เข้าระบบ

View Full Version : คำสอนงานทำบุญ ๑๐๐ ปี ชาตกาล หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๙


เถรี
03-07-2016, 13:18
เรื่องของการก่อสร้าง ถ้าว่ากันตามสายของหลวงปู่ปานและหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเรียกว่า “สถาปนึก” ก็คือนึกเอาว่าจะสร้างอะไร แต่ละอย่างที่ผมพูดไป ส่วนใหญ่พระที่ท่านได้ยิน ท่านก็ไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร แบบเดียวกับชั้นล่าง ผมบอกว่าจะมีมณฑปอยู่ข้างใน มีศาลาอยู่ข้างใน ก็นึกภาพกันไม่ออก พอมาบนนี้ก็บอกว่าจะมีหอนกสำหรับตั้งพระประธาน รูปหลวงปู่ปาน รูปหลวงพ่อฤๅษี เขาก็นึกกันไม่ออก จนกระทั่งเสร็จสรรพเรียบร้อย เขาถึงได้นึกออกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

จะว่าไปแล้วในเรื่องของการปฏิบัติ พอทำไปถึงระดับหนึ่ง ถ้าสภาพจิตของเราสงบเพียงพอ ก็จะเกิดเครื่องรู้ขึ้นมา ถ้าภาษาบาลีเรียกว่า ญาณ จัดเป็น ๑ ในอุปกิเลส ๑๐ อย่าง

“อุปะ” แปลว่า ขวางหน้า, ใกล้ชิด อย่างเช่น อุปสรรค แปลตรง ๆ ว่า ขวางทางสวรรค์ ถ้าใครฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ก็จะถึงสวรรค์ ก็คือความสำเร็จ อุปกิเลส ก็คือใกล้ที่จะเป็นกิเลส ถ้าสติสัมปชัญญะของเราไม่ดี ไปหลงยึดติดอยู่ ก็จะเป็นกิเลสทันที ดังนั้น...ในส่วนของอุปกิเลส ตั้งแต่โอภาสไล่ไปจนถึงนิกันติ คือความใคร่ที่เหมือนไม่มี พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนกับไม่มีแต่ความจริงแล้วมี จะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าตนเองบรรลุมรรคผลแล้ว

ดังนั้น...ในส่วนของญาณคือเครื่องรู้ เมื่อปรากฏขึ้น การคิดอะไรทุกอย่างจะมีเหตุมีผล สามารถโยงเรื่องถึงกันได้หมด คิดไปเถอะ ๓ เดือนก็คิดไม่จบ แล้วไปทำให้เข้าใจว่าเราได้มรรคผล เพราะคิดอะไรก็แจ่มแจ้งไปหมด รู้ไปหมด เข้าใจไปหมด แต่ผมให้ทุกท่านสังเกตอยู่ย่างหนึ่งว่า เขาให้เรารู้ทุกเรื่อง ยกเว้นของการตัดกิเลส ให้เราไปเพลิดเพลินกับความคิด แล้วเราก็ไม่มีโอกาสที่จะไปตัดกิเลสได้

เถรี
03-07-2016, 13:20
เพราะฉะนั้น...ในส่วนของญาณคือเครื่องรู้เมื่อปรากฏขึ้น ถ้าสำหรับฆราวาสแล้ว ชีวิตนี้จะสร้างประโยชน์ได้เยอะมาก ถ้าคุณไม่คิดจะเอามรรคเอาผล พอเครื่องรู้ปรากฏขึ้น คุณจะเรียนอะไรก็ได้ จะวิเคราะห์วิจัยอะไรก็ได้ แจ่มแจ้งทะลุปรุโปร่งไปหมด

แบบเดียวกับ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ของอเมริกายังหมดปัญญา ว่าจะทำอย่างไรที่จะคิดขาตั้งสำหรับยานลูนาร์โมดูลที่ลงจอดบนดวงจันทร์ได้ แต่ ดร.อาจองคิดได้

คราวนี้พอญาณคือเครื่องรู้เกิดขึ้น ความรู้ทางโลกก็เป็นเรื่องเล็กครับ แต่สำคัญที่สุดคือความรู้ในทางธรรมที่เราจะต้องตัด รัก โลภ โกรธ หลง ของเราให้ได้ ถ้าหากว่าเราพยายามจะมารู้ด้านนี้เมื่อไร ก็จะโดนขัดขวางทุกอย่าง โดยการเอาความรู้เรื่องโน้น เรื่องนี้ เรื่องนั้นมายัดใส่หัวของเรา ให้เราเพลิดเพลินเจริญใจไป จนกระทั่งลืมไปว่าการปฏิบัติของเราเป็นไปเพื่อการละกิเลส

เถรี
03-07-2016, 13:23
เรื่องพวกนี้ผมพูดไปบางทีก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าหลายอย่างที่ผมพูด ท่านทั้งหลายก็ยังคงไปทำตามปกติ มีอยู่คราวหนึ่งปลัดตั้มท่านบอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมยังไม่เคยเห็นเลยว่าโจทย์หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วหลวงพ่อบอกคำตอบมา ผมจะเชื่อได้อย่างไร ?” เออ...จริง เพราะว่าคนตามนี่โจทย์ยังไม่เห็นเลย แล้วอาตมาไปบอกว่าตอบอย่างนี้ ๆ ในส่วนนี้จึงเป็นส่วนที่เรียกว่าต้องมีประสบการณ์เอง ล้มเอง เจ็บเอง ลุกเอง หลาย ๆ รอบเข้า เดี๋ยวก็ฉลาดไปเอง ในส่วนของการปฏิบัติจึงเป็นเรื่องของการทดสอบ ด้วยการผ่านประสบการณ์จริงขึ้นมา

ผมเองมีโอกาสได้กราบหลวงพ่อฤๅษีเป็นครูบาอาจารย์ในปี ๒๕๑๘ เชื่อว่าทุกท่านมีจำนวนมากที่ยังไม่เกิด พอได้พบท่าน ด้วยความที่มีพื้นฐานการปฏิบัติธรรมมาก่อนแล้ว แต่ว่าเป็นการปฏิบัติแบบ “ทุกขาปฏิปทา” ก็คือปฏิบัติก็ยาก แล้วก็ยัง “ทันธาภิญญา” คือบรรลุก็ยาก เมื่อมาเจอสิ่งที่ท่านสอนรู้สึกว่าง่าย รู้สึกว่าถูกจริต ผมก็ตั้งหนาตั้งตาทุ่มเททำมา ปฏิบัติมา ก็เรียกว่าตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๒๗ ปี เป็นเวลา ๑๑ ปีเต็ม ๆ ทุ่มเทอย่างชนิดที่คนรอบข้างว่าผมบ้า แต่ผมรู้ว่าตัวผมเองทำอะไร เพื่ออะไร ดังนั้น...คำพูดของคนรอบข้างผมไม่ถือเป็นสาระ อยากจะว่าก็ว่าไป เพราะถ้าหากว่าเรานำมาถือเป็นสาระแล้วนำมาคิด ก็เสียเวลาในการปฏิบัติของเรา

เถรี
03-07-2016, 13:25
อยากจะบอกกับพวกท่านทั้งหลายว่า ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๒๕ ปี เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม ๆ ผมเกือบจะไม่พูดกับใครเลย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว รักษาอารมณ์ใจตัวเองไว้ แล้วหลังอายุ ๒๕ ปี ที่พูดขึ้นมาเพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้เป็นครูสอนมโนมยิทธิ แล้วไปเจอครูฝึกเขาตอบปัญหาผิด ผมถึงมาคิดว่า ถ้าผมไม่พูดลูกศิษย์อาจจะหลงทาง แล้วจะเสียเวลาไปนาน ก็เลยจำเป็นที่ต้องปรับตัวเองให้มาพูดจากับชาวบ้านเขา

ตลอดระยะเวลา ๑๑ ปีของชีวิตฆราวาสกับอีก ๗ ปีของความเป็นพระภิกษุ ที่อยู่ใต้การปกครองดูแลของท่าน ผมตามพิสูจน์ท่านมาตลอด ก็คือพิสูจน์ว่าสิ่งที่ท่านสอนมา สิ่งที่ท่านพูดมา เป็นจริงตามนั้นไหม ? ผมไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่าย ๆ พิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก ทดสอบแล้วทดสอบอีก หาข้อผิดพลาดของท่านไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เป็นครูบาอาจารย์ที่ผมกราบได้สนิทใจมาก ๆ มีอยู่ไม่กี่รูปที่ผมกราบได้อย่างสนิทใจแบบนี้ เพราะว่าตามพิสูจน์กันอย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก คือท่านบอกอะไรมาผมทำหมด จนกระทั่งท้ายสุดก็เกิดศรัทธาอย่างแท้จริงในองค์ท่านขึ้นมา

เถรี
05-07-2016, 12:01
ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านกำลังสร้างตึกรับแขกใหม่ ท่านขึ้นไปตรวจงานที่ชั้น ๓ ผมก็ตามไป ตอนนั้นยังไม่ได้บวช ขณะที่เดิน ๆ ตรวจงานก็มีลักษณะคล้ายชั้น ๓ ของศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้แหละ มีขอบระเบียงอยู่หน่อยหนึ่ง ผมก็ไปชะโงกดู “เฮ้ย...สูงเว้ย” แล้วเกิดความคิดว่า “ถ้าหลวงพ่อสั่งให้กระโดดลงไป เอ็งจะกระโดดไหม ?”

ไม่ทราบว่าพวกท่านเคยมีความคิดอย่างนี้หรือเปล่า ? แต่ความคิดของผม คือ ถ้าหลวงพ่อสั่งให้กระโดดลงไป เอ็งจะกระโดดไหม ? ก็ปรากฏว่าคำตอบผุดขึ้นมาเองว่ากระโดด เพราะไม่มีพ่อที่ไหนจะฆ่าลูกหรอก ถ้าท่านสั่งให้โดดต้องมีเหตุผล ผมพร้อมจะโดดลงไปทันที ถ้าท่านชี้ไปข้างหน้าที่มีไฟลุกท่วมฟ้าอยู่แล้วบอกว่า “ทางนี้แหละลูก ไปพระนิพพานได้ เอ็งจะไปไหม ?” เป็นคำถามต่อมามาอีก ผมตอบว่าผมไป เพราะผมมั่นใจว่าท่านชี้ทางถูกให้

เพราะฉะนั้น...เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดขึ้นในใจเราเมื่อไร เราจะมีความมั่นคงแน่นแฟ้นต่อพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง ผมใช้คำว่า “ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี” ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ากำลังใจมาถึงจุดที่หลวงพ่อท่านต้องการหรือเปล่า ? อีกไม่นานท่านถึงบอกกับผมว่า ท่านต้องการพระบวชแก้บน ๓ รูป จะบวชให้ท่านได้ไหม ? ปกติของท่านถ้าได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่วันนั้นผมลังเล เพราะไปเห็นนรกมาตั้งแต่อายุยังไม่ครบ ๒๐ ปี อย่าลืมว่าผมปฏิบัติตั้งแต่เพิ่งรู้ภาษา พอผมรู้ภาษาขึ้นมาก็เห็นตัวเองหลับคอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่กับพ่อมาตลอด

ในเมื่อเห็นนรกมา ส่วนใหญ่แล้วมีแต่นักบวชทั้งนั้น ผมก็เลยลังเล กราบเรียนถามท่านว่า “หลวงพ่อต้องการให้บวชนานไหมครับ ?” ท่านบอกว่า “บวชแก้บนใครเขาเอานานกัน สัก ๗ วันก็พอแล้ว” จึงกราบเรียนท่านอีกครั้งว่า “ขอผมคิดดูก่อนครับ” ปกติถ้าพูดอย่างนี้นะ ไม้เท้าลงกบาลแน่นอน..! แต่วันนั้นท่านบอกว่า “เออ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอพ่อกลับจากนิวซีแลนด์ก่อนก็ได้” เพราะช่วงนั้นท่านเตรียมตัวจะไปนิวซีแลนด์

เถรี
05-07-2016, 12:08
ต้นเดือนเมษายน ปี ๒๕๒๙ ก่อนหลวงพ่อกลับมาผมก็ตัดสินใจได้ คือผมมาตัดสินใจว่า บุคคลสมัยพุทธกาล ศีลทุกข้อสมบูรณ์บริบูรณ์ท่านยังสามารถรักษาสิกขาบทต่าง ๆ ได้ครบถ้วน จนกระทั่งบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน สมัยนี้ผมมีต้นทุนอยู่ในกระเป๋าเยอะแยะมหาศาล เพราะว่าศีลเกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้เราก็ไม่ต้องทำเอง ศีลที่เกี่ยวกับภิกษุณีก็ไม่มีให้ปฏิบัติ ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เรามีกำไรตั้งมากตั้งมายแล้ว ถ้าหากว่ายังทำไม่ได้ จะลงนรกไปก็ให้ลงละวะ...!

ผมไปรับหลวงพ่อท่านที่สนามบินดอนเมือง พอพบหน้ากันในห้องวีไอพีก็กราบเรียนท่านว่า “ที่หลวงพ่อขอให้บวชนั้นผมตกลงบวชครับ หลวงพ่อจะให้ผมไปวัดเมื่อไร ?” ท่านบอกว่า “ถ้าพร้อมก็ไปได้เลย” ผมก็โดดขึ้นรถไปกับท่านเลย ด้วย เสื้อผ้าชุดเดียวนั้นแหละ ผมมั่นใจว่าถ้าเป็นพวกท่านทั้งหลาย คงต้องกลับไปเตรียมตัวอีกสักเป็นอาทิตย์ แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์บอกให้ไป ผมก็ไปเลย

ลักษณะตัวศรัทธาตรงนี้แหละ ตอนปลายปี ๒๕๒๘ ประมาณเดือนพฤศจิกายน ท่านฝึกมโนยิทธิเต็มกำลังครั้งแรก ฝึกอย่างเป็นสาธารณะที่ศาลา ๒ ไร่ ผมเองก็นั่งภาวนารอเวลาอยู่ รู้สึกสมาธิควบแน่นเข้า ๆ ปกติจะต้องไปแล้ว แต่ผมมัวแต่รอท่านอยู่ จนกระทั่งหลวงพ่อลงมาศาลา ๒ ไร่ ท่านพูดออกไมค์ว่า “เฮ้ย...ถ้าใครพร้อมแล้วก็ไปได้เลย” ผมได้ยินแล้วเหมือนอย่างกับสัญญาณปล่อยตัวนักวิ่งออกจากเส้น สภาพจิตพุ่งปรื้ดออกจากร่าง ทิ้งตัวกองกับพื้นเลย ตอนนั้นใครหามไปเผาก็เอาไปเลย เพราะไม่รับรู้อะไรเลย ไปแบบหมดตัวจริง ๆ

ไปเพราะความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ ไม่ได้ไปเพราะกำลังตัวเอง ดังนั้น...พอท่านบอกว่าพอพร้อมก็ไปเลย ผมก็โดดขึ้นรถไปเลย มีผ้าติดตัวอยู่ชุดเดียวนั่นแหละ

เถรี
05-07-2016, 12:15
พอไปถึงวัดก็ทำหน้าที่การงานอะไรต่าง ๆ ตามปกติ เจอเจ๊บ๊วยเจ้าของร้านมะม่วงดองหน้าวัด กับลุงอุ่น สองตายายก็ถามว่า “วัดยังไม่มีงานนี่ มาทำอะไรตอนนี้ ?” บอกไปว่ามาบวชครับ หลวงพ่อท่านให้บวชผมก็โดดขึ้นรถมาไม่มีอะไรติดตัวมาเลย เจ๊บ๊วยกับลุงอุ่นก็เลยไปซื้อชุดขาวให้ แล้วก็ควักเงินให้ไว้ ๓๐๐ บาท บอกว่าให้เก็บเอาไว้ใช้ บางทีเราก็ต้องคิดว่า คนเราเกิดมามีบุญรักษาและมีกรรมรักษา ไม่มีอะไรที่เราต้องกลัว ถ้าคุณคิดว่าคุณทำบุญไว้ดี ไปไหนก็ต้องมีคนสงเคราะห์

ปรากฏว่าผมไปเป็นคนแรก เพราะหลวงพ่อท่านต้องการพระ ๓ รูป แต่พอหลวงพ่อท่านกลับจากบ้านสายลม รายชื่อเพิ่มมาเป็น ๓๖ รูป สรุปว่าที่หลวงพ่อต้องการบวชพระ ๓ รูปกลายเป็น ๓๖ รูป บวชกันวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๙

ท่านตั้งฉายาให้ ท่านบอกว่า “ฉายานี้พระท่านประทานให้ เป็นฉายาที่ตรงกับทุกคน ถ้าหากว่าสึกหาลาเพศไป เมื่อบวชใหม่ก็ให้ใช้ฉายานี้” แล้วท่านก็แปลให้ฟังทีละคน ๆ มาถึงผมท่านตั้งฉายาว่า “สุธมฺมปญฺโญ” ท่านแปลว่า มีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก แรก ๆ ผมได้ยินผมก็นั่งงง ดีตรงไหนวะ ? ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรเลย แต่หลังจากที่อยู่มานาน ๆ เข้าลูกศิษย์ลูกหามากขึ้น ๆ แต่ละคนล้วนแล้วแต่เอาปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้มาถาม ผมถึงได้เข้าใจว่าทำไมท่านถึงได้ตั้งฉายาผมว่า สุธมฺมปญฺโญ แล้วบอกว่ามีปัญญาในการปฏิบัติธรรมดีมาก ก็เพราะว่าปัญหาที่ท่านทั้งหลายถามนั้น ผมไม่เคยถามเลย ผมใช้วิธีปฏิบัติเอา เมื่อปฏิบัติไปถึงจะได้คำตอบเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปถาม

เถรี
06-07-2016, 13:22
ฉะนั้น...ในช่วงระยะเวลาที่ปฏิบัติอยู่กับท่าน ช่วงฆราวาส ๑๑ ปีและช่วงเป็นพระอีก ๗ ปีกว่า ผมเคยถามปัญหาหลวงพ่ออยู่ ๔ ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกไม่ใช่ถามปัญหาด้วย ไปต่อว่าท่าน ว่าท่านเขียนหนังสือผิด ก็คือช่วงนั้นผมกำลังเริ่มปฏิบัติอยู่ ตั้งใจอยากจะได้ปฐมฌานเพื่อเอาไว้ตัดกิเลส อย่างต่ำจะได้เป็นพระโสดาบันกับเขา ผมทุ่มเทอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ไม่ได้สักที จนกระทั่งถึงวันหนึ่งเหนื่อยเต็มทีแล้ว ทำมาเท่าไรก็ไม่ได้ ก็ช่างเถอะวะ ได้ไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ทำก็แล้วกัน ปรากฏว่าโป๊ะ...เป็นฌานเลย

ทันทีที่ผมมั่นใจว่าตรงนี้คือปฐมฌานแน่นอน ผมโดดขึ้นรถเมล์จากกรุงเทพฯ ตรงไปอุทัยธานี ไปถึงตอนช่วงบ่าย ๓ โมงได้ หลวงพ่อท่านยังรับแขกอยู่บนศาลานวราชบพิตร ข้างหอนาฬิกาด้านฝั่งโบสถ์ใหม่ พอขึ้นไปถึงท่านก็ว่า “ไอ้หนูมาจากไหนหว่า ? มีอะไรจะคุยบ้างไหม ?” ผมกราบงามสามครั้งแล้วเรียนท่านว่า “หลวงพ่อเขียนตำราผิดนี่ครับ..!”

ท่านหัวเราะ เป่ายานัตถุ์เสร็จก็บอก “ใจเย็น ๆ ไหนลองว่ามาซิ” เรียนท่านว่า “หลวงพ่อเขียนตำราบอกว่าปฐมฌานต้องประกอบไปด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตารมณ์ เป็นขั้น ๆ ที่ผมทำได้ไม่ใช่แบบนั้นนี่ครับ พรวดเดียวมี ๕ ขั้นเลย” หลวงพ่อท่านบอกว่า “ไอ้หนู...เคยได้ยินคำที่โบราณที่ว่าลัดนิ้วมือเดียวไหม ?” แล้วท่านก็งอนิ้วดีดให้ดู คำว่าลัดนิ้วก็คือดีดนิ้ว

ท่านจะบอกว่า เราจะเห็นตอนที่นิ้วงอและตอนที่นิ้วตั้งตรงเท่านั้น แต่คนที่จิตละเอียดมาก ๆ เราจะเห็นว่าค่อย ๆ ขึ้นแบบนี้ ๆ ท่านค่อย ๆ ยืดนิ้วให้ดู ท่านบอกว่า “ที่หลวงพ่อเขียนก็คือค่อย ๆ ขึ้นแบบนี้ แต่ที่เอ็งเห็นก็คือตอนที่นิ้วงอแล้วไปตั้งตรงเลย” ผมกราบตูดโด่งสามที แล้วลาไปปฏิบัติต่อ

เถรี
06-07-2016, 13:25
นั่นครั้งแรก ไม่ได้ตั้งใจไปถามหรอก ไปต่อว่าท่านว่าท่านเขียนตำราผิด แต่ความจริงไม่ใช่เขียนผิด เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเร็วเกินไป ๕ ขั้นตอนเหมือนมาในวูบเดียว ก็เลยทำให้ผมเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้เกิดพร้อมกัน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ต้องค่อย ๆ เกิดขึ้น

ในส่วนนี้ก็เลยทำให้ผมไม่ค่อยจะมีปัญหาในการปฏิบัติ ผมมั่นใจว่าปัญหาในการปฏิบัติแทบทั้งหมดอยู่ที่เราทำ ถ้าเราทำจะได้คำตอบเอง เพียงแต่ว่าทำจริงหรือเปล่าเท่านั้น

จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ ๔ คำถามผมพอกินไปทั้งชีวิตแล้ว แม้กระทั้งอารมณ์สุดท้ายในการปฏิบัติท่านก็บอกเอาไว้ ท่านบอกว่า “ต้องไม่ติดในสุข ต้องไม่กังวลในทุกข์ ต้องวางเฉยในร่างกายนี้ให้ได้ ถ้าวางเฉยไม่ได้อย่างน้อยต้องเบื่อให้ได้ แล้วยอมรับกฎของกรรม” ให้พวกท่านจำเอาไว้เลย อารมณ์สุดท้ายในการปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ลงตรงนี้ผิดทางแน่นอน

เมื่อมาถึงช่วงของเดือนนี้ ครบรอบเดือนเกิดของท่าน ๑๐๐ ปีเต็มพอดี ผมก็ตั้งใจว่าจะทำอะไรบางสิ่งบางอย่างเป็นการเชิดชูครูบาอาจารย์ ถึงได้วางโครงการสร้างรูปสมเด็จองค์ปฐม รูปหลวงปู่ปาน รูปหลวงพ่อท่าน แล้วสถานที่ก็คือตั้งไว้บนนี้ เพราะที่วัดท่าขนุนนี้เนื้อแท้แต่ดั่งเดิมก็คือหลวงปู่พุก หลวงปู่สาย ผมเองแม้ว่าได้มากราบขอความรู้จากหลวงปู่สาย หลายต่อหลายครั้งด้วยกันในสมัยนั้น แต่ถ้าเราเอาหลวงปู่ปาน หลวงพ่อไว้ด้วย จะเหมือนอย่างกับว่าขัดกับคนในพื้นที่ เมื่อมีโอกาสสร้างศาลาหลังนี้ ผมจึงเอาไว้ข้างบนเลย

เถรี
06-07-2016, 13:27
ถ้ากลางค่ำกลางคืนใครต้องการจะปฏิบัติก็ขึ้นมาได้เลย สมัยก่อนที่ผมอยู่ที่วัดท่าซุง เวล่ำเวลาในการนอนของผมไม่มีหรอก คืนไหนนอนถึง ๒ ชั่วโมงนับว่าเยอะมากแล้ว ผมทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ง่วงตรงไหนผมกองลงไปแล้วก็นอนตรงนั้นแหละ ได้เวลาก็คว้าบาตรออกบิณฑบาต ทำกิจกรรมอะไรเพื่อส่วนรวมตามหน้าที่ตนเอง เสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าที่ปฏิบัติของเราไป ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน

เพราะฉะนั้น...อย่าไปคิดว่าผมเองมีเวลา เป็นพระอยู่ใต้บารมีหลวงพ่อท่าน ๗ พรรษา แต่ใน ๗ พรรษานี้ผมมั่นใจว่า ผมทำมากกว่าท่านที่อยู่ ๒๐-๓๐ พรรษาหลายเท่านัก เพราะว่าสมัยนั้นหลายท่านไม่ค่อยยอมศึกษาเรื่องอะไรกันเลย พอถึงเวลาก็ให้ผมทำแทน จนกระทั่งบางทีผมเหนื่อยขึ้นมา ผมก็เลยบ่นว่า "แล้วทำไมพี่ไม่ศึกษาเล่าเรียนกันเอาไว้บ้าง ?" ท่านบอกว่า "เป็นแล้วมันเหนื่อย"

ในเมื่อท่านเป็นแล้วเหนื่อย ผมก็กอบโกยอยู่คนเดียว แล้วก็เหมือนหลวงพ่อท่านจะเห็นว่า ผมพอจะรับอะไรบางอย่างจากท่านได้ ท่านก็เลยเทให้จนกระทั่งผมรู้สึกว่าทุกวันนี้ก็ยังเคี้ยวไม่หมดสักที บางอย่างก็ยังเป็นแค่ความรู้ดิบ ๆ เฉย ๆ ที่ยังไม่สามารถจะย่อยสลายได้

เถรี
06-07-2016, 13:29
เมื่อทำโครงการทางด้านบนนี้แล้วก็เห็นว่า ๑๐๐ ปีของหลวงปู่สายผมสร้างศาลาใหญ่ถวายทั้งหลัง ก็เลยกะว่าจะทำพิพิธภัณฑ์สักส่วนหนึ่ง เพราะว่าวัดท่าขนุนนั้นมีอีก ๒ สถานะ จริง ๆ มีมากกว่านั้น แต่อีก ๒ สถานะคือ ศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชน อีกสถานะหนึ่งก็เป็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน

เมื่อเป็นลักษณะนั้น ผมก็เลยคิดจะทำพิพิธภัณฑ์และนิทรรศการเกี่ยวกับความรู้ในพระพุทธศาสนา พิพิธภัณฑ์ปกติเขาจะเก็บของเก่ากัน ผมไม่เก็บของเก่า แต่จะเก็บงานฝีมือ เป็นงานฝีมือระดับช่างสิบหมู่ เพื่อให้บรรดาลูกหลานรุ่นหลัง ๆ เขาได้มีความภาคภูมิใจในงานฝีมือที่เป็นไทย ๆ ของบรรพบุรุษเรา ว่าภูมิปัญญาตลอดจนความละเอียดอ่อนทางจิตใจของเรา มีมากไม่แพ้ชาติไหนภาษาไหน

อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง ส่วนที่มองเอาไว้ก็คือบรรดาวัตถุมงคลของหลวงปู่สาย ถ้าทำพิพิธภัณฑ์เสร็จ ส่วนไหนที่ยังไม่มีอาจจะต้องขอรับบริจาคจากคนในพื้นที่ ส่วนไหนมีก็เอาลงเองไว้ก่อน

อีกส่วนหนึ่งเป็นเครื่องรางของขลังจริง ๆ ก็คือสิ่งที่แทบจะไม่เกี่ยวกับพระเลย จะเป็นพวก มีดหมอ ตะกรุด พิสมร ลูกอม ผ้ายันต์ อะไรประมาณนั้น เพราะว่าสิ่งทั้งหลายนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนโบราณมาก่อน แม้กระทั่งการรบทัพจับศึกต่าง ๆ ก็พกแต่เครื่องรางของขลัง ไม่มีพระเลย เพราะสมัยก่อนเขาถือว่าพระต้องอยู่กับวัด ถือสามาก พระจะมาอยู่ในบ้านไม่ได้ แม้กระทั่งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็ยังมีเครื่องคาดราชศาสตรา

เถรี
06-07-2016, 13:32
เพิ่งจะมามีชัดเจน ก็คือ สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีการสร้างพระหูช้าง พระหูไห แต่ก็ไม่ได้สร้างเพื่อให้คนพกติดตัวเพราะว่าองค์ใหญ่ ท่านสร้างเพื่อเอาไว้ป้องกันช้างป้องกันม้า ให้หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ ช่วยเสกเป่าให้เกิดความอยู่ยงคงกระพัน ป้องกันอาวุธจากข้าศึกที่จะมาทำร้ายพาหนะ เสร็จแล้วก็ไปแขวนคอช้าง แขวนคอม้า เขาก็เรียกพระหูช้างบ้าง พระหูไหบ้าง เพราะสมัยก่อนไหจะมีหูไว้ให้เชือกโยง ๒ มุมบ้าง ๔ มุมบ้าง แล้วก็เอาไม้คาดสอดหามไป

มาที่ปรากฏเด่นชัดเลยก็สมัยรัชกาลที่ ๑ ทรงอาราธนาพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ องค์หนึ่งไปออกรบด้วยทุกครั้ง และไม่เคยรบแพ้ใคร ก็เลยเรียกว่าพระชัยหลังช้าง กระทั่งสมัยสงครามโลกครั้ง ๒ มีการสร้างพระเป็นจำนวนมากเพื่อแจกให้กับทหารที่ออกรบ พอรบเสร็จเขาก็เอากลับไปถวายวัด บางวัดอย่างวัดโพธิ์นี่กองพะเนินเลย เพราะว่าทหารออกรบทีหนึ่งหลาย ๆ กองพล ส่วนที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของเขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงเป็นพวกเครื่องรางของขลัง ไม่ว่าจะเป็นของขลังธรรมชาติพวกคด พวกทนสิทธิ์ต่าง ๆ หรือว่าเป็นของขลังที่ครูบาอาจารย์ทำให้ จะเป็นตะกรุด พิสมร ลูกอม ผ้ายันต์ รอยสัก เสื้อยันต์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นสิ่งเขาเก็บติดเอาไว้รักษาตัว รักษาบ้าน

เถรี
06-07-2016, 13:33
จากการศึกษามา ไม่ทราบว่าจะเป็นตามสายของหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุงหรืออย่างไรไม่ทราบ ทำให้ผมมีความรู้สึกว่าการสร้างพระนั้นง่าย เพราะว่าอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ก็จบแล้ว แต่การสร้างเครื่องรางของขลังยาก เพราะเราต้องเสกสิ่งที่ไม่ใช่พระให้มีอานุภาพเหมือนกับพระ

เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็เลยเจตนาที่จะทำพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง เพื่อที่เอาไว้ให้รุ่นหลัง ๆ เขาได้ศึกษากัน ว่าสิ่งที่คนโบร่ำโบราณเขายึดถือ แล้วก็นำมาติดตัวใช้ในการป้องกันตนเอง ป้องกันครอบครัว ป้องกันประเทศชาตินั้น แต่ละอย่างมีรูปลักษณ์ต่าง ๆ กันไปอย่างไร ครูบาอาจารย์แต่ละท่านมีชื่อเสียงกันแบบไหน เราได้รู้ว่าเบญจภาคีตะกรุดเมืองไทยได้แก่อะไรบ้าง เบญจภาคีลูกอมเมืองไทยได้แก่อะไรบ้าง เบญจภาคีเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังประเภทเสือสิงห์กระทิงแรดมีอะไรบ้าง นั่นเป็นการจัดอันดับกันตามความนิยม

เถรี
10-07-2016, 13:43
ในเมื่อมีโอกาสได้ทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เพื่อครูบาอาจารย์ที่ตนเองเคารพนับถือ ก็ขอความร่วมมือจากพวกท่านในการที่บวชถวายกุศลด้วย ฉะนั้น...สิ่งที่เราทุกคนได้บวชกัน นอกจากถวายกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว วันนั้นที่ผมนำให้ก็บอกว่าถวายกุศลให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุงของเราด้วย ตอนที่เราบวชถวายหลวงปู่สายนั้น ๑๑๗ รูป แต่บวชถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงผมเอาร้อยเดียวถ้วน ๆ เพราะไม่มั่นใจว่าจะบวชหมดภายในวันเดียวหรือเปล่า ขนาดนั้นพระเก่ายังบ่นกันว่านั่งจนหัวเข่าจะหลุด ตั้งแต่ ๖ โมงเช้านั่งยัน ๔ โมงเย็น

ในส่วนนี้จุดที่ต้องการ ก็คือ เลี้ยงพระเพื่อสร้างบุญกุศลถวายแก่หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอีกรอบหนึ่ง ก็พอดีหลวงพี่นิลหรือที่หลายท่านเรียกว่าหลวงพ่อนิล ท่านรับเป็นเจ้าภาพตรงจุดนี้ คือข้าวปลาอาหารในวันนี้ หลวงพี่นิลกับคณะศิษย์รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพวกเราทุกคน ก็ต้องบอกว่าเป็นมหาสังฆทาน เพราะมีพระเกิน ๑๐๐ รูป สมัยโบราณ ๑๐๐ เขาถือว่าสมบูรณ์บริบูรณ์ก็คือเต็มร้อยถ้วน ๆ

ในบรรดาคณาจารย์ ๖ ท่านสมัยพุทธกาล มีอยู่ท่านหนึ่งเรียกว่าบูรณกัสสปะ คำว่า “บูรณะ” แปลว่าเต็มถ้วน สมบูรณ์บริบูรณ์ เพราะเขาเป็นคนที่เกิดมาเป็นคนที่ ๑๐๐ พอดี บรรดาทาสในเรือนเศรษฐี พอบูรณกัสสปะเกิดมา จาก ๙๙ คนก็ ๑๐๐ ถ้วน เขาตั้งชื่อว่านายกัสสปะ ก็เลยต่อฉายาไว้ด้านหน้าว่าบูรณกัสสปะ คราวนี้เราต้องบอกว่าเกินร้อย ในเมื่อเกินร้อยก็แปลว่ามีมาก"

เถรี
10-07-2016, 13:46
สมัยก่อนคุยกับหลวงปู่บุดดา หลวงปู่บุดดาท่านใช้คำว่า “โอ๊ย...หลวงปู่ปานนะหรือ ? มีบริวารตั้งร้อย..!” คำว่าตั้งร้อยของท่านก็คือเยอะมาก ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านรู้จักหลวงปู่ปานอยู่ ๓ รูป ก็คือ หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย เจ้าของเครื่องรางรูปเสืออันดับ ๑ ของเมืองไทยเลย แต่จะบอกให้ว่าตะกรุดมหาปราบของท่านนั้น หายากกว่าเครื่องรางรูปเสือไม่รู้กี่เท่า

หลวงปู่ปานรูปที่ ๒ ที่ท่านรู้จัก คือ หลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา นครชัยศรี เจ้าของลูกอมจินดามณี เป็นลูกอมอันดับ ๑ ของเมืองไทย หลวงปู่ปานองค์ที่ ๓ ที่ท่านรู้จัก คือ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ถึงเวลาท่านเป็นคนโบราณ เวลาท่านเปรียบเทียบอะไร อาตมาฟังแล้วก็แปลก ๆ หู “โอ๊ย...หลวงปู่ปานนะหรือ ? บริวารตั้งร้อย..! หลวงพ่อฤๅษีก็เหมือนกัน บริวารเป็นร้อย..!” ผมนับดูเป็นแสนเลย แต่ตัวเลขของหลวงปู่ท่านตั้งร้อย..!

เวลานิมนต์ท่านเข้าไปในศาลา ๑๒ ไร่ท่านก็มองซ้ายมองขวา มองใหญ่ ตื่นเต้นเหมือนกับเด็ก ๆ ถามว่าเป็นอย่างไรครับหลวงปู่ ? “โอ้...ใหญ่กว่าโบสถ์วัดพระแก้วอีกน้อ” ผมก็ขำ ศาลา ๑๒ ไร่โบสถ์วัดพระแก้วยัดเข้าไป ๕ โบสถ์ได้สบายเลย ในชีวิตหลวงปู่เห็นใหญ่ที่สุดคือโบสถ์วัดพระแก้ว เพราะท่านไม่ค่อยได้ไปไหน ท่านก็ไม่รู้จะเปรียบกับอะไร ก็เลยเปรียบกับโบสถ์วัดพระแก้ว

เถรี
10-07-2016, 13:58
ฉะนั้น...ในส่วนนี้ที่พวกเราทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกันทำ เพื่อสร้างกุศลถวายให้ครูบาอาจารย์ที่เคารพรักของเรา ก็ช่วยกันทำในสิ่งที่ดีที่สุด ผมเองก็ตั้งใจสร้างรูปหล่อถวายท่าน หาช่างที่ฝีมือดีที่สุดคือท่านอาจารย์สุชาติ ซึ่งท่านเองก็ต้องบอกว่าไม่ค่อยจะรับงานใคร เพราะว่าชราได้ที่แล้ว ถามว่าฝีมือสุดยอดขนาดไหน ? คุณดูรูปสมเด็จองค์ปฐมก็แล้วกัน ผมทำศาลารอไว้ ท่านมายืนก้มเงยครั้งเดียวก็ไปเลย

ถามว่าจะไม่วัดพื้นที่สักหน่อยหรือครับ ? ท่านบอกไม่เป็นไร...ทำได้ แค่ใช้สายตากะเอา เหลือเชื่อไหม ? ส่วนรูปหลวงปู่กับหลวงพ่อท่านบอกว่าใหญ่กว่าตัวจริงนะ ถามว่าใหญ่ขนาดไหน ? ท่านบอกว่าต้องใหญ่ขนาดที่พอไปอยู่ในศาลาแล้วรู้สึกว่าพอดี แล้วคุณดูตามสายตาว่าเป็นอย่างไร ? เรามองไปจะรู้สึกว่าศาลากับหลวงปู่หลวงพ่อนี่พอดีเหลือเกิน ศาลาไม่ใหญ่จนรูปท่านเล็กเกินไป แล้วรูปท่านก็ไม่ใหญ่จนรู้สึกศาลาดูเล็กเกินไป

พวกท่านทั้งหลายก็ตั้งใจบวช ตั้งใจปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะคุยจนดึก ๆ ดื่น ๆ บ้างก็เถอะ ไม่เป็นไร...ฟุ้งซ่านก็ต้องมีบ้างแหละนะ ประเภทเขี่ยไลน์ไม่เลิกก็เหมือนกัน ผมเดินผ่านบอกว่าเลิกได้แล้ว แหม...ยังมีการเดือดวิบขึ้นมาอีก คิดว่าผมเป็นเพื่อน ไม่นึกว่าพระอุปัชฌาย์จะไปนอนอยู่ข้าง ๆ

ผมไม่ได้มีที่นอนดีเด่นอะไร ก็นอนศาลาเหมือนกับท่านทั้งหลายนั้นแหละ ...(หัวเราะ)... ตอนผมป่วย ท่านอาจารย์เตชะเข้าไปเยี่ยมในกุฏิ ถามว่า “นี่อาจารย์ไม่มีอะไรเลยหรือ ? เตียงยังไม่มีเลย” แล้วจะเอาไปทำไม เกะกะ นอนแบกับพื้นนั่นแหละ ดิ้นอย่างไรก็ไม่ตกเตียง

ในเมื่อท่านทั้งหลายทำในสิ่งที่ดีที่สุดของเราเพื่อถวายกุศลให้กับท่าน หลวงพี่นิลท่านก็ตั้งใจนำเอาอาหารมาถวาย โดยเฉพาะเจตนาที่ตั้งใจก็คือ แม่ชีทั้งหลายเหนื่อยกันอยู่ทุกวัน วันนี้ไม่ให้แม่ชีเหนื่อย ให้ขึ้นมากินด้วยกัน ก็ต้องขออนุโมทนาหลวงพี่นิลกับคณะศิษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต ที่เป็นตัวตั้งตัวตี ไม่อย่างนั้นแล้วผมก็กะจะให้พวกท่านทั้งหลายฉันผัดบะหมี่สำเร็จรูปกันอีกวัน บิณฑบาตได้มาเยอะเหลือเกิน...!

เถรี
10-07-2016, 14:07
(มีโยมเอาน้ำปานะมาถวาย) ผมฉันไม่เป็นหรอก เอาไปทางอื่นเถอะ ผมถนัดแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว เดี๋ยวก็เหาะมาเองแหละ มาถึงระดับนี้แล้วเขาเรียกว่า ฐานาฐานะฤทธิ์ คือฤทธิ์อันเกิดจากฐานะของตน เวลาต้องการอะไรก็มาเอง

พระพุทธเจ้าของเราเป็นสุดยอดอัจฉริยะมนุษย์จริง ๆ ทุกอย่างที่พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ ไม่มีอะไรที่เราเถียงได้เลยแม้แต่คำเดียว พระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ตั้งแต่ต้นยันปลาย ทุกอย่างสอดคล้องประสานเสริมกันหมด ไม่มีขัดกันแม้แต่ประโยคเดียว ต่อให้ประเภทด็อกเตอร์กี่ใบ ๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำวิทยานิพนธ์ลักษณะนี้ได้ เพราะเราไม่ใช่สัพพัญญูคือรู้ทุกเรื่อง แต่พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูรู้ทุกเรื่อง ในเรื่องที่ท่านสอนเราเป็นใบไม้แค่กำมือเดียว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบัน ประโยชน์สุขในอนาคต และประโยชน์สูงสุดคือหลุดพ้นจากกองกิเลสเข้าสู่พระนิพพาน ส่วนใบไม้ทั้งป่าที่ท่านไม่ได้สอนเรานั้น มากมายมหาศาลขนาดไหน เกินความรู้ที่เราจะไปประเมินถึง

เถรี
13-07-2016, 13:15
ท่านทั้งหลายที่อยู่ต่อ บวชต่อ ถ้ารู้จักสังเกตการจัดงานของวัดท่าขนุนแต่ละครั้งที่ผ่าน ๆ มา จะเห็นว่าที่ผมจัดงานนั้น เจ้าคณะปกครองในพื้นที่ ก็คือบรรดาเพื่อนเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ จำเป็นต้องนิมนต์มา เพราะอันดับแรกคือท่านเป็นผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด จะได้รู้ว่าเรามีการมีงานอะไรที่ทำอยู่

ประการที่สองเพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีงามในระหว่างเพื่อนพระสังฆาธิการด้วย ถ้าเรามีกำลังน้อย จากระดับวัดไปตำบล ไปอำเภอก็พอแล้ว ถ้ากำลังมากขึ้นก็ไประดับจังหวัดอย่างที่ผมทำอยู่ คือเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภออื่น ๆ แล้วก็เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เพื่อให้ท่านได้มาเห็นว่าเราทำงานอะไร ถ้าหากว่ามีกำลังมากกว่านั้นก็คือจังหวัดอื่น ๆ ใกล้เคียง อย่างที่ผมนิมนต์มาก็มีสุพรรณบุรี สมุทรสาคร นครปฐม เพราะว่าเป็นจังหวัดที่อยู่ภาค ๑๔ ด้วยกัน

เรื่องพวกนี้เป็นศิลปะที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถ่ายทอดเอาไว้ให้ เพราะว่าสมัยนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านนิมนต์พระต่าง ๆ ไปในงานทำบุญประจำปี ผมเองเป็นคนโลภมาก กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “บรรดาท่านที่หลวงพ่อนิมนต์จำนวนมากด้วยกัน กำลังใจใช้ไม่ได้เลย แล้วหลวงพ่อนิมนต์มาทำอะไรครับ” พูดง่าย ๆ คือผมเสียดายเงิน

หลวงพ่อก็หัวเราะ บอกว่า “เราเลี้ยงพระ ถวายไทยธรรมเป็นสังฆทาน มีพระแก้วอย่างหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสามพระยาเป็นหัวอยู่รูปหนึ่ง ก็อานิสงส์มากมายมหาศาลเหลือเฟือแล้ว ท่านทั้งหลายก็เท่ากับเป็นคณะสงฆ์ ให้เราตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน เพื่ออานิสงส์เต็มที่ของพวกเรา บรรดาท่านที่เอ็งบอกว่าใช้การไม่ได้นั้น ส่วนหนึ่งจะเติบโตไปเป็นเจ้าคณะปกครอง ถ้าหากว่าเรารู้จักเอาไว้เสียตั้งแต่แรก ต่อไปมีอะไรก็สามารถที่จะขอให้ท่านช่วยเหลือได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา”

เถรี
13-07-2016, 13:25
แล้วก็เป็นจริง เพราะว่าหลังจากที่อยู่ช่วยงาน โดยเฉพาะต้อนรับพระผู้ใหญ่ที่รู้จักมักคุ้นกันที่วัดท่าซุงอยู่หลายปี พอออกจากวัดมา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคณะปกครองระดับไหนก็คือคนคุ้นเคยที่ได้รู้จักกันตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ท่านก็จำผมได้ ผมก็สนิทสนมคุ้นเคยกับท่าน เคยต้อนรับท่าน ทุกอย่างเลยกลายเป็นเรื่องง่าย หลายท่านถึงขนาดออกปากเลยว่า “ไปอยู่ที่ไหน ถ้าหากว่ามีใครเขารังแก ให้บอกว่าเป็นเด็กผม” ผมไม่เคยใช้เลย หลวงพ่อบางท่านไปถึงก็บอกว่า “มีอะไรให้ช่วยเหลือบ้างไหม ? ถ้าหากว่าไม่ไหวก็บอกนะ” ผมก็ได้แต่กราบขอบพระเดชพระคุณขอรับ แต่ใจไปคิดว่า ถ้าผมทำไม่ไหวท่านก็คงช่วยผมไม่ได้หรอก ...(หัวเราะ)... ไอ้ตัวนี้ไม่ค่อยดี หยิ่งไม่เข้าท่า

แล้วอีกประการหนึ่งก็คือบรรดาเพื่อนฝูงที่เรารู้จัก เพื่อนสหธรรมิกที่เรารู้สึกสนิทใจในปฏิปทาการปฏิบัติของท่าน ท่านจะเห็นว่างานฉลองต่าง ๆ เดือนมิถุนายนหรือว่างานทำบุญถวายหลวงปู่สาย ผมจะยกให้ทางสายคณะปกครองเขา แต่ถ้าหากว่างานทำบุญวันแม่นี่ผมตั้งใจทำบุญให้แม่ ผมจะเลือกพระสายปฏิบัติที่เป็นสหธรรมิก ซึ่งสนิทใจในแนวการปฏิบัติของท่านก็นิมนต์มา

แต่ระยะหลังก็จะมีส่วนหนึ่งที่ติดเพิ่มมา ก็คือ ท่านทั้งหลายที่มาสายของพระโพธิสัตว์ ผมเสียดายกำลังของท่าน ก็เลยดึงมาเพื่อที่จะช่วยกันประคับประคองเอาไว้ ถ้าท่านเห็นศรัทธาของญาติโยมที่มีต่อพระศาสนา เกิดจิตสำนึกที่จะปฏิบัติเพื่อส่วนรวมขึ้นมา ท่านก็จะได้ก้าวเดินไปในทางที่ถูกที่ควร ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าท่านเลี้ยวผิดไป จะเป็นสิ่งที่น่าเสียดายในบุญบารมีที่ท่านสร้างมานาน

ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้เป็นเทคนิควิธีการ หรือกลวิธีที่ศึกษามาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็คือในส่วนของเพื่อนสหธรรมิกก็ดี เพื่อนฝูงร่วมรุ่นจะเป็นที่เรียน ที่อบรมอะไรก็ตาม ตลอดจนกระทั่งผู้บังคับบัญชา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนนิมนต์ท่านมา เพื่อให้ท่านได้รู้ว่างานการที่เราทำอยู่มีอะไรบ้าง ขณะเดียวกันในส่วนที่เราต้องการบุญกุศลให้กับพ่อแม่ของเราเป็นอย่างไร

เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราอย่ามองเฉย ๆ คิดให้เป็น ดูงานให้ออก ไม่ใช่ต้องมาบอกกันเสียทุกเรื่อง ถึงเวลาได้เติบโตขึ้นไป ต้องไปเป็นเจ้าอาวาสเอง เจ้าคณะตำบลเอง เจ้าคณะอำเภอเองจะได้รู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร บ้านเราเมืองเราเรื่องของความเกรงผู้ใหญ่ ในวงเล็บก็คือเส้นสายนั่นแหละ ยังเป็นเรื่องปกติอยู่ ฉะนั้น...ถ้าหากมีเส้นมีสายจะทำอะไรก็ง่ายกว่าเขา สะดวกกว่าเขา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานทำบุญ ๑๐๐ ปี ชาตกาลหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๙
ณ ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)