความรู้เกี่ยวกับธรรมะภิสมัยหน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่มีธรรมะภิสมัย มีแต่ธรรมาภิสมัย

ถาม : ที่ผมฟังพระสูตรในธรรมจักร ?
ตอบ : ทุกพระสูตรใช้ได้หมด

ถาม : ผมได้ยินน้องคนหนึ่งบอกว่า เขาสวดธรรมจักร เวลาสวดจะมีอะไรมาขัดขวาง จะต้องตั้งใจสวดมาก อ่านยาก ?
ตอบ : สำคัญที่สุดอยู่ที่ใจของเขา ถ้าใจไม่เอาเสียอย่างก็ยากทั้งหมดนั่นแหละ ในเรื่องของพระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้ารวมพระไตรปิฎกทั้งหมดก็ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จับจุดไหนขึ้นมาถ้าประพฤติปฏิบัติจริงก็ถึงมรรคถึงผลทั้งนั้น เพียงแต่ที่บอกผลเอาไว้ชัด ๆ ว่าทำแล้วได้อะไรบ้างนั้นมีอยู่ไม่กี่พระสูตร นอกนั้นก็อาจจะบอกแค่ว่า “ภิกษุทั้งหลายได้รับฟังภาษิตของพระตถาคตแล้วมีความชื่นชมยินดี” ไม่ได้บอกชัดว่าชื่นชมยินดีแล้วผลเป็นอย่างไร

เราจะไปสรุปว่ามีอยู่แค่ ๖ พระสูตร ถ้าสรุปว่ามีแค่ ๖ พระสูตรทำให้คนบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์ไปทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ?

ถาม : ที่เป็นธรรมาภิสมัยเพราะได้มีเทวดาได้ฟังแล้วบรรลุเยอะจากพระสูตรนั้น ท่านฟังแล้วชื่นชอบ ถ้าเราสวดแล้วเราจะเป็นที่ชื่นชอบของท่านไหมครับ ?
ตอบ : คุณสวดอะไรท่านโมทนาทั้งนั้นแหละ ขอให้ทำความดีไปเถอะ

เถรี
30-03-2017, 09:51
ถาม : อย่างหลวงพ่อฤๅษีท่านจะมีบอกประเภทของลูกศิษย์ ไม่ทราบว่าการเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เล็กจะต้องมีเงื่อนไขอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : จะต้องไม่ช่างถาม...! ถ้ามัวแต่ถามอยู่แสดงว่ายังปฏิบัติไม่จริง ในเรื่องของการปฏิบัติถ้าทำจริงจะไม่มีคำถามหรอก

เถรี
30-03-2017, 10:02
ถาม : อย่างท่านมเหสักข์รับหน้าที่เป็นพระนารายณ์ อย่างพระศิวะจะเป็นท่านไหนครับ ?
ตอบ : ก็เรื่องของท่านคุณไปยุ่งอะไรกับท่านล่ะ ? รู้แล้วช่วยให้เกิดมรรคเกิดผลบ้างไหม ?

เถรี
30-03-2017, 10:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ที่ชื่อ รอด ในประเทศไทยมาหลายองค์ แต่ว่าที่ดังที่สุด คือ หลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่รอด วัดโคนอน กับ หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน

หลวงปู่รอด วัดนายโรง เป็นต้นตำรับเบี้ยแก้ในตำนาน ที่ว่า "เบี้ยขลังวัดนายโรง" ถ้าจะเอากันจริง ๆ แล้ว เบี้ยขลังมีหลายสำนัก แต่ของวัดนายโรงท่านมีชื่อเสียงขึ้นมาก่อน จึงติดอยู่ในตำนานสุดยอดเครื่องราง ๙ ขนิด

หลวงปู่รอด วัดโคนอน เป็นอาจารย์ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ถ้าถามอีกว่าหลวงปู่เอี่ยม วัดหนังเป็นใคร ? เป็นพระที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปหาก่อนไปยุโรป แล้วหลวงปู่เอี่ยมก็ทำนายว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง พร้อมกับบอกวิธีแก้ไขไว้หมด

ส่วนอีกท่านคือ หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ต้องบอกว่าเป็นเกจิอาจารย์สายตะวันออกที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด วัตถุมงคลที่ท่านสร้างโด่งดังที่สุด ต้องบอกว่ามีสิงห์มหาอำนาจกับชูชก บุคคลที่สร้างชูชก ถ้าหากว่าไม่ใช่เข้าถึงเคล็ดลับจริง ๆ ไม่มีใครทำได้ดังแน่ หลวงปู่รอดท่านเข้าถึงเคล็ดลับตรงที่ว่า “ชูชกขออะไรใครก็สำเร็จ แม้กระทั่งลูกสุดที่รักอย่างกัณหาชาลีก็ยังขอไปจากพ่อแม่ได้ เพราะฉะนั้น...สิ่งอื่นที่ขอไม่ได้นั้นไม่มี”

ชูชกอย่าเห็นว่าเป็นขอทานนะ รวยอย่าบอกใครเลย เพียงแต่ว่าเอาเงินฝากเพื่อนไว้แล้วเพื่อนใช้หมด ไม่รู้ว่าจะใช้คืนอย่างไรเพื่อนก็เลยยกลูกสาวให้ นางอมิตดาอายุ ๑๖ ปี ได้ตาชูชกอายุ ๘๐ ปี เขาบอกว่านางอมิตดาถวายดอกไม้เหี่ยว แต่สงสัยว่าชูชกถวายดอกไม้แต่ยังไม่ทันจะมีดอกหรือเปล่า ?"

เถรี
30-03-2017, 10:07
"ชูชกเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้สุดยอดมาก เจอพรานเจตบุตรก็อ้างว่าเป็นทูตมาทูลเชิญพระเวสสันดร ไม่อย่างนั้นโดนพรานเจตบุตรฆ่าตายไปแล้ว เพราะพรานเจตบุตรรู้ว่าจะมีคนมากวนพระเวสสันดร จึงคอยมาลาดตระเวนป้องทางไว้ ดังนั้น..ชูชกเป็นคนฉลาด เป็นคนรวย เป็นคนที่ขอใครไม่เคยพลาด เคล็ดลับพวกนี้โบราณจารย์ท่านก็เลยเอามาสร้างเป็นชูชก

คราวนี้มีคนถามว่าชูชกเป็นอดีตชาติของพระเทวทัต เราบูชาชูชกไม่เท่ากับบูชาเทวทัตหรือ ? อาตมายืนยันว่าคนบูชาชูชกทุกคนไม่มีใครคิดถึงเทวทัตหรอก มีแต่คิดถึงหลวงปู่ที่สร้าง จึงเป็นสังฆานุสติ ขณะเดียวกันอภิญญาจารย์ระดับอภิญญา ๖ สมาบัติ ๘ อย่างหลวงปู่รอดท่านอธิษฐานอะไรก็ขลังไปหมด"

เถรี
30-03-2017, 21:08
ถาม : เวลาเห็นพวกวิญญาณ เทวดา หรือพรหม อยากถามว่า....?
ตอบ : ไม่ใช่...การเห็นมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือเราปรับกำลังเพื่อเห็นเขา อย่างที่ ๒ คือเขาปรับมาให้เราเห็น ฉะนั้น...ไม่จำเป็นว่าเราต้องเห็นไปทีละระดับ ถ้าเขาปรับมาจะบนสุดยันล่างสุด เราก็สามารถเห็นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายปรับกำลังใจเข้าไปหา โอกาสที่กำลังใจก้าวกระโดดมีน้อย ก็ต้องค่อย ๆ ปรับไป จึงขึ้นอยู่กับว่าเราปรับไปหรือเขาปรับมา

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ก็ไม่แน่ เพราะว่าบางทีเรานึกถึงภาพก็คือภาพติดตาที่เราจำได้ คราวนี้ก็ต้องคอยดูไปว่ามีการเปลี่ยนแปลงไหม ? ถ้าหากว่าภาพมีการเปลี่ยนแปลงก็คือท่านปรับมา ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นไปโดยช้า ๆ ก็คือเราปรับไปเอง

เถรี
30-03-2017, 21:10
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องเห็น แค่มั่นใจว่ามีก็ใช้ได้

ถาม : ต้องมั่นใจขนาดไหนครับ หรือมั่นใจในความรู้สึกแรก ?
ตอบ : ความรู้สึกแรกมักจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าผู้ปฏิบัติมักจะมีจุดบอดอยู่ก็คือว่ามักจะไป “เอ๊ะ” ตัวนี้ก็คือเอาของเก่าไปปนว่า น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเรียกว่าอุปาทานคือไปยึดของเก่า

เผลอ "เอ๊ะ" เมื่อไรก็คือเรากำลังเอาของเก่ามาปนแล้ว แต่อดไม่ได้หรอก หลังจากที่เรา "เอ๊ะ" แล้วผิด เราจึงจะรู้ว่า อ๋อ...ที่แท้อันแรกถูกแล้ว ต้องแก้นิสัยจุดนี้กันอีกนานเลย ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอย่างนั้นเสียด้วย

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : แค่นั้นก็พอแล้ว ความรู้สึกล้วน ๆ บอกได้ชัดเจนก็เพียงพอแล้ว รายละเอียดทั้งหมดอยู่ตรงนั้นแหละ ความรู้สึกที่เรารู้สึกนั่นแหละคือภาพ แต่เราไม่เข้าใจเองว่าภาพคืออะไร เรารู้สึกจนอธิบายรายละเอียดได้ทำไมจะไม่ใช่ภาพ ? เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตาเห็นเราก็เลยนึกว่าไม่ใช่ภาพ

ถาม : บางครั้งอารมณ์หนักครับ ?
ตอบ : ถ้าอารมณ์หนักก็แปลว่าสมาธิหรือวิปัสสนาญาณของเราพร่อง ถ้าสมาธิของเราตก สูงเกินหรือต่ำเกินก็จะหนัก แต่ถ้าหากว่าพอดี ๆ ก็จะรู้สึกว่าเบา สามารถสัมผัสได้ง่าย

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มีเยอะมากเลย โดยเฉพาะการระงับยับยั้ง กาย วาจา ใจ ของเราไม่ให้ละเมิดศีล พอสติดีขึ้นก็คุมศีลได้ดี สติดีขึ้นสมาธิก็ทรงตัวได้ ถึงได้บอกว่าจำเป็นต้องฝึก

เถรี
30-03-2017, 21:23
ถาม : เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วรู้สึกว่าเฉยชา ?
ตอบ : จะเรียกว่าเฉยชาก็ไม่ใช่ อาตมาเองรถคว่ำ ไม่ได้ตกใจ แต่มองว่าจะแก้ไขอย่างไร จะเรียกว่าเฉยชาได้ไหม ? ก็ไม่ใช่หรอก หากแต่ว่าสติอยู่ตัว เลือกว่าเราจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรจึงจะออกมาดีที่สุด

ถ้าถามว่ารถคว่ำขนาดไหน ? หูของอาตมาห่างจากพื้นไม่ถึงศอก ...(หัวเราะ)... ขนาดนั้นแล้วยังไม่ตกใจ คอยนึกอยู่เดียวว่าจะแก้ไขเหตุการณ์อย่างไร เพราะว่าตอนนั้นสติเร็วมาก ๆ เร็วจนกระทั่งรถที่กำลังพลิกคว่ำกลายเป็นของช้าไปเลย

ถาม : พบว่าบางทีเราไม่ตอบสนองครับ ?
ตอบ : ที่เราไม่ตอบสนองเพราะเรายอมรับกฎของกรรมจริง ๆ หรือเกิดเพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาจากความด้านชา ? ถ้าเกิดจากความยอมรับกฎของกรรมจริง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะถือว่าหมดกันไปตรงนั้น แต่ถ้าหากว่าเป็นความด้านชา เป็นสมาธิที่กดเอาไว้ก็ยังไม่ใช่ ต้องดูว่าต่อไปจะกำเริบใหม่ไหม ?

สมมติว่าเขาด่าเราแล้วเราเฉย ๆ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันนึกได้ก็ไปโกรธเขาใหม่ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตอนนั้นเกิดจากอำนาจสมาธิกดเอาไว้ เราเลยรู้สึกว่าตายด้าน แต่ความจริงแล้วยังไม่ใช่ แต่ถ้ามาเท่าไรก็เฉย ไม่รับอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นเพราะว่าสภาพจิตของเรายอมรับแล้วว่า ธรรมดาเป็นอย่างนี้

เถรี
30-03-2017, 21:31
ถาม : คนอื่นเขาจะว่าเราบ้า ?
ตอบ : ไปสนใจอะไรกับทางโลก ? เรื่องของทางธรรมทวนกระแสโลกอยู่แล้ว คนอื่นเขาว่าเราบ้านี่นับว่าเกรงใจมากแล้วนะ ส่วนใหญ่จะมีมากกว่านั้นอีก ถ้าอาตมาฟังคำคนอื่นคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก เพราะว่าโดนมาตั้งแต่เล็ก ๆ

พยายามประคองให้อยู่ในจุดที่ "โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย" ให้ได้มากที่สุด ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวก็ต้องเลือกทางธรรมแทน ประเภทที่เขาบอกว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด อะไรประมาณนั้น

แยกให้ออกนะ อารมณ์ตัวตายดีกว่าศีลขาดเป็นอารมณ์ของพระอริยเจ้า ส่วนอารมณ์ยอมตายตรงนี้ ไม่ยอมมอบตัว เป็นคนละเรื่องกันนะ ประเภทยอมตายตรงนี้ไม่ยอมมอบตัวนั่นเขาเรียกว่าดื้อด้าน

ถาม : กำลังใจเท่ากันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : กำลังใจเท่ากัน เพียงแต่เอาไปใช้ผิด น่าเสียดาย ไปเถอะ...เอาทางโลกแค่พอสมควร

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : นึกย้อนไปว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไรแล้วก็ทำใหม่ โอกาสที่เข้าถึงจะมีอีก แต่ "อย่าอยาก" ถ้า "อยาก" จะไม่ได้ เพราะว่าถ้าอยากเมื่อไรแสดงว่ากำลังใจเราฟุ้งซ่าน ต้องวางกำลังใจว่าเรามีหน้าที่ทำ จะเกิดไม่เกิดก็ช่างมัน

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะเร็วจะช้าให้เข้าถึงได้ก่อน ถ้าหากว่าเข้าถึงได้ จดจำอารมณ์นั้นได้ต่อไปก็ง่ายแล้ว

เถรี
30-03-2017, 21:35
มีโยมพาผู้สูงอายุมาถวายสังฆทาน "เวลาช่วยประคองคนแก่ ต้องรอจังหวะที่ท่านยันตัวเองขึ้นมาแล้วเราค่อยช่วยดึง ถ้าจังหวะที่ท่านยังไม่ดันตัวเองแล้วเราไปประคอง เท่ากับเราไปแบกน้ำหนักทั้งตัวเลย ใครจะไปแบกไหว ?

อาตมาดูแลคนแก่มาเยอะ อุ้มหลวงปู่มหาอำพันจาก ๘๘ กิโลกรัมจนเหลือแค่ ๔๔ กิโลกรัม งานดูแลคนแก่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องเข้าใจว่าคนแก่เป็นอย่างไร

คนแก่กำลังไม่ดีแล้ว ในเมื่อกำลังไม่ดีแล้วเราจะเสริมตรงส่วนไหน แต่คนแก่บางคนประเภทของเก่ามีมาก เราไปยุ่งด้วยมากไม่ได้ แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เหมือนกัน ถึงเวลาประคองท่านลงบันได้เพื่อที่จะขึ้นรถไปรับสังฆทาน พอลงพ้นบันไดท่านสลัดมือขอเดินเอง ตอนหลังพอป่วยมาก ๆ พอท่านสะบัดอาตมาก็ล็อคเลย...ห้ามดิ้น

พอหลวงพ่อท่านสะบัดไม่หลุดท่านก็เข้าใจ ก็เลยปล่อย อยากทำก็ทำไป ลักษณะนั้นเรียกว่า "ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์" เคยเป็นใหญ่เป็นโตมามาก แสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ หลวงลุงสุนทรถามว่า “เฮ้ย...หลวงพี่ ทิฏฐิพระยังมีอีกหรือ ?” “อ้าว...ต้องมีสิ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิจะบรรลุได้อย่างไร ?” ไปได้เหมือนกันนะ"

เถรี
02-04-2017, 21:17
ถาม : ไปต่างประเทศแล้วนอนไม่หลับค่ะ ?
ตอบ : เวลาของเขาหรือเวลาของเรา ?

ถาม : เวลาของเขาค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเวลาของเขา อาจจะเป็นเพราะความเคยชินกับเวลาของเรา ให้ติดน้ำผึ้งไป ๑ หลอด กินก่อนนอน ๑ ช้อนชา หลับเป็นวางยาเลย ตั้งนาฬิกาปลุกด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเลยเวลาแน่นอน ๑ ช้อนชาเท่านั้น อย่าเยอะ พูดง่าย ๆ ก็คือ ๒ - ๓ หยดใหญ่ ๆ เท่านั้น

เถรี
03-04-2017, 08:36
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปคุมสอบบาลีที่วัดใต้ มีร้านค้ามาตั้งร้านขายของกันมาก อาตมาไปเดินดู ไปเจอร้านหนึ่งมาขายวัตถุมงคล มองไปแล้วสะดุดตาตะกรุดดอกหนึ่งเก่ามาก ถามคนขายว่าของที่ไหน เขาบอกว่าไม่รู้ อาตมาบอกว่าหน้าตาเหมือนของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยนะ เขาก็บอกว่าเขาไม่รู้จัก เลยถามต่อว่าแล้วคิดราคาอย่างไร เขาว่าคิด ๑,๘๐๐ บาท อาตมาถามว่า ๑,๕๐๐ บาท ได้ไหม ? เขาบอกว่าได้

อาตมานึกถึงท่านอาจารย์จำลอง เพ็งคล้าย พวกเราคงหาคนรู้จักท่านยาก ท่านอาจารย์จำลอง เพ็งคล้าย เป็นนักพฤกษศาสตร์ ชำนาญในการแยกแยะชนิดต้นไม้มากที่สุดในประเทศไทย ถ้าถามท่านอาจารย์จำลองว่า "ต้นไม้ต้นนี้คือต้นอะไร" ถ้าท่านบอกว่า "น่าจะเป็นต้นนั้นนะ" คำว่า "น่าจะ" ของท่านก็คือ "ใช่เลย"

อาตมาก็ลักษณะเดียวกันนั่นแหละ ที่บอกว่าดูเหมือนของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยนะ ก็คือใช่เลย แต่ปรากฏว่าคนขายก็พาซื่อเหลือเกิน ขนาดยืนยันว่าใช่แล้ว ก็ยังบอกว่าไม่รู้จัก..ก็แล้วแต่มึงเถอะ" ...(หัวเราะ)...

เถรี
03-04-2017, 08:38
"แต่ของอย่างนี้ร้อยวันพันปีจะมีบังเอิญหลุดมาสักทีหนึ่ง เพราะว่าส่วนใหญ่ของที่เอามาก็คือของตลาดสนามหลวงสมัยก่อน บางอย่างก็ทำเทียมกันมานาน พอผ่านไป ๒๐ - ๓๐ ปี ก็กลายเป็นของเก่า... อาตมาเลยบังเอิญได้ของดีมา ๑ อย่างในราคาอนุบาล ไม่ใช่ราคาเยาวชน แต่ถ้าตามท่าพระจันทร์ไม่ต้องไปหวัง ร้อยละ ๑๒๐ ของปลอมล้วน ๆ

พวกที่มาตั้งแผงจำหน่ายจะอยู่ในลักษณะว่า มีนิทานประกอบเยอะมาก เหมาะสำหรับผู้ที่เล่นด้วยหู ไม่ได้เล่นด้วยตา พวกที่เล่นด้วยหู พอฟังนิทานแล้วเชื่อก็ซื้อไป ถ้าพวกที่เล่นด้วยตา ดูพิมพ์ไม่ใช่ เนื้อไม่ใช่ ก็จบ" ...(หัวเราะ)...

เถรี
03-04-2017, 08:41
"มีหลายสำนักที่สร้างวัตถุมงคลใกล้เคียงกันมาก ต้องแยกแยะกันนาน อย่างพระปิดตา พระปิดตาที่เป็นที่ต้องการอย่างสูงสุดเลยก็คือ พระปิดตายันต์ยุ่ง หลวงปู่ทับ วัดทอง แต่ก็มีพระปิดตาหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ซึ่งจะอยู่ยุคไล่ ๆ กันนั่นแหละ อันนี้ก็ต้องมาแยกแยะพิมพ์กันก่อน

พระปิดตาของหลวงปู่ทับเขาบอกว่า "ล้วงใน โชว์แข้ง" ก็คือมักจะเหมือนกับคนขัดสมาธิแล้วก็ล้วงผ่านขาตัวเองลงไป ถ้าเป็นของหลวงปู่เอี่ยม ถือว่า "ล้วงนอก โชว์มือ" ก็คือปิดทวารเหมือนกัน แต่เป็นการล้วงแบบเอามือบังแข้งไว้ ต้องแยกพิมพ์ให้ออกก่อน ถ้าแยกไม่ออกก็ไม่รู้ว่าของที่ไหน ถ้าแยกพิมพ์ออกแล้ว ก็ต้องมาดูเนื้อ ดูความเก่า ดูรายละเอียดอื่น ๆ ประกอบเข้าไปอีก"

เถรี
03-04-2017, 08:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานบรรพชาหมู่สามเณรภาคฤดูร้อนของวัดท่าขนุน เริ่มตั้งแต่ ๓๑ มีนาคม ถึง ๙ เมษายนของทุกปี กติกาเดิมคือ ใครบวชเข้ามาแล้วท่องคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร และปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะได้ก็รับเงินไป คนเก่าที่ท่องได้แล้วถ้ามาบวช พูดง่าย ๆ ว่าสตางค์อยู่ในกระเป๋าแล้ว ....(หัวเราะ)....

จะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ตะเกียกตะกายมาบวชเอง เพราะว่าจะหาเงินไปเที่ยว อาราธนาศีลได้ รับไป ๕๐๐ บาท อาราธนาศีล อาราธนาธรรมได้ รับไป ๑,๐๐๐ บาท อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตรได้ รับไป ๑,๕๐๐ บาท ถ้าอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะได้ เอาไป ๒,๐๐๐ บาท

มาบวชแค่ ๑๐ วันเอง ทำไมจะทนไม่ได้ แล้วอยู่วัดก็กินดีอยู่ดี ของบางอย่างเหมือนกับสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เด็กอยากบวช แต่สิ่งที่เขาได้ไปจะเป็นสมบัติติดตัวไปตลอดชีวิต เพราะเวลาไปงาน เขาให้อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ก็ทำได้อยู่แล้ว"

เถรี
03-04-2017, 08:48
โยมเอาวัตถุมงคลให้ดู "ปกติผงยันต์เกราะเพชรของหลวงปู่ปานจะมี ๒ สี คือ สีออกเหลือง ๆ หน่อย สำหรับพวกที่เป็นเนื้อผงล้วน แล้วก็พวกที่เป็นผงอุดพระด้วยซีเมนต์แล้วเหลือมาจะสีออกเทา ๆ มีอยู่แค่ ๒ แบบเท่านั้น"

เถรี
03-04-2017, 08:48
:4672615: เก็บตกเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย และรัตนาวุธ