View Full Version : เก็บตกงานหล่อสมเด็จองค์ปฐม - หลวงปู่ปาน - หลวงพ่อวัดท่าซุง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านใดที่จะสมัครบวชร่วมฉลอง ๑๐๐ ปีเกิดหลวงพ่อวัดท่าซุง ยังคงรับสมัครไปเรื่อยจนถึงวันที่ ๙ มิถุนายน ขอเตือนว่าสมัครแล้วอย่าถอนตัวเป็นอันขาด ถ้าถอนตัวแล้วอาตมาจะจับขึ้นบัญชีดำ และจะไม่ให้บวชที่วัดท่าขนุนอีกตลอดชีวิต เพราะว่าพอท่านสมัครเข้ามาแล้ว ทางวัดจะตั้งฉายาพระเอาไว้ ซึ่งการตั้งฉายาพระนั้น เพื่อความสะดวกของพระคู่สวดท่าน ในการสวดกรรมวาจานุสาวนา แต่ปรากฏว่าพอท่านไปถอนตัวแล้ว ทำให้ลำดับอื่นต้องเลื่อนขึ้นมาแทน แล้วฉายาที่ตั้งไว้ให้สวดได้คล่อง สวดได้ลื่น ก็กลายเป็นสะดุดไป สร้างความลำบากให้แก่พระกรรมวาจาจารย์ พระอนุสาวนาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
คราวที่แล้วตอนงานบวช ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ถอนตัวกันไปหลายสิบรูป ทำให้พระกรรมวาจาจารย์ พระอนุสาวนาจารย์ต้องเดือดร้อนในการสวดญัตติและอนุสาวนา ดังนั้น...งวดนี้ใครถอนตัวก็ถอนไปตลอดชีวิตเลย ไม่ต้องมาสมัครใหม่ โดยเฉพาะงานนี้อาตมาเป็นพระอุปัชฌาย์เองเป็นครั้งแรก เพิ่งจะสอบเสร็จเมื่อวันก่อนนี้เอง ยังปรารภกับหลวงตาวัชรชัยว่า “ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมหลวงตาไปหงิกหมดสภาพกลางสนามสอบให้เขาหามออกมา” เพราะว่าเป็นอะไรที่เคร่งเครียดมาก ระยะเวลา ๑๗ วันที่เข้าไปสอบ ต้องสอบถึง ๘ รอบ ประมาณวันเว้นวันเลย"
"สอบรอบจังหวัดมีภาคปฏิบัติ ๑ รอบ วิชาการ ๑ รอบ สอบรอบภาค ๔ จังหวัด ภาคปฏิบัติ ๑ รอบ วิชาการ ๑ รอบ สอบรอบหนมี ๖ ภาค ๒๓ จังหวัด ภาคปฏิบัติ ๑ รอบ วิชาการ ๑ รอบ แล้วสอบรอบรวมทั่วประเทศภาคปฏิบัติ ๑ รอบ วิชาการ ๑ รอบ ไม่มีเวลาพักเลย เพราะพลาดแม้แต่นิดเดียวต้องซ่อม ซ่อม ๒ ครั้งถ้าไม่ผ่านตกก็ตก ตกแล้วโดนตัดสิทธิ์ด้วย ปีหน้าไม่ต้องมา อย่างน้อยต้องเว้นไปปีหนึ่งถึงมาใหม่ได้เพราะถือว่าให้เวลาไปซ้อมให้ดีกว่านี้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงได้เข้าใจว่า ทำไมเรื่องพระอุปัชฌาย์ถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ โดยเฉพาะปีนี้เป็นที่โหดที่สุด อาตมามักจะดวงยากเข็ญ ได้อะไรง่าย ๆ กับใครรู้สึกว่าจะไม่สมศักดิ์ศรี เพราะว่าเขาเปลี่ยนมาใช้การบวชแบบ "อุกาสะฯ" เหมือนกันทั้งประเทศ ขณะที่กาญจนบุรี ๖๐๐ กว่าวัดกับอีก ๙๐ สำนักสงฆ์ ไม่มีสำนักไหนบวชแบบ "อุกาสะฯ" เลยแม้แต่สำนักเดียว มีแต่บวชแบบ "เอสาหังฯ" ทั้งหมด
ทางสมัชชามหาคณิสสร ซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าคณะหนใหญ่ ๔ หน รวมกับเจ้าคณะภาคและรองเจ้าคณะภาคทั้ง ๑๘ ภาค มีมติรวมกันว่า พระภิกษุสามเณรในสังกัดมหานิกาย ควรจะกลับไปใช้การบวชแบบ "อุกาสะฯ" ซึ่งเป็นของมหานิกายโดยตรงมาแต่โบราณ และปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบ ๒๓ ปี ที่เปลี่ยนตัวประธานคุมสนามสอบ จากท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ไปเป็นท่านเจ้าคุณพระพรหมโมลี เปลี่ยนตัวเมื่อไรก็เท่ากับเปลี่ยนระบบการทำงานด้วย แต่ว่าถ้าผ่านไปได้ก็จะเป็นตัวอย่างให้แก่รุ่นอื่น ๆ ว่า รุ่นนี้มีเวลาเตรียมตัวน้อยยังผ่านไปได้ ฉะนั้น...รุ่นพวกคุณมีเวลาเตรียมตัวมาก อย่ามีข้ออ้างเป็นอันขาดว่าผ่านไม่ได้"
"เมื่อช่วงที่สอบพระอุปัชฌาย์ อาตมาได้วัตถุมงคลมาชิ้นหนึ่ง ถูกใจมากเลย เป็นมีดหมอเล่มหนึ่ง เป็นมีดหมอจากสำนักที่ไม่มีชื่อเสียงในการทำมีดหมอเลย ก็คือมีดหมอของหลวงพ่อทบ วัดชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งรับประกันว่าในชีวิตน้อยคนที่จะได้เห็น ว่ากันว่าท่านใส่พานวางไว้ข้างที่นอนท่านประจำ คนที่บังอาจจิ๊กมาก็เอามาส่งต่อให้ อาตมาถือว่าเป็นของขวัญวันฉลองตราตั้งพระอุปัชฌาย์ก็แล้วกัน
อุ-ปัช-ฌาย์ พวกเรามักจะออกเสียงเป็น อุป ซึ่งผิด ฉะนั้น...บรรดานาคที่มาท่องขานนาคต้องจำไว้ อุปัชฌาโย เม ภันเต โหหิ ถ้าออกเสียงผิด เป็นอักขระวิบัติ เดี๋ยวบวชมาเป็นพระเณรไม่เต็มองค์"
ถาม : หล่อพระวันนี้ พระอาจารย์จะเอาชนวนสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอกที่หล่อคราวก่อนใส่ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใส่...จะตุนเอาไว้ใช้ตลอดชาติ ไม่ยอมหลอมเด็ดขาด ...(หัวเราะ)... จะสร้างวัตถุมงคลกี่ครั้ง ก็มีชนวนหล่อสมเด็จองค์ประธานวัดท่าขนุน ชนวนสมเด็จองค์ปฐม ๑๐๐ ปีหลวงพ่อฤๅษี ชนวนรูปหล่อหลวงปู่ปาน-หลวงพ่อฤๅษี ใช้ไปทั้งชาติ จะใส่แบบไม่เกรงใจด้วย ใส่ทีหนึ่งเป็น ๑๐ กิโลกรัมเลย
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๗ มีนาคม วันทำบุญบ้านวิริยบารมี อาตมาอาจจะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติธรรมของพระอุปัชฌาย์ใหม่ จะลองดูว่าท่านเจ้าคุณประเสริฐ (พระภาวนาพิศาลเมธี) ซึ่งเป็นประธานวิปัสสนาจารย์จะยอมให้ลาหรือเปล่า ?
ความจริงอาตมามีวิธีนะ โบราณเขาเรียก นะจังงัง แต่ไม่อยากจะใช้ แม้กระทั่งเรื่องการสอบพระอุปัชฌาย์ หรือการสอบทุกครั้งที่ผ่านมา ถึงมีความสามารถพิเศษก็ไม่ใช้ เหตุที่ไม่ใช้เพราะว่าอาตมาต้องการความรู้จริง ๆ ถ้าใช้ความสามารถพิเศษจะเป็นความรู้ฉาบฉวยแค่ช่วงนั้น ถ้าเลยไปแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น...อาตมาก็มักจะใช้ความสามารถตัวเองในการสอบเสมอ
อาจจะไปกราบขอพรพระ ขอพรครูบาอาจารย์ แต่จะใช้ความสามารถตัวเองในการสอบ เพื่อที่จะได้มีความรู้เหลืออยู่ในหัวบ้าง แต่การลามางานทำบุญบ้านไม่ใช่การสอบ ถ้าหากท่านเจ้าคุณประเสริฐไม่ให้ลา ก็อาจจะโดนนะจังงัง ไม่รู้ว่าปล่อยให้ลาไปได้อย่างไร ?"
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานเป่ายันต์เกราะเพชร อาตมาจะเอาพระขุนแผนเกราะเพชรมาเข้าพิธี กำลังตัดสินใจว่าจะให้โยมร่วมบุญไปเลยไหม ? ส่วนปลายเดือนต้องรอให้ท่านเจ้าคุณประเสริฐหรือท่านเจ้าคุณพระภาวนาพิศาลเมธี เปรียญธรรม ๘ ประโยค พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิปัสสนาภาวนา จะดูว่าท่านให้ลาไหม ? ถ้าไม่ให้ลา ญาติโยมก็ช่วยกันทำบุญบ้านวิริยบารมี โดยที่อาตมาเอาใจช่วยอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่าท่านให้ลา ก็จะมานั่งเป็นประธานในงานทำบุญ
ส่วนเดือนเมษายนก็น่าจะงานหนัก เพราะโครงการหมู่บ้านศีล ๕ ระยะที่ ๓ กำลังเร่งรัดเข้ามา เดือนพฤษภาคมกำลังให้เขาทำโปรแกรม อาตมาจะไปปากีสถาน ให้ตาลีบันจับตัวไปเรียกค่าไถ่ ยังไม่รู้ว่าจะไปปลายเดือนเมษายนหรือว่าจะไปต้นเดือนพฤษภาคมดี"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของหวยเป็นบุญเก่าที่เราทำโดยไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน อย่างเช่นว่าไม่รู้ว่าวัดนี้มีงานหล่อพระ ไปเห็นเขาหล่อพระก็ร่วมทำบุญกับเขาไปเลย บุญที่ไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน ส่วนใหญ่จะมีอานิสงส์เป็นลาภลอยด้านการพนัน ถ้าเราตั้งใจไปก่อนก็จะเป็นเศรษฐีไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปรอลาภลอย ฉะนั้น...ใครที่ถูกหวยบ่อย ๆ แสดงว่าเคยทำบุญที่ไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน"
มีพระเอาวัตถุมงคลมาถวาย "พระปิดตานะมิ หลวงปู่สี แปลกมาก...วัตถุมงคลทุกชิ้นของหลวงปู่สีอาตมาสละได้หมด ยกเว้นคำหมากของท่าน ...(หัวเราะ)... เพราะหลวงปู่ท่านเคี้ยวเสร็จ ท่านฉีกเศษผ้าอาบม้วนให้ กำลังว่าจะตัดใจก็ แหม...เก็บไว้เป็นที่ระลึกถึงครูบาอาจารย์ก่อนดีกว่า
บรรดาสิ่งของ ๆ ครูบาอาจารย์ที่เก็บ ๆ เอาไว้มีลูกอมหลวงปู่ปาน ลูกอมหลวงปู่จง ลูกอมหลวงปู่พริ้ง ชานหมากหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์อันนี้กลายเป็นพระธาตุ เป็นหินแข็งโป๊กไปแล้ว ชานหมากหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง ลูกอมหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม ลูกอมหลวงปู่ไล้ วัดเขายี่สาร หลวงปู่ไล้นี่คนไทยเรียกเป็นหลวงปู่ร้าย คือท่านร้ายตรงฝีมือ
หลวงปู่ไล้เกิดประมาณรัชกาลที่ ๓ ถ้าถามว่าท่านเก่งอย่างไร ? ท่านมีวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนเป็นคำนั้น วัดเขายี่สารที่สมุทรสงครามของท่าน ก่อนหน้านี้มีงูเห่าชุกชุมมาก กัดคนเป็นประจำ เขาก็หามไปให้ท่านรักษา ท่านก็เป่าให้หายทุกคน จนกระทั่งท่านรำคาญ ท่านเลยบอกว่า “ไอ้งูเห่าวัดเขายี่สารกัดใครไม่ตายหรอก” ตั้งแต่นั้นมางูเห่าวัดเขายี่สารนอกจากไม่กัดคนแล้ว เจอคนยังหมอบกระแต บางตัวโดนเหยียบตายไปเลย..!"
"แต่ถ้าหากปล่อยให้ท่านเผลอโดยไม่เจตนาจะกลายเป็นแช่ง แต่บางทีหลุดปากออกไปคนก็เดือดร้อนเหมือนกัน อย่างเช่นว่ามีคนไปเซ้าซี้ท่าน ทั้ง ๆ ที่ท่านบอกว่าแล้วให้ทำอย่างนี้ ๆ เขาก็ถามแล้วถามอีกจนกระทั่งท่านดุว่า "ไอ้นี่ถ้าจะบ้า พูดแล้วฟังไม่รู้เรื่อง" ไอ้เจ้านั่นไม่นานกลายเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ไปเลย พูดไม่รู้ภาษาจริง ๆ
วิชานี้เขาเรียกว่า "วาจาสิทธิ์พระร่วง" หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องระมัดระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะไปว่าคนอื่นเขา ส่วนอาตมาจดตำราไว้แต่ไม่กล้าใช้ ไม่กล้าภาวนา เพราะกลัวว่าด้วยความที่ตัวเองสติยังไม่ครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ มีสิทธิ์ที่จะทำให้ญาติโยมเดือดร้อนได้ มากกว่าจะทำให้เขาเจริญรุ่งเรือง หลวงปู่ไล้วัดเขายี่สารท่านสำเร็จทางด้านนี้ ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงปู่คง วัดบางกระพ้อม หลวงปู่คงเป็นอาจารย์ของหลวงปู่เนื่อง วัดจุฬามณี หลวงปู่เนื่องเป็นอาจารย์ของหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน มาถึงวัดท่าขนุนจนได้
แล้วก็มีลูกอมหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว อันนี้เป็น “ซือโจ้ว” คือ ท่านอาจารย์ปู่ทวด อาตมาเก็บเอาไว้ว่าจะสร้างวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่งก็ยังไม่ได้สร้างสักที"
"รุ่นปัจจุบันที่ทำอยู่นี้ คือ ขุนแผนเกราะเพชร ใช้ผงยานัตถุ์จากหลวงพ่อวัดท่าซุงสร้าง คือหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป่ายานัตถุ์เป็นประจำ ต้องยี่ห้อลูกสาวหมอมีด้วย ยี่ห้ออื่นก็ไม่เอา ญาติโยมก็เอาไปถวายท่านมาก พอถวายท่านมาก ยานัตถุ์ต่อให้บรรจุดีขนาดไหนก็ตาม ก็จะต้องมีรั่วมีซึม ท้ายสุดกลิ่นก็เริ่มหมด สีก็จะเปลี่ยนจากสีค่อนข้างดำเป็นสีน้ำตาลอ่อน ถึงเวลาหลวงพ่อท่านก็ให้รื้ออออกมาแล้วเลือกเอาขวดที่ยังดีอยู่ให้ท่าน ที่เหลือท่านก็ส่งให้ บอกว่า "แกจะเอาไปทำอะไรก็เอาไป" อาตมาก็เทรวม ๆ กันใส่แกลลอนเอาไว้ เทไปเทมาได้เป็นแกลลอนเลย เพราะว่ารื้อให้ท่านอยู่หลายปี เฝ้าหน้าห้องท่านอยู่ ๖ ปี รื้อกันอยู่ทุกปี ปีละหลายครั้ง"
"ท้ายสุดปีนั้นท่านทำพุทธาภิเษก อาตมาก็เอาไปซุกเข้าพิธีด้วย ปรากฏว่าเป็นพิธีที่ท่านเรียกว่า “พิธีพร ๓๐ ประการ” ที่ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ให้พรไว้ ๓๐ อย่าง อาตมาก็เลยเก็บมาตลอด แล้วแบ่งออกมาครั้งหนึ่งถวายหลวงพ่อสมคิด วัดตะเคียนงาม เผื่อท่านเอาไปสร้างวัตถุมงคลจำหน่ายเพื่อสร้างวัดของท่าน
ปีที่แล้วหลวงพ่อสมคิดเอามาถวายคืน บอกว่า “ถึงผมสร้างพระเองก็คงไม่มีใครสนใจจะบูชา ขอถวายคืนพระอาจารย์ก็แล้วกัน” อาตมาก็เลยตั้งใจสร้างพระที่ระลึก ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุงด้วยผงยานัตถุ์ จะเป็นพระขุนแผนหลังยันต์เกราะเพชร ก็เลยเรียกว่า "พระขุนแผนเกราะเพชร" มี ๒ ขนาด ขนาดใหญ่กับขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ด้านหลังบรรจุ "ตะกรุดหัวใจขุนแผน" ทั้ง ตะกรุดทองคำ ตะกรุดนาก ตะกรุดเงิน อย่างละ ๑ ดอก ไม่ใช่อย่างเดียว ๓ ดอก ใครอยากได้ตะกรุด ๓ อย่างต้องบูชา ๓ องค์ถึงจะได้ครบ ส่วนองค์เล็กเป็นเนื้อยานัตถุ์เท่านั้น ไม่ได้ฝังตะกรุด"
"ตอนนี้ช่างเอามาส่งให้ส่วนหนึ่งแล้ว อาตมากำลังตัดสินใจว่าจะเอาไว้ออกในงาน ๑๐๐ ปีหลวงพ่อวัดท่าซุงเดือนมิถุนายน หรือว่าจะเปิดให้บูชาเลย ต้องบอกว่าน่าจะเป็นครั้งแรกในโลก ที่มีการเอายานัตถุ์หลวงพ่อมาสร้าง แล้วก็เชื่อเถอะ...หลังจากนี้จะมีคนเลียนแบบทันที เพราะว่าสมัยนั้นบางทีหลวงพ่อท่านเป่ายานัตถุ์ไปเหลือครึ่งขวด รู้สึกว่าสีกลิ่นรสเริ่มเพี้ยน ท่านก็จะโยนให้คนใกล้ ๆ โยมก็แย่งกันรับ บางคนก็คว้าผ้าเช็ดน้ำมูกของท่านไปทั้งผืนเลย
ตอนนี้ผงยานัตถุ์ที่อาตมาเหลือเก็บไว้ เหลืออยู่ในขวดโอวัลตินขวดเดียว ที่เหลือเทลงไปสร้างพระหมดเลย ฉะนั้น...ใครเข้าไปในห้องของอาตมา เห็นขวดโอวัลตินอย่าเอาไปชงกินนะ สียิ่งคล้าย ๆ กันอยู่ด้วย ต้องไปเขียนป้ายว่ายานัตถุ์หลวงพ่อ เข้าพิธีปี ๒๕๓๒ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมีคนเอาไปชงกินเสียอีก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "หมาวัดท่าขนุนนี่หัวสูงมาก เลือกกิน ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เพราะอยู่ที่นี่บิณฑบาตอุดมสมบูรณ์ไปหน่อย ไม่ใช่แต่หมาเลือกกิน พระเณรก็เลือกกินด้วย อาตมาก็ทำตัวอย่างให้ดูไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ตอนไปสอบพระอุปัชฌาย์รอบจังหวัด อาตมาไปนอนกลิ้งอยู่หลังพระประธานวัดพระแท่นดงรัง หลวงพ่อพระครูวิบูลกาญจโนภาส รองเจ้าคณะอำเภอท่ามะกามาถึง “อ้าว...อาจารย์เล็ก มานอนตรงนี้เอง” แล้วท่านก็สรุปว่าดี ทำตัวสมกับเป็นพระ กินง่ายนอนง่าย
นอนอยู่หลังพระประธานนั้นดี ปลอดภัย ผีไม่กล้าหลอก พระท่านองค์ใหญ่ ใครกลัวผีนี่ให้นอนหลังพระประธาน อย่านอนข้างหน้า นอนข้างหน้านี่ผีจะหลอกมากเป็นพิเศษ อาตมาขอยืนยัน เพราะว่าเวลาดึก ๆ บรรดาพรหมเทวดาซึ่งอยู่ในพื้นที่ ท่านจะมาไหว้พระกัน ถ้าเราไปนอนขวางหน้าอยู่ท่านก็เขี่ยออก บางคนก็ว่าทำไมเจ้าที่ที่นี่แรงจัง ไม่แรงได้อย่างไร ส่วนใหญ่ท่านใหญ่กว่าเราไม่รู้กี่เท่า ถ้าจะนอนให้แอบนอนหลังพระประธานจะปลอดภัยกว่า"
"ท่านอาจารย์พระมหาสันติ โชติกโร เปรียญธรรม ๙ ประโยค เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ประชุมชนาราม รองเจ้าคณะอำเภอห้วยกระเจา ไปสอบพระพระอุปัชฌาย์ด้วยกันงวดนี้ ตอนท่านสอบเปรียญธรรมประโยค ๘ ไปติวที่วัดสร้อยทอง ท่านก็ไปนอนหลังพระประธานที่หลังโบสถ์ นอนท่องหนังสือไปเรื่อย ปรากฏว่าเห็นเทวดาเดินออกมาจากหลังพระประธาน ชี้บอกว่า “หน้านี้แหละ” ท่านก็เลยท่องแค่ตรงนั้น ๒ หน้า แล้วออกจริง ๆ ด้วย ท่านก็เลยสอบประโยค ๘ ได้แบบไม่ต้องเหนื่อยกับใครเลย ฉะนั้น...จะให้เทวดารักนี่ให้นอนหลังพระประธาน อย่าไปนอนข้างหน้า นอนข้างหน้านี่อาตมาไม่รับประกันความปลอดภัย
ตอนไปที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดไร่ขิง อาตมาไปนอนในกุฏิกรรมฐานเล็ก ๆ ประเภทนอนลงหัวท้ายก็ยันพอดี อยู่ใต้ต้นไทร พระครูปลัดประวิทย์ วรธมฺโม ผู้ดูแลสถานที่มาถึงก็ “นิมนต์พระอาจารย์เล็กไปนอนที่หมู่เรือนไทยดีกว่าครับ” ถามว่าทำไม ? “ไม่มีใครกล้านอนเลยครับ” ...(หัวเราะ)... หมู่เรือนไทยอาตมาไปนอนมาแล้ว ตอนไปเป็นประธานวิปัสสนาจารย์งานปฏิบัติธรรมพระนิสิต มจร. นอนสบายดี แต่คนอื่นขึ้นไปนอนแล้วโดนทุกที อาตมาทำตัวอย่างให้ดูเขาก็ไม่จำกัน"
"ที่หมู่เรือนไทยจะมีรูปสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ หลวงปู่โต วัดระฆัง หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ติดอยู่รูปเบ้อเริ่มเลย รูปใหญ่น่าจะถึงเมตรครึ่ง เรียงเป็นระเบียบอยู่ ๖ รูป คนอื่นขึ้น ๆ ลง ๆ ก็ “งั้น ๆ แหละ” อาตมาขึ้นไปก็กราบ ลงมาก็กราบ ถึงเวลาก็สวดมนต์ แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลเสร็จสรรพแล้วถึงนอน ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร นอนได้ตลอดระยะเวลาเดือนครึ่งหรือ ๔๕ วัน แต่พอคนอื่นไปนอนโดนทุกที
ทำตัวอย่างให้ดูแล้วเขาไม่ดูเอง ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร อาตมาก็ไม่อยากจะบอก เพราะว่าพระเราสมัยนี้บางท่านก็สักแต่ว่าบวชไปอย่างนั้นเอง ไปบอกให้ทำอย่างนี้ อาตมาจะกลายเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีไปอีก ฉะนั้น...ก็ปล่อยให้โดนกันให้เข็ด
เดี๋ยวตอนปฏิบัติธรรมของพระอุปัชฌาย์ใหม่ ถ้าไม่มีใครกล้านอนอาตมาจะขึ้นไปยึดเอง เรือนไทยใหญ่มากเลย มีหอกลาง หอขวาง เรือนนก หอนั่ง ครบ ต้องบอกว่าสบายเกินเหตุ แต่กลางคืนนี่เงียบสนิท เป็นบริเวณที่ไม่มีใครอยากจะย่างกรายเข้าไปเลย เขายอมไปนอนกุฏิกรรมฐานเล็ก ๆ ประเภทหัวท้ายยันดีกว่า เพราะว่าอย่างน้อย ๆ เพื่อนข้าง ๆ ก็ ๒๐-๓๐ คน แต่อาตมาอยากจะบอกว่าถ้าผีหลอกนะ เพื่อนเยอะก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเพื่อนจะหลับชนิดที่ถีบก็ไม่ตื่น ถึงเวลาผีเขาทำได้จริง ๆ อาตมาเจอมาตั้งแต่เด็กแล้ว หลับชนิดที่ถีบก็ไม่ตื่น ไม่กระดิกเลย"
"หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงเคยเล่าให้ฟังเรื่องผีนางไม้ที่วัดบางนมโค ท่านบอกว่าเวลาวัดมีงานจำนวนที่นอนจะไม่พอ ต้องให้ขึ้นไปนอนบนกุฏิหลังที่มีนางไม้อยู่ ท่านเตือนพระทุกรูปว่าให้สวดมนต์ไหว้พระก่อนแล้วค่อยนอน เพราะว่าเจ้าที่แรง พระที่ขึ้นไปมีอยู่รูปหนึ่งท่านดื้อ ท่านไม่ยอมสวดมนต์ ก็ปรากฏว่าเพื่อนพระหลับสนิท ตัวเองอยู่ ๆ ก็ผวาพรวดขึ้นมาโวยวายจนกระทั่งญาติโยมตื่นกันหมด
โยมถามว่าเป็นอะไร ? ท่านบอกว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยสีทอง ๆ ท่านนอนเอาจีวรคลุมโปง อยู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นมาแหวกจีวรดูหน้า ส่วนเพื่อนอีก ๑ รูปนอนหลับอย่างกับวางยาสลบเลย เอะอะอย่างไรก็ไม่ตื่น ท้ายสุดต้องเขย่าเพื่อนพระขึ้นมา เพื่อนพระก็บอกว่าทำไมไม่สวดมนต์ก่อน ท่านก็ยังดื้ออีก ไม่ยอมสวดมนต์ ยอมลงไปเดินที่ลานวัดจนสว่าง เออ...สมน้ำหน้า..!
สมัยนี้โยมจะไปคิดว่าบวชเป็นพระเข้ามาแล้วจะรู้เรื่องเหล่านี้ทั้งหมด หรือว่าจะเชื่อเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด...ไม่ใช่นะ...ท่านที่เชื่อครูบาอาจารย์บอกกล่าวแล้วทำตาม ก็ได้ประโยชน์เฉพาะตนไป ท่านที่ไม่เชื่อนี่บังคับให้ตายก็ไม่เชื่อ ต้องปล่อยตัวใครตัวมัน
นางไม้ที่วัดบางนมโคยังอยู่ ถ้าใครจะไปขอหวยให้รีบไป อาตมาไปครั้งสุดท้ายสงสารท่านมากเลย ตอนนั้นหลวงพ่อพระครูอุไร (พระครูวิหารกิจจานุยุต) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นคู่สวดบวชให้ ท่านจัดงานประจำปี ปรากฏว่าตั้งร้านค้าเต็มวัดชนิดแทบจะไม่มีที่ให้เดิน อาตมาเดินไปถึงข้างโบสถ์หลวงปู่ปาน ที่ท่านสร้างนรกไว้ใต้โบสถ์ ขยะกองพะเนินเทินทึกรอบโบสถ์เลย รอบโบสถ์ตั้งร้านค้าไม่ได้เลยเอาขยะไปทิ้ง อาตมาก็เลยต้องไปโกยขยะให้เขา"
"โกยขยะเสร็จ เห็นต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นหญ้าขึ้นเต็มเจดีย์ก็ไปแงะ ไปงัด ไปถอน ไปดึงให้เขา กว่าจะเสร็จสรรพเรียบร้อยก็ครึ่งค่อนวัน เหงื่อท่วมตัวกลับมา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถาม “เป็นอย่างไร ? เหนื่อยดีไหม ?” ...(หัวเราะ)... ไปแอบทำยังรู้อีกนะ ก็กราบเรียนว่า “หลวงพ่อครับ เขาต้องการเงินขนาดนั้นเลยหรือครับ ?” หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านโง่ไปหน่อย ถ้าไปจุดธูปบอกกล่าวแม่สะตือกับแม่ตะเคียน ไม่ต้องตั้งร้านค้าก็ได้ จะเอาเงินเท่าไรก็ให้บอก
แต่คราวนี้ไปตั้งร้านค้าโดยเฉพาะร้านก๋วยเตี๋ยวตั้งอยู่ข้างต้นตะเคียน ถึงเวลาก็เอาน้ำก๋วยเตี๋ยวสาดใส่ต้นตะเคียน จะล้างชามก็สาดเศษก๋วยเตี๋ยวเศษน้ำลงไปแล้วก็ล้างชามตรงนั้นแหละ เทวดาท่านรักความสะอาดยิ่งกว่าเราหลายเท่า แล้วท่านจะชอบใจไหม ? เพราะฉะนั้น...คุณก็เหนื่อยตายไปเถอะ ท่านไม่ช่วยหรอก"
พระอาจารย์กล่าวว่า "ไปสอบพระอุปัชฌาย์ใหม่งวดนี้ได้เจอหลวงพ่อพระใบฎีกาสามารถ ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดน้อยของหลวงปู่เนียม ท่านปรารภว่ากำลังจะพัฒนาวัดอยู่ อาตมาเรียนท่านว่าช่วงวันแม่ที่วัดมีงานไหม ? ท่านบอกว่ามี เพราะท่านเกิดวันที่ ๑๔ สิงหาคม แต่ถ้าท่านจัดงานวันเกิดก็กลัวคนนินทา จึงมาจัดวันที่ ๑๒ สิงหาแทน ก็เลยเรียนท่านว่าถ้าอย่างนั้นก็รอไปก่อนแล้วกันครับ ถ้าถึงคิวเมื่อไรผมอาจจะเอาผ้าป่ากฐินไปช่วย แต่ถ้ามาวันแม่ก็จะได้ไปก่อน แต่ท่านมาไม่ได้ ท่านเป็นพระเย็นใช้ได้เลย ต้องบอกว่าน่าจะถึงวาระที่วัดหลวงปู่เนียมท่านเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกสักครั้ง
คงจะลักษณะคล้าย ๆ กับวัดท่าขนุนนี่แหละ ญาติโยมแถวนี้เขาว่าอาตมาเป็นหลวงปู่สายกลับชาติมาเกิด อาตมาว่า "ไอ้บ้า...หลวงปู่มรณภาพกูอายุ ๓๓ ปีแล้ว ยังจะกลับชาติมาเกิดได้หรือเปล่า ?" เขาบอกว่าก็ทำงานแบบหลวงปู่ หุ่นก็ผอม ๆ เหมือนหลวงปู่ เขาก็เลยเหมาว่าอาตมาเป็นหลวงปู่กลับชาติมาเกิด เออ...ดีเหมือนกัน กลับชาติได้เร็วมากเลย หลวงปู่ตายแล้วเกิดใหม่อายุ ๓๓ ปีเลย แต่ว่าทุกอย่างที่วัดเคยเจริญรุ่งเรืองก็เจริญขึ้นมา ดูดีเหมือนกับสมัยที่หลวงปู่ท่านยังอยู่"
"โดยเฉพาะว่าหลวงปู่ท่านได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรปี ๒๕๑๑ หลังจากนั้นก็ว่างเว้นมาตลอดจนกระทั่งถึงรุ่นอาตมา ปี ๒๕๕๔ ในวาระ ๘๔ พรรษาในหลวง ท่านพระราชทานตั้งให้เป็นพระครูสัญญาบัตร ก็แปลว่าห่างหายไป ๔๓ ปีกว่าจะมีใหม่ ส่วนหลวงปู่ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ปี ๒๕๐๓ อาตมาเพิ่งจะได้ขวบเดียว เว้นว่างมา ๕๖ ปีที่วัดท่าขนุนเพิ่งมีพระอุปัชฌาย์อีก ๑ รูป เลยทำให้ชาวบ้านเข้าใจว่าอาตมาเป็นหลวงปู่มาเกิดใหม่ ก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลาด่าเขาจะได้ไม่โกรธ เพราะหลวงปู่ด่าพวกเขาเป็นประจำ
เรื่องของวัด ถ้าหากว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือมีอดีตเจ้าอาวาสขลัง สามารถบริหารให้ดังได้ทุกวัดแหละ อาศัยบารมีหลวงพ่อหลวงปู่องค์เก่า แต่ส่วนใหญ่แล้วหลายวัดที่ทรุดโทรมจนดูไม่ได้เลย ก็เพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ให้วัดอาศัย แต่เขาไปอยู่อาศัยวัดกัน เมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นก็เลยทำให้วัดวาอารามทรุดโทรม หดหู่ คนก็ไม่อยากจะเข้า ฉะนั้น...ในส่วนของครูบาอาจารย์องค์เก่า ถ้าเป็นไปได้ก็คือยกท่านขึ้นไว้ในที่สูง เป็นที่เคารพบูชา อย่างอาตมาก็สร้างเรือนไทยตรีมุขถวายหลวงปู่สาย นิมนต์ท่านมาอยู่ในศาลา ตอนเย็นก็ทำวัตรถวายท่านที่นี่"
"เดี๋ยวพอมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำปิดทองประดับกระจกเสร็จ ก็ค่อย ๆ อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประจำที่ทีละองค์ ๒ องค์ องค์สุดท้ายคือหลวงพ่อทองคำที่จะหล่อตอนอาตมาอายุ ๖๐ ปี ตอนนี้โล่งใจไปหน่อยว่าไม่ต้องหล่อฐานพระ ทางด้านช่างทำฐานพระมาให้ด้วย ไม่อย่างนั้นต้องหมดทองอีกเป็น ๑๐๐ กิโลกรัม ก็แปลว่าหล่อเฉพาะองค์พระแล้วค่อย ๆ สร้างเครื่องทรง สร้างฉัตรถวายท่านทีหลัง เครื่องทรงกับฉัตรทำเมื่อไรก็ได้ ถ้าอาตมาตายก่อน ทำไม่เสร็จ เดี๋ยวเจ้าอาวาสรูปต่อท่านก็ทำเองแหละ แต่อย่างไรองค์พระก็ต้องทำให้เสร็จ
อาตมาเองอายุไม่ยืนยาวนะ ต่อวีซ่ามาครั้งหนึ่งแล้ว วีซ่าครั้งต่อไปจะหมดเมื่อไร จะได้ต่อหรือไม่ เดี๋ยวถึงเวลาใกล้ ๆ แล้วจะบอก ถ้าบอกกันนาน ๆ เดี๋ยวจะยุ่ง ต่อวีซ่าแต่ละทีแพงเหลือเกิน มอบงานให้หูตูบเลย นี่งานชิ้นสุดท้ายใกล้เสร็จแล้วคือสร้างเมรุ น่าจะมีเวลาหายใจสบาย ๆ สักปีสองปี หลังจากนั้นถ้าต่อวีซ่าใหม่ได้ หรือไม่ต่อเลยก็จะสบาย ส่วนใหญ่อาตมาเป็นคนไม่มีกังวล คืองานถ้าได้ทำก็แปลว่าได้ ถ้าไม่ได้ทำก็แล้วไป ทองคำเตรียมไว้ให้แล้วเกือบ ๑๐๐ กิโลกรัม ถ้ายังไม่พอคนใหม่เขาก็หาเพิ่มเอง"
"ความจริงเรื่องหล่อพระ ถ้าอาตมาไม่เกรงใจโยม สามารถไปแบกทองมาเองได้เลย เพราะว่าไปเจอแหล่งมา ตักขึ้นมาเป็นทราย เป็นจอบ ๆ เลย แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ วาระยังมาไม่ถึง ในเมื่อวาระยังมาไม่ถึงก็เลยทำให้ยังไม่สามารถเอาขึ้นมาได้ เพราะถ้าเอาขึ้นมาจะเป็นของผู้มีอำนาจไม่กี่คน ไม่ใช่ของที่เหมาะควรแก่คนทั้งประเทศ ก็เลยต้องลำบากญาติโยมมาช่วยกันทำบุญ หาทองมาคนละสลึง ครึ่งสลึง คนละบาท สร้างกันไปเรื่อย
อาตมาเองถ้าไม่ได้ไปเจอ ไปดูมาด้วยตัวเอง ไม่ได้จับมาด้วยตัวเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน แต่ปรากฏว่าเมืองไทยเราทองมากจริง ๆ บรรดาท่านที่มีความรู้ด้านนี้บางท่านก็บอกว่า อาตมามาอยู่กาญจนบุรีเพื่อมาเฝ้าขุมทองใช่ไหม ? ใครจะมีอารมณ์ไปเฝ้า
ทองคำของไทยที่ดังจริง ๆ คือทองที่บางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็ทองที่โต๊ะโมะ จังหวัดนราธิวาส ทองบางสะพานเขาเรียกว่าทองเนื้อเก้า บางคนขุดได้เป็นก้อนขนาดหัวแม่มือเลย ส่วนเหมืองทองที่โต๊ะโมะนั้น ขุนวิเศษสุวรรณภูมิ ต้องบอกว่าเป็นปู่หรือตาของครูพนมเทียนก็ไม่ทราบ ท่านไปเจอแหล่งเข้า แล้วก็ขออนุญาตทำทองส่งภาษีให้ส่วนกลาง จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นท่านขุนวิเศษสุวรรณภูมิ สุวรรณภูมิก็คือแผ่นดินทอง"
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาพระผู้ใหญ่ไปไหนจะมีพระอนุจร คือพระติดตามไปด้วยอย่างน้อย ๑ รูป อันนี้เป็นแบบธรรมเนียมมาแต่โบราณเลย อาตมาเองเริ่มแก่ชราแล้ว คาดว่าอีกไม่นานต้องมีพระอนุจรตามหลังบ้าง แต่โดยปกติแล้วพระที่พ้นพรรษา ๕ ก็จะเริ่มมีพระอนุจรติดตามแล้ว"
พระอาจารย์หยิบซองในขันแยกออกมาเปิด ปรากฏว่าในซองเป็นทองคำ "พอเห็นแล้วต้องรู้ ...(หัวเราะ)... ไม่รู้ไม่ได้ สมัยนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุง เวลาโยมทำบุญมา อาตมาก็มีหน้าที่แจกวัตถุมงคลตามราคา อย่างเช่นว่าทำบุญ ๑๐๐ บาท แจกอย่างนี้ ๒๐๐ บาทแจกอย่างนี้ อาตมาเองพอเวลาเขาวางซองก็แจกเลย เล่นเอาลุงเอี๊ยง ลุงพุฒิ ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็งง "ไอ้นี่แจกไม่ดูเลยเว้ย..!" ลุงพุฒิแกก็ฉีกซองตรวจดู "เฮ้ย...ถูกทุกทีว่ะ"
หารู้ไม่ว่าอาตมาอาศัยเวลานั่งข้างหลวงพ่อวัดท่าซุงนั่นแหละ ได้ซ้อมมโนมยิทธิเช้ายันค่ำ มีอยู่รายหนึ่งถวายซองมา อาตมาฉีกหย่อนลงถังขยะไปเลย แล้วส่งแหนบไปให้อันหนึ่ง ลุงเอี๊ยงตาเหลือก รีบล้วงขึ้นมาเปิดดู ปรากฏว่าเขาเอาเศษกระดาษหนังสือพิมพ์พับ ๆ ใส่มา อยากได้วัตถุมงคลแต่คงจะไม่มีสตางค์
ฉะนั้น...เรื่องของมโนมยิทธิสำคัญตรงที่ต้องขยันซ้อม ถ้าไม่ขยันซ้อมโอกาสที่สนิมขึ้นจะมีสูงมาก ระยะหลังอาตมาไม่ค่อยได้ซ้อมแล้ว รอเวลาพระหรือว่าพรหมเทวดาท่านมาสงเคราะห์อย่างเดียว ชักจะสนิมขึ้นแล้วเหมือนกัน คงต้องหาเวลาไปซักซ้อมกันอีกสักที"
พระอาจารย์กล่าวว่า “ครูบา หรือ ครูบาเจ้า ต้องได้รับการยกให้เป็น ไม่ใช่เป็นกันส่งเดช อย่างบ้านเราปัจจุบันนี้ตำแหน่งครูบาหรือครูบาเจ้านี่ส่งเดชกันมากเลย
ครูบาเจ้าเป็นได้ ๒ วิธี วิธีแรก คือ เป็นเชื้อสายของเจ้า ๗ ตนที่ครองเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน มาก่อน ถ้าหากว่าบวชแล้ว พรรษาได้ ๒๐ เป็นมหาเถระ เขาเรียกว่า ครูบาเจ้า ครูบาเจ้าอีกวิธีหนึ่ง ก็คือ ได้รับการสถาปนาให้เป็นโดยคณะสงฆ์ที่สังกัดสายวัดป่าแดง ซึ่งเป็นสายธรรมสายหนึ่ง คือทางเหนือจะมีสายวัดสวนดอก (วัดบุปผาราม) กับวัดป่าแดง สายวัดป่าแดงจะสถาปนาครูบาเจ้าให้กับพระเถระที่ได้รับความเคารพนับถือจากญาติโยมเป็นอย่างมาก อย่างเช่นครูบาเจ้าศรีวิชัย ถ้าไม่ได้รับการสถาปนาหรือไม่ได้เป็นเชื้อเจ้าอย่างหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ จะใช้คำว่าครูบาเจ้าไม่ได้
ครูบาทั่วไป ก็คือ พระภิกษุได้รับการเคารพนับถือจากชาวบ้านเป็นจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันว่าท่านมีศีลาจารวัตรที่งดงาม มีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัย ก็จะถวายสมัญญาว่า “ครูบา” ให้เอง ไม่ใช่ที่เรามาเรียกกันส่งเดชอย่างทุกวันนี้”
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพี่พระมหาเอ หรือพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม เปรียญธรรม ๖ ประโยค วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านเป็นเจ้าภาพในการหล่อพระ ท่านถวายทั้งค่าปั้นพระ ค่าหล่อพระ ค่าขนส่ง มาเรียบร้อยตั้งแต่ปีที่แล้ว ญาติโยมที่ร่วมบุญมา อาตมาก็เลยสร้างบุญเพิ่มให้ ด้วยการร่วมบุญในการแกะสลักหลวงพ่อพระพุทธปุษยคีรีที่วัดเขาทำเทียม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
ฉะนั้น...ในส่วนเกินที่โยมทำบุญมาวันนี้ ถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างหลวงพ่อพระใหญ่ที่สุพรรณบุรี เป็นพระพุทธรูปแกะสลักที่หน้าผาเขาทำเทียม ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หลวงพ่อสะอิ้ง ท่านเป็นพระนักปฏิบัติแบบเสือซุ่ม อาตมาไปรู้ความลับท่าน ตั้งแต่นั้นมาเจอหน้ากันเมื่อไร อาตมาโดนเขกกะโหลกเมื่อนั้น
อานิสงส์ในการสร้างพระพุทธรูป จะองค์เล็กเท่าใบหญ้าคาหรือองค์ใหญ่เท่าภูเขา อานิสงส์นี้จะเป็นมหาอำนาจติดตัวไปนับชาติไม่ถ้วน โดยเฉพาะในส่วนของพุทธบูชา ทำให้ท่านทั้งหลายเข้าพระนิพพานได้ง่ายที่สุด"
มีคณะของพระและญาติโยมมาขอถ่ายรูปร่วมกับพระอาจารย์ "คุณสุภาพบุรุษช่วยมากั้นด้านนี้ไว้ให้หน่อย ไม่อย่างนั้นคนอื่นเขาเห็นพระถ่ายรูปใกล้กับผู้หญิงแลดูไม่งามเลย เราเป็นพระ เราต้องรู้จักระมัดระวังตนเอง อาศัยคนอื่นเขาไม่ได้หรอก โยมเขาเห็นว่าอะไรเหมาะเขาก็ทำ แต่ความเหมาะของโยมบางทีไม่เหมาะสมของพระ ต้องระมัดระวังเอาไว้บ้าง"
พระอาจารย์ "โถ...นึกว่าเบี้ยแก้สั่น อุตส่าห์รีบล้วงดู ที่แท้เป็นข้อความเข้า"
ถาม : เบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่มหรือครับ ?
ตอบ : ของหลวงปู่เจือ เล็กดี ของหลวงปู่เพิ่มนั่นเบ่อเริ่มเลย
ถาม : เบี้ยแก้ต้องเลี่ยมเปิดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก ชอบอย่างไรก็เลี่ยมไป เลี่ยมทองได้ยิ่งดี มีโยมไปเลี่ยมทองมาโดนปรอทกินจนซีดเป็นสีเงินเลย ...(หัวเราะ)... นั่นขนาดปรอทแข็งตัวแล้วนะ
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของศาสนาอื่นจะทำลายศาสนาพุทธเป็นของยาก เพราะศาสนาพุทธเป็นของจริง แต่คราวนี้พระภิกษุสามเณรในพระศาสนาเราได้ปฏิบัติจริงหรือยัง ? ถ้ายังปฏิบัติไม่จริงจัง ถึงเวลาเป็นที่พึ่งให้แก่ญาติโยมไม่ได้ เป็นที่พึ่งให้แก่ตนเองไม่ได้ ไม่ต้องให้ใครเขามาทำลายหรอก ตัวเรานั่นแหละที่ทำลายตัวเราเอง..!
เมื่อบวชเข้ามาแล้ว จะบวชด้วยเจตนาเพื่อความหลุดพ้น บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน อกหัก หลักลอย คอยงาน สังขารเสื่อม เอือมเจ้านาย ยายให้บวชแก้บนก็ตาม พอบวชเข้ามาแล้วก็ต้องเล่นให้สมบทบาท
บทบาทของเราก็คือพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา ถึงเวลาเราก็มานั่งสวดมนต์ “บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า ขณะนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กิริยาอาการใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น ๆ” “บรรพชิตพึงพิจารณาเนือง ๆ ว่า การเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตนให้เขาเลี้ยงง่าย” ว่าไปเรื่อยจนกระทั่งถึง “บรรพชิตพึงพิจารณาเนื่อง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ? เพื่อจะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม”
"อย่าสักแต่สวดแต่ท่องเฉย ๆ แต่ให้น้อมนำเข้ามาในใจด้วย มาวัดกับตัวเราเองว่า เราขาดตกบกพร่องตรงไหน ? แล้วแก้ไข ทำให้สุดความสามารถ อย่าทำตัวเหมือนปลาตายลอยน้ำไปวันหนึ่ง ๆ
พระพุทธศาสนาของเราเปรียบเหมือนไม้ใหญ่ มีร่มเงา มีผลดก คนเข้ามาอิงอาศัยมาก ก็ควรที่จะรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ดูแลให้เจริญเติบโตยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ใช่ทำตัวเป็นหนอนเป็นแมลงคอยกัดคอยแทะอยู่ ผมบอกกับพระนิสิตที่ผมสอนอยู่เสมอว่า “ถ้าเราไม่สามารถทำพระศาสนาให้เจริญได้ด้วยตัวเอง ก็อย่าทำให้ศาสนาต้องพังลงด้วยมือของเราเลย”
ทุกวันนี้พุทธศาสนาอยู่ยาก เพราะว่าพระทำดีเท่าไรคนไม่เห็น แต่พอทำไม่ดีนิดเดียว เขาก็ไปเขียนข่าวให้ใหญ่โต มีทั้งพวกไร้จรรยาบรรณ จะขายข่าวอย่างเดียว มีทั้งพวกจ้องขยายผล เพื่อทำลายพระพุทธศาสนา สิ่งเหล่านี้ถ้าเราไม่พึงสังวรไว้ สักวันหนึ่งเราจะพลาด แล้วจะกลายเป็นข่าวเสียเอง ถึงตอนนั้นเราเองนี่แหละ ที่เป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนานี้กับมือของเราเอง"
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานหล่อสมเด็จองค์ปฐม - หลวงปู่ปาน - หลวงพ่อวัดท่าซุง
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๙
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.