เถรี
17-11-2016, 13:47
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ เดือนที่แล้วที่ผ่านมา มีเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของทุกคนที่เกิดขึ้น ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านทรงเจริญพระชนมายุถึง ๘๙ พรรษาย่างเข้า ๙๐ พรรษาแล้ว แต่พวกเราก็ยังอยากจะให้พระองค์ท่านอยู่กับเราไปนาน ๆ
การเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านนั้น อยากให้ทุกคนพิจารณาดูกำลังใจของตนเองว่า มีความหวั่นไหว มีความเศร้าโศกเสียใจเกิดขึ้นเท่าไร ? อย่าลืมว่าพวกเราทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่ายังมีความหวั่นไหว ยังมีความเศร้าโศกเสียใจ ก็แปลว่าเรายังไม่ยอมรับในความเป็นจริง ในความเป็นธรรมดาของร่างกายของเรา หรือว่าร่างกายของผู้อื่น ซึ่งมีลักษณะธรรมดาเหมือนกันอยู่ ๓ อย่าง คือ อนิจจลักขณะ มีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง แล้วก็สลายไปในที่สุด
ทุกขลักขณะ มีความเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เหล่านี้เป็นต้น และท้ายที่สุด ก็คือ อนัตตลักขณะ ก็คือลักษณะของการไม่อาจจะทรงอยู่เป็นตัวตนได้ ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของผู้อื่นก็ดี เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพัง คืนให้เป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงออกซึ่งธรรมะอย่างชัดเจนที่สุด ก็คือ สัพเพ สังขารา อนัตตา สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ ถ้าเรายังหวั่นไหว เรายังเศร้าโศกเสียใจ ก็แปลว่ากำลังใจของเรายังห่างไกลจากความเป็นพระอริยเจ้าอยู่มาก ขาดการพิจารณาในวิปัสสนาอย่างมาก
เมื่อเรารู้ว่าเราบกพร่อง ก็ต้องแก้ไขเติมเต็มในส่วนที่ขาด ก็คือวิปัสสนาญาณ ที่จะมองให้เห็นความเป็นจริงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ เดือนที่แล้วที่ผ่านมา มีเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของทุกคนที่เกิดขึ้น ก็คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านทรงเจริญพระชนมายุถึง ๘๙ พรรษาย่างเข้า ๙๐ พรรษาแล้ว แต่พวกเราก็ยังอยากจะให้พระองค์ท่านอยู่กับเราไปนาน ๆ
การเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านนั้น อยากให้ทุกคนพิจารณาดูกำลังใจของตนเองว่า มีความหวั่นไหว มีความเศร้าโศกเสียใจเกิดขึ้นเท่าไร ? อย่าลืมว่าพวกเราทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่ายังมีความหวั่นไหว ยังมีความเศร้าโศกเสียใจ ก็แปลว่าเรายังไม่ยอมรับในความเป็นจริง ในความเป็นธรรมดาของร่างกายของเรา หรือว่าร่างกายของผู้อื่น ซึ่งมีลักษณะธรรมดาเหมือนกันอยู่ ๓ อย่าง คือ อนิจจลักขณะ มีความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง แล้วก็สลายไปในที่สุด
ทุกขลักขณะ มีความเป็นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การปรารถนาไม่สมหวัง การกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เหล่านี้เป็นต้น และท้ายที่สุด ก็คือ อนัตตลักขณะ ก็คือลักษณะของการไม่อาจจะทรงอยู่เป็นตัวตนได้ ร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของผู้อื่นก็ดี เป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันขึ้นมาเป็นเรือนร่างให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพัง คืนให้เป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงออกซึ่งธรรมะอย่างชัดเจนที่สุด ก็คือ สัพเพ สังขารา อนัตตา สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ ถ้าเรายังหวั่นไหว เรายังเศร้าโศกเสียใจ ก็แปลว่ากำลังใจของเรายังห่างไกลจากความเป็นพระอริยเจ้าอยู่มาก ขาดการพิจารณาในวิปัสสนาอย่างมาก
เมื่อเรารู้ว่าเราบกพร่อง ก็ต้องแก้ไขเติมเต็มในส่วนที่ขาด ก็คือวิปัสสนาญาณ ที่จะมองให้เห็นความเป็นจริงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายเป็นอนัตตา