PDA

View Full Version : โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะวันแม่ วันที่ ๑๒ - ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๙


เถรี
19-08-2016, 19:48
การปฏิบัติธรรมจริง ๆ แล้วก็คือ การสะสมกำลังไว้เพื่อเอาชนะกิเลส แต่คราวนี้พวกเราทำแล้วปล่อยให้รั่วหมด ทำแล้วได้กำลังมาหน่อยหนึ่งก็ไปไล่จับโปเกม่อน..! แรงหมดเลยสู้กิเลสไม่ได้ ฉะนั้น...สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดต้องสั่งสมเอาไว้ด้วยการสำรวมอินทรีย์ คือ ระมัดระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพื่อที่จะได้รักษากำลังเอาไว้ จะได้มีกำลังเหนือกว่ากิเลส สามารถที่จะสู้กิเลสได้

แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปปล่อยให้กำลังรั่วหมด ไปก้มหน้าก้มตาเขี่ยจอเป็นชั่วโมง ๆ แต่ภาวนาแค่ ๓๐ นาที แล้วจะพอใช้งานไหม ? ถึงเวลาหูอยากได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็อุตส่าห์เอาหูฟังยัดเอาไว้ เปิดไอพ็อด ๔๐๐ เพลงรวด..! ถึงเวลาจมูกอยากได้กลิ่นหอม ก็ตะเกียกตะกายไปหามา ลิ้นอยากได้รสอร่อยก็ตะกายไปหาให้ ร่างกายอยากได้สัมผัสดี ๆ หนีร้อนไปหาเย็น หนีแข็งไปหาอ่อน ใจเราอยากจะครุ่นคิด ในเรื่องของความดีก็ไม่คิด แต่ไปคิดในเรื่องฟุ้งซ่านใน รัก โลภ โกรธ หลง

จะเห็นได้ว่า กำลังที่เราปฏิบัติรั่วออกหมดทุกประตูเลย แล้วเมื่อไรจะมีเรี่ยวแรงพอที่จะไปสู้กิเลสได้ ดังนั้น...การปฏิบัติจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราไว้ ปิดทุกประตู เหลือใจอยู่ประตูเดียว ก็คือ เอาใจจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา ถ้าเผลอสติคิดเรื่องอื่น รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจทันที พยายามทำอย่างนี้บ่อย ๆ กำลังเราจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะพอชนะกิเลสได้บ้างในบางโอกาส จนกว่าเราจะรู้วิธีรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องทั้งหลับทั้งตื่น ทั้งยืนทั้งนั่ง สามารถรักษาอารมณ์ได้เท่ากัน ไม่ไปข้องแวะให้รั่วไหลไปกับ รัก โลภ โกรธ หลง ต้องเป็นอย่างนั้นเราถึงจะมีโอกาสพ้นจากกิเลสได้

เถรี
19-08-2016, 19:51
หลายท่านคิดว่าเราปฏิบัติเพียงเพื่อเป็นอุปนิสัย เพียงเพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยเท่านั้น อาตมาขอยืนยันว่าคิดผิด ถ้าหากว่าเราสามารถปฏิบัติภาวนาได้ แสดงว่าบารมีของเราควรแก่การบรรลุธรรมแล้ว ยิ่งรอช้าเท่าไรก็ยิ่งเกิดนานเท่านั้น ยิ่งเกิดนานเท่าไรก็ยิ่งทนทุกข์ทรมานอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ นานเท่านั้น เพราะฉะนั้น...หนีไปได้เร็วเท่าไร ก็ต้องไปให้เร็วเท่านั้น

ในส่วนของการปฏิบัติที่นี่ก็ไม่ใช่ว่าเคร่งครัดกันทั้งวันทั้งคืน อย่างช่วงบ่ายก็เริ่มบ่ายโมงตรง ไปเลิกบ่ายสามโมง แค่ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น เวลาที่เหลือมีมากเกิน ๒ ชั่วโมง อย่าปล่อยให้สภาพจิตของเราฟุ้งซ่านจนขาดทุน แต่ให้ใช้เวลาที่เหลือนั้นในการประคับประคองรักษาอารมณ์ที่เราปฏิบัติได้เอาไว้ เพราะการปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถ้าเราว่ายมาแล้วปล่อยให้ไหลตามน้ำไป เราก็ต้องว่ายกลับมาใหม่ พอกลับมาใหม่แล้วปล่อยให้ไหลตามน้ำไปก็ต้องว่ายอีก เราจะกลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวันแต่ไม่มีผลงานเลย

ถึงได้ว่าทำไมปฏิบัติธรรมปีหนึ่งก็แล้ว ๒ ปีก็แล้ว ๓ ปี ๕ ปีก็แล้ว ไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่าเดิมเลย ก็เพราะว่านอกจากจะปล่อยกำลังให้รั่วไหลไปหมดแล้ว เรายังรักษากำลังใจไม่ได้อีกด้วย

เถรี
20-08-2016, 08:09
สถานการณ์พระพุทธศาสนาของเราในปัจจุบันนั้น ท่านอาจารย์บรรจบวิ่งหาพระผู้ใหญ่ให้สนับสนุนแล้วไม่มีเลยถึงได้ท้อ ส่วนพวกเราก็แค่สนับสนุนด้วยการซื้อหนังสือ แต่ท่านจะออกมาทันพวกเราซื้อหรือเปล่า ? บอกท่านไปว่าถ้าอาศัยกำลังพวกเราก็น้อย ให้ไปติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ คือ มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ซึ่งเขาเป็นเป้าอยู่แล้ว ในเมื่อเขาเป็นเป้าอยู่แล้ว คุณจะโดดลงมาเล่นหรือไม่เล่นเขาก็เล่นคุณอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณโดดลงมาเล่น อย่างน้อย ๆ คุณก็มีฐานเป็นเกราะกำบังให้

ฉะนั้น...ขอให้ท่านอาจารย์ไปชี้แจงกับอธิการบดีทั้งสองท่าน อาศัยกำลังของนิสิต มจร. แต่ละปีมีถึงสี่ห้าพันรูป/คน ไม่ใช่ที่จบไปนะ อย่างปีที่แล้วจบปริญญาตรี โท เอก รวมกันแล้ว ๔,๐๐๐ กว่ารูป รวมกันก็จบไปเป็นหมื่นแล้ว แต่ละท่านก็ล้วนแล้วแต่มีญาติโยมในการอุปถัมภ์อุปัฏฐากอยู่ แค่ท่านอธิการบดีขอความร่วมมือศิษย์เก่า ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นสะดวกขึ้น

เราไม่ได้คิดร้ายที่จะรุกรานศาสนาไหน แต่จำเป็นต้องป้องกันตัวเอง ได้ข่าวไหมว่าวันนี้เขาทั้งวางเพลิง ทั้งวางระเบิดหลายจุดที่ปักษ์ใต้ เน้นแหล่งเที่ยวล้วน ๆ ไม่ว่าจะนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตรัง แล้ววันนี้วันอะไร ? วันแม่แห่งชาติ ๘๔ พรรษาด้วย นอกจากไม่เกรงใจแล้ว บรรดาข้าราชการปัญญาอ่อนก็ยังบอกว่า ไม่เกี่ยวกับการก่อการร้าย ฟังมารดามันพูดเถอะ...! ต่อให้ไม่ใช่พวกเดียวกันแต่ก็เหมือนกับปกป้องเขาอยู่ดี

เรื่องแบบนี้ฟันธงลงไปตรง ๆ เลยก็ได้ แต่ไม่พูด พยายามหลีกเลี่ยงผ่อนหนักเป็นเบา กลายเป็นชี้นำการสืบสวน ต้องบอกว่าคนของเราปัญญาอ่อนชัด ๆ...! ไฟไหม้มาถึงหัวแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ลองคิดดูว่าเขาเน้นทำลายแหล่งเที่ยว แล้วบ้านเราปัจจุบันนี้เหลือแต่แหล่งเที่ยวอย่างเดียวที่อยู่ได้ กิจการอื่นไปกันไม่รอด ยังโชคดีว่า ๒-๓ วัน คึกคักขึ้นมา เพราะประชามติผ่านแล้ว ผ่านเพราะคนเบื่อรัฐบาลทหารเต็มทีแล้ว อยากมีรัฐบาลเลือกตั้งเสียที ส่วนจะไปได้หรือไม่ได้ก็ขอลองใช้รัฐธรรมนูญดูก่อน

เถรี
20-08-2016, 08:11
ส่วนนี้ก็คือ พวกเขามาซ้ำเติมเหตุการณ์ให้ย่ำแย่ยิ่งขึ้น จนกระทั่งพวกเราลำบากยากจน หมดทางทำกินอะไรแล้ว พวกเขาที่ได้รับแรงสนับสนุนทั้งภายในภายนอก ก็จะได้ผงาดขึ้นมาแทน เป็นวิธีการที่มองเห็นกันอยู่ชัด ๆ แต่ก็แกล้งทำเป็นปัญญาอ่อนกัน ถ้าหากว่าเราไม่มาทำเรื่องนี้ ก็ไม่สามารถที่จะคานเขาได้ เพราะว่าเขาวางแผนลงมือกันมา ๓๐ กว่า ๔๐ ปี เกิดดอกออกผลแล้ว

ตอนนี้ประเทศเราผู้ว่าราชการจังหวัด ๔๐ กว่าจังหวัดเป็นคนของเขาแล้ว ยังมีรองผู้ว่ากับปลัดจังหวัดอีกเป็นร้อย ๆ รออยู่ บรรดาสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีคนของเขาแทรกอยู่ และเริ่มเข้าถึงระดับผู้บริหารแล้ว ฉะนั้น...ทุกอย่างจะออกมาในลักษณะสนับสนุนเกื้อกูลเขาทั้งหมด ถ้าเรายังไม่ขยับก็ตายอย่างเดียว

หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านถึงขนาดวางฐานไว้ต่างประเทศเลย วางฐานล่วงหน้าไว้ ๓๐ กว่าปีแล้ว ถ้าหากว่าบ้านเมืองเราศาสนาอยู่ไม่ได้ ก็จะไปอยู่ต่างประเทศ คราวนี้ถ้าพระถอยแล้วโยมจะอยู่อย่างไร ? ไม่ใช่ว่าจะถอยตามกันไปได้ทุกคน

เถรี
20-08-2016, 08:21
ของแบบนี้อยู่ที่การฝึกฝน เรื่องทั้งหมดที่พูดมาสรุปลงตรงที่ว่า เรายังไม่ได้ฝึกฝนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาให้เกิดผลจริง ถ้าเกิดผลจริงเมื่อไรไม่เห็นต้องไปกลัวใครเขาเบียดเบียนเราเลย เพราะท้าพิสูจน์ได้ตลอด

ฉะนั้น...ในส่วนนี้อยากจะยกสิ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมอบเป็นมรดกไว้ให้ ก็คือ พระคาถาอภิญญา ให้พวกเราที่จะเป็นพระ เป็นเณร เป็นฆราวาสก็ได้ สละเวลาสักเช้าชั่วโมงหนึ่ง เย็นชั่วโมงหนึ่ง ลองทำให้จริง ๆ จัง ๆ ดู ถ้าหากว่าทำแล้วเกิดผล นอกจากจะเป็นคุณแก่ตัวเราเองแล้ว ยังเป็นกำลังใหญ่ในการช่วยพระศาสนาได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

คราวนี้พระคาถาอภิญญามีอยู่ ๒ บท บทแรกเป็นการฟื้นฟูอภิญญาใหญ่ ก็คือ กำลังที่เกิดจากกสิณ ๑๐ โดยตรงเลย คือ โสตัตตะภิญญา ภาวนายากนิดหนึ่งสำหรับคนที่ไม่เคยชิน เพราะเรามักจะเคยชินกับการที่จับลมหายใจพร้อมกับคำภาวนา คราวนี้คำว่าโสตัตตะภิญญา ถ้าจะให้ลงตัวจริง ๆ เราต้องไปจับคำภาวนาในลักษณะเล่นทั้งประโยคเลย

อีกบทหนึ่ง ก็คือ สัมปะจิตฉามิ บทนี้ถ้าเราทำขึ้นก็มีอานุภาพคล้ายกับฝึกกสิณ ๑๐ เหมือนกัน แต่เท่าที่อาตมาทดสอบมา โสตัตตะภิญญามีกำลังเข้มแข็งกว่าหลายเท่า ถ้าหากว่าบทสัมปะจิตฉามิ เราจะภาวนาให้ขึ้นนะโมฯ ๓ จบ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิฯ และอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ก็คือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ แล้วค่อยภาวนาสัมปะจิตฉามิ ว่าไปเรื่อย ๆ จับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา ส่วนโสตัตตะภิญญานั้นง่าย ตั้งนะโมฯ แล้วก็ใส่ได้เลย

เถรี
20-08-2016, 08:26
แต่มีเคล็ดลับอยู่นิดเดียวสำหรับคนที่ไม่เคยฝึก หรือฝึกแล้วยังทำไม่ถึง ก็คือ เราภาวนาไปจะเกิดนิมิตเป็นแสงขึ้นมา โดยเฉพาะแสงนี้จะเป็นสีทองอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแสงที่มาลักษณะสว่างไปทั่วจักรวาลก็ดี สว่างเป็นแผ่นผืนก็ดี เป็นจุดเป็นเส้นอะไรก็ตาม ให้น้อมกำลังใจดึงเอาแสงนั้นเข้ามาในอกของเรา ถ้าสามารถรวมกันเป็นดวงอยู่อกของเรา สว่างไสวเต็มที่เมื่อไร ตัวเราจะเริ่มลอยพ้นพื้น

ตอนนี้ต้องตั้งสติดี ๆ ห้ามตื่นเต้นแล้วก็ห้ามกลัว ก็จะลอยอยู่ในห้องนั่นแหละ แต่อย่าเผลอเปิดหน้าต่างนะ เดี๋ยวจะไปไกล แต่ถ้าทำอย่างอาตมาก็ปิดพัดลมด้วย เพราะตอนนั้นใช้พัดลมเพดานยาวเป็นเมตร กำลังภาวนาเพลิน ๆ อะไรดังขวับ ๆ อยู่ข้างเอววะ ? ลืมตาขึ้นมาดู ตายห่...ลอยขึ้นมาอยู่ข้างพัดลม ด้วยความที่ตกใจสมาธิหลุด เลยหล่นตึงลงมา

ฉะนั้น...พวกเราถ้าจะภาวนาให้ประคองสติเอาไว้ ซ้อมลอยข้างในให้คล่องก่อน บังคับทิศทางให้ได้ก่อน จะไปซ้ายขวาหน้าหลัง จะขึ้นบนลงล่าง หมุนรอบห้องก็ได้ ซ้อมไปเรื่อย พอมีความคล่องตัว มั่นใจว่าสมาธิไม่คลายตัวแล้วค่อยไปที่อื่น แต่ว่าติดสตางค์ไว้ในกระเป๋าบ้างนะ ถ้าหากไปไกลแล้วหล่นปุ๊ลงมาจะได้หารถหารากลับบ้านได้

ฉะนั้น...ส่วนนี้ฝากพวกเราไว้เลยว่า ไปทำได้แล้ว สถานการณ์ไม่อำนวยด้วยแล้วทุกประการ อาตมาคนเดียวแบกทั้งประเทศไม่ไหว พยายามจะเอาในหลวงออกจากโรงพยาบาล ตัวเองก็ปางตายแทน มีทางเดียวคือ พวกเราเองต้องช่วยกันทำ ถ้าหากว่าพวกเราทำจนเกิดผล ไม่ต้องมากหรอก แค่ ๓ คน ๕ คน ก็พอแล้ว เพราะฆราวาสไม่มีข้อจำกัดด้วยศีลเหมือนพระ ลุยไปได้เต็มที่เลย

เถรี
20-08-2016, 08:31
จำให้แม่นนะ...ถ้าภาวนาแล้วเห็นแสงสีทอง จะเป็นทองเข้ม ทองอ่อน ทองเงาหรือไม่เงาเอาทั้งนั้น จะเป็นจุด เป็นขีด เป็นเส้น เป็นฟ้าแลบ หรือว่าสว่างทั่วทั้งโลกอะไรก็เอา น้อมใจดึงเข้ามาในอกของเรา รวมกันเป็นดวงสว่างเจิดจ้าเมื่อไรตัวเราจะเริ่มลอยขึ้น ตั้งสติดี ๆ อย่าเพิ่งไปไกล หลังจากที่ซักซ้อมจนคล่องตัว คิดเมื่อไรก็ลอยได้ดั่งใจ ประตูหน้าต่างก็ไม่มีความหมายสำหรับเรา เพราะว่าสามารถออกไปได้ทุกซอกทุกมุม

ที่ออกได้ทุกซอกทุกมุมเพราะว่า สิ่งที่เราเห็นว่าทรงตัวแน่นหนาเป็นชิ้นเป็นอัน จริง ๆ แล้วเป็นโมเลกุลที่ก่อกันขึ้นมา ช่องว่างระหว่างโมเลกุลนั้น ในความรู้สึกของคนที่ทำได้ ใหญ่กว่าประตูศาลานี้อีก ฉะนั้น...จึงไม่มีอะไรกั้นได้ เดินทะลุไปเฉย ๆ พอถึงเวลาเราทำได้คล่องตัวแล้ว ก็ขยับไปทำเรื่องของน้ำ เรื่องไฟอะไรก็ว่าไป ทีละกองสองกองจนคล่องตัว พอซักซ้อมได้คล่องตัวทีนี้แค่คิดก็เป็นแล้ว

จะได้หายสงสัยสักทีว่าทำไมพระอาจารย์ทำโน่นทำนี่ได้เยอะแยะกว่าพวกเรา ก็แค่ขยันกว่าหน่อยเดียวเท่านั้น พวกเราก็แค่ขยันให้เท่ากันก็พอ ฝากงานยากเอาไว้ให้ แต่ไม่ได้ยากเกินกำลัง เพราะอาตมาทำเองมาแล้ว

เถรี
21-08-2016, 15:34
จากวันนี้เราจะได้เห็นว่า เรื่องของการสวดมนต์จำเป็นต้องพิถีพิถัน เพราะแม้แต่พระผู้ใหญ่จบประโยค ๙ มา ท่านก็ยังสวดไม่ถูกจังหวะ ไม่ถูกอักขระ พวกเราหลายคนก็ไปตำหนิท่านในใจ ไม่ต้องไปตำหนิท่านหรอก เพราะส่วนมากท่านผิดจนกลายเป็นถูกไปแล้ว

เถรี
21-08-2016, 15:41
พวกเราที่อยู่ปฏิบัติธรรมในวันนี้ หลายคนที่รู้สึกว่าไม่ถูกใจ ไม่ถนัด ไม่ชอบ ต้องเปลี่ยนความรู้สึกเสียใหม่ อาตมาเองจะว่าไปแล้วชอบใจตัวเองอย่างหนึ่งว่า ได้รับการฝึกฝนมาแบบทหาร "รับคำสั่ง ทำทันที ไม่มีปัญหา" ทำให้เรื่องการปฏิบัติธรรมง่ายขึ้นเยอะ เพราะไม่มัวแต่สงสัยอยู่ ท่านว่าอย่างไรก็ทำไปเลย โอกาสที่จะได้ผลจึงมีมาก

คราวนี้พวกเรามักจะไปรอกันว่า ต้องเป็นการปฏิบัติที่ถูกใจ ต้องเป็นครูบาอาจารย์ที่ถูกใจ ต้องเป็นสถานที่ถูกใจ ชาตินี้ก็ไม่ต้องปฏิบัติหรอก กลับบ้านไปนอนเถอะ...! ต้องทำได้ในทุกสถานที่ ทุกเวลา เพราะกิเลสกินเราทุกที่ทุกเวลา ไม่ได้รอให้เรามีครูบาอาจารย์ดี ๆ แล้วกิเลสค่อยมางับหัวเรา ไม่ได้รอให้เรามีสถานที่ปฏิบัติดี ๆ แล้วค่อยมางับหัวเรา กิเลสกินเราทั้งหลับทั้งตื่นทั้งยืนทั้งนั่ง

เพราะว่าความคิดทั้งหมดของเรานั่นแหละ กิเลสสอนมาล้วน ๆ แบกทิฐิมานะมาเต็มที่เลย ถ้าผิดไปจากหลักกูเมื่อไร ไม่ใช่หลักการนะ "หลักกู" คือ ต่างจากที่กูเคยปฏิบัติก็ไม่ยอมรับ ต้องบอกว่าฉลาดน้อยไปหน่อย กินข้าวมาแล้วเห็นคนอื่นกินขนมปัง เราก็บอกว่ากินไม่ได้หรอก ไม่ใช่ของกินของกู แบบนี้ต้องปล่อยให้อดให้เข็ด...! ไอ้โน่นกินผัดหมี่ทั้งปีทั้งชาติ คนจีนถ้าไม่กินผัดหมี่ก็กินซาลาเปา จะกินข้าวอย่างเราก็น้อย ฝรั่งก็กินขนมปัง ให้กินข้าวอย่างเราก็บอกว่ากินไม่ไหว

เถรี
21-08-2016, 15:46
ทุกที่ทุกเวลาเราต้องหยิบฉวยประโยชน์ในการปฏิบัติให้ได้ โดยเฉพาะส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ การรักษากำลังใจของเรา วัน ๆ พวกเราปล่อยให้ความรู้สึกไม่ดีของ รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมทับมากจนเกินไปแล้ว จนกระทั่งท้ายสุดก็แบกเอาตัวกูของกูเอาไว้เต็มที่ แล้วเมื่อไรถึงจะวางได้ เพราะว่าเรามีแต่แบกเพิ่มไปเรื่อย ๆ แล้วก็รู้สึกว่าลำบากเหลือเกิน ทุกข์ยากเหลือเกิน มีแต่คอยแบกเพิ่มขึ้น แล้วจะไม่ลำบากได้อย่างไร ?

วันนี้พระใหม่ไปเข้ารับการอบรมมา เราจะเห็นว่าพระผู้ใหญ่ทุกรูปท่านพูดว่า เรื่องของการปฏิบัติธรรมพระนวกะของเราทำมาถูกทางแล้ว แต่คราวนี้วัดที่ปฏิบัติกันอยู่เป็นปกติอย่างวัดของเรา ถือเป็นนอกเหตุเหนือผลไป แต่ถ้าวัดไม่เคยปฏิบัติเลย การที่เขามาปฏิบัติธรรมในช่วงบวชเป็นพระนวกะ ถือว่าเขามาถูกทางแล้วอย่างที่พระผู้ใหญ่ว่า

เถรี
21-08-2016, 15:59
ถ้าคุณนึกถึงวัดท่าขนุนแห่งนี้ตอนที่ผมมาใหม่ ๆ มาในฐานะพระลูกวัด ที่นี่สวดมนต์ทำวัตรเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา ลงปาฏิโมกข์กันเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา ผมก็มาปรับมาแก้จนกระทั่งเป็นรูปร่างอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ แต่แก้ไปแล้วได้เกินมา คือ กลายเป็นทำวัตรเย็น ๒ รอบ คือ ในช่วงเข้าพรรษาแต่เดิมวัดท่าขนุนนี้เขาให้พระใหม่ไปซ้อมสวดมนต์กันที่กุฏิหลวงปู่สาย เพื่อที่จะได้สวดมนต์ได้เร็ว ทีนี้พอผมมาอยู่ ผมก็ไปนั่งฟังพระท่านสวด ถ้าตรงไหนมีผิดก็บอก เพื่อที่จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง

ผมไปนั่งฟัง ท่านอาจารย์สมพงษ์ที่เป็นเจ้าอาวาส แต่ก็อยู่ในฐานะลูกศิษย์ของผมครึ่งหนึ่งก็มานั่งด้วย พอท่านอาจารย์สมพงษ์มา พระอื่นก็อยู่ไม่ได้ เพราะเจ้าอาวาสลงไปแล้ว ก็มานั่งสวดด้วย แม่ชีก็มา เด็กวัดก็มา ตกลงกลายเป็นการทำวัตรไปโดยอัตโนมัติ ทั้ง ๆ ที่การทำวัตรจริง ๆ ก็คือ ๑ ทุ่ม ก็มาปรับแก้ในเรื่องของการทำวัตร ว่าควรจะมีตลอดทั้งปีเหมือนกับกินข้าว กินเฉพาะในพรรษาอยู่ได้ไหมเล่า ? นอกพรรษาไม่ต้องกิน น่าจะถึงแก่ชีวิตเสียก่อน

ส่วนการลงปาฎิโมกข์นั้น พระพุทธเจ้าท่านระบุเอาไว้ชัดแล้วว่าทุกกึ่งเดือน ไม่ใช่บอกว่าเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา เรื่องพวกนี้เราค่อย ๆ ปรับแก้เอาในส่วนที่ถูกต้องเข้ามาแทน

เถรี
21-08-2016, 16:08
ปัจจุบันนี้ส่วนหนึ่งที่ผมเห็นวัดอื่น ๆ แล้ว รู้สึกว่าจะพาพวกเราไปไกลเกินไป ก็คือในส่วนของการเอาพระพุทธศาสนามหายานกับฮินดู เข้ามาปนในศาสนาพุทธเยอะมาก ต้องมีศาลพระพรหมเพื่อเรียกแขกต่างประเทศ อย่าง ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ต้องมีเจ้าแม่กวนอิมเพื่อเรียกแขกต่างประเทศและคนจีน เพราะคนจีนส่วนใหญ่มีฐานะร่ำรวย

คำว่า "พรหม" มีอยู่ในพุทธศาสนา แต่มาจากพื้นฐานของฮินดู รุ่นของเราอาจจะชัดเจนในความรู้ตรงนี้ แต่รุ่นถัดไปจะรู้ไหม ? ตอนนี้แม้กระทั่งท่านเจ้าคุณในกรุงเทพฯ ไปสร้างพระพิฆเนศใหญ่ที่สุดในโลก เป็นฮินดูนี่โคตรจะสบายเลย ไม่ต้องทำอะไร อยู่ ๆ ก็มีอุทยานพระพิฆเนศใหญ่ที่สุดในโลกให้จัดงานคเณศจตุรถีกันทุกปี

จริงอยู่...ว่าฆราวาสส่วนหนึ่งได้เข้าวัด แต่สภาพความเป็นวัดนั้นไม่มี เพราะเป็นเทวาลัยพระพิฆเนศ กลายเป็นศาสนาพุทธของเราทุ่มเทเป็นร้อยล้าน เพื่อไปสร้างศาสนสถานให้ฮินดู ผมไม่ได้ตำหนิว่าฮินดูผิด ไม่ได้ตำหนิว่าเป็นพระแล้วทำผิด แทนที่คุณจะยกย่องพระพุทธเจ้าให้เป็นใหญ่ กลายเป็นไปยกย่องเทวดาให้เป็นใหญ่ แล้วแบบนี้ผิดหลักการไปไหม ?

แม้กระทั่งผมสร้างหลวงพ่อองค์ใหญ่หน้าวัด ผมสร้างพระพุทธเจ้าให้เขาได้อนุสติ แต่กลายเป็นเจ้าพ่อไปเรียบร้อยแล้ว รถวิ่งผ่านก็บีบแตร...! ตกลงเราสร้างพระพุทธเจ้าหรือสร้างศาลเจ้าพ่อกันแน่ ? เห็นหรือยังว่าบ้านเราไปไกลขนาดไหนแล้ว ถ้าหากว่าพวกเราไม่สามารถที่จะยึดหลักการตรงนี้ให้ชัดเจนได้ ศาสนาพุทธของเราจะกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป คือ มีส่วนเกินที่รกรุงรังเข้ามามากขึ้น ๆ จนกระทั่งท้ายสุดก็หลงไปคิดว่าเป็นส่วนที่แท้จริงของศาสนาพุทธ แล้วพวกคุณเองนั่นแหละจะพัง..! เพราะไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน เนื่องจากว่าคำสอนของศาสนาฮินดูจะปนเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดก็พาเราหลงทางไปไกลจนกู่ไม่กลับ

เถรี
21-08-2016, 16:16
เจ้าแม่กวนอิมท่านมีความดีมาก ผมไม่เถียง ผมรู้จักท่านดีด้วย แต่อย่าลืมว่าท่านเป็นมหายาน ถ้าเรายังเอามาปนกันไปมาอยู่ ก็จะเละไม่เป็นท่า คุณจะเห็นว่าทันทีที่ผมเป็นเจ้าอาวาส งานแรกเลยก็คือ ผมสั่งรื้อศาลพระพิฆเนศกับเจ้าแม่กวนอิม แค่ประกาศว่าวัดไหนจะเอา ไม่ถึง ๒ ชั่วโมง องค์พระหนักเป็นตันเขาขนหายวับไปจากวัดท่าขนุน เขาอยากได้เพราะว่าช่วยสร้างรายได้เข้าวัด แต่ผมสงสารพระพุทธศาสนา จึงจำเป็นต้องทำแบบนั้น

มีคนถามว่าทำไมผมไม่สร้างรูปหลวงพ่อฤๅษีใหญ่ที่สุดในโลก ? บอกว่าผมสร้างได้ แต่จะกลายเป็นว่าเราสร้างเทพเจ้าขึ้นมาองค์หนึ่ง คนจะไปกราบไหว้อ้อนวอนขอพรอยู่ตลอด แต่ไม่สนใจว่าหลวงพ่อฤๅษีสอนอะไร ขนาดผมสร้างพระพุทธรูปยังกลายเป็นเจ้าพ่อไปแล้ว ถ้า ผมสร้างหลวงพ่อจะกลายเป็นเจ้าพ่อฤๅษีลิงดำ...หนักเข้าไปอีก

เรื่องพวกนี้เราต้องชัดเจน ถ้าไม่ชัดเจนจะเดินหลงทางง่ายที่สุด มารเขาพาพวกเราหลงไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว อย่าให้เขาพาเราหลงไปอีกหลายชาติเลย

เถรี
25-08-2016, 09:01
ในเรื่องของศีล ๘ นั้น เป็นศีลที่เอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติธรรมที่สุด เพราะว่าตัดเครื่องกังวลไปจนหมด เหลือไว้แต่ที่อำนวยความสะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ความจริงเรื่องของการห้ามดูหนังดูละครนี่ต้องยึดโทรศัพท์ด้วย แต่อาตมาไม่อยากจะทำร้ายจิตใจกันจนเกินไป เพราะถ้าเดี๋ยวขาดใจตายที่นี่แล้วอาตมาจะดังอีก...!

ท่านที่ไม่สามารถรักษาศีล ๘ ให้ลดลงไปรักษาศีล ๕ อย่างน้อย ๆ ให้มีศีล ๕ ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะจะเป็นเครื่องประกันว่าเราได้เกิดใหม่ไม่ต่ำกว่ามนุษย์ เพราะว่าศีล ๕ มีชื่อภาษาบาลีว่า มนุสสธรรม คือธรรมอันทำให้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าหากว่า หิริ โอตตัปปะ บวกกับศีล ๕ เรียกว่า เทวธรรม ธรรมที่เกิดเป็นเทวดา ถ้าหากว่าศีล ๕ บวกกับฌานสมาบัติเป็นเครื่องมือทำให้เกิดเป็นพรหม ถ้าหากว่ามีศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมสมบูรณ์สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ฉะนั้น...พวกเราขาดตรงไหน หรือตั้งใจจะไปไหนก็เลือกได้ โบราณเขาบอกว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกที่อยู่ไม่ได้ เลือกงานไม่ได้ และเลือกตายไม่ได้ อาตมายืนยันว่า ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราเลือกเกิดได้และเลือกตายได้ ส่วนเรื่องอื่นก็ช่างเถอะ มีอะไรก็ทำไปอยู่ไป ในเมื่อเรามีสิทธิพิเศษไม่เหมือนคนอื่น เราก็ควรจะรักษาสิทธิ์ไว้ ก็คือชาตินี้ขอเลือกที่ตาย ตายแล้วจะไปไหนตั้งเป้าเอาไว้ก่อน เหมือนกับการจองตั๋วล่วงหน้า ถึงเวลาก็แค่ไปขึ้นเครื่องบินไปเท่านั้น

เถรี
25-08-2016, 09:03
ดังนั้น...พวกเราทุกคนจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่ล่วงศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำ สามารถภาวนารักษากำลังใจเอาไว้ตลอดทั้งเช้าและเย็นก็ยิ่งดี ถ้าภาวนาไม่ได้อย่างน้อยก็สวดมนต์ไหว้พระเสียก่อน ก่อนออกจากบ้านนึกถึงพระ ก่อนนอนนึกถึงพระ แถมก่อนกินนึกถึงพระด้วยก็ดี แต่ถ้านึกถึงเฉย ๆ บางทีไม่มีประโยชน์ เอาอาหารเพลไปถวายด้วยจะดีมาก..!

เถรี
25-08-2016, 09:04
ช่วงเช้า ๆ เป็นเวลาที่สำคัญที่สุดในการเจริญกรรมฐาน เพราะว่าเราได้นอนมาแล้วอย่างน้อย ๑ คืน ยกเว้นว่าคนที่นั่งจิ้มจอโทรศัพท์จนเหลือเวลานอนไม่กี่ชั่วโมง การที่เราได้พักผ่อนแล้ว สภาพจิตเริ่มสงบลง ถ้ามาว่าในเรื่องการภาวนา จิตก็จะสงบได้ง่าย ผลของการภาวนาก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย

สภาพจิตของเรานั้น จะรับความดีหรือความชั่วได้ทีละอย่างเดียว ถ้าเรารีบเอาความดีใส่เข้าไปไว้ ความชั่วก็เข้ามาไม่ได้ ฉะนั้นบุคคลที่ภาวนาจนสภาพจิตทรงตัวตั้งแต่เช้ามืด รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราไม่ได้ อย่างน้อยก็พักใหญ่ ๆ ถ้ารักษาอารมณ์ใจเป็นก็สบายไปทั้งวัน ฉะนั้น...โปรดอย่าเห็นแก่การกินการนอนมากนัก

อปัณณกปฏิปทา คือแนวการปฏิบัติที่ไม่ผิดพลาดของพระพุทธเจ้า ทรงตรัสเอาไว้ว่ามี อินทรียสังวร คือสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รักษากำลังในการปฏิบัติไว้ไม่ให้รั่วไหลไปที่อื่น โภชเนมัญตัญญุตา รู้จักประมาณในการกิน ถ้าหากว่าเป็นหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าก็คือรู้สึกอิ่มก็หยุด ไม่ใช่อิ่มจนแน่นนะ รู้สึกว่าเริ่มอิ่มก็หยุด พวกเราส่วนใหญ่รู้สึกจุกถึงจะหยุด เพราะกินต่อไม่ไหวแล้ว ชาคริยานุโยค ปฏิบัติธรรมของผู้ตื่นอยู่ คือมีสภาพจิตมุ่งมั่นอยู่กับการปฏิบัติธรรม เป็นคนนอนง่าย ตื่นง่าย ไร้กังวล ถึงเวลาก็เร่งการปฏิบัติภาวนาของตน

เถรี
25-08-2016, 09:06
การปฏิบัติภาวนาในช่วงเช้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะทันทีที่เรารู้สึกตัว กิเลสก็เริ่มเกาะกุมใจของเรา ต้องรีบไขว่คว้าหาความดีมาต่อต้าน ความดีที่สำคัญที่สุดก็คือลมหายใจเข้าออก หรืออานาปานสติกรรมฐาน อานะ กับ อาปานะ รวมแล้วเป็นอานาปานะ ก็คือลมหายใจเข้าและลมหายใจออก

ถ้ากำลังใจแน่วแน่อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา ไม่เคลื่อนคลายไปไหน จะทรงสมาธิได้เร็วมาก บุคคลที่ทรงอัปปนาสมาธิคือได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป พระพุทธเจ้าตรัสว่ามารจะมองไม่เห็นผู้นั้น หมายถึงว่าเราต้องทรงฌานอยู่นะ ถ้าหลุดเมื่อไรก็เสร็จเขาอีก เหตุที่มองไม่เห็นผู้นั้นเพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นไม่ได้ชั่วคราว ในเมื่อไม่มีเชื้อชั่วอยู่ในใจ หรือว่าเชื้อชั่วถูกกดดับไป มารก็ไม่สามารถที่จะก่อเกิดขึ้นมาได้ กลายเป็นคนที่มารมองไม่เห็นชั่วคราว

ถ้าหากว่าใครทำได้เช่นนั้นก็จะมีความสงบร่มเย็น รู้ซึ้งถึงรสในการปฏิบัติธรรม ต้องเรียกว่าไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติธรรมในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าจะไม่ได้มรรคไม่ได้ผล ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยของเราให้ก้าวเข้าสู่มรรคผลได้ง่ายยิ่งขึ้น

เถรี
25-08-2016, 09:09
ขอย้ำเตือนเรื่องเก่า ๆ ที่พูดทุกครั้ง ก็คืออย่ารอให้มีการจัดปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยมานั่งภาวนา มาเดินจงกรม ทุกอิริยาบถของเราต้องใช้ในการภาวนาได้ อย่างที่หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า ทรงฌานใช้งาน เพราะว่าบุคคลที่ทรงฌานจริง ๆ สภาพจิตกับประสาทจะแยกออกจากกัน จะไม่รับรู้อาการทางร่างกาย

แต่บุคคลที่ฝึกฝนจนกระทั่งมีความคล่องตัว จะเข้าเมื่อไรจะออกเมื่อไรก็ได้ เรียกว่ามีสมาปัชชนวสี คือ ความคล่องตัวในการเข้าสมาธิ มีวุฏฐานวสี คือ ความคล่องตัวในการออกจากสมาธิ บุคคลประเภทนั้นสามารถที่จะทรงฌานและทำสิ่งต่าง ๆ ไปพร้อมกันได้เหมือนคนปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่จะสังเกตได้ง่าย ก็คือ สิ่งที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นพูดหรือทำจะเป็นอรรถเป็นธรรมทั้งนั้น อะไรที่นอกทุ่งนอกท่าชวนให้ผิดศีลผิดธรรมท่านจะไม่เอาด้วย

ดังนั้น...พวกเราเมื่อฝึกปฏิบัติแล้วต้องซักซ้อมให้คล่องตัว สามารถที่จะใช้งานได้ทุกวินาทีที่ต้องการ ทำให้สภาพจิตของเราเข้าถึงสมาธิระดับที่ปลอดกิเลสได้ในทันทีทันใดที่ต้องการ เมื่อรู้ว่าราคะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ โทสะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ โมหะเกิดขึ้นวิ่งเข้าหาสมาธิ ถามว่า ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น แล้วจะวิ่งเข้าหาสมาธิได้อย่างไร ? แรกเริ่มที่เกิดกำลังของกิเลสยังต่ำอยู่ ถ้าสมาธิของเราทรงตัว มีกำลังสูงกว่า ก็สามารถที่ฝ่ากองกิเลสเข้าไปสู่ที่มั่นของเราได้

เถรี
25-08-2016, 09:17
บางท่านที่เคยฝึกสายมโนมยิทธิมา ก็คือส่งใจไปเกาะพระนิพพาน หรือว่าส่งใจไปกราบพระบนพระนิพพาน นั่นก็คือการเข้าฌานเหมือนกัน เป็นฌานใช้งานเหมือนกัน เพียงแต่ว่าประกอบกับทิพจักขุญาณเท่านั้น

ดังนั้น...ในส่วนของพวกเราทั้งหมด พอเลิกจากการปฏิบัติไปแล้วก็ต้องไปซักซ้อม ฝึกฝนให้มีความคล่องตัว ถ้าเราคิดจะเล่นเกมสักกี่ชั่วโมง คิดจะคุยไลน์สักกี่ชั่วโมง หรือคิดจะส่องเฟซฯ สักกี่ชั่วโมง เราก็เอาเวลานั้นไปซักซ้อมการภาวนาของเราแทน ถ้าหากว่าฆ่าไม่ตายขายไม่ขาดจริง ๆ ก็เอาสักอย่างละ ๓๐ นาที เวลาที่เหลือเราก็เอามาภาวนา ถ้าท่านทำอย่างนั้นโอกาสที่จะเอาชนะกิเลสก็มี

แต่ถ้าโทรศัพท์เครื่องเดียวตัดไม่ใจได้ ก็เป็นอันว่าชีวิตนี้หมดหวัง เพราะว่าเจ้าโทรศัพท์นั่นเป็นเสนามาร ทหารของพญามาร แต่ละตัวที่มารฝึกฝนออกมานี่สุดยอดฝีมือทั้งนั้น โอกาสที่เราจะเอาชนะมีน้อยมาก แต่ถ้าเรามีโอกาสที่จะเอาชนะแล้ว เรายังไม่คิดจะเอาชนะ ก็ถือว่าเป็นบุคคลสิ้นคิด มีโอกาสจะเอาชนะข้าศึก แต่ไม่คิดจะรบรากับใคร ปล่อยให้ยึดบ้านยึดเมืองเราอย่างสบายใจ ทำตัวเหมือนอย่างกับอยุธยาจะแตกครั้งที่ ๒ ถ้ายกทัพออกปะทะเสียแต่แรกโอกาสที่จะเอาชนะก็มีสูง แต่ไม่ทำ ยิงปืนใหญ่รบกวนการตั้งค่ายของข้าศึกได้ แต่ไม่ทำ บ้านเมืองเราถึงต้องสูญเสียให้กับข้าศึกไป

ลักษณะนั้นอย่างดีเราก็เป็นทาสเขาแค่ชาตินี้เท่านั้น แต่ถ้าเราสูญเสียสภาพจิตใจให้กิเลสมารยึดครองได้ เราต้องเป็นทาสเขาไปนับชาติไม่ถ้วน ควรจะที่จะรู้สึกกลัวกันได้แล้ว ไม่ใช่บางคนทำตัวเหมือนคนมีเวลามาก มีโอกาสภาวนาก็บอกว่า “เอาไว้ก่อน” มีโอกาสพิจารณาก็บอกว่า “เอาไว้ก่อน” กลัวกิเลสจะเศร้าหมอง เราเป็นคนมีเมตตา ปล่อยให้กิเลสอยู่กับเรานาน ๆ เขาเรียกว่าใช้เมตตาในทางที่ผิด


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะ วันที่ ๑๒-๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)