PDA

View Full Version : เก็บตกงานทำบุญฉลองบ้านวิริยบารมี วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙


เถรี
02-04-2016, 13:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาไปปฏิบัติธรรมของพระอุปัชฌาย์ใหม่ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม ธรรมโมลี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ๑๕ วันผ่านไปเห็นผลชัดอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องแรกคือขาวขึ้น เพราะไม่ค่อยโดนแดด อย่างที่ ๒ คือน้ำหนักหายไป ๓ กิโลกรัมกว่า เพราะว่าเดินจงกรมทั้งวัน

คำว่า "เดินทั้งวัน" ความจริงก็เดินสลับกับนั่ง แต่โดยปกติทั่วไปมักจะไม่ค่อยได้เดินมากขนาดนั้น เพราะว่าตี ๔ สัญญาณระฆังดังแล้ว ปฏิบัติยาวไปจนถึง ๐๖.๓๐ น. ระหว่าง ๐๖.๓๐ น. - ๐๗.๐๐ น.ให้โยคีผู้ปฏิบัติธรรมเดินไปโรงครัวที่ห่างไปประมาณ ๓๐ เมตร ให้เวลาเดินครึ่งชั่วโมง..! พอฉันเช้าเสร็จ ๐๘.๐๐ น. ก็เริ่มการปฏิบัติรอบสายไปถึง ๑๐.๓๐ น. แล้วให้ครึ่งชั่วโมงเดินทางระยะ ๓๐ เมตรไปหอฉันอีก

ฉันเสร็จเที่ยงครึ่ง สัญญาณระฆังดังใหม่ ปฏิบัติจนถึง ๑๖.๐๐ น. คราวนี้มีเวลาพักหน่อยเพราะว่า ๑๘.๐๐ น. สัญญาณระฆังถึงจะดัง แล้วก็ปฏิบัติไปถึง ๒๑.๐๐ น. วงจรก็วงเวียนอยู่อย่างนี้ตลอด ๑๕ วัน มีหลายคนเครียดจนทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคย “ชาร์จแบตตัวเอง” เยอะขนาดนั้น แต่ของอาตมายังไม่ค่อยจะเต็มเลย สงสัยว่าเซลล์จะบรรจุพลังงานได้เยอะกว่าเขา"

เถรี
02-04-2016, 13:34
"หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม หรือที่เราเรียกว่า วัดพิชัยญาติ ไปเยี่ยมแล้วก็ให้โอวาท ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของท่านเจ้าคุณอาจารย์ ๒ ท่าน ก็คือ พระราชสิทธิมุนี, วิ. หรือท่านเจ้าคุณอาจารย์บุญชิต วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ รูปนี้ท่านเป็นดับเบิ้ลด็อกเตอร์ จบปริญญาเอกจากมหิดลใบหนึ่งและจากมหาจุฬาฯ ใบหนึ่ง และท่านเจ้าคุณอาจารย์วีระเวสน์ หรือพระราชปัญญารังษ์ ท่านนี้ก็จบด็อกเตอร์ของมหาจุฬาฯ มา

ตกลง มี ๒ ดร.อยู่ตรงนั้น สนุกสนานมากเพราะวัน ๆ ไม่มีอะไร “ขวาย่างหนอ...ต่อไปเดินเอง” “ซ้ายย่างหนอ...ต่อไปเดินเอง” ไปจนหมดชั่วโมงก็ “เอ้า..กำหนดนั่ง ปฏิบัติตามที่เคยทำมา” ไปจนหมดชั่วโมง ...(หัวเราะ)... พูดน้อยทั้งท่านอาจารย์และลูกศิษย์

ก่อนเลิกปฏิบัติธรรม ๒ วัน พวกอาตมาก็มีแนวคิดว่า ญาติโยมที่ไปช่วยกันทำบุญ ส่วนใหญ่แล้วปัจจัยก็ไปลงที่มูลนิธิวัดพิชัยญาติ ก็คือเข้าส่วนกลางหมด บรรดาพระวิปัสสนาจารย์ก็ดี พระเจ้าหน้าที่ก็ดี ตลอดจนกระทั่งญาติโยมที่ดูแลการครัวและสถานที่ก็ดี เหนื่อยเพื่อพวกเราอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะฝ่ายการครัว ก็เลยชวนกันทำบุญ

ในเมื่อชวนเขา อาตมาก็ต้องลงมือเอง คือนั่งรับบริจาค เบียดบังเวลาปฏิบัติไปเกือบหมด ก็ได้เงินมา ๘๙,๙๐๐ บาท ถวายให้กับท่านเจ้าคุณอาจารย์ และพระเจ้าหน้าที่ ตลอดจนกระทั่งมอบให้เป็นสินน้ำใจแก่บรรดาฆราวาสที่ดูแลงาน ๖๐,๕๐๐ บาท เหลือ ๒๙,๔๐๐ บาท อาตมาเติมให้ครบ ๓๐,๐๐๐ บาทถ้วน แล้วมอบเข้าส่วนกลางไป"

เถรี
02-04-2016, 13:37
"วันสุดท้ายมีการเลือกประธานรุ่น รองประธานรุ่น ผู้ประสานงานของภาค เพื่อที่จะให้พระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ มีการติดต่อประสานงาน แล้วก็ช่วยเหลือสังคมตลอดจนคณะสงฆ์ร่วมกัน ก็มีผู้เสนอชื่อหลวงพ่อพระครูโสภิตปัญญากร วัดป่าประดู่ เจ้าอาวาสพระอารามหลวง จังหวัดระยอง ด้วยเสียงเกินครึ่งห้อง แล้วเสนอชื่อพระครูปทุมวรกิจ หรือหลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง ซึ่งย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดชินวราราม พระอารามหลวงที่ปทุมธานี ด้วยเสียงอีกเกือบครึ่งห้อง แล้วก็มีเสียงเบา ๆ เสียงหนึ่ง เสนอชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรม

หลังจากนั้นก็ไม่มีอีก ส่วนใหญ่เลยตกลงกันว่า เราต้องการประธาน ๑ รองประธาน ๒ ก็เอาสามท่านนี่แหละ ท่านไหนได้เป็นประธาน อีก ๒ ท่านก็เป็นรองไป พอตกลงวิธีการเลือกประธานกัน อย่างแรกให้ยกมือลงคะแนนเสียง ก็ปรากฏว่าคนจำนวนมากด้วยกันบอกว่าการนับเดี๋ยวสับสน ประเภทยกขึ้นยกลง เลยมีวิธีที่ ๒ ก็คือให้จับสลาก ก็มีคนบอกว่าเด็กเกินไป ก็เลยมีคนเสนอทางออกที่ ๓ ว่าให้ทั้ง ๓ ท่านไปคุยกันเองว่าใครจะเป็น จึงโดนจับยัดเข้าห้องไป"

เถรี
02-04-2016, 13:40
"พอเข้าห้องไป หลวงพ่อพระครูโสภิตปัญญากรท่านก็บอกว่า “ผมสละสิทธิ์นะ เดี๋ยวจะเสนอให้หลวงพ่อวัดชุมพลนิกายาราม ท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอบางปะอินด้วย เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงด้วย จะให้ท่านเป็นแทน” แต่หลวงพ่อชำนาญท่านบอกว่า “ให้อาจารย์เล็กเป็น แล้วหลวงพ่อวัดชุมพลฯ กับผมเป็นผู้ช่วย ถ้าไม่ได้ตามนี้หลวงพ่อวัดป่าประดู่ก็ต้องเป็นเอง”

ในเมื่อหลวงพ่อวัดป่าประดู่ท่านไม่ยอมเป็น ท่านก็เลยยอมให้อาตมาเป็นแต่โดยดี แล้ว ๒ ท่านก็ช่วยขนาบข้างหิ้วปีกอาตมาที่ทำท่าเหมือนจะเป็นลมออกมา ที่ทำท่าจะเป็นลมเพราะว่าเขามีทั้งเจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าอาวาสพระอารามหลวง เปรียญธรรม ๙ ประโยค และ ด็อกเตอร์ตั้งเยอะแยะ และที่แน่ ๆ คือพรรษา ๕๐ กว่า ๔๐ กว่าบานตะเกียงเลย อาตมาอาวุโสเป็นอันดับที่ ๒๗ ของรุ่น"

เถรี
02-04-2016, 13:43
"มาถึงหน้าห้อง หลวงพ่อวัดป่าประดู่ก็หยิบไมโครโฟนยื่นให้ “เอ้า...แถลงการณ์เอง” อาตมาก็เลยต้องแถลงการณ์กับบรรดาพระอุปัชฌาย์ว่า “เนื่องจากท่าน ๒ คนรุมผม แล้วผมตบตีสู้ท่านไม่ได้ครับ ผมก็เลยต้องกลายเป็นประธานรุ่น” หลวงพ่อวัดชุมพลนิกายารามเป็นรองประธานรูปที่ ๑ หลวงพ่อชำนาญเป็นรองประธานรูปที่ ๒ แล้วให้ประธานเลือกเลขานุการ อาตมาก็เลือกพระครูเวทีวรวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบุรี ที่จบด็อกเตอร์รุ่นเดียวกันให้เป็นเลขานุการรุ่น ท่านเองก็เลือกผู้ช่วยเลขานุการ ๒ รูป คือ พระครูสิทธิวัฒนคุณ วัดกระจัง ที่เขตตลิ่งชัน แล้วอีกท่านคือ พระปลัดธวัช สุทฺธจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดสวนมะม่วง อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี สรุปว่างานนี้กาญจนบุรียึดอำนาจ อาตมาก็เลยต้องไปนั่งวางแผนว่าจะบริหารงานอย่างไร จะติดต่อประสานงานอย่างไร

ท้ายสุดก็ตั้งผู้ติดต่อประสานงานของรุ่นใน ๖ ภาค ๒๓ จังหวัด โดยให้จังหวัดหนึ่งมีผู้ประสานงาน ๑ รูป ผู้ประสานงานทั้งหมดให้มีไลน์ติดต่อกับเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ แล้วก็นัดแนะกันไว้ว่างานที่สำคัญที่สุดก็คือ ปีหน้ามาเลี้ยงรุ่นน้องพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๒ เพราะปีนี้เจ็บใจมากรุ่นพี่ทิ้งเรา..! ความจริงไม่ใช่หน้าที่จะต้องมาเลี้ยงน้อง แต่เนื่องจากว่ารุ่นพี่ก็ต้องเอื้อเฟื้อกับรุ่นน้อง ก็เลยวางแผนไว้ว่า ในเมื่อรุ่นพี่เขาไม่มา ปีหน้ารุ่นเราก็เลี้ยงกันเอง"

เถรี
02-04-2016, 14:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "บอกให้ญาติโยมเอาน้ำมาคนละแพ็กเดียว นี่เอามาคนเดียว ๘๔ โหล..! ไปนึกถึงสมัยก่อนไปต่อว่าท่านย่า ถามท่านย่าว่า “ผมทำบุญทำทานมาขนาดนี้ ให้ผมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่พอเลย ชาตินี้ย่าให้ผมแค่นี้เอง” ท่านตอบกลับมาชัดมากเลยว่า “ไอ้หน้าอย่างเอ็งถ้ารวยก็เลว...!”

แล้วท่านก็ถามว่า “ลองนึกดูสิลูก ในชีวิตอยากได้อะไรแล้วไม่ได้มีไหม ?” อาตมาพยายามนึกแล้วก็ตอบท่านไปแบบจนแต้มว่า “ไม่มีครับย่า ถ้าผมอยากได้จริง ๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องได้” ท่านก็บอกว่า “แล้วยังไม่พอใช่ไหม ? นิสัยของพวกแกมักจะหนักไปข้างเดียว ไม่มีตรงกลาง ถ้าดีก็ดีใจหาย ถ้าร้ายก็ร้ายใจขาด ถ้าชั่วก็เป๋กระฉูดเลย ฉะนั้น...อย่างพวกแกถ้ารวยเมื่อไรก็ไม่มีทางได้เข้าวัดหรอก”

เถรี
02-04-2016, 14:18
"ขอน้ำโยมคนละแพ็ก เห็นเอามากันเยอะแยะ พอเห็นแล้วอาตมาไปนึกถึงตัวเอง ที่ไปสร้างเวรสร้างกรรมกับครูบาอาจารย์ ก็เลยต้องมาโดนบ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฉันยาถ่ายแล้วหมดสภาพ ท่านให้ไปหาน้ำเกลือแร่มาให้ขวดหนึ่ง อาตมาก็ซื้อมาถวายทีเดียวครึ่งโหล คงจะอานิสงส์นี้แน่นอน เพราะว่าท่านถ่ายจนหมดแรงขอน้ำเกลือแร่ขวดหนึ่ง แล้วอาตมาซื้อถวายครึ่งโหล ถึงเวลาต้องการอะไรน้อย ก็มักจะได้มากกว่าที่ต้องการเสมอ"

เถรี
03-04-2016, 20:07
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรยากาศบ้านเราเหมือนกับในมหาสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงพระสุบิน ๑๖ ประการ อย่างหนึ่งคือข้าวหม้อเดียวกันหุงแล้วสุกบ้าง ดิบบ้าง ไหม้บ้าง พระพุทธเจ้าตรัสว่ากาลต่อไปข้างหน้า ดินฟ้าอากาศจะวิปริต ที่ซึ่งน้ำไม่ควรท่วมก็ท่วม ที่ซึ่งน้ำไม่ควรแล้งก็แล้ง"

เถรี
03-04-2016, 20:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่สมัครบวชงาน ๑๐๐ ปี หลวงพ่อฤๅษี ตอนนี้มี ๔๕ ราย มีที่ยังไม่ให้เบอร์โทรศัพท์ ไม่ให้สำเนาบัตรประชาชน ไม่ส่งใบขอบรรพชาอุปสมบท ฯลฯ รีบไปจัดการให้เรียบร้อย ส่งไปที่ท่านเก่ง เลขานุการเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ถ่ายเอกสารแล้วส่งเมล์ไปก็ได้"

เถรี
03-04-2016, 20:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนไม่รู้ว่าปรอทกรอกินอาหารได้ เสียงอย่างกับผึ้งทั้งฝูงอยู่ข้างใน ถ้าสั่นเมื่อไรแสดงว่ามีเหตุการณ์ไม่ปกติ เมื่อวานอาตมาเพิ่งจะเทน้ำผึ้งเลี้ยงปรอทไป เทจนท่วม พอเช้าลดลงไปเกือบเซ็นติเมตร แสดงว่ากินจุเอาเรื่องเหมือนกัน ต้องบอกว่าอดมานาน เพราะเจ้าของเดิมไม่รู้ว่าเขากินเป็น"

เถรี
03-04-2016, 20:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่นำน้ำมาถวาย ขอให้มีแต่เรื่องเย็นอกเย็นใจ ต้องบอกว่าขอให้เย็นเหมือนน้ำ น้ำเป็นสิ่งที่ควรเลียนแบบมากที่สุด เพราะว่าน้ำสามารถเปลี่ยนรูปร่างเหมือนกับภาชนะทุกอย่างที่บรรจุไว้ได้ น้ำมักจะไหลซอกซอนไปได้เสมอ ถ้าไหลไปไม่ได้ น้ำก็จะรอ รอรวมพวกมากขึ้น ๆ ๆ ในที่สุดก็ล้นสิ่งกีดขวางไหลข้ามไปจนได้ ต่อให้เขื่อนที่ยิ่งใหญ่ขนาดมหาไตรโตรกแยงซีเกียงก็กั้นไม่อยู่ ถึงเวลาน้ำก็รวมหัวกันลุยข้ามไป

น้ำเป็นของอ่อน แต่สามารถแปรสภาพเป็นของแข็งก็ได้ เป็นก๊าซก็ได้ น้ำขึ้น ๒ ฝั่งเสมอกันไม่เลือกว่าเป็นบ้านคนรวยหรือบ้านคนจน ใครเอาข้าวของสะอาดหรือไม่สะอาดทิ้งลงไปน้ำก็ไม่เคยบ่น"

เถรี
03-04-2016, 21:03
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=24239&stc=1&d=1459692719

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาสร้างพระอยู่ชุดหนึ่ง ก็คือ หลวงพ่อพระพุทธรูปหินเขียว ที่แกะเป็นพระประทานพรองค์กลาง ความสูงประมาณหนึ่งศอก พระ ๒๐ องค์ แกะด้วยหินที่เหลือจากองค์ใหญ่ ปรากฏว่าช่างใช้เวลา ๖ ปี กว่าจะแกะให้ครบ เป็นอะไรที่ช้ามาก บรรดาช่างส่วนใหญ่ต้องรอให้มีอารมณ์ก่อนจึงจะทำให้ ลืมไปว่าคนที่รอก็รอจนหมดอารมณ์ไปเลย"

เถรี
03-04-2016, 21:21
พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาเราสวดมนต์ไหว้พระ พอตอนท้ายคำอธิษฐานจะมีอยู่จุดหนึ่งที่ว่า สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต กาเล เทโว ปะวัสสะตุ แปลว่า ขอให้เทวดาช่วยอำนวยให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล”

เถรี
03-04-2016, 21:38
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรจ๊ะ แอบถ่ายอีกแล้ว ? ... (หัวเราะ)... แต่ละคนบางทีก็ถ่ายไปเรื่อย ด้วยความภูมิอกภูมิใจในครูบาอาจารย์ตัวเอง พอโพสต์ลงเฟซบุ๊กแล้วก็มีคนแสดงความคิดเห็นด้วยการด่าทันที คือบางทีเห็นอาตมากำลังถางหญ้า ขุดดิน กวาดพื้นอยู่ แหม...ด้วยความปลื้มใจเห็นอาจารย์ทำงาน เลยถ่ายรูปไปลงเฟซบุ๊ก บางทีกำลังปีนอยู่บนนั่งร้านอย่างนี้ บางคนก็เข้าแสดงความเห็น “พระอะไรวะ..? ไม่สำรวมเลย..!” จะได้รู้ว่าสิ่งที่เราภูมิใจ บางทีก็ไม่ใช่คนอื่นเขาจะเห็นด้วย โดยเฉพาะเรื่องของศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะโพสต์รูปอะไรก็ตาม ต้องระมัดระวังให้มากไว้

มีพระอยู่รูปหนึ่งเป็นพระมหาประโยค ๙ ด้วย โพสต์รูปตัวเองลงเฟซบุ๊ก ปรากฏมีคนไปแสดงความเห็นว่า “จิ๊กโก๋หรือว่าพระ ?” เพราะว่าท่านใส่แว่นตาดำ ท่านก็พยายามอธิบายว่าแว่นของท่านไม่ใช่สีดำ แต่เป็นแว่นที่ปรับตามความเข้มของแสง แล้วท่านเป็นโรคตาอยู่ โดนแสงไม่ได้ อาตมาว่าเสียเวลาไปอธิบาย ถ้าไม่โพสต์เสียตั้งแต่แรกก็หมดเรื่องไปแล้ว ดังนั้น...เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก คนเขามองคนละด้านกัน

อย่างที่โบราณเขาบอกว่า “สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย” หรือที่ฝรั่งเขาบอกว่า All that glitters is not gold อะไรที่วาว ๆ ไม่แน่ว่าจะเป็นทอง ในเรื่องพวกนี้เราที่ถ่ายรูปไปเรื่อยก็ไม่แน่หรอก ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระราชปัญญารังษีให้ลูกศิษย์มานวดขาให้ ด้วยความที่ภูมิใจลูกศิษย์ก็เซลฟี่ถ่ายรูปตัวเองกำลังนวดขาไปลงเฟซบุ๊ก คนเข้ามาโพสต์ทันทีเลยว่า “โคตรสบายเลยนะ..!” เราจะเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าคนเขาจะเห็นด้วยกับเราทั้งหมด

ปัจจุบันนี้ศาสนาของเราเป็นที่โจมตีของบุคคล ที่ทั้งรู้เท่าไม่ถึงการณ์และทั้งตั้งใจทำลายพระศาสนา ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ไม่ใช่ว่าถึงเวลาก็ถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย โพสต์ไปเรื่อยเปื่อย ที่อาตมาเบื่อที่สุดก็คือพอขึ้นแท็กซี่ อีก ๒ วินาทีมีภาพอาตมาอยู่บนแท็กซี่พร้อมกับทะเบียนรถเรียบร้อย รอมือปืนตามยิงกบาลได้เลย อยากจะถามว่า “มึงจะถ่ายไปลงทำเหี้..อะไร...!”

เถรี
27-04-2016, 13:02
พระอาจารย์กล่าวกับโยมข้างตัวว่า “เราต้องมองแล้วทำใจได้ ไม่ใช่เมินแล้วทำใจได้ ถ้าเมินแล้วทำใจได้แสดงว่ายังห่วยแตกอยู่” ...(หัวเราะ)...

เถรี
27-04-2016, 13:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "บาลีท่านว่า “เมื่อมีเหตุขึ้นก็ต้องการผู้นำ” แต่คราวนี้สำคัญตรงผู้นำว่านำดีหรือนำไม่ดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ฝูงโคข้ามน้ำ ถ้าหัวหน้านำตรงทาง ลูกน้องก็ตามได้ตรง แต่ถ้าหัวหน้านำคดเคี้ยว ลูกน้องก็ต้องเลี้ยวตาม” บาลีท่านใช้คำว่า “พยตฺโต” คือผู้อาจสามารถกระทำได้ ในเมื่อเป็นดังนั้น ถึงเวลาจึงต้องมีบุคคลที่ต้องคอยชี้นำว่า พวกเราควรจะทำอะไร ทำอย่างไร

คราวนี้การชี้นำนั้น วิธีที่ถูกต้องที่สุดก็คือ ชี้นำโดยหวังประโยชน์ของเขาจริง ๆ ในปัจจุบันนี้ที่เห็นส่วนใหญ่ก็คือ ไปตำหนิโทษอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้บอกว่าวิธีทำที่ถูกต้องเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการไปแสดงความเห็นตามกระทู้ในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ โบราณท่านบอกว่า

ก้านบัวบอกลึกตื้น............ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน...........ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดมีคำขาน...........บอกเหตุ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ.......บอกร้าย แสลงดิน"

เถรี
27-04-2016, 13:20
"ฉะนั้น การที่เราไปแสดงความเห็น พูดออกไปคนอื่นเขาก็รู้ทันทีว่าเราเป็นคนอย่างไร อย่างที่โบราณใช้คำว่า “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล” ว่าได้รับการอบรมมาหรือไม่ บางที่เห็นผู้นำมีแต่เมตตา ไม่สามารถจะนำคนได้ เพราะว่าผู้นำต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณพร้อมกัน คนไหนฟังไม่รู้เรื่อง พูดภาษาคนแล้วฟังไม่เข้าใจก็ต้องใช้พระเดช ถ้าคนไหนประเภทฟังรู้เรื่อง บอกครั้งเดียวเข้าใจ จึงสามารถใช้พระคุณได้

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “มือหนึ่งถือไม้เรียว อีกมือหนึ่งถือขนม” หลวงพ่อวัดเจดีย์หลวงท่านบอกว่า “ถ้าเมตตาเกินประมาณ จะพบแต่คนพาลทั้งเมือง” โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ สื่อมัลติมีเดียมีช่องทางให้เข้าถึงง่าย แล้วก็หลากหลายมาก การปิดกั้นความคิดต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะทำได้ โดยเฉพาะต้องเข้าใจว่าคนเราไม่ได้กินหญ้า ต่อให้กินหญ้าก็น่าจะฉลาดพอ"

เถรี
27-04-2016, 13:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนบวชก็ดี บวชใหม่ ๆ ก็ตาม ไม่เคยคิดว่าจะต้องมานั่งรับศรัทธาญาติโยมอย่างนี้ ความตั้งใจตั้งแต่สมัยฆราวาสก็คือ ในชีวิตฆราวาส สะพายเป้ใบหนึ่งก็ร่อนเร่ไปเรื่อย เงินหมดที่ไหนหางานทำที่นั่น ได้เงินก็ไปต่อ พอบวชเป็นพระก็ตั้งใจว่าจะธุดงค์ไปเรื่อย ๆ แต่ปรากฏว่าโอกาสที่จะออกป่าธุดงค์มีน้อยมาก เพราะว่าอยู่วัดใหญ่ คนมาก แล้วบุคคลที่สามารถทำงานให้มีความคล่องตัว เป็นไปด้วยดี ก็หายาก

เคยวางแผนธุดงค์ครั้งใหญ่ ว่าจะเริ่มจากจังหวัดเชียงราย ข้ามด่านเมืองเงินเข้าไปในลาวเหนือ แล้วก็เลาะลงมาลาวใต้ เข้ากัมพูชา ออกเวียดนามใต้ ขึ้นเวียดนามเหนือ เข้าประเทศจีน แล้วหลังจากนั้นก็มาทิเบต เนปาล อินเดีย พม่า วนกลับไทย ทุกวันนี้แผนยังเป็นแผนอยู่ เพราะว่าโอกาสที่จะไปไม่มี

การธุดงค์ของพระมี ๒ แบบ แบบแรกก็คือเดินไปหาที่สงบ เหมาะแก่ใจตนเอง แล้วก็ปฏิบัติภาวนาที่นั่น อีกแบบก็คือเดินไปภาวนาไป แล้วอาตมาถนัดแบบที่ ๒ เพราะฉะนั้น...แรก ๆ ก็ยังมีคนที่จะตามไปธุดงค์ด้วย พอโดนลากวันหนึ่ง ๔๐-๕๐ กิโลเมตร ถ้าวันไหนจำเป็นก็อาจจะถึง ๙๐ กิโลเมตร หลังจากนั้นคนติดตามก็หายไปทีละคนสองคน แล้วก็ไม่มีใครไปด้วยเลย จึงต้องไปคนเดียว

พอไปเจอพระในป่าท่านก็ถามว่า “ทำไมอาจารย์มาคนเดียวครับ ?” ไม่รู้ว่าจะตอบท่านอย่างไร เพราะพูดไปก็เหมือนกับเราเก่ง เลยบอกว่า “ไปคนเดียวเวลาเจออะไรที่ต้องวิ่งหนีก็วิ่งได้ ไม่ต้องอายใคร”

เถรี
27-04-2016, 13:25
ถาม : ลูกอมหลวงพ่อปาน วัดตุ๊กตา ?
ตอบ : ลูกอมของท่านอย่างกับหินอ่อน ถ้าภาษาของเราก็คือ กลายเป็นพระธาตุไปแล้ว

ถาม : อานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : ด้านเมตตาเกินประมาณเลยแหละ

ถาม : ส่วนผสม ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นผงวิเศษกับพวกว่านยาต่าง ๆ

เถรี
27-04-2016, 13:26
พระอาจารย์กล่าวว่า “ทิดเต้ยเลือกนานไหมกว่าจะใส่กางเกงตัวนี้มา ? พอมีทิดเต้ยอยู่นะ พวกเราจะเรียบร้อยกันทุกคนเลย เพราะทิดเต้ยกระโดกกระเดกแบบนั้นทั้งชาติแหละ...แก้ไม่ได้ ภาษารุ่นเก่าเขาบอกว่า เป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาด ภาษารุ่นใหม่บอกว่าเป็นสันดานไปแล้ว..!”

เถรี
27-04-2016, 13:28
พระอาจารย์กล่าวว่า “ขึ้นไปพุทธาภิเษกที่วัดห้วยน้ำอุ่นก็น่าจะได้เจอกับครูบาอาจารย์สายภาคเหนือ ที่อยากพบมาก ๆ คือ ครูบาอินสม สุวีโร เพราะว่าไปเจอทีไรก็ได้ความรู้จากท่านทุกที อีกท่านที่อยากพบมาก ๆ คือ ครูบาอุ่น วัดโรงวัว ท่านเป็นพระแก่ที่อารมณ์ดีมาก ๆ เลย คนไป ๕๐ คน จะต้องมีคนถามท่าน ๔๙ คนว่าหลวงปู่เป็นใคร ? มาจากไหน ? แล้วท่านก็จะเสียงดังฟังชัด “ชื่อครูบาอุ่น อยู่วัดโรงวัว สันกำแพงเน้อ” ตอบได้ทุกครั้ง ถ้าเขาถามอาตมาว่ามาจากไหน จะบอกให้ไปเปิดกูเกิ้ลเอา เดี๋ยวก็เจอหน้าเองแหละ”

เถรี
27-04-2016, 13:30
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปปฏิบัติธรรมในฐานะพระอุปัชฌาย์ใหม่ ๑๕ วัน มีโอกาสได้เห็นหลวงพ่อเขาใหญ่แค่ ๒ ครั้ง ครั้งแรกก็คือเป็นวันปาฏิโมกข์ ก็ไปลงปาฏิโมกข์กันตรงหน้าพระประธานที่ท่านตั้งชื่อว่าหลวงพ่อเขาใหญ่ แล้วก็งง ๆ กับแนวความคิดของหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ คือรอบข้างท่านสร้างเสียอลังการ แต่บริเวณที่ใช้ลงปาฏิโมกข์เป็นลานเฉย ๆ แล้วก็มีเสาเสมาอยู่ ๘ หลักเท่านั้น เพราะถ้าหากจะสมถะเอาแบบของสวนโมกข์ ก็น่าจะไม่สร้างอย่างอื่น แต่อย่างอื่นสร้างจนหรูหราอลังการหมด ยกเว้นโบสถ์ไม่สร้าง แล้วหน้านี้ก็แดดร้อนชนิดหนังไหม้ จึงต้องลงปาฏิโมกข์กันตอน ๖ โมงเช้า

คราวนี้เดินไปถึงตรงนั้นตี ๕ ครึ่ง นั่งรออย่างเดียวก็น่าเบื่อ อาตมาก็เลยขอไมค์ท่านเจ้าคุณอาจารย์ เล่าเรื่องความต่างของศีลระหว่างพระไทยและพระพม่า ให้บรรดาพระอุปัชฌาย์และผู้ที่ร่วมลงปาฏิโมกข์ได้ฟังกัน ปรากฏว่าทุกคนชอบใจ แล้วก็เรียกร้องอยากจะให้เล่าต่อ แต่เวลาไม่มี ที่เล่าให้ฟังคือ เวลา ๑๕ วัน หลวงพ่อเขาใหญ่อยู่ห่างจากอาคารปฏิบัติธรรมไม่เกิน ๒๐๐ เมตร ได้เห็นแค่ ๒ ครั้ง มัวแต่ปฏิบัติธรรมจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย"

เถรี
27-04-2016, 13:32
"ไปถึงวันแรกก็มีหมามายัดเยียดตัวเองเป็นหมาของอาตมาถึงกุฏิเลย เล่าให้ท่านอาจารย์มหาสันติฟังว่า อาตมาเข้ากรุงเทพฯ ไปทำงานใหม่ ๆ เงินเดือนก็น้อย อยู่ ๆ ไป ๕-๖ เดือน มีหมามาอยู่ด้วย ๘ ตัว ก็ต้องตัดสินใจว่า จะเลี้ยงหมาดีหรือเลี้ยงตัวเองดี

ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าให้ไปพลิกคางหมาดุู ตรงใต้คางจะมีตุ่มอยู่ตุ่มหนึ่ง แล้วมีขนแข็ง ๆ ยาว ๆ เหมือนหนวดแมว ท่านบอกว่า ถ้าขนเส้นเดียว หรือ ๒-๓ เส้น ส่วนใหญ่เป็นหมาที่มาจากข้างบน คือเป็นพรหมหรือเทวดามาก่อน ถ้าหากว่ามีขนเส้นเดียวเป็นราชาหมา ไปไหนหมาอื่นจะกลัว ท่านบอกว่าหมาพวกนี้ ถ้าหากอยู่กับเจ้าของที่มาต่ำกว่า เขาจะหนีไปหาคนที่มาเท่ากันหรือบารมีสูงกว่า

ปรากฏว่าช่วงที่มีหมาอยู่ ๘ ตัวนั้น มีตัวหนึ่งเป็นหมาตัวใหญ่มาก หน้าตาเหมือนหมาป่าชัด ๆ เลย เจ้าของเอาโซ่มาล่าม ลากกลับไปเมื่อไร ถ้ากระชากโซ่ขาดก็หนีมาหาอาตมาทุกครั้ง อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะบอกเจ้าของเขาอย่างไรว่า บารมีคุณยังสู้หมาไม่ได้ หมาก็เลยต้องหนีไปหาคนอื่น เล่าให้ท่านอาจารย์มหาสันติฟังเสร็จสรรพเรียบร้อย เปิดประตูออกมา เจอหมานอนอยู่หน้าประตู ๑ ตัว บอกว่าเพิ่งจะเล่าจบ หมาก็ยัดเยียดตัวเองมาให้อาตมาเลี้ยงแล้ว แล้วก็เป็นหมาที่นิสัยดีมาก เพราะว่าอาหารวางอยู่เต็มหน้าห้อง ท่านอาจารย์มหาสันติขนมาจากวัด ถ้าเราส่งให้ถึงจะกิน แสดงว่าเป็นหมาที่รู้ภาษาจริง"

เถรี
27-04-2016, 13:33
"ตัวที่ ๒ ที่ตามมาเป็นหมาสีประหลาด ไม่รู้ว่าญาติโยมรู้จักหรือเปล่า ? ที่เขาเรียกว่าหมาสีกะเลียว เป็นสีดำออกเขียวแล้วมีน้ำตาลแซม ในชีวิตอาตมาก็เพิ่งเห็นเป็นตัวที่ ๒ แล้วที่ตลกที่สุดคือวันนั้นเจ้าตัวเล็กไป บอกว่าถ่ายรูปหมาตัวนี้ให้หน่อย จะเอาไปให้คนอื่นเขาดู ปรากฏว่าตามหาเท่าไรก็ไม่เจอ ไม่รู้ว่าหลบไปอยู่ที่ไหน พอเขากลับไปพักเดียว ก็วิ่งมาเสนอหน้าใหม่ เหมือนอย่างกับเขารู้ว่าจะเอาไปออกสื่อ เขาไม่ยินดีก็เลยหลบไป"

เถรี
27-04-2016, 13:44
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงที่อาตมาปฏิบัติธรรมอยู่ ได้ข่าวว่ามีรถเบนซ์ชนรถฟอร์ด มีคนตาย ๒ ศพ...ใช่ไหม ? คนที่อยากด่าคนขับรถเบนซ์มากที่สุดก็น่าจะเป็นลูกของคุณเฉลียว อยู่วิทยา คดีกูเงียบไปแล้วแท้ ๆ มึงทำให้กูเดือดร้อนอีก พอเขาขุดคุ้ยย้อนหลังไป ก็เลยเห็นว่าเขาถ่วงเวลาจนคดีหมดอายุความไปแล้ว เวลาเรารับข่าวอะไรมา ถ้าทำตัวเป็นคนดูเฉย ๆ ไม่ลงไปเป็นคนเล่นอยู่กลางเวที จะเห็นอะไรแปลก ๆ เยอะ โดยเฉพาะกฎหมายบ้านเรา ที่เขาให้คำว่า “คุกมีไว้ขังคนจนกับหมา”

มีคนเขาถามอาตมาที่ไปต่างประเทศ ยุโรป อเมริกา ว่ามีอะไรดี บอกว่าเขาไม่ได้มีอะไรดีกว่าเราหรอก ยกเว้นว่ากฎหมายเขาเป็นกฎหมาย คือมีการบังคับใช้ค่อนข้างจะเข้มงวดมากกว่าบ้านเรา อาตมาสรุปผลการดูงานของนิสิตปริญญาเอกรุ่นนั้นส่งให้อาจารย์ ๕ บรรทัด เล่นเอาท่านอาจารย์ปากอ้าตาค้าง ถามว่า "เอาแค่นี้จริง ๆ หรือ ?" ก็เรียนท่านอาจารย์ว่า “แล้วครบถ้วนไหมครับ ?” ท่านบอกว่า "เออ...ก็ครบนะ" “ถ้าครบผมก็ส่งแค่นี้แหละ” คนอื่นเขาส่งรายงานกันที ๗-๘ หน้ากระดาษ"

เถรี
27-04-2016, 13:46
"อาตมาสรุปรายงานการดูงานว่า “ถ้าเรารักษาของเก่าจนขายได้เหมือนอิตาลี รักษาธรรมชาติจนขายได้เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ แล้วสร้างแบรนด์จนขายได้เหมือนฝรั่งเศสก็พอแล้ว แต่ทั้งหมดที่ว่ามานี่ไม่ต้องทำหรอก สร้างจิตสำนึกของคนเราให้ได้อย่างเขาก็พอแล้ว" เพราะว่าคนของเขา อย่างเช่นว่าขับรถ อาตมาหันหน้าเข้าหาถนน ยังห่างจากถนนเกือบ ๒ เมตร รถทุกคันหยุดหมดเลย ยืนงง ๆ อยู่พักหนึ่ง ไม่ได้คิดจะข้ามถนนสักหน่อยแล้วหยุดทำไมวะ ? แล้วก็เกรงใจ...ข้ามสักหน่อยก็ได้ ข้ามไปแล้วค่อยเดินกลับมาอีกรอบหนึ่ง

แต่ถ้าหากว่าอยู่ตรงที่มีสัญญาณไฟนี่ต้องรอไฟเขียวคนข้ามก่อน ถ้าไฟเขียวคนข้ามยังไม่ขึ้นแล้วไปข้าม รับรองว่าคุณได้ตายฟรีแน่ แต่ถ้าอยู่ในที่ซึ่งไม่มีทางม้าลาย ไม่มีสัญญาณไฟนี่ หันหน้าเข้าหาถนนคนขับจะหยุดให้เลย

แล้วสัญญาณไฟที่โน่นเขาเอื้อเฟื้อมาก คือมีไฟสูงอยู่ข้างบนให้คนขับรถดู แล้วมีอยู่ตรงกลาง ๆ เสาให้คนเดินถนนดู ความจริงของเราจะบังคับใช้กฎหมายอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องวางรากฐานมาตั้งแต่เล็ก แบบเดียวกับญี่ปุ่นที่ฝึกหัดเด็กให้ซื่อสัตย์ มีจิตสำนึกต่อสาธารณะ เขาฝึกมา ๓๐-๔๐ ปี รุ่นนั้นปัจจุบันก็คือรุ่นพ่อรุ่นแม่ ในเมื่อเป็นรุ่นพ่อรุ่นแม่แล้วรุ่นลูกของเขาก็ต้องทำตามแบบนั้น เพราะพ่อแม่เขาอบรมมาอย่างนี้ ฝึกมาอย่างนี้"

เถรี
27-04-2016, 13:48
"เพื่อนไปญี่ปุ่น โดยสารรถแท็กซี่คันหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าเขาค่อนข้างมีฐานะ ก็เลยเหมาแท็กซี่ ไม่กลัวแพง ปรากฏว่าพอถึงแหล่งเที่ยว พอคนขับจอดรถก็เปิดท้ายรถ หยิบไม้กวาดกับที่ตักขยะออกมา กวาดทำความสะอาดแถวนั้น กว่าเขาจะไปเที่ยวกลับมาบางทีเป็นชั่วโมง บางทีกวาดไปกี่แถบแล้วก็ไม่รู้ วันหนึ่งเพื่อนก็ทนไม่ไหว ถามว่าทำไมต้องกวาดด้วย ? เขาบอกว่า “ถ้าประเทศเขาสะอาดสะอ้านดี คนก็อยากมาเที่ยว เขาเองก็มีงานทำ” นั่นคือจิตสำนึกที่เป็นสาธารณะต่อส่วนรวม

แบบเดียวกับที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เขาระเบิด หรือโดนสึนามิ บ้านเรือนไม่มีจะอยู่ ที่นอนไม่มีจะนอน แต่ถึงเวลาคนไปแจกของ คนญี่ปุ่นเข้าแถวรับ ถ้าเป็นบ้านเราคนแจกโดนเหยียบตายไปแล้ว เข้าแถวรับทั้ง ๆ ที่เดือดร้อนขนาดนั้น เพราะเขาได้รับการฝึกมาจนเป็นธรรมชาติเลย"


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานทำบุญฉลองบ้านวิริยบารมี
วันที่ ๒๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)