PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙


เถรี
03-07-2016, 22:46
ถาม : แต่ก่อนผมสงสัยครับว่าพระสารีบุตร ท่านฟังธรรมจากพระอัสชิเถระแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน โดยที่ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าเลยได้อย่างไร ?

ธรรมที่พระอัสชิเถระ ท่านสอนว่า "ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตกล่าวเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับของธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีวาทะอย่างนี้" หลังจากฟังจบแล้ว พระสารีบุตรเป็นบรรลุเป็นพระโสดาบันทันที แล้วท่านก็เอาไปบอกพระโมคคัลลานะ ท่านก็บรรลุเป็นพระโสดาบันทันที

ผมสงสัยมาหลายเดือนมาก ผมเลยพิจารณาเลยสรุปได้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน และทุกอย่างในโลกนี้ ก็มีสภาพเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย และในที่สุดก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เลยไปตรงกับคำสั่งสอนของพระที่ว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เลยอยากทราบว่า ท่านพิจารณาประมาณนี้เปล่าครับเลยได้เป็นพระโสดาบัน ?

ตอบ : ไม่ได้ถามท่านเสียด้วย ต้องบอกว่าคนถามฟุ้งซ่านได้ดีมาก ความจริงต้องแยกเป็นสองประเด็น ประเด็นแรกก็คือไม่ได้พบพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุมรรคผลได้อย่างไร ? ไม่มีกติกาข้อไหนที่ต้องพบพระพุทธเจ้าแล้วถึงบรรลุมรรคผล เพราะว่าหลักธรรมของพระองค์ท่านเป็นสากล เป็นอกาลิโก ผู้ใดที่เข้าใจ มั่นใจว่าตนเองทำได้ ตัดสินใจทำทันที บุคคลนั้นย่อมได้มรรคผลไปตามวาสนาบารมีของตน

ส่วนประเด็นที่สองก็ที่ว่าไปแล้ว ในเมื่อท่านฟังเข้าใจ มั่นใจว่าตนเองทำได้ ตัดสินใจว่าจะทำ ท่านก็ย่อมได้รับมรรคผลของท่านไป

เถรี
03-07-2016, 22:50
ถาม : บางครั้งผมโดนเพื่อนร่วมชั้นแกล้ง และผมก็มีความรู้สึกโกรธ แต่ผมรู้ทัน ก็ยิ้ม ๆ ให้เขาไป ไม่ว่าอะไร แต่ก็อยากจะสั่งสอนด้วยการตักเตือนก่อน ถ้าไม่ฟังก็ต้องใช้กำลัง แต่จะออกแนวในลักษณะสั่งสอนเพื่อน ถ้าผมทำร้ายเขาแบบให้เขารู้สึกผิด เขาก็จะไม่ทำกับผมและเพื่อนคนอื่นอีก อยากถามพระอาจารย์ว่า ถ้าผมตักเตือนด้วยการใช้กำลัง แต่อยู่บนพื้นฐานเมตตา เพราะไม่อยากให้เขาสร้างบาปกรรมให้กับตัวเอง
และเลิกทำให้ผมและคนอื่น ๆ รำคาญ แบบนี้จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่าอาจารย์ฝ่ายปกครองเขาจะเมตตากับเราแบบเดียวกันไหม ? ขณะเดียวกันพ่อแม่เขาจะเมตตาไม่แจ้งความไหม ? ถ้าใช้กำลังด้วยความเมตตา อาตมาก็ใช้ได้ แต่โยมจะน่วมเท่านั้น...!

เถรี
03-07-2016, 22:56
ถาม : ตัวกระผมอยู่ต่างประเทศ แล้วอีกไม่นานจะปิดเทอมเป็นเวลา หนึ่งเดือนกว่า ๆ ผมเลยวางแผนว่า จะภาวนาคาถาอภิญญารวม " โสตัตตะภิญญา " จนได้อภิญญาขึ้นมา แต่ผมสงสัยว่า ถ้าในอดีตชาติผมไม่เคยฝึกกสิณมาเลย คาถาอภิญญารวมยังจะได้ผลไหมครับ ? แล้วผมก็วางแผนว่า ถ้าทำได้แล้วจะไปวัดท่าขนุนไปขอบคุณหลวงพ่อ เลยอยากทราบว่า คาถานี้พอจะมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ดูท่าชาตินี้ตูไม่ได้รับคำขอบคุณแน่ ๆ...! ในเรื่องของคาถาอภิญญา ให้ไว้สำหรับบุคคลที่เคยได้อภิญญาในชาติก่อนเพื่อฟื้นกำลังของตัวเอง ถึงไม่เคยได้อภิญญามาก่อนก็ทำไปเถอะ อย่างน้อยก็ได้อานิสงส์ของการภาวนาอยู่

ส่วนเรื่องเคล็ดลับของคาถานั้นยาวเหยียดยืดยาด เวลา ๑ ชั่วโมงไม่น่าจะอธิบายหมด เอาไว้ถ้าไปขอบคุณเมื่อไรจะอธิบายให้ฟัง

เถรี
03-07-2016, 23:13
ถาม : มีครั้งหนึ่งตอนที่ผมกลับเมืองไทยจากเดนมาร์ก ช่วงนั้นผมอายุ ๑๕ ผมนั่งสมาธิโดยที่ไม่ได้มีความรู้ด้านพระพุทธศาสนามากมายนัก แล้วภาวนาพุทโธ จนเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วเกิดญาณที่เป็นเครื่องรู้ขึ้นมา เพราะตอนนั้นผมมองไปที่พี่สาวผมคนหนึ่ง แล้วเห็นภาพซ้อนทับพี่สาวผม เป็นผู้หญิงแต่งตัวแบบโบราณ เหมือนสมัยรัชกาลที่ ๕ ความรู้สึกบอกผมเลยว่า พี่สาวผมต้องเคยมีความสัมพันธ์กับร.๕ แน่นอน แล้วแม่ของพี่สาวผมก็มาบอกทีหลังว่า ก่อนที่พี่สาวผมจะมาเกิด เขาฝันเห็น ร.๕ จูงเด็กผู้หญิงเอาลูกมาฝาก

และช่วงนั้น ผมทำสมาธิจะได้ยินเสียงดนตรีและเสียงสวดมนต์บ่อย ๆ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงได้เลย ตอนแรกผมเอะใจว่า บ้านเราไม่ได้อยู่ใกล้วัดแล้วเสียงมาจากไหนกัน แล้วพอผมกลับเดนมาร์ก แล้วผมก็นั่งสมาธิแล้วได้ยินเสียงดนตรี และเสียงสวดมนต์เหมือนเดิมเป็นเวลา ๑๕ นาที ผมเอะใจแล้วมองออกไปข้างนอก แล้วไม่เห็นมีอะไร ผมก็ไม่ใส่ใจอะไร ขณะนั่นจิตใจผมนิ่งมากรู้สึกเฉย ๆ หลังจากนั่นได้อ่านมาว่า เสียงดนตรีและสวดมนต์ นั่นมาจากสวรรค์ชั้นยามา และที่น่าขำมากที่สุดคือ ช่วงนั้นญาติ ๆ ผมคิดว่าผมเป็นบ้า พาผมไปหาหมอจิตแพทย์ เพราะผมไม่รู้กาลเทศะ

ณ จุดนี้ ผมมั่นใจว่าผมมีของเก่าแน่ ๆ เลยอยากถามหลวงพ่อครับว่า จะป้องกันการเกิดมานะทิฐิอย่างไรครับ ? เพราะผมอ่านหนังสือสมบัติพ่อให้ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านย้ำหลายครั้งเลยว่า ถ้าสร้างอภิญญาหรือความสามารถเหนือมนุษย์ได้ ต้องอย่ามีมานะทิฐิ

ตอบ : ตูจำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้ไหม ? ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะจับแพะชนแกะไปเรื่อย เรื่องของการภาวนาพอสภาพจิตเริ่มเป็นอุปจารสมาธิ บุคคลที่มีของเก่าอยู่จะเกิดทิพโสต คือได้ยินเสียงต่าง ๆ ที่คนทั่วไปไม่ได้ยิน เกิดทิพจักขุ คือ เห็นในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่เห็นกัน เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่แค่พ่อแม่คุณเท่านั้นหรอกที่ว่าบ้า ไปบอกใครเขาก็ว่าบ้าเพราะเขาไม่ได้เห็นด้วย ไม่ได้ยินด้วย

ดังนั้น...ตอนแรกก็ควรจะตั้งสติ แล้วพยายามทำความเข้าใจว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นเขาเห็นหรือได้ยินกัน จึงไม่ควรเอาไปเที่ยวบอกเล่าแก่คนอื่นทั่วไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็โดนจับไปหาจิตแพทย์อีก แล้วคนเราเวลาไปหาหมอก็มักจะยืนยันกับหมอว่า "ผมไม่บ้า" แต่หมอเขาก็ยืนยันว่าคนบ้าพูดอย่างนี้ทุกคน ฉะนั้น...โปรดระมัดระวังด้วยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับเรา

เถรี
03-07-2016, 23:29
ถาม : นักปฏิบัติเวลาทำสมาธิ ควรจะวางกำลังใจแบบไหนดีกว่ากันครับ ? ระหว่าง "ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น" หรือควรจะวางกำลังใจแบบพระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ "ถึงแม้ว่าเลือดในร่างกายจะเหือดแห้งไป ก็จะปล่อยให้มันเหือดแห้งไป จะไม่ลุกขึ้นโดยเด็ดขาด ถ้าตราบใดที่ยังไม่ตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ "
ตอบ : ให้เลือกเอาที่สบายใจ ดูว่ากำลังใจของเรามีความบ้าพอไหม ? ถ้าบ้าพอก็ "ถ้าไม่บรรลุก็จะไม่ลุก" แต่ถ้าบ้าไม่พอ "ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น"

เถรี
03-07-2016, 23:33
ถาม : ตัวกระผมเล่นเกมมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน สามารถเล่นได้ทั้งวัน และผมมีฉันทะกับการเล่นเกมมาก แต่อยากมีฉันทะในการภาวนา เหมือนกับตอนเล่นเกมด้วย ควรจะทำอย่างไรครับ ? เพราะเวลาผมนั่งสมาธิได้สัก ๕ นาที ผมก็รู้สึกสดชื่นสมองปลอดโปร่ง เลยเลิกนั่งสมาธิแล้วกลับไปเล่นเกมต่อ
ตอบ : สุดยอด สมควรตายจริง ๆ...! ทั้ง ๆ ที่รู้แล้วดันไม่ทำต่อ แล้วมาถามหาอะไร ? แบบนี้เรียกว่า "ดีชั่วก็รู้หมด แต่อดใจไม่ได้"

เถรี
03-07-2016, 23:37
ถาม : มีครั้งหนึ่งหลายปีมาแล้ว ผมฝันเห็นพระรูปหนึ่งเหมือนหลวงพ่อวัดท่าซุง ในความฝันผมขับรถไปส่งท่านที่วัด หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ฝันเห็นหลวงพ่ออีกเลย สงสัยว่าหลวงพ่อท่านเก็บลูกศิษย์ด้วยวิธีนี้เปล่าครับ ? แล้วการฝันขับรถไปส่งพระที่วัด มีความหมายปริศนาธรรมอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่หมายถึงเลข ๘ กับเลข ๙ ออกไปแล้ว...! ส่วนใหญ่ถ้าลูกศิษย์เคยมีความเนื่องกับหลวงพ่อวัดท่าซุงมา ก็มักจะฝันเห็นท่านบ้าง นิมิตเห็นท่านบ้าง ส่วนจะเป็นวิธีเก็บลูกศิษย์ของท่านหรือเปล่า ต้องไปสอบถามท่านเองโดยตรง

เถรี
03-07-2016, 23:44
ถาม :แม่บางคนก่อนที่จะคลอดหรือตั้งท้องมักจะฝันเห็นสิ่งต่าง ๆ นานา อย่างแม่ของพระพุทธเจ้า ท่านก็ยังฝัน ผมเลยสงสัยว่า แม่ที่ฝันก่อนที่จะคลอดลูก แปลว่าเด็กที่จะมาเกิด มาจาก สวรรค์ หรือ พรหมใช่ไหมครับ เลยสามารถทำให้แม่ฝันได้ ?
ตอบ : ถ้าเกิดฝันว่าตัวดำปี๋ ตาขาววอก โผล่จากใต้ดินขึ้นมา แล้วจะมาจากพรหมได้อย่างไรวะ ? ต้องขึ้นอยู่กับสภาพความฝันของเราด้วย ว่าฝันเกี่ยวกับอะไร อย่างกรรมนิมิต ไม่ใช่ฝันถึงเมื่อไรก็ฟันธงว่ามาจากเทวดา มาจากพรหมไปเสียหมด

เถรี
03-07-2016, 23:46
ถาม :ผมสงสัยครับว่าสมัยพระพุทธเจ้า เวลาท่านเทศน์ทศชาติชาดก อย่างเวสสันดรชาดกซึ่งกินเวลานานมาก ๆ ในการเทศน์ พระพุทธองค์ท่านเทศน์ทีเดียวจบหรือว่าเทศน์เป็นกัณฑ์ ๆ เหมือนในสมัยปัจจุบันหรือครับ ?
ตอบ : ไปดูในพระไตรปิฎกได้ เขามีบอกรายละเอียดไว้ว่าพระองค์ท่านเทศน์เมื่อไร เทศน์ที่ไหน เทศน์อย่างไร

เถรี
03-07-2016, 23:48
ถาม : อธิษฐานบารมีกับสัจบารมี แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : แตกต่างกันตรงที่ว่า อธิษฐานบารมี เป็นความตั้งใจ ส่วนสัจบารมี เป็นการทำความตั้งใจนั้นให้เห็นผลจริง

เถรี
05-07-2016, 00:08
ถาม : การที่ให้ฝึกกรรมฐานเพียงข้อใดข้อหนึ่ง ไม่ควรเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ นั้น หากกรรมฐานหลักของผมคืออานาปานสติ ควบคู่กับคำบริกรรม “พุทโธ” ผมก็ไม่ต้องสนใจเจริญพรหมวิหารเลย หรือว่าควรหาเวลาซักซ้อมบ้างมากน้อยเพียงใด ?
ตอบ : ควรซักซ้อมเอาไว้บ้าง เพราะว่าเป็นเครื่องหนุนเสริมอานาปานสติของเรา

เถรี
05-07-2016, 00:19
ถาม : มีความรู้สึกเหมือนมีความโกรธ ผูกโกรธ ห่มในใจอยู่เนือง ๆ ตลอดทั้งวัน เป็นมานานแล้วครับ ควรทำอย่างไร ? จะใช้พรหมวิหารได้หรือไม่ หรือว่าใช้อานาปานสติ ? มีความรู้สึกว่าใช้พรหมวิหารจะมีผลต่ออาการขุ่น ๆ ที่อยู่ในใจมากกว่า แต่ไม่สามารถทรงไว้ได้นาน ?
ตอบ : นี่เขาเรียกว่าถามทั้งที่รู้ ทำอย่างไหนที่ดีต่อการปฏิบัติของตนเองก็ทำไป ไม่ใช่เสียเวลามาถามคนอื่นเขา เดี๋ยวได้กรรมฐานผิดไปก็เตลิดเข้าป่าเข้าดงไปอีก..!

ถาม : ที่พระอาจารย์เคยกล่าวถึงการเจริญเมตตาว่า “การฝึกซ้อมถ้ากำลังไม่มี ก็มีแต่จะโดนคู่ต่อสู้น็อกไปตลอด” นั้น อยากทราบว่าการพักจากการฝึกซ้อมก็คือการกำหนดรู้ลมหายใจ ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : ฟังไม่ได้ศัพท์จับเอาไปกระเดียดตามเคย...! ที่ว่ามาหมายถึงเฉพาะคนถามในช่วงนั้น กำลังใจการปฏิบัติไม่มีเลย แล้วคิดจะไปทำ ก็เหมือนกับคนไม่เจียมสังขาร ต่อยมวยไม่เป็นแต่ขอไปวัดกับแชมป์โลกบนเวที

จำไว้ว่าการปฏิบัติถ้าไม่ทำถึงที่สุดแล้ว เราไม่สามารถที่จะสู้กิเลสได้ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็ต้องมีกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่ง โผล่เข้ามารบกวนเราอยู่เสมอ ดังนั้น...ถ้าเราไปตั้งใจว่าทำแล้วต้องได้ผล ต้องเกิดผลเลย เหมือนกับการกินยาไทยต้องค่อย ๆ กิน เพื่อสะสมรอ จนกระทั่งฤทธิ์ยาเพียงพอที่จะรักษาโรค ถึงจะระงับอาการของโรคนั้นได้

แต่เราเองคิดว่ากินไปแล้วต้องหายทันที จะเป็นไปได้อย่างไร ? โปรดเข้าใจเสียใหม่ว่า กรรมฐานทุกกองสามารถใช้งานได้จริงก็ต่อเมื่อเราทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ จนเกิดผลเท่านั้น ไม่ใช่เริ่มเอื้อมมือไปแตะก็ใช้ได้เลย

เถรี
05-07-2016, 00:23
ถาม : เวลาทำสมาธิจะมีความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้เป็นทุกข์อยู่ในใจ และเหมือนกับว่าเราใช้กำลังบีบข่มเอาไว้ตลอด เพื่อไม่ให้กำเริบ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร จะว่าเป็นกิเลสตัวไหนก็ไม่แน่ใจ ควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : ก็ข่มเอาไว้ต่อไป เพราะถ้าปล่อยให้อาละวาดได้ ถึงรู้ชัดก็แปลว่าซมซานไปแล้ว เพราะเวลากิเลสตีเราเขาไม่เคยปราณี มัวแต่อยากจะรู้ว่าคนตีกบาลเราเป็นใคร แล้วก็ไปปล่อยให้เขาเข้ามา เดี๋ยวก็ได้โดนอีกจนได้..!

เถรี
05-07-2016, 00:27
ถาม : หลังจากทำสมาธิสักพักหนึ่ง พอรู้สึกว่ามีกำลัง ผมก็พิจารณาเส้นผม แล้วกำหนดให้แตกสลายกลายเป็นดินไป พอกลายเป็นดินก็จะมีความรู้สึกบางอย่าง เหมือนกับว่าใจสบายขึ้น แต่เป็นแค่ระยะสั้น ๆ เพียงเสี้ยววินาที ถือว่าทำถูกต้องหรือไม่ และเป็นการเจริญวิปัสสนาหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าหากพิจารณาได้อย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการเจริญวิปัสสนา การเจริญวิปัสสนาจะมากหรือน้อย เพียงเท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ก็มีอานิสงส์ทั้งสิ้น วิธีที่ดีที่สุดคือพยายามทบทวนบ่อย ๆ ทำให้ต่อเนื่องกัน แล้วรักษาอารมณ์ใจอย่างนั้นเอาไว้ ไม่ใช่ทำเสร็จแล้วก็มาเสวยผลจนกระทั่งหมด พอหมดแล้วกิเลสก็ตีเราหงายท้องต่อไปอีก

เถรี
05-07-2016, 00:28
ถาม : การที่ทำตัวเหมือนเด็ก เพื่อให้ผู้ใหญ่เอ็นดู ทั้ง ๆ ที่ก็โตแล้ว เป็นลักษณะของโมหะใช่หรือไม่ ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : โมหะมีมาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว...! ทำไปเถอะ...อย่างน้อยก็ดีกว่าทำให้คนเกลียด

เถรี
05-07-2016, 00:31
ถาม : นอกจากการปฏิบัติตัวเป็นคนดีของบ้านเมืองและพุทธศาสนา และร่วมกันสวดบทโพชฌังคปริตร และร่วมกันอุทิศบุญใหญ่ต่าง ๆ เพื่อเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงของเราแล้ว ประชาชนชาวไทยสามารถทำอะไรเพิ่มเติมได้มากกว่านี้ เพื่อช่วยให้ในหลวงได้รับพลังมากขึ้น มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงขึ้น และมีพระชนมายุยิ่งยืนนานขึ้นอย่างมีความสุขมาก ๆ ครับ ?
ตอบ : สร้างสมาบัติแปดให้เกิดแล้วก็ไปช่วยท่าน...!

ถาม : การร่วมลงนามถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช หรือสถานที่ต่าง ๆ ถ้าจะทำให้ได้ผลต่อในหลวงสูงสุด เราควรตั้งจิตและเขียนอย่างไรจึงจะได้ผลดีที่สุดต่อในหลวงครับ ? ขอเรียนถามเป็นความรู้เพิ่มเติมครับ
ตอบ : เขียนยันต์รักษาโรค...!

เถรี
05-07-2016, 00:34
ถาม : หากแฟนของหนูซึ่งเป็นผัวเมียกันแล้ว วางแผนอนาคตร่วมกัน ผู้ชายได้ตั้งใจทำงานในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา เก็บเงินแต่งงาน เพื่อทำให้ถูกตามประเพณี และให้เกียรติพ่อแม่ของหนู ต่อมาฝ่ายชายเครียดเรื่องงาน เรื่องเงิน เพราะไม่สามารถทำได้อย่างที่เขาคิดไว้ จึงตัดสินใจว่าจะบวช และบอกว่าจะบวชไม่สึก ทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกันเลย แต่คิดว่าชีวิตนี้ไร้แก่นสาร มีแต่ความทุกข์ หนูควรจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดีเจ้าคะ ?
ตอบ : หาผัวใหม่...!

ถาม : หนูควรรอให้สามีของหนู บวชไปก่อนให้เขาสบายใจ แล้วค่อยไปคุยกับเขาใหม่จะดีไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : สงสัยชาตินี้ไม่มีโอกาสแน่..!

เถรี
05-07-2016, 00:38
ถาม : การที่เราไปกราบพระพุทธรูปและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตามวัดต่าง ๆ ทั้งที่มีพระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่หรือวัดที่ไม่มีก็ตาม คนเดินทางไปกราบไหว้เพื่อบูชาคุณพระพุทธ บูชาคุณพระธรรม บูชาคุณพระสงฆ์ วัดส่วนใหญ่ก็จะมีดอกไม้ ธูป เทียน คอยให้บริการ และให้ทำบุญ ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยโบราณ ที่ผู้จะไปทำบุญต้องเตรียมไปจากบ้าน

ข้อสงสัยของผมคือ ดอกไม้ที่เป็นอามิสบูชา ที่ได้บูชา อธิษฐานขอพรพระ และได้ถวายพระไปแล้วนั้น ถูกเวียนกลับมาใช้อีก คนที่รับดอกไม้ไปบูชาพระต่อ (หลายคนถัดจากคนแรก) จะเป็นโทษไหมครับ ? เพราะถือว่าคนแรกได้ถวายบูชาไปแล้ว
ตอบ : เขาใช้คำว่าผาติกรรม คือแลกเปลี่ยนกัน ก็ในเมื่อแลกเปลี่ยนกันตามกติกาก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเรา

สมัยก่อนที่จัดหาไปเองเพราะวัดวาอารามไม่ได้จัดเตรียมไว้ให้ สมัยนี้เพื่ออำนวยความสะดวกท่านจัดเตรียมเอาไว้ ดังนั้น...ในส่วนนี้ไม่ควรจะไปคิดหานรกใส่ตัวเอง เรื่องดี ๆ ก็คิดจนเสียได้เหมือนกัน

เถรี
05-07-2016, 00:40
ถาม : การปล่อยปลาในสถานที่ ที่เป็นแม่น้ำไหลผ่านซึ่งมีคนมาจับปลาต่อ กับเขตอภัยทานซึ่งไม่มีคนมาจับปลาต่อ แตกต่างกันหรือไม่ครับ ? อันไหนเหมาะสมหรือดีกว่าครับผม
ตอบ : แค่นี้ตัดสินใจไม่ได้ก็ไปตายซะ...!

เถรี
05-07-2016, 00:40
ถาม : ความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นในจิต เช่น ความอาลัย ความคิดถึง ความผูกพัน แบบนี้ถือว่าเป็นจิตกำหนัดไหมครับ ?
ตอบ : จิตกำหนัด หมายถึง มีอารมณ์ทางเพศ

เถรี
05-07-2016, 00:42
ถาม : เมื่อก่อนผมเคยบวชวัดหนึ่ง ตอนนั้นผมไปสั่งน้ำอัดลม ๑ ขวด ราคา ๑๒ บาท เนื่องจากว่าคนขายทอนเงินช้า มัวแต่วุ่นกับธุระอย่างอื่นอยู่ ผมเกิดความรำคาญเลยเดินหนีมา ไม่จ่ายเงินค่าน้ำอัดลมนั้น ไม่ทราบว่าผมโดนอาบัติปาราชิกข้อลักทรัพย์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โดนไปเต็ม ๆ อย่างรำคาญ

ถาม : ไปจ่ายเงินคืนจะหายไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์เพราะขาดไปแล้ว

เถรี
05-07-2016, 00:42
ถาม : การโอนเงินเข้าบัญชีวัดท่าขนุนโดยมิได้ระบุว่าใช้เพื่อการอันใด ถือว่าเป็นสังฆทานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่วัดต่ำสุดจะใช้เป็นสังฆทาน

เถรี
05-07-2016, 00:47
ถาม : พระขุนแผนของสำนักฆราวาส ที่มีการบรรยายถึงส่วนผสมของมวลสาร ผง ว่าน น้ำมัน ราก ดอก ใบของพืช ตลอดจนการลงอักขระ คาถา และรูปภาพในเชิงสังวาส พร้อมกับสรรพคุณในลักษณะทำให้คนรักคนหลง เรียกจิตผูกจิตเพศตรงข้าม ให้หลงหมกมุ่นอยู่กับกาม อยู่กับตน ของเหล่านี้มีอิทธิคุณจริงและมากน้อยเพียงใด ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับคนทำ ถ้าคนทำมีความสามารถจริงก็เกิดอิทธิคุณจริง ๆ

ถาม : เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ก็เพราะเขามีความสามารถพอ

ถาม : หากเราไม่ต้องการให้ลูกหลานของเรา ตกอยู่ในสภาพที่ถูกผู้ที่มีของเหล่านี้ กระทำเพื่อผลดังที่กล่าวข้างต้นแล้ว เด็ก ๆ หรือลูกหลานของเราควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุนวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ นี้

เถรี
05-07-2016, 00:52
ถาม : มีกรณีที่พระกล่าวโทษฆราวาสให้เสียหาย โดนที่พระรูปนั้นไม่มีหลักฐานว่าฆราวาสผิด แต่ทางฆราวาสนั้นมีหลักฐานว่าทางพระองค์นั้นผิด กรณีตัวอย่างพระรูปนั้นพูด "ว่าไม่แหกตาดูหรือไร ?" คำพูดนี้สุดท้ายพระรูปนั้นมาดูทีหลังก็รู้ว่าฝั่งตัวเองเป็นคนผิด แต่ได้กล่าวโทษฆราวาสนั้นออกมาก่อนแล้ว แบบนี้มีความผิดหรือไม่ประการใดครับ ?
ตอบ : ถ้าปรับอาบัติพระก็เป็นข้อทุพภาสิต ก็คือกล่าววาจาที่ไม่สมควร เป็นอาบัติที่เล็กที่สุดในโลกที่จะพึงมีพระวินัยของสงฆ์ ต้องบอกว่าเล็กกว่าจับเงินอีก

เถรี
05-07-2016, 00:53
ถาม : ขอความกรุณาหลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีการที่ถูกต้องในการนำเอาวัตถุมงคล ทั้งที่เป็นพระพุทธรูป เทวรูป และเครื่องรางของขลัง เข้าร่วมในพิธีพุทธาภิเษกที่วัดท่าขนุน ในวันที่ ๙ กรกฎาคมนี้ เพื่อให้เกิดสิริมงคลสูงสุดแก่วัตถุมงคลเหล่านั้น และแก่ผู้ที่มาเข้าร่วมพิธีด้วยครับ ?
ตอบ : แบกขึ้นไปไว้บนพระเจดีย์วัดท่าขนุน...!

เถรี
05-07-2016, 01:03
ถาม : ลูกนั่งสมาธิช่วงเช้า พอจะออกจากห้องพระ ลูกมักสังเกตเห็นเทวดาองค์หนึ่งชัดเจนมาก ท่านสวมเครื่องทรงเป็นเพชร สวมชฎาในมือถือดาบ เทวดาองค์นี้ลูกเห็นประจำ ครั้งหนึ่งตอนที่ลูกเคยไปกราบเรียนหลวงพ่อเรื่องของวิธีหนีการเป็นร่างทรง พอกลับจากหลวงพ่อ ลูกก็เข้าวัดสร้างความเพียรอย่างหนัก วันหนึ่งขณะเดินจงกรมแก้ความกลัว เห็นเทวดาองค์นี้ลอยลงมาพุ่งชนลูก ลูกมีอาการเหมือนถูกชนอย่างรุนแรง ไปนั่งสมาธิก็เห็นท่านมาพุ่งชนลูกอีก หลังจากนั้นก็เห็นเทวดาองค์นี้เป็นประจำ จึงขอกราบเรียนถามหลวงพ่อ ลูกควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ควรบูชาท่านอย่างไรจึงจะเหมาะควร ?
ตอบ : อันดับแรกขอ ID Line ของท่านให้ได้ก่อน แล้วส่งข้อความไปถามท่านว่ามาด้วยธุระอะไร ? ถ้าหากท่านไม่เลิกชนก็ติดกันชนไว้ด้วย...! เจอกันนานเนกาเลขนาดนั้นก็ถามท่านสิ ว่าทำอะไรควรเหมาะสำหรับท่าน เดี๋ยวท่านก็บอกเอง

ถาม : หลายวันก่อน ลูกได้ทราบว่า ญาติธรรมเข้ารับการผ่าฝีครั้งที่ ๑๐ เมื่อทราบเช่นนี้ พลันมีภาพพระและหลวงพ่อผุดขึ้น บอกวิธีแก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องของการขอขมาพระ และขอขมากรรม และการแนะนำให้สร้างบุญกุศล ลูกได้เห็นดังนั้นจึงทบทวนสิ่งหลวงพ่อสอน ว่าถ้าใครไม่ล้มทับเท้าหลวงพ่อ หลวงพ่อจะไม่ยุ่งเรื่องกรรมของใคร ลูกตัดสินใจเงียบ แต่ในช่องอกของลูกมีอาการเหมือนมีพัดลมหมุนอย่างรุนแรงจนลูกจะเป็นลมและ อาเจียน จึงได้บอกวิธีเขาไป อาการดังกล่าวก็พลันหาย ลูกมักมีอาการแบบนี้เสมอ ขอหลวงพ่อเมตตาชี้แนะวิธีต่อต้านพัดลมในอกที่ทำให้ลูกต้องเกี่ยวข้องกับกรรม ของผู้อื่นด้วยเจ้าค่ะ ?
ตอบ : ปิดสวิทช์...! คนบางประเภทจำเป็นต้องยุ่งเพราะเป็นหน้าที่ตัวเอง ฝืนไม่ได้ ลองดื้อดูก็ได้ว่าไหวไหม ? ถ้าไม่ไหวก็ยอมทำให้เขาเสียแต่โดยดี

เถรี
05-07-2016, 01:09
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของคำถามที่เมื่อครู่ใช้คำพูดของลุงเท่งว่า "กูจำเป็นต้องรู้ด้วยหรือวะ ?" เพราะบางท่านเจตนาในการถามคำถามมีน้อย แต่เจตนาที่จะอวดผลการปฏิบัติของตัวเองมีมาก ก็เล่าไปเรื่อยเปื่อยจนออกทะเล บางทีก็ลืมไปว่าตนเองจะถามเรื่องอะไร ซึ่งถ้าถามว่าสมควรที่จะเล่าถึงขนาดนั้นไหม ? ก็ไม่จำเป็น แต่ขณะเดียวกันก็โดนกิเลสดันปากให้พูดออกมา ถือเป็นเครื่องวัดกำลังใจได้ว่า กำลังใจของเรายังต่ำมาก กิเลสสามารถจูงจมูกได้อยู่ จึงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้"

เถรี
05-07-2016, 01:20
"เมื่อครู่มีคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยในหลวงได้มากกว่านี้ ถ้าจะช่วยจริง ๆ พอวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๙ ก็ไปลงประชามติ จะได้มีการเลือกตั้งเสียที นี่เป็นครั้งแรกที่กล่าวสนับสนุนรัฐบาลนี้ เพราะฉะนั้น...จงเอาหน่วยทหารออกจากวัดท่าขนุนได้แล้ว...! ส่งไปก็คุมเจ้าอาวาสไม่อยู่ แล้วจะส่งไปทำไมให้เปลืองเงิน...?

มีใครไปวัดท่าขนุนแล้วเจอบ้างไหม ? สรุปก็คือ พวกเราเข้าไปไหว้พระที่ศาลาตีนเขาไม่ได้ อาตมายังแกล้ง ๆ บอกพวกลูกศิษย์วัดสาว ๆ ว่า ถึงเวลาให้พรวดพราดเข้าไปสัก ๔-๕ คน บอกว่าหนูจะมาไหว้พระ ดูว่าเขาจะกระโดดออกมาไหม ? เพราะเขาเอาตาข่ายพรางคลุมรอบศาลาเลย อาตมาก็ยังงง ๆ ว่าเขาตั้งกองบัญชาการลักษณะนี้ได้อย่างไร ? กลายเป็นชี้เป้าไปหรือเปล่า ?

แบบเดียวกับที่สามจังหวัดภาคใต้ จะมีการตั้งด่านและเอาเครื่องกีดขวางมาวางเพื่อให้รถไปช้า ๆ ถ้าเป็นอาตมาพวกทหารตายยับเยินแน่นอน ถึงเวลาขับรถกระบะมา ให้พรรคพวกนอนอยู่ข้างหลังสักสามคน วิ่งมาถึงเขากำลังเผลอก็ขว้างระเบิดและกราดยิง แล้วก็วิ่งต่อไป ซึ่งทหารจะไม่ผิดสังเกต เพราะรถทุกคันมาต้องชะลออยู่แล้ว แต่ถ้าเราปล่อยรถไปได้ตามปกติ ไม่ไปสร้างสิ่งกีดขวางไว้ รถคันไหนจะก่อเหตุ มาถึงต้องชะลอ เราจะผิดสังเกตและระวังตัวได้ทัน

สรุปว่าไปทำอะไรโง่ ๆ เปิดโอกาสให้เขาเล่นงานได้ตลอด แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองโง่..!"

เถรี
05-07-2016, 15:05
"ช่วงนี้ทางต่างประเทศมีการก่อการร้ายกันหนักมือขึ้น บ้านเราถ้ามัวแต่มาไล่จับบุคคลที่เห็นต่างกับตนเองอยู่ ระวังว่าถ้าเขาก่อเหตุแล้วจะป้องกันไม่ทัน ถ้าเราสามารถทุ่มเททรัพยากร ในการติดตามผู้ก่อการร้ายที่จะเข้ามาในประเทศของเราได้ เหมือนกับทุ่มเททรัพยากรในการสืบข่าวเก็บข่าวจากฝ่ายตรงข้าม อาตมายืนยันว่าต่อให้สุดยอดผู้ก่อการร้ายก็ทำอะไรบ้านเราไม่ได้ ต้องบอกว่าเรื่องฉลาด ๆ ไม่ทำ แต่เรื่องโง่ ๆ ขยันกันนัก...!

ในการปกครองประเทศเราต้องดูตัวอย่างในหลวง พระองค์ท่านเอาปากท้องประชาชนเป็นใหญ่ โครงการพระราชดำริทุกโครงการเป็นไปเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนทั้งนั้น ทุกรัฐบาลก็เห็นอยู่ ก็แค่เอาแนวพระราชดำริมาปฏิบัติให้เกิดผลเท่านั้นเอง

เราไม่สามารถที่จะบังคับให้คนทุกคนเห็นเหมือนกับเรา คิดเหมือนกับเราได้ เพราะความต่างของสภาพจิต ตลอดจนกระทั่งประสบการณ์ และในสิ่งที่ตนเองโดนกระทำมา ย่อมทำให้คนคิดต่างกันได้ แต่ถ้ายึดถือตามกฎเกณฑ์กติกา ถึงเวลาเลือกตั้งกันใหม่ ถ้าหากอีกฝ่ายหนึ่งมีคนเห็นด้วยจำนวนมาก เขาชนะเข้าไปปกครอง เรื่องก็จบ

เพียงแต่ปัจจุบันนี้เราฉีกกฎเกณฑ์กติกาทิ้ง แล้วมาตั้งกฎเกณฑ์กติกาเองเสียใหม่ โดยอ้างว่าในขณะนี้ไม่ใช่ระยะเวลาปกติ ก็ที่ไม่ปกติเพราะคุณไปทำให้ไม่ปกติ แทนที่จะปล่อยให้เป็นปกติไว ๆ กลับพยายามที่จะอยู่ต่อไปเพื่อให้ไม่ปกติยิ่ง ๆ ขึ้น ฟังแล้วเพลียจิต...!"

เถรี
05-07-2016, 15:12
"วันก่อนเด็กวัดที่มาเรียนหนังสือ บอกว่าข้าวแกงจานละ ๔๕ บาท ตักไม่กี่ทีก็หมดแล้ว อาตมาจำได้ว่าเคยบอกไว้หลายปีแล้วว่า ถ้าบ้านเราข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท ก็ไม่ใช่ของแปลก ตอนนี้เริ่มมีแล้วนะ แพงกว่าร้อยด้วย โดยเฉพาะในสโมสรทหารบกขายก่อนเพื่อน จานละ ๑๕๐ บาท แสดงว่าเขาต้องมั่นใจว่าชาวบ้านอยู่ดีกินดี มีเงินไปซื้อกินแน่นอน..!"

เถรี
05-07-2016, 15:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมระวังเรื่องของน้ำไว้บ้างนะ ปีนี้ "น้องน้ำ" คิดถึงมาก รับรองว่ามาเยี่ยมแน่นอนโดยเฉพาะปักษ์ใต้"

เถรี
05-07-2016, 15:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคนถามอาตมา โดยเฉพาะเพื่อนพระด้วยกัน ว่ามานั่งอยู่ตรงนี้เบื่อไหม ? ต้องบอกว่าเกินเบื่อไปแล้ว เกินเบื่อนี่ก็คือเคยชินจนตายด้านไปแล้ว ในเมื่อเป็นหน้าที่ก็ทำไปเรื่อย หมดหน้าที่เมื่อไรก็เลิก

เมื่อครู่ตอนเลิกจากที่นี่ขึ้นไปที่พัก เดินขึ้นบันไดไปก็บ่นไป เพราะชักจะขึ้นบันไดไม่ไหว ตั้งใจว่าถ้าอายุ ๖๐ แล้วจะอยู่วัด ใครอยากเจอก็ไปหาที่วัดก็แล้วกัน แล้วก็มีผู้คัดค้านว่าเป็นไปไม่ได้แน่"

เถรี
05-07-2016, 15:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่ขึ้นไปก็คิดว่าจะควักวัตถุมงคลในตลับสีผึ้งลงมาให้เขาลงจำหน่ายในเว็บ แต่ดันลืม เอาไว้พอเขาเอาลงแล้วไปประมูลกันเอง ที่อยากจะควักออกมาเพราะตอนนี้วัตถุมงคลชักจะเยอะกว่าสีผึ้งแล้ว"

เถรี
05-07-2016, 15:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ นี้ หากใครไม่ได้ไปวัด จะตั้งใจอธิษฐานรับยันต์ที่บ้านของตนเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดถ่ายทอดสด ให้ใช้ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม นั่งภาวนาตรงเวลาสัก ๓๐ นาที ถ้ารอบเช้าก็ ๑๐.๐๐ น. - ๑๐.๓๐ น. ถ้ารอบบ่ายก็ ๑๓.๐๐ น. - ๑๓.๓๐ น. เป็นต้น ภาวนาพุทโธง่าย ๆ ก็แล้วกัน หรือถ้าใครรู้สึกว่าสั้นไป จะใช้ อิติปิ โสฯ ทั้งบทก็เอา ตั้งใจว่าบารมีที่พระท่านสงเคราะห์มา เราขอรับทั้งหมด

แต่ท่านทั้งหลายที่ทำแบบนี้แล้วได้ผล แทนที่จะอยู่บ้านแล้วทำต่อไป ครั้งต่อไปก็มักจะวิ่งไปวัดอีก อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันในเมื่ออยู่บ้านก็รับได้ แต่กลับอยากจะไปรับที่วัด คงอยากจะไปกินบรรยากาศว่าโดนเขาเหยียบจะเป็นอย่างไร อุตส่าห์สร้างศาลาใหม่เสียใหญ่เบ้อเร่อ ไม่พอใช้อีกแล้ว"

เถรี
05-07-2016, 16:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "เทียนพรรษาวัดท่าขนุนระยะหลังนี้ไม่พอใช้งาน เพราะเอาไปใช้ผิดประเภท ถึงเวลาก็สับเป็นท่อน ๆ หล่อทำผางประทีปหมด หล่อผางประทีปแต่ละครั้งใช้ประมาณตันเศษ ๆ ที่ญาติโยมถวายมา ขอยืนยันว่าใช้หมดเกลี้ยง ไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งด้ายไส้เทียน เพราะว่าด้ายไส้เทียนเวลาหลอมแล้วเอาไปทำเชื้อเพลิงได้ดีมาก

ตอนนี้ก็มีท่านอ๊อด (พระพีระวิทย์ ชิตมาโร) เป็นหัวแรงใหญ่ ทำเตาหลอมเทียน แล้วก็มีทิดสึกใหม่รุ่นนี้อาสาว่าจะทำเตาหลอมเทียนให้ หลอมได้ทีละเป็น ๑๐๐ กิโลกรัม แล้วก็บอกว่าทำให้หลายวัดมาแล้ว อาตมาก็ยังงง ๆ เพราะยังไม่ได้ยินว่ามีวัดไหนหลอมเทียนเพื่อทำผางประทีป แต่ยังไม่ได้ยินจากไอ้ทิดด้วยตนเองก็เลยไม่ได้ซักถาม"

เถรี
05-07-2016, 16:47
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันเสาร์ ๕ นอกจากพุทธาภิเษกพระขุนแผนเกราะเพชรแล้ว อาตมายังทำเหรียญพุทธบารมีรุ่น ๒ เป็นเหรียญเล็ก เหรียญรุ่นแรกใหญ่บางคนบ่นว่าหนัก แต่เสี่ยตือบอกว่าเล็กไป แสดงว่าการสร้างเหรียญต้องดูน้ำหนักคนแขวนด้วย คนแขวนตัวใหญ่ยังบ่นว่ารุ่นเก่าเล็กไป ส่วนคนแขวนตัวเล็กบ่นว่ารุ่นเก่าใหญ่ไป ก็เลยทำรุ่นใหม่ โตประมาณเหรียญสิบบาท น้ำหนัก ๑ บาทถ้วน

เหตุที่น้ำหนัก ๑ บาทถ้วน เพราะว่าด้านหลังมียันต์มหาสะท้อน ถ้าเป็นทองคำหรือเงินไม่ถึง ๑ บาท เดี๋ยวจะไม่มีผลตามที่ครูบาอาจารย์ท่านกำชับเอาไว้ สร้างแค่ไม่กี่เหรียญ สร้างเอาดังเฉย ๆ ถึงเวลาก็ไปแย่งกันเองก็แล้วกัน กะว่าจะไม่เปิดจองในเว็บ จะให้ไปหัวทิ่มกันที่วัด

พระขุนแผนเกราะเพชรรุ่นนี้ตั้งใจทำจริง ๆ เพราะว่าเมืองกาญจน์เป็นบ้านขุนแผน ต้องบอกว่าไม่ใช่บ้านเกิดก็เป็นบ้านญาติ ไม่ใช่บ้านญาติก็เป็นบ้านที่ท่านไปครองเมืองอยู่ แล้วลูกหลานก็เป็นเจ้าเมืองต่อเนื่องกันมา อาราธนาท่านไว้แล้ว คาถาตอนปลุกเสกก็ได้มาแล้ว ถึงเวลามีหน้าที่รอว่าท่านจะให้ทำอะไรเท่านั้น"

เถรี
05-07-2016, 16:50
พระอาจารย์เล่าว่า "ปีนี้พระและฆราวาสของวัดท่าขนุนเรียนปริญญาโทเพิ่มอีก ๖ รูป/คน เป็นการเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องไปผจญภัยกันเอง คำว่าผจญภัยกันเองก็คือ เรื่องที่พักจะลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่าที่วัดศรีสุดารามที่พักเต็ม ไปขอเจ้าหน้าที่แล้ว เขาบอกว่าอนุญาตให้นอนในห้องเรียนได้

แต่คราวนี้นางสาวภัทรวรรณเธอเป็นผู้หญิง จะไปนอนห้องเรียนกับพระก็ไม่ได้ ท้ายสุดก็เลยไปขอที่นอนที่วัดไร่ขิง ถึงเวลาก็นั่งรถเมล์จากวัดไร่ขิงเข้าไปเรียนที่วัดศรีสุดาราม

บางทีเห็นเด็กวัดหรือพระภิกษุสามเณรเขาเรียนหนังสือแล้ว ตั้งใจเรียนกันมาก เพราะว่าทุกคนอยากเรียน พยายามดิ้นรนจนมีโอกาสได้เรียน ในขณะเดียวกันลูกชาวบ้านทั่ว ๆ ไป พ่อแม่ทุ่มเทชนิดทูนหัวทูนเกล้าให้ กลับไม่ค่อยอยากจะเรียน ต้องบอกว่าน่าตายมาก...!"

เถรี
05-07-2016, 16:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันแม่ปีนี้ขาดหลวงพ่อยิ้มไปหนึ่งองค์ หลวงพ่อยิ้ม วัดบ้านไร่ ปีนี้ไปสมัครเป็นนักเรียน ป.บส. อาทิตย์ที่ ๑ อาตมาไม่เจอหน้าก็บ่นเอาไว้ อาทิตย์ที่ ๒ ไม่โผล่มาอีกก็เลยด่าเลย “เห็นว่าอาจารย์เป็นเพื่อนหรืออย่างไรวะ ? ถึงไม่มาเรียน” ปรากฏว่าเพื่อนนักเรียนบอกว่า “อาจารย์ยิ้มตาย เผาไปแล้วครับ” อาตมาก็คาดว่าคงจะไปดี ถึงได้มัวแต่เพลิดเพลินเจริญใจอยู่ แม้กระทั่งเพื่อนฝูงก็ไม่มาบอกมากล่าว

ผิดกับวันก่อน น้องเล็กวิ่งรถกลับวัด มีหมาวิ่งตัดหน้ากะทันหัน เสียงดังกร๊อบ..! แหง็ก..! แล้วก็ยื่นหน้ามาเสนอหน้าว่าตายไปแล้ว แสดงว่าหมาดีกว่าอาจารย์ยิ้มหน่อยหนึ่ง พอตายปุ๊บก็มารายงานตัวปั๊บ...!"

เถรี
05-07-2016, 16:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาร่างกายไม่ค่อยดี ต้องฉันยาฟื้นฟูใหม่ ปีนี้อายุเข้า ๕๘ ปีแล้ว ปรากฏว่าคูณธาตุออกมา ธาตุไฟเหลือศูนย์ หมดสิทธิ์มีเมียโดยเด็ดขาดและสิ้นเชิง ไม่มีธาตุไฟก็คึกไม่ไหว ยางวดนี้ที่หมอให้มาเผ็ดกระโดดเลย มีพริกไทย มีดีปลี มีสะค้าน มีกานพลู ฯลฯ ประเภทถ้าคนทั่วไปกินลงไปแล้วอาจจะร้อนในตาแดง หรือไม่ก็เลือดกำเดาไหล แต่คนแก่ฉันลงไปแล้วก็ยังเฉย ๆ อยู่

ธาตุดินเหลือ ๒ ส่วน ธาตุไฟเหลือศูนย์ ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่ตายสักทีก็ทนอยู่ไปเรื่อย ไปนึกถึงอาจารย์มหาทรงกลด (พระมหาทรงกลด กุสลจิตฺโต) วัดกลางบางแก้ว ป่วยเป็นมะเร็งตับ ความจริงก็บวชพรรษาเดียวกัน แต่ท่านแก่กว่า ๒ เดือน เพียงแต่ว่าอายุท่านแซงหน้าไป ๘ ปี ไปวัดท่าขนุน บอกว่าขอมาฝากผีฝากไข้ด้วย ก็คือตั้งใจไปตาย ตอนนี้เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก อาตมาก็พิจารณาแล้วว่า แม้ว่าเมรุวัดท่าขนุนยังไม่เสร็จดี แต่ว่าเตาเผาเรียบร้อยแล้ว อาจจะได้ทดสอบคุณภาพเร็ว ๆ นี้...!"

เถรี
05-07-2016, 16:59
"วันก่อนช่างเทคนิคมาแนะนำวิธีการใช้เตาเผาปลอดมลพิษ มีทั้งหมด ๑๒ ขั้นตอน ถ้ารวมตั้งแต่ยกคัตเอาต์ สับสวิทช์ก็ ๑๔ ขั้นตอน พอแนะนำเสร็จ อาตมาก็ลองเป็นคนแรก ทวนทำตามขั้นตอนให้ดู ช่างก็ชมว่าพระอาจารย์จำแม่นมากเลยครับ บอกครั้งเดียวก็ทำได้เลย ใคร ๆ เขาก็บอกตูครั้งเดียวตลอด ไม่เห็นเขาบอกซ้ำสักที...!

ตอนนี้ในส่วนที่ยากของเมรุก็คือ เรื่องของลายไทยและยอดเมรุ ยอดเมรุตามที่ช่างออกแบบมาจะเป็นฉัตร ๙ ชั้น แต่ช่างที่ทำฉัตรบอกว่า ในเรื่องของฉัตรนั้นโดยปกติแล้วเป็นเครื่องราชูปโภค ควรเปลี่ยนแบบเสียดีกว่า อาตมาก็เฉลียวใจคิดตอนเขาทักนี่แหละ ตอนก่อนหน้านั้นก็ลืมไป จึงตกลงเปลี่ยนเป็นยอดพุ่มข้าวบิณฑ์แทน

ส่วนในเรื่องของลาย ช่างก็กำลังปั้นลายอยู่ แล้วก็บอกว่าให้รีบทำหน้าบันเพื่อติดลายก่อน เพราะว่าช่างปูนมัวแต่ทำงานส่วนอื่น ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ออกพรรษาน่าจะเรียบร้อยใช้งานได้ ตอนนี้กำลังรอประเดิม ช่างเทคนิคเขาบอกว่าจะนัดวันเผาต้นกล้วยให้ดู ก็คือต้นกล้วยจะมีน้ำมากคล้าย ๆ กับร่างกายคน ลองเผาเพื่อจับเวลา แล้วก็ตรวจสอบว่าใช้น้ำมันเท่าไร แต่อาตมาอยากได้เผาจริงมากกว่า กำลังรอท่านอาจารย์มหาทรงกลดว่าจะตัดใจสิ้นลมวันไหน...!"

เถรี
05-07-2016, 16:59
"ต้องบอกว่าอายุขนาดอาตมาเป็นวัยวิกฤตผู้สูงอายุ เพราะว่าถ้ามีลูก ลูกก็โตเป็นวัยรุ่น ไม่ฟังพ่อไม่ฟังแม่ แล้วถ้าหากว่ารุ่นพี่ หรือว่ารุ่นอาวุโส เขาก็ทยอยตายกันไปเรื่อย ๆ แม้กระทั่งรุ่นตัวเองก็มีตาย บางคนกลายเป็นโรคซึมเศร้า

พวกเป็นโรคซึมเศร้านี่แสดงว่าไม่ทำงาน เลยมีเวลาคิด เพราะฉะนั้น...ใครกลัวเป็นโรคซึมเศร้าหางานทำเยอะ ๆ ไว้ ไม่มีเวลาคิดก็ไม่ซึมเอง"

เถรี
06-07-2016, 19:19
พระอาจารย์กล่าวสอนคนเป็นพ่อแม่ว่า "แจกไม้เรียวให้ลูกบ้างนะ ตามใจอย่างเดียวเดี๋ยวลูกจะกลายเป็นพ่อ ไม่เป็นลูกอย่างที่ควรจะเป็น"

เถรี
06-07-2016, 19:30
ถาม : ถ้าบุพการีในบ้านมีความเป็นมิจฉาทิฐิ อย่างเราเป็นลูกควรจะทำอย่างไรครับ เวลาได้ยินท่านปรามาสพระรัตนตรัย วิจารณ์พระ ?
ตอบ : ได้ยินทำเป็นไม่ได้ยิน ได้เห็นทำเป็นไม่ได้เห็น แค่นี้ก็หมดเรื่อง

เถรี
06-07-2016, 21:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์เล่มนี้ มีที่เขียนว่า “คานกับพระนิพพานอยู่ใกล้กัน” คนรุ่นหลังไม่เข้าใจคำว่า "ขึ้นคาน" แปลว่าอะไร ? มักจะคิดว่าคือการตะเกียกตะกายไปอยู่บนคานบ้าน ขึ้นคานในที่นี้ สมัยก่อนทำกับเรือที่หมดสภาพแล้วหรือว่าเลิกใช้งานแล้ว

การขึ้นคานมีสองอย่าง อย่างหนึ่งก็คือ ขึ้นคานเพื่อไปซ่อมแซมเอามาใช้งานใหม่ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ขึ้นคานเก็บไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้งานอะไร เพราะว่าหมดสภาพแล้ว ดังนั้น..ที่เขาบอกว่าผู้หญิงขึ้นคาน ก็คือ ผู้หญิงที่หมดสภาพ ใช้งานไม่ได้แล้ว ส่วนใหญ่เขาไปเข้าใจว่าเป็นคานบ้าน ไม่ได้นึกว่าเป็นคานเรือ

เขาบอกว่า ผู้หญิงที่อายุมาก ไม่ได้แต่งงาน เปรียบเหมือนเรือขึ้นคาน ก็คือไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว โดนทิ้งคาไว้บนคานเฉย ๆ

สำนวนไทยนี้ อาตมาอาจจะต้องออกหนังสือสักเล่มหนึ่ง เด็กสมัยใหม่ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เขาฟังแล้วไม่เข้าใจกัน"

เถรี
06-07-2016, 21:34
ถาม : เจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น ?
ตอบ : คนไม่เคยโค่นต้นไม้มาก่อนไม่รู้หรอก ก็คือ ไปตัดต้นไม้อื่นเสียจนกระทั่งขวานบิ่น พอไปเจอต้นที่ทั้งตรงทั้งใหญ่ ถึงอยากได้แต่ขวานก็บิ่นแล้ว โค่นไปใช้งานไม่ได้ เขาเปรียบเหมือนผู้หญิงหรือผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ไปเจอผู้หญิงหรือผู้ชายที่ถูกใจเข้าก็หมดสิทธิ์ ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะตัวเองมีคู่แล้ว เปรียบเหมือนกับการไปพบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น

เถรี
06-07-2016, 21:36
พระอาจารย์แนะนำโยมให้ไปงานวัดท่าซุง "ประการที่หนึ่งก็คือ วัดท่าขนุนศาลาหลังไม่ใหญ่พอ ไปกันมากก็เบียดกันแน่น ส่วนประการที่สองก็คือ การหล่อรูปหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยทองคำนั้น ๑๐๐ ปีมีครั้งเดียว ส่วนการรับยันต์เกราะเพชร ยังรับได้อีกหลายครั้ง"

เถรี
06-07-2016, 21:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงเดือนที่แล้วที่วัดสะอาดเอี่ยมมาก อาตมาบวชเณร ๑๐๐ รูป ถัดไปก็บวชพระ ๑๐๐ รูป ไม่มีอะไรจะทำ ท่านก็เลยช่วยกันจัดการวัดเสียสะอาดเอี่ยมเลย พอหนัก ๆ เข้าไม่มีอะไรทำ ก็ลอกท่อให้กับทางเทศบาล

จากที่ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ การบวชพระช่วงที่จำเป็นต้องอยู่ในสีมา นั่นก็คือช่วงตั้งแต่พระคู่สวดตั้งญัตติเพื่อสวดซ้อมถามอันตรายิกธรรม เพราะฉะนั้น...อาตมาจึงใช้วิธีบวชเณรก่อน ให้สรณาคมน์ ให้ศีล ให้นิสสัย บอกบริขารเรียบร้อยแล้วค่อยไปบวชพระ ก็ในเมื่อไม่จำเป็นต้องทำในโบสถ์ บวชข้างนอกทีเดียว ๑๐๐ รูปก็ได้

คราวนี้พอไปบวชพระก็เฉลี่ยเหลือชุดละประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น จากที่คาดไว้ว่าจะเสร็จสัก ๓ ทุ่มก็เลยเสร็จก่อน ๔ โมงเย็น ต่อไปถ้าบวชหมู่จะใช้วิธีนี้ตลอดไป เพราะประหยัดเวลา"

เถรี
06-07-2016, 21:46
"พอบวชเสร็จก็บอกอนุศาสน์ (คำสอนย่อ) พร้อมกัน พระใหม่ ๑๐๐ รูป พระเก่า ๒๕ รูป อยู่ในโบสถ์ได้ แต่พออาตมาไม่อยู่ วันปาฏิโมกข์บอกกับท่านว่า “แน่จริงอยู่ในโบสถ์ให้ได้นะ” ดันอยู่กันไม่ได้ ล้นออกมาข้างนอก ก็โบสถ์หลังเดิมนั่นแหละ เป็นอะไรที่ดูแล้วตลก ๆ อยู่เหมือนกัน

พอดีวันนั้นอาตมามีงานข้างนอก ก่อนจะวิ่งออกไปก็บอกพระท่านว่า “วันนี้ปาฏิโมกข์...พวกคุณลองดูว่า ผมไม่อยู่แล้วจะอยู่ในโบสถ์ได้ครบไหม ?” ปรากฏว่าล้นออกมาอยู่หน้าโบสถ์ เพราะโบสถ์วัดท่าขนุนหลวงปู่สายท่านสร้างเอาไว้แบบประหยัดงบประมาณ ก็คือสร้างขนาดเล็กที่สุด บรรจุพระได้ ๒๑ รูป เพราะว่าสังฆกรรมที่ใช้พระมากที่สุดก็คือสวดอัพภาน คืนความเป็นพระให้กับภิกษุที่ออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ตามวิธีการต้องใช้พระ ๒๐ รูป บวกกับตัวผู้อัพภานเป็น ๒๑ รูป

ในเมื่อท่านสร้างเอาไว้เล็กขนาดนั้น คนก็ถามว่าเมื่อไรพระอาจารย์เล็กจะสร้างใหม่สักที ? ก็ทำไมต้องสร้างใหม่ ที่มีอยู่ก็พอใช้นี่หว่า...! บรรดาเพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอก เป็นเจ้าคณะตำบลบ้าง เจ้าคณะอำเภอบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นพระอุปัชฌาย์กันทั้งนั้น พอบอกว่าบวชพระ ๑๐๐ รูป ส่วนใหญ่เขาจะทำหน้าประหลาด ๆ แล้วถามว่า “เอาคนที่ไหนมาบวชตั้งเยอะแยะ ?” ก็เลยบอกว่าจำกัดยอดไว้ที่ ๑๐๐ รูป ไม่อย่างนั้นจะมาเกิน...!"

เถรี
06-07-2016, 21:49
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่นี้ได้คาถาหัวใจขุนแผนฉบับเต็มมา หัวใจขุนแผนฉบับเต็มเป็นของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว มีการอ้างชื่อพระสุรินทรฤๅชัยด้วย นั่นแหละขุนแผนสะท้านเจ้าเมืองกาญจนบุรี ตำแหน่งขุนแผนสมัยโบราณเป็นเจ้ากรมตำรวจ ตลกดี ตอนหลังเปลี่ยนเป็นพระพิเรนทรเทพ แต่สมัยอยุธยาตำแหน่งขุนแผนสะท้านเป็นเจ้ากรมตำรวจ

ความรู้นอกตำราพวกนี้เดี๋ยวก็จะโดนทีวีช่อง ๙ หาอ้างอิงอีก วันนี้เล่นมาถ่ายสารคดีไปลง มีการถามย้ำอีกว่าจริงหรือไม่จริง ? อาตมานั่งพูดอยู่ตรงนี้ไม่จริงได้อย่างไรวะ...? บอกให้เขาไปค้นจากหนังสือ แต่ก็คงจะไม่ไปค้นหรอก ส่วนใหญ่ใช้วิธีง่าย ๆ คือมาถามเอา"

เถรี
06-07-2016, 21:50
มีโยมถวายอัญมณีแบบต่าง ๆ "รู้ไหมว่าหลวงพ่อวัดป่าเลไลยก์ท่านกำลังหาอยู่ ? ท่านบอกว่า...เอ็งหาพวกนี้ไว้เยอะ ๆ เดี๋ยวพอข้าจะบรรจุเศียรพระเมื่อไรช่วยเอาไปให้ที"

เถรี
07-07-2016, 19:36
ถาม : (การรับยันต์เกราะเพชรที่บ้าน)
ตอบ : ภาวนานึกถึงบารมีพระก็ใช้ได้แล้ว ตั้งใจรับอยู่ที่บ้านก็เตรียมธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม พอตรงเวลาที่กำหนดไว้ก็ภาวนาสัก ๓๐ นาที อธิษฐานว่าบารมีใดที่พระท่านสงเคราะห์ลงมา เราขอรับทั้งหมดแล้วก็ภาวนาพุทโธนึกถึงภาพพระ หรือถ้าพุทโธสั้นไปจะเอา อิติปิ โสฯ ทั้งบทก็ได้

เถรี
07-07-2016, 19:37
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมว่า “จำไว้ว่าอย่าเกเรมาก ถ้าเกเรมากกรรมตามทันชาติไหนก็โดนเอาคืนแน่นอน”

เถรี
07-07-2016, 19:41
ถาม : ผมได้ถ่ายเอกสารตำรายันต์จากวัดไปครับ ไม่สบายใจ เลยคิดว่ามาขออนุญาตจากหลวงพ่อ ?
ตอบ : ถ้าทำแล้วก็ไม่ต้องบอก ต้องขออนุญาตก่อนทำ ไม่ใช่ทำเสร็จแล้วค่อยมาบอก

เถรี
07-07-2016, 19:46
พระอาจารย์กล่าวว่า “เห็นญาติโยมถวายข้าวปลาอาหารมาแล้ว เลยอยากจะขอร้องอย่างหนึ่งได้ไหม ? ว่ากินขนมกันให้น้อยลงหน่อย ขนมมากจนน่ากลัว

ส่วนใหญ่อาหารที่ถวายพระก็คือ เราชอบอะไรก็จะถวายอย่างนั้น ในเมื่อชอบอะไรถวายอย่างนั้น แล้วถวายแต่ขนมมา ก็แปลว่าพวกเรากินกันมากจนเกินไปแล้ว ไปนึกถึงคำโบราณที่ว่า “กินแต่พอรู้รส” ก็คือให้รู้จักประมาณในการกิน ไม่ใช่ชอบอะไรก็ใส่เต็มที่เลย การกินแต่พอดีถึงจะมีประโยชน์ กินล้นกินเกินมีแต่จะเป็นโทษ

ปัจจุบันนี้บ้านเรามีผลการวิจัยว่าเด็ก ๆ บ้านเราเป็นโรคอ้วนกันถึงร้อยละ ๓๐ แล้ว ก็แปลว่าถ้าเอาเด็กมายืน ๑๐๐ คนจะมีเด็กอ้วนอย่างน้อย ๓๐ คน หลักการดูว่าอ้วนหรือไม่อ้วนเป็นอย่างไร พวกเราคงพอคำนวณด้วยสายตาได้ ไม่ต้องไปใช้หลักการคำนวณแบบของฝรั่งเขา"

เถรี
07-07-2016, 19:48
"เปลี่ยนวิธีการกินอาหารบ้าง บ้านเราเป็นเมืองร้อนแต่เราไปกินอาหารแบบฝรั่งที่เป็นเมืองหนาว ฝรั่งเขาต้องกินนมกินเนย กินไอศกรีม เพื่อให้มีแคลอรี่มากพอที่จะไปสู้กับความหนาว คราวนี้บ้านเราไม่ได้ใช้อย่างนั้น บ้านเรามีแต่ร้อนตับแตก แล้วไปกินแบบฝรั่งก็เรียบร้อย กินเข้าไปเท่าไรร่างกายก็ตุนไว้หมด แทนที่จะกินข้าวแกงก็ไปกินพิซซ่า แถมต้องขอบชีสด้วย แทนที่จะกินส้มตำก็ไปเน้นไก่ทอด

ความอ้วนมีโทษมากกว่าประโยชน์ ไม่ได้ตั้งใจว่าใคร พูดถึงตรงนี้ก็มาพอดี โปรดลดความอ้วนลงด้วยการแบ่งปันทรัพยากรให้คนอื่นเขาบ้าง ไม่ใช่กินหมดคนเดียว”

เถรี
07-07-2016, 19:52
พระอาจารย์กล่าวว่า “สำหรับพระจะมีการทำสามีจิกรรม โดยเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา คราวนี้อีกหลายวันกว่าจะเข้าพรรษา แต่ถ้ารอเวลาก็จะเกินกำหนดไป มหาติ๊กก็เลยมาขอขมาก่อน

การขอขมาแบบโบราณเขาใช้บท อุกาสะ วันทามิ ภันเตฯ ส่วนรุ่นใหม่ก็ตัดเหลือสั้นนิดเดียว ต้องบอกว่ารุ่นใหม่ขี้เกียจไปเรื่อย ๆ

การขอขมาจะยืนเป็นปกติ เพียงแต่รุ่นใหม่ไม่ได้ยืนตามเขา แต่โบราณเขาถือว่าการยืนเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพ อย่างเช่นว่าผู้ใหญ่เข้ามาในงานเราก็ยืนรับ มีใครนั่งรับบ้าง ? แต่สมัยหลังไม่ค่อยจะเข้าใจกัน พอเห็นคนอื่นยืนก็กลายเป็นของแปลกไป”

เถรี
10-07-2016, 14:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้มีงานเผาศพคุณติ๊ก (ถาวภักดิ์ ตียาภรณ์) ที่วัดเกตุการาม จ.เชียงใหม่ ต้องบอกว่าคุณติ๊กเป็นบุคคลที่หนักแน่นมั่นคงในเรื่องการปฏิบัติธรรม และมีความเคารพในพระรัตนตรัย เนื่องจากว่าโหมงานหนัก ความเครียดรับประทานบ่อย ท้ายสุดก็เลยเป็นมะเร็ง เสียชีวิตตอนอายุ ๕๕ ปี อาตมาก็ไม่เคยถามอายุ คิดว่าเป็นพี่มาตลอด กลายเป็นน้องไปเสียนี่

คุณติ๊กรับเอาเทียนของทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ไปถวายที่วัดท่าขนุน ๓ ปีติดกัน ปีนี้ปีที่ ๔ คงต้องให้คุณตั้มไปแทน เพราะว่าเจ้าตัวจะถูกเผาวันนี้แล้ว

ต้องบอกว่าเจ็บป่วยอยู่ ๔ – ๕ ปี แต่คนที่รู้ตัวและยอมรับสภาพได้ ก็เตรียมการเบื้องหลังไว้เรียบร้อยทุกอย่าง ถ้าหากว่าพวกเราเจ็บไข้ได้ป่วย สามารถปล่อยได้วางได้ ก็จะจัดการเรื่องหลังไว้ดี ๆ แบบเดียวกับของคุณติ๊กที่ผ่านมา

อาตมาวิ่งขึ้นไปฟังสวดอภิธรรมได้คืนเดียว เพราะว่ารุ่งขึ้นมีงานพุทธาภิเษกที่วัดบ้านห้วยน้ำขาว เสร็จจากนั้นต้องสอนหนังสือแล้วก็ประชุม จากนั้นก็มารับสังฆทาน ไม่มีเวลาว่างเลย แต่ก็ยังดีไปได้คืนหนึ่ง

คุณติ๊กมีลูกน่ารักอยู่ ๓ คน เป็นผู้หญิง ๒ คน ผู้ชาย ๑ คน ผู้หญิง ๒ คนสมัยเล็ก ๆ ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีกันเป็นเทอมเลย พาไปเดินป่าเดินดง ลำบากลำบน ตอนนี้ถามเด็ก ๆ ว่าชีวิตลำบากไหม ? ไม่ลำบากหรอก ตอนที่หลวงพ่อพาไปนั่นลำบากที่สุดแล้ว โบราณเขาถึงบอกว่า ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะถ้าเราเจอของที่ลำบากที่สุด ทุกอย่างก็สบายหมด ไม่มีอะไรลำบากไปกว่านั้นแล้ว"

เถรี
10-07-2016, 14:46
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้กฐินปลดหนี้วัดตะเคียนงาม ใกล้ ๆ นี่เอง ไม่ปลดให้ท่านไม่ได้หรอก หลวงพ่อสมคิดท่านแก่กว่าอาตมา ๑๓ ปี ปีนี้อายุ ๗๑ แล้ว ปลดเสร็จแล้วคืนมาเสียดี ๆ เพราะท่านยืมไปก่อน ๑ ล้านบาท

วันก่อนจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต ท่านก็นิมนต์ไปบวงสรวงพุทธาภิเษก วัดท่านอยู่สุดชายแดนเลย อีก ๔ กิโลเมตรก็แม่น้ำอัมราของพม่าแล้ว บวงสรวงเสร็จพระท่านบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ขาดทุนหรอก

อาตมาส่งพระวัดท่าขนุนไปช่วยงานท่านหลายรูป โดยเฉพาะพระครูบ่าวกลายเป็นมือขวาของท่านไปเลย ปรากฏว่าเสร็จงานมีกำไรจริง ๆ แต่สลบไสลไปเลย จัดงาน ๗ วัน ๗ คืน ส่วนใหญ่งานปิดทองฝังลูกนิมิตก็จะจัดกันประมาณนั้น ๙ วัน ๙ คืนบ้าง ๗ วัน ๗ คืนบ้าง

ปีนี้ไปใกล้ ๆ วัดตะเคียนงาม ปีหน้าไปไกลหน่อย สกลนคร"

เถรี
11-07-2016, 21:18
ไทยทีวีสีช่อง ๙ มาสัมภาษณ์พระอาจารย์ออกอากาศ ดังนีั้

ถาม : เขามีการแชร์กันว่า ถ้าคนอายุน้อยกว่าไปงานศพของคนที่มีอายุมากกว่าต้องใส่เสื้อขาว ถ้าเกิดคนที่ไปงานศพอายุเยอะกว่าคนที่ตายต้องใส่เสื้อดำ จริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : ถามว่าจริงหรือไม่จริง ก็ถ้าเขาแชร์กันแปลว่าทำไปจริง ๆ แล้ว เราต้องเข้าใจว่าในเรื่องของโบราณนิยม ในปัจจุบันไม่ค่อยมีใครศึกษา ก็เลยทำให้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ค่อย ๆ สูญไปเรื่อย

โดยเฉพาะเรื่องของการแต่งตัวไปงานศพ สมัยก่อนนี้ในส่วนที่เคร่งครัดมากที่สุด ก็คือ ในส่วนของเชื้อพระวงศ์ หรือในส่วนของในรั้วในวัง แล้วในระเบียบต่าง ๆ นี้ก็ลามออกไปจนกระทั่งไปถึงทางด้านนอก ก็คือชาวบ้านทั่วไป เพราะสมัยก่อนนั้นการตายเขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าโศก เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากกว่า แม้กระทั่งพระมหากษัตริย์หรือพระราชินี เขายังใช้คำว่า สวรรคต ก็คือไปสวรรค์

ดังนั้นในงานศพก็จะมีงานรื่นเริงต่าง ๆ ที่เป็นการละเล่นให้สนุกสนานกันอยู่ตลอดเวลา คราวนี้การแต่งตัวในลักษณะนั้น ถ้าถามว่ามีหลักฐานอะไรไหม ? ส่วนที่ปรากฏชัดที่สุดก็น่าจะเป็นในเรื่องขุนช้างขุนแผน ฉบับหอสมุดวชิรญาณ ถ้าจะเอาชัด ๆ เลยก็ตอนนางวันทองถูกฆ่า ในงานศพนางวันทอง ครอบครัวทั้งหมดแต่งชุดขาว แม้กระทั่งชาวบ้านที่มาดูการละเล่นก็แต่งชุดขาวด้วย ลองไปเสิร์ชดูข้อมูลใน Google ก็น่าจะมี อีกส่วนหนึ่งถ้าต้องการรู้ ก็ต้องดูในหนังสือ...น่าจะเป็นศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ท่านผู้รู้จะค้นคว้าเอาไว้มาก น่าจะมีอยู่ใน Google เช่นกัน

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าจะทำให้ถูกต้องจริง ๆ ก็คือ บุคคลที่เสียชีวิต ถ้าหากว่าอายุมากกว่าเรา เราควรจะแต่งชุดขาว ยกเว้นว่าเขาอายุน้อยกว่า เราถึงแต่งชุดดำได้ แต่ในปัจจุบันนี้เท่าที่เห็นคนไปงานศพมักจะแต่งชุดดำเป็นหลัก ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็ถือว่าไม่รู้เด็กไม่รู้ผู้ใหญ่ ในส่วนนี้ที่เขาไปแชร์กัน อาตมาพูดเพราะว่าต้องการให้เป็นไปตามประเพณีที่ถูกต้อง เนื่องจากว่าตอนอยู่ที่วัดจะพูดอย่างนี้เสมอเวลามีงานศพ

ในช่วงก่อนที่อาตมาจะเป็นเจ้าอาวาส เวลานำศพเวียนเมรุ ชาวบ้านมักจะไปแย่งพระจูงสายสิญจน์ ก็ต้องบอกให้เขาทราบว่า ชาวบ้านทั้งหมดแม้กระทั่งญาติพี่น้อง มีหน้าที่ไปส่งศพ เขาให้เดินตาม บุคคลที่จะจูงศพก็คือพระหรือเณร

คำว่า เณร ในที่นี้ก็คือ เณรที่บวชหน้าไฟให้กับผู้ตาย แล้วอีกสองท่านเท่านั้นที่อนุญาตให้เดินนำหน้าได้ก็คือ คนถือกระถางธูป กับรูปของผู้ตาย นอกจากนั้นให้เดินตามเพื่อเป็นการแสดงออกว่าเราไปส่งศพ แต่วัดอื่น ๆ ก็มักจะมีการไปแย่งพระจูงศพกันอยู่เป็นปกติ แต่ที่วัดของอาตมาพูดอยู่หลายปีจนไม่มีแล้ว แต่ในส่วนของเครื่องแต่งกายก็ย้ำอยู่บ่อย ๆ ก็เลยทำให้คนได้ทราบว่าโบราณเขาถือแบบไหน ก็นำไปโพสต์แล้วนำไปแชร์กันต่อ ๆ ไป ก็เลยกลายเป็นปัญหาให้โยมมาถามอาตมาอยู่นี่

เถรี
11-07-2016, 21:20
ถาม : ที่ผ่านมาเป็นเรื่องของความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แล้วมีผลกระทบอย่างอื่นตามมาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเราสามารถรักษาระเบียบประเพณีแบบโบราณที่ถูกต้องเอาไว้ คนรุ่นหลัง ๆ ที่ได้รับการถ่ายทอด ได้รับสิ่งที่ถูกต้องไป ก็จะช่วยกันรักษาธรรมเนียมประเพณีเอาไว้ได้ แต่ถ้าหากเราไม่รู้และยังทำผิด ๆ ไป ผู้ใหญ่ที่รู้ก็ตำหนิเอาได้ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ประเพณีผิดเพี้ยนไปเรื่อย ๆ

แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ การแต่งตัวไปงานศพ ส่วนที่อาตมาเห็นแล้วว่าไม่เหมาะไม่ควรที่สุดก็คือ เหมือนกับแต่งแฟชั่นไปอวดกัน โดยเฉพาะบรรดาท่านทั้งหลายที่นุ่งสั้นเหมือนกับลำบากยากจนเสียเต็มประดา แสดงออกว่าเราไม่ให้เกียรติผู้ตายเลย ก็เป็นเรื่องที่น่าตำหนิอยู่เหมือนกัน

เถรี
11-07-2016, 21:29
ถาม : ตามที่พระอาจารย์ได้ให้ข้อมูลมา มีข้อมูลมานานมากหรือครับ ?
ตอบ : ถามว่านานมากไหม ? ถ้าการแต่งเรื่องขุนช้างขุนแผนก็ต้องบอกว่านานมากแล้ว อาตมาเองอ่านหนังสือมามาก ในเมื่ออ่านมามาก ในสิ่งต่าง ๆ ที่รู้ว่าโบราณเขาทำอย่างไรถูกต้อง ก็ตักเตือนกันไปเรื่อย แต่ส่วนหนึ่งก็ฟัง บางส่วนก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ การที่โยมมาถามข้อมูลก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าเราเป็นสื่อมวลชน เราสามารถทำให้ข้อมูลแผ่ไปในวงกว้างได้ง่ายขึ้น

ถาม : ขอคำยืนยันว่าจริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจริงหรือไม่จริง มีข้อมูลยืนยันอยู่แล้ว โยมลองไปค้นตามที่ว่ามา

ถาม : เรื่องนี้ควรเผยแพร่ต่อหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็แล้วแต่โยมเห็นว่าเหมาะสม อาตมาก็ยังคงพูดไปเรื่อยถ้ายังไม่หมดแรงเสียก่อน เพราะต้องการให้ทำให้ถูกต้อง เนื่องจากว่าทางวัดเป็นศูนย์วัฒนธรรมของอำเภอด้วย

ถาม : ที่พระอาจารย์ได้ข้อมูลมานี้ พระอาจารย์ได้ศึกษามาจากหนังสือหรือที่ไหนครับ ?
ตอบ : ทั้งจดจำมาจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาปฏิบัติตามมา ทั้งที่อ่านจากหนังสือและตำราต่าง ๆ สรุปลงได้ว่า ที่พูดมานั้นไปตามที่ตนเองรู้ว่าโบราณเขาถือกันอย่างไร

เถรี
11-07-2016, 21:34
ถาม : ที่วัดเป็นศูนย์วัฒนธรรม ?
ตอบ : เป็นศูนย์วัฒนธรรมของอำเภอ ซึ่งแต่ละแห่งเขาจะมีศูนย์ของตนเอง ก็อยากจะให้เด็ก ๆ เขาได้รับรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง ทางด้านกระทรวงวัฒนธรรมเขาจัดตั้งเป็นศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน

ถาม : ในส่วนของครูบาอาจารย์จะคอยเตือนญาติโยม ?
ตอบ : อะไรที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง ก็พยายามตักเตือนให้เขาทำในสิ่งที่ถูกต้องเข้าไว้ ถ้าหากว่าคนที่รู้จริงเขาไป จะได้ตำหนิเราไม่ได้

ถาม : เหมือนกับมีคนพูดถึงว่า ถ้าแต่งตัวแบบกาลเทศะก็จะแบ่งได้ว่า คนนี้เป็นญาติใคร ?
ตอบ : ใครอาวุโสมากกว่า ใครอาวุโสน้อยกว่า ก็จะบอกได้ชัดเลย

เถรี
11-07-2016, 21:38
ถาม : พระอาจารย์เกิดที่กาญจนบุรี ?
ตอบ : ไม่ใช่ อาตมาเกิดนครปฐม บวชที่อุทัยธานี ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสที่กาญจนบุรี

ถาม : แสดงว่าประเพณีการแต่งกายนี้ พระอาจารย์ได้มาจากจังหวัดนครปฐม ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วเขาใช้กันทั่วประเทศ เพียงแต่ระยะหลังเขาไม่ได้เน้นเท่านั้นเอง ก็อาจจะเป็นเพราะเห็นว่าฝรั่งเขาแต่งดำไปงานศพ แล้วพวกเราก็อาจจะเห็นขนบธรรมเนียมของฝรั่งเขาว่าเท่กว่า โก้กว่า ลืมในเรื่องสิ่งดี ๆ ของวัฒนธรรมไทย ก็ไปเลียนแบบฝรั่ง

ถาม : หลัง ๆ ที่เปลี่ยนไปเพราะวัฒนธรรมตะวันตก ?
ตอบ : ใช่...ก็คงจะเป็นการเห่อตามตะวันตกไป ก็เลยทำให้ผิดพลาด ถ้าหากว่าเราจะดูให้ชัดต้องดูงานหลวง งานหลวงนี่เราจะเห็นชัดเลยว่า ถึงเวลาเขาแต่งชุดขาว ติดแขนทุกข์

ถาม : อย่างงานใครล่าสุดครับ ?
ตอบ : ที่เห็นชัดล่าสุดเลยก็คือ งานของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เราจะเห็นว่าผู้ที่แต่งดำจะมีแต่ผู้ที่ศักดิ์สูงกว่าเท่านั้น ถ้าโดยอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ที่สูงกว่า แม้จะอายุน้อยกว่าก็แต่งดำไป

โมทนากับโยมด้วย ที่อุตส่าห์ช่วยทำความจริงให้ปรากฏ แต่คนจะฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะค่านิยมส่วนใหญ่เพี้ยนไปหมดแล้ว ลองไปค้นหาข้อมูลดูก่อนนะ เนื้อหาตอนวันทองถูกฆ่าก็รู้สึกว่าค่อนข้างจะยาว ก็ลองดูว่าตอนที่เขานำศพไป จะเห็นว่าทั้งครอบครัวแต่งขาวหมด แล้วก็พวกชาวบ้านที่เขามาเที่ยว ก็แต่งชุดขาวหมด

เถรี
11-07-2016, 21:52
ถาม : ผมเป็นนักดนตรี เวลาทำงานจะภาวนาอย่างไรครับ ?
ตอบ : เวลาทำงานใจก็อยู่กับงาน จะได้ไม่ผิดพลาด เวลาว่างแล้วก็มาอยู่กับกรรมฐาน

ถาม : หูไม่ค่อยได้ยินครับ ?
ตอบ : ถ้าดังขนาดนี้ไม่ได้ยินก็ไม่ต้องฟัง...! แสดงว่าเล่นพวก Heavy Metal แน่นอน หูพังไปเรียบร้อยแล้ว เสียงดังขนาดนี้โยมบอกไม่ได้ยิน แสดงว่าเล่นพวกดนตรีหูเหล็กมาเยอะ

เถรี
11-07-2016, 22:14
พระอาจารย์พูดกับโยมที่ลูกพูดช้าแล้วไปเอาเขียดตบปาก "คราวนี้เสียใจแล้วใช่ไหมที่เอาเขียดตบปาก ? เอาตอนไม่พูดดีกว่านะ เคล็ดลับบางอย่างที่โบราณเขาทำมาก็มีผลจนคิดไม่ถึง อย่างที่เด็กไม่พูดแล้วเอาเขียดตบปาก กลายเป็นพูดไม่หยุด ก็ไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แต่ก็เห็นได้ผล

ส่วนอีกอย่างที่เห็นแล้วไม่น่าเชื่อเลย ก็คือ ตอนอาตมายังเรียนมัธยมอยู่ มีหลานอยู่คนหนึ่งแหกปากร้องเช้ายันค่ำ ร้องไปร้องมาสะดือโป่งขึ้นมาเป็นลูก เพราะตะเบ็งเสียงมากเกินไป จนกระทั่งใส ๆ เป็นลูกโป่ง พ่อแม่เขาก็ตกใจ แต่ปรากฏว่าโยมแม่อาตมาที่เป็นย่าบอกว่า อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แกไปเก็บมะเขือเปราะมาลูกหนึ่ง แล้วกลั้นใจวนรอบสะดือ ๓ รอบ แล้วก็เอาไปวางทิ้งไว้ให้เหี่ยว พอมะเขือเหี่ยวสะดือก็ยุบ ไม่น่าเชื่อว่าโรคที่บางทีต้องผ่าตัดเลย คนโบราณเขาเล่นมะเขือเปราะลูกเดียวก็แก้ได้"

เถรี
11-07-2016, 22:23
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนพยายามจะซื้อหนังสือให้อาตมาอยู่เรื่อย แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าอาตมาอ่านจบไปแล้ว

เสถียร จันทิมาธร เขียนหนังสือลักษณะคล้าย ๆ กับวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำวิทยานิพนธ์ มีการอ้างอิงหนังสือหลาย ๆ เล่ม ที่เป็นแหล่งข้อมูลต่าง ๆ กันไป

พอมีคนซื้อหนังสือให้อาตมาก็คอยมองด้วยความหวัง ว่าจะเป็นของที่ยังไม่ได้อ่านหรือเปล่า"

เถรี
13-07-2016, 20:14
ถาม : แม่เป็นเบาหวานครับ ?
ตอบ : บอกแม่ลองรักษาตามวิธีของอาจารย์บ๊ะ เอาน้ำผึ้ง ๑ ช้อนชา ชงน้ำอุณหภูมิปกติ กินก่อนนอน ๗ วันแค่นั้นเอง แล้วก็ไปเช็คเลือดดู แทนที่จะขึ้นกลับลด แปลกมากเลย เป็นวิธีรักษาเบาหวานที่อร่อยมาก

ถาม : ต้องเป็นน้ำผึ้งแท้หรือครับ ?
ตอบ : ก็ต้องน้ำผึ้งแท้นั่นแหละ

เถรี
13-07-2016, 20:59
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัณวิทย์ ชื่อแปลว่าอะไรวะ ? คนก็ตั้งไปเรื่อยเปื่อยเหมือนกันนะ วิทยะ แปลว่า ความรู้ ปัณ แปลว่าใบไม้ ปัณวิทย์ แปลว่า รู้จักใบไม้หรือ ?

สมัยนี้รู้สึกว่าเขาจะเอาแต่อักษรที่รวมกันแล้วได้ตัวเลขมงคล ไม่ได้สนใจว่าชื่อจะอ่านออกหรืออ่านไม่ออกอย่างไร กูตั้งอย่างเดียวเลย แบบคุณอะไรที่ไปปฏิบัติธรรม ชื่อยาวเหยียด ชื่อยาวสุด ๆ เลย ตั้งใจจะรวมให้ได้ตัวเลขมงคล เขาก็เลยตั้งไปเรื่อย ก็แปลกใจว่า แล้วทำไมพวกเจ้าหน้าที่ปัญญาอ่อนถึงยอมให้เปลี่ยนชื่อ ทีของเราตั้งชื่อไปมีคำแปลชัด ๆ ดันบอกว่าแปลไม่ได้"

เถรี
13-07-2016, 21:22
พระอาจารย์พูดถึงหนังสือเครื่องรางของขลังที่วางขายทั่วไป "เดี๋ยวนี้เขาใช้วิธีนี้ ก็คือออกหนังสือให้หน้าตาดูน่าเชื่อถือ แล้วก็เอาของของตัวเองยัดลงรูปไว้ เอาไปจำหน่าย ชั่วจริง ๆ อาตมาดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของแท้

หนังสือที่ดีมาก ๆ เลย ๒-๓ ฉบับก็คือ ศิลปวัฒนธรรม สารคดี ฯลฯ รู้สึกคนไม่ค่อยจะสนับสนุนกัน ก่อนหน้านี้ก็มีหนังสือดี ๆ ๒-๓ ฉบับ คนค้นฅนก็หายหมดแล้ว ออกได้ไม่กี่เล่ม นี่ขนาดออกเป็นรายเดือนยังออกไม่ค่อยจะไหวเลย

อีกเล่มหนึ่งถ้าหากว่าเล่นเครื่องรางของขลัง ก็ต้องโน่นเลย Spirit ไม่ใช่เครื่องรางของขลังอย่างเดียว ของเก่าก็ลง นาฬิกาก็ลง แต่ถ้าพระเครื่ององค์ไหนลงในหนังสือของเขา เขาประกันให้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าคุณบูชาไปในราคาที่เขาลงเอาไว้ แล้วไม่พอใจเขาคืนในราคาเดิม เพราะเขามั่นใจว่าของเขาแท้ เขาเรียกว่าพระพันตา ก็คือต่อให้ ๕๐๐ คนดู ก็ต้องยืนยันว่าแท้ ยกเว้นมีตาไม่ครบสองข้าง แล้วเท่าที่ดูก็ใช่ แต่อย่างเล่มเมื่อครู่ที่คุณอรสาเอามาให้ดู ตอนหลัง ๆ เละเป็นโจ๊กเลย ปลอมทั้งนั้น

เรื่องของพระเครื่อง อาตมาสรุปง่าย ๆ ว่าเหมือนกับต้นไม้ ถ้าเรารู้จักว่านี่คือต้นไม้ชนิดไหน ต่อให้ต้นใหญ่ ต้นเล็ก ต้นแก่ ต้นอ่อน อย่างไรเราก็รู้ว่าคือต้นอะไร เมื่อวันก่อนมีโยมถวายมีดเล่มหนึ่ง อาตมาก็บอกว่าฝักทำด้วยไม้ชิงชัน สมุห์กอล์ฟถามว่า “แล้วดูออกได้อย่างไร ?” ถ้าเรารู้จักไม้ก็ดูออก ก็คือไม้ประดู่นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ประดู่แดง เป็นประดู่ชิงชัน"

เถรี
13-07-2016, 22:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครอยู่ภาคใต้บ้าง ? น่าจะสักปลายกันยายนถึงเดือนตุลาคม น่าจะย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น อย่าไปอยู่ปักษ์ใต้ ของบางอย่างกฎของกรรมก็หนัก แบบเดียวกับโยมคนหนึ่ง ก่อนนั้นเขาซื้อกระสอบทรายกั้นรอบบ้านเลย แกถือว่ารั้วแกแข็งแรง ตอนช่วงน้ำท่วมปี ๕๔ แกก็กั้นแค่หน้าประตูบ้าน ปรากฏว่าน้ำมาหนักเข้า ๆ ดันกำแพงถล่มพรวดเดียว ชั้นล่างหายไปครึ่ง เก็บของไม่ทันสักชิ้นเดียว มัวแต่ใจเย็น บ้านอื่นเขาเก็บของขึ้นชั้นสองหมด บ้านนี้สบายใจ โฮมเธียเตอร์เอยอะไรเอย เละเทะหมด กลายเป็นเศษขยะเลย

ส่วนอีกบ้านหนึ่งนั้นน่าสงสารมาก กั้นหมด รั้วรอบขอบชิดแข็งแรง น้ำขึ้นมาทางท่อน้ำทิ้ง คนเราถ้าหากทำกรรมเอาไว้ ถึงเวลาก็โดนจนได้ ครอบครัวของท่านเจ้าคุณปิงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด บ้านอยู่ตรงไหนตรงนั้นไม่ท่วม แสดงว่าไม่ได้สร้างกรรมไว้เลย ที่ตลกที่สุดก็คือพี่สาวแต่งงานไปอยู่บ้านพี่เขย น้ำท่วมข้างละซีก แสดงว่าพี่เขยเฉลี่ยไปครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ได้แต่งกับพี่สาวท่าน สงสัยว่าจะโดนทั้งบ้าน

เรื่องกฎของกรรมนี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดว่า หลบไปอยู่ที่ไหนก็ไม่พ้น ไปอยู่กลางมหาสมุทร ไปอยู่บนภูเขา กลางอากาศ ไม่รอดทั้งนั้น

ขอบอกชัด ๆ ว่า ตอนนี้ที่เหตุร้าย ๆ ทุกอย่างยังชะลอ ๆ อยู่เพราะเขาเกรงใจในหลวง พอสิ้นในหลวงเมื่อไรได้รับเละกันแน่ ๆ คนอื่นเขาก็ไม่กล้าบอกชัดอย่างนี้"

เถรี
13-07-2016, 22:44
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "เหล็กที่เห็นไม่ใช่เหล็กน้ำพี้นะ เป็นน้ำพี้ปลอม แม้กระทั่งข้างบ่อ อ.ทองแสนขัน ยังปลอมเลย คนที่ไม่เข้าใจเห็นสีเหมือนปีกแมลงภู่ ก็คิดว่าน้ำพี้แน่นอน ไม่ได้สังเกตน้ำหนัก เหล็กน้ำพี้น้ำหนักจะเบา ที่เห็นเป็นเหล็กธรรมดาไปชุบแบบรมดำปืน จะเอาสีขนาดไหนชุบได้ทั้งนั้นแหละ

เดี๋ยวนี้เป็นยุคสมัยแห่งการหลอกลวง อะไร ๆ ก็ปลอมหมด แม้แต่ผู้หญิงยังปลอมเลย..!"

ชยาคมน์
14-07-2016, 17:12
ถาม : ตามที่พระอาจารย์ได้ให้ข้อมูลมา มีข้อมูลมานานมากหรือครับ ?
ตอบ : ถามว่านานมากไหม ? ถ้าการแต่งเรื่องคุณช้างขุนแผนก็ต้องบอกว่านานมากแล้ว อาตมาเองอ่านหนังสือมามาก ในเมื่ออ่านมามาก ในสิ่งต่าง ๆ ที่รู้ว่าโบราณเขาทำอย่างไรถูกต้อง ก็ตักเตือนกันไปเรื่อย แต่ส่วนหนึ่งก็ฟัง บางส่วนก็ปล่อยผ่านหูไปเฉย ๆ การที่โยมมาถามข้อมูลก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าเราเป็นสื่อมวลชน เราสามารถทำให้ข้อมูลแผ่ไปในวงกว้างได้ง่ายขึ้น

ถาม : ขอคำยืนยันว่าจริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : ถ้าหากว่าจริงหรือไม่จริง มีข้อมูลยืนยันอยู่แล้ว โยมลองไปค้นตามที่ว่ามา

ถาม : เรื่องนี้ควรเผยแพร่ต่อหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ก็แล้วแต่โยมเห็นว่าเหมาะสม อาตมาก็ยังคงว่าไปเรื่อยถ้ายังไม่หมดแรงเสียก่อน เพราะต้องการให้ทำให้ถูกต้อง เนื่องจากว่าทางวัดเป็นศูนย์วัฒนธรรมของอำเภอด้วย

ถาม : ที่พระอาจารย์ได้ข้อมูลมานี้ พระอาจารย์ได้ศึกษามาจากหนังสือหรือที่ไหนครับ ?
ตอบ : ทั้งจดจำมาจากที่ผู้หลักผู้ใหญ่เขาปฏิบัติตามมา ทั้งที่อ่านจากหนังสือและตำราต่าง ๆ สรุปลงได้ว่า ที่พูดมานั้นไปตามที่ตนเองรู้ว่าโบราณเขาถืออย่างไร

ฝากทีมงานพิจารณาด้วยครับ (หากเห็นชอบโปรดแนบข้อมูลนี้ประกอบในโพสต์ที่ ๖๑ ด้วยครับ)

ผมขออนุญาตนำเสนอเอกสารอ้างอิง เพื่อประกอบคำแนะนำของพระอาจารย์ที่เมตตาแนะนำเรื่องการแต่งกายไปงานศพครับ

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24833&stc=1&d=1468490336

อ้างอิงจากหนังสือ "ประเพณีเนื่องในการตาย" ของ "เสถียรโกเศศ" หน้า ๑๖๓
(หนังสือเล่มนี้น่าจะมีการเขียนไว้ไม่น้อยกว่า ๕๐ ปีครับ)

นามปากกา "เสถียรโกเศศ" เป็นของ "ศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน"
ประวัติของท่าน https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%98%E0%B8%99_(%E0%B8%A2%E0%B8%87_%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A8)

ท่านสามารถดาวน์โหลดหนังสือ "ประเพณีเนื่องในการตาย" ของ "เสถียรโกเศศ" ฉบับเต็มที่ได้
http://www.openbase.in.th/files/satienbook011.pdf

สำหรับเอกสารประเพณีไทยอื่น ๆ สามารถดาวน์โหลดได้ที่
http://www.sathirakoses-nagapradipa.org/index.php?option=com_content&view=category&layout=blog&id=1&Itemid=2&limitstart=40

เถรี
14-07-2016, 20:42
ถาม : การวางกำลังใจของคนใกล้ตาย....(ไม่ชัด)..... จิตต้องรวมเป็นสมาธิ กำลังบุญเก่าจะกลับมาหมด หรือมาอัตโนมัติเจ้าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจิตก็ไม่รวม ถ้าจิตไม่รวมกำลังบุญเก่าก็ไม่กลับมา ขนาดพวกอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ยังลงนรกมาเยอะแล้ว จึงต้องภาวนาให้เคยชินไว้ทุกวัน ถึงเวลาสภาพจิตจะได้วิ่งเข้าไปหาองค์ภาวนาเองโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวตอนสุดท้ายเขาก็จะรู้เองแหละว่าจะวางอย่างไรถึงจะไปได้

ถาม : จะต้องให้ศีล สมาธิ มากกว่านี้ หรือได้แค่อุปจารสมาธิก็ได้ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าถ้าได้ฌานก็แน่นอนกว่า ถ้าได้อุปจารสมาธินี่มีอะไรกวนหน่อยก็เสียหายแล้ว คนใกล้ตายส่วนใหญ่สภาวะจิตจะกลับไปสู่อุปจารสมาธิโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนั้นจะรู้เห็นคติคือที่ไปของตัวเอง ท่านที่ทำความดีเอาไว้จะเห็นพรหมเห็นเทวดามารับ หรือถ้าความดีสูงสุดก็เห็นพระท่านมารับ ถ้าหากว่าเห็นอย่างอื่นคติก็บิด ๆ เบี้ยว ๆ ไปตามที่เห็นนั่นแหละ

เถรี
14-07-2016, 21:01
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลของหลวงพ่อทบที่อาตมาอยากได้จริง ๆ และเคยเห็นครั้งเดียวในชีวิตก็คือตะกรุด ๑๖ ชั้น ม้วนหนาเป็นถ่านไฟฉายเลย เห็นคนที่มีเขาบอกว่า “อะไรที่มีในชีวิตท่านใส่ลงไปหมดเลย” ถามท่านวิสุทธิ์ ท่านก็บอกว่าผมเองก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าอาตมาซี้กับ นายก อบต.วังชมพู ประเภทของอะไรเก่า ๆ ที่คนแถวนั้นมีก็พอจะได้เห็นบ้าง

โดยเฉพาะพวกวังชมพูเล่น ๑๑ มม.กันทุกบ้าน ของไม่ดีจริงเขาไม่พกหรอก แล้วของหลวงพ่อทบนี่ลองได้ทุกชิ้น จนกระทั่งทุกวันนี้สังขารท่านก็ไม่เน่าไม่เปื่อย อยู่ให้กราบไหว้บูชา

หลวงพ่อทบทำตะกรุดไม่เหมือนสำนักไหน ไม่เหมือนตรงที่ว่าจารเสร็จจะส่งให้ลูกศิษย์เอาไปยิงก่อน ถ้ายิงออกก็ทิ้งไปเลย ถ้ายิงไม่ออกท่านค่อยเอามาเสกเพิ่มให้ ...(หัวเราะ)... ก็คือใช้ได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาปิดท้ายก็ได้ ท่านก็ทุ่มเททำให้จนกระทั่งตอนช่วงท้ายก็สายตาเสีย มองอะไรไม่เห็นเลย"

เถรี
14-07-2016, 21:03
"สมัยนั้นเขาเรียนวิชาถึงกันหมด แบบเดียวกับหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว เป็นลูกศิษย์หลวงปู่กลิ่น วัดหนองบัว หลวงปู่กลิ่นนี่เป็นอาจารย์ของทั้งหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ทั้งหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ทั้งหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ยิ้มถือว่าเป็นลูกศิษย์ลำดับท้าย ๆ ประเภทช่วงท้ายอายุหลวงปู่กลิ่นเลย

คนเขาก็สงสัยว่าอาวุโสหลวงปู่ยิ้มบางทีไม่ทันหลวงปู่เงิน ประเภทว่าทันเห็นกัน ทำไมท่านไปมาหาสู่กันขนาดนั้น ความจริงคือเรียนวิชาอาจารย์เดียวกัน มีวิชาอยู่วิชาหนึ่งของหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัวก็คือการถักหวายคาดเอว โยนลงทะเลแล้วตักน้ำจากวงหวายจะเป็นน้ำจืด ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านเรียนมาจากหลวงปู่พ่วง วัดลิงโจน หรือว่าหลวงปู่ทิม วัดบางลี่น้อย เพราะว่าสายแม่กลองกับสายเมืองกาญจน์นี่ถึงกัน แจวเรือไปหากันได้"

เถรี
14-07-2016, 21:07
"กรุงเทพฯ มีชื่อวัดลิงขบ แสดงว่าโดนลิงกัดไปเยอะ ที่เมื่อประมาณสักอาทิตย์สองอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวว่าต้นไม้ล้มแล้วลิงตายไป ๕๐-๖๐ ตัว อันนั้นไม่ใช่ว่าต้นไม้ทับลิงตาย เพราะว่าต้นไม้ล้มแล้วโอกาสที่ลิงจะตายนี่มีเกือบจะเป็นศูนย์ คาดว่าฟ้าผ่าต้นไม้ ลิงโดนไฟฟ้าตายก่อนแล้วต้นไม้ค่อยล้ม เพราะเป็นต้นไม้สูงใหญ่มาก เป็นต้นเดียวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย โด่เด่ล่อฟ้าอยู่เลย แล้วฟ้าผ่านี่ขนาดควายยังตายยกฝูงมาแล้ว ลิงตัวนิดเดียวจะไม่ตายยกฝูงได้อย่างไร

๕๐ กว่าตัวรอดไปแค่ ๖ ตัว คาดว่า ๖ ตัวนั้นวิ่งไปหลบที่อื่น ไม่ได้อยู่บนต้นนั้นด้วย ความจริง ๕๐ กว่าตัวนี่กินได้ทั้งหมู่บ้านเลยนะ ใครกินเนื้อลิงแล้วจะเสียนิสัย เพราะว่าอร่อย...!

สมัยที่ลุงปานยังไม่เกษียณแกยิงประจำ อาตมาไปอยู่ที่บึงลับแลจะมีลิงอยู่ ๒ ฝูง จะลงมาประจำเลย ฝูงใหญ่มีร่วม ๓๐ ตัว ส่วนฝูงเล็กก็ ๑๐ กว่าตัว หากินกันคนละขอบบึง แต่ก็เจอกันบ่อย พออาตมาอยู่จะมาล้อมเต็มไปหมด มีอะไรก็ต้องแบ่งให้กิน ที่แน่ ๆ คือกลางคืนหนาวมาก พอก่อไฟเขาก็มาอาศัย ตรงเวิ้งถ้ำที่ก่อไฟมีหินงอกหินย้อยอยู่ เขาก็อาศัยเกาะหินเพื่อเอาไออุ่น พอโดนควันก็ไอค็อกไอแค็ก น้ำตาไหลน้ำตาร่วง สงสารก็สงสาร

สังเกตได้ว่าลุงปานจะมาส่งอาหารตอนไหน เสียงลิงที่แซ่จะไปหายหมด ถ้าอยู่ ๆ มีตัวหนึ่งร้องเสียงดังขึ้นมาพักเดียวหายหมดฝูงเลย แล้วก็นับไปเถอะ อีกประมาณชั่วโมงหนึ่งลุงปานจะมา แสดงว่าลิงตัวที่เป็นยามอยู่บนยอดเขา เห็นตั้งแต่แกออกจากบ้าน แล้วลุงปานก็อยู่โน่น บ้านอยู่ห่างไปตั้งหลายกิโลเมตร แต่ลิงเขาเห็น"

เถรี
14-07-2016, 21:15
ถาม : ทำไมต้องให้ยามไปเฝ้าดูลุงด้วยคะ ?
ตอบ : ก็แกยิงไปกินบ่อยจนกระทั่งลิงจำได้ว่าไอ้นี่แหละ ก็วางเวรเฝ้าเลย พอร้องทีหายหมด ถ้าอยู่ ๆ เสียงลิงเงียบหมดก็นับเวลาได้เลย ประมาณชั่วโมงหนึ่งลุงปานจะเอาอาหารมาส่ง

ถาม : แกยิงลิงทำไมคะ ?
ตอบ : กิน...แสดงว่าคนถามไม่เคยกินลิงผัดเผ็ด พวกลิงพวกค่างนี่ถ้าคนจะกินต้องใจแข็ง ๆ หน่อย เพราะเวลาที่เขาจับลอกหนังแล้วเหมือนเด็กถอดเสื้อ ...(หัวเราะ)...

ถาม : ลุงปานทำลิงผัดเผ็ดมาถวายหรือคะ ?
ตอบ : ไม่หรอก แกคนเดียวก็ไม่พอกินแล้ว ส่วนใหญ่ที่มาแกแบกข้าวสารมาให้ เพราะแกรู้ว่ากับข้าวมีแล้ว เป็นพวกปลากระป๋อง แกมาแล้วได้หวยนี่จึง ขยันฉิบหา...เลย ยิ่งใกล้ ๆ วันที่ ๓๐ หรือวันที่ ๑๕ นี่เป็นตายก็ต้องมาให้ได้ แกศรัทธามากขนาดแบกฟูกกับที่นอนเข้ามาให้ บอกไปว่า “ลุงปาน พระมาธุดงค์จะให้สบายขนาดนั้นเชียวหรือ ?” แกก็เลยแบกกลับไป เห็นอยู่ในป่าอากาศหนาว กลัวพระจะลำบากอุตส่าห์แบกฟูกกับที่นอนมาให้ แต่แกได้หวยไปก็คุ้ม คือนางไม้ตรงนั้นขยัน ถึงเวลาก็จะบอกก่อนว่างวดนี้ให้กี่ตัว บางทีจำกัดว่าเล่นได้เท่าไร บางทีก็ไม่จำกัด ที่ไม่จำกัดส่วนใหญ่กลับไปกลับมาแล้วให้มาตั้ง ๓ ตัว แกต้องแทงมั่วของแกไปเรื่อยเดี๋ยวก็ถูกเอง

เถรี
14-07-2016, 21:26
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาเรียนวิชาโดยการแลกกันไปแลกกันมา อย่างวิชาธงกันไฟไหม้ กันฟ้าผ่า ที่หลวงปู่ปานท่านถ่ายทอดมานั้นก็เป็นวิชาสายแม่กลอง มาจากหลวงปู่ทิม วัดบางลี่น้อย ของเราสมัยนี้ไม่ค่อยจะมีเรื่องฟ้าผ่าแล้ว ส่วนใหญ่มีสายล่อฟ้า อาตมาเรียน ๆ ไว้ก็ไม่เคยทำสักที อุตส่าห์เขียนจนสวยเลย

ตอนช่วงหัดเขียนจะแกะอักขระเอาไว้บานเลย ยันต์ที่หลวงปู่ปานท่านลงไว้อีกด้านหนึ่งของยันต์เกราะเพชร เอาไว้กันไฟไหม้ กันฟ้าผ่าโดยเฉพาะ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะเอาไว้กันไฟไหม้

อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นอย่างไร พอเห็นยันต์ก็รู้เลยว่าต้องเขียนอย่างไร ทำอย่างไร เวลาเขียนพวกอักขระยันต์ต่าง ๆ ที่เขียนยาก ๆ มีคนเคยถามว่าแก้หลายทีไหม ? “อาตมาเขียนยันต์ไม่เคยแก้ว่ะ” เขากลัวเขียนผิด พวกเขียนผิดแสดงว่าสมาธิไม่ดี

เดี๋ยวจะทำแบบนี้สักอันหนึ่ง ตัวนี้เป็นยันต์ตะกรุดคู่ชีวิต มาจากสายหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง หลวงพ่อเตียง วัดเขารูปช้าง แล้วก็มาถึงหลวงพ่อทบ วัดชนแดน พูดง่าย ๆ ก็คือดอกเดียวประกันชีวิตให้ ...(หัวเราะ)... แต่ว่ายันต์อันนี้หลวงปู่ปานท่านได้มาจากหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง เอาไว้มีอารมณ์แล้วอาตมาจะทำให้ เพราะเครื่องรางของขลังทำยาก ต้องเสกจนเป็นพระ รูปพระนี่อย่างไรก็เสกง่ายเพราะอย่างไรก็เป็นพระอยู่แล้ว"

เถรี
14-07-2016, 21:37
ถาม : ต้องเข้าฌาน ๔ เขียน ?
ตอบ : ก็เต็มที่ที่เราทำได้ อย่างหลวงปู่ปานท่านก็ปิดโบสถ์ ๑๕ วันทำไปเรื่อย มีน้ำบาตรเดียว พูดง่าย ๆ ก็คือของหลวงปู่ปานท่านบังคับเข้านิโรธสมาบัติเลย คนก็ว่าหลวงปู่ปิดโบสถ์เขียนอักขระลบผงไปเรื่อย ๑๕ วันฉันน้ำบาตรเดียวอยู่ได้อย่างไร เห็นท่านออกมาก็ผ่องใสดี ความจริงอาตมาขอเรียนวิชานี้จากหลวงพ่อวัดท่าซุงแล้ว ท่านบอกว่าเป็นวิชาเฉพาะตัว ก็คือเทวดาท่านมาสงเคราะห์หลวงปู่ปานเอง หลวงปู่เอาผ้าเช็ดหน้ามาเสกโยนไปก็กลายเป็นครุฑ กางปีกมามีอักขระอยู่ก็ลอกมาทำผง เสกผ้าโยนไปเป็นหนุมาน แบมือมามีอักขระก็ลอกมาทำผง

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ข้าเสกโยนไปทีไรก็เป็นผ้าทุกที เพราะฉะนั้น...แกอย่าเรียนเลย" ...(หัวเราะ)... อาตมาคิดว่าขนาดครูบาอาจารย์ยังเสกโยนไปเป็นผ้า แล้วตูจะเป็นอะไรวะ ? เลยไม่เรียนก็ไม่เรียน เป็นวิชาเฉพาะตัว เทวดาท่านสงเคราะห์เฉพาะคน เสกเป็นนกกระจาบ เป็นไก่ เป็นเม่น เป็นปลา แต่ละอย่างจะมีอุปเท่ห์ก็คือวิธีการใช้ที่แตกต่างกันไป

แต่ว่าพอหลวงปู่ปานลบผงแล้ว ท่านเอามารวมกันหมด จึงมีอานุภาพเหมือนกันหมด ถ้าหาพระหลวงปู่ปานไม่ได้ระยะหลังนี้ก็โน่น ลูกอมนี่แหละ เพราะว่าตอนที่เอาผงวิเศษอุดก็เหมือนสมัยพวกอาตมาอุดผงคำข้าวนี่แหละ พออุดไปอุดมาแล้วที่ติดกาวติดอยู่กับมือ ปั้นไปปั้นมาก็เป็นลูกอม เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาความขลังนี่ลูกอมน่าจะขลังกว่า ...(หัวเราะ)... เพราะเป็นผงวิเศษล้วน ๆ

อาตมาเคยเห็นของเสี่ยเล็ก ชินวัตร มีติดตัวอยู่องค์หนึ่งเมื่อประมาณปี ๒๕๓๕-๒๕๓๖ แกบูชามาสองแสนบาท เป็นพระพิมพ์ขี่หนุมานนี่แหละ แต่ว่าเป็นเนื้อผงล้วน ๆ เลย ไม่รู้ว่าใครแอบปั๊มออกมา คือดูพิมพ์อะไรก็ใช่หมด แต่เป็นเนื้อผงล้วน ๆ เนื้อขาวเหลืองเลย แล้วสมัยโน้นองค์หนึ่งราคาสี่ห้าหมื่นเท่านั้น แกกล้าบูชามาสองแสนบาท แต่ก็ถือว่าคุ้มเหมือนกัน เพราะน่าจะประมาณมีองค์เดียวในโลก เหมือนอย่างกับอาตมาที่ทำพระวิสุทธิเทพ ถึงเวลาได้เกศาหลวงพ่อมา คนอื่นครกหนึ่งก็ใส่หยิบมือหนึ่ง ของอาตมาองค์หนึ่งใส่หยิบมือหนึ่ง ก็ทำเองนี่ เจ้านั้นก็คงเหมือนกัน อยากได้ผงวิเศษล้วน ๆ เล่นปั๊มออกมาเลย

เถรี
14-07-2016, 21:38
พระอาจารย์กล่าวถึงตำราบูรพาจารย์ว่า "วันก่อนมีทิดสึกใหม่จากวัดท่าขนุน เขาถ่ายเอกสารตำราจากวัดไป แล้วค่อยมาขออนุญาต อาตมาก็เลยด่าไปว่า "ไอ้นี่เขาไม่เรียกขออนุญาต เขาเรียกว่าแจ้งเพื่อทราบ" ถ้าขออนุญาตต้องมาบอกก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงไปทำ นี่ทำเสร็จแล้วมาบอก"

เถรี
15-07-2016, 22:15
ถาม : ความชัดเจนของทิพจักขุญาณของพระปัจเจกพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ปกติไม่เท่าเทียมกัน คำว่าพระอรหันต์ปกติ หมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : พระอรหันตสาวกทั่วไป ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระอัครสาวกจะสว่างคล้ายกัน

ถาม : แล้วอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : ท่านสอนพวกเราว่าให้ขอบารมีพระท่านทุกครั้ง อยากรู้ชัด ๆ ก็ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ เสียบปลั๊กจากเครื่องปั่นไฟก็หมดเรื่อง จะไปเสียเวลาคิดอีกว่าท่านเป็นใคร จ้างให้ก็ไม่ใช้กำลังตัวเองหรอก

เถรี
15-07-2016, 22:37
ถาม : เจ้าที่มาให้เห็นแต่งตัวเป็นเทวดาแบบพุทธ ไม่ใช่แบบอิสลาม ?
ตอบ : ปกติ...ถ้าไม่ใช่ท่านมาให้เห็นชัดว่าเป็นอิสลามละก็เหมือนกันหมด ไม่ต้องกังวล เพราะเขตอิสลามอาตมาเจอเทวดาพุทธมาเยอะแล้ว เพราะอิสลามไม่ค่อยจะได้เป็นเทวดาหรอก

ถาม : บูชาท่านอย่างไรคะ ?
ตอบ : บูชาท่านตามปกติ ส่วนใหญ่พวกเราจะกังวลว่าพออยู่ในเขตอิสลามแล้วเจ้าที่จะเป็นอิสลามไปด้วย ที่อาตมาไปปากีสถานมาเห็นแล้วบางทีก็สงสาร อุทิศส่วนกุศลให้แล้ว บรรดาท่านทั้งหลายที่พอจะรับได้ก็ไม่กล้าเข้ามา อยู่ไกลลิบเลย เขาไม่เข้าใจว่าอยู่ ๆ ที่สว่างโร่นี่คืออะไร ? เป็นอันตรายหรือเปล่า ? เขาเลยไม่กล้าเข้ามา

ถาม : แล้วทำไมเขาไม่รู้ครับ ?
ตอบ : ก็เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความจริงตายแล้วฉลาดทั้งนั้นแหละ แต่คราวนี้เขาระแวง อยู่ ๆ สว่างขนาดนั้นคืออะไรก็เลยไม่กล้าเข้ามา ลองคิดว่าถ้าเป็นเราเห็นอยู่ ๆ สว่างโร่จนมองไม่ค่อยรู้เรื่อง จะกล้าเข้ามาไหม ?

ถาม : อิสลามที่เห็นไม่ได้เป็นเทวดาหรือครับ ?
ตอบ : เป็นเหมือนกัน แต่ต้องบอกว่าบุญเขาน้อยมาก เป็นเทวดาขั้นต่ำ ส่วนใหญ่ที่เจอก็คือสัมภเวสี เพราะว่าพวกนี้ตายก่อนหมดอายุ ถ้าตายตามอายุขัยส่วนใหญ่ก็ลงยาว เพราะว่าศาสนาของเขาสอนให้ฆ่าเป็นปกติ จะกินได้เฉพาะสิ่งที่ตัวเองฆ่าเท่านั้น

เถรี
15-07-2016, 22:40
ถาม : ที่บอกว่าสัมภเวสี ตายก่อนหมดอายุนี่คืออย่างไรครับ ?
ตอบ : สมมุติว่าเราอายุ ๗๐ ปีแล้วเราตายก่อน ก็เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปจนกว่าจะครบ ๗๐ ปีมนุษย์

ถาม : ที่พระอาจารย์เคยบอกว่าเทวดานางฟ้าบางชั้นยังต้องมีการไปซื้อหาของกิน มีการค้าขาย ประเภทนี้ตายก่อนหมดอายุขัยหรือเปล่า ?
ตอบ : หมดอายุขัยแล้ว แต่ยังโง่ไปหน่อย คิดว่าตัวเองยังต้องกินต้องใช้ก็เลยไป จนกว่าจะรู้สึกว่า เอ๊ะ...เราเป็นเทวดานางฟ้าอิ่มทิพย์นี่นา ไม่จำเป็นจะต้องมายุ่งตรงนี้ก็ได้ ก็กลับไปวิมานตัวเอง พอเถอะ...อะไรที่นอกเหตุเหนือผลคุยไปก็เท่านั้นแหละ ไปดูเองถึงจะหมดเรื่อง

เถรี
15-07-2016, 22:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นเด็กสมัยนี้แล้วนึกถึงมโหสถบัณทิต พ่อมโหสถเป็นมหาเศรษฐี เป็นโรคปวดหัวรักษาไม่ได้อยู่หลายปี พอคลอดมโหสถบัณฑิตออกมาลูกถือแท่งยามาด้วย แล้วยานั้นแหละใช้รักษาโรคของพ่อได้ ที่บอกว่าคิดถึงตรงนี้เพราะอะไรรู้ไหม ? เด็กสมัยนี้ถ้าออกมาคงถือไอโฟนมาด้วย เพราะเป็นยุคของเขา

พักเดียวเขาเล่นของพวกนี้ได้แล้ว เขาไม่รู้สึกว่ายาก แต่พวกเราไปคิดว่ายาก แสดงว่าผู้ใหญ่เราติดอุปาทาน ในเมื่อติดอุปาทานไปคิดว่ายากก็เลยเล่นไม่ได้ ฝรั่งเขาลองทำวิจัย ลองเอาไอแพ็ดไปทิ้งไว้หมู่บ้านแถวแอฟริกา ประเภทที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกเลย ไปทิ้งเอาไว้เดือนหนึ่งเล่นเป็นทุกคนเลย เปิดเองได้แล้วก็จิ้มไปเรื่อย ท้ายสุดก็เล่นเองได้"

เถรี
15-07-2016, 23:01
ถาม : เวลาไปงานศพแล้วจะมีอาการปวดหัว ไม่สบาย ?
ตอบ : เรื่องปกติ ที่โบราณเขาเรียกว่าชง ให้สังเกตว่าที่งานศพเขาจะมีขันน้ำมนต์อยู่ ให้ตักมาล้างหน้าก่อนเข้าบ้าน ถ้าเป็นงานศพคนจีนก็จะเป็นขันใส่ใบทับทิม ของไทยก็ขันที่หยดเทียนนั่นแหละ เขามีวิธีแก้อยู่

เถรี
15-07-2016, 23:03
พระอาจารย์กล่าวว่า “ดูชื่อโยมที่บริจาคทองคำร่วมหล่อพระ มีชื่อหิรัญชัย อาตมาได้ยินเป็นครั้งที่ ๒ หิรัญชัยคนแรกเป็นลูกศิษย์ที่เรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ส่วนรายนี้ก็ยังมาคิดว่าคำนี้ควรจะแปลว่าอะไร หิรัญแปลว่าเงิน ชัยก็คือชนะ จะแปลว่าชนะเงินหรือ ?

ในวรรณคดีเขามียักษ์หิรัญ ยักษ์ตัวนี้ชื่อเงิน มีนิสัยเกเรมาก ขอพรพระอิศวรได้ก็ไปม้วนแผ่นดินหนีบเอาไว้ใต้แขน สัตว์และมนุษย์ลำบากไปหมด พระนารายณ์ก็เลยต้องไปปราบ พระนารายณ์ไปทำอย่างไร ? ก็ปลอมเป็นพราหมณ์ไป อยากให้ยักษ์ได้บุญก็เลยขอพื้นที่สำหรับการบำเพ็ญภาวนา ยักษ์ก็คิดว่าแค่นี้สบาย โลกทั้งโลกอยู่ใต้แขน ตัวเองหนีบเอาไว้นี่ ม้วนเป็นขนมทองม้วนเลย

พราหมณ์บอกว่าขอไม่มากหรอก ขอแค่ ๓ ก้าวเท่านั้น ยักษ์เขาก็เต็มใจคลี่แผ่นดินลงให้ พระนารายณ์เดิน ๓ ก้าว หมดโลกพอดีเลย คนสมัยก่อนเขามีสัจจะ ในเมื่อถือสัจจะรับปากว่าจะให้ แม้จะโดนหลอกก็ต้องให้ ก็เท่ากับคืนพื้นโลกให้กับมนุษย์และสัตว์ต่อไป"

เถรี
15-07-2016, 23:05
"ทางด้านมวยไทยของเราก็มีท่านี้ เรียกว่า ย่างสามขุม คลุมแดนยักษ์ จะเห็นว่าเขาเดินอยู่แค่ ๓ มุมแต่ไม่มีที่สิ้นสุด กลับหัวกลับหางพลิกซ้ายพลิกขวาไปเรื่อย ถ้าหากคนไหนฝึกย่างสามขุมได้เก่ง ๆ คู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ได้หรอก จะเป็นจังหวะก้าวอัตโนมัติ ที่บางทีเขาใช้คำว่า หลบฉาก ความจริงไม่ใช่ฉากหรอก แต่เป็นสามเหลี่ยม กลับซ้ายกลับขวา พลิกบนพลิกล่าง สามเหลี่ยมจะหกคะเมนตีลังกาไปเรื่อย แต่จะอยู่ในสามเหลี่ยม ก็คือไม่เสียหลักด้วย

เพราะฉะนั้นคำว่า หิรัญชัย ในที่นี้น่าจะหมายถึงผู้ชนะยักษ์หิรัญ ซึ่งหมายถึงพระนารายณ์ อย่าไปแปลตรง ๆ ตามศัพท์ แปลตรงตามศัพท์บาลีเขาว่าแปลโดยพยัญชนะ ว่าตามตัวอักษรทุกตัวมักจะไม่ได้ความ ฉะนั้นต้องแปลโดยอรรถ ก็คือเนื้อความหรือความหมาย หิรัญชัยตัวนี้แปลว่าชนะซึ่งยักษ์หิรัญ ไม่ได้แปลว่าชนะเงิน ความจริงชนะเงินก็ดีนะ มาเท่าไหร่ก็ใช้ให้หมด..!”

เถรี
17-07-2016, 21:42
ถาม : คนที่อยู่ไกลต่างประเทศ ห่างไกลครูบาอาจารย์ เวลาติดขัดในการปฏิบัติไม่รู้จะถามใคร ควรทำเช่นไรครับ ?
ตอบ : ปฏิบัติต่อไปเดี๋ยวก็ได้คำตอบเอง

เถรี
17-07-2016, 21:47
ถาม : เวลาทำสมาธิบ่อยครั้งสังเกตว่า ถ้าวางใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่แบ่งแยกว่าเราคือเรา โดยไม่ได้จับลมตั้งแต่แรก จะสามารถจับลมได้เบาละเอียดกว่า จิตเบาสบาย เข้าสมาธิได้ดีกว่า อย่างนี้จะดีกว่าหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ควรจะเริ่มที่ลมหายใจก่อน แล้วค่อยไปคิดพิจารณา จากนั้นถึงจะกลับมาหาลมหายใจอีกที

เถรี
17-07-2016, 22:10
ถาม : ตอนแรกเขาไม่อยากมีครอบครัว อยากมีเวลาในการปฏิบัติ และก็อยากช่วยงานครูบาอาจารย์สร้างบารมี แต่ปรากฏว่าต้องไปอยู่ต่างประเทศ มีภาระ มีครอบครัว ต้องดูแลสามีและคนรอบข้าง พอกลับมาเมืองไทยตั้งใจจะกราบครูบาอาจารย์ แต่ยังไม่สามารถจะทำได้เลย จะต้องให้เวลากับครอบครัวที่เมืองไทย ?
ตอบ : บอกเขาว่าเลิกสงสารตัวเอง มีหน้าที่อะไรก็ทำให้ดี

ถาม : จะบวชถือศีล ๗ วันแต่ก็ไม่มีใครดูแลลูก ๆ ได้แต่อธิษฐานรอไปก่อน อย่างนี้เรียกว่าเป็นกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ต้องโทษตัวเองที่กำลังใจไม่แข็งพอ

เถรี
17-07-2016, 22:57
ถาม : เวลาเรานั่งสมาธิในแดนสัปปายะ เราไม่มีลมหายใจ เราจะนั่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : คุณใช้คำว่าแดนสัปปายะนี่เอามาจากใคร ?

ถาม : เป็นคำที่คิดเองครับ ?
ตอบ : ไปเปลี่ยนใหม่ อย่าบัญญัติศัพท์ขึ้นมาแล้วทำให้คนอื่นเขาสับสนไปด้วย

ถาม : ถ้าเรานั่งสมาธิในพระนิพพาน ถ้าไม่มีลมหายใจแล้วเราจะนั่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : กำลังใจเกาะอยู่กับพระนิพพาน ลมหายใจจะมีหรือไม่มีก็ช่างหัวมัน

เถรี
17-07-2016, 22:59
ถาม : เขาบอกว่าที่เทวดาเขารบกันจริง ๆ แล้ว ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ยังไม่สามารถที่จะชี้ขาดได้ว่าถ้าตบะแตกแล้วจะเอาหรือเปล่า อย่าลืมว่าเทวดาก็ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงเหมือนกับเรา

เถรี
17-07-2016, 23:01
ถาม : เรื่องของรูปผมพอจะพิจารณาว่าไม่เที่ยงได้ แต่เรื่องกลิ่นนี้จะพิจารณาอย่างไรครับ ?
ตอบ : เราสามารถที่จะได้กลิ่นตลอดไปไหม ? ถ้าไม่ได้ก็ไม่เที่ยง ถึงเวลาอยากให้มาก็ไม่มา ถึงเวลาไม่อยากให้มากลับมา ถึงเวลาอยากได้หอมกลับเหม็น ถึงเวลากลิ่นเหม็นมาแทนที่จะหอมเราก็ทุกข์ แล้วท้ายที่สุดตัวเราเองก็จะชิงตายจากไปเสียก่อน

เถรี
17-07-2016, 23:02
ถาม : ที่เขาบอกว่า คำว่าบังเอิญไม่มี ?
ตอบ : ทุกอย่างต้องมีปัจจัยจึงจะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้น...คำว่าบังเอิญไม่มีในโลกนี้

เถรี
17-07-2016, 23:05
ถาม : ตอนที่พระอาจารย์ตัดต้นไม้แล้วมีมด พระอาจารย์วางกำลังใจอย่างไรที่ไม่กลัวมดจะกัดเรา พระอาจารย์ทรงฌานอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้

เถรี
17-07-2016, 23:08
ถาม : เพื่อนไปวัดแล้วเอาข้าวของของวัดกลับมา แล้วไปเตือนเขา ?
ตอบ : ทำไมต้องไปช่วยเขาแก้ด้วย ไปช่วยเขาทั้ง ๆ ที่เขาไม่รู้อะไรเลย จะกลายเป็นซ้ำเติมเขาหนักยิ่งขึ้น คนที่เขาไม่ยอมรับเขาจะด่าเรากลับมา กลายเป็นสร้างกรรมหนักยิ่งขึ้น เรื่องของทางโลกกับทางธรรมเราต้องรู้ว่าเวลาไหนควรที่จะพูด เวลาไหนควรที่จะวางเฉย คนเขาเอาของสงฆ์กันเป็นปกติ แล้วเราไปห้ามเขา เดี๋ยวเราเองจะโดนเสียเอง

เถรี
17-07-2016, 23:09
ถาม : ขอกราบนิมนต์พระอาจารย์เป็นประธานงานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : ไม่มีอารมณ์ จะทำอะไรอาตมารอพระสั่ง ถ้าพระท่านไม่ได้สั่ง คุณไม่ต้องเสียเวลามานิมนต์...!

เถรี
18-07-2016, 21:43
ถาม : (อุทิศส่วนกุศลให้ท่านที่ไม่เห็นตัว)
ตอบ : แค่นึกถึงก็พอ เห็นคนไหนก็นึกถึงเจ้าของภาพนั้น ถ้าได้ยินแต่เสียงก็นึกถึงเจ้าของเสียงนั้น ถ้าได้แต่กลิ่นก็นึกถึงเจ้าของกลิ่นนั้น

เถรี
18-07-2016, 21:46
ถาม : รู้สึกว่าจิตดับ ?
ตอบ : ใช้ให้ถูก ไม่ใช่จิตดับ แต่เป็นเพราะสติขาดแล้วเรารับรู้อะไรไม่ได้ เหมือนอย่างกับหลับไปเฉย ๆ

ถาม : รู้สึกว่ามีแรงดึงไปครับ ?
ตอบ : เขาดึงก็ตามเขาไปสิ ตั้งใจว่าพระอยู่ที่ไหนเราจะไปที่นั่น เขาอุตส่าห์ช่วยดึงแล้ว รีบตะกายไปเลย...ไม่ต้องเกรงใจ อาตมาเองตอนแรกก็โง่ เห็นแสงสว่างอยู่ลิบ ๆ มาดูดตัวไป ยังดื้อไม่ยอมไป ตอนนั้นยังไม่รู้ ไปขอให้ครูบาอาจารย์ช่วย ถึงเวลาท่านช่วยเราก็ดันสู้ยื้อเอาไว้อีก

ถาม : ให้ไปเลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งใจไปเลย ตั้งใจว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไปกราบพระที่นั่น

เถรี
18-07-2016, 21:49
ครูบาอาจารย์ก่อนจะรู้เรื่องก็ผิดมาแล้วเหมือนกันทั้งนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเจริญกรรมฐานแล้วเห็นโครงกระดูกลอยมาทีละชิ้น ๆ ตั้งแต่หัวกะโหลกไล่มาจนกระทั่งถึงกระดูกปลายนิ้วเท้า ท่านก็ปล่อยเลยไป เห็นลอยมาอีกก็ปล่อยเลยไป เพราะไปจำที่หลวงปู่ปานสอนว่า ถ้านิมิตเกิดขึ้นอย่าไปสนใจ

แต่ปรากฏว่าอันนี้เป็นนิมิตในกองกรรมฐาน ท่านเคยทำอสุภกรรมฐานในอดีตมาก่อน ถึงเวลากำลังใจรวมตัวของเก่าก็มา ท่านก็ปล่อยให้เลยไปเรื่อย จนกระทั่งหลวงปู่ปานท่านเห็นว่า ดูท่าจะฉลาดแค่นั้น ท่านก็เลยเตือน ถามว่า "เป็นอย่างไรคุณ ? ผีหลอกหรืออย่างไร ?" หลวงพ่อท่านเลยเล่าให้ฟัง "ในเมื่อหลวงพ่อสั่งผมให้ไม่สนใจ ผมก็ไม่สนใจ" ทำตามคำสอนเป๊ะเลย...แต่ผิด นิมิตบางอย่างให้เราละ นิมิตบางอย่างถ้าเรารู้แล้วยึด จะง่ายกว่าเพราะไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่

อาตมาก็ผิดมาแล้ว ประเภทเขาดึง ก็ไปรั้งเอาไว้ไม่ยอมไป ถ้าหากว่าแรงดึงมากจริง ๆ แล้วไปรั้งไว้ก็เหมือนประเภทชักกระตุก ดิ้นตึงตังโครมคราม

เถรี
18-07-2016, 21:57
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันงานทำบุญถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาบอกว่าเป็นงานฉลองพระอุปัชฌาย์ แต่จริง ๆ ทำถวายครูบาอาจารย์ อาตมาก็ถวายเงินร่วมสร้างหลวงพ่ออู่ทองที่พุทธมณฑลสุพรรณบุรี ไป ๑ ล้านบาท หลวงพ่อพระเทพสุวรรณโมลีสนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน ถ้าหากว่านิมนต์ท่านเมื่อไร วัดท่าขนุนไกลแค่ไหนท่านก็ไป

ยังขำ ๆ ตอนที่นิมนต์ท่านมางานฉลองสัญญาบัตรพระครูวิลาศกาญจนธรรม เพื่อนกันก็คือพระครูปลัดชลอ ซึ่งปัจจุบันก็คือพระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์ ท่านอาสาเอาฎีกาไปถวาย อาตมาก็มักง่าย ปกติพระผู้ใหญ่เราควรจะไปถวายฎีกาด้วยตัวเอง คราวนี้เพื่อนอาสาก็ยกให้ไป ท่านก็โทรมา "เฮ้ย...ไอ้พระครูวิลาศฯ มึงเป็นใครวะ ?" ก็กราบเรียนว่า "พระครูเล็กวัดท่าขนุนเองครับ" "อ้อ...มึงเองหรือ ? ชื่อใหม่กูก็ไม่รู้เรื่องเลย ไอ้ลอมาถึงก็ไม่บอกว่าเป็นใคร" ต้องบอกว่าเป็นความเมตตาของท่าน ปกติถ้าไม่รู้จักดีท่านก็วางเลย ท่านเห็นเบอร์โทรข้างใน ยังดีที่โทรมาถาม

เงินล้านหนึ่งออกปากถวายท่านตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ช่วงที่สอบพระอุปัชฌาย์ แล้วท่านไปเป็นวิทยากรบรรยาย กราบเรียนท่านว่า "ผมตั้งใจถวายช่วยหลวงพ่อสร้างพระใหญ่ ๑ ล้านบาท แต่มีข้อแม้คือ ถ้าผมสอบพระอุปัชฌาย์ได้ จัดงานฉลอง วันงานจะถวายหลวงพ่อ ถ้าผมสอบพระอุปัชฌาย์ตก หลวงพ่อก็อด..!" มีการข่มขู่พระผู้ใหญ่ด้วย"

เถรี
18-07-2016, 22:03
"ตอนนี้ท่านกำลังสร้างองค์นั่งแสดงพระธรรมเทศนา ก็คือ ปางโปรดพุทธมารดา เป็นพระที่แกะสลักบนหน้าผา เฉพาะเกตุมาลาอย่างเดียวหนักเป็นตัน พอถวายปัจจัยท่านเสร็จแล้ว ท่านก็บอกว่าให้หาพวกแก้วแหวนเงินทองไว้ให้หน่อย ถึงเวลาวันบรรจุจะได้ช่วยกันบรรจุ ทำแบบโบราณ พอบรรจุพระบรมสารีริกธาตุก็ใส่แก้วแหวนเงินทองลงไปด้วย

ตอนนี้ท่านกำลังให้ช่างเจาะถ้ำอยู่ ในพุทธประวัติมีบรรดาถ้ำที่ใช้งานจริง หลายแห่งที่มีชื่อเสียง อย่างเช่น ถ้ำสัตตบรรณคูหาที่เป็นที่สังคายนาพระธรรมวินัยครั้งแรก ไหน ๆ ท่านก็สร้างพระใหญ่แล้ว ก็เจาะภูเขาทำเป็นห้องโถงประชุมไปด้วย

ท่านยืนยันว่า "ถ้ายังไม่ถึง ๑๐๘ ปี ข้ายังไม่ตายหรอก" แล้วท่านก็ยกตัวอย่าง มโนสัญเจตนา ความมุ่งมั่นของใจ ถ้าหากว่ากำลังใจถึงก็อยู่ได้ ท่านบอกว่าตั้งใจสร้างพระใหญ่ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าพระไม่เสร็จท่านไม่ตายหรอก ถ้าหากว่าเสร็จ ท่านก็จะหางานอื่นทำต่อไป เจอคนแก่ไม่กลัวตายยังไม่พอ ไม่กลัวที่จะอยู่นานอีกด้วย"

เถรี
18-07-2016, 22:36
ถาม : ตอนนี้ผมได้ยินเสียงแว่วมาปีหนึ่งแล้ว เสียงแว่วบอกว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นอมนุษย์ และทำให้ผมจิตตกอยู่เรื่อย ๆ ผมไม่รู้จะทำอย่างไรกับเสียงแว่วนี้ ?
ตอบ : เคยนั่งสมาธิภาวนาบ่อยไหม ?

ถาม : ไม่เคย
ตอบ : ไปทำเสีย วิธีที่จะหนีจากเจ้ากรรมนายเวร ต้องสร้างกุศลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กุศลที่เราจะสร้างได้มากที่สุดและง่ายที่สุดก็คือทำสมาธิ

ถาม : และถ้าเขาพูดกรอกหู ?
ตอบ : เขาจะว่าอะไรก็เรื่องของเขา เรามีหน้าที่ภาวนา โดยเฉพาะถ้ากำลังของเราสูงกว่า เขาก็กวนเราไม่ได้เอง

เถรี
18-07-2016, 22:56
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา หลวงพ่อพระครูบวรพัฒนกิจ วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุง ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอท่าม่วง มรณภาพ เรื่องของพระครูบวรพัฒนกิจนี่เป็นกรณีศึกษาของบุคคลที่เกษียณอายุราชการ ไม่มีงานทำ แล้วเฉา

ก่อนนี้ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอ งานทุกอย่างประดังลงตรงที่ท่าน มีแต่คนวิ่งไปมาหาสู่อยู่ทุกวัน พอท่านเกษียณอายุแล้ว พวกที่เคยไปก็ไม่ไปอีก พวกที่เคยนิมนต์ก็ไม่นิมนต์อีก ก็มีแต่วัดท่าขนุนที่ยังนิมนต์ท่านสม่ำเสมอ เลยกลายเป็นว่าปีหนึ่งท่านมีโอกาสไปข้างนอกไม่กี่ครั้ง ก่อนหน้านั้นเคยวิ่งงานทั้งปี ท่านก็เลยอยู่เหงา ๆ เฉา ๆ พอเฉามากไปก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ท้ายที่สุด พอร่างกายโทรมมาก ๆ ก็เดินไม่ไหว ต้องนั่งรถเข็นแล้วในที่สุดก็นอนติดกับเตียง แล้วก็มรณภาพ

พอมาเปรียบกับหลวงพ่อพระเทพสุวรรณโมลี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านเกษียณแล้วท่านตั้งใจแกะสลักพระที่หน้าผามังกรบิน เป็นพระแกะด้วยหินองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และยังตั้งใจทำห้องประชุมใต้ภูเขา ถ้ามีเวลาท่านต้องแกะปางประสูติ ปางตรัสรู้ ปางแสดงปฐมเทศนา ปางปรินิพพานอีก ซึ่งดูจากงานที่ท่านกำหนดไว้แล้ว อีก ๑๐ ปีก็ยังไม่เสร็จ

ตอนนี้พระองค์ใหญ่เพิ่งจะเสร็จแค่ช่วงบนลงมาถึงไหล่เท่านั้น ยังอีกเป็นปี ๆ กว่าจะแกะสลักองค์แรกเสร็จ แต่ท่านเล่นเฟส ๒ คือเจาะถ้ำแล้ว ท่านยืนยันว่าถ้าไม่ถึง ๑๐๘ ปี ท่านยังไม่ตายหรอก เพราะงานไม่เสร็จ"

เถรี
18-07-2016, 22:57
"ฉะนั้น...จะเห็นว่ามโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นของใจ ความจดจำของใจว่างานยังมีอยู่ เลยทำให้ท่านเองกระตือรือร้นคึกคัก ขนาดอายุ ๘๐ กว่า ไปบรรยายที่ไหน เป็นชั่วโมง ๆ ก็สรวลเสเฮฮาไปเรื่อย ส่วนหลวงพ่อพระครูบวรพัฒนกิจ พอท่านเกษียณแล้วไม่มีงานทำอีก เพราะงานในวัดท่านทำหมดแล้ว ต้องบอกว่าโบสถ์วัดศรีโลหะราษฎร์บำรุงเป็นโบสถ์ที่สวยติดอันดับต้น ๆ ของกาญจนบุรี ในเมื่อท่านไม่มีงานที่จะทำอีก กำลังใจที่จะมุ่งมั่นก็ไม่มี ในที่สุดก็เฉา...หมดสภาพ"

เถรี
19-07-2016, 21:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "สร้างพระขุนแผนอาตมากลัวอยู่แค่ ๒ สำนัก หลวงปู่ทิมคือ ๑ ใน ๒ สำนักนั้น พระของหลวงปู่ทิมเราจะเห็นว่าเคลือบบรอนซ์ จริง ๆ แล้วนั่นเป็นตัวชี้ขาดเลยว่าจริงหรือปลอม เพราะว่าสีเคลือบจะเก่าตามอายุ พวกของปลอมนี่ปลอมอย่างไรก็ไม่เก่าจริง

พระของหลวงปู่ทิมตอนนี้อาตมาก็เหลือแต่ลูกอมมัทรี ลูกอมผงพลายกุมาร เม็ดประคำผงพลายกุมาร หนุมานไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ? เพราะหนุมานได้มาตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี ถ้าหาเจอรับประกันว่าราคาแพงหูตูบ

เปิดกระทู้กฐินปลดหนี้ด้วยพระขุนแผนพรายกุมารหลวงปู่ทิม ประเดิมที่ ๒ แสนบาท เพราะว่ากฐินปลดหนี้อาตมารับประกันยอดให้กับทุกวัด ๑ ล้านบาท ถ้าได้ไม่ถึงอาตมาจะควักเพิ่มให้จนครบหนึ่งล้าน ถ้าได้เกินก็ถวายท่านทั้งหมด ตั้งแต่ทำมาได้ต่ำสุดวัดละหนึ่งล้านห้าแสนบาท สูงสุดอยู่ที่วัดครูบาเหนือชัย สามล้านห้าแสนบาท ได้มากที่สุดก็ตอนที่ไปประมูลของกัน"

เถรี
19-07-2016, 21:56
"เหรียญเจริญพรหลวงปู่ทิมที่ไม่มีห่วง เพราะว่าอาตมาเอาห่วงไปหล่อพระ อาตมารู้ว่าคนเอาไปเลี่ยมเขาไม่เอาห่วงหรอก เหรียญนั้นยังไม่ได้ใช้ ใหม่กริ๊บเลย จะโทษใครได้...สมัยนั้นพระครูแสงท่านแนะนำเอง รู้สึกว่าพี่สุรกานต์จะบูชาหนุมานมา ๑ ตัว ช่วงนั้นพวกเรายังเบี้ยน้อยหอยน้อย ทำงานได้ค่าแรงวันละ ๒๕ บาทเท่านั้น ใครจะไปนึกว่าของ ๒๐ บาท ๓๐ บาทในสมัยนั้น ราคาจะเป็นล้านในสมัยนี้

สมัยนั้นเหรียญแพงที่สุดแค่ ๖๐ บาท นั่นเท่ากับค่าแรง ๒ วันกว่าทีเดียว เหรียญอายุยืนเต็มองค์ หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค เนื้อนวโลหะ ราคาตั้ง ๘๐ บาท หลายปีก่อนพระครูแสงมาถามว่า "หลวงพี่...เหรียญอายุยืนนวโลหะยังอยู่หรือเปล่า ?" แล้วท่านก็ขอไปปล่อยให้ใครก็ไม่รู้

ที่อาตมาหวงมากก็ชานหมากหลวงปู่สี เพราะหลวงปู่ท่านคายแล้วฉีกผ้าอาบห่อให้ ถือว่าได้ผ้าอาบด้วย ว่าจะตัดใจสร้างพระสักรุ่นหนึ่ง ด้วยการถล่มผงของครูบาอาจารย์ลงให้หมด เพราะว่าไปได้ลูกอมผงพรายกุมารมาครึ่งเม็ด ครึ่งเม็ดนี่แหละที่จะเอามาทำผง คือคนบูชาเขาขอดูเนื้อข้างใน บอกว่าขอผ่าเม็ดหนึ่ง ถ้าใช่จะก็เอาหมดเลย ใจถึงนะ...อาตมาเลยได้แบ่งมาครึ่งซีก อยากผ่านักก็ให้ผ่า ความจริงผ่าแล้วของหมดราคา แต่ดีที่เอาไปทำผงสร้างพระได้

ลูกอมผงพรายกุมารก็คือเนื้อพระขุนแผนพรายกุมารนั่นแหละ ท่านปั้นเป็นก้อน ก้อนใหญ่เพื่อทำพระขุนแผนพรายกุมารพิมพ์ใหญ่ ก้อนเล็กสำหรับทำพิมพ์เล็ก ที่ทำไม่ทันแข็งตัวเสียก่อน ท่านก็ชุบสีทอง กลายเป็นลูกอมผงพรายกุมารไป"

เถรี
19-07-2016, 22:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีโยมซื้อหนังสือมาถวาย ๔ -๕ เล่ม พลิกดูแล้วเซ็งมาก บอกแล้วว่าถ้าจะซื้อหนังสือถวายอาตมา ให้ถามก่อนว่าอ่านหรือยัง ? เอามาแต่ละเล่มอ่านแล้วทั้งนั้น ไปเจอคนอ่านหนังสือไม่มีทิศไม่มีทางอย่างอาตมาก็ลำบาก เพราะว่าอ่านทุกแนวเลย"

เถรี
19-07-2016, 22:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามประวัติของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จะเป็นตัวอย่างการฝึกกรรมฐานที่ดีที่สุดของพวกเรา เพราะว่าท่านเสกปลักขิก เสกเท่าไรก็ไม่ดิ้น ตามตำราบอกว่าถ้าปลัดขิกดิ้นได้หรือวิ่งได้ ถึงจะใช้ได้ ท่านก็อุตส่าห์ไปหาต้นตำหรับปลัดขิกอย่างหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ไปถามทั้ง ๒ รูปตอบเหมือนกันว่า "ถ้าใจมั่น ก็ดิ้นได้"

ถามแล้วท่านก็กลับมาทำ ตรงจุดนี้ที่เรานักปฏิบัติมักจะเสียก็คือ เราทำเพราะอยากได้ ส่วนหลวงปู่เสกปลัดขิกแล้ว "อยากให้ดิ้นได้" เข้าใจหรือยังว่ากำลังใจพลาดตรงไหน ? พวกเราเวลาปฏิบัติแล้วอยากได้โน่นอยากได้นี่ ใจก็ไม่นิ่งเหมือนกัน จนกระทั่งท่านเข้าใจ คือตั้งใจว่าจะทำอะไร เป็นอย่างไร แล้วก็ทิ้งความตั้งใจไปเลย ภาวนาอย่างเดียว ปลัดขิกก็ดิ้นได้เอง

ระยะหลังมีเกจิอาจารย์รุ่นใหม่ ๆ อายุน้อย ๆ ที่เสกปลัดขิกตั้งได้ นั่นเป็นของปลอม ข้างในเขาฝังแม่เหล็กไว้ เขาจะมีกล่องแม่เหล็กอยู่กับตัวเองที่กระเป๋าอังสะบ้าง ผูกอยู่ที่หน้าขาบ้าง ถึงเวลาก็จะวางปลัดขิกในมือ พอไปถึงกล่องปุ๊บ กล่องจะดูดปลัดขิกให้ตั้งขึ้นเอง ฉะนั้น...พวกนี้ถ้าให้ยื่นมือห่างตัว เสกให้ตายก็ไม่ตั้ง

แล้วก็มีวัสดุบางอย่างที่เขาบอกว่าเป็นเหล็กไหล เอาแม่เหล็กดูดแล้วยืด วิ่งหาแม่เหล็กได้ อันนั้นจริง ๆ แล้วเป็นวัสดุบางอย่างคล้าย ๆ กับดินน้ำมัน แล้วเขาผสมกับผงเหล็ก ถึงเวลาเอาแม่เหล็กดูดใกล้ ๆ ผงเหล็กโดนแม่เหล็กก็จะวิ่งหา แต่ตัววัสดุติดอยู่ด้วยก็เลยยืดตามมา เขาก็เอาแกว่งซ้ายแกว่งขวาให้ดู ว่าดิ้นได้อะไรได้ แล้วขายเป็นเหล็กไหลราคาแพง ๆ"

เถรี
19-07-2016, 22:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่ตั้งใจจะรับยันต์เกราะเพชรในวันที่ ๙ นี้ ถ้าคิดจะทำสะเดาะเคราะห์ก็ไม่ต้องเสียเวลามาทำที่นี่ เพราะการรับยันต์เป็นการสะเดาะเคราะห์ไปในตัวอยู่แล้ว"

เถรี
19-07-2016, 22:30
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนหน้านี้บางคนเรียกอาตมาว่า "หลวงพ่อ" ก็ยังรับได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ตอนนี้เรียกหลวงพ่อได้เต็มปากเต็มคำแล้ว เพราะว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชพระเองแล้ว ตำแหน่งพระอุปัชฌาย์ก็เหมือนกับพ่อผู้ให้กำเนิดพระ เขาก็เลยเรียกว่าหลวงพ่อ ส่วนพระคู่สวดเขาเรียกว่าพระอาจารย์ ท่านเปรียบเหมือนกับเป็นพี่เลี้ยง บางคนบอกว่าเหมือนกับแม่นม

อาตมาเป็นแม่นมมา ๒๐ กว่าปี เพิ่งจะมาเป็นพ่อเอง เพราะว่าตั้งแต่พรรษาที่ ๕ พอออกพรรษา หลวงพ่อวัดท่าซุงก็บอกว่า "ให้แกซ้อมคู่สวดเอาไว้" เพราะว่าวัดท่าซุงบวชหมู่บ่อย บวชหมู่ตั้งแต่รุ่นอาตมา รุ่นนั้น ๓๖ รูป รุ่นถัดไปรุ่นพระครูแสง ๕๒ รูป ถัดไปเป็น ๑๘๐ รูป มีแต่เยอะขึ้นเรื่อย ถ้าคู่สวดน้อยจะไม่พอ ถ้าหลวงพ่อเห็นแววใครและอายุพรรษาได้ ท่านก็ให้ซ้อม ๆ คู่สวดไว้

แต่ตอนที่อยู่วัดท่าซุง อาตมาได้แต่ซ้อมเป็นตัวสำรองอยู่ เพราะตอนนั้นคู่สวด ก็คือ พระครูปลัดอนันต์ พระครูสมุห์พิชิต พระครูสังฆรักษ์สุรจิต พระครูใบฎีกาสมพงษ์ พระปลัดวิรัช พระสมุห์บัญชา พระใบฎีกาประทีป ท่านรับหน้าที่อยู่ เมื่อเป็นอย่างนั้นอาตมาก็เป็นตัวสำรอง ออกมาจากวัดท่าซุงก็ไม่คิดที่จะเป็นคู่สวดใคร อยู่ป่าอยู่ดงสบายใจดี

ปรากฏว่าพอไปช่วยงานหลวงพ่อวัดท่ามะขาม วันนั้นคู่สวดไม่มา หายไปรูปหนึ่ง บวชพระไม่ได้ หลวงพ่อท่านก็หันมาถาม "อาจารย์เล็ก...สวดได้ไหม ?" "ได้ครับ" "เออ...ถ้าอย่างนั้นก็สวดเลย" สวดเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านชมว่า "คล่องดีนี่ เดี๋ยวไปเอาตราตั้งได้" ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด ท่านก็ออกตราตั้งพระกรรมวาจานุสาวนาจารย์ให้ เท่ากับว่ามีใบขับขี่ สวดได้ถูกต้องตามกฎหมาย"

เถรี
19-07-2016, 22:34
"ตอนที่อยู่วัดท่าซุงนั่นแค่หลวงพ่อท่านอนุญาตให้สวด ถือว่าเป็นการภายใน แต่พอมาอยู่กาญจนบุรีได้รับตราตั้งตามระเบียบของคณะสงฆ์ จากนั้นก็สวดมาเรื่อย ต้องบอกว่าเป็นได้แค่พระอาจารย์ เพราะว่าคู่สวดคืออาจารย์ของพระใหม่ เป็นทั้งพี่เลี้ยงด้วย เป็นทั้งพระอาจารย์ด้วย พอมาเป็นพระอุปัชฌาย์ คราวนี้ใครเรียกหลวงพ่อก็รับได้เต็มที่แล้ว

โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ของหนกลางเขาบังคับว่าต้อง ๒๐ พรรษาขึ้นไป ของหนอื่นก่อนหน้านี้ก็ ๑๐ พรรษาบ้าง ๑๕ พรรษาบ้าง ถ้าอยู่ในที่กันดารอย่างพวกด่านช้าง แม่ฮ่องสอน ก็อาจจะผ่อนผันให้ ๑๒ พรรษาก็ได้ แต่ของหนกลาง (๒๓ จังหวัดภาคกลางและตะวันออก) ต้อง ๒๐ พรรษาถึงจะให้เป็นพระอุปัชฌาย์

มีคนถามหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง ว่าทำไมถึงต้องพรรษามากขนาดนั้น ? ท่านบอกว่า ถ้าหากเป็นพระที่บวชตั้งแต่อายุครบ ๒๐ ปี ถ้าแค่ ๑๐ พรรษานี่ยังเหลาะแหละเต็มที มีโอกาสที่จะสึกได้ ถ้าหากว่าลูกศิษย์ลูกหาอยู่ไปจนเป็นใหญ่เป็นโตในวงการสงฆ์ แต่พระอุปัชฌาย์สึกไปก็จะรู้สึกไม่ดี อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากอายุพรรษาห่างกัน ๒๐ ปี ก็พอที่จะเป็นพ่อลูกกันได้อย่างแน่นอน"

เถรี
19-07-2016, 22:42
ถาม : ถ้าเราถือศีล ๘ แล้วกินนมถั่วเหลืองเป็นน้ำปานะ โดยไม่ได้เจตนา ?
ตอบ : ไม่ผิด

ถาม : เพราะไม่เจตนาหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่เจตนาเฉย ๆ กินอย่างไรก็ไม่อิ่ม จะไปนับเป็นอาหารได้อย่างไร ?

ถาม : หนูเห็นเขาโพสต์ในเฟซบุ๊ก ?
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของพระ จะเอาเคร่งครัดขนาดนั้นก็ได้ แต่จำไว้ว่าอะไรที่เคร่งเกินไป จะเป็นอัตกิลมถานุโยค โดยเฉพาะเราเป็นฆราวาสไม่ใช่พระ ถ้าไม่เจตนาไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้ว่าทำอย่างนี้แล้วผิดศีล แล้วยังตั้งใจทำ นั่นจึงถือว่าละเมิด

เถรี
19-07-2016, 22:54
ถาม : เวลาที่เราอาราธนาบารมีของครูบาอาจารย์ จะอาราธนาได้มากหรือน้อย เกี่ยวกับตัวเราเองไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเรารู้จักท่านและให้ความเคารพจริงไหม ? เหมือนกับว่าโยมจะไปเชิญนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในงาน ถ้าไม่รู้จักท่านแล้วจะไปเชิญท่าไหน ? ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักท่านแต่เข้าไปหาด้วยความเคารพ แล้วท่านเห็นใจและเมตตา ท่านก็รับเชิญ เราก็เชิญท่านได้เหมือนกัน

ดังนั้น...เรื่องของการอาราธนาบารมีพระ สำคัญที่ว่าเรารู้จักท่านหรือเปล่า ? เราอาราธนาด้วยความเคารพหรือเปล่า ? ไม่ใช่อย่างปัจจุบันนี้เห็นมากต่อมากด้วยกัน นึกอยากจะสร้างรูปท่านก็สร้าง นึกอยากจะสร้างเหรียญก็สร้าง ประเภทที่ว่าทำก่อนบอกทีหลัง อย่างนั้นไม่ใช่การขออนุญาต แต่เป็นการแจ้งเพื่อทราบ เป็นลักษณะของผู้ใหญ่ทำกับเด็ก แล้วเราจะไปใหญ่กว่าพระได้อย่างไร ?

ถาม : เวลาที่เราอาราธนาบารมีพระครอบตัว ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ขอทุกที่ทุกเวลาแต่ใจเราไม่ได้นึกถึงท่านก็เท่านั้นแหละ เราต้องนึกถึงพระด้วย

เถรี
20-07-2016, 15:57
ถาม : เคยอ่านหนังสือเจอ ถ้าเราพยายามทำกิจกรรมต่าง ๆ ในสิ่งที่เป็นกุศลในดินแดนพระนิพพาน ถ้าผมเองทำอะไรแล้วฟุ้งซ่าน ผมจึงยกจิตขึ้นไปดินแดนพระนิพพาน เพื่อระงับจิตที่ฟุ้งซ่าน ถือว่าเป็นวิปัสสนาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : การระงับใจของตนเองไม่ให้ฟุ้งซ่านได้ดีที่สุดคืออยู่กับลมหายใจเข้าออก แต่การที่เราส่งจิตออกไปยังที่อื่น เพื่อการระงับการฟุ้งซ่าน จะทำได้ดีต้องมีความคล่องตัวมาก ต้องคล่องตัวในเรื่องของฌานสมาบัติถึงระดับคิดจะทรงฌานเมื่อไรก็ทรงได้ ไม่อย่างนั้นเรากำลังฟุ้งอยู่ จิตไม่เป็นสมาธิ ทรงฌานไม่ได้ ย่อมไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว

ถาม : ไม่รู้จะเป็นการปรามาสหรือเปล่า อย่างวิธีพื้นฐาน ก็คือ นึกถึงหน้าพระอาจารย์เล็ก เวลาผมจะระงับความฟุ้งซ่าน ผมจะเห็นพระอาจารย์เล็กยิ้ม ผมไม่ได้ตั้งใจจะปรามาส ผมเห็นเอง อย่างนี้ถือว่าเป็นการเหมาะสมไหมครับ ?
ตอบ : เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอยู่ที่เรา ไม่ใช่เรากำลังด่าชาวบ้านอยู่ก็นึกถึงพระไปด้วย ถ้าหากว่าเห็นตอนไหนเกิดความเคารพ รู้สึกว่าดี ก็ใช้ได้

ถาม : ถ้าเราภาวนาที่ดินแดนพระนิพพานและข้างล่างทั้งสองแดนพร้อมกัน จะดีขึ้นไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้พร้อมกันก็จะดีขึ้น เพราะว่าเราสามารถแยกจิตออกไปหลาย ๆ ที่ได้ หลาย ๆ ใจได้ แต่ว่าถ้าตั้งใจให้จิตรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ต่อไปจะลำบาก เพราะว่าการที่เราแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่าง ก็อาจจะมีส่วนหนึ่งที่ฟุ้งซ่านได้ ถ้าจะให้ดีต้องเลือกเอาอย่างเดียว หลายคนเจอสภาพอย่างนี้มาแล้ว คือภาวนาอยู่แต่อีกจิตหนึ่งฟุ้งซ่านได้

เถรี
20-07-2016, 15:59
ถาม : ถ้าผมอาราธนาพระพุทธเจ้าหลายองค์คลุมพร้อม ๆ กันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...จะไปยากอะไร เอาพระพุทธเจ้าไว้เหนือเศียรเหนือเกล้าของเรา ถัดลงมาเป็นครูบาอาจารย์ ถัดไปก็เป็นพระโพธิสัตว์ ตั้งท่านไว้ตรงไหนของร่างกายก็จัดเรียงกันไป

เถรี
20-07-2016, 16:02
ถาม : การที่เราไหว้พระ เราได้ดอกไม้เวียน จะเป็นบาปกว่าดอกไม้ที่เราจัดหามาเองหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่บาปเขาหมายถึงถวายดอกไม้ที่เหี่ยวแล้ว ถ้าหากว่าเราเกรงว่าจะเป็นอย่างนั้นก็หาไปเอง เอาดอกใหม่ ๆ ไปสิ

ถาม : แต่ถ้าเราเวียนแล้ว ดอกไม้ก็ยังใหม่อยู่ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่าสะดวกด้วยกันสองฝ่าย เราเองกว่าจะเดินทางไปซื้อไปหา บางทีก็ลำบากลำบน ระยะทางไกลบ้าง หรือไม่ก็เหน็ดเหนื่อยขึ้นมา เกิดอารมณ์เสีย กุศลก็ลดน้อยลงไปอีก ทางวัดเขาจัดเตรียมเอาไว้ให้ ก็ถือว่าอำนวยความสะดวกให้แก่เรา แต่ถ้าเห็นว่าเหี่ยวมาก เราก็ไปหาของใหม่มาเอง

เถรี
20-07-2016, 16:14
ถาม : ตอนแรกผมลังเลว่าจะบูชาพระขุนแผนดีหรือไม่ เพราะผมก็เป็นคนทั่วไปที่ไม่รู้สึกในแง่บวกกับท่าน แต่ทีนี้ผมอ่านเจอว่าขุนแผน...(ไม่ชัด).... ซึ่งผมคิดว่าท่านต้องมีกุศลจิตอยู่แล้ว ถึงแม้ผมจึงจะเคารพได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้ถือว่าเป็นการตั้งจิตที่ถูกต้องหรือไม่ ?
ตอบ : แล้วทำไมคุณนึกถึงขุนแผนเฉย ๆ ทั้ง ๆ ที่ทำเป็นรูปพระพุทธ ? นึกให้เลยขุนแผนไปถึงพระพุทธเจ้าก็หมดเรื่องหมดราวไปแล้ว

เถรี
20-07-2016, 17:14
ถาม : ผมเคยอ่านเจอว่า มีพระวัดหนึ่งวิจารณ์เรื่อง..... ?
ตอบ : กำลังจะเป๋แล้ว

ถาม : ไม่เป๋ครับ ผมอธิบายไม่ถูก ?
ตอบ : ขอยืนยันว่าจะเป๋แล้ว ต่อไปอีกไม่นานจะออกมาแนวพุทธวจนะ หรืออาจารย์เกษม วัดสามแยก หรือพุทธอิสระ เรื่องของการปล่อยวางต้องรู้จริงถึงจะวางได้ แล้วจำไว้ให้แม่น ๆ ว่า บุคคลที่ปล่อยวางสมมติได้ ยังเคารพสมมติทุกอย่างเป็นปกติ ฉะนั้น...ให้ระวังตรงนี้เอาไว้ให้มาก ๆ ถ้าหากว่าเราวาง ๆ ๆ ๆ ทุกอย่างเลย จะกลายเป็นวางใส่กบาลคนอื่นเขา..!

ถาม : อย่างเวลาเราจิตรวมตัว เรารู้สึกว่าถ้าเราละ เราจะไปอีกขั้นหนึ่ง ?
ตอบ : ลองดูสิ...ถ้ารู้สึกว่าสมาธิสมาบัติตลอดจนกระทั่งกำลังใจดีขึ้นก็แปลว่าจริง

เถรี
20-07-2016, 17:16
ถาม : ถ้าเราชื่นชมใคร เราแค่ชอบ เราผิดศีลข้อ ๓ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีสิทธิ์ที่จะชื่นชมได้ ศีลข้อ ๓ จำกัดที่การล่วงละเมิดเท่านั้น ดูแต่ตามืออย่าต้องก็หมดเรื่อง ใจจะคิดอย่างไรก็คิดไป เพราะห้ามไม่ได้อยู่แล้ว

ถาม : หมายความว่าเราชอบได้ ?
ตอบ : เรามีศีลเป็นเกราะก็จบแล้ว อย่าไปล่วงศีล จะรักจะชอบสักกี่ร้อยคน อย่าไปละเมิดศีลก็หมดเรื่อง

เถรี
20-07-2016, 17:22
ถาม : ศึกยุทธหัตถีเกิดที่กาญจนบุรีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เกิดที่ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี

ถาม : สมมติเรารู้สึกว่าเราเคยมีกรรมร่วมกับท่าน สถานที่ที่เราไปอาจได้ทั้งสองแง่ ก็คือ เป็นกำลังใจในสิ่งที่ดี แต่เจ้ากรรมนายเวรอาจจะมาเจอเราหรือเปล่า ?
ตอบ : ไปในสถานที่นั้นมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือไปช่วยเขา อย่างที่สองคือไปใช้หนี้เขา ระวังตอนใช้หนี้ อาตมาเคยไปตรงนั้นครั้งหนึ่งหลังจากที่ไปมาหลายครั้ง ปรากฏว่าครั้งนั้นมีเครื่องสังฆทานติดรถไปครบชุดเลย มีทั้งพระพุทธรูป ผ้าไตร และถังสังฆทานด้วย เลยกำหนดใจบอกท่านทั้งหลายตรงจุดนั้นว่า ถ้าหาพระมาได้ จะถวายสังฆทานให้

ไปถึงเจอพระธุดงค์ปักกลดอยู่หนึ่งรูป พอแจ้งความจำนงบอกว่าจะถวายสังฆทาน ท่านบอกว่าพระอาจารย์นี่เอง ผมเองฉันเช้าเสร็จ ผมตั้งใจจะไปนานแล้ว เดินไม่พ้นที่สักที วนอยู่ตรงนี้แหละ พอถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เสร็จสรรพ จะไปทางไหนก็ไปเถอะ..!

เถรี
20-07-2016, 17:30
บริเวณนั้นจะมีเจดีย์เก่าอยู่ มีกระดูกช้าง กระดูกม้า และอาวุธเก่า ๆ ตกหล่นอยู่มาก เข้าไปถึงตรงนั้น อาตมาขนลุกทั้งตัวเลย พรรคพวกมาเยอะเหลือเกิน มีทั้งประเภทมาขอให้ช่วย มีทั้งประเภทมาทวงหนี้

ถ้าตามประวัติศาสตร์บอกว่า หลังจากที่พระนเรศวรฟันพระมหาอุปราชสิ้นชีวิตคาคอช้างแล้ว กองทัพไทยไล่ทัพพม่าไปจนถึงทุ่งลาดหญ้า เราลองนึกดูว่าถ้าอยู่ดอนเจดีย์ที่สุพรรณจะวิ่งไปถึงลาดหญ้าไหม ? แต่ถ้าตรงนั้นไปลาดหญ้าจะห่างแค่แค่ไม่กี่กิโลเมตร

จะว่าไปแล้วก็รัชกาลที่ ๔ ตอนที่ยังเป็นวชิรญานภิกขุ พระองค์ท่านเข้าพระทัยผิด ไปเจอเจดีย์เก่าที่อำเภอดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี ก็คาดว่าจะใช่ เมื่อขึ้นครองราชย์จึงได้ทำการบูรณะขึ้นมา แล้วเรียกว่าอนุสรณ์สถานดอนเจดีย์ ตอนหลังก็มีการตั้งชื่อตรงนั้นว่าอำเภอดอนเจดีย์ เลยกลายเป็นว่า ของเทียมเลยกลายเป็นของแท้ ส่วนของแท้เป็นได้แค่ตำบลดอนเจดีย์ ของเทียมเป็นอำเภอ...ใหญ่กว่าอีก

บ้านพังตรุก็อยู่ใกล้ ๆ นั่นแหละ แม้กระทั่งวัดพังตรุ พรรคพวกก็คือ พระมหาธวัชชัย กลฺยาโณ เปรียญธรรม ๙ ประโยค รองเจ้าคณะอำเภอพนมทวน ท่านก็อยู่วัดพังตรุ ที่ในบันทึกเขียนว่าตระพังตรุ ตระพังคือสระน้ำ พอระยะหลังเพี้ยนเป็นสระพัง คนก็เลยไม่เข้าใจว่าสระอะไรพัง

เถรี
20-07-2016, 17:30
ถาม : การที่เราเดินทางไกล กำลังใจของพระโพธิสัตว์ยังข้องเกี่ยวอยู่กับโลกอยู่ สามารถที่จะ...?
ตอบ : เอาเป็นว่าพระโพธิสัตว์มาสามารถทำกำลังใจให้เหมือนพระอริยเจ้าได้ แต่ไม่ใช่พระอริยเจ้า

ถาม : ทำไมถึงไม่ไปพระนิพพานเลย ?
ตอบ : งานยังคาอยู่ ในเมื่อยังคาอยู่แล้วจะไปอย่างไร คุณเรียนคอร์สเวิร์คจบ วิทยานิพนธ์ยังไม่ส่งก็ทำนองนั้นแหละ งานผูกตัวเองเอาไว้ ไปตั้งใจเอาไว้ ไม่มีใครไปบังคับคุณหรอก ยกเว้นว่าจะเปลี่ยนใจเอง

เถรี
21-07-2016, 19:04
พระอาจารย์เล่าว่า "โยมเอาต้นเข้าพรรษามาถวาย ชาวบ้านเขาเรียกง่าย ๆ เพราะต้นไม้ชนิดนี้จะออกดอกหน้าฝน ที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร จังหวัดสระบุรี มีประเพณีตักบาตรดอกไม้ ส่วนใหญ่เขาก็จะเก็บเอาดอกไม้ชนิดนี้มาใส่บาตร นานไป ๆ โยมก็เลยเรียกว่า ดอกเข้าพรรษา

ความจริงเขาก็มีหลายชื่อเหมือนกัน ถ้าเป็นดอกสีเหลืองก็จะเรียกสุพรรณหงส์ บางทีมีสีเหลืองกับสีขาวก็เรียกหงส์เงินหงส์ทอง บางคนก็เรียกหงส์เหิน เพราะว่าเกสรยื่นไปลักษณะเหมือนกับคอยาว ๆ ของหงส์

ส่วนคนพม่าเขาเรียกว่าช่างทองร้องไห้ ปกติช่างทองเขาทำงานละเอียด แต่พอมาเจอดอกเข้าพรรษา ช่างทองทำตามแบบไม่ได้ เขาจึงเรียกว่าดอกช่างทองร้องไห้ ตอนหลังเขาผสมแล้วเอามาขาย ก็เลยได้หลายสี ของเดิม ๆ จะเป็นสีเหลืองกับสีขาว ส่วนสีอื่น ๆ เขาผสมขึ้นมาเพื่อขายโดยเฉพาะ"

เถรี
21-07-2016, 19:05
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลังกลางเดือนนิดหน่อยก็เข้าพรรษาอีกแล้ว ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปกติมาส ปกติวาร อธิกสุรทิน ทีนี้ไม่ทราบว่าโหรหลวงคำนวณแบบไหน กลายเป็นอธิกวาร เพิ่มแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ต้องเพิ่มตั้งแต่ ๒ ปีก่อน แต่ไม่ยอมเพิ่ม เพิ่งจะมาเพิ่มเอาตอนนี้"

เถรี
21-07-2016, 19:10
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครดูบอลยูโรบ้าง ? ปีนี้เขารณรงค์ว่าไม่ต้องเล่นการพนันก็สนุกได้ใช่ไหม ? ก็ได้แค่รณรงค์ โต๊ะบอลยังเปิดกันปกติอยู่ แต่เมื่อคืนนี้ก็คงเจ๊งไปตาม ๆ กัน เพราะคงไม่มีใครคิดว่าเวลส์จะเข้ารอบได้

ให้สังเกตว่าทีมรองบ่อนมักจะเล่นได้ดีเพราะไม่มีแรงกดดัน แพ้ก็เสมอตัว ชนะก็กำไรหลายเท่า บรรดาตัวเก็งต่าง ๆ ถึงเวลาเล่นไปเล่นมากลายเป็นตัวเกร็ง เล่นไม่ออก แต่ที่น่าเสียดายก็คือ มวยคู่เอกดันมาเตะกันตั้งแต่คืนนี้

เรื่องของการกีฬา แต่เดิมมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีร่างกายแข็งแรง มีจิตวิญญาณของการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย แต่พอมาถึงยุคหลังกลับเปลี่ยนเป็นการค้า ในเมื่อเริ่มเป็นการค้า มีผลประโยชน์เข้ามา ก็ทำให้เจตนารมณ์ดั้งเดิมแปรเปลี่ยนไป อย่างที่ผ่านมา ทีมเลสเตอร์ซิตี้ของพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ สามารถคว้าแชมป์ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีดาราในทีมแม้แต่คนเดียว แล้วที่ดังจนกระทั่งเรารู้จักกันหมดก็เพราะว่าเจ้าของทีมเป็นคนไทย

ฟุตบอลของเรา ถ้าเป็นฟุตบอลนักเรียนหรือเยาวชนแล้วจะเก่ง แต่พอไปถึงระดับทีมชาติก่อนยุคคุณซิโก้เข้ามาเป็นโค้ช จะเละเทะดูไม่ได้สักที เพราะมีผลประโยชน์เข้ามา พอมีผลประโยชน์ มีดารา บรรดาผู้จัดการทีมก็ต้องง้อคนเก่ง ในเมื่อต้องง้อคนเก่ง คนเก่งเล่นตัวมาก ทีมก็ไปไม่รอด เพราะฟุตบอลเขาเล่นกัน ๑๑ คน ไม่ได้เล่นคนเดียว"

เถรี
21-07-2016, 19:11
"คราวนี้เรามาดูว่าตั้งแต่คุณซิโก้เข้ามาบริหาร เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ก็เปลี่ยนระบบใหม่หมด ไม่ง้อดารา ใครมารายงานตัวไม่ทันก็ตัดออกจากทีมทิ้งไปเลย ให้ความสำคัญกับทุกคนในทีมเสมอกัน ทุกคนก็มีกำลังใจที่จะสู้เพื่อทีม ไม่ใช่ว่าเราเล่นแทบตายแต่ไปเด่นที่ดาราคนเดียว

ลักษณะของทีมเลสเตอร์ซิตี้ก็เหมือนกัน ก็คือเล่นกันเป็นทีม นักเตะทั้งทีมค่าตัวรวมกันยังไม่ได้ถึงระดับท็อปของเขาคนเดียว น่าอนาถไหม ? คราวนี้กลายเป็นหักปากกาเซียน ยิ่งกว่าซินเดอเรลล่าอีก นั่นเปลี่ยนจากคนใช้กลายเป็นเจ้าหญิง คาดว่าบรรดาทีมอื่น ๆ ที่ซื้อนักเตะค่าตัวแพง ๆ ไป แล้วเล่นไม่คุ้มค่า คงมาหันมามองระบบของทีมเลสเตอร์ซิตี้

สาเหตุที่ทีมนอกสายตาเข้ามาถึงรอบลึก ๆ ได้อย่าง เวลส์ ไอซ์แลนด์ ก็เพราะว่าเมื่อไม่มีดารา ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปโชว์ให้ใครเขาดู ถ้าหากว่าเป็นการค้า ดาราจะเรียกสปอนเซอร์หรือผู้สนับสนุนทีมได้ ก็จะมีการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ท่าทาง การแต่งเนื้อแต่งตัว โดยเฉพาะสินค้าต่าง ๆ ที่สนับสนุนทั้งตัวดาราและทีม"

เถรี
21-07-2016, 19:12
"ในส่วนนี้ที่เราเห็นก็คือ จิตวิญญาณการทำอะไรเพื่อส่วนรวมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และสามารถนำความสำเร็จมาให้ส่วนรวมได้ คราวนี้บ้านเราเมืองเราในปัจจุบันนี้ ศูนย์รวมจิตวิญญาณหลัก ๆ เลยก็คือในหลวง ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ทรงพระประชวร ไม่สามารถที่จะทรงงานได้อีก สถาบันหลักที่พอจะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของญาติโยมคือศาสนา ก็โดนตีสารพัด ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา เกี่ยวกับเครื่องยึดเหนี่ยวของเราจะโดนหนักเป็นพิเศษ ลักษณะนี้ก็คือการที่เขาตั้งใจจะทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบัน

ถ้าหากว่าญาติโยมหันหลังให้เมื่อไร สถาบันศาสนาล่มสลาย ประเทศเราก็พังไปด้วย อีกฝ่ายหนึ่งที่จ้องคอยโอกาสอยู่ ก็จะฉวยโอกาสครอบครองหรือครอบงำ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก

ขอให้เราทุกคนตระหนักรู้ว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำนั้น ไม่ใช่เจตนาบริสุทธิ์ เพราะถ้าหากว่ามีเจตนาบริสุทธิ์ เขาสามารถทำเรื่องให้จบได้ง่าย ๆ แต่นี่ปล่อยให้เรื่องยืดเยื้อมา โดยตั้งใจที่จะทำให้เรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้น สิ่งที่เขาทำหรือเรื่องที่เขาให้เรารู้ กับสิ่งที่เราต้องการรู้หรือความจริง อาจจะเป็นคนละเรื่องกัน"

เถรี
21-07-2016, 19:13
"ที่อาตมาหวั่นใจที่สุดก็คือเรื่องของภัยธรรมชาติ ตอนช่วงนี้ภัยธรรมชาติต่าง ๆ กระทบบ้านเราน้อย เพราะว่ายังมีในหลวงให้เป็นที่เกรงใจ ถ้าสิ้นในหลวงเมื่อไร จะมีภัยหนัก ๆ ระดับตายเป็นหมื่นเป็นแสน แล้วคราวนี้เราก็ต้องยึดคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ตราบใดที่ยังมีพระอยู่กับเรา ถ้าไม่ใช่วาระกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ อย่างไรก็รอดพ้นไปได้ ขืนพูดมากไปเดี๋ยวอาตมาจะโดนเสียเอง...!"

เถรี
21-07-2016, 19:14
:4672615:เก็บตกเดือนกรกฎาคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:

ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ